ปางเสน่หา ตอนที่ 3
เมื่อกลับมาจากวัดพงษ์ศักดิ์นั่งคุยกับจุรีและสม ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับศักดิ์สิทธิ์
“นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ผมไม่เชื่อจริงๆ”
“อะลัดตั๊ดต๊า หมายความว่าคุณพงษ์เจอผี”
“เปล๊า”
พงษ์ศักดิ์ร้องลั่น จุรีและสมมองหน้ากันแว่บหนึ่ง
“ด้วยความเคารพ คุณพงษ์พูดเหมือนตัวเองเจอผี”
“โอย ไม่ต้องถึงกับเจอเองหรอก แค่เจ้าศักดิ์มันเจอจนต้องพาไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ นี่ก็ขวัญหนีดีฝ่อจะแย่อยู่แล้ว”
“ด้วยความเคารพ ผมยังสงสัยไม่หายว่ามากันได้ยังไง”
“ใครมาคะ”
“ก็...สิ่งที่เรียกกันว่าผีไง”
“ก็ฉันบอกแล้วไม่มีใครเชื่อ ลองคุณเตห่างเห็น...ศักดิ์เห็น...อีกหน่อยคุณสม...คุณพงษ์ก็ต้องเห็น อะลัดตั๊ดต๊า เห็นกันหมดทุกคนเลย”
สมและพงษ์ศักดิ์หน้าเสีย
จุรีกลับมาบ้าน ขณะนั้นอ้อยกำลังกระวนกระวายคอยอยู่พอเห็นจุรีอ้อยจึงรีบเดินตรงเข้ามาหาทันที
“ศักดิ์เป็นยังไงบ้างแม่”
“นอนซมอยู่ในห้อง เฮ้อ ไปทำยังไงถึงได้ถูกผีหลอก” จุรีนึกได้หันขวับมาจ้องอ้อยเขม็ง “อะลัดตั๊ดต๊า”
“อะไรล่ะแม่”
“ศักดิ์ถูกผีหลอกเมื่อคืน แล้วเมื่อคืนแกก็กลับเสียดึก อย่าบอกนะว่าแกไม่ได้ลักลอบออกไปหาศักดิ์”
“โอ๊ยอ้อยไม่ได้บอกอะไรสักหน่อย แม่นั่นแหละบอกเอง พูดเองเออเองแล้วจะมาโทษอ้อย อ้อยบอกแล้วไงว่าออกไปเก็บผ้า” จุรีมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด “ถ้าอ้อยออกไปพบศักดิ์อ้อยก็ต้องถูกผีหลอกด้วยซิ”
“พูดอีกก็ถูกอีก” อ้อยค่อยๆ ถอนใจอย่างโล่งอก “สงสัยว่าตาศักดิ์จะต้องไปทำอะไรผิดขนาดหนัก ผีถึงได้มาหลอก” อ้อยสะดุ้ง “เกี่ยวกับคุณหนูเผือก”
“งั้นที่แม่เห็นคุณหนูเผือก ก็อาจจะเป็นเพราะแม่ทำอะไรผิดด้วยน่ะซิ”
“อะลัดตั๊ดต๊า มีย้อนคุณหนูเผือกไม่ได้มาหลอกแม่ แต่เขามาเพียงขอความช่วยเหลือ”
“เขาก็อาจจะมาขอความช่วยเหลือศักดิ์เหมือนกัน”
“เออ พูดอีกก็ถูกอีก” อ้อยขยับตัวลุกขึ้น “นั่นจะไปไหน”
“ไปเยี่ยมศักดิ์ค่ะ”
“ตอนแม่มาเห็นว่านอนหลับไปแล้ว เอาไว้ให้เขาค่อยยังชั่วสักหน่อยแล้วค่อยไปดีกว่า” อ้อยไม่สนใจเดินออกไป “แน่ะ พูดไม่รู้ฟัง”
อ้อยถอนใจเฮือก หันกลับมา
“อ้อยไม่ได้ไปหาศักดิ์”
“แล้วจะไปไหน”
อ้อยไม่ตอบเดินออกไป
เตชิตกลับมาบ้านจึงรู้จากเสียงหวานว่าผีที่มาหลอกศักดิ์สิทธิ์คือเกษริน
“หมายความว่า เพื่อนของคุณมาหลอกศักดิ์”
“เห็นเขาบอกว่า ไม่ได้หลอกค่ะแต่อยากจะถามอะไรบางอย่าง”
“ถามอะไร”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คืนนี้ให้เขามาพบคุณดีไหมคะ จะได้ถาม”
“ไม่ต้อง” เตชิตรีบปฏิเสธทันที “คุณช่วยถามให้หน่อยได้ไหม”
เสียงหวานทำหน้าแหยๆ
“บอกตามตรงนะคะ ฉันไม่ค่อยอยากอยู่กับเขาตามลำพังเท่าไหร่หรอก มัน...แหยงๆ”
“โธ่เอ๊ย คุณก็เป็นผี”
เสียงหวานกระโดดพรวดเดียวมาที่เตชิต เตชิตตกใจกระโดดพรวดหนีเช่นกัน
“อย่า”
“คุณอย่าพูดคำว่า ผอผึ้ง...สระอีซิคะฉันกลัว”
“ขนาดคุณยังกลัวแล้วผมจะไม่กลัวได้ยังไง”
เสียงหวานลุกขึ้น เดินห่างออกไป เตชิตเดินกลับมาที่เดิม
“ถ้าคุณอยู่เป็นเพื่อน ฉันก็จะถามเขาให้”
“แล้วคุยว่าเป็นเพื่อนกัน”
“เป็นเพื่อนที่ชอบอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ มากกว่าค่ะ”
เตชิตทิ้งตัวลงนั่งอย่างเซ็งๆ
อ้อยขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้ารั้วบ้านพักเตชิตแล้วลงมาจากรถตะโกนเรียกเตชิต
“พี่เต...พี่เตขา...อยู่หรือเปล่าคะ...พี่เต”
เสียงหวานลอยไปที่หน้าต่างมองออกไป แล้วหันกลับมาด้วยสีหน้าที่ขรึมลง
“ลูกสาวป้าอะลัดตั๊ดต๊ามาหาแน่ะค่ะ”
“รู้แล้ว”
เสียงหวานเม้มปาก แสงโดยรอบเข้มขึ้นอย่างไม่พอใจแล้วเลือนหายไป เตชิตเปิดประตูออกไป
เตชิตเดินออกมาหน้าบ้านแล้วรีบทรุดตัวลงนั่งก่อนที่อ้อยจะถลามาถึงตัว
“เชิญนั่งครับ” อ้อยหน้างอแต่ก็นั่งลงโดยดี “มีเรื่องอะไรหรือ”
“พี่เตทราบเรื่องศักดิ์แล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“อ้อยกลั๊วกลัว”
“ถ้ากลางค่ำกลางคืนไม่ออกจากบ้าน ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว”
“ก็ถ้าเขาตามมาหลอกอ้อยในบ้านล่ะคะ”
“เขาจะตามมาหลอกทำไม ในเมื่ออ้อยไม่ได้ไปทำอะไรเขา”
“จริงซีนะคะ อ้อยไม่ได้ทำอะไรเขาสักหน่อยแล้วศักดิ์ทำหรือคะ”
“ผมไม่ทราบ ...”
“เวลาแม่ไม่อยู่ อ้อยมาหาพี่เตได้ไหมคะ อ้อยไม่อยากอยู่คนเดียว”
“ผมก็ไม่ค่อยอยู่เหมือนกัน” อ้อยก้มหน้าลงสีหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ “ผมไม่เห็นป้าจุแกไปไหนนอกบ้านศรีตรัง คุณก็ตามไปได้นี่”
อ้อยปรับสีหน้าเงยขึ้นมายิ้มเศร้าๆ
“อ้อยขอประทานโทษค่ะที่ล้ำเส้นมากไปหน่อย ความจริงก็คือว่าอ้อยรู้สึกไว้วางใจพี่เต พี่เตเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ลืมไปว่าพี่เตเพิ่งมาที่นี่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับอ้อย” อ้อยบีบน้ำตานิดๆ เตชิตมีสีหน้าอ่อนลง “ต่อไป อ้อยจะไม่รบกวนพี่เตอีกแล้วค่ะ”
อ้อยปาดน้ำตาลุกขึ้นหันหลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวครับ”
อ้อยยิ้มอย่างพอใจ แล้วค่อยๆ หันกลับมาด้วยใบหน้าเศร้าซึมอย่างเดิม
“ผมขอโทษ ถ้าหากพูดแรงไปเอาเป็นว่าถ้ามีความทุกข์อะไร ก็มาปรึกษาผมได้”
“ขอบคุณค่ะ พี่เตกรุณามากแต่อ้อยคิดได้แล้วว่าอ้อยต้องพยายามช่วยตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าหากไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ อ้อยก็จะไม่รบกวนใครอ้อยขอโทษอีกครั้งค่ะ”
อ้อยยกมือไหว้เตชิตแล้วเดินไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์อย่างเศร้าๆ เตชิตมองตามสีหน้าเหมือนสำนึกผิด
พอออกจากบ้านเตชิตอ้อยก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาบ้านศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมาถึงอ้อยถึงกับชะงักเมื่อเห็นบ้านศักดิ์สิทธิ์มาสายสิญจน์วนพันอยู่รอบบ้าน อ้อยลงจากมอเตอร์ไซค์เดินลอดสายสิญจน์เข้าไป
อ้อยเดินเข้ามาในบ้านแล้วถอนใจเบาๆ เมื่อเห็นสภาพบริเวณนั้นที่เต็มไปด้วยของขลัง ศักดิ์สิทธิ์นอนหลับอยู่บนโซฟา บริเวณโต๊ะรับแขกใกล้ๆ พระพุทธรูปถูกนิมนต์มาวางไว้หมดรวมทั้งสายสิญจน์
“ศักดิ์” อ้อยเรียกเสียงเบา ศักดิ์สิทธิ์ยังคงนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย “ศักดิ์”
อ้อยเรียกเสียงสูงขึ้นทำให้ศักดิ์สิทธิ์สะดุ้งเฮือก ผุกลุกขึ้นนั่ง
“ช่วยด้วย”
“นี่อ้อยเอง”
“อ้อยแน่นะ” ศักดิ์สิทธิ์ถามย้ำและทำท่าเหมือนยังไม่ไว้ใจ
“ไม่ใช่อ้อยแล้วจะเป็นผีที่ไหน”
“โอ๊ย”
“กลัวอะไรนักหนา กลางวันแสกๆ ยังงี้ผีไม่มาหรอก”ศักดิ์สิทธิ์ยังมีท่าทางหวาดกลัว อ้อยมองขวางๆ “ไหนไม่เชื่อว่าผีมีจริงไง”
“อย่าพูดคำนั้นเลย ขอร้อง”
“คำไหน”
“ก็คำนั้นแหละ ... เราต้องหาหมออย่างว่ามาปราบ”
“หมออะไร”
ศักดิ์สิทธิ์หงุดหงิดจนเผลอหลุดตวาดออกมา
“ก็หมอผีไง” เมื่อพูดออกมาแล้วศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องสะดุ้ง
“เออ พูดออกมาแล้วไม่เห็นจะมีอะไร”
ศักดิ์สิทธิ์มองอ้อยอย่างแปลกใจ
“อ้อยไม่กลัวแล้วเรอะ”
“ทีแรกก็กลัว แต่พอเห็นศักดิ์กลัวมากๆ เลยต้องไม่กลัว เพราะขืนกลัวกันหมดจะยิ่งไปกันใหญ่”
“อ้อยพอจะหาหมออย่างว่ามาปราบนังเกษได้ไหม” อ้อยชะงัก
“แน่ใจหรือว่าเป็น...มัน”
“ก็ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใครอีกล่ะ”
“อ้อยจะลองถามแม่ดู แม่เขากว้างขวางแต่ก็ไม่แน่ใจว่าสมัยนี้จะยังมีอยู่อีกหรือเปล่า”
เมื่อกลับมาบ้านอ้อยจึงถามจุรีเรื่องหมอผี
“อะลัดตั๊ดต๊า มี”
“งั้นแม่ช่วยพาอ้อยไปหาหน่อย”
“แต่แม่ไม่แน่ใจว่า แกจะอยู่หรือเปล่า”
“เอาเถอะน่า อยู่หรือไม่อยู่ก็ไปดูกันก่อน”
“แม่หมายความว่าแกจะอยู่ในโลกหรือเปล่า”
“โฮ้ย”
“มันบาปนะ”
“แล้วที่มันมาหลอกเราไม่บาปเรอะไง”
“เขามาหลอกแกด้วยเรอะ”
จุรีถามทำให้อ้อยรู้สึกตัว
“เปล่า มันจะมาหลอกอ้อยทำไม คิดดูให้ดีนะแม่ลองมันหลอกศักดิ์ได้อีกหน่อยก็คงได้หลอกคนอื่นทั่วไปหมดรวมทั้งแม่ด้วย”
“แม่เคยเห็นแล้ว แต่เขาไม่ได้มาหลอก”
“ก็ที่มาให้เห็นนั่นแหละ เขาเรียกว่ามาหลอก”
“พูดอีกก็ถูกอีก”
ค่ำวันเดียวกันนั้นที่คอนโดของเจนจิรา เจนจิรานอนก่ายหน้าผาก มองเพดานอย่างใช้ความคิด ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งเหมือนคิดแผนการณ์ดีๆ ได้ เจนจิราหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาปรกเดือนซึ่งขณะนั้นปรกเดือนกำลังนั่งดูทีวีอยู่กับสาวใช้ เสียงโทรศัพท์ดังสาวใช้หยิบโทรศัพท์มาให้ปรกเดือน
“ขอบใจจ้ะ... สวัสดีค่ะ”
เจนจิรายิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินเสียงปรกเดือน
“สวัสดีค่ะ คุณเดือนจำได้มั้ยเอ่ยว่าเสียงใคร”
ปรกเดือนบีบโทรศัพท์แน่น
“มีธุระอะไร”
“อ๋อ เจนพึ่งนึกได้น่ะค่ะว่าละครที่เจนเล่นจะออนแอร์วันศุกร์หน้านี้แล้วคุณเดือนอย่าลืมดูนะคะ”
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณทำได้ยังไง”
“อุ๊ย ทำอะไรคะ”
“ก็โทร.มาเยาะเย้ยฉัน”
“ต๊าย คุณเดือนเข้าใจผิดอย่างแรงเลยค่ะ เจนโทร.มาเพื่อจะทำความสนิทสนมในฐานะที่เราใช้ผู้ชายคนเดียวกัน”
ปรกเดือนเม้มปากแน่น ตลอดเวลาแจ๋ว สาวใช้มองด้วยความเป็นห่วง
“มานี่ค่ะ แจ๋วพูดเอง” แจ๋วบอก
“ไม่ต้อง” ปรกเดือนบอกแล้วฟังเจนจิราต่อ
“ถึงจะไม่ชอบ แต่คุณก็ต้องยอมรับความจริง ทีเจนยังไม่หึงเลยแล้วคุณเดือนจะหึงไปทำไม จริงไหมคะ อ้อ ก่อนวางหูก็ขอฝากข้อคิดไว้เช่นเคย สุ้มเสียงของคุณเดือนเหมือนจะไม่สบาย อย่าลืมรับประทานดอกแคแก้ไข้หัวลมนะคะ สวัสดีค่ะ”
เจนจิราปิดโทรศัพท์หัวเราะคิกคักอย่างพอใจ ส่วนปรกเดือนเธอกำโทรศัพท์แน่นรีบหันหลังเดินขึ้นข้างบนก่อนที่น้ำตาจะไหลให้แจ๋วเห็น
“คุณเดือนคะ”
ปรกเดือนกลับเข้าห้องแล้วกดโทรศัพท์หาพอลทันที
“พอล เขาโทร.มาอีกแล้ว”
พอลนิ่วหน้า
“ใคร เจนจิราน่ะหรือ”
“ใช่ค่ะ เดือนไม่อยากรับรู้ ไม่อยากได้ยินเสียงเขาเลย”
“ถ้าไม่อยากให้ผมทำอะไร คุณก็ต้องบอกเดนนิส”
“เขาอาจจะ...”
