xs
xsm
sm
md
lg

ปางเสน่หา ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปางเสน่หา ตอนที่ 4

เตชิตเดินลงบันไดมาแล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นเสียงหวานกำลังทำท่าเหมือนกอดใครคนหนึ่งแนบอก...ใบหน้าส่วนที่แนบกับส่วนที่น่าจะเป็นหัวนั้นหลับพริ้มน้ำตาไหลพราก เตชิตค่อยๆ ก้าวลงมาช้าๆ แล้วทรุดตัวลง เสียงหวานลืมตาเงยหน้าขึ้นมอง

“คุณกำลังกอดลูกผมอยู่หรือ”
เตชิตถามเสียงอ่อนโยน
“ค่ะ”
“ขอผมกอดเขาบ้างได้ไหม”
“ยื่นมือมาซิคะ” เตชิตค่อยๆ ยื่นมือออกไป “หลับตาลง แล้วสำรวมจิตคิดถึงเขาให้แน่วแน่”
สีหน้าเตชิตเหมือนกำลังเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง
“ลูกพ่อ ...”
เตชิตพึมพำออกมาเบาๆ เสียงหวานค่อยๆ คลายแขนออก แล้วพยักหน้ากับเด็กหญิงที่เงยหน้ามอง เด็กหญิงค่อยๆ หันไปทางเตชิตค่อยๆ ยื่นแขนออกไป มือเด็กค่อยๆ แตะที่มือพ่อ เตชิตเหมือนรู้สึกได้ว่ามือกำลังสัมผัสมือเล็กๆ
“ลูกรัก ...”
เตชิตอ้าแขนออกโอบกอด แต่ก็คว้าได้แต่ลมแล้วลืมตาขึ้น เสียงหวานชะงักมองร่างเด็กที่เลือนหายไป
“เขา” อยู่ที่ไหน”
“ไปแล้วค่ะ”
“ทำไม ...” เตชิตทำหน้าผิดหวัง
“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
เตชิตลุกขึ้นยืนช้าๆ เสียงหวานลุกตาม
“เขาคงโกรธผม” ยิ่งพูดก็ยิ่งสะเทือนใจ “เพราะผมไม่เคยรู้ว่า เขามีตัวตน...”
“แต่คุณก็ทำบุญกรวดน้ำไปให้เขาสม่ำเสมอ”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“เขาบอกฉันค่ะ”
เตชิตถอนใจยาว เดินมาทรุดตัวลงนั่ง เสียงหวานมองตาม
“ผมอยากเห็นเขา ... สักครั้งเดียวก็ยังดี” เสียงหวานมองเตอย่างเห็นใจ เตชิตเบือนหน้ามามองเสียงหวาน “หน้าตาเขาเป็นยังไง”
เสียงหงานยิ้มอย่างอ่อนโยน
“น่ารักมากค่ะ มีเค้าหน้าคล้ายๆ คุณ”
เตชิตนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกอย่างยินดี
“ผมจะให้จ่าธงวาดรูปเขา”
เตชิตเดินออกมาติดตามด้วยเสียงหวาน เตชิตกดรีโมทเปิดประตูรถแล้วเอื้อมมือไปเปิดเก๊ะ หยิบซองใส่รูปออกมาส่งให้เสียงหวาน เสียงหวานยิ้มแห้งๆ
“ฉันจับไม่ได้ค่ะ”
“ผมลืมไป ขอโทษ”
เตชิตเปิดซองออก หยิบรูปออกมาส่งให้เสียงหวานดู
“โห ...สวยกว่าตัวจริงอีก”
เตชิตมองเสียงหวานอย่างอ่อนโยนเหมือนเผลอตัว
“ไม่หรอก ตัวจริงสวยกว่า” เสียงหวานเหลือบตาขึ้นมองเตชิต แสงสีขาวนวลแล้วใบหน้ากลายเป็นสีชมพู “คุณเขินอีกแล้ว”
“เปล่าสักหน่อย” เตชิตยังคงมองเสียงอ่อนหวาน เสียงหวานกระแอม แล้วเปลี่ยนเรื่อง “คุณจะให้คนที่วาดรูปฉันวาดรูปลูกคุณหรือคะ”
“เปล่า คนที่วาดรูปคุณ ชื่อ หมวดสัญญา แต่ผมจะให้จ่าธงวาดรูป...ลูก ถ้าให้สัญญาวาดอีก เขาอาจจะสงสัย อีกอย่างผมจะให้จ่าธงมาวาดที่นี่”
“แล้วจ่าธงจะวาดเก่งเท่าหมวดสัญญาหรือคะ”
“อาจจะไม่เก่งกว่า แต่ก็ใช้ได้”
เช้าวันรุ่งขึ้นพอลมาหาปรกเดือนที่บ้าน พอลขับรถเข้ามาจอดแล้วก้าวลงจากรถ พร้อมถุงโจ๊ก 2 ถุง
ลูกน้องเดนนิสสองคนกำลังคุยกันอยู่บริเวณนั้น ลุกขึ้นยืนมอง นัยน์ตามีแววตาตระหนกนิดๆ เมื่อสบสายตากร้าวๆ ของพอล
“คุณพอลสบายดีหรือครับ”
“สบายดีจนกระทั่งเมื่อวานโดนหมามันลอบกัด”
ลูกน้องเดนนิสสะดุ้งแล้วยิ้มแห้งๆ
“เมื่อวานมันมากัน 3 ตัว วันนี้เห็นแค่ 2 ตัว”
พอลพูดพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน
ขณะนั้นเดนนิสและปรกเดือนกำลังนั่งทานข้าวกันพลาง คุยกันพลาง แจ๋วเดินนำพอลเข้ามา
“คุณพอลค่ะ”
“ไอ้...พอล กินข้าวด้วยกันมั้ย”
พอลส่งถุงโจ๊กให้แจ๋ว
“ใส่ชามมาให้ด้วย”
“ค่ะ” แจ๋วออกไป
“นั่นปากไปโดนอะไรมาคะ” ปรกเดือนถามเมื่อสังเกตเห็น
“หกล้มครับ”
นัยน์ตาเดนนิสมีแววเยาะแว่บหนึ่ง
“สมน้ำหน้า เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
“ทำไมไปว่าพอลอย่างนั้นล่ะคะ”
“ไม่เป็นไร บางทีเราเดินไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่พอเคราะห์หามยามซวยก็อาจจะไปเหยียบตาปลานักเลงเข้าให้” เดนนิสหัวเราะเสียงดัง ขณะที่แจ๋วเดินถือชามโจ๊กมาวาง “อีกถุงให้แจ๋วนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
แจ๋วออกไป พอลจึงหันมามองปรกเดือน
“ทีแรกก็คิดว่าจะเอามาฝากเดือน แต่เห็นทานข้าวต้มกับเสี่ยแล้ว”
“สงสัยจะต้องมากินข้าวกับเดือนทุกวันแล้ว ไม่งั้นไอ้พอลมันมาแย่งความดีความชอบหมด”
ปรกเดือนนิ่วหน้า
“ฮื้อ เสี่ยก็รู้ว่าพอลเขามาบ่อยๆ ทำไม”
“ก็ใครไปว่าอะไรล่ะ แล้วนี่นึกยังไงถึงได้ใจตรงกันเรียกฉันว่า เสี่ยทั้ง 2 คน”
พอลเหลือบมองปรกเดือนแว่บหนึ่ง แต่ไม่พ้นสายตาเดนนิส
“เป็นธรรมดาครับ คนเราอาจจะใจตรงกันได้”
“อย่าให้เป็นทุกเรื่องก็แล้วกัน”
เดนนิสมองหน้าพอลด้วยสีหน้ามีเลศนัย
หลังจากกินข้าวเสร็จทั้งหมดเดินออกมาที่ห้องรับแขก แจ๋วยกถ้วยกาแฟมาวาง
“ใครช่วยกินแทนหน่อย ฉันจะกลับแล้ว”
ปรกเดือนสะดุ้ง เงยหน้ามองเดนนิสอย่างประหลาดใจ ในขณะที่พอลมีสีหน้าเป็นปรกติ
“ทำไมรีบกลับล่ะคะ”
“ก็เธอมีเพื่อนคุยแล้วนี่” เดนนิสหันมามองพอลด้วยสีหน้าปรกติเช่นกัน “ช่วยคุยกับเดือนแทนฉันด้วย”
“ครับ”
เดนนิสเดินออกไป ปรกเดือนรีบตามออกไปส่ง พอลยกถ้วยขึ้นจิบกาแฟเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลูกน้องคนหนึ่งรีบก้าวมาเปิดประตูรถด้านหลังให้เดนนิส ในขณะที่อีกคนยืนอยู่ที่ประตูด้านหน้าคู่คนขับ
“เสี่ยคะ” เดนนิสหยุดเดินหันมามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เสี่ยไม่พอใจอะไร”
แววตาเดนนิสเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”
“เดือนดูสีหน้าเสี่ยออก”
“งั้นก็ดี”
เดนนิสเดินขึ้นไปนั่งบนรถ ปรกเดือนมองตามพลางเม้มปากอย่างน้อยใจ รถแล่นออกไปปรกเดือนหันหลังกลับเดินเข้าบ้าน
“ต่อไป ผมเห็นจะมาที่นี่บ่อยๆ ไม่ได้แล้ว”
พอลบอกเมื่อปรกเดือนเดินกลับมา
“ทำตัวตามปกติดีกว่าค่ะ”
“ไม่รู้หรือว่าเสี่ยเขาหึงคุณ”
ปรกเดือนยิ้มเหมือนเยาะตัวเอง
“เขากำลังเบื่อเดือนต่างหาก” พอลขยับจะพูดแก้แต่ปรกเดือรชิงพูดขึ้นก่อน “อย่าพยายามแก้ตัวแทนเขาเลยค่ะ เรื่องแบบนี้ผู้หญิงเรามักจะรู้สึกได้ แล้วส่วนใหญ่จะไม่ผิดด้วย”
“ผมต้องกลับละ” พอลลุกขึ้น
“วันนี้คุณว่างหรือเปล่า”
“ทำไมหรือครับ”
“ฉันจะไปปากช่องกับคุณ”
พอลมองปรกเดือนเหมือนจะหยั่งความรู้สึก ปรกเดือนสบตาพอลแน่วแน่
เจนจิรารอเดนนิสอยู่ที่บ้านเมื่อเดนนิสกลับมา เจนจิราเดินเข้ามากอดเดนนิสอย่างดีอกดีใจราวกับไม่ได้เจอกันมาสัก 10 ปี พร้อมเขย่งตัวขึ้นจุ๊บปลายคาง
“คิดถึงจังเลยค่ะ เสี่ยออกไปไหนแต่เช้าคะ”
“บ้านปรกเดือน”
“น่ารักจัง คุณเดือนโชคดีที่ได้สามี Perfect ขนาดนี้”
“ไม่อิจฉาหรือ”
“โถ...จะอิจฉาไปทำไมให้จิตใจหมองมัวคะ เท่าที่เสี่ยกรุณาเจนขนาดนี้ก็นับเป็นบุญของเจนแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด เจนไม่อยากให้เสี่ยต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องพวกนี้ค่ะ เจนยึดความกตัญญูเป็นที่ตั้ง”
เดนนิสจับไหล่ดึงเจนจิราออกมา
“นี่พูดเอาแต่ดีหรือเปล่า”
