xs
xsm
sm
md
lg

ปางเสน่หา ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปางเสน่หา ตอนที่ 5

หลังจากเตชิตกลับไปแล้ว ศรีตรังใคร่ครวญครุ่นคิดถึงคำพูดที่เตชิตบอกเตือน

“ศรี แกต้องระวังอย่าให้พวกมันใช้รีสอร์ทแกเป็นที่ซื้อยาเสพติดก็แล้วกัน”
ศรีตรังมีสีหน้าเด็ดขาดอย่างยอมไม่ได้
“ไม่ได้ ยอมไม่ได้เด็ดขาด”
“อะลัดตั๊ดต๊า” ศรีตรังสะดุ้งหันมามอง จุรียืนจ้องศรีตรังอย่างประหลาดใจ “คุณหนูทำท่าเหมือนกำลังจะไปบู๊กับใครเลยค่ะ”
“ใช่แล้วค่ะ ป้าจุคอยจับตาดูให้ดีนะคะ ศรีจะจับมันให้ได้คาหนังคาเขา”
“จับใครคะ”
“ผู้ร้าย”
ศรีตรังเดินออกไปด้วยสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจสุดๆ โดยจุรีมองตามยังงงไม่หาย
ขณะนั้นคณะของเดนนิสอยู่ที่ที่ดินผืนหนึ่งที่อยู่ติดเขา บรรยากาศดีมาก เจียงมองไปโดยรอบด้วยสีหน้ารื่นรมย์ ส่วนเดนนิส พอล ดูที่ดินด้วยสีหน้าราบเรียบไม่บอกอารมณ์
“ต๊าย สวยจังเลยค่ะ ซื้อเลยนะคะเสี่ย เจนเชียร์”
เจนจิราบอก เดนนิสโอบไหล่เจน ขณะหันมาขอความเห็นจากพอล
“นายว่าไง...พอล”
“แหม...จะต้องถามลูกน้องทำไมคะ”
“พอลไม่ใช่ลูกน้อง”
เดนนิสวนทั้นทีทำให้เจนจิราถึงกับเหวอ
“อ้าว”
“แต่เหมือนน้องมากกว่า ฉันรักและไว้ใจพอลมากที่สุด”
เจียงตวัดสายตามองพอลแว่บหนึ่งด้วยความไม่พอใจ ขณะที่เจนจิราหัวเราะรื่น
“ตายจริง ขอโทษนะคะพอล เจนไม่รู้ว่าเสี่ยไว้ใจคุณขนาดนั้น”
“ต้องขอบพระคุณเสี่ยน่ะครับที่ให้เกียรติผม”
“ตกลงนายว่าไง จะซื้อหรือไม่ซื้อดี”
“ผมคงให้คำแนะนำไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่มีความรู้เรื่องนี้”
“ซื้อไว้เถอะครับ เสี่ย” เจียงบอก ทุกคนหันมามอง “จะซื้อไว้ทำกำไร หรือจะสร้างรีสอร์ทก็ได้ บรรยากาศทั้งดีกว่าแล้วก็สวยกว่ารีสอร์ทสุขศรีตรังที่เราไปพักอีก”
“เจนเห็นด้วยค่ะ แล้วยังเอาไว้ให้เช่าถ่ายหนังถ่ายละครได้อีก ...เหนือสิ่งอื่นใด เราจะได้เอาไว้มาพักผ่อนกันเวลาที่เครียดๆ ไงคะ ธรรมชาติสวยๆ อย่างนี้ อากาศดีๆ อย่างนี้ เป็นยารักษาความเครียดได้ดีที่สุด”
“ฉันจะเอาไว้ปรึกษาเดือนเขาอีกที” เจนจิราหน้าหงิกทันที ขณะที่พอลเหลือบมองเดนนิสแว่บหนึ่ง เดนนิสหันมามองพอล “นายว่าเดือนจะชอบไหม”
เดนนิสมองพอลเหมือนจะหยั่งให้ลึกซึ้ง
“ผมคงให้คำตอบเสี่ยไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่ใช่คุณปรกเดือน”
เดนนิสเบือนหน้ากลับไปมองทิวทัศน์เบื้องหน้า
“แต่นายก็สนิทกับเขามากนี่” พอลนิ่งไป “แดดชักจะแรงแล้ว กลับกันเถอะ”
เดนนิสเดินไปที่รถ เจนจิรากอดแขนไม่ยอมห่าง ติดตามด้วยพอลและเจียง
พอลขับรถเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านพักเดนนิส เจียงทำคล่องแคล่วลงมาเปิดประตูรถให้เดนนิสขณะที่พอลลงมาเปิดประตูให้เจนจิรา บริเวณพุ่มไม้ห่างออกไปขระนั้นศรีตรังกำลังส่องกล้องมองความเคลื่อนไหวของทุกคน
“ศักดิ์ศรีไปอยู่ไหนหมด เฮอะ ต้องพินอบพิเทาโก้งโค้งเปิดประตูให้เด็กพ่อค้ายาเสพติด”
ศรีตรังพึมพำอย่างเจ็บใจ เจนจิรากอดแขนเดนนิสเดินจะเข้าบ้านแต่นึกได้จึงหันกลับมา
“แก 2 คนจะไปเที่ยวไหนก็ไป ถ้าต้องการตัวเมื่อไหร่จะโทร.ตาม”
“เข้าใจแล้วใช่มั้ยจ้ะ”
“ครับ”
“นายพอลล่ะ”
“ครับ”
เดนนิสโอบไหล่เจนจิราเดินเข้าไป พอลเบือนหน้ากลับมาแล้วชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นเงาคนหลบแว่บไปหลังต้นไม้
“แกจะไปไหนหรือเปล่า” เจียงถามพอล
“ไม่”
“ดี งั้นฉันจะได้ไปเยี่ยมป้าซักหน่อย อยู่เลยที่นี่ไปไม่ไกลเท่าไหร่”
พอลพยักหน้า เจียงขึ้นรถขับออกไป พอลทำเป็นเดินไปที่บ้านพักตัวเองซึ่งอยู่หลังถัดไป ศรีตรังส่องกล้องมองตาม
แต่จู่ๆ พอลทำเป็นเปลี่ยนใจเดินย้อนกลับมา เหมือนจะเดินชมวิวแถวๆ นั้น ศรีตรังยังส่องกล้องมองตาม
พอลเดินเรื่อยๆ เข้ามาโดยมีศรีตรังสะกดรอยตามมาเรื่อยๆ พอลหยุดเดินเมื่อมาถึงมุมหนึ่งแล้วหยิบมือถือขึ้นมา
ศรีตรังหลบวูบหลังพุ่มไม้พลางชะเง้อมอง
“โทร.ถึงสาวคนไหนอีกล่ะ”
ศรีตรังพูดยังไม่ทันขาดคำเสียงโทราศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ศรีตรังรีบกดรับด้วยความตกใจตาไม่ได้มองโทรศัพท์แต่มองพอลแบบหวั่นๆ ว่าจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเธอ
“ฮัลโหล”
“อยากจะคุยด้วยก็ออกมา ไม่ต้องทำลับๆ ล่อๆ แอบหลังต้นไม้ให้มันยุ่งยากหรอก”
ศรีตรังสะดุ้ง ก้มมองโทรศัพท์แล้วเงยหน้ามองไปทางพอล พอลหันกลับมามองตรงที่ศรีตรังแอบอยู่แล้วกวักมือเรียก
“บ้าเอ๊ย ซวยชะมัด”
ศรีตรังนึกฉุนตัวเอง
“แอบปลื้มผมละซีท่า”
พอลบอกทางโทรศัพท์ ศรีตรังผุดลุกขึ้นแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเดินตรงไปหาขณะที่พอลเก็บโทรศัพท์เช่นกัน
“ฉันเนี่ยนะ ปลื้มคุณ”
ศรีตรังโวยลั่นมาก่อนตัว
“ก็ถ้าไม่ปลื้มจะต้องถือกล้องส่องทางไกลคอยแอบมองผมทำไม”
“เพราะฉันไม่ไว้ใจคุณน่ะซิ” พอลเลิกคิ้ว “เกิดคุณขนยาเสพติดเข้ามาในรีสอร์ทของฉัน ฉันก็ซวยซิ”
พอลกางแขนออก
“จะค้นตัวมั้ย”
ศรีตรังทั้งโกรธทั้งอาย
“บ้า ทุเรศ โรคจิต”
“อ้าว อุตส่าห์ยอมให้ค้นตัวยังมาหาว่าโรคจิต ที่คุณแอบส่องกล้องมองผมมิโรคจิตกว่าเรอะ”
ศรีตรังกระทืบเท้าอย่างลืมตัว
“บอกว่าไม่ได้แอบมอง”
พอลยังยั่วต่อ
“กล้องยังอยู่ในมือคุณอยู่เล้ย หลักฐานจะจะ”
“ไอ้คนหลงตัวเอง”
“ก็ยังดีกว่า หลงคนอื่นแบบคุณ”
“คนอะไร ไม่เคยพบเคยเห็น ทุเรศอ่ะ”
ศรีตรังสะบัดหน้าหันหลังเดินกลับ พอลตะโกนตาม
“แน่ใจหรือว่าไม่เคยพบเคยเห็น”
ศรีตรังชะงัก หยุดเดินแล้วค่อยๆ หันกลับมา
“ว่าไงนะ”
“อะไรว่าไง”
พอลแกล้งทำหน้าตาย
“เมื่อกี้คุณพูดว่า แน่ใจหรือที่ฉันไม่เคยพบเคยเห็นคุณ”
“ก็ใช่น่ะซิ เราเคยพบเคยเห็นเคยทะเลาะกัน ก่อนหน้านี้มาตั้งหลายครั้ง ทำไม...หรือคุณคิดว่า เราเคยผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อ”น
ศรีตรังเม้มปากแล้วจะเดินย้อนกลับไป พอลมองตามสีหน้ากวนๆ ค่อยๆ เปลี่ยนกลับเคร่งขรึม
ศรีตรังเดินโครมๆ เข้ามาในบ้านพักเตชิตแล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด เตชิตกอดอกมองตามอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ”
“อยากจะฆ่าคน”
“ใครฮึที่ซวยขนาดนั้น” ศรีตรังนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นพรวดพราด สีหน้าขึงขัง จนเตชิตสะดุ้งเฮือก “เฮ้ย”
“ไอ้เต”
เตชิตค่อยๆ ถอยไป 2-3 ก้าว
“ทำไมแกตาขวางๆ พิกลวะ”
“อย่าบ้าน่า คุณหนูเผือกเสียงหวานของแกอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า”
“แกจะทำไม หรืออยากจะมี Connestion กับผีบ้าง”
“ฉันจะวานให้เขาไปสืบดูในบ้านพักคุณชายเผือกหน่อย”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้น
“ฉันไปไม่ได้หรอกค่ะ”
เตชิตมองเสียงหวานแล้วหันมามองศรีตรัง
“เขาบอกว่าไปไม่ได้”
“ทำไมถึงไปไม่ได้”
“นอกจากคุณจะเข้าไปกับฉันด้วย”
เสียงหวานบอก เตชิตหันมามองศรีตรังแล้วบอกตามที่เสียงหวานบอก
“นอกจากผมจะเข้าไปกับเขาด้วย”
“ทำไม”
“คือ ...”
“งั้นแกก็เข้าไปกับเขา” ศรีตรังสรุป เตชิตถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
“งั้นก็ได้ค่ะ”
เสียงหวานตอบรับ เตชิตหันขวับมาทางเสียงหวาน
“คุณเป็นผี แต่ผมเป็นคนนะ”
“ฉันจะบังคุณให้ไงคะ”
“แน่ใจเหรอว่าทำได้”
“ไม่แน่หรอกค่ะ แต่คุณก็ยังเคยบอกให้ฉันลองดูเลย”
ตลอดเวลาที่ทั้งคู่พูดกัน ศรีตรังมองเตชิตทีแล้วหันไปมองที่ว่างที่เตชิตพูดด้วยที
“ตกลงว่ายังไง” ศรีตรังขัดขึ้นมา
“บอกเธอว่าตกลงค่ะ”
เตชิตหันมาทางศรีตรัง
“เขาบอกว่าตกลง แต่ฉันไม่ตกลง”
“เฮ้ย วิญญาณผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของแกไปไหนหมดวะ”
“อ๋อ ออกจากร่างไปตั้งแต่รู้แน่ว่า ผู้กำกับเสนาร่วมมือกับไอ้เจ้าพ่อยาเสพติดแล้ว มิน่า ถึงได้สั่งให้ปล่อยไอ้เจียงไป ทั้งๆ ที่กว่าจะจับได้ ฉันต้องวางแผนแทบตาย นี่ดูเหมือนมันจะมากับไอ้เดนนิส...ไอ้พอลด้วย...ยังคิดอยู่เลยว่า ฉันจะไปลาออก”
“ไม่ได้”
เสียงหวานกับศรีตรังบอกออกมาพร้อมกัน เตชิตมองกราดทั้ง 2 คน แล้วบอกออกมา
“ได้”
“แกคิดดูดีๆ นะ ไอ้เต”
“อ๋อ ฉันคิดแล้วคิดอีกมาตั้งแต่ตื่นนอนตอนตี 4 แล้ว”
เตชิตเป็นฝ่ายทรุดตัวลงนั่งขณะที่เกาหัวเซ็งๆ จนผมยุ่ง
ขณะนั้นด้านนอกพอลแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่มองบ้านพักเตชิตอย่างครุ่นคิด
“เข้าไปหาใครตั้งนาน”
ศรีตรังยกสองมือเกาหัวจนหัวยุ่ง แล้วเดินมานั่งใกล้ๆ เตชิตพร้อมตบบ่าให้กำลังใจ
“ฟังฉันให้ดีนะ ไอ้เต”
“ไม่ฟัง”
“แกต้องกู้ศักดิ์ศรีของตำรวจดีๆ และตัวของแกกลับคืนมา”
“เพื่อนคุณพูดถูกนะคะ”
“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ”
“คุณหนูเผือกเห็นด้วยกับฉันเรอะ”
“ใช่ค่ะ” เสียงหวานตอบรับทั้งที่ศรีตรังไม่ได้ยิน
“ไอ้เต แกต้องคิดให้ดี เพราะแกไม่ใช่แค่กู้ศักดิ์ศรีของตำรวจดีๆ แล้วก็ตัวแกเองเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เยาวชนของชาติรอดพ้นจากภัยร้ายแรงของมันด้วย ... นี่มันเรื่องระดับชาติเลยนะเว้ย”
“ถ้าไม่เห็นแก่ศักดิ์ศรีก็เห็นแก่ชาติเถอะค่ะ”
เตชิตเกาหัวบ้างจนหัวยุ่ง