“ว่ายังไง”
“เดือนบอกเขาเองดีกว่าค่ะ เดือนโทร.มาแค่นี้แหละ”
“พรุ่งนี้ผมจะไปปากช่อง ไปด้วยกันไหม” ปรกเดือนสะดุ้งเฮือก ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก “เดือน”
“ไป... ปาก... ช่อง”
ปรกเดือนบอกเสียงเบาแทบเป็นกระซิบ
“บางทีการไปที่นั่นอีกครั้งอาจจะทำให้คุณดีขึ้น”
“ไม่...เดือนยังไม่พร้อม”
“ไม่เป็นไร คุณพร้อมเมื่อไหร่ เราค่อยไปด้วยกัน” พอลบอกเสียงอ่อนโยน
“หมาย ...หมายความว่า คุณไปที่นั่นมาแล้วหรือ คุณ...คุณ...พร้อมแล้วหรือ”
“ผมพยายามจะพร้อม”
ปรกเดือนนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เท่านี้นะคะ”
ปรกเดือนปิดโทรศัพท์ทันที
“เดือน”
พอลปิดโทรศัพท์ ถอนใจยาวแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน พอลเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง...เสียงปรกเดือนแว่บเข้ามาในห้วงความคิด
“ไม่...เดือนยังไม่พร้อม”
“หมาย ...หมายความว่า คุณไปที่นั่นมาแล้วหรือ ...คุณ....คุณพร้อมแล้วหรือ”
พอลถอนใจยาวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ปรายดาว น้องสาวของปรกเดือนรถคว่ำ...วันนั้นบนถนนสายมีรถไม่มากนักแต่ละคันจึงวิ่งด้วยความเร็วสูง พอลขับรถมาจอดริมถนนใต้ร่มไม้แล้วมองไปทมี่ท้องถนนเห็นรถคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง แต่เปะปะไปมาประมาณคนขับไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะขับ หรือบังคับรถไม่ได้ จนกระทั่งมีรถบรรทุกเลี้ยวโค้งมารถคันนั้นหลบไม่ทันจึงประสานงากับรถบรรทุกโครม...
พอลสะดุ้งเฮือกหลับตาลงเหมือนกำลังได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างสูงสุด พอลค่อยๆ ลืมตาขึ้นนัยน์ตาทั้งเศร้าและสำนึกผิด
เช้าวันรุ่งขึ้นปรกเดือนกำลังฝากข้อความทางโทรศัพท์ถึงเดนนิส
“ถ้าคุณว่างก็กรุณาแวะมานะคะ แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร”
ปรกเดือนปิดโทรศัพท์วางลงด้วยสีหน้ากังวล แล้วหยิบขึ้นมาโทร.อีก คราวนี้ปรกเดือนโทรหาพอล ขณะนั้นพอลกำลังขับรถไปปากช่อง
“ดีแล้วละ คุณทำถูกแล้ว อ๋อ...ผมใกล้จะถึงแล้วครับ...ขอให้โชคดีครับ”
พอวางหูจากพอล แจ๋วก็มาเคาะประตูห้องปรกเดือน ปรกเดือนลุกเดินมาเปิดประตู
“ว่าไงแจ๋ว”
“เสี่ยมาแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวฉันลงไป อ้อ เสี่ยคงยังไม่ได้ทานข้าวเช้าแจ๋วจัดข้าวต้มปลาให้ด้วยนะ”
“ค่ะ”
แจ๋วเดินลงไป ขณะที่ปรกเดือนปิดประตูแล้วเดินมาแต่งตัว เมื่อแต่งตัวเสร็จปรกเดือนจึงลงมาพบเดนนิสที่ห้องรับแขก
“อ้าว แจ๋วไม่ได้เตรียมข้าวต้มให้หรือคะ”
“ผมไม่หิว มีอะไรหรือถึงได้โทร.ไปตามแต่เช้า”
“เดือนอยากให้คุณห้ามผู้หญิงของคุณไม่ให้โทร.มาหาเรื่องเดือนอีก”
“ใคร...เจนจิรา”
“คงงั้นมั้งคะ”
“ไม่ต้องไปสนใจเขา ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ที่จะสำคัญสำหรับผมมากไปกว่าคุณ”
ปรกเดือนแค่นยิ้ม
“ขอบคุณละค่ะ แต่จะขอบคุณมากกว่านี้ถ้าจะห้ามไม่ให้เขาโทร.มา”
“ตกลง ผมจะสั่งห้ามเขาเด็ดขาด”
เดนนิสเดินมาโอบกอดปรกเดือน ปรกเดือนเบี่ยงตัวออกเดินมาทรุดตัวลงนั่ง เดนนิสมองตามเหมือนขัดใจนิดๆ
“ผมไม่ชอบให้คุณทำท่าเหมือนรังเกียจผม”
“ไม่ใช่รังเกียจ แต่ยังทำใจไม่ได้ คุณเพิ่งอยู่กับผู้หญิงคนอื่นมาเมื่อคืนพอตอนเช้าจะมาแตะต้องฉันบอกตรงๆ ว่า...”
“เรื่องมาก”
เดนนิสเดินออกไปอย่างหงุดหงิด ปรกเดือนมองตามน้ำตาคลอ
เดนนิสมาหาเจนจิราที่คอนโด เจนจิราแกล้งเบิกตากว้างทำแบ๊วเต็มที่
“ตายจริง นี่เจนไม่ทราบเรื่องเลยนะคะเสี่ยคิดดูซิคะว่าเจนหรือจะกล้าทำอย่างนั้น เพราะยังไงเสี่ยต้องทราบแน่ๆ เจนต้องถูกใส่ร้ายแน่ๆเลยค่ะ” เจนจิราบีบน้ำตา “เจนถูกกลั่นแกล้ง” เดนนิสมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด “เจนเพิ่งเข้าวงการได้ไม่เท่าไหร่ ก็โดนสกัดดาวรุ่งแล้วนี่ถ้าเรื่องหลุดออกไป มันหมายถึงอนาคตของเจนเชียวนะคะ” เจนจิราน้ำตาไหลพราก เดนนิสโอบไหล่เจนจิราไว้ “เจนต้องโดนทั้งข้อหาแย่งสามีคนอื่น แล้วก็รังควานเมียหลวงของเขาด้วย”
เจนจิราสะอึกสะอื้น
“ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็ไม่ทิ้งเธอ”
“เสี่ยช่วยพูดกับภรรยาเสี่ยหน่อยได้ไหมคะว่า เจนขอความกรุณาอย่าให้เรื่องหลุดออกไปเพราะเจนต้องหมดอนาคตอย่างแน่นอน เจนยังมีภาระอีกมาก”
“ใครที่มันกล้าทำอย่างนั้น”
“เจนไม่ทราบค่ะ แต่ต่อไปนี้เจนคงต้องระวังตัวแล้วเราคงพบกันบ่อยๆ ไม่ได้”
“ยิ่งเป็นอย่างนี้ เรายิ่งต้องพบกันบ่อยกว่าเดิม ใครกล้าพูดก็ให้ลองดู” เจนจิราซบอกเดนนิสแล้วยิ้มอย่างพอใจ “ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น”
เจนจิรากราบที่อกเดนนิส
“เจนกราบขอบพระคุณค่ะ ชีวิตเจนไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีกแล้วนอกจากเสี่ยคนเดียว”
เดนนิสลูบหลังเจนจิราอย่าปลอบโยน โดยเจนจิราเงยหน้าขึ้นมองเศร้าๆ เหมือนจะยึดเป็นที่พึ่งพิง แล้วก้มลงซบอกยิ้มด้วย สีหน้าเหมือนจะเยาะปรกเดือน
หลังจากเดนนิสกลับไปแล้วเจนจิราจึงโทรศัพท์หาปรกเดือน
“สวัสดีค่ะ”
เจนจิราครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียงมีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ ผมยุ่งเล็กน้อย
“ฉันเองค่ะ ผู้หวังดีไงคะ”
“เจนจิรา”
“รู้สึกว่า เสี่ยสงครามหรือคุณเดนนิสเพิ่งจะออกจากห้องนอนของน้องเจนดาราสาวแสนสวยไปแหม! ท่าทางเหมือนอยากจะสำลักความสุขออกมาเลยละค่ะ รู้สึกว่าจะฮัมเพลงเบาๆ ในลำคอด้วย ตอนที่อยู่กับคุณเขาเคยเป็นอย่างนี้ไหมคะ”
ปรกเดือนกำโทรศัพท์แน่น
“แกมันบ้า”
“ตายแล้ว พูดจาหยาบคายร้ายกาจ นางเอกทนฟังไม่ด๊าย ไม่ได้ อย่าอินบ่อย อย่านอยด์จัดนักซิคะ สามีจะระอาไม่รู้ด้วย ดูแลตัวเองด้วยนะคะ อ้อ แล้วในเวลาแห่งความทุกข์เช่นนี้ ขอแนะนำให้ดื่มน้ำใบบัวบก ซึ่งมีสรรพคุณแก้ช้ำในค่ะ รักนะคะคนดี”
เจนจิราปิดโทรศัพท์ หัวเราะอย่างสะใจ ส่วนปรกเดือนเธอปาโทรศัพท์ทิ้งด้วยอารมณ์เครียดหนัก
ทางด้านพอลเมื่อมาถึงปากช่อง พอลมานั่งรอศรีตรังอยู่ที่อู่รถและเหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะๆ จนใกล้เวลา 10 โมง
“นัด 9 โมง จนจะ 10 โมง แล้วยังไม่มาอีก”
พอลบ่นอย่างหงุดหงิด ขณะนั้นศรีตรังยังอยู่ที่บ้านเธอนั่งละเลียดกินอาหารเช้าอย่างจงใจ จนจุรี
เหลือบมองนาฬิกาที่ผนังสลับมองศรีตรังอย่างแปลกใจ
“คุณหนูคะ” ศรีตรังเหลือบมองจุรีด้วยสีหน้าแววตาเป็นคำถาม “ทำไมวันนี้รับประทานอาหารช้าจัง”
“ก็มันอร่อยจนศรีต้องค่อยๆ เคี้ยวทีละเม็ด...ละเม็ด...เพื่อให้ลิ้นซึมซับรสชาติของมัน”
จุรีอ้าปากหวอขณะฟัง
“ถึงอย่างนั้นเชียวหรือคะ”
“งั้นซิคะ อย่างเช่นเป็ดนี้” ศรีตรังค่อยๆ เคี้ยวด้วยสีหน้าตั้งใจสุดๆ “เนื้อมันละเอียด...นุ่มนวล ...หอมกรุ่น” ศรีตรังสูดลมหายใจยาว “เฮ้อ! สดชื่นสุดๆ”
“อะลัดตั๊ดต๊า เดี๋ยวป้าต้องทำอย่างคุณหนูบ้างแล้ว”
“ป้าต้องค่อยๆ กัดตรงกลางก่อนอย่างนี้หรือคะ แล้วเคี้ยวทีละครึ่ง...ละครึ่ง...ละนิด...ละนิด”
จุรีเพ่งมองแล้วพยักหน้าตามจังหวะการเคี้ยวแล้วพูดของศรีตรัง
อ่านต่อหน้า 2
ปางเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)
พอลรอศรีตรังจนเกือบสิบเอ็ดโมงเธอก็ยังไม่มาสักทีจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดอย่างหงุดหงิด จังหวะนั้นศรีตรังขับรถเข้ามาจอดพอดี พอลมองศรีตรังอย่างฉุนๆ
“กว่าจะเสด็จมาได้ เกือบจะ 11 โมง”
ศรีตรังลอบยิ้มเมื่อเห็นรถพอล แต่ยังนั่งอยู่ในรถอย่างเดิม จนพอลเปิดประตูรถเดินตรงมาเคาะกระจกรถศรีตรังอย่างอดรนทนไม่ได้ ศรีตรังทำหน้าตายก้าวลงมา
“นี่ถ้าไม่ใช่ที่สาธารณะ ผมจะจับตัวคุณเขย่าๆ แล้วถามว่า รู้จักมารยาทการนัดหมายบ้างไหม นี่มันจะ 11 โมงแล้ว”
“แล้วไงคะ”
พอลพยายามระงับอารมณ์สุดๆ
“เรานัดกัน 9 โมง”
“เรา”
“ใช่”
“เกรงว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิด เพราะเท่าที่จำได้ คุณเป็นคนบอกว่า 9 โมงแต่ฉันบอกว่า 11 โมงนี่ยังมาเร็วกว่าเวลาตั้ง 15 นาที”
พอลเขม่นเข่นเขี้ยว
“คุณบอกตอนไหน”
“ตอนคุณขับรถออกไป”
“แล้วผมจะได้ยินมั้ย ลองถามใครๆ ดูซิ”