“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ เสี่ยคงรับประทานอาหารเช้ามาแล้ว เจนเตรียมของหวานบำรุงสมองมาให้ค่ะ ไม่ทราบว่าเสี่ยจะรับเดี๋ยวนี้เลยไหมคะ”
“เอาซิ”
เดนนิสเข้ามานั่งที่ห้องอาหารเจนจิราแกะถุงแปะก๊วยใส่ถ้วย แล้วเลื่อนให้เดนนิสอย่างเอาอกเอาใจ
“แปะก๊วยน้ำขิงค่ะ แปะก๊วยช่วยความจำ ส่วนขิงจะช่วยขับลมแถมยังอร่อยด้วย อาหารหรือขนมที่เจนนำมาฝากเสี่ย จะเน้นทั้งสุขภาพและความอร่อยค่ะ เหนือสิ่งอื่นใดเจนจะพยายามทำเองเพื่อจะได้แน่ใจว่าสะอาด”
เดนนิสตักเข้าปาก
“อร่อยจริงๆ ไม่หวานจนเกินไป แล้ววันนี้ไม่ถ่ายละครหรือ”
“เขานัดบ่ายค่ะ แต่เดี๋ยว 11โมง เจนจะไปแล้วเจนไม่อยากให้ใครต้องมาคอย เรื่องเวลานี่เจนถือมากเลย”
“แล้วเธอมีอะไรที่ไม่ดีบ้างไหม”
“มีค่ะ ก็ที่เจนรักเสี่ยมากเกินไปไงคะ อะไรที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปไม่ดีทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงได้สอนเรื่อง มัชฌิมาปฏิปนาหรือทางสายกลาง”
ขณะที่เจนจิราพูด สาวใช้เข้ามาคุกเข่ารายงาน
“คุณเจียงมา”
“บอกให้ไปรอในห้องทำงานฉัน”
“ค่ะ” สาวใช้ลุกออกไปอย่างเรียบร้อย
“งั้นเดี๋ยวเจนก็จะกลับเหมือนกัน เสี่ยจะได้ทำงาน”
“อย่าเพิ่งกลับ ฉันคุยไม่นานหรอก เดี๋ยวเสร็จแล้วไปส่งที่คอนโด”
เจนจิราทำขัดเขินอายม้วน
ประตูห้องทำงานเปิดออก เดนนิสเดินเข้ามา เจียงซึ่งยังมีสภาพอิดโรย แขนขาเข้าเฝือกอยู่ รีบขยับจะลุก
“ไม่ต้องลุก”
เจียงขยับนั่งอย่างเดิม
“ขอบคุณครับ”
“ที่ฉันให้ไอ้ง้วนไปรับตัวแกมาทั้งๆ ที่ยังไม่หายดี ก็เพราะว่า มีงานจะให้ทำเป็นการแก้ตัว”
เจียงกระตือรือร้นขึ้นทันที
“เสี่ยสั่งมาเลยครับ”
“ฉันจะให้แกคอยตามดูไอ้พอล โดยไม่ให้มันรู้ตัวแล้วกลับมารายงานฉัน”
“ได้ครับ เพียงแต่ตอนนี้”
“เออ รู้แล้วว่าแกไปไหนยังไม่สะดวก ถึงได้จะให้แกย้ายมาอยู่ที่นี่”
เจียงชะงัก
“เสี่ย”
“ทำไม ไม่อยากอยู่กับฉันหรอกเรอะ”
“เปล่าครับ แต่ผมยังไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา” เจียงบอกเสียงอ่อย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะซื้อให้ใหม่ แกมีอะไรขัดข้องหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“ดี”
เจียงมีสีหน้าเหมือนกังวล ในขณะที่เดนนิสเหมือนมีแผนอยู่ลึกๆ
ส่วนที่บ้านเตชิต ขณะที่เตชิตกำลังตัดตกแต่งกิ่งไม้ เสียงหวานก็กำลังก้มดมดอกไม้ชนิดหนึ่งเตฃิตหันมามองเสียงหวานด้วยแววตาอ่อนโยน เสียงหวานหันมามองเตชิตหลบไม่ทันเลยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“นี่ดอกอะไรคะ หอมอ่อนๆ ดีจัง”
“คนขายเขาบอกว่าชื่อ “หอมเจ็ดชั้น”
“ชื่อแปลกดี”
เสียงหวานพูดยังไม่ทันจบ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้าน เตชิตและเสียงหวานหันมามองขณะที่คนขับดึงหมวกกันน็อคออก
“สวัสดีครับ ผู้กอง”
ธงทักเตชิต
“เข้ามาจอดข้างในดีกว่า” เตชิตพูดพลางเดินมาเปิดประตูรั้วให้ ธงจูงมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด
“เชิญข้างใน”
เตชิตเดินเข้าบ้านธงเดินตาม ปิดท้ายขบวนด้วยเสียงหวาน
เตชิตเดินนำธงเข้ามาในห้องรับแขก
“นั่งซิ กินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
เตชิตเลื่อนกระดาษดินสอให้ ธงมองกระดาษแล้วเงยหน้ามองเตชิต
“ผู้กองแน่ใจหรือครับ ผมไม่ใช่มืออาชีพเหมือนหมวด ...”
“อย่าเรื่องมาก ลงมือได้”
ธงหยิบดินสอขึ้นมาเตรียมพร้อม
“ผู้กองจะให้ผมวาดใครครับ”
“ลูกฉัน”
ธงพยักหน้า แล้วสะดุ้ง
“ผู้...ผู้กองมี ...ลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
เตชิตกระแอมเล็กๆ
“ขอโทษ ...รูปเด็กน่ะ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”
“ผู้หญิงค่ะ”
“ผู้หญิง” เตชิตบอกแล้วหันมาบอกเสียงหวาน “รู้แล้ว...เดี๋ยวถึงเวลาแล้วผมจะถามคุณเอง”
ขณะเตชิตพูด ธงอ้าปากหวอมอง
“ขอโทษค่ะ”
เตชิตเบือนหน้ากลับมาคุยกับธงต่อ
“เขาเป็นเด็กผู้หญิง อายุประมาณ 4 ขวบ...” เตชิตหันมาถามเสียงหวานเพื่อความแน่ใจ “ใช่ไหมครับ”
ธงถึงกับมึน
“ประมาณนั้นค่ะ”
“โอเค ทีนี้หน้าตา”
“น่ารักมากค่ะ”
“รู้แล้ว ลูกผมน่ารักอยู่แล้ว คุณต้องบอกรายละเอียดของรูปหน้า ปาก แก้ม คิ้ว คาง”
ธงยิ่งมึนหนัก ทำอะไรไม่ถูก
“เข้าใจแล้วค่ะ ...” เสียงหวานเริ่มอธิบายรายละเอียด “...หน้ากลมๆ”
“หน้ากลมๆ”
เตชิตบอกธง ธงวาดตามที่เตชิตบอกจึงเสร็จเรียบร้อย
“เสร็จแล้วครับ ผมไม่แน่ใจว่าจะเหมือนหรือเปล่า” ...
เตชิตรับมามองแล้วยื่นให้เสียงหวานดู ธงส่ายหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจเพราะเข้าใจว่าเตชิตเสียใจที่ตกงานจนเพี้ยน
“เป็นไง เหมือนไหม” เตชิตถามเสียงหวาน
“คิ้วจางกว่านั่นหน่อยค่ะ”
“แล้วนอกนั้นล่ะ”
“ใกล้เคียงมากค่ะ”
เตชิตหันมาทางธง ธงซึ่งกำลังมองอย่างปลงๆ สะดุ้ง รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“จ่าวาดได้ใกล้เคียงมาก ขอบใจนะ”
“ผมยินดีช่วยครับ”
เตชิตมองรูปอย่างซาบซึ้งตื้นตัน
“ผมจะเอาไปใส่กรอบ “
ธงมองพลางส่ายหน้าอย่างเวทนา
เมื่อกลับมาที่สถานีตำรวจธงบอกเสนาเรื่องอาการของเตชิต
“ถึงขนาดนั้นเลยเรอะ”
เสนาลูบคางอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
“ครับ ผมเห็นแล้วสงสารจับใจ ผู้กองท่านมีเรื่องเสียใจหลายเรื่อง”
“คงต้องให้ไปพบจิตแพทย์”
“ท่านคงไม่ยอมหรอกครับ”
“ก็ใครเขาจะพูดตรงๆ ล่ะ มันต้องหาวิธี ขอบใจมากที่มาบอก”
“ผมสงสารผู้กองน่ะครับ หมดสภาพไปเลย”
“ฉันจะหาวิธีช่วยเอง”
“ขอบพระคุณมากครับ”
ธงทำความเคารพเสนาแล้วเดินออกไป เสนาหยิบโทราศัพท์มากดหาพอล
“พอล มีเรื่องให้ช่วยหน่อย”
ขณะนั้นพอลกำลังขับรถพาปรกเดือนไปปากช่อง
“ครับ...ครับ...ได้ครับ...แล้วผมจะไปดูให้...ครับ...ไม่เป็นไรครับ”
พอลปิดโทรศัพท์
“มีอะไรหรือคะ”
“เจ้านายสั่งให้คอยดูเพื่อนน่ะครับ เห็นบอกว่า พอว่างงานแล้วออกจะเพี้ยนๆ”
ปรกเดือนพยักหน้า พอลปรายตามองแว่บหนึ่ง
“ใกล้จะถึงแล้ว คุณพร้อมนะ”
“ไปถวายสังฆทานก่อนเถอะค่ะ เดือนอยากจะตั้งสติก่อน”
พอลพยักหน้า
พอลพาปรกเดือนมาถวายสังฆทานที่วัดทำให้ปรกเดือนรู้สึกสบายใจขึ้น
“เป็นไงบ้าง”
“สบายใจขึ้นค่ะ”
“ผมก็ได้แต่อาศัยการทำบุญเพื่อให้สบายใจขึ้นอย่างนี้แหละ แต่ก็ไม่ตลอดรอดฝั่ง ตราบใดที่ไม่ ตัดความสำนึกผิดไปได้ รู้เหมือนกันว่า เราต้องกำจัดสาเหตุแห่งทุกข์เสียก่อน พยายามหาหนังสือพระมาอ่านก็แล้วแต่มันปฏิบัติตามยากมาก”
“คงเป็นเพราะทั้งคุณทั้งเดือนยังเป็นปถุชนอยู่น่ะค่ะ... เราพยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน”
พอลถอนใจยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ
จากนั้นพอลก็ขับรถมายังจุดเกิดเหตุที่ปรายดาวรถคว่ำ พอลเปิดประตูรถลงมา ในขณะที่ปรกเดือนยังนั่งอยู่กับที่ พอลอ้อมมาเปิดประตูให้แต่ปรกเดือนยังคงนั่งนิ่ง น้ำตาไหลออกมา พอลมองปรกเดือนอย่างเข้าใจจึงกลับขึ้นรถ ปรกเดือนหยิบทิชชูเช็ดน้ำตา
“ทำใจลำบากจริงๆ...มันคงเป็นตราบาปไปจนชั่วชีวิต”