พอลกำลังจะกลับแต่แล้วก็ชะงัก เมื่อประตูเปิดออก เตชิตและศรีตรังเดินหัวยุ่งออกมา พอลเบิกตากว้างแล้วขบกรามแน่น
“หัวหูยุ่งออกมากันเลย”
ศรีตรังโอบคอเตชิตไว้
“ดีมาก เพื่อนรัก เราจะร่วมมือกันทลายไอ้แก๊งค์นรกนี้ให้ได้”
“ผู้หญิงอะไร น่าไม่อาย” พอลต่อว่าเบาๆ เตชิตขยี้ผมศรีตรัง
“ไปได้แล้ว”
ศรีตรังหัวเราะ พลางเดินมาขึ้นมอเตอร์ไซค์ ศรีตรังโบกมือให้เตชิตพร้อมกับตะโกนบอก
“ไปละเต คืนนี้พบกัน”
“ทั้งกลางวันกลางคืนเลยเรอะ” ศรีตรังขี่รถออกไป เตชิตมองตามพลางโบกมือให้อย่างอารมณ์ดี แล้วกลับเข้าบ้าน
“ไอ้เต”
พอลนึกแค้นเตชิต
ส่วนที่บ้านพักเดนนิส ขณะนั้นเดนนอนหลับสนิท เจนจิราค่อยๆ ขยับลุกขึ้นจากเตียงหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเดินย่องๆ ออกไปข้างนอกโดยเปิดและปิดประตูเบาๆ
เจนจิราหลบออกมาโทรศัพท์หาปรกเดือน ปรกเดือนเดินมาหยิบโทรศัพท์ซึ่งดังอยู่ขึ้นมาพูด
“ฮัลโหล”
“ผู้หวังดีอีกแล้วละค่ะ คุณเดือนขา แหม...ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันเลยนะคะเนี่ย อุ๊ย อย่า...อย่าเพิ่งวางสายซิคะ เดี๋ยวจะอดรู้อะไรดีๆ”
“คงไม่ดีมากกว่ามั้ง”
“แหม คมคาย คืองี้ค่ะ ฉันจะโทร.มาบอกว่า สามีของคุณกับนางเอกสาวแสนสวย เพิ่งจะเสพสุขอันซาบซ่านเสร็จไป...อ้อ เสี่ยน่ะหลับไปแล้วละค่ะ คงอีกนานกว่าจะตื่น ... เพลียไงคะ” ปรกเดือนกำโทรศัพท์แน่น เจนจิราทำเป็นถอนใจยาวอย่างมีความสุข “เฮ้อ...อ...อ อากาศที่นี่ดีจังเลย..แล้วน้องเจนยังยุให้เสี่ยซื้อที่สร้างรีสอร์ทไว้พักผ่อนที่ปากช่องด้วยนะคะ ถ้าคุณเดือนอยากมาพักบ้าง ลองคุยกับน้องเจนดีๆ เธอก็คงจะอนุญาตค่ะ ตายจริงปล่อยให้ฉันพูดอยู่คนเดียว...คุณเดือนจะไม่กล่าวอะไรบ้างหรือคะ”
“หน้าด้าน”
ปรกเดือนกระแทกโทรศัพท์ลง
“สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความเลยอดแนะนำเมนูสุขภาพเลย”
เจนจิราลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างรื่นรมย์
ปรกเดือนเดินออกมาด้วยสีหน้าแววตาเจ็บช้ำ ชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นแจ๋วยืนมองอยู่
“คราวหน้าขอแจ๋วพูดได้ไหมคะ หน้าด้านมันยังน้อยไปสำหรับผู้หญิงแบบนั้น”
“แจ๋ว”
“ขา ...”
“ไม่ใช่เรื่องของเรา”
ปรกเดือนเดินเลยไปข้างบน โดยแจ๋วมองตามอย่างเห็นใจสุดๆ
ปรกเดือนเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องแล้วทรุดตัวลงนั่ง ปรกเดือนเงยหน้า กระพริบตาถี่ๆให้น้ำตาไหลย้อนกลับลงไป ในที่สุดหลังจากตั้งสติได้ปรกเดือนหยิบโทรศัพท์มากดหาพอล พอลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ
“มีอะไรหรือครับ เดือน”
“เสี่ยกับแม่ดารานั่นเขากำลังมีความสุขกันมากใช่ไหมคะ”
“เขาโทร.ไปเล่าอะไรให้คุณฟังหรือ”
“แล้วใช่มั้ยล่ะคะ”
“ถ้าถามผม ... ผมก็ว่าปกติ ...เสี่ยน่ะค่อนข้างเฉื่อยๆ ด้วยซ้ำ เจนจิราคงจะแกล้งใส่ไข่ให้คุณหึง”
“เดือนไม่ได้หึง แต่มันโกรธ ...โกรธมาก”
“เดือน” พอลลากเสียงอ่อนเป็นเชิงปลอบ
“เดือนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะขอหย่าและคุณก็ไม่ต้องมาห้ามเสียให้ยาก”
“ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็สุดแล้วแต่คุณเถอะ เรื่องนี้คงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวคุณเอง”
“ขอบคุณค่ะ ที่ไม่ทำให้เดือนลังเล...คุณละค่ะเที่ยวสนุกไหม”
“ผมตามมาคอยอำนวยความสะดวกให้เสี่ยมากกว่า”
“ถามจริงๆ คุณไม่คิดจะแยกตัวออกมาบ้างหรือคะ สิ่งที่คุณทำอยู่มันทั้งเสี่ยงและผิดกฏหมาย”
“ผมถลำลึกลงไปมากแล้ว”
“ไม่หรอกค่ะ ทุกคนมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
“ขอบคุณที่หวังดี...” มีเสียงโทรศัพท์ดังซ้อนขึ้นมา “เดี๋ยวนะเดือน ผมมีสายซ้อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดือนไม่มีอะไรแล้ว”
ปรกเดือนปิดโทรศัพท์แล้ววางลง พอลรับอีกสาย
“ครับ เสี่ย”
“มาหาฉันหน่อยซิ”
“ครับ”
พอลเก็บโทรศัพท์แล้วเดินออกไป
ขณะนั้นเจนจิรากำลังชี้ชวนให้เดนนิสดูโน่นดูนี่ ในขณะที่พอลเดินตรงเข้ามา
“ลูกน้องรูปหล่อหน้าตาดีของเสี่ยมาแล้วค่ะ”
เจนจิราบอก เดนนิสหันไปมองด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นเดียวกัน เจนจิราเบือนหน้ามามองเดนนิสหัวเราะคิก
“แนวเดียวกับเจ้านายเลย”
“แถวนี้มีที่ไหนให้เที่ยวบ้าง”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน คงจะต้องถามคนในรีสอร์ท”
“ฉันนึกว่านายจะรู้ดีเสียอีก”
“ผมแค่มาไหว้พระเท่านั้น ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่อื่น”
“แปลก...”
“งั้นเราเดินเล่นในบริเวณรีสอร์ทนี่ก็ได้ค่ะ เย็นมากแล้ว แดดไม่แรงอากาศก็เย็นๆ ดี”
“คุณกับเสี่ยเดินเล่นกันไปก่อน ผมจะไปถามคนในรีสอร์ทให้”
“ไม่ละ ขี้เกียจเดิน นายไปถามหาร้านอร่อยๆ ไว้กินมื้อเย็นดีกว่า”
“ครับ” พอลขยับออกเดิน
“เดี๋ยวค่ะ”
พอลหันกลับมามอง เจนจิรากอดเดนนิสแล้วอ้อน
“ให้เจนไปกับพอลได้ไหมคะ”
“ถ้าไม่กลัวเมื่อยก็เชิญ”
เดนนิสเดินกลับเข้าไปในบ้าน เจนจิราเบือนหน้ากลับมามองพอล
“ไปค่ะ”
พอลขยับให้เจนจิราออกเดินก่อน แล้วตัวเองออกเดินตาม
พอลกับเจนจิราเดินมาได้สักครู่ จู่ๆ เจนจิราก็หยุดเดินหันมาหาพอลที่เดินเยื้องห่างๆ ข้างหลัง
“เดินไปด้วยกันก็ได้ค่ะ พอล”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เป็นไรซิคะ เพราะฉันไม่ชอบที่ต้องคอยหันหลังไปคุย มาเถอะน่า ฉันไม่กัดคุณหรอก” พอลเดินขึ้นมาเจนจิรา
ปรายตามองแว่บหนึ่ง “รูปร่างหน้าตาดี อย่างคุณน่าจะไปเป็นนายแบบหรือไม่ก็ดารามากกว่าจะมาเป็นเบ๊” พอลยังคงมีสีหน้าปกติ “ฉันจะฝากให้เอาไหม” พอลยังคงเงียบ เจนจิราจะพูดต่อแต่พอลเดินแยกไปที่บริเวณหน้าบ้านพักเต “เดี๋ยว จะไปไหนน่ะ” พอลไม่ตอบแล้วเดินไปกดกริ่งหน้าประตู เจนจิราเดินตามหา “รู้จักคนในบ้านเหรอ”
พอลยังไม่ทันตอบ เตชิตเปิดประตูออกมา พอลรีบทักขึ้นก่อนโดยทำเหมือนไม่รู้จัก
“สวัสดีครับ ขอยืมมอเตอร์ไซค์คุณหน่อยได้ไหม เดี๋ยวเอามาคืน”
“ฉันพักอยู่บ้านถัดไป 2 หลังเองค่ะ”
เจนจิราบอก เตชิตพยักหน้า
“รอเดี๋ยว ผมจะไปเอากุญแจมาให้”
“ขอบคุณมาก”
เตชิตเดินกลับเข้าบ้านไป เจนจิราหันมามองพอลทึ่งๆ
“เห็นหน้าไม่รับแขกอย่างนี้ แต่คุณก็มีมนุษย์สัมพันธ์เหมือนกันนะ”
ขณะนั้นเสียงหวานกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างด้วยสีหน้าตื่นเต้นเมื่อเห็นเจนจิรา
“จริงๆ นะคะ ฉันรู้จักผู้หญิงคนนั้น”
“ก็ดาราชื่อเจนจิราไง”
“ใช่แล้ว ใช่จริงๆ ด้วย คุณไปถามเขาซิว่าจำฉันได้หรือเปล่า”
“จะให้ผมไปบอกเขาว่า คุณชื่ออะไรล่ะ”
เตชิตประชด เสียงหวานหน้าจ๋อยลง
“นั่นซิ ...” เสียงหวานชะงัก ดีใจเหมือนนึกได้อีก “ รูปไง เอารูปวาดฉันไปให้เขาดู”
“อยู่ดีๆ คุณจะให้ผมสุ่มสี่สุ่มห้าไปถามเรอะ”
“ว้า อะไรๆ ก็ไม่ได้”
เสียงหวยานมองออกไปอีกแล้วชะงัก เมื่อเห็นพอล
“ผู้ชายคนนั้นฉันก็ว่าคุ้นๆ หน้าเหมือนกัน”
“โฮ้ย เที่ยวได้คุ้นกับผู้คนเขาไปทั่วเชียวนะ”
เตชิตถือกุญแจรถออกไป
“ก็มันจริงนี่”
เตชิตเอากุญแจรถไปให้พอล พอลขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีเจนจิราซ้อนท้าย
“พอล ตกลงจะเป็นนายแบบหรือเปล่า”
เจนจิราถามพอลต่อ
“ถ้าตกลง แล้วใครจะมาทำงานให้เสี่ยแทนผมล่ะ” เจนจิราหัวเราะคิกคัก แล้วกอดเอวพอลแน่น “อย่ากอดแน่นนักซิคุณ ผมยังไม่อยากเดือดร้อน”
“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า”
พอลเลี้ยวรถไปตามเส้นทาง
ส่วนเตชิต เขานั่งหลับตาอย่างใช้ความคิด เสียงหวานยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“นอนหลับหรือคะ”
เตชิตลืมตาขึ้นแล้วชะงัก เมื่อเห็นหน้าเสียงหวานอยู่ใกล้ๆ ดวงตาที่มองเสียงหวานค่อยๆอ่อนเชื่อมลง ทำท่าสูดกลิ่นหอมเบาๆ
“หอมจัง” แสงและหน้าเสียงหวานค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพู ด้วยความเขินอาย “คุณใส่น้ำหอมอะไรน่ะ” เสียงหวานถอยออกมา หรุบตาลงต่ำ “แปลก... กลิ่นของคุณ”
เสียงหวานเงยหน้าทันที
“ทำไมคะ”
“ไม่เหมือนกลิ่นซากศพ”
เสียงหวานค่อยๆ หน้าเสียลง แล้วสะเทือนใจลึกซึ้ง
“แต่ฉันก็เป็นแค่ซากศพ”
“ไม่เอาน่า” เตชิตกระแอมแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี้ผมไม่ได้หลับ แต่กำลังใช้ความคิด” เตชิตจับจ้องมองเสียงหวานอย่างจริงจัง “... ว่าจะเอารูปคุณให้นางเอกคนนั้นดูยังไงดี เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจ แบบ...”
เสียงหวานกระตือรือร้นทันที
“แบบหลอนๆ หน่อยใช่ไหมคะ”
“ได้อย่างนั้นก็ดี คุณพอจะทำได้หรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจค่ะ แต่เพื่อนฉันทำได้แน่ๆ”
เตชิตสะดุ้ง
“เพื่อนคุณ”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ ฉันลืมไปว่าคุณกลัวเขา”
เตชิตชะงัก แล้วทำยืด
“ผมน่ะเรอะกลัวเพื่อนคุณ ไม่มีทาง ก็คุณผมยังไม่กลัวเลยนี่”
“งั้นก็ดีเลย คืนนี้ ฉันจะพาเขามาประชุมด้วย ดีมั้ยคะ”
เตชิตสะดุ้งเฮือกแล้วรีบฉีกยิ้ม เมื่อเสียงหวานหันมาจ้องหน้า
“คุณไม่ต้องตอบ ฉันก็รู้จากสีหน้าของคุณว่าดีแน่ๆ เลย”
เตชิตกลืนน้ำลาย แต่ยังคงฉีกยิ้ม โดยที่ตายังคงหวาดๆ เลยกลายเป็นยิ้มแหยๆ ขณะที่เสียงหวานยิ้มกริ่ม

พอลขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้านศรีตรัง แล้วก้าวลงมาพร้อมดึงหมวกกันน๊อคออก
“อะลัดตั๊ดต๊า คุณชายเผือก” จุรีทักพอ ล พอลสะดุ้งขณะที่เจนจิราทำหน้าเหวอ “อุ๊ย ขอประทานโทษค่ะ”
เจนจิราหายเหวอ แล้วหัวเราะคิก
“ป้าเรียกพอลว่า คุณชายเผือกหรือจ้ะ”
“แต่ป้าไม่ได้เป็นคนริเริ่มนะคะ”
จุรีรีบแก้ตัว พอลสีหน้าขรึมลง
“ฉันจะมาขอคำแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว”
“อ๋อ... มีเยอะไปหมดเลยค่ะ แต่ป้าต้องไปถามคุณหนูเจ้านายป้าก่อนนะคะ”
จุรีหันหลังกลับจะเดินเข้าบ้าน
“ป้าจ๋า”
เจนจิราเรียก จุรีหันขวับมาทันที
“ขา”
“ทำไมต้องปิดตาซ้ายด้วยล่ะจ้ะ หรือว่าเป็นตาแดง”
“เปล่าค่ะ” จุรีมองซ้ายมองขวา และลดเสียงลง “ตาข้างซ้ายป้ามีซิกส์เซ้นท์ค่ะ เปิดเมื่อไหร่เป็นเจอผีเมื่อนั้น”
เจนจิราชะงัก
“ที่นี่มีผีด้วยหรือคะ”
“เดินกันให้ว่อนเลยละค่ะ”
จุรีดดินกลับเข้าไป ขณะที่เจนจิราเบิกตากว้างแล้วยกมือปิดปากตัวเอง
จุรีเดินกลับเข้าบ้านแล้วแทบจะถลาเข้ามาหาศรีตรังด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“อะลัดตั๊ดต๊า”
“รู้แล้ว” ศรีตรังขัดขึ้นทันทีทำให้
“อ้าว” จุรีอ้าปากค้าง
“ศรีได้ยินเสียงรถ ก็เลยไปชะโงกหน้าต่างดู”
“อ้อ” ศรีตรังลุกเดินจะเข้าไปข้างใน “คุณหนู คุณชายเผือกอยู่ข้างนอกค่ะ”
“ศรีจะไปหาอะไรกินในครัว หิว” ศรีตรังเดินเข้าไป แล้วกลับออกมาใหม่ “อ้อ บอกเขาว่าที่ปากช่องนี่ไม่ได้สวยแค่ปากแต่สวยตลอดทุกระยะไปยันท้ายช่อง เชิญเลือกเที่ยวโดยสะดวกได้ทุกช่อง”
“อะลัดตั๊ดต๊า ...มึนอ่ะ”
จุรีเดินยิ้มแห้งๆ ออกมา
“เจ้านายป้าล่ะ”
“เธอหิวค่ะ เลยเข้าไปหาอะไรรับประทานในครัว”
จุรีอ้อมแอ้มบอก พอลสีหน้าขรึมลงอีก
“ต๊าย”
“แต่ก็ไม่ได้นิ่งดูดายนะคะ เธอฝากให้ป้ามาบอกว่า เชิญคุณเที่ยวโดยสะดวก ตั้งแต่ปากช่องยันท้ายช่อง เพราะสวยไปหมดทุกช่วง”
พอลขบกราม ขณะที่เจนจิรายกมือทาบอกแล้วเบิกตากว้าง
“อุ๊ยตายแล้ว”
เมื่อกลับมาบ้านพักเจนจิราเล่าเรื่องนี้ให้เดนนิสฟัง เดนนิสนิ่วหน้าหันมาทางเจนจิรา
“แล้วไอ้พอลมันว่ายังไง”
“ไม่ว่าอะไรสักคำค่ะ แต่ดูหน้าก็รู้ว่าโกรธมาก ... เจนว่าพอลกับเจ้าของรีสอร์ทนี่ต้องรู้จัก แล้วก็เคยเป็นคู่แค้นกันมาก่อนแน่ๆ”
“เรื่องของมัน ถ้าให้ช่วยมันก็บอกเราเอง”
เจนจิรานิ่งคิดครู่หนึ่ง
“เป็นผู้หญิงด้วยนี่คะ”
เดนนิสเหยียดยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง
“มิน่า มันถึงได้ชอบมาที่นี่บ่อยๆ”
“แต่เจนไม่ชอบขี้หน้าแม่นั่น เรื่องมาก...เว่อร์”
นัยน์ตาเดนนิสเป็นประกายแว่บหนึ่ง มองเจนเหมือนระแวง
“เธอคงไม่ได้หึงไอ้พอลมันนะ”
เจนจิราสะดุ้ง แล้วหัวเราะคิกคัก
“คุณนั่นแหละกำลังหึงเจน” เจนจิรากอดและอ้อนเดนนิส “มีคุณอยู่ทั้งคน เจนไม่มีตาจะไปมองใครแล้วละค่ะ”
เดนนิสเมินหน้าไปอีกทาง สีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อกลับมาบ้านพักพอลโทรหาศรีตรัง ศรีตรังมองเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วยิ้มสะใจนิดๆ ก่อนจะกดรับ
“ว่าไง พอล”
ศรีตรังแกล้งลากเสียงกวนๆ
“อยากเป็นจุดสนใจนักหรือไง”
“ไปกินรังแตนมาหรือ...พอล” พอลขบกรามพยายามระงับความโกรธ “ทำไมเงียบไปล่ะ พอล ขับรถเก๋ง ก็มีตุ๊กตาหน้ารถ
ขี่มอ’ไซค์ก็มีสก๊อย เนื้อหอมจังเลยนะพอล แต่ละนางไม่มีซ้ำหน้าเสียด้วย”
พอลพยายามระงับอารมณ์ และทำเสียงเป็นนัยๆ บ้าง
“ผมไปทำอะไรให้คุณเจ็บปวดหรือ ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาเขม่นกันนัก”
“Oh! no. เปล่าเลยพอล แล้วทำไมพอลถึงทุรนทุรายอยากจะพบฉันนักอย่าบอกนะว่า...”
“ไม่มีทาง” พอลบอกอย่างฉุนจัด
“ฮั่นแน่ ร้อนตัวละซี พอล”
พอลปิดโทรศัพท์ทันทีอย่างหงุดหงิด ศรีตรังเลื่อนโทรศัพท์มาตรงหน้า แล้วพูดราวกับโทรศัพท์กับเป็นพอล
“ฉุนเป็นเหมือนกันหรือพอล... สะใจอ่ะ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ แล้ววางลงอย่างสบายอกสบายใจ

ค่ำวันเดียวกันนั้นบรรยากาศภายในรีสอร์ทเงียบสงบ ศักดิ์สิทธิ์ซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง มีเครื่องรางของขลังรายล้อมรอบตัว ท่าทางศักดิ์สิทธิ์ดูหวาดกลัว เหลียวซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์มากดหาอ้อย
ขณะนั้นอ้อยกำลังนั่งดูทีวีอยู่ อ้อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วนิ่วหน้าทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างหงุดหงิดขัดอกขัดใจ อ้อยชั่งใจครู่หนึ่ง จึงรับโทรศัพท์
“อะไรอีกล่ะ ศักดิ์”
“อ้อย ศักดิ์กลัว”
“กลัวก็นอนหลับเสียซิ”
“นี่เพิ่งทุ่มกว่าเอง” อ้อยถอนใจเฮือก “อ้อยมาอยู่เป็นเพื่อนศักดิ์ได้มั้ย”
“จะบ้าเหรอ”
“งั้นศักดิ์ไปอยู่กับอ้อยก็ได้”
“แม่อ้อยได้ด่าเปิงน่ะซิ ตั้งสติหน่อยศักดิ์ ศักดิ์อยู่ในบ้าน แล้วลุงหมอแกให้เครื่องรางของขลังมากขนาดนั้น ผีมันทำอะไรศักดิ์ไม่ได้หรอก”
“มันชอบมายืนมอง”
“ศักดิ์ก็อย่าไปมองมันซิ ... เท่านี้นะ” อ้อยปิดโทรศัพท์ แล้วถอนใจเฮือก “ยิ่งนับวันยิ่งสติแตก เก็บเอาไว้อันตรายมาก”
อ้อยเอนหลังพิงพนัก สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขณะนั้นพงษ์ศักดิ์นั่งทำงานอยู่หน้า Com. ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาหา
“คุณพ่อ”
“อ้าว ศักดิ์” ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามานั่ง ขณะพงษ์ศักดิ์มองเพ่งพิศ “ยังไม่เลิกกลัวผีอีกเรอะ”
ศักดิ์สิทธิ์สะดุ้งเฮือก
“พ่อ”
“แกนี่ท่าทางจะต้องไปหาจิตแพทย์แล้ว”
“ผมไม่ได้บ้านะครับ”
“แต่ก็ใกล้เคียงแล้วละ”
“ไม่มีใครเข้าใจผม ไม่มีเลยจริงๆ”
ศักดิ์สิทธิ์ตะเบ็งเสียง
“แล้วแกจะให้ทำยังไง หรือจะให้พ่อไปบอกผีอะไรนั่นว่าอย่ามาหลอกหลอนแกเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นแกก็บอกเขาให้มาพบพ่อหน่อย”
“คุณพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ”
“เอางี้ แกมานอนที่นี่ก็แล้วกัน เผื่อเขามา พ่อจะช่วยเจรจาให้”
“ครับ ... งั้นผมไปเอาหมอนกับผ้าห่มมาก่อนนะครับ”
“เออ”
ศักดิ์สิทธิ์เดินออกไป แล้วรีบผลุบกลับเข้ามาอีก
“คุณพ่อ”
“อะไรอีกล่ะ”
“ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยซิครับ”
พงษ์ศักดิ์ถอนใจเฮือก
ส่วนที่บ้านพักเตชิต เตชิตค่อยๆ วางรูปเสียงหวานลงบนโต๊ะ ในขณะที่เสียงหวานยืนชะโงกมองจากหน้าต่าง
“มาแล้วค่ะ” เตชิตสะดุ้ง หันกลับมา “จะให้เขาเข้ามาข้างใน หรือว่าจะออกไปหาเขาข้างนอกดีคะ”
“ไม่เอาทั้งสองอย่าง” เตชิตรีบบอก
“อ้าว”
“คุณไปบอกกับเขาเลยว่าลงมือได้ทันที”
“แล้วถ้าเขาอยากจะปรึกษา”
“ก็ให้พูดกับคุณแทน”
“แล้ว...”
“เลิกซักเสียทีได้มั้ย เอาเป็นว่าคุณตัดสินใจเองโดยไม่ต้องมาถามผม เพราะเราพูดกันไปหมดแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ”
เสียงหวานเดินผ่านประตูออกไป เตชิตค่อยๆ ขยับมาแอบดูจากหน้าต่าง จึงเห็นสองสาวพูดกัน โดยเกษรินมองมาทางหน้าต่างเป็นระยะๆ เตชิตรีบหลบ
ศักดิ์สิทธิ์ปูที่นอนหน้าเตียงพงษ์ศักดิ์เสร็จแล้วลุกขึ้นเดินไปส่งผ้ายันต์ให้พงษ์ศักดิ์ซึ่งกำลังทำงานอยู่
“อะไร”
“ผ้ายันต์กันผีครับ”
“เอามาทำไม”
“ให้คุณพ่อติดตัวไว้ครับ”
“ไม่ต้อง ฉันไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเขา” พงษ์ศักดิ์ชะงักแล้วจ้องศักดิ์สิทธิ์ “หรือว่าแกรู้จัก”
“โธ่ ผมจะไปรู้จักกับผีได้ยังไง” ศักดิ์สิทธิ์เก็บผ้ายันต์ใส่กระเป๋าเสื้อ “ไม่เอาก็อย่าเอา”
“ตอนที่เขายังมีชีวิต แกเคยหักอกเขาใช่ไหม”
“ตรงกันข้ามเลยครับ” สีหน้าและน้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์เศร้าลงอย่างลืมตัว พงษ์ศักดิ์มองเขม็ง
“แกเคยรู้จักเขาจริงๆ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมนอนละ ง่วงจัง”
ศักดิ์สิทธิ์เดินมาล้มตัวลงนอน
ทางด้านเดนนิส ขณะนั้นเดนนิสกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เจนจิราซึ่งอาบน้ำเสร็จกำลังแปรงผมอยู่ พอแปรงผมเสร็จ เจนจิราลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างแล้วชะงักเมื่อเห็นเกษรินยืนหันหลังอยู่ใต้ร่มไม้
“ใครน่ะ... เสี่ยคะ มีผู้หญิงมายืนอยู่หน้าบ้านค่ะ”
“ช่างเขาเถอะน่า”
“เจนออกไปดูนะคะ”
“ตามใจ”
เจนจิราหยิบเสื้อคลุมมาสวม แล้วเดินออกไป
เจนจิราเดินออกมายังจุดที่เห็นเกษริน แต่พอมาถึงเกษรินก็ต้องชะงักเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาเกษริน
“หายไปไหนเร็วจัง”

เจนจิราชะเง้อมองอีกรอบ แล้วหันหลังกลับจะเดินเข้าบ้าน

อ่านต่อหน้า 2





ปางเสน่หา ตอนที่ 5 (ต่อ)

จังหวะนั้นมีลมเย็นพัดวูบมาจนเสื้อผ้าเจนจิราปลิว เจนจิราชะงัก หันขวับมามองจึงเห็นกระดาษผืนหนึ่งปลิวมาตกใกล้ๆ เจนจิราจ้องมองอย่างพิศวง แล้วค่อยๆ ก้มตัวลงเก็บขึ้นมา