“ช่วยไม่ได้นะคะ เพราะคุณพูดเองเออเองโดยไม่ยอมฟังคำตอบของฉัน ซึ่งฉันก็เป็นคนประเภทไม่ชอบรับคำสั่งจากใครเสียด้วย เนี่ย มันเป็นยังงี้แหละค่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่าของฉัน เราเข้าไปดูรถของคุณดีไหมคะ”
ศรีตรังหันหลังขยับจะเดินเข้าไป พอลคว้าข้อมือไว้ทันที
“เวลาของผมก็มีค่าเหมือนกัน ขอให้จำใส่ใจเอาไว้ด้วย”
“ไม่เหมือนกันค่ะ เวลาของฉันนั่นใช้ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทั้งตัวเองแล้วก็ชาวบ้านที่มาทำงานให้ เป็นการทำมาหากินโดยสุจริต แต่เวลาของคุณมันมีค่าสำหรับรวมหัวกันวางแผนมอมเมาให้คนบริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อ ในขณะที่พวกคนร่ำรวย ผู้คนมากมายในประเทศนี้ต้องเป็นทาสยาเสพติดซึ่ง
ไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็น”
ศรีตรังกระชากแขนกลับมา แล้วเดินเข้าไป พอลอึ้งไปอึดใจแล้วเดินตาม
ที่บ้านศรีตรังขณะนั้นจุรีกำลังจัดโน่นจัดนี่ให้เข้าที่เข้าทาง อ้อยเดินเข้ามาโดยแต่งเนื้อแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดเตรียมออกไปข้างนอก อ้อยท้าวสะเอวมองแม่ซึ่งง่วนอยู่กับงานอย่างหงุดหงิด
“แม่”
จุรีสะดุ้งเฮือก แล้วหันกลับมา
“อะลัดตั๊ดต๊า แกนี่เอง”
“แม่เลิกใช้สรรพนามแทนอ้อยว่าแก เสียทีได้มั้ย มันฟังดูไร้วัฒนธรรมขาดความศิวิไลคล้ายๆ กับจะแบ่งชนชั้นยังไงยังงั้นเลย”
“ถึงขนาดนั้นเลยเรอะ “
“ใช่ เวลาแม่เรียกนายศรีตรัง แม่จะแทนตัวเองว่า คุณหนูยังงั้นคุณหนูยังงี้ เธอยังโง้น เธอยังงู้น แต่แม่กลับแทนตัวอ้อยว่าแก”
“แล้วจะให้แม่แทนว่ายังไง”
“ก็ ลูกอ้อยหรือหนูก็ได้ เช่นแทนที่จะพูดว่า อะลัดตั๊ดต๊า แกนี่เองก็พูดว่าอะลัดตั๊ดต๊าลูกอ้อย หรือหนูนี่เองเข้าใจหรือยังละค่ะ”
“เข้าใจแล้ว ...ค่ะ...แล้วนี่ทำไมแก เอ๊ย ลูกอ้อยถึงได้แต่งตัวปรี๊ดปร๊าดตลาดแตกขนาดนี้”
“อ้าว ก็เรานัดกันว่าจะไปหาหมอผีไงคะ”
“เออจริง พูดอีกก็ถูกอีก”
“ไปแต่งตัวได้แล้วค่ะ จะได้รีบไปรีบกลับ”
“ไม่ต้องแต่งหรอก ไปยังงี้เลย”
“แม่ นี่มันชุดอยู่กับบ้านนะคะ”
“อะลัดตั๊ดต๊า ดูถูกชุดอยู่กับบ้าน แม่จะไปชุดนี้แหละ ถ้าแก...เอ๊ย ลูกอ้อยไม่ชอบก็ไม่ต้องไป”
“โอ๊ย ไปแบบนี้ก็ได้...เชิญค่ะ”
อ้อยกระแทกเสียงแล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ส่วนศรีตรังกับพอลหลังจากดูรถเสร็จแล้วทั้งคู่พากันเดินกลับมาที่รถ
“มะรืนนี้ คุณก็มารับได้แล้วตามที่เฮียแกบอก”
“หิวหรือยัง”
คำถามนี้ทำให้ศรีตรังชะงักเล็กน้อย
“ทำไม จะชวนไปเลี้ยงเรอะ”
“ผมไม่ได้ปลื้มคุณขนาดนั้นหรอก แค่จะบอกว่าหิวก็รีบไปหาอะไรรองท้องเดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะ อุตส่าห์แวะมาดูรถเป็นเพื่อนผม”
“เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ได้อุตส่าห์มาดูรถเป็นเพื่อนคุณแต่ที่ต้องถ่อมาเพราะความรับผิดชอบเท่านั้น”
ศรีตรังขยับเปิดประตูรถแล้วทำนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาถามเสียงอ่อนลง
“แล้วคุณล่ะ หิวหรือยัง”
“ทำไม เกิดสำนึกผิดจะเลี้ยงข้าวผมละซิ”
“เปล่า แต่จะบอกให้ไปหากินเอาเอง”
ศรีตรังยิ้มเยาะ แล้วเปิดประตูรถขึ้นไป พอลมองตามฉุนๆ
หลังจากขับรถออกจากอู่ได้สักพักพอลก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาปรกเดือน
“เป็นยังไงบ้างเดือน เล่าให้เดนนิสฟังหรือยัง” พอลนิ่วหน้านิดหนึ่ง “อ้าว...ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะไปที่บ้านคุณ เตรียมกับข้าวอร่อยๆ ไว้ก็แล้วกัน”
พอลขับรถไปเรื่อยๆ
ส่วนศรีตรังเมื่อกลับมาถึงไร่สุขศรีตรังเธอก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านพักเตชิตแล้วกดแตรเรียกเตชิตเปิดประตูออกมา
“ไปเยี่ยมศักดิ์กัน”
“รอเดี๋ยว”
เตชิตกลับเข้าบ้านแล้วออกมาอีกครั้งพร้อมกุญแจบ้านและกระเป๋าเงิน
ศรีตรังกับเตชิตมาหาศักดิ์สิทธิ์ที่บ้าน พอเข้ามาในบ้านทั้งคู่กราดตามองไปรอบๆ ที่มีแต่ของขลัง ศักดิ์สิทธิ์มองตามแล้วบอกว่า
“เพื่อความอุ่นใจน่ะครับ”
เตชิตกับศรีตรังเดินมาทรุดตัวลงนั่ง
“เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยังสยองอยู่เลยครับ”
“ผีที่คุณเห็นรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง”
เตชิตถาม ศักดิ์สิทธิ์นิ่งไปศรีตรังเข้าใจผิดคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ว่าเตชิตเป็นใครจึงอธิบายให้ศักดิ์สิทธิ์เข้าใจ
“เตชิตเป็นนายตำรวจ แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของฉัน”
“ผมไม่เห็นหน้ามันเพราะมีแต่โคลนเต็มไปหมด”
เตชิตพยักหน้าช้าๆ ศรีตรังหันมามองเตชิต
“เหมือนเพื่อนของแกมั้ย”
ศักดิ์สิทธิ์สะดุ้งแล้วมองเตชิต
“เพื่อนของเพื่อนอีกที” เตชิตแย้ง
“เออ นั่นแหละ”
“เหมือน”
“เขาต้องการมาบอกอะไรบางอย่างกับแกหรือไม่ก็ศักดิ์”
“แล้วทำไมเขาถึงไม่มาบอกแกบ้าง”
“ดีแล้วละ อย่ามาเลยมีอะไรก็บอกผ่านแกดีกว่า”
“เฮ้ย”
“ไปกันเถอะ ศักดิ์จะได้พักผ่อน”
“ไม่เป็นไรครับอยู่กันหลายๆ คนอุ่นใจดี” ศักดิ์สิทธิ์บอก
“เดี๋ยวจะให้คนงานมาอยู่เป็นเพื่อน”
ศรีตรังบอกแล้วเดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์รีบกดโทรศัพท์หาอ้อยทันที
“อ้อย อยู่ที่ไหนน่ะ เออ...รีบกลับมาก็แล้วกัน”
ขณะนั้นอ้อยอยู่ที่บ้านหมอผี หมอผีกำลังดูตารางงานใน nootbook จุรีมองอย่างทึ่งๆ
“โห...ใช้เป็นด้วยเรอะ”
หมอผีปิดทันทีด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“อ้าว” อ้อยกับจุรีร้องออกมาพร้อมกัน
“กลับไป ไม่ต้องมาชงมาเชิญกันแล้วอยากปราบก็ปราบกันเองผีมันคงจะให้ปราบหรอกนะ”
จุรีและอ้อยมองหน้ากันแว่บหนึ่ง “เกลียดนัก พวกที่ดูถูกคนจน”
“อะลัดตั๊ดต๊า เจอตั๊ดตัวพ่อเข้าแล้ว”
“เป็นเพราะข้ายากจนหรือ เพราะว่าเป็นคนบ้านนอกคอกนาถึงได้คิดว่าใช้ Nootbook ไม่เป็น”
“อะลัดตั๊ดต๊า แล้วฉันรวยหรือว่าเป็นชาวเมืองหลวงรึไง มันก็บ้านนอกด้วยกันทั้งนั้นแหละ”
“หนูขอโทษแทนแม่จ้ะลุง แม่ไม่ได้ตั้งใจจะว่าลุงหรอก” อ้อยรีบยกมือไหว้ขอโทษหมอผี
“ข้ามีทั้งอีเมลล์ ทั้งทวิตเตอร์ ทั้งเฟดบุ๊คนะเว้ย แล้วที่เปิดเมื่อกี้เพราะต้องดูวันว่างก่อน ข้าไม่ใช่หมอผีคาดๆ ที่หาได้ทั่วไปเว้ย...เฮ้ย”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ แค่ไม่คิดว่าแกจะทันสมัยไฮเทคขนาดนั้น เอ้า...ว่างวันไหนก็ว่ามา”
“วันนี้เดี๋ยวนี้เลย”
“อ้าว”
“แล้วไม่ต้องเช็คดูใน Nootbook แล้วหรือคะ”
“อย่าซัก ไม่ชอบ กลัวตอบไม่ได้”
หมอผีบอกแล้วเดินออกไป จุรีกับอ้อยเดินตามหมอผีออกไปอย่างงงๆ
อ้อยขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดหน้าบ้านศรีตรังซึ่งขณะนั้นสมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ หมอผีขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาอีกคัน
“แม่ลงไปได้”
“อะลัดตั๊ดต๊า เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าแม่ทัพ”
“แม่”
อ้อยถอนใจเรียกแม่เสียงยาว
“เออ ลงก็ลง”
จุรีก้าวลงจากรถ อ้อยขี่มอเตอร์ไซค์นำหมอผีออกไป
“ด้วยความเคารพ นั่นมันหมอแก่นี่” สมถามเพราะจำหมอผีได้
“อ้อยมันอยากจะได้หมอผี ฉันก็เลยพาไปรับตัวมา”
“ด้วยความเคารพ อ้อยไปเกี่ยวอะไรด้วย”
“อะลัดตั๊ดต๊า ไม่รู้เหมือนกัน”
อ้อยพาหมอผีมาบ้านศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ทรุดตัวลงกับพื้นแล้วก้มกราบหมอผี
“กรุณาช่วยผมด้วยเถิดครับ คุณลุงหมอมันน่ากลัวมาก”
หมอผีเปิดกระเป๋าหยิบกระเทีมออกมา
“มีเขี้ยวมั้ย”
“ใครครับ”
หมอผีลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด
“กลับละเว้ย เฮ้ย”
อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ถลาเข้าดึงขาหมอผีไว้คนละข้าง
“เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งกลับ”
“อย่าเพิ่งกลับครับ”
“บอกแล้วว่าอย่าซัก ไม่ชอบ กลัวตอบไม่ได้”
“ต่อไปนี้ไม่ซักแล้วค่ะ คุณลุงหมอนั่งลงก่อนนะคะ ใจเย็นๆ ค่ะ”
หมอผีเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“ข้าถามว่า ไอ้ผีตัวที่เอ็งเห็นน่ะ มันมีเขี้ยวมั้ย”