พอลเอื้อมมือมาจับมือปรกเดือนบีบเบาๆ เป็นการปลอบใจ ปรกเดือนเบือนหน้ามาสบตาน้ำตาไหลพรากออกมา

อ่านต่อหน้า 2




ปางเสน่หา ตอนที่ 4 (ต่อ)

ศรีตรังนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่งกับจุรี ขณะที่ศรีตรังและจุรีนั่งกินข้าวและคุยกันไป ศรีตรังก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพอลพาปรกเดือนเดินเข้ามาในร้านอาหาร

“อะไรหรือคะ”
จุรีถาม
“คุณชายเผือก”
“ไหนคะ”
“เปลี่ยนคู่ควงใหม่ซะด้วย เจ้าชู้ไม่เลว”
จุรีมองตามสายตาศรีตรัง
“ผู้ชายตัวสูงๆ ที่กำลังเลื่อนเก้าอี้ให้แฟนนั่งใช่ไหมคะ”
พอลเลื่อนเก้าอี้ให้ปรกเดือนนั่ง แล้วสั่งอาหาร
“จะมีใครเสียอีกล่ะ เดี๋ยวศรีมานะ” ศรีตรังลุกขึ้นด้วยสีหน้าแววตาหมายมาด
“อะลัดตั๊ดต๊า คุณหนูจะทำอะไรคะ” จุรีกระซิบกระซาบถาม
“ไปดิสเครดิตคุณชายเผือก”
ศรีตรังบอกแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะพอลและปรกเดือนซึ่งกำลังสั่งอาหาร ศรีตรังท้าวแขนกับโต๊ะแล้วทักพอล
“เอาแซนดี้ไปทิ้งซะที่ไหนล่ะ พอล”
ศรีตรังแกล้งลากเสียงยาวตรงชื่อพอล พอลถอนใจเฮือกขณะที่ปรกเดือนมองอย่างตกใจและแปลกใจ
“แค่นั้นก่อน”
พอลบอกบริกรอย่างใจเย็น
“ครับ”
บริกรเดินออกไป ศรีตรังยิ้มกับปรกเดือน
“ขอนั่งเดี๋ยวนะ พอล...ล...”
“ถ้าผมบอกว่าไม่ให้นั่งล่ะ”
“ฉันก็จะนั่งอยู่ดี” ศรีตรังพูดพลางทรุดตัวลงนั่งหน้าตาเฉย
“ก็แล้วจะขอทำไม”
“ตามมารยาทไง”
ปรกเดือนมองศรีตรังอย่างงงๆ สลับมองพอลราวกับจะถามว่าใคร ศรีตรังหันมาพูดกับปรกเดือน
“ระวังจะถูกหลอกนะคุณ คราวที่แล้วพอลเขาควงแซนดี้มา โอ๊ย จี๋จ๋าเหมือนกับที่ทำกับคุณแบบนี้เลย ...เอ หรือว่าจะแซ่บกว่าด้วยซ้ำ” ปรกเดือนยิ้มแห้งๆ “ว้าวๆ จริงๆ นะ ฉันไม่ได้ใส่ร้ายแม้แต่นิดเดียว ป้ายสีใส่ไข่ก็ไม่มี ที่ตัดใจมาบอกคุณนี่ก็เพราะเห็นอกเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกัน”
พอลลุกขึ้นคว้าแขนศรีตรังท่ามกลางความตกตะลึงของทุกๆ คน
“มานี่เลย...เดี๋ยวผมมา” พอลหันไปบอกปรกเดือน
“เฮ้ย คุณจะพาฉันไปไหน”
พอลไม่ฟังเสียง ลากศรีตรังออกไปจนได้
“อะลั๊ดตั๊ดตา นั่นจะพาคุณหนูไปไหน คุณหนูขา” จุรีขยับเดินตาม แต่บริกรรีบมาขวาง
“ยังไม่ได้จ่ายเงิน ยังไปไม่ได้ครับ”
“ก็ฉันจะไปตามคุณหนู”
“ไปตามคุณแมวก็ไม่ได้ครับ”
จุรีชะงักมองหน้าตาซื่อแบ๊วของบริกรอย่างฉุนๆ
พอลลากศรีตรังออกมาอีกมุมหนึ่ง ศรีตรังสะบัดแขนออก
“ปล่อยฉัน”
“ยังกับอยากจะจับนักนี่ ... ถามหน่อย ทำไมคุณถึงได้ติดใจผมนัก” ศรีตรังเบิกตากว้าง โกรธจนพูดไม่ออก “ไม่ว่าผมจะไปไหน คุณต้องคอยตามตื้อ”
“ฉันเนี่ยนะ คอยตามตื้อคุณ”
“ใช่....ผมหล่อถูกใจคุณนักรึไง หรือว่าเป็นเพราะแฟนเก่าที่ทิ้งคุณไป ชื่อพอลเหมือนชื่อผม” ศรีตรังต่อยปากพอลโครม พอลไม่ทันระวังตัวถึงกับหน้าหงายเลือดซึมจากมุมปากแต่พอลยังมีสีหน้าราบเรียบขณะบอกออกมาว่า “จี้ใจดำละซี” ศรีตรังสะบัดหน้าหันหลังกลับพอลจึงตะโกนตามหลัง “ต้องใช่แน่ๆ”
ศรีตรังหันขวับมาอย่างรวดเร็ว แล้วจู่โจมต่อยพอลจนทรุดลง
“อย่าดูถูกผู้หญิง จำเอาไว้”
ศรีตรังเดินกลับเข้าไป โดยพอลยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น
ศรีตรังเดินกลับเข้ามาแล้วตรงไปที่โต๊ะปรกเดือน
“พอลล่ะคะ”
ปรกเดือนลุกขึ้นถาม
“เชิญไปเก็บศพได้เลยค่ะ” ศรีตรังเดินกลับมาที่จุรี “กลับกันเถอะค่ะ ไม่มีอารมณ์จะกินต่อแล้ว”
ศรีตรังหันไปจัดการเรื่องค่าอาหารกับบริการ ระหว่างนั้นพอลได้โทรศัพท์มาหาปรกเดือน
“ว่าไงคะ พอล อ๋อ ได้ค่ะ...” ปรกเดือนปิดโทรศัพท์แล้วหันมาบอกบริกร “ตกลง ยกเลิกอาหารที่สั่งทั้งหมดนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ”
ปรกเดือนหยิบธนบัตรใบละ100 วางไว้ 2 ใบ แล้วรีบเดินออกไป จุรีเบือนหน้ามาถามศรีตรัง
“คุณหนูไปทำอะไรเขาคะ”
ศรีตรังไม่ตอบแล้วหยิบเงินออกจากกระเป๋าส่งให้ตามที่บริกรบอก
ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพปรกเดือนเหลือบมองพอลเป็นระยะๆ ในขณะที่พอลมองเขม้นไปข้างหน้า
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันคะ” ปรกเดือนถามขึ้นมา พอลขยับจะปฏิเสธ แต่ปรกเดือนพูดขึ้นก่อน
“อย่าบอกว่าไม่รู้จัก เพราะท่าทางคุณกับเธอเหมือนรู้จักกันมาตั้งนานแล้วไม่อย่างนั้นไม่อัดคุณขนาดนี้”
“เรื่องมันยาว”
“เดือนฟังได้ค่ะ”
“ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์เล่า”
“ไม่เป็นไร เอาไว้วันอื่นก็ได้”
พอลไม่พูดอะไรอีก
ส่วนศรีตรังเมื่อกลับมาบ่านจุรีพยายามถามศรีตรังเกี่ยวกับพอล
“คุณชายเผือกคนนี้เขาเป็นใครกันแน่คะ”
“ก็เป็นคุณชายเผือกไง”
“ป้าหมายความว่า คุณหนูไปรู้จักเขาตั้งแต่ครั้งไหนคะ” ศรีตรังหันกลับมาตั้งท่าจะปฎิเสธ “อะลั๊ดตั๊ดต๊า อย่า...อย่าปฏิเสธ”
“ก็ได้”
จุรีพยักหน้าอย่างพอใจ
“มันต้องอย่างนั้น”
“เขาเป็นศัตรูของศรี”
“เท่านี้หรือคะ”
“ค่ะ”
ศรีเดินขึ้นข้างบน
“อะลั๊ดตั๊ดต๊า”
ศรีตรังหันกลับมาทันที
“อะไรคะ”
“ลืมไปแล้วค่ะ”
ศรีตรังเดินต่อ
ทางด้านปรกเดือนเมื่อกลับถึงบ้าน เธอเดินนำพอลเข้ามาในบ้าน แจ๋วออกมารับพร้อมถาดวางน้ำ 2 แก้ว
“เสี่ยโทร.มาหรือเปล่า แจ๋ว”
“เปล่าค่ะ” ปรกเดือนหน้าสลดลง “มีแต่เพื่อนคุณเดือนโทร.มาค่ะ”
“เพื่อนคนไหน”
“ไม่ทราบค่ะ”
ปรกเดือนนิ่วหน้าครุ่นคิด
“ผมกลับละนะ” พอลบอก
“ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรือคะ เย็นมากแล้ว”
“ไม่ละครับ ขอบคุณ เพื่อนไม่ต้องไปส่งหรอก ไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ที่พาไปทำบุญ”
พอลยิ้มอ่อนโยนแล้วเดินออกไป ปรกเดือนมองตามแล้วเดินขึ้นข้างบน
พอลขับรถมาซุ่มจอดที่หน้าบ้านเตชิต พอลหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ขณะมองไปที่บ้านเตชิต ขณะนั้นเตชิตเดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พูดคุยกับใครสักคน พอลถึงกับนิ่วหน้า
“ท่าทางมันจะบ้าจริงๆ”
เตชิตเงยหน้ามองดวงจันทร์ แล้วหันมายิ้มกับเสียงหวาน ซึ่งกำลังเหลียวมองโดยรอบ
“พระจันทร์เต็มดวงสวยจริงๆ นั่นคุณมองหาอะไร”
“ลูกสาวคุณค่ะ วันนี้ไม่เห็นเลยทั้งวัน”
เตชิตเป็นกังวลขึ้นมาทันที
“เอ๊ะ แล้วเขาหายไปไหน”
เสียงหวานออกเดินหา เตชิตเดินตามพลางชี้มือคอยถามตลอด
“ตรงโน้นล่ะ”
เสียงหวานเดินไปชะเง้อมอง
“ไม่มีค่ะ”
“อาจจะไปซ่อนหลังพุ่มไม้นั่นก็ได้”
“เราแยกกันหาดีไหมคะ”
“ไม่ดี เพราะผมมองไม่เห็นเขา”
พอลซึ่งกำลังแอบมองอยู่ถึงกับถอนใจเฮือก เมื่อเห็นเตชิตพูดพลางออกท่าออกทางอยู่คนเดียว
“เป็นเอามากเสียด้วย”
พอลแอบมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ เดินออกไปจากบริเวณนั้น
พอลเดินกลับมาขึ้นรถแล้วโทรศัพท์ไปรายงานเสนา
“ท่าทางจะอาการหนักเหมือนกันครับพี่ ... ดีครับ...พรุ่งนี้ผมจะไปพบพี่แต่เช้า...สวัสดีครับ”
พอลเก็บโทรศัพท์แล้วขับรถออกไป
เตชิตกับเสียงหวานช่วยกันตามหาลูกสาวเตชิตจนรอบบ้านแต่ก็ไม่เจอ ทั้งคู่จึงเดินกลับเข้าบ้าน
“แล้วเขาจะหายไปไหนได้ หรือว่า...อาจจะ...ไปเกิดใหม่แล้ว”
“คงยังหรอกค่ะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ...เขาคงบอกฉัน ...แล้วฉันก็น่าจะเห็นหรือไม่ก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง” เตชิตถอนใจเฮือกแล้วทรุดตัวลงนั่ง ด้วยสีหน้าเป็นกังวล “อย่ากังวลเลยค่ะ เขาคงจะไปเที่ยวซุกซนตามประสาเด็ก”
“ก็ไหนคุณว่าเขาติดอยู่ที่นี่ ไปไหนไม่ได้ไงล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เตชิตเอนหลังพิงพนักครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้น
“ผมจะขึ้นไปข้างบนล่ะ”
เตชิตเดินไปปิดประตูหน้าต่างแล้วเดินขึ้นข้างบน โดยเสียงหวานมองตามเงียบๆ
เตชิตกลับเข้าห้องนอนแล้วหยิบรูปลูกสาวซึ่งใส่กรอบเรียบร้อยขึ้นมาดูด้วยสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความรักและความผูกพัน
“ลูกพ่อหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง”
เตชิตจ้องมองรูปลูกสาวด้วยความรักแต่ต้องชะงักสีหน้าตื่นเต้นแถมพิศวง เมื่อรูปลูกสาวเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา เตชิตหลับตาลงแล้วเพ่งมองอีกแต่เด็กกลับเป็นรูปวาดอย่างเดิม ไม่มีอะไรผิดปกติ เตชิตมีสีหน้าแววตาผิดหวัง
เสียงหวานยังอยู่ข้างล่าง เธอเอนตัวลงนอนแล้วหลับตาลง ระหว่างนั้นมีนิ้วเล็กๆ ยื่นมาสะกิดแขนเสียงหวาน เสียงหวานลืมตาขึ้น
“หายไปไหนมา”
เสียงหวานถามพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง
“หนูไม่ได้หายค่ะ”