เจนจิราเบิกตากว้างยกมืออีกข้างอุดปากเมื่อเห็นภาพวาดเสียงหวาน
ลมพัดมาอย่างแรงอีกครั้งภาพเสียงหวานปลิวไปจากมือเจนจิราและลอยเข้าไปในความมืด เจนจิรารีบตามทันที...เจนจิราเดินแกมวิ่งเข้ามาและสอดส่ายสายตามองหากระดาษแผ่นนั้น
“หายไปไหน”
เจนจิราเดินมาเรื่อยๆ แล้วชะงักเมื่อเห็นร่างๆ หนึ่งในชุดเสื้อตัวยาวรุ่มร่ามสีขาว ผมสยายยาว ยืนหันหลังอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่
“คุณ...คุณ” ร่างๆ นั้นยังคงยืนสงบนิ่ง “คุณ” เจนจิราขยับจะตาม แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อมีเสียงหมาหอนดังแว่วขึ้น เจนจิรามองไปโดยรอบ “หมาหอน หมาหอนแปลว่าผีมานี่ คุณ...” เจนจิราหันมามองใต้ต้นไม้ ร่างเกษรินหายไปแล้ว เจนจิราตกใจ สีหน้าออกหวาดๆ
“คะ...คะ...คุณ...หะ...หายไปไหน”
เจนจิราขนลุกและยกมือขึ้นลูบแขน หันซ้ายหันขวา แล้วรีบเดินแกมวิ่งไปจากไปที่นั่นทันที
เจนจิราวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในบ้าน
“เสี่ยค่ะ”
“เป็นอะไร ทำหน้ายังกับถูกผีหลอก”
เจนจิราผวาเข้ากอดเดนนิส
“ผะ...ผะ...ผี...ผีหลอกจริงๆ ค่ะ” เดนนิสหัวเราะลั่น “เสี่ย เจนไม่ได้แกล้งพูดนะคะ”
“ผีที่ไหน” เดนนิสดันตัวเจนจิราออก
“ก็ผีที่นี่น่ะซีคะ สงสัยว่า แถวนี้ต้องเคยเป็นป่าช้าแน่ๆๆ เลย”
“เหลวไหล” เดนนิสเดินมาทิ้งตัวลงนอน “มานวดให้หน่อย เมื่อยจัง”
เจนจิราเดินมาขึ้นเตียง สีหน้ายังคงหวาดกลัวจนน้ำตาไหล
“เจน ...เจน กลัวจริงๆ ค่ะ”
เดนนิสมองเจนจิราอย่างเพ่งพิศ
“ท่าทางจะกลัวจริงๆ”
“ก็กลัวจริงๆ น่ะซีคะ มันยืนอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วอยู่ๆ ก็หายไป”
“ฉันจะไปดูเอง” เดนนิสลุกขึ้น
“อย่าค่ะเสี่ย เจนกลัว”
“เธอกลัวก็ไม่ต้องไป”
เดนนิสหยิบไฟฉาย แล้วเดินไปที่ประตู เจนจิราวิ่งถลาไปกอดเดนนิสไว้
“อย่าทิ้งเจนไว้คนเดียว”
“แล้วจะเอายังไง” เดนนิสชักเริ่มรำคาญ
“เจน เจนไปด้วยค่ะ”
“ตามใจ แล้วอย่าเอะอะโวยวายก็แล้วกัน รำคาญ”
เดนนิสเดินออกไป เจนจิรารีบผวาตาม
ที่บ้านพักเตชิต ขณะนั้นเตชิตและเสียงหวาน ยืนมองรูปเสียงหวานปลิวกลับเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วสงบนิ่งอยู่บนพื้น
เตชิตก้มลงหยิบขึ้นมา
“ขอบใจเขาหน่อยซิคะ”
เสียงหวานบอก
“ขอบใจใคร”
“ก็เพื่อนฉันไงคะ”
เตชิตรีบปฏิเสธทันที
“ไม่เป็นไร”
“เป็นไรค่ะ...เขาจะได้ดีใจ... เขาก็เหมือนฉันแหละค่ะอยากจะพูดกับใคร ก็ไม่มีใครพูดด้วย บางคนก็มองไม่เห็น...ชีวิต...เอ้อ...
ผีอย่างพวกเราเนี่ยทั้งเหงาทั้งว้าเหว่”
“ก็ได้”
“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ”
เตชิตมองเสียงหวานด้วยแววตาอ่อนโยนจากความรู้สึกภายใน แล้วจึงยื่นมือออกมาเพื่อจะรวบมือทั้งสองข้างนั้น แต่มือเตชิตรวบเอาความว่างเปล่าขึ้นมา เตชิตเงยหน้าขึ้นเก้อๆ
“ผมลืมไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงหวานยิ้ม
เตชิตเดินตามเสียงหวานออกมา เสียงหมาหอนดังกรูขึ้นมาทันที เตชิตสะดุ้งเฮือกหันหลังจะเดินกลับเข้าบ้านทันที แต่เสียงหวานปรากฎร่างขวางไว้ทันทีเช่นกัน เตชิตเบรกหน้าทิ่ม แล้วร้องลั่น
“โอ๊ย คุณจะมาขวางผมไว้ทำไม”
“เพราะคุณควรจะไปขอบคุณเพื่อนฉัน” เตชิตขยับเดินต่อ แต่เสียงหวานขยับขวาง
“ขวางได้ขวางไป” เตชิตเดินทะลุเสียงหวานไป เสียงหวานเบิกตากว้าง ฉุนจัด
“คุณเตห่าง” เตชิตเดินจะเข้ามาในบ้าน เสียงหวานปรากฏตัวขวางไว้ทันทีเหมือนกัน “ เดินได้เดินไป”
เตชิตเดินทะลุผ่านเสียงหวานเข้าบ้าน แล้วดึงประตูปิดตาม เตชิตล็อคประตูเสร็จหันกลับมาไฟทั้งบ้านดับพรึ่บลงทันที
“เสียงหวาน” เงียบ เตชิตจึงเสียงเข้มขึ้น “เสียงหวาน เปิดไฟเดี๋ยวนี้ “ เสียงหมาหอนดังขึ้น เตชิตสะดุ้งเฮือก แล้วยกมือกอดอกด้วยรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาทันที “ไม่สนุกนะ เสียงหวาน”
เงียบ ... เตชิตหันไปบิดลูกบิดจะเปิดประตู แต่ลูกบิดล็อคเปิดไม่ออก
“ถ้ายังเล่นบ้าๆ ผมจะเรียกคุณว่าเสียงแหลม เพราะจริงๆ เสียงคุณแหลม” เสียงหวานหัวเราะเบาๆ เตชิตหันขวับไปมอง
“มันขำตรงไหน”
พูดยังไม่ทันจบ เตชิตก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่มุมห้อง เตชิตเซผงะด้วยความกลัว
“สะ...สะ...เสียง...เสียงหวาน”
“ขอบใจเธอซิคะ”
เสียงหวานกระซิบบอก
“ขะ...ขอบ...ขอบคุณ...ครับ...”
เกษรินพยักหน้าช้าๆ แล้วค่อยๆ เลือนหายไป เตชิตทรุดลงเป็นลมทันที เสียงหวานปรากฎตัวขึ้น พร้อมไฟสว่างพรึ่บ
“คุณเต...คุณเตคะ”
เตชิตยังคงหมดสติ
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นเดนนิสใช้ไฟฉายฉายไปรอบๆ บ้านพักแล้วหันมาทางเจนจิราซึ่งเกาะแขนอีกข้างของเดนนิสแน่น สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“แต่เมื่อกี้ เจนเห็นจริงๆ นะคะ หรือว่ามันจะกลับลงหลุมไปแล้ว”
เดนนิสกระชากแขนออกหงุดหงิดแล้วตวาด
“งมงาย”
เจนจิราสะดุ้ง หน้าเสีย
“เสี่ย”
“ที่ฉันออกมา ก็ไม่ใช่จะจับผี แต่เพราะคิดว่าเป็นคน”
“ถ้าเป็นคน เจนก็ต้องดูออกซิคะ”
“ยังจะมาเถียงอีก”
“เสี่ยต้องเชื่อเจนนะคะ เจนเจอผีจริงๆ”
“ถ้ายังขืนพล่ามเรื่องผีอีก ฉันจะไล่ออกมานอนนอกบ้าน”
“ไม่ค่ะ เจนกลัว”
“กลัวก็หยุดพล่ามเสียที”
เดนนิสเดินกลับเข้าบ้าน เจนจิราผวาจะกอดแขนแต่เดนนิสสะบัดออก เจนจิราเดินตามพลางน้ำตาไหลพลาง
“เจนจะไม่พูดอีกแล้วค่ะ เสี่ยอย่าโกรธเจนนะคะ”
เดนนิสไม่พูด แล้วก้าวยาวๆ กลับบ้าน เจนจิรารีบตาม
พอเข้ามาในบ้านเจนจิรารีบปิดประตูทันที
“ยังมีรูปอีกค่ะ เจนเจอรูป”
เจนจิราบอก เดนนินกำลังจะเข้าห้องนอน หยุดเดินเบือนหน้ากลับมามองด้วยแววตาเย็นชา
“รูปผีอีกละซี”
“ค่ะ เป็นรูป ...”
“อยู่ที่ไหนล่ะ”
“หาย หายไปแล้วค่ะ”
เจนจิราบอกเสียงอ่อย
“อยากออกไปนอนข้างนอกใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ”
เดนนิสเดินเข้าห้องไป เจนจิรามองตามด้วยความน้อยใจ แล้วเดินตามเข้าไปเงียบๆ
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่ศักดิ์สิทธิ์นอนขดตัวหลับสนิท ค่อยๆ พลิกตัวหันกลับมา จึงเห็นพงษ์ศักดิ์นั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่
“คุณพ่อยังไม่นอนอีกหรือครับ”
ร่างพงษ์ศักดิ์ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น
“กี่ทุ่มแล้วเนี่ย”
ศักดิ์สิทธิ์ขยับชะเง้อขึ้นมองขึ้นไป บนโต๊ะหัวเตียง แต่ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นพงษ์ศักดิ์นอนหลับอยู่บนเตียง ศักดิ์สิทธิ์กลืนน้ำลาย แล้วค่อยๆ หันไปที่โต๊ะทำงาน ก็เห็นพงษ์ศักดิ์นั่งทำงาน ศักดิ์สิทธิ์มีสีหน้าจะร้องไห้เสียให้ได้ เมื่อหันมาที่เตียงเห็นพงษ์ศักดิ์นอนหลับอยู่เช่นกัน
“คุณ...คุณพ่อ”
ศักดิ์สิทธิ์พึมพำด้วยความหวาดกลัวสุดๆ จนเสียงสั่น มือๆ หนึ่งค่อยๆ เอื้อมมาแตะไหล่ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์สะดุ้งเฮือกหันขวับไปมองแล้วร้องลั่นเมื่อเห็นพงษ์ศักดิ์กลับกลายเป็นเกษริน ศักดิ์สิทธิ์คลานหักซุกหัวซุนลุกขึ้น ไปหาพงษ์ศักดิ์ซึ่งนั่งทำงานอยู่
“คุณพ่อช่วยด้วย”
พงษ์ศักดิ์ยังคงเงียบ ศักดิ์สิทธิ์สังหรณ์ใจ หันไปมองเห็นเกษรินนั่งแทนที่พงษ์ศักดิ์ ศักดิ์สิทธิ์หลับหูหลับตาร้องลั่น
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ประตูห้องเปิดออกพงษ์ศักดิ์รีบเดินตรงมาที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งยกมือปิดหน้าร้องตะโกนให้ช่วย พงษ์ศักดิ์เขย่าตัวลูกชาย
“ศักดิ์ ศักดิ์ เป็นอะไร”
ศักดิ์สิทธิ์พยายามสะบัดตัวหนี
“อย่า ฉันกลัวแล้ว กลัวแล้ว”
“ศักดิ์...นี่พ่อเอง ศักดิ์” พงษ์ศักดิ์ดึงมือศักดิ์สิทธิ์ออกมาจนได้ “ศักดิ์ลืมตา นี่พ่อ”
ศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง
“คุณพ่อ”
ศักดิ์สิทธิ์ผวาเข้ากอด พงษ์ศักดิ์ลูบผมลูกชายด้วยสีหน้าหนักใจ