“อ๋อ ไม่มีครับ”
“โอเค งั้นก็ไม่ใช่ผีดิบแวมไพร์ ไม่จำเป็นต้องใช้กระเทียม” หมอผีเก็บกระเทียมลงกระเป๋า “เอาละ ! นางหรือนาย” อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ทำหน้างงๆ ศักดิ์สิทธิ์จะถามแต่อ้อยรีบอุดปากไว้ “งงละซิ ข้าหมายถึงว่า ผีผู้หญิงหรือผีผู้ชาย”
“ผู้หญิงครับ”
“โอเค การที่ผีมาปรากฏตัวให้เห็น ก็เพราะสาเหตุดังต่อไปนี้ ข้อแรกมาขอส่วนบุญ ข้อสองต้องการมาบอกอะไรบางอย่างและข้อสามมาแก้แค้น” ศักดิ์สิทธิ์และอ้อยสะดุ้ง “พวกเอ็งคิดว่าน่าจะเป็นข้อไหน”
“ไม่ทราบครับ”
“ไม่ทราบค่ะ”
หมอผีหันมามองอ้อย
“เอ็งเห็นกับเขาด้วยเรอะ”
“เปล่าค่ะ” อ้อยบอกเสียงอ่อย
“อีกไม่นานคงจะเห็น” อ้อยสะดุ้งเฮือก “พาข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุหน่อย”
“ได้ครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้น เดินนำออกไป หมอผีและอ้อยเดินตาม
อ้อยขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีศักดิ์สิทธิ์ซ้อนท้ายนำหมอผีซึ่งขี่อีกคันตามมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณเกิดเหตุ
“ตรงนี้แหละครับ”
หมอผีลงจากรถมอเตอร์ไซค์เดินสำรวจบริเวณนั้นครู่หนึ่งแล้วหยุดยืนหลับตา ศักดิ์สิทธิ์และอ้อย กวาดตามองรอบๆ อย่างหวาดๆ หมอผีลืมตาขึ้นแล้วพูดขึ้นว่า
“น่าจะเป็นวิญญาณอาฆาต” ศักดิ์สิทธิ์กับอ้อยหันขวับมามอง “พวกเอ็งเคยไปทำอะไรให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจบ้างหรือเปล่า”
ศักดิ์สิทธิ์อึกอักแต่อ้อยรีบตอบทันที
“ไม่เคยนะคะ”
“เอ็งล่ะ” หมอผีหันไปถามศักดิ์สิทธิ์
“เอ้อ...เท่าที่จำได้ ไม่เคยครับ”
“แล้วที่จำไม่ได้ล่ะ” ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มแห้งๆ “เอางี้ ลองทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาก่อน ถ้าหากยังมารบกวนอีกก็แปลว่า เอ็งกับเขามีความแค้นที่ต้องชำระ”
ศักดิ์สิทธิ์และอ้อยสบตากัน สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ศักดิ์สิทธิ์และอ้อยแยกจากหมอผีกลับมาบ้าน ศักดิ์สิทธิ์มีสีหน้าหงุดหงิดและเป็นกังวล
“แทนที่จะปราบๆ ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกลับบอกให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้อีก เฮ้อ”
“ลุงพงษ์กับแม่ก็แนะนำอย่างนั้นเหมือนกัน”
“แล้วอ้อยคิดว่า มันจะยอมรับส่วนกุศลของเราเรอะ”
“ไม่รู้ซิ แต่ลองดูก็ไม่เสียหายนี่”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจเฮือก
“อีตาหมอแก่นี่จะเก่งจริงหรือโม้เก่งก็ไม่รู้ ถ้าหากมันยังจะอาฆาตพยาบาท ...”
“เอาเถอะน่า ทำไปก่อนทุกคนเขาจะได้ไม่สงสัย”
อีกด้านหนึ่งที่วัดขณะนั้นพอลกำลังถวายสังฆทานศรีตรังค่อยๆ โผล่มาแอบดูจากมุมหนึ่ง
“หน้าตาท่าทางไม่น่าจะธัมมะธัมโมขนาดนี้เลย”
พอลกรวดน้ำเสร็จเดินออกมาเทน้ำใต้ร่มไม้ใหญ่ ศรีตรังหลบวูบทันที พอลชะงักกลอกตาแว่บหนึ่งด้วยสัญชาติญาณระแวงของตำรวจ พอลเทน้ำเสร็จเดินเข้ามาภายในด้วยสีหน้าท่าทางปกติ ศรีตรังค่อยๆโผล่ขึ้นมาแอบดูใหม่แล้วลัดเลาะออกไปจากบริเวณนั้น
ศรีตรังเดินกลับมาที่รถตาเหลือบเห็นมัคทายกกำลังซื้อกาแฟรถเข็นกินจึงร้องทัก
“ลุงทอง”
ทองหันมามอง ศรีตรังเดินเข้าไปหา
“กาแฟเย็นอีกถ้วยนึง” ศรีตรังหยิบเงินส่งให้ “เอ้านี่ 2 ถ้วย”
“ขอบใจ นายศรีตรัง”
“ไม่เป็นไร...ฉันจะขอให้ลุงทำอะไรให้หน่อย”
“ว่ามาเลย”
“มีคนกรุงเทพฯ คนนึงเขามาทำสังฆทานที่นี่ ฉันเห็น 2 ครั้งแล้วลุงช่วยสืบให้หน่อยได้ไหมว่า เขามาทำให้ใคร”
“แล้วเขาจะบอกเรอะ”
“แหม ลุงเก่งจะตายเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ...ฉันไปละ”
ศรีตรังเดินไปที่รถแล้วเปิดประตู แต่มีแขนข้างหนึ่งเอื้อมมาท้าวไว้ศรีตรังชะงักนิดหนึ่งแล้วทำหน้าปกติหันกลับมาช้าๆ
“สะกดรอยตามฉันมาเรอะ”
“คุณนี่พลิกไปพลิกมาเก่งจริงๆ”
“กล้าดียังไงมาว่าฉัน”
“ก็คุณเป็นคนสะกดรอยตามผมมาแท้ๆ แต่พอถูกจับได้ กลับกลายเป็นว่า ผมเป็นคนสะกดรอยตามคุณ”
“ฉันเป็นคนที่นี่ มาวัดนี้เป็นประจำคุณต่างหากที่เป็นคนแปลกหน้า”
“แน่ใจหรือว่า ผมเป็นคนแปลกหน้า” ศรีตรังชะงักจ้องมองพอลอย่างเพ่งพิศ “คุณยังจำผมผิดเป็นพี่เพชรของคุณเลย”
“ฉันไม่ได้จำผิด แค่ลืมว่าเขาตายตกกระทะทองแดงไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว”
พอพูดจบศรีตรังก็เปิดประตูกระแทกพอลซึ่งไม่ทันระวังตัวจึงเสียหลักไป ศรีตรังขึ้นนั่งแล้วขับออกไปโดยเฉียดพอลเส้นยาแดงผ่าแปด หลบเกือบไม่ทันผู้คนบริเวณนั้นตกใจร้องกันลั่นพอลมองตามฉุนๆ
ศรีตรังขับรถอย่างเร็วมาจอดหน้าบ้านเสียงเบรคดังลั่น จุรีถอยออกมาด้วยความตกใจ
“อะลัดตั๊ดต๊า”
ศรีตรังก้าวลงมาจากรถด้วยสีหน้าบูดบึ้ง จุรีอ้าปากจะถามศรีตรังยกมือห้ามทันที
“หยุด” จุรีรีบกลืนคำพูดลงไป “ห้ามพูดหรือพยายามจะให้ศรีพูดภายใน 2 ชั่วโมงนี้”
ศรีตรังบอกแล้วเดินเข้าบ้าน
“อะลัดตั๊ดต๊า 2 ชั่วโมงแสดงว่า “นอยด์จัด”
ส่วนพอลเมื่อกลับจากปากช่องพอลก็ขับรถมาหาปรกเดือนที่บ้านแจ๋วยกน้ำมาเสิร์ฟแล้วออกไป
“ไม่ทานข้าวแน่นะ”
ปรกเดือนถาม พอลพยักหน้า
“ไม่หิว... พูดกับเดนนิสแล้วใช่ไหม”
ปรกเดือนหรุบตาต่ำแล้วพยักหน้า พอลมองอย่างเพ่งพิศ
“เขาว่ายังไงบ้าง”
ปรกเดือนยังคงก้มหน้าน้ำตาคลอ
“เดือน ....”
ปรกเดือนเงยหน้าขึ้นน้ำตาหยดลงมา
“ช่างมันเถอะ”
“ช่างไม่ได้ ไหน...เขาพูดว่ายังไง”
“เจนจิราพูดจนเขาเชื่อ”
ปรกเดือนน้ำตาไหลออกมาอีก พอลลุกมานั่งโซฟาเดียวกันดึงมือปรกมาบีบเบาๆ อย่างปลอบโยน
“คุณก็ต้องพูดบ้าง ผู้หญิงมีมารยาด้วยกันทุกคนถ้าปล่อยให้เจนจิราใช้คนเดียว คุณก็เสียเปรียบ”
“เดือนทำไม่ได้ ถ้าหากเดนนิสเขาชอบอย่างนั้น ก็ต้องปล่อยเขาไป”
“แล้วคุณไม่รักเขาหรอกหรือ”
พอลถามอย่างแปลกใจ ปรกเดือนถึงกับสะอื้น
“รัก...รักมาก...แต่เดือนทำอย่างเจนจิราไม่ได้ มันไม่เคย”
“ทุกอย่างต้องมีครั้งแรก”
“ขอบคุณที่หวังดี แต่เดือนหมดกะจิตกะใจ หมดอาลัยตายอยากตั้งแต่...” ปรกเดือนสะอื้นออกมาอีก พอลถึงกับอึ้งไป “บาปครั้งนั้นมันกำลังตามมาสนองเดือนแล้ว”
“ถ้าสนองเดือนมันก็ต้องสนองผมด้วย”
พอลบอกอย่างขมขื่น ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันเดนนิสเดินเข้ามา
“นายมีเวลาว่างเหลือเฟือนี่ พอล”
พอลกับปรกเดือนสะดุ้งหันกลับมาพอลลุกขึ้น
“เดนนิส”
“ตามสบาย ไม่ต้องลุกหรอก”
พอลเดินห่างออกมา
“ผมกำลังจะกลับพอดี”
เดนนิสเดินมานั่งข้างปรกเดือนแล้วโอบไหล่เธอไว้
“ทำไมรีบร้อนนักล่ะ เมื่อกี้ยังเห็นคุยกันสบายๆ”
“คุณจะกลับก็กลับเถอะค่ะ พอล ขอบคุณที่อุตส่าห์มาตามที่เดือนขอร้อง” ปรกเดือนบอก เดนนิสหันขวับมามองปรกเดือนด้วยความไม่พอใจแต่ปรกเดือนไม่สนใจยังคงมองพอล “ไม่ต้องเป็นห่วงเดือนหรอกค่ะ”
พอลก้มหัวให้ปรกเดือนนิดๆ เป็นการลา แล้วมองเดนนิส
“ผมไปละ”
พอลเดินออกไป ปรกเดือนเบี่ยงตัวจากเดนนิสแล้วลุกขึ้นจะเดินออกไป
“คุณจะไปไหน”
“ไปนอนค่ะ เดือนง่วงแล้ว”
ปรกเดือนเดินขึ้นไปข้างบน เดนนิสมองอย่างหงุดหงิดแล้วตามไป
เดนนิสสาวเท้ายาวๆ มาคว้าแขนปรกเดือนไว้
“ยังนอนไม่ได้จนกว่าจะพูดกันให้รู้เรื่อง”
“อย่ามาวางอำนาจที่นี่ เดือนไม่ใช่ลูกสมุนคุณ”
“อ๋อ ถ้าคุณเป็นละก็ป่านนี้ไม่ได้มายืนอวดดีตีฝีปากอย่างนี้หรอก ไอ้พอลมันมาทำไม”
“เดือนโทร.ไปตามเขามาเอง”
“ทำไมไม่โทร.ตามผม”
“เพราะเดือนไม่ทราบว่าคุณกำลังอยู่กับเจนจิราหรือเปล่า” ปรกเดือนตอบสวนทันที
“อ้อ งั้นที่ชวนไอ้พอลมาคุยก็เพื่อจะประชดผมใช่ไหม คุณเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชายมันไม่เหมือนกัน”
“หมายความว่า ผู้ชายจะไปเหลวแหลกเละเทะที่ไหนก็ได้ ในขณะที่ผู้หญิงที่ต้องนั่งรออยู่กับบ้านด้วยความอดทนใช่ไหมคะ”
“ปากเก่งเหมือนกันนี่ ไม่เห็นเหมือนที่รู้จักกันตอนแรกเลย”
“คนเราถ้าถูกบีบคั้นมากๆ มันก็เปลี่ยนแปลงได้”
“พอดีผมไม่ชอบความเปลี่ยนแปลงแบบนี้เสียด้วย”
เดนนิสหันหลังเดินกลับลงไปเงียบๆ ปรกเดือนมองตามอย่างน้อยใจแล้วเดินเข้าห้องทั้งน้ำตา
กลางดึกคืนนั้นเดนนิสแวะไปหาเจนจิราที่คอนโด เจนจิราเปิดประตูรับเดนนิสแล้วโผเข้าหาด้วยความคิดถึง...