“แล้วทำไมน้าไม่เห็นล่ะค่ะ”
“ก็หนูแอบซ่อน”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกัน เตชิตเดินลงมาแล้วหยุดมองที่บันได
“ทำไมถึงต้องแอบซ่อนด้วย”
“ก็น้าจะได้จู๋จี๋กับพ่อไง”
แสงและหน้าเสียงหวานกลายเป็นสีชมพู ด้วยความเขินจัด
“เขากลับมาแล้วใช่ไหม”
เตชิตถามขึ้นมา เสียงหวานหันมามองพอเห็นหน้าเตชิตเธอ ยิ่งเขินจัด
“น้าหน้าแดงเลย”
เตชิตมองเสียงหวานอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
“ทำไมต้องอายขนาดนั้น”
“หนูไปละ” เด็กหญิงบอกแล้วหันไปมองเตชิต “โชคดีค่ะ...พ่อ”
“เอ๊ะ หนูนี่ เดี๋ยวตีตายเลย”
เด็กหญิงยิ้มล้อเลียนเสียงหวานแล้วเลือนหายไป
“ลูกผมทำอะไรผิด คุณถึงจะตีเขา”
เสียงหวานลุกขึ้น ยังไม่กล้าสบตาเตชิต
“เปล่าค่ะ”
“โกหกผิดศีลนะ”
“ไหนคุณว่าจะกลับปากช่องวันนี้ไงคะ” เสียงหวานรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ผมก็จะลงมาชวนคุณกลับนั่นหละ แต่คุณต้องบอกก่อนว่าทำไมต้องอายขนาดนั้น”
“ไม่มีอะไร”
“ผมไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ”
“งั้นก็ยังไม่กลับปากช่อง”
“ฉันกลับเองได้ ไม่เห็นจะต้องง้อ”
“ถ้าผมไม่กลับ คุณจะกลับได้ยังไง”
“สบายมาก ฉันไม่ได้ตัวติดกับคุณนี่”
เสียงหวานเลือนหายไป
“เสียงหวาน เอาจริงเรอะ เสียงหวาน นี่มันค่ำแล้วนะ”
ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร เตชิตเกาหัวอย่างหงุดหงิด
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเตชิตแต่งตัวเสร็จจึงเดินลงมาข้างล่างพร้อมกับส่งเสียงเรียกเสียงหวาน
“เสียงหวาน” เงียบ “ผมจะกลับแล้วนะ”
เด็กหญิงปรากฏตัวขึ้น
“พ่อจะกลับหรือค่ะ”
“สงสัยจะงอนกลับไปแล้วจริงๆ”
เตชิตเดินไปเปิดประตู
“พ่อค่ะ” เตชิตเดินออกไป “พ่อค่ะ”
เด็กหญิงตะโกนเรียก เตชิตเบือนหน้ามาเหมือนได้ยินเสียงเด็กหญิงดีใจเพราะคิดว่าพ่อได้ยิน
“ ได้ยินหนูแล้วหรือค่ะ”
เตชิตเดินกลับมา เด็กหญิงดีใจอ้าแขนจะให้พ่ออุ้มแต่เตชิตกับเดินผ่านทะลุเด็กมาขยับประตูอีกที
เด็กหญิงหันมามองพ่อด้วยความผิดหวัง เตชิตแน่ใจว่าประตูล็อคแล้วจึงเดินกลับไปขึ้นรถ เด็กหญิงเบะ น้ำตาคลอด้วยความเสียใจ
“พ่อไม่เห็นหนู”
เตชิตขับรถออกไป เด็กหญิงมองตามอย่างว้าเหว่
พอลแวะมาหาเสนาเพื่อคุยเรื่องเตชิต
“สวัสดีครับพี่”
“นั่งซิ กินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“ไอ้เตโทรมาบอกจ่าธงว่ากำลังจะกลับปากช่อง นี่พี่ชักเป็นห่วงมันจริงๆ แล้วนะ ถ้ามันเกิดบ้าขึ้นมาจริงๆ”
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
“แน่ใจเรอะ”
“ก็ไม่ค่อยแน่หรอกครับ เมื่อคืนนี้มันพูดอยู่คนเดียวเป็นวรรคเป็นเวร”
ทั้งคู่นิ่งกันไปครู่หนึ่ง แล้วเสนาพูดขึ้นในที่สุด
“แล้วไอ้เดนนิสมันจะส่งของอีกเมื่อไหร่”
“ตอนนี้ยังนิ่งอยู่ครับ...มันกำลังเขม่นผม”
“เฮ้ย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เรื่องผู้หญิง”
“เฮ้ย นั่นมันเรื่องใหญ่เลยนะ”
“ผมจัดการได้ครับ ผมไปละ”
เสนาพยักหน้า พอลลุกเดินไปที่ประตู
“พอล” พอลหันกลับมา “ไม่ต้องยุ่งเรื่องไอ้เต งานนายหนักพอแล้ว ผมจะคอยดูมันเอง” พอลยิ้มไม่ตอบ แล้วเดินออกไปโดยทำเป็นไม่ได้ยิน “เฮ้ย พอล” เสนาถอนใจเฮือก “แบบนี้แปลว่าต้องยุ่งแน่ๆ”
ที่ไร่สึขศรีตรังขณะนั้นศรีตรังนั่งอยู่หน้าบ้าน เมื่อเตชิตขับรถเข้ามาจอด ศรีตรังจึงลุกขึ้นท้าวสะเอวมองจนเตชิตก้าวลงจากรถ
“อะลัดตั๊ดต๊า กลับมาแล้วหรือคะ”
จุรีทักเตชิต
“ถ้ายังไม่กลับ ป้าจะอะลัดตั๊ดต๊าได้ยังไงจ้ะ”
“อะลัดตั๊ดต๊า พูดอีกก็ถูกอีก”
“ไปฮันนีมูนมาเป็นไงบ้าง”
ศรีตรังทัก เตชิตถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
จุรีทำตาโต
“อะลัดตั๊ดต๊า คุณเตห่างไปฮันนีมูนกับใครคะ”
“ก็คุณหนูเผือกไง”
“บ้า เขาเป็นผีนะโว้ย ไอ้ศรี”
เตชิตพูดแล้วชะงัก หันไปมองโดยรอบ
“เขาอยู่แถวนี้เรอะ” ศรีตรังกระซิบถาม
“คงไม่” เตชิตกระซิบบอก
“กระซิบกระซาบอะไรกันคะ”
จุรีถามแล้วสะดุ้งอ้าปากค้างเมื่อเห็นเสียงหวานนั่งอยู่บนรถ เตชิตหันไปมองตามแล้วสะดุ้งเช่นกัน เมื่อเห็นเสียงหวานกำลังเบือนหน้ามามอง
เตชิตกลับบ้านพักติดตามด้วยเสียงหวาน โดยที่เตชิตมีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม และเสียงหวานง้องอน
“โกรธฉันที่กลับมาก่อนหรือคะ”
เตชิตเดินไปรินน้ำดื่ม เสียงหวานตามมาปรากฏตัวข้างหน้า
“งั้นฉันก็ขอโทษ”
เตชิตไม่ตอบวางแก้วลง แล้วเดินตรงไปที่ประตูห้องนอน เสียงหวานรีบปรากฏตัวขวางหน้า
เตชิตเดินผ่านทะลุไป
“ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ”
เตชิตไม่สนใจเสียงหวานเดินเข้าห้องไป เสียงหวานเดินทะลุตาม
“คุณเตชิต”
เตชิตยังทำท่าเหมือนเสียงหวานไม่มีตัวตน
“คุณเตห่าง”
เตชิตเกือบหัวเราะออกมา
“อย่าโกรธเสียงหวานเลยนะคะ”
เตชิตมีสีหน้าอ่อนลงแต่ยังไม่หันมา
“พอดีเพื่อนเสียงหวานเขาจะมาที่นี่” เตชิตสะดุ้งเฮือกหันขวับมามองทันที ปากอ้าตาค้าง “เสียงหวานเลยต้องรีบไปพบเขาก่อน เพราะรู้ว่าคุณเตชิตกลัว”
เตชิตรู้สึกตัว รีบกระแอมทำกล้า
“ใครบอกว่าผมกลัว”
“หรือคะ ดีจังงั้นต่อไปฉันจะได้ชวนเขามาคุยกับคุณที่นี่ เขา...”
“ไม่ต้อง ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละ ดีแล้ว” เตชิตรีบขัด
“แต่เขาเหงานะคะ”
“เหงาก็ให้เขาไปที่ชอบๆ ซิ”
“เขายังไปไม่ได้ค่ะ ตราบใดที่เรื่องของเขายังคลุมเคลืออย่างนี้”
“แล้วคุณล่ะ” เสียงหวานหน้าสลดลง แสงรอบตัวเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น “ผมขอโทษ”
“ฉันไม่แน่ใจว่า เอาเข้าจริงแล้ว ฉันจะชอบที่ชอบหรือเปล่า”
“ผมคิดว่าทุกผี เอ๊ย...ทุกคนคงชอบ...ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกที่ชอบทำไม”
เตชิตปลอบ เสียงหวานน้ำตาคลอ
“ฉันกลัวค่ะ กลัวเพราะไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่”
เตชิตสงสารสุดๆ เดินเข้ามาโอบกอดหวังจะปลอบแต่แล้วก็วืดไป เตชิตมีสีหน้าเก้อๆ แว่บหนึ่ง
“คุณไม่ได้ทำบาปทำกรรมอะไร ก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัว”
“ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเอง ขนาดชื่อก็ไม่รู้ แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าฉันไม่เคยทำบาป ฉันอาจจะ...”
“ช่างมันเถอะ”
เสียงหวานค่อยๆ เลือนหายไปด้วยความเศร้าโศก
“เสียงหวาน... เสียงหวาน” เตชิตถอนใจเฮือก แล้วทรุดตัวลงนั่ง “ยังคง Concept เดิม นึกจะมา ก็มา นึกจะไปก็ไป”
ศรีตรังขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งจุรีที่บ้าน
“เอ้า ถึงแล้วค่ะ” จุรีกระโดดลง
“ขอบคุณนะคะ คุณหนู”
“ไม่เป็นไรค่ะ ศรีไปละ”
“ขับดีๆ ผีไม่หลอกนะคะ”
ศรีตรังขี่รถจากไป จุรีรีเดินเข้าบ้านแล้วตะโกนเรียกอ้อย
“อ้อย อ้อยเอ๊ย อ้อย” ทุกอย่างเงียบสนิท “หายไปไหน” จุรีรีบเดินไปหยิบที่ปิดตามาปิดตาข้างซ้าย
“เอาละทีนี้ ต่อให้ขนกันมาทั้งป่าช้าก็มองไม่เห็น”
อ้อยไม่อยู่บ้านเพราะขณะนั้นเธออยู่ที่ออฟฟิศของตรีทศ อ้อยชงกาแฟแล้วหยิบขนมในกล่องพลาสติคที่เตรียมมาวางลงบนจานเล็กๆ มาวางให้ตรีทศ ตรีทศมองอ้อยด้วยสีหน้าท่าทางค่อนข้างอึดอัด
“พายแฮมชีสค่ะ อ้อยทำเอง”
“ขอบคุณครับ แต่คราวหน้า อ้อยอย่าลำบากเลยนะครับ”
“แหม...พี่ทศพูดเป็นสูตรพระเอกเลย งั้นอ้อยก็ขอพูดเป็นสูตรนางริษยาว่าไม่เป็นไรค่ะ อ้อยเต็มทั้งอกเต็มทั้งใจ ทำให้” ตรีทศมีสีหน้าอึดอัด “ลองชิมสักนิดแล้วจะติดใจค่ะ รับรองว่าอ้อยไม่ได้ใส่เสน่ห์อะไรลงไปเลยนอกจากเสน่ห์ปลายจวัก” ตรีทศได้แต่ยิ้มแห้งๆ “ใจอ่อนแล้วใช่มั้ยละค่ะ มา...อ้อยจะป้อนให้เอง”
อ้อยนวยนาดมาที่เก้าอี้ตรีทศ แล้วเอาพายจ่อปาก “อ้าปากซิคะ แล้วอ้อยจะบอกความลับสำคัญให้”
ขณะที่ตรีทศพยายามหาทางหนีทีไล่อยู่นั้น ประตูห้องเปิดออกสมก้าวเข้ามา
“ด้วยความเคารพ”
อ้อยผละออกมาอย่างหงุดหงิด ขณะที่ตรีทศโล่งใจ
“ลุงสมไม่เคยเคาะประตูก่อนจะเข้ามาพบพี่ทศหรอกหรือคะ”
“ด้วยความเคารพ”
“สำหรับลุงสมผมอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ” ตรีทศบอก
“ใช่แล้วครับ ด้วยความเคารพ”
“ลุงสมมีธุระอะไรหรือครับ”
“ถ้าไม่มีก็กรุณาออกไปด้วยค่ะ”
“ด้วยความเคารพ ถ้าไม่มี ลุงจะกล้าเข้ามาขัดจังหวะ เอ๊ย เข้ามาพบคุณทศเรอะ หนูอ้อยใจ”
“อ้อย ขอบใจที่ทำขนมมาให้ แต่ตอนนี้ผมต้องคุยธุระกับลุงสม”
อ้อยจ้องหน้าสม แล้วถลึงตาใส่สะบัดหน้าเปิดประตูเดินออกไป สมมองตามแล้วหันมา
“ลุงเห็นอ้อยเข้ามานานผิดปกติ ก็เลยเข้ามา”
“ด้วยความเคารพ ขอบคุณมากเลยครับ”