เช้าวันต่อมา พงศ์ศักดิ์มาหาศรีตรังที่บ้านเพื่อปรึกษาเรื่องศักดิ์สิทธิ์
“ผมไม่รู้จะทำยังไงดี”
พงษ์ศักดิ์ส่ายหน่าอย่างกลุ้มสุดๆ
“อะลัดตั๊ดต๊า ขอแนะนำให้รับประทานข้าวต้มสักสองถ้วย เดี๋ยวก็จะคิดออกเองค่ะ”
“ด้วยความเคารพ มันก็แปลกเหมือนกันนะ คุณพงษ์ ทำไมผีตนนี้เขาถึงได้จงใจจะหลอกแต่ศักดิ์ ทำไมไม่ปรากฎตัวให้คนอื่นเห็นบ้าง” สมลูบครางอย่างครุ่นคิด พงษ์ศักดิ์นึกฉุน
“คุณว่าลูกผมเป็นบ้าเรอะ” สมสะดุ้ง
“เปล่า ... ด้วยความเคารพ”
“ลุงสมคงหมายความว่า ผีไม่ได้ปรากฎตัวให้ทุกคนเห็นได้เสมอไป คนนี้อาจเห็น แต่คนโน้นอาจไม่เห็น จริงไหมคะ ลุงสม” ศรีตรังขัดขึ้น สมอ้าปากจะพูดแต่จุรีขัดขึ้นก่อน
“อะลัดตั๊ดต๊า จริงค่ะก็ดูแต่คุณหนูเผือกซิคะ มีแต่ป้ากับคุณเตเห็น คนอื่นกลับมองไม่เห็น สงสัยคงจะเคยทำบุญกรรมร่วมกันมา”
สมตบโต๊ะจนสะเทือน
“ด้วยความเคารพ ก็นี่แหละที่ผมจะพูด แต่คุณพงษ์กลับไม่เข้าใจ”
พงษ์ศักดิ์ตบโต๊ะบ้าง ขณะลุกขึ้นทันที
“อ้อ นี่หาว่าผมโง่เรอะ”
จุรีรีบลุกห้าม
“ใจเย็นค่ะ ใจเย็น”
“ผมไปทำงานดีกว่า ขืนอยู่ต่อไปมีหวังได้บู๊ตอนแก่แน่”
พงษ์ศักดิ์เดินออกไป สมอ้าปากจะเถียงแต่ศรีตรังรีบส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูด จุรีรอจนพงษ์ศักดิ์ออกไปพ้นแล้วจึงพูดขึ้นมา
“คุณพงษ์แกเป็นอะไรของแก”
“คงจะหงุดหงิดที่ลูกชายโดนผีหลอกน่ะป้า” ศรีตรังบอก
“ผมไป Office ละครับ” สมบอก
“เชิญค่ะ”
“ด้วยความเคารพ ขอบคุณสำหรับข้าวต้มนะคุณจุ”
“ไม่เป็นไร แล้วอย่าไปต่อยกับพงษ์ล่ะ”
สมหัวเราะ แล้วเดินออกไป
“ไอ้เตนั่นแหละ เป็นตัวล่อผี เฮ้อ วุ่นวายกันไปหมด”
ศรีตรังบ่น
ศักดิ์สิทธิ์มาหาอ้อยที่บ้าน อ้อยยกกาแฟและขนมมาวางให้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีหน้าตากลัดกลุ้ม
“ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ สักวันความลับต้องแตกแน่”
“แล้วจะเอายังไง”
“หาแพะ” อ้อยเลิกคิ้ว “จริงๆ นะอ้อย เราต้องรีบหาแพะให้ได้โดยเร็วที่สุด”
“ฟังนะ ปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่ตัวศักดิ์ต่อให้เราหาแพะได้ หรือลุงหมอกำจัดผีเกษรินไปได้ แต่ถ้าศักดิ์ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์”
“ถ้าหาแพะได้หรือกำจัดนังผีบ้าไปได้ ศักดิ์ก็ควบคุมตัวเองได้” อ้อยถอนใจเฮือก “นะอ้อย ช่วยศักดิ์ก็เท่ากับอ้อยช่วยตัวเองด้วย ศักดิ์รอด อ้อยก็รอด อ้อยรอด ศักดิ์ก็รอด เราต้องรอดด้วยกันนะจ๊ะอ้อย”
“แล้วจะไปหาแพะได้ที่ไหน”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มเหี้ยมๆ
“ศักดิ์เล็งไว้แล้ว ไอ้ตรีทศไง” อ้อยชะงัก ศักดิ์สิทธิ์มองสบตาอ้อยแล้วยิ้มนิดๆ “อ้อยเองก็จะได้แก้แค้นมันด้วยไง ศักดิ์รู้นะว่าอ้อยพยายามอ่อยมันมาตั้งนานแล้ว แต่มันไม่เล่นด้วย จัดแบบเต็มๆ หนักๆ ให้มันกระอักเลือดไปเลย” อ้อยสีหน้าเก้อๆ แบบคนทำผิดที่ถูกจับได้ “ว่าไง โอ....มั้ย”
อ้อยสบตาศักดิ์สิทธิ์ลังเลนิดๆ
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นเจนจิราเดินด้อมๆ มองๆ มาที่รั้วบ้านเต เจนจิราลังเลเล็กน้อยขณะเดินมาที่หน้าประตูบ้าน เคาะประตูทุกอย่างเงียบสนิท เจนจิราเคาะอีกพลางเรียก
“คุณ... คุณคะ” เงียบอีก “พวกผู้ชายนี่ตื่นสายชะมัด”
เจนจิราบ่นพลางหันหลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็ชะงักเมื่อมีเสียงเหมือนลูกบิดดังเหมือนมีคนเปิดประตู และเสียงประตูเปิด เจนจิราค่อยๆ หันกลับไปมอง ประตูค่อยๆ เปิดกว้างออก เจนจิรายิ้มพอใจ
“ขอบคุณค่ะ”
เจนจิราเดินเข้าไปทันที
เจนจิราเดินเข้ามาในบ้านแล้วชะงัก รอยยิ้มค่อยๆ หายไป เพราะบริเวณในนั้นไม่มีใครอยู่สักคน เสียงประตูดังอ๊อดแอ๊ด เจนจิราสะดุ้งหันขวับไปมองประตูค่อยๆ ปิดลง
“ผะ...ผะ...ผี...ผีหลอก” เจนจิราตะโกนดังลั่น “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ประตูห้องนอนเปิดออก เตชิตซึ่งหน้าตาท่าทางเพิ่งตื่นนอนมองเจนจิราอย่างแปลกใจ
“คุณ” เจนจิราหันขวับมา แล้วร้องกรี๊ดลั่น จนเตชิตต้องอุดหู “หยุด บอกให้หยุด” เตชิตตะโกนเจนจิราหุบปากทันที ตามองเตชิตหวาดๆ “คุณเข้ามาได้ยังไง”
“คุณ...เป็นผีหรือเป็นคน”
“เป็นผีมั้ง” เจนจิราหลับตา อ้าปากจะกรี๊ดอีกเตชิตตวาดลั่น “หยุด” เจนจิราหยุดทันที แล้วลืมตาด้วยความตกใจ
“คุณเข้ามาได้ยังไง”
“ก็...ประตู...มันเปิด”
“จะเปิดได้ยังไง” เตชิตชะงักเมื่อนึกได้
“ตกลงคุณเป็นคนใช่ไหม” เตชิตถอนใจเฮือก “ขอโทษค่ะ ที่ถามก็เพื่อให้แน่ใจ คิดดูซิคะอยู่ดีๆ ประตู
ก็เปิดรับพอฉันเข้ามาก็ไม่เห็นมีใครสักคน ซ้ำเมื่อคืนฉันยังเจอผีอีกอย่างนี้แล้วจะไม่ให้สงสัยได้ยังไง”
เตชิตมองเจนจิราใคร่ครวญครุ่นคิด
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นพอลกำลังเดินมาเรื่อยๆ ดวงตามองไปโดยรอบตามสัญชาติญาณตำรวจ พอลเดินมาถึงหน้าบ้านอ้อยซึ่งมีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ พอลยืนมองอย่างชั่งใจแต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร ประตูเปิดออกศักดิ์สิทธิ์และอ้อยเดินออกมา อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ชะงักเมื่อเห็นพอล อ้อยรีบปล่อยมือศักดิ์สิทธิ์ทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มหล่อคนใหม่ ส่วนศักดิ์สิทธิ์มองพอลหัวจดเท้า
“แกเป็นใคร”
“ศักดิ์ พูดกับคุณดีๆ หน่อยซิ” อ้อยหันมายิ้มหวานให้พอล “ขอโทษนะคะ เพื่อนอ้อยเขา ไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ เลยหงุดหงิดนิดหน่อย” ศักดิ์สิทธิ์หันมามองอ้อยอย่างไม่พอใจ อ้อยรีบพูดต่อ “คุณเข้ามาพักเมื่อวานใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“แถวนี้เป็นที่ส่วนบุคคล ไม่ใช่ที่เดินเล่น”
“งั้นก็ต้องขอโทษด้วย” พอลหันหลังจะเดินออกไป อ้อยรีบพูด
“เดี๋ยวค่ะ” ศักดิ์สิทธิ์หันมามองอ้อยอย่างไม่พอใจ ขณะที่อ้อยยิ้มหวานเดินมาหาพอล “ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ รีสอร์ทสุขศรีตรังยินดีต้อนรับแขกทุกคน ...คุณไปเที่ยวไร่ข้าวโพดหรือยังคะ”
“อ้อย”
“ยังเลยครับ”
“อยากไปไหม อ้อยจะเป็นไก๊ด์ให้ค่ะ”
“อ้อย” ศักดิ์สิทธิ์เสียงดังขึ้น เมื่อ้อยทำเป็นไม่ได้ยิน พอลไม่สนใจศักดิ์สิทธิ์ส่งยิ้มให้อ้อย
“ดีเลยครับ”
ศักดิ์สิทธิ์จะพูดอีก แต่อ้อยพูดขึ้นก่อน
“ศักดิ์ควรจะไปทำงานได้แล้วจ้ะ เรื่องที่ศักดิ์มาปรึกษาอ้อยยินดีช่วยเต็มที่” อ้อยเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ติดเครื่องแล้วหันมายิ้มกับพอลอย่างมีเลศนัย “คุณจะซ้อนท้ายอ้อย หรือให้อ้อยซ้อนท้ายคะ”
พอลยิ้มรับศักดิ์สิทธิ์มองอย่างหงุดหงิดสุดๆ
เจนจิรากลับมาบ้านพักขณะนั้นเดนกำลังจิบกาแฟและปาท๋องโก๋
“ใครไปซื้อกาแฟกับปาท่องโก๋มาเนี่ย...”
“หายหัวไปไหนมา”
เดนนิสถามเสี่ยงเรียบ เจนสจิราชะงักสีหน้าเหมือนไม่พอใจแถมอับอายที่เดนนิสดุต่อหน้าเจียง แว่บหนึ่ง เจนจิรา
ฝืนยิ้มขณะนั่งลง
“ไปสืบเรื่องผีจากบ้านโน้นค่ะ”
“เที่ยวได้แจ๋นไปทั่ว”
เจนจิราเม้มปาก น้ำตาปริ่มขึ้นมา
“คุณเจนจะรับกาแฟไหมครับ”
เจียงถาม เจนจิราส่ายหน้าแล้วลุกขึ้น
“นั่งลง”
“เจนจะไปเข้าห้องน้ำค่ะ”
“บอกให้นั่งลง”
“เสี่ย”
เดนนิสจ้องมองมา ด้วยดวงตาโหดๆ เจนจิราหลบตาแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“จะไปไหนต้องบอกฉันก่อนทุกครั้ง จำใส่หัวเอาไว้” เจนจิราน้ำตาหยด “ไอ้พอลก็อีกคน หายหัวไปแต่เช้า”
“ผมบอกแล้วว่า ให้รอเสี่ยตื่นก่อน มันก็ไม่ฟังครับ” เจียงบอก เดนนิสเบือนหน้ามาทางเจนจิรา