ช่วงเวลาเดียวกันที่ไร่สุขศรีตรังขณะที่จุรีนอนหลับอยู่ในห้อง จู่ๆ ก็มีเสียงหมาหอนดังแว่วมาจากที่ไกลๆ จุรีขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะตื่น แต่ก็หลับต่อ เสียงหมาหอนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดหน้าบ้าน
จุรีลืมตาโพลง เสียงหมาหอนดังขึ้นจุรีตัดสินใจค่อยๆ ลุกขึ้นเดินย่องไปที่หน้าต่างมองลงไป จุรีเบิกตากว้าง
เมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่หน้าประตูบ้าน
“อะลัดตั๊ดต๊า”
เกษรินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจุรียกมือทั้ง 2 ข้างปิดหน้าแล้วค่อยๆ เลื่อนมือออกทีละมือประมาณว่ากลัวมากไม่อยากเห็นเต็มที่ โดยค่อยๆ ลดมือลงก่อนคราวนี้ไม่มีร่างของเกษริน จุรีถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก
“ค่อยยั่งชั่ว”
จุรีเอามือซ้ายออกตามแต่แล้วก็สะดุ้งเพราะเกษรินยังคงยืนอยู่ที่นั่นแถมเงยหน้าขึ้นมา เห็นโคลนเต็มหน้า
“เฮ้ย ก็เมื่อกี้หายไปแล้วไง”
จุรีค่อยๆ ยกมือปิดหน้าแล้วค่อยๆ เปิดดูใหม่โดยเอามือขวาลดลงก่อนด้วยความเคยชิน เกษรินหายไปจุรีเอามือออกทั้ง 2 ข้างร่างเกษรินปรากฏอีก
“อะลัดตั๊ดต๊า นี่มันอะไรกัน”
จุรีเอาใหม่คราวนี้ลองเอามือซ้ายออกจุรีสะดุ้งเพราะยังเห็นร่างเกษริน แต่พอปิดตาซ้าย เปิดตาขวา ร่างเกษรินหายไป จุรีลองทำแบบนั้นกลับไปกลับมาให้แน่ใจครู่หนึ่ง
“อะลัดตั๊ดต๊า แบบนี้ก็มีด้วย”
อ่านต่อหน้า 3
ปางเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้นจุรีเล่าเรื่องตาซ้ายเห็นผีให้ทุกคนฟัง ทุกคนจึงนั่งคุยกันเรื่องนี้
“ด้วยความเคารพ แบบนี้แสดงว่าตาซ้ายตาเดียวที่เห็นผีได้ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ”
“ก็ยังดีพอผีมาก็ปิดตาซ้าย แต่ผมดีกว่าเพราะมองไม่เห็นทั้ง 2 ตา”
“ในขณะที่ผมมองเห็นทั้ง 2 ตา”
“ฉันว่ามันอยู่ที่เขาต้องการให้เราเห็นหรือเปล่า”
ขณะที่ทุกคนพูด ตรีทศนั่งเงียบๆ โดยเตชิตคอยลอบมองสังเกตทุกอิริยาบถ
“คุณตรีทศล่ะครับ ว่ายังไง”
ตรีทศขยับตัวเล็กน้อย
“ผม ...ไม่ว่ายังไงหรอกครับ แต่ก็เห็นด้วยที่ศักดิ์กับอ้อยจะทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้”
“นึกได้แล้ว เราทำบุญทั้งรีสอร์ทเลยดีกว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น” ศรีตรังบอก
“ด้วยความเคารพ ผมเห็นด้วยครับ”
“คุณจุคงต้องปิดตาซ้ายตลอด เพราะอันนั้นบรรดาดวงวิญญาณคงมารับส่วนบุญกับเพียบ”
จุรีทำหน้าสยอง
ศรีตรังตัดสินใจทำบุญรีสอร์ทหลังจากทำบุญเสร็จแล้วศรีตรังกับเตชิตจึงพาหลวงพ่อมาที่บ้านพักของเตนชิต พอหลวงพ่อเข้ามาในบ้านหลวงพ่อก็ต้องชะงักมองไปที่มุมหนึ่ง เตชิตและศรีตรังมองตามศรีตรังไม่เห็นอะไรแต่เตชิตเห็นเสียงหวานก้มกราบหลวงพ่อ
“เจริญพร”
ศรีตรังยกมือลูบแขนด้วยความรู้สึกเหมือนขนลุกขึ้นมาเฉยๆ
“ดิฉันไม่เคยคิดจะมาหลอกหลอน หรือทำให้ใครตกอกตกใจเลยเจ้าค่ะเพียงแค่อยากจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับดิฉันและทำไมถึงต้องติดอยู่ที่นี่”
“โยมพึ่งไม่ผิดคนหรอก เขาจะช่วยโยมได้”
เสียงหวานมองเตชิตแล้วยิ้มแจ่มใส
“ดิฉันก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
ตลอดเวลาศรีตรังได้แต่มองภาพหลวงพ่อพูดกับความว่างเปล่าด้วยความประหลาดใจแกมหวาดๆ
“โยมสบายใจได้ ก็อย่างที่อาตมาเคยบอกเขาไม่ได้มาให้ร้ายแน่นอน”
หลวงพ่อบอกเมื่อเดินออกมาข้างนอก
“แล้วทำไมเขาถึงได้หลอกศักดิ์ล่ะคะ”
“ไม่น่าจะใช่เขาหรอก”
“อาจจะเป็นเพื่อนของเสียงหวาน”
“หลวงพ่อช่วยถามเขาหน่อยได้ไหมคะว่าต้องการอะไร”
“ก็คงคล้ายๆ กับโยมในบ้านนี้เพียงแต่มีรายละเอียดคนละอย่าง”
“หลวงพ่อช่วยพวกเขาไม่ได้หรือครับ”
หลวงพ่อไม่ตอบเดินไปที่รถเงียบๆ เตชิตและศรีตรังสบตากันแว่บหนึ่งแล้วรีบตามไป เตชิตเปิดประตูด้านคู่คนขับให้หลวงพ่อขึ้นโดยศรีตรังขึ้นด้านหลัง เตชิตขึ้นนั่งคู่หลวงพ่อแล้วขับออกไป
“สบายใจขึ้นไหมลูก”
จุรีถามอ้อยเมื่อกลับมาบ้าน อ้อยยังมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่
“ไม่รู้ซิคะ อ้อยอยากได้ของดีมากกว่า”
“ของดีอะไร”
“ก็พวกที่เอาไว้ปราบผีได้ ผีเห็นผีกลัว ประมาณนั้น”
“หลวงพ่อท่านไม่นิยมแจกของประเภทนั้น”
“อ้อยถึงคิดว่าไม่มีประโยชน์”
“อะลัดตัดต๊า แก...เอ๊ย ลูกไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผีสักหน่อย เราไม่ได้ทำอะไรเขา เขาก็ไม่ทำอะไรเรา ต่างคนต่างอยู่”
“แล้วทำไมถึงได้มาหลอกศักดิ์ล่ะคะถ้าต่างคนต่างอยู่จริง”
จุรีนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“ศักดิ์อาจจะเคยรู้จักกับผู้หญิงคนนั้นก็ได้ดีไม่ดีคงเคยสนิทถึงขั้นเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ”
อ้อยสะดุ้งตั้งแต่ประโยคแรก
“โอ๊ย ไม่จริงหรอกแม่”
“อะลัดตั๊ดต๊า รู้ได้ยังไง เราไปอยู่กับเขาตลอดเวลารึก็เปล่า เอ๊ะ หรือว่าอยู่”
อ้อยลุกขึ้นทำเป็นรำคาญแต่ที่จริงเพื่อกลบเกลื่อน
“จะไปอยู่ได้ไง ไปละ ไม่อยากพูดกับแม่แล้ว”
อ้อยพูดพลางเดินขึ้นบ้านไป จุรีมองตามฉุนๆ แล้วกลับมาคิดเรื่องเดิมต่อ
“มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ๆ”
เตชิตขับรถกลับมาจอดหน้าบ้านพักหลังจากส่งหลวงพ่อแล้ว เตชิตลงจากรถเดินเข้าบ้าน พลางส่งเสียงดังเรียกเสียงหวาน
“เสียงหวาน”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นทันทีตรงหน้า เตชิตหยุดไม่ทันก้าวทะลุผ่านไป
“เฮ้ย”
เตชิตร้องลั่น เสียงหวานหน้าคะมำ
“ว้าย”
เตชิตค่อยๆ หันกลับมา หน้าตาบอกว่ากำลังหงุดหงิดเสียงหวานถึงกับหน้าจ๋อย เสียงอ่อยๆ
“ขอโทษค่ะ”
“บอกไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าทำแบบผี”
“ก็คุณบอกว่าฉันเป็นผีนี่คะ” เสียงหวานบอกเสียงเครือน้ำตาเริ่มคลอ เตชิตจึงเสียงอ่อนลง
“ผมขอโทษ... ที่เรียกคุณก็เพราะจะบอกว่าผมจะพาคุณนั่งรถไปสถานที่ต่างๆ ที่ควรจะไปในปากช่อง เผื่อคุณจะจำอะไรได้บ้าง”
“ขอบคุณมากค่ะ จะไปเมื่อไหร่คะ”
เสียงหวานถามอย่างดีใจ
“เดี๋ยวนี้เลย ผมปรึกษากับศรีตรังแล้ว”
“งั้นไปเลยค่ะ”
เสียงหวานแวบผ่านเตชิตออกไป เตชิตเซไปเล็กน้อยแล้วเกาหัวเซ็งๆ ก่อนจะเดินตามออกไป
เตชิตปิดประตูแล้วเดินไปที่รถซึ่งเสียงหวานขึ้นไปนั่งรออยู่แล้วด้วยสีหน้าแจ่มใส
“หน้าระรื่นเชียวนะ”
“ก็ฉันดีใจนี่คะ”
เตชิตขับรถออกไป
เตชิตขับรถพาเสวียงหวานไปตามสถานที่ต่างๆ ในปากช่องแต่เสียงหวานก็ยังจะอะไรไม่ได้อยู่ดี เตชิตจึงแวะมาหาศรีตรังที่บ้าน
“จำไม่ได้เลยเรอะ”
ศรีตรังย้อนถาม
“ค่ะ”
เสียงหวานตอบขณะที่เตส่ายหน้าประมาณ “จำไม่ได้” เตชิตหันมามองเสียงหวาน
“ไม่ต้องตอบ...เพื่อนผมเขาไม่เห็นคุณหรอก”
ศรีตรังเริ่มจะเลิ่กลั่ก
“คุณหนูเผือกเสียงหวานอยู่ที่นี่เรอะ”
“เออ นั่งอยู่ทางขวามือของแก”
“เฮ้ย”
ศรีตรังกระโดดกอดเตชิตหลับตาปี๋ เสียงหวานห่อปากทำตาโต เตชิตรีบจับตัวศรีตรังออกห่างๆ
“ไอ้ศรี ใช้ไม้นี้กับฉันไม่มีทาง Work หรอก”
ศรีตรังคิดครู่หนึ่งแล้วเบิกตากว้าง จับเตชิตขึ้นเข่าทันที
“ไอ้เต บังอาจ นี่แน่ะ นี่แน่ะ”
“โอ๊ย ยอมแล้ว ยอมแล้ว”
เสียงหวานหัวเราะคิกคัก
“หน่อยแน่ะ คิดว่าฉันพิศวาสแกนักเรอะให้ฟรีแถมบ้านกับรถยังไม่เอาเลย”
“ใครจะไปรู้” เตชิตบอกเสียงอ่อยตัวงอลุกขึ้นมานั่ง
“รูปที่แกไปให้เพื่อนวาดเสร็จหรือยัง” ศรีตรังถามอย่างเป็นการเป็นงาน
“ป่านนี้คงเสร็จแล้วมั้ง”
“แล้วทำไมยังไม่ไปเอา”
“ลืม...แล้วก็มัวแต่ยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้”
“งั้นไปเอามาได้แล้วจะได้ให้พวกคนงานดู ไปพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกันฉันจะไปด้วย”
“นั่นแน่ จะแวะไปหาพอลละซี้”
“ไอ้บ้า”
ศรีตรังผุดลุกขึ้นทันที เตชิตขยับหนีไปที่ประตู
“ไม่ได้กินเสียละ”
ศรีตรังขยับจะเข้าไปหาอีก เตชิตวิ่งออกไปอย่างว่องไว
ส่วนที่บ้านศักดิ์สิทธิ์ ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ที่หน้าต่างดวงตามองออกไปข้างนอก พงษ์ศักดิ์เดินเข้ามามองดูศักดิ์สิทธิ์เงียบๆ ครู่หนึ่ง...ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจหันกลับมาแล้วสะดุ้งด้วยความตกใจ
“พ่อ โฮ้ยตกใจหมด”
“แกจะขวัญอ่อนอะไรกันนักหนา”
“ก็พ่อไม่ใช่ผมนี่ พ่อไม่ได้เจอ “มัน”
“คิดดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน แกจะได้ไม่ไปนัดพบใครดึกๆ ดื่นๆ อีก” ศักดิ์สิทธิ์นิ่งไป “แกจริงจังกับอ้อยหรือเปล่า”
อ้อยเดินมาพร้อมปิ่นโตอาหาร ได้ยินพอดีจึงแอบฟัง
“พ่อถามทำไมครับ”
“ถ้าหากไม่จริงจังก็อย่าไปหลอกเขา พ่อกับคุณจุรีจะมองหน้ากันไม่ติด”
“อ้อยไม่ใช่ลูกแท้ๆ ป้าจุไม่ใช่หรือครับ”
“แท้ไม่แท้ คุณจุแกเลี้ยงมาก็ต้องรักเหมือนลูกนั่นแหละแต่ถึงไม่ใช่ลูกคุณจุแกก็ไม่ควรไปหลอกเขา” อ้อยฟังอย่างตั้งใจ “ถ้าชอบพอกันจริงก็จะได้ทำตามประเพณีให้เป็นเรื่องเป็นราว”