สมยักคิ้ว แล้วค่อยๆ แง้มประตูดูก่อนจะเดินออกไป ตรีทศถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก

อ่านต่อหน้า 3-4 เวลา 18.00 น.




ปางเสน่หา ตอนที่ 4 (ต่อ)

อ้อยเดินกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์อย่างหงุดหงิด

“อ้อย”
อ้อยหันไปมอง แล้วชะงักเมื่อเห็นศักดิ์สิทธิ์ลงจากมอเตอร์ไซค์เดินตรงมาอย่างดีใจ
“มาหาศักดิ์หรือ” อ้อยฝืนยิ้มพยักหน้า “ศักดิ์บอกแล้วไงว่า วันนี้ศักดิ์ไม่เข้า OFFICE จะไปข้างนอกกับพ่อ”
“นั่นซิ แล้วกลับมาทำไม”
“พอดีทำธุระเสร็จเร็ว พ่อเลยไล่ศักดิ์กลับมาทำงานก่อน เดี๋ยวพ่อจะตามมาอ้อยมีธุระอะไรกับศักดิ์เหรอ”
“เปล่า...อ้อยเอาขนมมาฝาก ศักดิ์ไม่อยู่ก็เลยเอาไปให้พี่ทศ”
“ไม่ใช่ตั้งใจจะเอามาให้พี่ทศนะ” ศักดิ์สิทธิ์ถามอย่างไม่ไว้ใจ
“อ้อยจะไปทำอย่างนั้นทำไม ไปละ”
อ้อยสตาร์ทรถ
“เดี๋ยว”
อ้อยขี่มอเตอร์ไซค์ไปโดยไม่ฟัง ศักดิ์สิทธิ์มองตามอย่างแคลงใจ
ขณะนั้นจุรีกำลังเช็ดฝุ่นตามตู้โต๊ะอยู่ที่บ้าน เมื่ออ้อยกลับมาจุรีจึงต่อว่าทันที
“หายไปไหนมาอีกล่ะ บ้านช่องเปิดอ้ารับขโมยเลย แม่บอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าจะออกไปไหนให้ปิดประตูหน้าต่างก่อน”
“โอ๊ย อ้อยกลับมาเหนื่อยๆ แม่อย่าเพิ่งบ่นได้มั้ย”
“อะลัดตั๊ดต๊า แกพูดยังกับไปทำงานทำการหนักหนาสาหัสมาเชียวนะ คุณลูกอ้อย”
“พูดแกอีกแล้ว ทำไมแม่ไม่ให้เกียรติอ้อยบ้าง”
“อะลั๊ดตั๊ดต๊า แล้วแกทำไมไม่เห็นใจแม่ ทำงานกลับมาเหนื่อยๆ กลับมาต้องปัดกวาดเช็ดถูบ้านอีก แกอยู่เฉยๆ ทำไมไม่ช่วยผ่อนแรงแม่”
“ก็อ้อยไม่ว่าง”
“ไหน บอกมาซิว่ามัวแต่ทำอะไรถึงไม่ว่าง”
“อ้อยกำลังเฟ้นหาลูกเขยให้แม่ไง้ ตอนนี้เหลือเข้ารอบอยู่ 2 คน”
“หาลูกเขยให้แม่”
“ใช่ค่ะ” อ้อยทำหน้าภาคภูมิใจ
“อะลัดตั๊ดต๊า ฉันอยากจะเป็นลม เอิ๊ก”
จุรีกลุ้มใจกับพฤติกรรมของอ้อยจึงอยากให้อ้อยทำงานเป็นเรื่องเป็นราว จุรีจึงปรึกษาเรื่องนี้กับศรีตรัง
“เอาเลยป้า ศรีบอกป้าตั้งนานแล้วว่า ปล่อยให้อ้อยเดินฉุยฉายไปมาไม่ยอมทำงานทำการได้ยังไง”
“ก็เขาบอกว่าอยากจะหาประสบการณ์ชีวิตซักระยะหนึ่งน่ะซีคะ แต่ป้าดูๆ แล้วยิ่งพูดยิ่งเพ้อเจ้อ”
“แล้วเขาบอกหรือเปล่าล่ะว่า ผู้ชายที่เข้ารอบ 2 คนน่ะใครบ้าง”
“ไม่กล้าถามค่ะ”
“ศรีว่าศรีพอจะรู้นะ”
“จะเป็นใครก็ช่างเถอะค่ะ ตอนนี้ป้าอยากให้อ้อยมันทำงานมากว่า”
“งั้นก็ให้ไปช่วยลุงสมเลย”
“โถ แม่คุณ ป้าเพิ่งรู้ว่ามีเส้นมันดีอย่างนี้เอง ฝากปุ๊บได้ปั๊บ ขอบคุณนะคะคุณหนู นึกว่าช่วยเด็กมันไม่ให้ฟุ้งซ่าน”
“อ้อยเขาพร้อมเมื่อไหร่ก็ให้ไปทำได้ทันทีเลยค่ะ”
“อะลัดตั๊ดต๊า นี่ไม่ใช่แค่เส้นธรรมดาแต่เป็นแผ่นก๋วยเตี๋ยวที่ยังไม่ได้หั่นซะด้วย”
ค่ำวันเดียวกันนั้นขณะนั่งกินข้าว จุรีจึงบอกอ้อยเรื่องที่จะให้ไปทำงาน อ้อยวางช้อนทันที
“โอ๊ย ไม่เอา อ้อยไม่อยากทำงานกับลุงสมอ้อยไม่ชอบคนแก่”
“อย่าเรื่องมากได้มั้ย คุณหนูเธออุตส่าห์ให้งานทำ”
“ให้งานแบบนี้อย่าให้ดีกว่า”
“อะลัดตั๊ดต๊า พูดยังกับเขาง้องอนให้ทำ”
“แม่ช่วยไปบอกคุณศรีได้มั้ยว่า อ้อยอยากเป็นเลขาฯ พี่ทศ”
“อะลัดตั๊ดต๊า”
“ใช่แล้ว 1ใน 2 คนที่อ้อยหมายตาไว้ให้เป็นลูกเขยแม่คือพี่ทศ”
“ช่างกล้านะแก อย่าลืมว่าเราเป็นสาวเป็นนาง”
“โอ๊ย เรื่องนี้ไม่ลืมหรอกแม่ นะคะแม่ ไปขอนายศรีตรังให้หน่อยว่าอ้อยอยากเป็นเลขาฯ พี่ทศ”
จุรีทำท่าเหมือนจะเป็นลมให้ได้
ส่วนที่บ้านศักดิ์สิทธิ์ ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์กำลังโยงสายสิญจ์ตามหน้าต่าง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใคร”
“ผีพ่อแกมั้ง”
ศักดิ์สิทธิ์เดินไปเปิดประตูอย่างหงุดหงิด พงษ์ศักดิ์มองสภาพในห้องลูกแล้วนึกเซ็ง
“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ คุณพ่อ”
พงษ์ศักดิ์มองหน้าศักดิ์สิทธิ์อย่างเพ่งพิศ
“พ่อก็ว่ายังงั้นเหมือนกัน”
พงษ์ศักดิ์เดินมานั่ง ตามองตามศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังล้อมสายสิญจ์
“พรุ่งนี้ผมว่าจะไปตลาดจตุจักร” ศักดิ์สิทธิ์บอก
“จตุจักรไหน”
“ก็จตุจักรกรุงเทพฯ นั่นแหละครับ จะไปซื้อใบหนาด”
“เฮ้ย”
“ในเมื่อนังผีนั่นมันยังตามจองล้างจองผลาญผม ผมก็ต้องหาทางป้องกันตัว แล้วก็จัดการกับมันขั้นเด็ดขาด”
“แกไม่ต้องถ่อไปถึงกรุงเทพฯหรอก ถ้าอยากได้จริงๆ ก็บอกให้พวกคนงานไปหาให้ได้ แต่พ่อยังสงสัยว่าทำไมทั้งแกทั้งผีถึงได้เคียดแค้นกันขนาดนั้น” ศักดิ์สิทธิ์นิ่งอึ้งไป “หรือว่าแกเคยรู้จักเขาตอนที่ยังไม่ตาย”
“ผมจะไปรู้จักมันได้ยังไง”
“แล้วทำไม”
“ช่างเถอะครับพ่อ ผมจะจัดการของผมเอง”
“พ่อว่าเขาไม่มาแล้วละ เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาแล้ว”
“น้อยไปน่ะซิ” ศักดิ์สิทธิ์กระแทกเสียง พงษ์ศักดิ์มองลูกชายอย่างแปลกใจ “คุณพ่อไปนอนเถอะครับ”
พงษ์สิทธิ์ส่ายหน้าเดินไปที่ประตู แล้วหันมาเตือน
“พ่อไม่อยากให้แกหมกมุ่นกับเรื่องภูติผีปีศาจนี่มากนัก”
“ครับ”
พงษ์ศักดิ์เปิดประตูเดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์ตามไปล็อคประตูแล้วเดินไปเปิดลิ้นชัก หยิบถุงๆ หนึ่งขึ้นมาเปิดดูซึ่งเป็นข้าวสารเสกที่หมอผีให้ไว้
พงษ์ศักดิ์นึกเป็นห่วงลูกชาย คืนนั้นพงษ์ศักดิ์จึงตัดสินใจโทรหาศรีตรัง
“มีอะไรหรือคะ คุณพงษ์”
ศรีตรังถามเมื่อเห็นว่าพงษ์ศักดิ์โทรเข้ามา
“ท่าทางเจ้าศักดิ์มันไม่ค่อยดีแล้วครับ เหมือนหมกมุ่นกับไสยศาสตร์จนหน้าดำคร่ำเครียด”
“เอ๊ะ เราก็เพิ่งทำบุญกันไปนี่คะ”
“ก็นั่นน่ะซีครับ แต่มันยังล้อมสายสิญจ์เต็มห้อง แถมบอกว่าจะไปหาใบหนาดมากันผีด้วย”
“เป็นเอามาก”
“ยัยจุนั่นแหละตัวดี พาหมออำนาจมาแนะค่ะ”
“หมออำนาจ ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อ อยู่โรงพยาบาลไหนหรือคะ”
“โรงพยาบาลผีครับ หมออำนาจก็อีตาหมอแก่ หมอผีไงครับ ชื่อจริงแกชื่ออำนาจ”
“อ๋อ ... ป้าจุเล่าให้ฟังเหมือนกัน คุณพงษ์ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ พรุ่งนี้ศรีจะลองคุยกับศักดิ์ดู”
“ขอบคุณนายศรีตรังมากครับ ผมฝากเจ้าศักดิ์มันด้วย...นี่ร่ำๆ จะทำท่าว่าจะรู้จักคุ้นเคยกับผีเอาเสียด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ จะว่าไป อาการศักดิ์ก็คล้ายๆ กับอาการเพื่อนศรีเหมือนกัน”
ศรีตรังวางโทรศัพท์ลง สีหน้าครุ่นคิด
“หรือจะเป็นคุณหนูเผือก”
วันรุ่งขึ้นเมื่อเจอหน้าเตชิต ศรีตรังจึงคุยกับเตชิตเรื่องนี้เพราะเธอสงสัยว่าผีที่มาหลอกศักดิ์สิทธิ์จะเป็นเสียงหวาน
“ไม่มีทางเด็ดขาด”
เตชิตบอกอย่างมั่นใจ
“อะลัดตั๊ดต๊า มีหึง”
จุรีบอก ศรีตรังถึงกับสำลักน้ำส้มขณะที่เตชิตฉุนจัด
“ป้าจุ”
“ขอประทานโทษค่ะ... นี่ถ้าคุณหนูเผือกเธอเป็นคน หรือคุณเตห่างเป็นผี ป้าคิดว่าจะเหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกอีกนะคะ” เตชิตถลึงตามองจนจุรีต้องหลบตา “ขอประทานโทษอีกครั้งนึงค่ะ”
“แกน่าจะลองถามคุณหนูเผือกเสียงหวานของแกดูนะ ไอ้เต”
“ฉันมั่นใจว่าต้องเป็นเพื่อนของเสียงหวานแน่”
“ฝากบอกด้วยนะคะว่า ให้ไปผุดไปเกิดเสียเถอะ อย่าเที่ยวได้หลอกหลอนคนอื่นให้เป็นบาปเป็นกรรมเลย”
“ป้าจะบอกเองมั้ยล่ะครับ”
“อย่าดีกว่าค่ะ ป้าขอมอบให้เป็นหน้าที่คุณเตห่าง”
“ฉันว่าแกทำหน้าที่นี้ได้เหมาะที่สุดนะ เต”
เตชิตยกกาแฟขึ้นจิบ ไม่พูดไม่จา
วันเดียวกันนั้นอ้อยกับศักดิ์สิทธิ์มาหาหมอผีที่บ้าน ทั้งคู่เลื่อนถุงผลไม้ 2-3 ถุงให้หมอผีแล้วยกมือไหว้
“ของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ที่ลุงหมอกรุณาไปทำพิธีให้”
หมอผีเปิดดูถุงผลไม้
“เล็กๆ น้อยๆ จริงๆ เสียด้วย”
ศักดิ์สิทธิ์ส่งซองใส่เงินให้
“นี่คงไม่เล็กๆ น้อยๆ นะครับ”
หมอผีรับมาเปิดดูเงินอย่างอารมณ์ดี
“แบบนี้ค่อยยังชั่ว เออ แล้วผียังมารบกวนอีกไหม”
“ไม่ครับ”
“ไม่ค่ะ”
“แสดงว่าวิญญาณที่พวกเอ็งเห็นเขาอดอยาก ทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้ก็เรียบร้อย”
“แน่นะครับ”
“อุวะ” หมอผีชักฉุน อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ถึงกับสะดุ้ง “ถามแบบนี้ดูถูกกันนี่หว่า”
ทั้งคู่รีบกราบขอโทษทันทีทันใด
“ขอโทษค่ะ/ขอโทษครับ”
“ฉุนแล้วนะเว้ย...เฮ้ย”
อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์มองตากันปริบๆ แล้วศักดิ์สิทธิ์รีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
“เอ้อ ข้าวสารเปลือกลุงหมอ ผมยังไม่ได้ใช้เลยครับ เพราะแค่ที่ลุงหมอแนะนำ ผีมันก็ไม่มาแล้ว”
“อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจผี รอให้เวลาผ่านไป 3 วันก่อนถึงจะชัวร์”
“ก็ไหนลุงหมอบอกว่า มันจะไม่มาแล้วไงคะ”
“ข้าไม่ได้บอกยังงั้นซักหน่อย”
“อ้าว”
“มนุษย์ไว้ใจไม่ได้ฉันใด ผีก็ไว้ใจไม่ได้ฉันนั้น จำเอาไว้”