“โทรศัพท์ไปบอกปรกเดือนซิว่า ฉันจะกลับมะรืนนี้” เจนจิราเงยหน้ามองเดนนิสอย่างแปลกใจ “ไปซิ”
“เอ้อ เสี่ยจะให้ไปโทร.ข้างในหรือคะ”
เดนนิสเยาะนิดๆ
“ก็ชอบแบบนั้นไม่ใช่เรอะ”
เจนจิราหยิบโทรศัพท์ แล้วลุกเดินเข้าบ้าน เดนนิสยกกาแฟขึ้นจิบสีหน้ามาดหมาย ขณะที่เจียงมองอย่างแปลกใจ
“ไอ้โรคจิต” เจนจิราบ่นอย่างแค้นๆ ขณะกดโทราศัพท์หาปรกเดือน “...สวัสดีค่ะ ...จากผู้หวังร้ายอีกแล้วนะคะ...อ๊ะ...อ๊ะ...อย่าเพิ่งวางสายค่ะ ที่โทร.มาเนี่ยเพราะเสี่ยสั่งเสี่ยให้บอกว่าจะกลับอย่างเร็วที่สุดก็มะรืนนี้ เพราะว่ามีความสุขม้าก...มากทิวทัศน์สวย อากาศดี สตรีในอ้อมกอดก็เซ็กซี่กระแทกใจสุดๆ”
ปรกเดือนพยายามตั้งสติ
“ทำไมเสี่ยไม่โทร.มาเอง”
“อันนี้ก็คงต้องไปถามเสี่ยเองนะคะ แหม! คุณน่าจะได้มาเห็น เสี่ยอารมณ์ดี๊...ดี เอาอกเอาใจน้องเจนจนน่าอิจฉา...เมื่อคืนก็พาน้องเจนออกไปเดินเล่นท่ามกลางแสงจันทร์ โอ๊ย ช่างโรแมนติคอะไรจะปาน...”
“เธอต้องการอะไร”
“ก็แค่ให้คุณได้รับรู้ว่า เสี่ยไม่ได้รักคุณแล้ว หรืออาจจะไม่เคยรักเลยก็ได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ฉันยังสมเพชเวทนาอาราเร่คุณอยู่บ้าง จึงขอกระซิบว่าถ้ามีอาการไอ ให้ต้มรากชะเอมเทศดื่มทุกเช้าเย็น ไม่กี่วัน อาการไอก็จะทุเลาค่ะ”
ปรกเดือนปิดโทรศัพท์ทันที
พอลพาอ้อยมาพบกับเดนนิสที่บ้าน
“นี่เสี่ยสงครามครับ”
พอลแนะนำ อ้อยย่อตัวลงไหว้เดนนิสอย่างอ่อนช้อย
“สวัสดีค่ะ” อ้อยมองเจนจิราซึ่งเพิ่งเดินกลับมาสมทบอย่างตื่นเต้น “อุ๊ย นี่เจนจิราใช่มั้ยคะ ตัวจริงสวยกว่าในทีวี อีกค่ะ”
เจนจิรายิ้มนิดๆ อย่างไว้ตัว
“ขอบใจจ้ะ”
“อ้อยอยากได้รูปกับลายเซ็นจัง”
“บังเอิญไม่ได้ติดตัวมา”
“อ้อยรับจะเป็นไก๊ดพาเที่ยวไร่ข้าวโพดครับ” พอลบอก
“ขอบใจ แต่ฉันเคยเห็นแล้ว” เดนนิสบอก
“เห็นไร่ข้าวโพดน่ะหรือคะ”
“เห็นข้าวโพด”
“แต่นี่เป็นไร่เลยนะคะ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน” ทุกคนนิ่งไป “เธออยากไปก็ไป เดี๋ยวจะมีคนมาพบฉัน”
“เสี่ยไม่ไป เจนก็ไม่ไปค่ะ”
“เธอไปดีกว่า”
“อ้าว”
เดนนิสเบือนหน้ามามองอ้อย
“ฝากเจนด้วยนะ” เดนนิสเปิดกระเป๋าสตางค์ หยิบเงินให้อ้อยห้าพัน “เป็นค่าเสียเวลานำเที่ยว”
อ้อยเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น
“ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ อ้อยจะดูแลพี่เจนอย่างดีที่สุดเลย” อ้อยหันไปมองพอลและเจียงตาหวานแว่บหนึ่ง “แล้วพี่สองคนนี่ล่ะคะ”
“เขาจะอยู่กับฉัน”
เดนนิสบอก อ้อยเสียดายเล็กๆ แล้วหันมาทางเจนจิรา
“เชิญค่ะ พี่เจน”
เจนจิราเดินตามอ้อยออกไป เดนนิสมองตามแล้วหันมาทางพอลและเจียง
“เดี๋ยวจะมีคนมารับของที่นี่”
“ครับ”
“เสี่ยเอาของมาด้วยหรือครับ”
“คิดว่าฉันอยากจะมาเที่ยวรีสอร์ทบ้าบอนี่นักเรอะ”
พอลนิ่งไปขณะที่เจียงยิ้ม
ก่อนพาเจนจิราไปเที่ยว อ้อยแวะมาบอกศรีตรังก่อน ศรีตรังเงยหน้ามองอ้อยด้วยแววตาเป็นเครื่องหมายคำถาม
“รับอาสาเป็นไก๊ด์”
“ค่ะ”
“แต่เราไม่เคยมีนโยบายแบบนั้น”
“เรียกว่า อ้อยอาสาเองดีกว่าค่ะ นะคะ นายศรีตรัง”
“แล้วทำไมเขาไม่พาเที่ยวกันเอง”
“เห็นคนที่เขาเรียกกันว่าเสี่ยบอกว่า เดี๋ยวจะมีคนมาพบค่ะ”
สิ่งที่อ้อยบอกเป็นข้อมูลใหม่ ดังนั้นพออ้อยไปแล้วศรีตรังจึงรีบมาหาเตชิตที่บ้าน
“พวกนั้นต้องใช้รีสอร์ทของฉันเป็นที่ซื้อขายยาแน่ๆ แล้วต้องเป็นล๊อตใหญ่ด้วยพวกขาใหญ่ถึงได้มาเอง หน็อยแน่ช่างกล้า”
“ฉันจะโทร. บอกผู้กำกับเสนา”
เตชิตหยิบโทรศัพท์ ศรีตรังรีบจับมือไว้ทันที
“ไม่ได้” เตชิตมองหน้าศรีตรัง “ก็แกเคยบอกว่า สงสัยอีตาผู้กำกับคนนี้อาจจะเป็นพวกเดียวกับไอ้เสี่ยสงคราม
ไม่ใช่เรอะ” เตชิตชะงัก
“เออ ใช่”
“เราจัดการกันเองดีกว่า”
“เฮ้ย นี่มันเรื่องใหญ่นะแก”
“รู้...แต่ถ้าทำได้ก็เท่ากับเป็นการกู้ชื่อเสียงของแกกลับคืนมาดีไม่ดี อาจได้เลื่อนรวดเดียวเป็นผู้บัญชาการเลยนะเว้ย”
“พอ พอ โค...ตะ...ระ เพ้อเจ้อเลยแกนี่”
“นึกได้แล้วให้คุณหนูเผือกเสียงหวานของแกช่วยอีกแรง ต้องสำเร็จแน่ๆ”
“ตัวเค้าเองยังเอาไม่รอดเล้ย”
“นี่ไง พอตอนที่พวกมันส่งมอบของกัน ก็ให้คุณหนูเผือกปรากฏตัว แหวกอกแลบลิ้นปลิ้นตาหลอก...”
“เฮ้ย” เตชิตตวาดลั่น
“ทำไม ผีที่ไหนเค้าก็ทำได้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะผีไทยไม่มีแพ้ผีชาติไหนอยู่แล้ว” เตชิตถอนใจเฮือก “ตกลงนะ”
เตชิตทิ้งตัวลงนอนก่ายหน้าผากบนโซฟา
พอลหลบออกมาโทรศัพท์บอกเสนา
“เท่านี้นะครับพี่ ผมต้องไปแล้ว เดี๋ยวพวกมันจะสงสัย”
พอลปิดโทรศัพท์ มองซ้ายมองขวาแล้วเดินออกไปจากที่นั้น เสนาวางโทรศัพท์ลง แล้วลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด เสนาเดินกลับมาหยิบโทรศัพท์กดพลางบ่น
“ไม่อยากจะง้อมันเล้ย”
โทรศัพท์เตชิตดังขึ้น ศรีตรังซึ่งอยู่ใกล้โทรศัพท์หยิบขึ้นมา
“รับ” ศรีตรังโยนโทรศัพท์ให้เตชิต เตชิตรับมาแล้วมองเบอร์พลางขมวดคิ้ว
“ผู้กำกับ เสนาโทร.มาทำไม”
“อยากรู้ก็รับซิ”
เตชิตเบ้ปาก แล้ววางลง
“ไม่...หยิ่งว่ะ”
ศรีตรังหยิบหมอนอิงขว้าง เตชิตรับไว้
“พอลอาจจะโทร.ไปรายงานก็ได้”
เตชิตนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“ไม่จำเป็น เขาพวกเดียวกันก็ต้องรู้กันอยู่แล้ว ที่โทร.มาก็เพื่อจะหยั่งท่าทีฉัน หรืออาจจะหว่านล้อมให้ฉันไปที่อื่น...หรือไม่ก็แกล้งเรียกตัวกลับ”
“เขาจะรู้ได้ยังไงว่าแกอยู่ที่นี่”
“ก็ไอ้พอลไง โฮ้ย...แกนี่”
ทั้งคู่นิ่งไปต่างจมอยู่ในความคิดของตน
ขณะนั้นเดนนินกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนพอลนั่งเล่น เจียงยืนจิบกาแฟแล้วมองไปโดยรอบอย่างสำรวจตรวจตรา เสียงโทรศัพท์พอลดังขึ้นพอลดูเบอร์แล้วกดรับ
“มีอะไรหรือเปล่า แซนดี้”
เสนาสะดุ้ง
“แซนด้งแซนดี้ที่ไหนวะ นี่ฉันเอง”
“ตอนนี้ผมอยู่ต่างจังหวัด ไปรับคุณไม่ได้”
เสนาเริ่มเข้าใจ
“นายอยู่กับพวกมันเรอะ”
“ครับ...ผมไม่ลืมแน่” พอลยิ้มนิดๆ เหมือนผู้หญิงกำลังพูดหวานๆ ด้วย พอลลดเสียงลงเหมือนเขินเดนนิสกับเจียง “เช่นเดียวกันครับ”
พอลปิดโทรศัพท์
“คุณพอลนี่เจ้าชู้เงียบๆ นะ” เจียงบอก
“ไหนว่าเลิกกับแซนดี้แล้วไง”
พอลทำเป็นถอนใจ
“ผมน่ะเลิก แต่เขาไม่ยอมเลิก อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มีความผิดอะไรด้วยผมก็เลยคิดว่าจะลองพยายามเริ่มต้นใหม่ดูอีกครั้ง ยังไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน”
เดนนิสส่ายหน้าทันที
“ไม่ Work หรอก โดยเฉพาะถ้านายมีคนใหม่แล้ว” เดนนิสมองพอลเขม็งขณะพูด
“ใครหรือครับ” เจียงถาม
“ถามมันเองซิ”
“ใครเหรอ คุณพอล”
พอลทอดส่ายตาไปข้างหน้า ดวงตามีแววเศร้าๆ เดนนิสมองเหมือนจะหยั่งให้ถึงส่วนลึกของจิตใจพอลขณะเจียงมองอย่างอยากรู้
“ไม่มีใครลืมความรักครั้งแรกได้หรอก”
สุ้มเสียงและสีหน้าพอลอ่อนเศร้า ด้วยคิดถึงความหลังกับศรีตรัง เดนนิสเข้าใจผิดคิดว่า หมายถึงปรายดาวจึงยิ้มเยาะๆ
“เพราะอย่างนี้นี่เอง นายถึงได้คิดจะเอาปรกเดือนเป็นตัวแทน”
แววตาพอลเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“ไม่จริง... ไม่มีใครแทนใครได้หรอกครับ”
“ดี จำคำนายพูดไว้ก็แล้วกันเพราะเดือนเป็นเมียฉัน”
“ถึงผมจะไม่ใช่คนดีอะไรนัก บางวันอาจจะมีผิดศีลบ้างยกเว้น ข้อ 3 ซึ่งไม่เคยผิดเลยและจะไม่มีวันผิดด้วย”
เจียงทะลุกลางปล้องแบบโง่ๆ
“แล้วศีลข้อ 3 นี่มันว่ายังไงนะครับ”
“ห้ามผิดลูกผิดเมียคนอื่น”
“เออ ใช่ ใช่ ผมลืมไป”
เสียงโทรศัพท์เดนนิสดังขึ้น
“ฮัลโหล” เดนนิสรับสายพลางเดินเข้าไปในบ้าน พอลมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด ขณะที่เจียงยังคงมองพอลอย่างสนใจ
“แล้วศีลข้อไหนที่คุณผิดบ่อยที่สุด”