ศักดิ์สิทธิ์เบ้ปาก
“ผู้หญิงอย่างนั้น ไม่มีใครเขาเอาจริงหรอกพ่อ”
“เฮ้ย”
ใบหน้าอ้อยเต็มไปด้วยความโกรธแค้นมือกำปิ่นโตแน่นจนเกร็ง
“มันใจง่ายจะตาย เดี๋ยวให้ท่าคนนั้น เดี๋ยวไปเอาคนโน้น ผู้ชายหน้าตาท่าทางดีๆ โดนหมด ไม่เชื่อพ่อก็ไปถามคุณตรีทศดู ล่าสุดนี่ก็เพื่อนนายศรีตรัง”
“พูดแบบนี้ผู้หญิงเขาเสียหายนะเว้ย”
“ก็มันจริงนี่พ่อ แค่เล่นๆ น่ะพอรับได้แต่ให้จริงจังไม่ไหวแน่”
อ้อยออกมาจากบริเวณนั้นเงียบๆ สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“แกไม่รู้จักฉันเสียแล้ว ไอ้ศักดิ์สิทธิ์”
อ้อยพึมพำออกมาอย่างแค้นใจขณะถีบจักรยานกลับบ้าน
เย็นวันเตชิตโทรศัพท์หาธงเพื่อถามเรื่องรูป
“จ่า รูปที่หมวดพิธานวาดเสร็จเรียบร้อยหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ แฟนผู้กองหรือครับ สวยยังกับดารา ยิ่งผู้หมวดให้สีสันยิ่งสวย”
“จ่าช่วยเก็บไว้ให้ด้วย พรุ่งนี้ฉันจะไปเอา”
“ได้ครับ”
“อะลัดตั๊ดต๊า”
“แค่นี้ละ ขอบใจนะจ่า”
เตชิตปิดโทรศัพท์ แล้วเดินไปเปิดประตูชะงักมองหน้าจุรีเขม็ง เพราะจุรีถือปิ่นโตอาหาร นัยน์ตาข้างซ้ายปิดพลาสเตอร์
“คุณสมแกบอกว่า นัยน์ตาข้างซ้ายของป้ามีซิกส์เซ้นส์ค่ะก็เลยต้องปิดเอาไว้ กลัวเห็นคุณหนูเผือกน่ะคะ”
“เขาไม่อยู่หรอกป้า จะเข้ามาไหม”
“ไม่ละค่ะ ป้าเอากับข้าวมาส่งแค่นี้แหละ...เห็นคุณหนูศรีตรังบอกว่า เย็นนี้คุณจะทานข้าวที่นี่”
“ขอบใจนะป้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าไปละ”
จุรีส่งปิ่นโตให้แล้วเดินออกไป เตชิตหิ้วปิ่นโตเข้ามาวาง
คืนนั้นขณะที่ศรีตรังนอนหลับจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ศรีตรังขณะค่อยๆ เอื้อมมือคลำไปหยิบมารับทั้งที่ยังหลับตา
“ใครฮึ”
เตชิตเดินกลับไปกลับมาช้าๆ ในห้องนอน
“ศรี แกนอนหรือยัง”
ศรีตรังลุกขึ้นนั่ง
“อ้อ แกเองเรอะ ไอ้เต ไอ้ ...”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งด่า หยุดก่อนเดี๋ยวจะลืมพรุ่งนี้แกช่วยเตรียมแฟ้มรูปภาพคนงานไว้ให้ฉันหน่อย ฉัน...”
“เดี๋ยวๆๆๆๆๆไอ้เต แกโทร.มาเรื่องนี้ตอน 2 ยามเนี่ยนะ”
“ฉันอยากรู้ว่า ในระหว่าง 2 ปีมานี่ มีใครบ้างที่หายไป”
“เรื่องนี้คุณตรีทศเป็นคนรับผิดชอบ ฉันไม่เกี่ยวถ้าอยากได้ก็ไปขอเอาเอง”
“ใช้เส้นแกไม่ได้เรอะ”
“ที่นี่ไม่มีเส้น แกไปหาเหตุผลกับคุณตรีทศเอาเอง”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วลงนอน เตชิตวางโทรศัพท์ลง
“เฮอะ ไม่มีเส้น น่าเชื่อร้อกที่ไหนๆ เขาก็มีเส้นกันทั้งนั้น”
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านศรีตรัง จุรีเดินออกมาโดยปิดตาซ้ายเช่นเคย จุรียกกาแฟมาให้เตพร้อมหนังสือพิมพ์โดยที่เสียงหวานนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ
“รอเดี๋ยวนะคะ คุณหนูเพิ่งจะตื่นค่ะทานกาแฟก่อนค่ะ”
“ขอบคุณครับ ถ้าเพิ่งตื่นก็คงไม่ใช่รอเดี๋ยวหรอก”
“อะลัดตั๊ดต๊า พูดอีกก็ถูกอีก ป้าไปเตรียมอาหารเช้าก่อนนะคะ”
“เชิญครับ”
จุรีเดินกลับเข้าไป เตชิตหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่าน เสียงหวานชะโงกมองบ้างแล้วเบิกตากว้าง
“ฉันรู้จักผู้หญิงคนนี้ค่ะ”
เตชิตปรายตามองเหมือนจะค้อน
“ถามถึงใครไม่รู้จักสักคน แต่ดั๊นจำดาราได้”
“เขาชื่อชล ...ชลอะไรน้า...อ๋อ ชลธิดาค่ะ”
เตชิตหัวเราะลั่นๆ ยื่นให้เสียงหวานดูใกล้ๆ ซึ่งเป็นภาพเจนจิราใส่แว่นดำบนโรงพัก
“ชลธิดาอะไรของคุณ เขาชื่อเจนจิราเป็นนางเอกละคร โดนจับฐานเมาแล้วขับ... เมาแล้วซ่าส์ เจนจิรา เกรย์แฮมป์ โดนข้อหาเมาแล้วขับหลังพารถสปอร์ตคู่ใจแหกด่านตรวจแอลกอฮอล์ เจ้าตัวปฏิเสธลั่นว่าถูกตำรวจกลั่นแกล้งและจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“ฉันรู้จักจริงๆ นะคะ เขาไม่ได้เป็นลูกครึ่ง ไม่ใช่ชื่อเจนจิรา เราไปหาผู้หญิงคนนี้กันเถอะค่ะ เธอต้องรู้ว่าฉันเป็นใครแน่ๆ” เตชิตมองเสียงหวานอย่างเพ่งพิศ เสียงหวานมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง “ฉันจำไม่ผิดจริงๆ ค่ะ”
ศรีตรังได้โทรศัพท์เตชิตขณะกำลังจะเปิดประตูห้อง
“อะไรนะ”
ขณะนั้นเตชิตกำลังเลี้ยวรถออกจากรีสอร์ท
“ฉันมีธุระด่วน ขอโทษด้วย”
“ไอ้บ้า”
“เอ้ย เสียงหวานเขาเกิดจำดาราคนนึงได้ว่าเขาเคยรู้จัก ฉันเลยรีบลงไป”
“แกแน่ใจนะ เพราะถ้ารู้จักดารา คุณหนูเผือกเสียงหวานก็อาจจะเป็นดารากับเขาเหมือนกัน แหม แกน่าจะรอฉันหน่อย”
“ขอโทษจริงๆ ว่ะ อ้อ ฉันขอยืมรถแกมานะ”
“เออ เออ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วเปิดประตูออกไป
ศรีตรังเดินออกมาแล้วตรงมาที่โต๊ะซึ่งมีหนังสือพิมพ์พับวางอยู่ โดยมีแจกันดอกไม้วางทับอยู่ ศรีตรังยกแจกันออกหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดู ศรีตรังนิ่วหน้าเมื่อเห็นข่าวเจนจิรา
“รู้จักเจนจิราเนี่ยนะ”
ทางด้านเตชิตหลังจากขับรถมาได้สักพักเตชิตเหลือบมองเสียงหวานซึ่งนั่งสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกำลังใช้ความคิดหนัก
“ขอถามอีกครั้ง คุณยังแน่ใจนะ”
เสียงหวานส่ายหน้าน้อยๆ เตชิตถอนใจเฮือกแล้วขับจอดข้างทางทันที เสียงหวานมองด้วยสีหน้าเหยๆ
“เดี๋ยว ผมอุตส่าห์ขับรถพาคุณมา โดยยอมถูกเพื่อนด่าฐานเบี้ยวนัดเพื่อที่จะฟังคุณบอกว่าคุณจำไม่ได้ ทุกอย่างเป็นการเข้าใจผิดงั้นเรอะ”
“ก็... ตอนเห็นทีแรก ความรู้สึกมันบอกทันทีว่ารู้จัก แต่พอมาคิดๆ ดู ฉันกลับจำเรื่องราวเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย ซึ่งถ้าหากเราเคยเป็นเพื่อนกันจริงมันก็น่าจะจำได้บ้าง คุณว่าจริงมั้ยคะ”
“จริง”
เตชิตกระแทกเสียงตอบ เสียงหวานเสียงเครือ
“คุณโกรธฉัน”
“อ้อ แล้วจะให้ผมไชโยโห่ร้องด้วยความปลาบปลื้มยังงั้นเรอะ”
เสียงหวานน้ำตาไหลขณะพนมมือไหว้
“ขอโทษค่ะ” เตชิตชำเลืองมองแล้วถอนใจเฮือก ทั้งสองนิ่งกันไปครู่หนึ่งแล้วเตชิตก็สตาร์ทรถ
“จะกลับหรือคะ”
“ไม่ ผมจะไปเอารูปคุณที่ให้เพื่อนตำรวจวาด”
เตชิตบอกแล้วขับรถออกไป
“ดีค่ะ จะได้ไม่เสียเที่ยว”
เสียงหวานรีบบอกอย่างเอาใจขณะที่เตชิตยังหน้าบึ้งอยู่
“กรุณานั่งเงียบๆ อย่าออกความเห็นอะไรทั้งนั้น”
เสียงหวานเอนหลังพิงพนัก หน้าจ๋อยๆ
ทางด้านศรีตรังหลังจากอ่านข่าวเจนจิราเสร็จแล้วศรีตรังก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาตรีทศ
“คุณตรีทศ ... นี่ฉันเองนะคะ คุณช่วยให้ใครเอาแฟ้มพนักงานของเราในระยะ2ปีมาให้หน่อยได้ไหมคะ ค่ะ...ขอบคุณมากค่ะ”
ศรีตรังวางโทรศัพท์ลงเอนตัวพิงพนัก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เตชิตยังคงขับรถมาเรื่อยๆ เสียงหวานเหลือบมองเตชิตเป็นระยะๆ ด้วยสีหน้าสำนึกผิดเต็มที่
เตชิตมองตรงไปข้างหน้าอย่างเคร่งขรึม เสียงหวานลอบถอนใจแล้วเบือนหน้ามองออกไปข้างทาง...เตชิตขับรถมาเรื่อยๆ แล้วเหลือบมองเสียงหวานเป็นระยะ เสียงหวานยังคงเบือนหน้ามองข้างทางเพื่อซ่อนความน้อยใจและเสียใจ แต่แล้วเสียงหวานก็ต้องชะงักเมื่อเตชิตขับผ่านบริเวณหนึ่ง เสียงหวานเบิกตากว้าง เหมือนมีบางอย่างแว่บเข้ามาในความทรงจำ
“จอด! จอด!จอดหน่อย”
เตชิตเบือนหน้ามามอง เสียงหวานหายออกไปจากรถด้วยความไม่ทันใจ เตชิตเบรคพรืดทำให้รถที่ตามมาเบรคอย่างกระชั้นชิดแล้วบีบแตรด่า เตชิตเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าออกไปขอโทษรถคันนั้นขับออกมา โดยไม่วายหันมาด่าอีกครั้งตอนผ่าน เตชิตเปิดไฟขอทางแล้วขับเข้าไปจอดแล้วมองเสียงหวานที่กำลังเดินก้มๆ เงยๆ เหมือนจะหาอะไรบางอย่าง
“ให้มันได้อย่างนั้นซิ”
เตชิตเปิดประตูรถตามลงไปแล้วยืนมองเสียงกวานอย่างแปลกใจ เสียงหวานกำลังเดินก้มมองไปตามพื้นอย่างจดจ่อเหมือนพยายามค้นหาบางอย่าง
“หาอะไรน่ะ”
เตชิตถามอย่างอดรนทนไม่ได้ เสียงหวานไม่ตอบเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ รถที่ผ่านไปมาบริเวณนั้น บางคันหยุดมองท่าทางของเตชิตที่เดินพูดอยู่คนเดียวอย่างแปลกใจ...เสียงหวานเดินลึกไปเรื่อยๆจนถึงเพิงไม้เล็กๆ เตชิตยังคงเดินตามเสียงหวานมาเรื่อยๆ เสียงหวานเดินเข้าไปในพงหญ้า สายตามองสอดส่าย
“กำลังหาอะไร”
“ต้องอยู่แถวนี้ซิ”
เสียงหวานบ่นเหมือนไม่ได้ยินเตชิต เตชิตก้าวมายืนตรงหน้า
“กำลังหาอะไร ... ผมจะได้ช่วยหา”
เสียงหวานเงยหน้าขึ้นมองเตชิต
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เตชิตค่อยๆ หยิบของบางอย่างขึ้นมาแล้วปัดดินออก จนเห็นรางๆ ว่าเป็นพระเครื่อง
“พระหรือคะ”
เสียงหวานเอื้อมมือมาคว้า แต่ก็วืดไปด้วยเสียงหวานเป็นเพียงวิญญาณ เสียงหวานหน้าสลด แล้วรีบเดินตามเตชิตซึ่งย้อนกลับมาที่รถ