หมอผีหลับตาลงบริกรรมคาถาต่อ อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์จึงต้องลากลับ ทั้งคู่เดินออกมาที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่
“ตกลงจะมาหรือไม่มากันแน่ อีตาหมอนี่พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย”
“อ้อยก็ชักเซ็งเหมือนกัน”
“คงต้องรอดูคืนนี้อีกสักคืน”
ทั้งคู่ขี่รถออกไป
คืนนั้นขณะที่ศักดิ์สิทธิ์กำลังนอนหลับสนิท จู่ๆ ศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มกระสับกระส่ายเพราะฝันเห็นเกษริน...ศักดิ์สิทธิ์ผวาตื่นผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าแล้วถอนใจเฮือกเมื่อเห็นว่าเป็นความฝัน ศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นเดินมาที่โต๊ะ รินน้ำดื่มตามองไปที่หน้าต่างอย่างไม่ตั้งใจ พร้อมๆ กับเสียงหมาหอนกันเกรียวเยือกเย็นดังขึ้น แก้วน้ำในมือศักดิ์สิทธิ์ตกลงแตกเพล้ง น้ำกระจาย ศักดิ์สิทธิ์ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่ใต้ต้นไม้แล้วมองขึ้นมา
“นังเกษ”
เกษรินยกมือขึ้นช้าๆ กวักให้ศักดิ์สิทธิ์ลงไปหา ความกลัวของศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นความโกรธ
“เดี๋ยวเถอะแก อยากให้ลงไปหาใช่มั้ย ได้เลย เดี๋ยวเจอกัน”
ศักดิ์สิทธิ์เดินมาหยิบถุงข้าวสารเสกแล้วเดินไปที่ประตู เปิดออกอย่างแรงด้วยความหงุดหงิดจนตาขวาง ศักดิ์สิทธิ์ร้องลั่นเซผงะไป 2-3 ก้าวเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่หน้าประตู ศักดิ์สิทธิ์ตั้งตัวได้โกรธจนตาขวาง
“นังเกษ เอาไปเลย จัดให้”
ศักดิ์สิทธิ์ปากข้าวสารเสกใส่เกษริน เกษรินผงะแล้วเลือนหายไป ขณะที่พงษ์ศักดิ์เปิดประตูห้องออกมามองท่าทางของศักดิ์สิทธิ์อย่างตกใจ
“หายไปไหนล่ะ ออกมาซิ บอกให้ออกมา”
ศักดิ์สิทธิ์ร้องท้าเกษริน ตาขวาง
“ศักดิ์ เป็นอะไรไปลูก” พงษ์ศักดิ์ถามอย่างตกใจ ขณะที่ศักดิ์สิทธิ์ยังกำข้าวสารเสก ท้าเสียงลั่น
“ศักดิ์”
ศักดิ์สิทธิ์หันมามองพ่อตาขวาง
“อ้อ ปลอมเป็นคุณพ่อเรอะ”
ศักดิ์สิทธิ์ปาข้าวสารไปที่พงษ์ศักดิ์
“ศักดิ์ นี่พ่อนะลูก”
ศักดิ์สิทธิ์ได้สติ
“คุณพ่อ”
“เป็นอะไรไปลูก”
ศักดิ์สิทธิ์ยังมีทีท่างงๆ ปนหวาดกลัว
พงษ์ศักดิ์พาศักดิ์สิทธิ์กลับเข้าบ้านแล้วตบไหล่เบาๆ
“เดี๋ยวพ่อมานะ”
ศักดิ์สิทธิ์ผวาเข้าดึงมือพงษ์ศักดิ์ไว้ทันที
“คุณพ่อจะไปไหน”
“ก็ไปดูว่ามีใครอยู่ข้างนอกหรือเปล่า”
“อย่าไปนะครับ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”
“งั้นก็ออกไปด้วยกัน”
“ไม่”
“แกเป็นอะไรไปฮึ พ่อไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย”
“ทำไมจะไม่มี นังเกษไงพ่อ มันมาหลอกผม”
“นังเกษอะไรของแก หรือว่า...เกษริน”
ศักดิ์สิทธิ์นึกได้อึ้งไปนิดหนึ่ง
“เปล่าครับ”
“แล้วเกษที่ไหนอีกล่ะ”
“ไม่มีอะไร ผมคงฝันร้ายน่ะครับ คุณพ่อขึ้นไปนอนเถอะ” พงษ์ศักดิ์ยังคงมองศักดิ์สิทธิ์ด้วยความแปลกใจ “ไปเถอะครับ ผมก็จะนอนเหมือนกัน”
ศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นจูงพ่อเดินไป
ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูเดินมานั่ง ศักดิ์สิทธิ์นิ่งชั่งใจครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์มาโทร. หาอ้อย ขณะนั้นอ้อยนอนหลับอยู่ เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น อ้อยนิ่วหน้าอยู่พักหนึ่งแล้วงัวเงียหยิบมารับ
“ฮัลโหล”
“อ้อย นี่ศักดิ์เอง”
อ้อยล้มตาทันทีด้วยความโกรธ
“เฮ้ย นี่กี่ทุ่มกี่ยามแล้ว ดูนาฬิกาบ้างหรือเปล่า”
“ผีนังเกษมันมาหลอกศักดิ์”
อ้อยสะดุ้ง ผุดลุกขึ้นนั่ง
“มันไปแล้วยัง”
“ไปแล้ว อาจจะกำลังไปหาอ้อย”
“ไอ้บ้า”
“อ้าว จริงๆ นะ ศักดิ์โทร.มาเตือน” อ้อยปิดโทรศัพท์ทันที “อ้อย อ้อย”
ศักดิ์สิทธิ์ปิดโทรศัพท์แล้วถอนใจเฮือก ค่อยๆ เดินไปแอบมองที่หน้าต่าง บริเวณาภายนอกว่างเปล่า แววตาศักดิ์สิทธิ์เป็นประกายอย่างสะใจ
“หายไปเลย โดนฤทธิ์ข้าวสารเสกเข้าไป”
ศักดิ์สิทธิ์หันหลังจะเดินกลับมา จังหวะนั้นเศษแก้วที่พื้นอันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้เหมือนมีใครเป่า
เท้าศักดิ์สิทธิ์เหยียบลงบนเศษแก้วนั้น เลือดออกค่อนข้างมาก
“โอ๊ย”
ศักดิ์สิทธิ์ก้มมอง แล้วเดินโขยกเขยกมาที่เตียง ทรุดตัวลงนั่งถือผ้าขนหนูที่วางไว้บริเวณนั้นมาซับแผล ระหว่างนั้นเสียงหัวเราะแผ่วๆ เยือกเย็น ศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าขึ้นทันที
“อยากลองดีใช่มั้ย นังเกษ”
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่อ้อยกำลังนั่งแปรงผมหน้ากระจก อ้อยทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ลุกเดินไปหยิบโทรศัพท์มาเปิด ทันใดที่โทรศัพท์เปิดเสียงสายเข้าก็ดังขึ้นทันที
“ว่าไง ศักดิ์”
“อ้อยมาหาศักดิ์หน่อยได้ไหม”
“ทำไม”
“เพราะศักดิ์ไปหาอ้อยไม่ได้น่ะซิ”
“เกิดอะไรขึ้น”
พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอ้อยจึงรีบมาหาศักดิ์สิทธิ์ที่บ้าน ขณะนั้นพงษ์ศักดิ์กำลังส่งยาแก้อักเสบ แล้วแก้วน้ำให้ศักดิ์สิทธิ์
“แค่แก้วบาดนิดเดียว ไม่น่าถึงกับจับไข้ขนาดนี้ นี่เดี๋ยวลุงว่าจะพาไปหาหมอ”
พงษ์ศักดิ์บอกกับอ้อย
“บวมมากขนาดนี้คงไม่ผิดมั้งคะ”
“แผลมันไม่ได้ใหญ่โต”
“ก็นังผีนั่นมันแกล้งผม”
“แล้ว แกไปทำอะไรให้เขาล่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์อ้าปากจะพูด แต่อ้อยรีบตัดบท
“คุณลุงไปทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวอ้อยจะดูศักดิ์ให้เอง เมื่อกี้คุณลุงให้ยาแก้อักเสบแล้วใช่ไหมคะ” พงษ์ศักดิ์พยักหน้า “งั้นเดี๋ยวก็คงค่อยยังชั่ว ถ้าเป็นอะไรมาก อ้อยจะโทร.บอกคุณลุง”
“ขอบใจมาก ลุงฝากด้วยนะ”
“ค่ะ คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอบใจจริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
พงษ์ศักดิ์เดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์มีสีหน้าหวาดกลัวเคียดแค้นเต็มที่
“อ้อย”
อ้อยยกนิ้วแตะปาก เป็นเชิงว่าพงษ์ศักดิ์อาจได้ยิน ศักดิ์สิทธิ์ขบกรามแน่น
พงษ์ศักดิ์มาหาศรีตรังที่ห้องทำงาน ขณะนั้นศรีตรังอยู่กับเตชิต พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศักดิ์สิทธิ์ศรีตรังจึงเหลือบมองเตชิตซึ่งนั่งพิงพนักด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ท่าทางเจ้าศักดิ์มันจะกลัวเอามากๆ ด้วยครับ อีกอย่าง แผลที่ถูกเศษแก้วบาดก็ดูจะอักเสบเว่อร์ไปหน่อย”
“คุณพงษ์หมายความว่า อาจจะเป็นการกระทำของผีใช่ไหมครับ”
“เฮ้ย ไอ้เต”
“ความจริง ผมก็ไม่อยากจะคิดอย่างนั้น “
“แต่มันก็มีหลายอย่างชวนให้คิด”
พงษ์ศักดิ์นิ่งอึ้ง
“ใช่ไหมคะ คุณพงษ์”
“ก็ ... ผมไม่ทราบจะพูดยังไงดี”
“ผมขออนุญาตไปดูหน่อยนะครับ”
“ฉันไปด้วย คุณพงษ์ไม่ต้องไปหรอกนะคะ”
“ครับ ขอบคุณมาก”
เตชิตและศรีตรังเดินออกไป
ที่บ้านศักดิ์สิทธิ์ขณะนั้นอ้อยค่อยๆ แก้ผ้าพันแผลออก แล้วสะดุ้งเมื่อเห็นว่าเท้าศักดิ์สิทธิ์บวมแดง อักเสบมากขึ้น อ้อยค่อยๆ เอามือแตะแล้วสะดุ้งเฮือกเพราะร้อนจัด
“อุ๊ย”
“โอ๊ย”
“เท้าศักดิ์ร้อนจี๋เลย”
“ปวดมากขึ้นด้วย อูย”
“อ้อยว่าไปหาหมอดีกว่า”
“หมอไหนก็ช่วยไม่ได้หรอก นอกจากหมอผี”
“บางที ศักดิ์อาจจะคิดมากไปเอง”
“อ้อยไม่ได้โดนกับตัว ไม่เข้าใจหรอก ผีนังเกษมันอาฆาตเรา อ้อยไม่น่า...”
“ศักดิ์” อ้อยตวาด
“ก็จริงไหมล่ะ ถ้าอ้อยไม่บอกให้ศักดิ์ ...”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ศักดิ์” ศักดิ์สิทธิ์ฟุบหน้ากับฝ่ามือ อ้อยมองอย่างหงุดหงิดแล้วปรับสีหน้าใหม่ เอื้อมมือไปลูบไหล่ศักดิ์สิทธิ์ “ ใจเย็นๆ นะจ้ะ อ้อยจะช่วยศักดิ์เอง”
“อ้อยต้องไปตามหมอแก่มา”
“อ้อยว่า เราไปหาแกที่บ้านดีกว่า ศักดิ์รอเดี๋ยวนะอ้อยจะไปยืมปิ๊คอัพลุงสม”
“อย่าช้านะอ้อย”
“จ้ะ ศักดิ์ใจเย็นๆ นะ”
อ้อยเดินออกไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นศรีตรังขับรถมาจอดหน้ารั้วแล้วก้าวลงมาพร้อมเตชิต อ้อยพึมพำอย่างหงุดหงิด
“อีตาลุงพงษ์ละซี วุ่นวายทั้งพ่อทั้งลูกเลย”
“อ้อย ศักดิ์เป็นยังไงบ้าง”
“ก็...ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ”
“เข้าไปดูหน่อยเถอะ ศรี”
เตชิตบอก ศรีตรังพยักหน้า
“ไป”
อ้อยรีบเข้ามาห้าม
“ศักดิ์นอนหลับค่ะ เพิ่งหลับไปเมื่อกี้นี้เอง”
“งั้น อย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนเขาเลยนะ เต”
“เตไม่ได้ปลุกเขานี่ แค่ดูแผลเท่านั้นเอง”
“อ้อยเอาผ้าพันไว้ค่ะ ถ้าจะดูจริงๆ ก็คงต้องแกะผ้าพันแผลออกศักดิ์จะตื่น”
“เอาไว้ค่อยมาใหม่ตอนเย็นๆ ก็ได้ ไปละนะ อ้อย”
“ค่ะ นายศรีตรังไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“จ้ะ” ศรีตรังพยักหน้ากับเตชิตซึ่งยังเหลียวไปมองบ้าน เหมือนอยากจะเข้าไป “ไป ไอ้เต”
เตชิตเดินตามศรีตรังไปขึ้นรถด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด อ้อยมองตามอย่างโล่งอก