เตชิตก้าวยาวๆ มาถึงรถ เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นรออยู่แล้ว เตชิตส่ายหน้าแล้วเปิดประตูรถออกหยิบขวดน้ำมาเปิดแล้วจัดการล้างจนเห็นพระเครื่องชัดขึ้น ซึ่งเป็นพระเครื่องเนื้อดินสีมอยปางเปิดโลก เลี่ยมไว้ในกรอบพลาสติค
“พระเครื่องจริงๆ ด้วย”
“ของฉัน พระเครื่องนี่เป็นของฉัน”
“แล้วมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง”
“ไม่ทราบค่ะ รู้แต่ว่าท่านต้องสำคัญมากๆ สำหรับฉัน และคงอยู่กับฉันมาตลอดชีวิต”
เตชิตหันไปมองพงหญ้าเบื้องหลัง
“ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าคุณเข้าไปทำอะไรในที่รกร้างแบบนั้น...” เตชิตเบือนหน้ากลับมามองเสียงหวาน “นอกจากพระเครื่องนี่แล้ว คุณจำอะไรได้อีก”
เสียงหวานมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ฉันจำไม่ได้หรอกค่ะ แต่มันมีแวบๆ เข้ามาว่าตอนนั้นยังไม่มีเพิง มีแต่ทุ่งโล่ง แล้วก็เสาไฟฟ้า”
“ขึ้นรถเถอะ”
เตชิตอ้อมเดินมาขึ้นรถซึ่งปรากฏว่าเสียงหวานขึ้นไปนั่งก่อนแล้ว เตชิตทำท่าจะพูดแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ขับรถออกไปเงียบๆ
รถเตชิตแล่นมาเรื่อยๆ เสียงหวานเริ่มแปลกใจมองสองข้างทางที่ผ่านแล้วหันมามองเตชิต
“นี่ไม่ใช่ทางกลับไร่สุขศรีตรังนี่คะ คุณจะไปไหน”
“กลับบ้าน”
“บ้านใคร”
เตชิตเหลือบมองเสียงหวานแว่บหนึ่ง
“บ้านผม”
“ทำไมคะ” เสียงหวานทำหน้างง
“ก็ผมจะกลับบ้านผมน่ะ ไม่เห็นจะต้องถาม”
เสียงหวานขยับจะถาม แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน เตชิตกดรับ
“ฮัลโหล ...เออ ...ว่าไง”
“หายไปไหนมาฮึ ฉันโทร.ตั้งนาน”
“อ๋อ ลงไปทำธุระน่ะ โทรศัพท์อยู่ในรถ”
“ฉันมีอะไรบางอย่างจะให้แกดู”
“อะไร”
“รูปคุณตรีทศกับผู้หญิงคนนึง อาจจะเป็นเกษรินก็ได้”
“เออ แกเก็บไว้ก่อน แล้วฉันจะกลับไปดู”
“แล้วนี่แกอยู่ที่ไหน”
“กำลังจะกลับบ้าน อย่าเพิ่งซักแล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
เตชิตวางสายไป ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วยกรูปตรัทศขึ้นมาดู
เมื่อมาถึงบ้านเตชิตลงจากรถไปเปิดกุญแจประตูบ้าน เสียงหวานขยับตัวชะเง้อมอง เหมือนเห็นใครสักคนแล้วส่งยิ้มให้ เตชิตกลับมาพอดีแล้วมองอย่างแปลกใจ
“ยิ้มกับใครน่ะ”
เสียงหวานไม่ตอบ เตชิตมองขึ้นไปที่ระเบียงตามสายตาเสียงหวานแต่บริเวณระเบียงนั้นว่างเปล่า
เตชิตจึงปิดประตูรถแล้วขับรถเข้าบ้าน
เตชิตเปิดประตูเดินนำเสียงหวานเข้ามาในบ้าน เสียงหวานมองไปโดยรอบขณะที่เตชิตออกตัว
“ฝุ่นเยอะหน่อย ไม่ได้อยู่หลายวันเลยไม่มีใครทำความสะอาด ผมจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย คุณจะดูทีวีไหม”
“ค่ะ”
เตชิตเดินไปเปิดทีวีแล้วเดินขึ้นไปข้างบน
อ่านต่อหน้า 4
ปางเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)
เตเชิตปิดประตูเดินเข้ามาในห้องแล้วเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้า ระหว่างนั้นลูกสาวเตชิตเดินเข้ามาในห้อง
“พ่อคะ พ่อพาผู้หญิงที่ไหนมาด้วยค่ะ” เด็กสาวเตชิตถามเตชิตหันมา ความจริงมองประตูที่เปิดทิ้งไว้ “พ่อไม่รักหนูแล้วใช่ไหม”
เด็กหญิงหันหลังกลับวิ่งออกไป เตชิตเดินตรงมาแล้วชะโงกมองทำท่าเหมือนจะลงไป แต่แล้วก็
เปลี่ยนใจปิดประตูห้อง
เสียงหวานนั่งดูทีวีเพลินๆ เด็กหญิงเดินเข้ามายืนมองเสียงหวานนิ่ง เสียงหวานรู้สึกตัวหันไปมองแล้วสะดุ้ง
“อ้าว หนู”
เด็กหญิงยังคงมองเขม็ง เสียงหวานมองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสขณะที่เด็กหญิงดูแปลกใจ
“หนูมองเห็นน้าด้วยหรือ”
“คุณน้านั่นแหละมองเห็นหนูเหรอ”
“อ้าว ทำไมถามยังงั้นล่ะจ้ะ”
“ทีคุณน้ายังถามหนูเลย”
เสียงหวานเริ่มจะมีสีหน้าหวาดๆ ขณะมองเด็กหญิงอย่างเพ่งพิศ เด็กหญิงเอียงคอมองตอบ เสียงหวานค่อยๆ ลุกขึ้นถอยหลังไป 2-3 ก้าว
“หนู...หนูมาจากไหน...แล้ว...แล้วพ่อแม่หนูล่ะ”
“หนูอยู่ที่นี่ แม่ไปสวรรค์แล้ว พ่อเตชิตก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่ถึงอยู่ก็ไม่เคยพูดกับหนูเลย ทำเหมือนกับไม่เห็นหนู” .
เสียงหวานยกมือทาบอกดวงตามองเด็กหญิงหวาดๆ
ขณะนั้นเตชิตนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินฮัมเพลงออกมาจากห้องน้ำแต่ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงหวานปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าด้วยหน้าตาตื่น
“เฮ้ย”
“คุณเตชิต”
“ทำไมหน้าตาตื่นอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้น”
“ละ ...ละ...ลูก...ลูก...คุณ”
“อะไรนะ”
“อยู่... อยู่...ข้างล่าง”
“ใครอยู่ข้างล่าง พูดให้รู้เรื่องซิ”
“ละ...ลูก...ลูกคุณ...อยู่...อยู่ข้างล่างค่ะ”
“เฮ้ย ลูกที่ไหน ผมไม่มีลูก”
เตชิตชะงักเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มองเสียงหวานเขม็งราวกับจะถามบางอย่าง
เสียงหวานพยักหน้าช้าๆ กลืนน้ำลาย
เตชิตค่อยๆ ก้าวลงบันไดมาโดยหลังแนบราวบันได มีเสียงหวานตามลงมาติดๆ ในลักษณะเดียวกัน ทั้งสองลงบันไดมาจนถึงกลางห้องรับแขก
“ไหน อยู่ตรงไหน”
เตชิตถามเสียงหวานเบาๆ
“ไป ไปแล้วค่ะ” เสียงหวานบอกเสียงเบาเช่นกัน
“คุณ แน่ใจนะ”
“ค่ะ”
เตชิตเดินมานั่งบนโซฟา เสียงหวานมานั่งตรงข้าม มองเตชิตเต็มตา แสงสว่างขาวเรืองค่อยๆกลายเป็นสีชมพูเช่นเดียวกับใบหน้าที่เริ่มเขินอาย เตชิตมองเสียงอย่างแปลกใจ เสียงหวานหรุบตาลง
เตชิตรู้สึกตัวก้มมองตัวเองแล้วยิ้มนิดๆ
“อายแทนผมหรือ” เสียงหวานก้มหน้างุดลงไปอีก “งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน”
เตชิตลุกเดินขึ้นข้างบน เสียงหวานเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ อย่างเริ่มหวาดๆ ขึ้นมาใหม่
เตเชิตเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นเสียงหวานยืนรออยู่ก่อนแล้ว เตชิตอ้าปากจะพูดแต่เสียงพูดขึ้นก่อน
“ลูกคุณเป็นผี แล้วฉันก็กลัวผี”
“กลัวมากกว่าเห็นผมโป๊หรือ”
แสงที่หน้าเสียงหวานเป็นสีชมพูจัด แล้วหันหลังให้
“ฉันไม่มองหรอกค่ะ คุณรีบใส่เสื้อผ้าก็แล้วกัน”
เตชิตหยิบกางเกงออกมา
“อย่าหันมานะ ตาเป็นกุ้งยิงไม่รู้ด้วย”
เสียงหวานเม้มปากทั้งฉุนและอาย
“ยังกับอยากเห็นนักนี่... เกิดอะไรขึ้นกับภรรยาแล้วก็ลูกคุณคะ”
“ภรรยาผมถูกคนเมายาบ้าแทงตายพร้อมกับลูกในท้อง...”
เสียงหวานสะดุ้งทำท่าจะหันกลับมา แล้วนึกได้ยืนนิ่งเหมือนเดิม
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ”
“หันมาได้แล้ว”
“แน่ใจนะคะ” เตชิตถอนใจเฮือกหงุดหงิด เสียงหวานค่อยๆ หันมา แล้วสีหน้าโล่งใจเมื่อเห็นเตชิตแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจริง “งั้นออกไปข้างนอกเถอะค่ะ”
เสียงหวานเดินไปที่ประตู เตชิตก้าวไปคว้าข้อมือเสียงหวานไว้ แต่วืดตามเคยโดยที่เสียงหวานเองก็ไม่รู้ตัว เดินผ่านประตูออกไป เตชิตเดินชนโครมแล้วเกาหัวหงุดหงิดก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป
เตชิตเดินออกมาเปิดประตูรั้วแล้วเดินไปปิดกุญแจประตู เตชิตเดินย้อนมาขึ้นรถขับออกไปแล้ว
ลงมาเปิดกุญแจประตูรั้วอีกทีก่อนจะขึ้นรถขับออกไป ระหว่างนั้นเตชิตได้โทราศัพท์หาธง
“จ่าธง กลับบ้านหรือยัง เออ...ดี...ฉันกำลังจะไปหา เดี๋ยวพบกัน”
เตชิตปิดโทรศัพท์ แล้วหันมาชำเลืองมองด้านข้างแว่บหนึ่งด้วยคิดว่าเสียงหวานนั่งอยู่ด้วย
“นั่งเงียบเชียวนะ”
เตชิตยิ้มนิดๆ แต่ทุกอย่างยังเงียบสนิท
“ดี รู้จักนั่งเงียบๆ เสียบ้าง ขอให้เงียบอย่างนี้ให้ตลอดรอดฝั่งนะ”
ทุกอย่างเงียบอีก
“สบายหูดีจัง”
เตชิตปรายตามองยิ้มๆ ราวกับเสียงหวานนั่งมาด้วย
ขณะนั้นเสียงหวานยังอยู่ที่บ้านเตชิต เสียงหวานสูดลมหายใจยาวเหมือนจะข่มความกลัว แล้วส่งเสียงเรียกเบาๆ ขณะมองไปโดยรอบ
“หนู ...หนูจ๋า”
เสียงหวานขยับออกเดินช้าๆ
“หนู...หนู...น้ารู้นะว่า หนูอยู่ในบ้านนี้”
ขณะเสียงหวานขยับเดินแล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
“หนู...” เสียงหวานหันกลับมา แล้วสะดุ้งเฮือก “ว้าย”
เสียงหวานร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นเด็กหญิงนั่งอยู่ที่บันได จับจ้องมองเสียงหวานตาแป๋ว สียงหวานถอนใจเฮือก
“มานั่งเงียบๆ ใจหายหมด”
“น้ากลัวผีเหรอครับ”
“น้าตกใจนะจ้ะ”
เด็กหญิงนิ่งไปครู่หนึ่ง
“น้าเป็นแฟนพ่อเหรอ”
คำถามนี้ทำให้เสียงหวานถึงกับสะดุ้ง
“อุ๊ย เปล่านะ”
แสงที่หน้าเสียงหวานค่อยๆ กลายเป็นสีชมพู เด็กหญิงมองอย่างแปลกใจ
“น้าหน้าสีชมพู เลย”
“น้าเป็นเพื่อนคุณพ่อหนู คุณพ่อหนูช่วยน้าทำอะไรนิดหน่อย”
“ทำอะไร”
“น้าทำของหาย คุณพ่อหนูใจดีช่วยน้าหา” ขณะเสียงหวานพูด เด็กหญิงเอียงคอมองเสียงหวานอย่างเพ่งพิศ “มองอะไรจ้ะ”
“น้าสวย เป็นแฟนพ่อก็ดีเหมือนกัน”
“ฮื้อ”
“หนูอยากมีแม่”
เด็กหญิงบอกอย่างเหงาๆ แววตาเสียงหวานดวงตาเต็มไปด้วยความสงสาร
“โถ...”
“แม่ไปตั้งนานแล้ว”
เสียงหวานน้ำตาคลอ
“พ่อก็ลืมหนู”
เสียงหวานน้ำตาไหลหยด
“ไม่จริง...คุณ พ่อไม่ได้ลืมหนูหรอก”
“หนูเหงา”
เสียงหวานมองเด็กหญิงอย่างน่าสงสารสุดๆ
เตชิตมาหาธงที่สถานีตำรวจบรรดาตำรวจต่างยิ้มแย้มทักทายเตชิต เตชิตตอบคำถามเหล่านั้นอย่างยิ้มแย้มแล้วขอตัวเดินไปเข้าห้องๆ หนึ่ง
เตชิตเดินเข้ามาธงรีบลุกขึ้นเดินมาทำความเคารพ
“สวัสดครับผู้กอง”
“สบายดีนะ จ่าธง”
“ก็ สบายตามยศว่านั่นแหละครับ”
“รูปล่ะ”
ธงรีบเดินไปที่โต๊ะ เปิดลิ้นชักหยิบรูปออกมาส่งให้
“ใครครับผู้กอง สวยจัง” เตชิตมองภาพเสียงหวานด้วยความพอใจ แฟนผู้กองใช่มั้ยเอ่ย”
คำถามนี้ทำให้เตชิตถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
เตชิตมองไปโดยรอบกลัวเสียงหวานจะได้ยิน ธงมองอย่างแปลกใจ
“ผู้กองมองหาใครครับ”
“เปล่า ขอบใจนะจ่า ไป...ไปกินข้าวกัน”
“ด้วยความยินดีครับ” ธงหยิบซองใหญ่ส่งให้ “เอารูปใส่ในซองนี่ดีกว่าครับจะได้ไม่เปื้อน”
“ขอบใจ”
เตชิตรับซองมาใส่รูปแล้วเดินคุยกันออกไป
เตชิตและธงเดินคุยกันออกมา แล้วเตชิตก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพอลเดินออกมากับเสนา เสนามองเตชิตอย่างฉุนๆ
“เตชิต เชิญ”
เสนาเดินนำเตชิตเข้าห้อง เตชิตมองพอลเขม็งด้วยความไม่ไว้ใจ เช่นเดียวกับพอลซึ่งมองเตชิตผิดแต่ว่าในดวงตามีแววยิ้มเยาะ สองหนุ่มมองกันจนเตชิตเข้าไปในห้องเสนา ประตูปิดพอลค่อยๆ เบือนหน้ามามองธง
“มาทำไม บอกแล้วว่าให้หายตัวไปพักนึง”
เสนาถามเตชิตอย่างหงุดหงิด
“คนเมื่อกี้นี่ใครครับ”
“ผู้กองพอล”
“ผู้กองพอล” เตชิตเลิกคิ้ว
“ใช่”
“มันเป็นลูกน้องไอ้เดนนิสนะครับ”
“ไม่จริง”
“จริงครับ ผมเห็นมันไปกับเดนนิสที่โรงพยาบาล...” เตชิตชะงักเหมือนนึกได้ เสนามองเตชิตอย่างเพ่งพิศ
“โรงพยาบาลไหน” เตชิตนิ่งอึ้ง เสนาหรี่ตามอง “นายกำลังล้ำเส้นอีกแล้วใช่ไหม”
“ผม”
“นายขัดคำสั่งฉัน”
“ไอ้หมอนั่นมันเป็นตำรวจตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ก็แล้วมันเรื่องอะไรของนาย”
“มันเป็นคนของ...”
“มาทางไหน ไปทางนั้น”
“ผู้กอง”
“ไม่ได้ยินเรอะ ไป” เตชิตทำความเคารพด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วเดินไปที่ประตู “เตชิต” เตชิตหยุด หันกลับมาด้วยสีหน้าเดิม “ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย อย่าได้เข้ามาสอดเรื่องนี้อีกเข้าใจไหม”
“เข้าใจครับผม”
“ไปได้”
เตชิตเปิดประตูเดินออกไป เสนามองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เตชิตปิดประตู แล้วหันกลับพอลกำลังมองตรงมาด้วยสายตาเยาะๆ เตชิตฉุนจัดขบกรามแน่น ทำท่าจะถลาเข้าไป ธงรีบคว้าตัวไว้
“อย่าครับ ผู้กอง”
“ปล่อย”
ทุกคนมอง ธงจับเตชิตไว้แน่น
“อย่ามีเรื่องเลยครับ”
เตขิตสะบัดหลุดแล้วชี้หน้าพอล
“ฉันจะกระชากหน้ากากแกให้ได้”
“ฉันจะรอ”
เตชิตฮึดฮัด
“ไปเถอะครับผู้กอง”
เตชิตจ้องพอลเขม็ง แล้วเดินไปอย่างหงุดหงิด เสนาเดินออกมาพอลหันมาสบตาเสนา
พอออกจากสถานีตำรวจเตชิตขับรถมาหลบอยู่มุมหนึ่ง
“รอใครหรือครับ ผู้กอง”
“รอคุณพ่อนายไง”
“คุณพ่อผมเสียแล้วครับ” พอลขับรถออกมาแล้วเลี้ยวไป เตชิตขับตาม “นั่นผู้กองพอลนี่ครับ” เตชิตยังคงขับตาม “ผู้กองจะสะกดรอยตามผู้กองพอลหรือครับ” เตชิตไม่ตอบ จดจ่อกับการขับรถตามพอล
“ผู้กอง”
เตชิตเอื้อมมือหยิบลูกอมส่งให้
“เอ้า ปากจะได้ไม่ว่าง”
ธงหน้าแหยๆ รับมาแกะใส่ปาก พอลขับไปด้วยสีหน้าปกติ
พอลขับรถมาตามถนนใหญ่โดยมีเตชบิตขับรถตาม พอลเหลือบมองกระจกรถเตชิตยังคงตามไม่ลดละ พอลยิ้มเยาะแล้วใช้ความว่องไวขับหนีไปได้ เตชิตซึ่งขับหลงไปอีกทางจอดรถแล้วทุบพวงมาลัยอย่างหงุดหงิด
“ไวจังนะครับ”
ธงบอก เตชิตค่อยๆ เบือนหน้ามามองธงยิ้มแห้งๆ
พอลโทรศัพท์หาศรีตรัง ศรีตรังเดินมาหยิบโทรศัพท์แล้วชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา
“มีอะไรก็พูดเร็วๆ ฉันไม่ว่าง”
“ก็แค่ฝากบอกไอ้เตแฟนคุณว่า ฝีมือแค่นี้ อย่าได้ริมาเทียบกับผม”
“เดี๋ยว ใครเป็นแฟนฉัน”
“แหม อยู่ด้วยกันตลอดไม่น่าลืม”
“เตชิตน่ะเหรอ” ศรีตรังเสียงหลง
“เบาหน่อยคุณ ไม่ต้องตื่นเต้นดีใจจนระงับไว้ไม่อยู่หรอก”
“บ้า ไอ้เตเป็นเพื่อนฉัน”
“สมัยนี้ เพื่อนเขาแปลว่า แฟน “แฟน” แปลว่าสามี”
“สามีนายน่ะซิ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์อย่างฉุนจัด พอลยิ้มนิดๆ ขับรถออกไปอย่างสบายอารมณ์
พอลขับรถมาเรื่อยๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอลชำเลืองมองแว่บหนึ่งแล้วกดรับ
“ว่าไงครับพี่”
“มันตามไปหรือเปล่า” เสนาถามมาตามสาย
“ตามคาดครับ แค่นี้ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจัดให้มันหลงไปแล้ว”
“เออ ระวังหน่อยก็แล้วกัน ไอ้นี่มันไม่เลิกง่ายๆ หรอก”
“ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
พอลปิดโทรศัพท์ สีหน้าแววตามีรอยยิ้มนิดๆ
เตชิตกับธงมานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ไอ้พอลมันมาพบผู้กำกับบ่อยไหม” เตชิตถามธง
“ก็ไม่บ่อยนักครับ เวลามีธุระก็มา”
“ท่าทางจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว”
“ผมก็ว่าแกดีนะครับ” เตชิตจ้องธงเขม็ง ธงบอกเสียงอ่อย “ขอประทานโทษครับ”
“จ่าต้องคอยจับตาดูทั้ง 2 คนให้ดี หากเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล ก็โทร.บอกฉัน”
ธงกลืนน้ำลาย
“รายงานเรื่องท่านผู้กำกับกับผู้กองพอลเนี่ยนะครับ”
“ใช่”
“โห ผมเป็นแค่ว่า...”
“ว่าก็สำคัญเหมือนกัน อย่าดูถูกตัวเอง”
สีหน้าเตชิตให้กำลังใจธงเต็มที่
พอลขับรถเข้ามาจอดที่คอนโด พอลก้าวลงจากรถระหว่างนั้นมีชายสามคนตรงเข้ามาจู่โจมเล่นงานพอลตอนแรกพอลไม่ทันระวังจึงเสียเปรียบแต่สุดท้ายพอลเล่นงานกลับจนเป็นฝ่ายชนะแต่ค่อนข้างสะบักสะบอม ชายสามคนหนีไปได้พอลเช็ดเลือดที่มุมปาก มองตามด้วยสีหน้าราบเรียบ
ค่ำวันนั้นเตชิตขับรถกลับเข้าบ้าน เตชิตจอดรถเดินไปปิดประตูรั้วแต่พอหันกลับมาเตชิตก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเสียงหวานยืนอยู่ เตชิตถอนใจเฮือก
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็เป็นอย่างที่คุณเห็นน่ะซิ ถามพิลึก”
“ฉันไม่ได้ไปด้วย จะเห็นได้ยังไง”
เตชิตชะงัก
“มิน่า ถึงได้สงบเงียบผิดปกติ”
เตชิตเดินไปไขกุญแจบ้าน
พอเข้ามาในบ้านเตชิตหันกลับมา เสียงหวานนั่งรออยู่เรียบร้อยแล้ว
“ผมนึกว่าคุณไปด้วย”
“ฉันอยู่เป็นเพื่อนลูกคุณค่ะ สงสารแก”
เตชิตอึ้งไปนิดหนึ่ง
“แก...เป็นยังไงบ้าง”
“ก็...คงเหงา ว้าเหว่”
“ทำไมผมถึงมองไม่เห็นแก ในเมื่อผมเห็นคุณได้” เตชิตถามอย่างสะเทือนใจ
“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“แล้ว...” เตชิตอึ้งอีก เสียงหวานจึงบอกอย่างอ่อนโยน
“ภรรยาคุณไปสวรรค์แล้ว” เตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่ง มองไปโดยรอบราวกับจะมองหาใครสักคน
“แกไม่…”
เตชิตลุกขึ้นเดินขึ้นไปข้างบนเงียบๆ
เตชิตเข้ามาในห้อง เด็กหญิงยืนมองพ่อด้วยสีหน้าเศร้าๆ เตมองหาลูกโดยรอบ
“พ่อ...หนูอยู่ตรงนี้ค่ะ” เตชิตยังคงเหลียวมองหา “พ่อค่ะ”
เตชิตถอนใจแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่ง เด็กหญิงเดินช้าๆ มายืนใกล้ๆ น้ำตาคลอ
“พ่อค่ะ หนูรักพ่อ”
เตชิตฟุบหน้าลงกับฝ่ามือ เด็กหญิงยังคงมองพ่อน้ำตาไหล
เสียงหวานยังนั่งอยู่ข้างล่าง เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นเด็กหญิงก้าวลงบันไดมาช้าๆน้ำตาไหล
“พ่อมองไม่เห็นหนู”
เสียงหวานลุกเดินช้าๆ แล้วคุกเข่าลง อ้าแขนออก เด็กหญิงค่อยๆ เดินลงมาแล้วโผเข้าหาเสียงหวาน เสียงหวานกอดเด็กหญิงแน่นน้ำตาไหลด้วยความสงสารเต็มเปี่ยม
“พ่อไม่เห็นหนู... พ่อมองไม่เห็นหนู”
เด็กหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้นกับอกเสียงหวาน
อ่านต่อตอนที่ 4