อ่านต่อหน้า 4




ปางเสน่หา ตอนที่ 4 (ต่อ)

หลังจากศรีตรังกับเตชิตกลับไปแล้วอ้อยจึงรีบพาศักดิ์สิทธิ์มาบ้านหมอผี อ้อยและหมอผีช่วยกันพยุงศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในบ้านแล้วจัดให้นอน
“โฮ้ย เหนื่อย”
หมอผีบ่น ศักดิ์สิทธิ์ยกมือไหว้
“ขอบคุณมากครับ ลุงแก่”
“คำว่า “หมอ” หายไปไหน แล้วไอ้คำว่า “แก่” น่ะตัดทิ้งไปได้ เรียกลุงหมอเฉยๆ พอ” หมอผีบอก
“ครับ ลุงหมอ”
หมอผีแตะแผลเบาๆ ศักดิ์สิทธิ์ร้องลั่น
“เฮ้ย ร้องอะไรกันนักกันหนา” อ้อยต่อว่าอย่างรำคาญ
“ก็ลองมาโดนเองบ้างซิ”
“ผีตนนั้นคงแค้นเอ็งมาก” หมอผีเบือนหน้าไปมองศักดิ์สิทธิ์ “ไปทำอะไรเขาเข้าล่ะ”
“ศักดิ์ไม่เชื่อเรื่องผีค่ะ แถมยังชอบท้าทายด้วย” อ้อยรีบตอบแทนศักดิ์สิทธิ์
“เอ็งชื่อศักดิ์เรอะ”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วตอบทำไม ข้าถามเจ้าศักดิ์ ไม่ได้ถามเอ็ง”
“ลุงหมอ อย่าเพิ่งซักอะไรเลยครับ ช่วยรักษาผมก่อน ปวดจะตายอยู่แล้ว”
หมอผีขยับมาคุกเข่าอย่างตั้งอกตั้งใจ ศักดิ์สิทธิ์และอ้อยมองตามอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นกัน
ทางด้านเตชิตหลังจากกลับไปกับศรีตรัง เตชิตได้ย้อนกลับมาบ้านศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งพร้อมเสียงหวาน เตชิตและเสียงหวานค่อยๆ ลัดเลาะมาถึงบริเวณหลังบ้านศักดิ์สิทธิ์
“เอายังไงต่อไปคะ”
เสียงหวานหันไปถามเตชิต
“คุณช่วยบังผมหน่อย”
“บัง”
“ใช่ ผมอยากเข้าไปดูแผลศักดิ์”
“ฉันไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่านะคะ”
“ผีที่ไหนเขาก็ทำได้กันทั้งนั้น”
“ฉันไม่เคยทำนี่คะ” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย
“ทุกอย่างมันต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น ไป... เดินนำไปเลย”
“ค่ะ”
เสียงหวานเดินนำ เตชิตเดินตาม เสียงหวานเดินผ่านประตูเข้าไปขณะที่เตชิตชนโครม
“เสียงหวาน เสียงหวาน”
เสียงหวานก้าวออกมา แล้วมองหน้าเตชิตอย่างตกใจ
“คุณเตเอาหัวชนประตู”
“เมื่อไหร่จะจำเสียทีว่าคุณเป็นผี ผมเป็นคน”
“ขอโทษค่ะ”
เตชิตส่ายหน้า แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปที่ประตูจับลูกบิดหมุน ลูกบิดหมุนตามประตูเปิดออก เสียงหวานเดินเข้าไป เตชิตเดินตาม
เตชิตกับเสียงหวานเข้ามาในบ้านแล้วมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นศักดิ์สิทธิ์
“ท่าทางเหมือนไม่มีใครอยู่” เสียงหวานบอก
“ขึ้นไปดูข้างบนซิ” เตชิตเดินขึ้นบันได เสียงหวานเดินตาม “ถ้าเกิดเจอใคร คุณต้องรีบบังผมทันที เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
เตชิตกับเสียงหวานย่องขึ้นมาข้างบนจนมาถึงหน้าห้อง เตชิตจับลูกบิด
“ฉันเข้าไปดูให้ดีไหมคะ”
เสียงหวานกระซิบถาม เตชิตปล่อยลูกบิดและกระซิบตอบ
“ดี”
เสียงหวานยื่นหน้าผ่านประตูเข้าไป เตชิตสะดุ้งเฮือก กลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกค่อนข้างสยอง
หัวและไหล่เสียงหวานกลับออกมา
“ไม่มีใครค่ะ”
“ห้องนั้นล่ะ”
เสียงหวานเดินไปอีกห้อง แล้วยื่นหัวเข้าไปมองแล้วดึงออกมา
“ไม่มีอีกเหมือนกันค่ะ”
“แล้วหายไปไหน”
ที่บ้านหมอผีขณะนั้นหมอผีกำลังบรรจงทาผงสีดำลงบนเท้าศักดิ์สิทธิ์ง
“เย็นดีจังเลยครับ” ศักดิ์สิทธิ์บอก
“แล้วยังปวดอยู่ไหม”
“ปวด แต่ไม่มากเท่าเดิม”
“ค่อยยังชั่ว”
“เดี๋ยว 3 วันก็หาย”
“ลุงหมอเก่งจังเลยค่ะ”
“ทุกคนเขาก็พูดอย่างนั้นละเว้ย ...เฮ้ย” อ้อยและศักดิ์สิทธิ์สบตากันแว่บหนึ่ง “เอาละ ลองลุกขึ้นยืนซิ”
“ผม”
“บอกให้ลุกขึ้น”
ศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ขยับตัวจะลุก โดยอ้อยเข้าประคอง
“เป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้น”
“เอ้า” หมอผีส่งขวดยาให้ อ้อยยื่นมือไปรับหมอผีหดมือทันที “สองพันห้า”
“ฮ้า” อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ร้องออกมาพร้อมกัน
“ขวดละสองพันห้า เงินมายาไป เงินไม่มายาไม่มี”
“โห ทำไมมันแพงนักล่ะค่ะ”
“จะเอาหรือไม่เอา”
ศักดิ์สิทธิ์ล้วงกระเป๋าขึ้นมาแล้วหยิบเงินส่งให้
“นี่ครับ”
“แล้วเอ็งจะรู้ว่าตัดสินใจไม่ผิด เอ้า เอาไป”
ศักดิ์สิทธิ์รับขวดยามาแล้วเดินออกไปกับอ้อย หมอผีมองตาม
“ลูกค้ารายใหญ่เว้ย...เฮ้ย”
ศักดิ์สิทธิ์และอ้อยกลับมาบ้าน อ้อยช่วยประคองศักดิ์สิทธิ์นั่ง
“ขอบใจนะอ้อย”
“ไม่เป็นไร ขออย่างเดียวอย่าเอะอะโวยวายเป็นพอ”
“อ้อยไม่ได้โดนมันหลอก”
“อ้อยรู้ว่ามันน่ากลัว แต่ศักดิ์ต้องมีสติ อย่าเผลอหลุดอะไรออกมาเด็ดขาดไม่งั้นมีหวังเจอคุก”
“เราต้องให้ลุงหมอกำจัดมันไปให้เด็ดขาด”
“ใจเย็นๆ ซิศักดิ์ อย่าวู่วามจนคนอื่นจับได้”
“ศักดิ์เคยดูเรื่องแม่นาค เราต้องให้ลุงหมอจับนังเกษใส่หม้อถ่วงน้ำ”
“ฟังนะศักดิ์ เรื่องนี้ศักดิ์ต้องปล่อยให้อ้อยจัดการเอง”
“ลุงหมอต้องช่วยเราได้ จะเสียเงินเท่าไหร่ก็ยอม”
“ศักดิ์ มองอ้อย” อ้อยพูดพลางจับหน้าศักดิ์สิทธิ์ให้หันมามอง “อ้อยบอกว่าเรื่องนี้อ้อยจะจัดการเอง ปล่อยให้เป็นธุระของอ้อยเข้าใจไหม”
ศักดิ์สิทธิ์มองอ้อย นัยน์ตายังมีแวววิตกกังวล
“เข้าใจ แต่...”
“ไม่มีแต่ ไว้ใจอ้อยนะศักดิ์”
ศักดิ์ศิทธิ์พยักหน้าแต่แววตาหวาดระแวง
อ้อยเดินออกมาขึ้นรถขณะที่ศักดิ์สิทธิ์โขยกเขยกตามออกมา
“อ้อย อ้อย” อ้อยหันไปมองแล้วลอบถอนใจเฮือก “ศักดิ์ไปด้วยคน”
“ศักดิ์จะไปได้ยังไง อ้อยจะไปทำงาน นายศรีตรังสั่งให้อ้อยเริ่มงานวันนี้”
“ศักดิ์ก็จะไปด้วย ให้นั่งรออยู่ข้างนอกก็ได้”
“ศักดิ์”
“ศักดิ์กลัว”
“ผีมันไม่ออกมากลางวันแสกๆ หรอก”
“ถึงงั้น ศักดิ์ก็กลัว”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ ซิ อยู่นี่แหละเดี๋ยวอ้อยจะคอยแวะมาดู”
อ้อยขี่รถออกไปทันที ศักดิ์สิทธิ์ตะโกนเรียก
“อ้อย กลับมาก่อน อ้อย อ้อย”
อ้อยมาหาศรีตรังที่ห้องทำงาน เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามา”
อ้อยเปิดประตูเข้ามา ศรีตรังเงยหน้ามอง
“มาแล้วหรือ”
“ค่ะ ลุงสมบอกว่า นายศรีตรังให้อ้อยย้ายมาเป็นเลขาฯ”
“ก็อ้อยไม่อยากเป็นเลขาฯ ลุงสมนี่” อ้อยยิ้มแห้ง ๆ “เห็นว่าอ้อยพาศักดิ์ไปหาหมอ”
“ค่ะ หมอให้ยามา ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ”
“ดีจัง ... อ้อยพร้อมจะทำงานแล้วนะ”
“ค่ะ”
ศรีตรังส่งแฟ้มให้ 3-4 แฟ้ม
“เอานี่ไปอ่านก่อน ตรงไหนไม่เข้าใจก็ถาม”
“ขอบคุณค่ะ”
อ้อยรับแฟ้มแล้วเดินไปนั่งโต๊ะ เปิดแฟ้มอ่าน
อีกด้านหนึ่งที่คอนโดเจนจิรา โทรศัพท์มือถือของเจนจิราดังขึ้น เจนจิราถลาเข้ามาหยิบขึ้นรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“สวัสดีค่ะ เสี่ยขา เสี่ยมีอะไรจะใช้เจนหรือคะ”
“จะโทร.มาบอกว่า ฉันคุยกับคุณกิ่งเรียบร้อยแล้ว เขาจะให้เธอเป็นนางเอกละครฟอร์มยักษ์ที่เธออยากจะเล่น”
เจนจิราเบิกตากว้างอย่างดีใจ
“เรื่อง “ปรารถนา” น่ะหรือคะ”
“งั้นมั้ง”
“โอ๊ย เสี่ยขา เจนกราบขอบพระคุณมากค่ะ ขอบพระคุณที่สุดในโลก โอย...เจนดีใจที่สุดเลยต่อไปนี้ ใครจะมาว่าเจนเล่นแต่ละครน้ำเน่าไม่ได้แล้ว”
“มีอีกอย่าง อาทิตย์หน้าฉันจะไปดูที่ที่ปากช่อง แล้วจะพักที่นั่นสัก 3-4 วันเจนอยากไปด้วยไหม”
“แล้วคุณเดือนล่ะคะ”
“ฉันชวนเธอ จะไปหรือไม่ไป”
“อุ๊ย ไปซิคะ เจนต้องไปอยู่แล้ว”
“งั้นก็เตรียมตัวไว้ แล้วจะบอกอีกทีว่าจะไปวันไหน เท่านี้แหละ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลง นัยน์ตาเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“ปรกเดือน เธอไม่แคร์ฉัน ฉันก็ไม่แคร์เธอเหมือนกัน”
หลังจากเดนนิสวางหูไปแล้ว เจนจิราจึงโทรหาปรกเดือนทันที เจนจิราพูดเยาะเย้ยปรกเดือนเรื่องที่เดนนิสชวนเธอไปปากช่อง ปรกเดือนกำโทรศัพท์แน่น
“ไปพักที่ไหนนะ“
“ปากช่องค่ะ คุณเดือนขา แหม เสี่ยเข้าใจเลือกนะคะ บรรยากาศที่นั่นแสนจะโรแมนติค คุณน้องเจนจิรางี้ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพรากเลย”
“คุณนั่นแหละ เจนจิราหน้าด้าน”
เจนจิราหัวเราะคิกคัก
“ด่าเป็นเหมือนกันแล้วหรือคะ โถ คงจะเจ็บปวดมากละซีฉันเคยแนะนำใบบัวบกแก้ช้ำในมาแล้ว... เลยไม่จำเป็นต้องแนะนำซ้ำนะคะ อ้อ แล้วถ้าร้องไห้มากๆ จนคัดจมูก น้ำมูกไหล ก็ขอแนะนำหัวหอมค่ะ
จะหอมแดงหรือหอมใหญ่ก็ได้ ลอกเปลือกออกให้หมดแล้วทุบพอแหลก”
“บ้า แกมันบ้า”
ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลง แค้นใจจนน้ำตาไหล
“วางหูซะแล้ว ยังบอกไม่ทันจบเลย”
เจนจิราเอนตัวพิงพนักอย่างสบายใจ
เรื่องนี้ทำให้ปรกเดือนนัดเจอกับพอลที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“เดือนอยากเลิกกับเขา”
“คุณก็รู้ว่ามันอันตราย เอาไว้รอให้ ...” พอลชะงักด้วยนึกได้
“รอให้อะไรคะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“คุณจะบอกว่า รอให้เขาเบื่อเดือนก่อนใช่ไหมคะ เดือนว่าเขาเบื่อเดือนแล้วละค่ะ เบื่อมากด้วย”
ปรกเดือนบอกอย่างขมขื่น พอลแอบโล่งใจ
“ผมรู้ว่าเขารักคุณ”
ปรกเดือนยิ้มเหมือนเยาะตัวเอง
“ฟังเหมือนแผ่นเสียงตกร่องยังไงก็ไม่รู้”
ทั้งคู่เงียบกันไปครู่หนึ่ง เสียงโทรศัพท์พอลดังขึ้น
“ขอโทษนะ” พอลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “เดนนิสโทร.มา” ปรกเดือนมีสีหน้าสนใจทันที “ครับเสี่ย...อ๋อ ครับ...ได้ครับ”
พอลปิดโทรศัพท์สีหน้าเหมือนอึดอัด
“ว่าไงคะ”
“เขาให้ผมตามไปด้วย”
“คงกลัวว่า เราจะนัดพบกันนั่นแหละ ตัวเองเลว เลยนึกว่าคนอื่นเลวเหมือนกัน”
พอลยังคงนิ่ง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
อีกด้านหนึ่งที่บ้านเดนนิส ขณะที่เดนนิสกำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามา”
เจียงเปิดประตูเข้ามา
“เสี่ยเรียกผมหรือครับ”
“ฉันจะไปปากช่อง จะให้แกไปด้วย”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
“แกจะพักอยู่กับพอล” เจียงชะงัก “ไปได้”
“ครับ”
เจียงเดินออกไป เดนนิสยังคงสีหน้าสงบราบเรียบ
เตชิตรู้เรื่องที่เดนนิสจะมาพักที่ไร่สุขศรีตรังจากศรีตรัง เตชิตถึงกับชะงัก
“เสี่ยสงคราม ก็ไอ้เดนนิสน่ะซิ”
“ใช่ ฉันถึงมาบอกแกไง”
“มากันกี่คน”
“4 คน”
“แล้วทำไมถึงต้องมาพักที่นี่”
“อันนี้ตอบได้เลยว่า รีสอร์ทฉันสวยที่สุดและสะดวกสบายที่สุด”
“กระบวนยกหางตัวเองนี่ต้องยกให้แกเลย แล้วไอ้พอลอดีตแฟนแกจะมาหรือเปล่า”
“อาจจะตามมาคอยเลียแข้งเลียขาเจ้านาย ก็ได้”
“มีใจหวิวๆ บ้างไหม”
“ไอ้บ้า ว่าแต่แกเถอะ เตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูไว้ให้ดีละกัน”
ศรีตรังเดินออกไป เตชิตมีสีหน้าเหมือนจะยุ่งยากใจแล้วเดินมาหยิบโทรศัพท์กดหาเสนา เสนา
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ
“อะไรของแกอีกล่ะ”
“ผู้กองทราบหรือเปล่าครับว่า ไอ้หมวดพอลของผู้กองมันจะตามเจ้านายมันมาพักที่ปากช่อง”
“แล้วมันเดือดร้อนส่วนไหนของนาย”
“ผู้กอง”
“ฉันว่านายอยู่เฉยๆ ดีกว่า”
“นี่ผู้กองไม่เดือนร้อนอะไรเลยหรือครับ”
“ไม่”
“ผมไม่เข้าใจผู้กองเลย”
“ก็จงไม่เข้าใจต่อไป”
เสนาวางโทรศัพท์ ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาพลุ่งพล่านก่อนจะโทรศัพท์ไปเตือนพอลเรื่องเตชิต
“โอ้โฮ นี่ข่าวไปเร็วถึงขนาดนั้นเชียวหรือครับ”
“นั่นซิ ฉันถึงอยากให้นายระวังตัวไว้”
“ไม่ต้องระวังหรอกครับ ก็เจ้าของรีสอร์ทกับไอ้เตเขาเป็นเพื่อนรักเพื่อนใคร่กัน”
“เรอะ”
“ครับ”
“เสียงนายมันเหมือนประชดประชันแดกดันยังไงก็ไม่รู้ว่ะ”
“โธ่ พี่ ผมจะไปประชดเขาทำไม”
“เออ งั้นก็เท่านี้แหละ” เสนาวางโทรศัพท์ลง “ปวดหัวว่ะ”
พอลสีหน้าเหมือนเยาะๆ
“รีบรายงานแฟนใหม่เร็วทันอกทันใจจริงๆ”
วันที่เดนนิสเดินทางมาพักไร่สุขศรีตรัง ขณะนั้นเตชิตนั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่บ้านศรีตรัง ศรีตรังเดินเข้ามา
“ยกโขยงมากันแล้ว แกไม่ไปต้อนรับเขาหน่อยเรอะ”
“ฉันไม่เกี่ยว แกนั่นแหละไป”
“เรื่อง ฉันให้คุณทศไปคอยรับหน้าแทน” เตชิตลุกขึ้น “นั่นจะไปไหน”
“กลับบ้านพัก” เตชิตหยิบหมวกใส่ แล้วสวมแว่นดำ “ศรี แกต้องระวังอย่าให้พวกมันใช้รีสอร์ทแกเป็นที่ซื้อขายยาเสพติดก็แล้วกัน”
“นั่นเป็นหน้าที่ของแก เพราะแกเป็นตำรวจ”
เตชิตยักไหล่ แล้วเดินออกไป
ขณะที่เตชิตขี่มอเตอร์ไซค์กลับที่พัก รถของเดนนิสแล่นสวนมา โดยพอลเป็นคนขับมีเจียงนั่งคู่ ส่วนข้างหลังเดนนิสนั่งกับเจน เตชิตหันมามองแว่บหนึ่งขณะสวนกัน พอลเองก็หันมามองแว่บหนึ่งเช่นกัน เช่นเดียวกับเจียงซึ่งนิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด
เตชิตเดินเข้ามาภายในบ้าน ขณะที่เสียงหวานกำลังแอบมองไปที่บ้านหลังถัดไป
“นั่นแอบมองใคร”
“บ้านหลังนั้นมีคนมาอยู่แล้วค่ะ”
“แล้วทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ แอบมองด้วย ไม่มีใครเขามองเห็นคุณหรอก”
“นั่นซีคะ ฉันก็ลืมไป”
“อีกอย่าง เขาก็ออกไปข้างนอกกันแล้ว”
“ทำไมคุณรู้ล่ะคะ”
“ผมเพิ่งสวนกับพวกเขา”
“อ้อ”
ขณะนั้นพอลกำลังขับรถออกจากบริเวณรีสอร์ท แต่แล้วจู่ๆ เจียงก็พูดขึ้นมาว่า
“ไอ้คนที่ขับรถสวนกันเมื่อกี้ หน้าตามันคุ้นๆ พิกล”
พอลยังคงสีหน้าเรียบเฉย
“จำผิดมั้งจ๊ะ” เจนจิราบอก
“ไม่นะครับ”
“แกเคยมาที่นี่หรือเปล่า”
“เพิ่งเคยมาครั้งแรก”
“งั้นไอ้หมอนั่นคงหน้าโหล”
“ไอ้เจียงมันจำคนแม่น” เดนนิสบอก พอลเงียบไปขณะที่เจียงยิ้มนิดๆ “เดี๋ยวเห็นอีกทีอาจจะจำได้”
พอลเหลือบมองเดนนิสทางกระจก เดนนิสมองพอลอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาคมกล้าท้าทาย

อ่านต่อตอนที่ 5



กำลังโหลดความคิดเห็น