พอลยิ้มนิดๆ แต่ไม่ตอบ

อ่านต่อหน้า 3





ปางเสน่หา ตอนที่ 5 (ต่อ)

อ้อยพาเจนจิรามาเที่ยวไร่ข้าวโพด อ้อยขับรถช้าๆ เพื่อให้เจนจิราได้ดูเต็มที่

“สวยไหมคะ พี่เจน”
“ร้อนจะตายมีที่อื่นที่ร่มรื่นกว่านี้ไหม”
“ช่วงสายๆ อย่างนี้ก็ร้อนทั้งนั้นแหละค่ะ”
“งั้นก็กลับเถอะ”
“ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อยดีไหมคะ ไหนๆ ก็มาแล้ว”
“ไม่ละ” เจนจิราชะงักนิดหนึ่งเหมือนนึกได้ “เออ ก็ดีเหมือนกันจะได้เอาไปอวดใครบางคน”
สองสาวเปิดประตูรถลงมา แล้วเลือกมุมถ่ายรูปกัน ขณะนั้นเวนย์กำลังขี่มอเตอร์ไซค์ ตรงมาทางบริเวณนั้นสองสาว ถ่ายรูป เจนจิราฉีกยิ้มหวานตั้งท่าเก๋ๆ แต่เวนย์โผล่เข้ามาเวนย์ตะลึงเมื่อเห็นดาราแล้วเหลียวมองจนไม่ดูข้างหน้า มอเตอร์ไซค์จึงชนขอนไม้ล้มคว่ำ เวนย์กระเด็นลงมา
“ว้าย”
สองสาวร้องอย่างตกใจขณะที่เวนย์จุกและเจ็บจนร้องไม่ออก
อ้อยขับรถมาจอดหน้าบ้านจุรีเดินออกมาดูจึงเห็นคนงานกำลังช่วยกันแบกเวนย์ลงมา
“นั่นอะไรกันอีกล่ะ”
“จะอะไรละค่ะนอกจากเซ่อซ่าขี่รถไม่ดูตาม้าตาเรือ ชนคว่ำอีกตามเคย”
“อะลัดตั๊ดต๊า แผลเก่าเพิ่งจะหายได้แผลใหม่มาอีกแล้ว แล้วเอาลงมาทำไมพาไปส่งโรงพยาบาลซิ ขาเขอหักหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“อ้าว ... แม่ทำแผลให้ไม่ได้เหรอคะ”
“ก็ไม่เพราะทำให้หรอกเรอะ ถึงได้เจ็บแล้วเจ็บอีก ไอ้พวกเจ็บไม่จำสะดวกสบายนักเลยไม่รู้จักระวังตัว ให้ทุลักทุเลไปรอคิวที่โรงพยาบาลบ้างจะได้เข็ด”
“เอากลับขึ้นรถไปโรงพยาบาลไป”
อ้อยหันไปสั่งคนงาน คนงานทำหน้าเซ็งๆ แบกเวนย์ขึ้นรถโดยเวนย์ร้องโอดโอยตลอด ทุกคนมองตาม แล้วจุรีหันมามองเจนจิราอย่างชื่นชม
“รับประทานอะไรหรือยังคะ คุณ...”
“ไม่หิวค่ะ เออ ป้าที่นี่ผีดุหรือเปล่าคะ”
อ้อยและจุรีสะดุ้งหันมาสบตากัน แล้วเบือนกลับไปมองเจนจิราพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เจนจิราเบิกตากว้าง
ลูบแขนที่ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
เดนนิสเดินกลับออกมาแล้วพูดด้วยสีหน้าปกติ
“เปลี่ยนสถานที่กับเวลาใหม่”
พอลชะงักนิดหนึ่ง
“ที่ไหนครับเสี่ย”
“เอาไว้ใกล้ๆ เวลาแล้วจะบอก ตอนนี้แกสองคนไปพักผ่อนเอาแรงก่อน”
“แล้วเสี่ยล่ะครับ”
“ฉันก็อยู่นี่แหละ เดี๋ยวเจนจิราก็คงมา”
“ผมกับคุณพอลจะอยู่ที่นี่ดีกว่าครับ”
“บอกว่าไม่ต้อง กลับไปรอที่บ้านพัก”
พอลและเจียงรับคำเบาๆ แล้วเดินไป เดนนิสเดินกลับเข้าบ้าน
พอลกับเจียงเดินกลับมาถึงหน้าบ้าน พอลทรุดตัวลงนั่งหน้าบ้าน
“อ้าว ไม่เข้าไปข้างในหรือคุณพอล” เจียงถาม
“ไม่ละ นายเข้าไปเถอะ”
“กลัวผมเป็นเกย์เหรอ”
“แล้วเป็นหรือเปล่าล่ะ”
“พูดเป็นเล่น” เจียงหัวเราะเดินจะเข้าบ้าน แล้วหยุดหันกลับมามองพอลด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “เมื่อวานตอนที่กลับเข้ามา ผมว่าผมเห็นไอ้เตชิต”
พอลทำเป็นสนใจขึ้นมาทันที
“ที่ไหน”
“ก็ที่รีสอร์ทนี่แหละ”
“แน่ใจหรือ”
เจียงนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“คิดว่าแน่”
“แล้วนายบอกเสี่ยหรือยัง”
“บอกแล้วครับ”
“มิน่า เสี่ยถึงได้เปลี่ยนแผน นายเห็นที่ไหน”
“ก็แถวๆ ใกล้บ้านเจ้าของไร่น่ะครับ”
“ฉันจะไปสืบดูสักหน่อย นายอยู่นี่แหละ เผื่อเสี่ยตามตัว”
พอลเดินออกไปจากบริเวณนั้น เจียงเดินเข้าบ้าน
พอลเดินจนพ้นสายตาเจียง จากนั้นก็ชำเลืองมองซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเสนา
“ไง ตอนนี้อยู่คนเดียวแล้วเรอะ”
“ครับ...พี่ช่วยบอกไอ้เตให้มันระวังตัวหน่อย...ไอ้เจียงรายงานเสี่ยว่าเห็นมันที่นี่”
“นายหาทางบอกเองได้มั้ย มันไม่ยอมรับสายฉัน”
“พี่ก็รู้ว่ามันไม่ฟังผมแน่นอน”
“ฉันก็ลืมไป ขอโทษว่ะ งั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ยังมีอีกเรื่องครับ เดนนิสเปลี่ยนเวลาและสถานที่ส่งของแล้ว”
“เปลี่ยนเป็นที่ไหน”
“ยังไม่ทราบครับ เท่านี้ก่อนนะครับแล้วผมจะติดต่อมาใหม่”
“เออ ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ครับ”
พอลชำเลืองซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไป
ขณะนั้นจุรีและอ้อยมองหน้ากันแล้วหันมาทางเจนเจนจิรา
“รูปผู้หญิงที่ไหนคะ”
อ้อยกับจุรีถามออกมาพร้อมกัน
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เค้าหน้าเหมือนใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก พอจะหยิบขึ้นมามันก็ปลิวไปเหมือนมีคนมากระชาก”
อ้อยเข้าใจว่ารูปเกษรินจึงพึมพำออกมา
“เฮี้ยนจริง ๆ”
“ใครเฮี้ยนจ๊ะ”
เจนจิรามองอย่างสนใจใคร่รู้
“ก็ไอ้ตัวที่เราพยายามทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้ แต่มันก็ยังเนรคุณ ตามมาหลอกมาหลอนอีก”
เจนจิราเบิกตากว้าง
“หมาย ...หมายถึง... ผะ...ผี”
“ค่ะ...ผี”
เจนจิราทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น
“งั้น...งั้น...ฉันก็ไม่ได้ตาฝาด...ผะ...ผะ...ผี...ผีจริง”
จุรีถลึงตาใส่อ้อย เป็นเชิงห้ามแล้วเบือนหน้ามาทางเจนจิรา
“ผีอยู่ส่วนผี คนอยู่ส่วนคน อย่าเอามาปนกันค่ะ”
“โอ๊ย ไม่ปนอะไรกันล่ะแม่ หัวจะโกร๋นกันหมดแล้ว” อ้อยโวยลั่น จุรีถลึงตาใส่
“อะลัดตั๊ดต๊า คุณลูกอ้อย”
“ก็มันจริงนี่คะ คุณแม่จุ”
เจนจิรารีบแทรกก่อนสองแม่ลูกจะเถียงกันลุกลาม
“หยุด” อ้อยกับจุรีหยุด แล้วหันมามอง “ฉันไม่ได้ตาฝาด”
“อ้อยก็ขอยืนยันว่าพี่ไม่ได้ตาฝาดแน่ค่ะ”
เจนจิรานิ่งคิดครู่หนึ่ง
“แล้วรู้หรือเปล่าว่า ผีใคร มาจากไหน” อ้อยรีบสั่นหัว
“ไม่ทราบเลยค่ะ ป้าเริ่มเห็นตั้งแต่ตอนย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็ประมาณ 2 ปีมาแล้วแต่ลูกเขาเพิ่งจะเห็นทำบุญไปให้ก็เฉย ให้หมอผีมาไล่ก็เฉย” จุรีบอก เจนจิราห่อไหล่
“แบบนี้วิญญาณอาฆาตแน่เลย อูย...ขนลุก”
“แล้วจะอาฆาตใครกันล่ะคะ”
อ้อยหลบตามีพิรุธ ในขณะที่เจนจิรามีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เมื่อกลับมาบ้านเจนจิราบอกเดนนิสเรื่องผี เดนนิสจึงหงุดหงิดใส่
“ถ้ายังพล่ามเรื่องผีอีก จะไล่กลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้”
“แต่ว่า แม่บ้าน” เดนนิสมองเจนจินาเขม็งด้วยแววตาน่ากลัว เจนจิราหน้าเสียแล้วหลบตาลงพึมพำ “ขอโทษค่ะ”
เดนนิสเดินจะออกไป
“เจนไปด้วยค่ะ” เจนจิราขยับจะตาม
“ไม่ต้องตามมา อ้อ เก็บเสื้อผ้าได้เลย เดี๋ยวจะกลับบ้านแล้ว”
เจนจิราชะงัก มองเดนนิสเดินออกไปงงๆ
เดนนิสเดินมาหาพอลที่บ้าน พอลรีบลุกขึ้นยืน
“เจียงล่ะ”
“อยู่ข้างในครับ”
เดนนิสมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ต้องมีเกลือเป็นหนอนแน่”
“ทำไมหรือครับ”
“ทางโน้นบอกว่ามีตำรวจมาเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ หน้ารีสอร์ท”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้”
“ไอ้เตชิตมันก็มาฝังตัวอยู่ที่นี่”
“เจียงตาฝาดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ฉันอยากให้นายสืบดู ถ้าเจอก็เก็บมัน เสร็จแล้วค่อยกลับ ตอนนี้ดวงมันกำลังตกด้วย”
“ได้ครับ”
“ฉันรู้ว่า ฉันไว้ใจนายได้”
พอลยังคงมีสีหน้าขรึมเลย
เดนนิสให้พอลอยู่ต่อส่วนตัวเองเดินทางกลับกรุงเทพพร้อมกับเจนจิราและเจียง
“กลับเสียทีก็ดีค่ะ ไม่เห็นค่อยมีอะไรเลย นอกจากผี” เจนจิราบอก เดนนิสเบือนหน้ามามองแว่บหนึ่ง เจนจิรา
จ๋อย “ขอโทษค่ะ เจนลืมไป”
เดนนิสนั่งเงียบๆ เจนจิราลอบมองอย่างน้อยใจ
เตชิตไม่ยอมรับโทรศัพท์เสนา เสนาจึงให้ธงโทรเตือนเตชิตให้ระวังตัว
“ต้องเป็นไอ้ผู้กองพอลแน่ๆ เพราะมันเป็นคนเดียวที่เห็นฉัน”
“ก็ไม่ทราบละครับ ผู้กองระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
“แปลก”
“อะไรนะครับ”
“ก็ผู้กำกับเป็นพวกเดียวกับไอ้พอล แล้วเขาจะมาเตือนฉันทำไม”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา”
“ขอบใจ แล้วคุยกันใหม่”
เตชิตวางโทรศัพท์ลง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขณะนั้นพอลกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่บ้านพัก แต่แล้วจู่ๆ เสียงเตชิตก็ดังลั่นเข้ามา
“ไอ้เพชร ไอ้พอลหรือไอ้อะไรก็ได้ แน่จริงออกมาซิวะ” พอลเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ “ไอ้พอล ไอ้ขี้ขลาด”
พอลทำหน้าเบื่อๆ พับหนังสือพิมพ์วางอย่างใจเย็น แล้วเดินไปที่หน้าต่างโผล่มองออกไปจึงเห็นเตชิตร้องท้าเหย็งๆ อยู่ภายนอก
“ออกมา ออกมา ไอ้พอล อย่ามัวแต่หดหัวอยู่ในกระดอง”
พอลส่ายหน้าแล้วเดินไปที่ประตู เปิดออกไปอย่างใจเย็น พอลเดินออกมาแบบใจเย็นเสียเต็มประดา
“ออกมาแล้วเรอะ”
“เออ แล้วแกจะทำไม”
เตชิตฉุนจัดแล้วถลาเข้ามาร่อนหมัดต่อยพอลซึ่งยังไม่ทันตั้งตัวจนเซถลาล้มลงไป เตชิตสะใจเต็มที่
“ก็ทำแบบนี้ไง” พอลสะบัดเสยเข้าที่แล้วใช้ขาเตะรวบขาเตชิตอย่างรวดเร็วจนเตชิตเสียหลักเช่นกัน แต่ยังไม่ทันล้ม พอลสปริงตัวขึ้นมาดึงคอเสื้อเตชิตเอาไว้ “อย่าเพิ่งล้ม”
พอลรัวหมัดใส่เตชิตบ้าง เตชิตเซถลาล้มเช่นกัน เสียงหวานปรากฎตัวขึ้นที่หน้าต่าง
“ตายแล้ว” เสียงหวานเบิกตากว้างอย่างตกใจรีบเดินทะลุผ่านออกไป “คุณเตคะ”
เตชิตซึ่งกำลังค่อนข้างได้เปรียบหันมามอง พอลต่อยเปรี้ยงจนเตชิตเซไปก้นกระแทก
“บอกแล้วว่าอย่าเผลอ”
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
“ไม่ต้องมาขอโทษ เห็นมั้ยว่าทำอะไรลงไป”
เตชิตต่อว่าเสียงหวานอย่างฉุนจัด พอลหันไปมองตามสายตาเตชิตเห็นแต่ความว่างเปล่า จึงค่อยๆหันกลับมามองเตชิตอย่างไม่แน่ใจ เตชิตซึ่งคอยทีอยู่แล้วส่วนหมัดโครมทันที
“ไม่ให้ฉันเผลอ แล้วแกดันเผลอทำไม”
เตชิตเข้าซ้ำอีก เสียงหวานห้ามเสียงหลง
“อย่าค่ะ”
พอลตั้งตัวได้แลกหมัดกับเตชิต่อ เสียงหวานถลาเข้ามาห้ามมวยตรงกลาง
“อย่าค่ะ อย่าต่อยกัน”
สองหนุ่มปล่อยหมัดทะลุตัวเสียงหวาน คนงานที่ผ่านมามองเตชิตต่อยกับพอลอย่างตกใจ
“อย่าขวาง บอกว่าอย่าขวาง”
เตชิตบอกเสียงหวานระหว่างต่อยกับพอล
“หยุดค่ะ หยุด”
เตชิตโดนพอลต่อยจึงโวยลั่น
“คุณห้ามมันบ้างซิ”
“ก็เขาไม่เห็นฉันนี่คะ”
“งั้นก็กรุณาหุบปาก”
“แกพูดกับใครวะ” พอลถามอย่างแปลกใจ
“พูดกับผี”
ขณะนั้นศรีตรังกำลังทำงานอยู่ เมื่อสมหน้าตาตื่นมาบอกว่าเตชิตชกกับพอล ศรีตรังจึงรีบขับรถมายังจุดเกิดเหตุ
เมื่อมาถึงศรีตรังกดแตรรถแรงๆ หลายที เตชิต พอล เสียงหวานชะงักหันมามอง แล้วกระโดดหลบแทบไม่ทันเมื่อศรีตรังขับรถแทรกมาตรงกลาง สมซึ่งนั่งมากับศรีตรังร้องลั่นยกมือปิดหน้าศรีตรังเบรคจนสมหน้าทิ่ม
ศรีตรังกระโดดลงจากรถพร้อมกับโวยวาย
“รีสอร์ทฉันไม่ใช่สนามมวยนะ คู้ณ”
เสียงหวานรีบหายวับมาอยู่ข้างหลังศรีตรัง
“เห็นด้วยค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” เตชิตดุเสียงหวาน
“ด้วยความเคารพ นายศรีตรังเป็นเจ้าของรีสอร์ทนะครับ” สมบอก
“ผมไม่ได้พูดกับคุณ” สมสะดุ้ง เตชิตกลับไปมองเสียงหวาน “คุณด้วย”
เสียงหวานหน้าจ๋อย
“พูดกับแฟนดีๆ หน่อยซิ”
พอลบอก ศรีตรังหันขวับมาถลึงตาใส่แล้วพูดเน้นๆ
“ธุระไม่ใช่”
“เรื่องผัวๆ เมียๆ ลืมไป”
“ว่าอะไรนะ” ศรีตรังตาลุกวาว
“ของดีมีครั้งเดียว”
สมยกมือขอพูดบ้าง
“ด้วยความเคารพ คุณแกบอกว่าเรื่องผัวๆ เมียๆ ครับ”
ศรีตรังตบหน้าพอลเปรี้ยง ขณะที่เสียงหวานหันมามองเตชิต
“คุณมีอะไรกับเธอหรือคะ”
เสียงหวานถามเตชิต เตชิตโวยลั่น
“เปล่า...า...”
ทุกคนหันมามองเตชิต
“เปล่าอะไร”
“โธ่เว้ย”
เตชิตหัวเสียเดินเข้าบ้านทุกคนมองตาม ขณะที่เสียงหวานหายไป
เตชิตปิดประตูโครมแล้วล๊อค เมื่อหันกลับมาก็เห็นเสี่ยงหวานนั่งอยู่บนเก้าอี้
“คุณมีอะไรกับเธอหรือคะ”
เสียงหวานถามต่อ เตชิตถอนใจเฮือกประมาณสุดรำคาญแล้วเดินเข้าห้องนอน พลางกระชากประตูปิดโครม
เมื่อเข้ามาในห้องนอนเตชิตก็เห็นเสี่ยงหวานนั่งอยู่บนเตียง
“คุณมีอะไรกับเธอหรือคะ”
เสี่ยงหวานยังถามประโยคเดิม
“ออกไป”
“จริงใช่มั้ย”
“ออกไป”
“เสียแรงที่ฉันคิดว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษ”
“ได้ยินไหมที่บอกว่า “ออกไป”
เสียงหวานเม้มปากโกรธจัด แสงรอบตัวกลายเป็นแดงจัด ร่างเสียงหวานเลือนหายไป เตชิตถอนใจเฮือกเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง
ขณะนั้นด้านนอกพอลกับศรีตรังกำลังใส่อารมณ์กันเต็มที่โดยมีสมอยู่ตรงกลาง
“ฉันเป็นเพื่อนกับเตชิต”
“ก็เห็นพูดกันอย่างนี้ทั้งนั้น”
“เออ ฉันเป็นแฟนกับเขาก็ได้”
ศรีตรังบอกอย่างฉุนจัด พอลพยักเพยิด
“ก็เท่านั้นเอง”
พอลหันหลังกลับจะเดินออกไป
“ออกไปจากรีสอร์ทของฉันเดี๋ยวนี้” สมสะดุ้ง
“ด้วยความเคารพ นั่นไล่แขกเลยนะครับ”
“ผมไม่ไป” พอลหันมาบอก
“ด้วยความเคารพ นายศรีตรังเป็นเจ้าของรีสอร์ทนะครับ”
“ลุงจะเอายังไงกันแน่”
“ผม...”
“ฉันให้เวลาคุณ 20 นาที ถ้าไม่ไป ฉันจะมาจัดการเอง”
ศรีตรังเดินไปที่รถ สมรีบตามขณะพูด
“ด้วยความเคารพ ....”
“ลุงสมจะไปกับศรีมั้ยคะ”
“แล้วผมจะอยู่ทำไมล่ะครับ”
ศรีตรังขึ้นรถ สมตามขณะที่พอลเดินเข้าบ้านอย่างสบายอารมณ์
ส่วนตรีทศจณะที่เขากำลังนั่งทำงานอยู่นั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เชิญครับ” ประตูเปิดออกอ้อยเดินเข้ามาแล้วปิดประตู ตรีทศลุกขึ้นยืน “อ้อย...ผมว่า...”
อ้อยเดินตรงมาแล้วยกนิ้วแตะปากตรีทศ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรค่ะ ฟังอ้อยก่อน” ตรีทศขยับหนีทันที แววตาอ้อยเป็นประกายแว่บหนึ่ง “รังเกียจอ้อยมากหรือคะ”
“เปล่า ผมหมายถึงว่า เราเป็นอะไรกันไม่ได้นอกจากเป็นเพื่อน”
“อ้อยน่ารังเกียจตรงไหน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่า...”
“คุณยังตัดใจจากเกษรินไม่ได้”
ตรีทศมีสีหน้าแววตาเจ็บปวด
“อย่าดึงเกษเข้ามาเกี่ยว เขาไปสบายแล้ว”
“มันก็ไม่แน่”
“หมายความว่ายังไง”
อ้อยมองตรีทศด้วยสายตาจริงจัง
“อ้อยให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
ตรีทศมองอ้อยอย่างจริงจังเช่นกัน
“ผมไม่ได้รักอ้อย”
“แล้วเราจะได้เห็นกัน”
อ้อยเดินออกไป ตรีทศมองตามอย่างโล่งใจ
อ้อยเดินออกจากออฟฟิศของตรีทศ แล้วหยิบโทรศัพท์มากดหาศักดิ์สิทธิ์
“ศักดิ์ อยากทำอะไรก็เอาเลย”
อ้อยเก็บโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต
ศรีตรังเหลือบมองนาฬิกาพอครบยี่สิบนาทีจึงหยิบโทรศัพท์มากดหาสม พอรู้ว่าพอลยังไม่ออกไปจากรีสอร์ทของเธอ ศรีตรังจึงขับรถอย่างเร็วมาที่บ้านพักพอล ศรีตรังเบรครถเสียงดังลั่นแล้วลงจากรถเดินอาดๆ มาที่ประตู แล้วทุบโครมๆ
“เปิดประตู บอกให้เปิดประตู” ทุกอย่างเงียบสนิทศรีตรังทุบอีก “เปิดประตู”
ประตูเปิดออก ศรีตรังเดินเข้าไป
ศรีตรังก้าวเข้ามาในบ้าน พอลปิดประตูศรีตรังหันขวับมามอง พอลสบตาศรีตรังอย่างเคร่งขรึม ศรีตรังเหลือบมองประตูที่ปิดแว่บหนึ่ง
“ครบ 20 นาทีแล้ว”
“ทำไมถึงต้องไล่ผมออกไป อยากรู้เหตุผล”
“เพราะฉันเหม็นขี้หน้าคุณ เหตุผลแค่นี้พอมั้ย”
พอลทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าแววตาสบายๆ
“เพราะหน้าตาผมอาจจะไปคล้ายๆ ผู้ชายที่เคยทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจมากกว่ามั้ง”
“คุณ” ศรีตรังโกรธจัด
“เป็นไง กระแทกใจดำเลยใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่ใช่” ศรีตรังตวาด พอลมองศรีตรัง แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา ศรีตรังสบตาพอลแล้วตั้งสติ “เพราะคุณหน้าตาคล้ายๆผู้ชายที่ฉันทำให้เจ็บช้ำน้ำใจต่างหาก” พอลเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง สีหน้าแววตาที่ยิ้มๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ศรีตรังมองอย่างสะใจ “ลาก่อน...พอล...ล...ล”
ศรีตรังเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกไป พอลยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
พอออกมาหน้าบ้านศรีตรังกำมือชักข้อศอกอย่างสะใจ
“เยส สะใจ สะใจสุดๆ”
ศรีตรังเดินมาขึ้นรถแล้วขับรถมาจอดหน้าบ้านเตชิต ศรีตรังลงจากรถเดินมาตะโกนเรียกเตชิต
“เต ไอ้เต”
ศรีตรังจับลูกบิดลองหมุนดู ประตูเปิด ศรีตรังเดินเข้าไป
“เจ๋งว่ะ ว่าแต่แน่ใจนะว่าสะใจมากกว่าเสียใจ”
เตชิตถามเมื่อศรีตรังเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“สุดจะแน่”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่ใช่คนเดิมแล้วแต่เป็นอาชญากรที่ทางการกำลังต้องการตัว”
ศรีตรังอึ้งไป นัยน์ตาเศร้าลง
พอลโทรศัพท์บอกเดนนิสเรื่องที่ย้ายออกจากไร่สุขศรีตรัง ขณะนั้นเดนนิสเพิ่งกลับถึงบ้าน
“จะไปทำอะไรก็ไป” เดนนิสพยักหน้ากับลูกน้องก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ “ว่าไง”
“ผมคงต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วละครับ”
“อ้าว ทำไม”
“ผมดันไปมีเรื่องกับขาใหญ่แถวนี้”
“เฮ้ย...ระวังอย่าให้เสียงานนะ ถ้ามันวุ่นวายนักก็เก็บมันซะ จะให้ส่งคนไปไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองได้”
“ฉันเชื่อมือนาย”
“เท่านี้แหละครับ”
เดนนิสปิดโทรศัพท์แล้วลุกเดินขึ้นไปข้างบน
สมมาหาศรีตรังที่ออฟฟิศเพื่อพอลยอมย้ายออก
“นั่งซิคะ ลุงสม มีอะไรหรือเปล่า”
“ด้วยความเคารพ ไปแล้วครับ”
“ใครไปไหนคะ”
“ก็สุภาพบุรุษที่นายศรีตรังไล่ไงครับ ท่านเอากุญแจบ้านมาคืนเมื่อสักครู่นี่เอง” ศรีตรังเม้มปาก หน้างอ “ด้วยความเคารพ ดีหรือไม่ดีครับ”
“กลางๆ ค่อนไปทางดีค่ะ”
“อ้อ... ผมมารายงานแค่นี้แหละครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” สมเดินไปที่ประตู มือดึงประตูเปิดออก “ที่จริงลุงสมให้ใครมาบอกก็ได้ค่ะ ไม่ต้องลำบากมาเอง”
สมหันกลับมา
“ด้วยความเคารพ แค่เดินเข้ามาแล้วก็ออกไปไม่ลำบากเลยครับ สบายมาก”
สมก้าวออกไป แล้วปิดประตูตรงมือถูกประตูทับทันที เพราะสมชักมือออกไปไม่ทัน ศรีตรังสะดุ้งแล้วหลับตาปี๋
ประตูค่อยๆ แง้มออกอีกครั้ง สมหน้าตาเหยเกค่อยๆ ยื่นเข้ามา
“ขอถอนคำพูดครับ ด้วยความเคารพ”
ประตูถูกดึงปิด ศรีตรังถอนใจเฮือก
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านของปรกเดือนขณะที่ปรกเดือนถือกรรไกรจะออกไปตัดดอกไม้ แจ๋วเดินถือกระ
เช้าผักปลอดสารพิษมาหาปรกเดือน
“นั่นใครส่งมา”
“ไม่ทราบค่ะ เขาบอกว่า ฝากไว้ให้คุณผู้หญิง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แจ๋ววางกระเช้าลงแล้วเดินไปรับโทรศัพท์ “
“สวัสดีค่ะ...” แจ๋วค่อยๆ เบือนหน้ามามองปรกเดือนเหมือนลังเลเมื่อได้ฟังเสียงจากปลายสาย ปรกเดือนนึกรู้ทันที
“เอามาซิ”
แจ๋วเดินถือโทรศัพท์มาค้อมตัวส่งให้อย่างเรียบร้อย
“เธอใช่มั้ยที่ส่งตะกร้าผักมาให้ “
ปรกเดือนถาม เจนจิราหัวเราะคิกคัก
“ต๊าย! แม่นอ้ะ ผักปลอดสารพิษนะคะนั่นน่ะ ...เห็นแล้วอดนึกถึงคุณเดือนไม่ได้ ตามประสาคนหวังดีรับประทานแล้วปลอดภัยอนามัยดี มีอายุยืนนานจะได้ดูหวานใจถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตาไงคะฎ
ปรกเดือนพยายามตั้งสติสวนกลับ
“เหรอ แต่ฉันว่าคงลำบากหน่อยนะ...เพราะคนกลางเขาตาถึง รู้ว่าใครเป็นเพชรแท้ ใครเป็นแค่ก้อนกรวด”
เจนจิราอ้าปากค้างเพราะนึกไม่ถึว่าจะได้คำตอบเช่นนั้น “เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่ยอมหย่ากับฉันไง เขาไม่ยอมหย่านะ ไม่ใช่ฉันไม่ยอมหย่าขอย้ำ”
แววตาเจนจิราเป็นประกายวาวขึ้นมาทันที
“ไม่จริง เขาเหม็นขี้หน้าเธอจนไม่อยากอยู่ด้วย”
“อ้าว แต่เวลาอยู่กับฉันเขาพูดคนละอย่างเลยนะ มีแต่บอกว่าฉันน่ะหอมธรรมชาติ ไม่เหมือนคนอื่นที่ประโคมน้ำหอมเข้าไปจนตัวเหม็นเชียว”
“โกหก แกโกหก”
“โทร. มาแค่นี้ใช่ไหม สวัสดีจ้ะ”
ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลง ท่ามกลางสายตาประหลาดใจและสะใจสุดๆ ของแจ๋ว
“มันต้องอย่างนี้สิคะ คุณผู้หญิง” สีหน้าแววตาปผรกเดือนกลับมาหมองหม่นตามเดิม “กระเช้านี่ล่ะคะ”
“แจ๋วเอาไปทำอะไรกินเองเถอะ”
ปรกเดือนเดินออกไป แจ๋วมองตาม
ปรกเดือนเดินเข้ามาในสวนแล้วทรุดตัวลงนั่ง คิดถึงคำพูดของเจนจิรา
“ต๊าย! แม่นอ้ะผักปลอดสารพิษนะคะนั่นน่ะ ...เห็นแล้วอดนึกถึงคุณเดือนไม่ได้ ตามประสาคนหวังดี รับประทานแล้วปลอดภัยอนามัยดี มีอายุยืนนานจะได้ดูหวานใจถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตาไงคะ”
ปรกเดือนเม้มปาก นั่งนิ่งอย่างนั้นครู่หนึ่งแล้วสะบัดหน้าเหมือนจะให้เรื่องเจนจิราออกไปจากหัว แล้วลุกขึ้นไปตัดดอกไม้ ผิดกับเจนจิราที่เดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด
“นังปรกเดือน หน๊อยแน่บังอาจต่อปากต่อคำ สงสัยจะได้กุนซือดี เราต้องคิดแผนใหม่”
ส่วนที่ปากช่อง ค่ำวันนั้นอ้อยพาศักดิ์สิทธิ์มาบ้านหมอผี หมอผีส่งผ้ายันต์ให้ศักดิ์สิทธิ์
“เอ้า เอานี่ไป”
ศักดิ์สิทธิ์จ้องมองยันต์ แล้วเงยหน้ามองหมอผี
“เอาไปทำไมครับ”
“เอาไปถูบ้านมั้ง”
หมอผีบอกอย่างฉุนๆ ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มแห้งๆ อ้อยเอาข้อศอกถองศักดิ์สิทธิ์เบาๆ
“เขาเรียกว่า ผ้ายันต์ ข้าให้เอาไปสะกดนังผีนั่นอีตอนย้ายที่อยู่ให้มัน”
อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์มองหน้ากัน แล้วหันมามองหน้าหมอผี
“ย้ายที่อยู่”
อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ถามออกมาพร้อมกัน
“เออ...มันจะได้ออกมาหลอกหลอนเอ็งอีกไม่ได้ไง”
“แล้ว แล้วใครจะเป็นคนขุดล่ะคะ”
“บิดามารดาพวกเอ็งไง” อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ยิ้มแหยๆ “เฮอะ ... ถามได้”
หมอผีลุกขึ้นทันที อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์รีบลุกตาม
“ลุงหมอจะไปไหนคะ”
“กลับบ้าน”
หมอผีบอกแล้วเดินไปที่ประตู อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์รีบตามเลิ่กลั่ก
“แล้วนี่ไม่ใช่บ้านของลุงหมอหรือครับ”
หมอผีถอนใจเฮือกอย่างหงุดหงิด แล้วหันกลับมา
“ถามจริง ถ้าเป็นเอ็ง เอ็งจะอยู่ได้มั้ย” อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า “ฉันใดก็ฉันเพล ข้าก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ยิ่งกลางคืนยิ่งวังเวงน่ากลัวกว่านี้อีก” หมอเปิดประตูเดินออกไป อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์รีบตาม หมอผีเดินตรงไปที่มอเตอร์ไซค์
“ตอนกลางวันค่อยยังชั่วหน่อย ใช้เป็นออฟฟิศได้”
“แล้วทำไมลุงหมอถึงไม่ไปอยู่ที่อื่นที่มันน่ากลัวน้อยกว่านี่หน่อยล่ะครับ”
หมอผีหันขวับกลับมา
“ก็เพราะที่ไหนมันก็ดูไม่ขลังเหมือนที่นี่น่ะซิ ไอ้เซ่อ” ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มแห้งๆ “ไปละ ขอให้โชคดีผีไม่หลอกนะเว้ย”
หมอผีขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์มองตาม ขณะนั้นเสียงหมาหอนค่อยๆ ดังแว่วมา อ้อยคว้าแขนศักดิ์สิทธิ์แล้วพูดเสียงสั่น
“รีบไปกันเถอะ”
ทั้งคู่รีบขึ้นรถ ศักดิ์สิทธิ์สตาร์ทรถมือไม้สั่นแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
พอกลับจากบ้านหมอผี อ้อยจึงมาหาตรีทศที่บ้าน ขณะนั้นตรีทศกำลังนั่งดูทีวีอยู่
“ฮัลโหลๆๆ พี่ทศขา พี่ทศ” ตรีทศชะงักหรี่เสียงทีวี เพื่อจะฟังให้ถนัด “พี่ทศ”
ตรีทศนิ่วหน้า ปิดทีวีแล้วลุกเดินไปเปิดประตู
เมื่อเปิดประตูออกมาตรีทศก็ต้องชะงัก เพราะอ้อยผวาเข้ามากอด
“อ้อย”
“พี่ทศช่วยด้วยค่ะ อ้อยถูกผีหลอก”
ตรีทศจับต้นแขนอ้อย ดึงห่างออกไป
“ผีเผออะไรที่ไหน”
“ก็ผีนัง...เอ๊ย ผีเกษรินน่ะซีคะ”
ตรีทศชะงัก
“เกษรินยังไม่ตาย คุณเตชิตบอกว่าเกษแต่งงานไปกับเพื่อนของเขา”
“งั้นพี่เตชิตก็โกหก”
“เขาจะโกหกทำไม ไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา”
“นั่นอ้อยก็ไม่รู้ แต่พี่ก็เห็นนี่ว่าศักดิ์โดนผีเกษรินหลอก...” อ้อยเหลียวซ้ายแลขวาแล้วลดเสียงลง “จะบอกอะไรให้ พี่เตชิตนั่นแหละที่เห็นผีเกษรินก่อนใคร”
“ฮื้อ”
“จริงๆ ค่ะ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ นายศรีตรังเอย...ลุงสมเอย ...แม่เอย...เขาปิดกันให้แซ่ดมีแต่พี่ทศเท่านั้นแหละที่มัวแต่ยุ่งกับงาน ไม่ได้สนใจอะไร”
“พี่ไม่เข้าใจ”
“งั้นพี่จะไปพิสูจน์กับอ้อยมั้ยล่ะ” ตรีทศขยับจะปฏิเสธ แต่อ้อยพูดขึ้นก่อน “เมื่อคืนวานตอนอ้อยเคลิ้มๆ จะหลับไม่หลับแหล่ เกษเขามาบอกให้อ้อยช่วยน่ากลัวมากเลยค่ะ เลือดโซมไปหมด พอตกใจตื่นขึ้นมาอ้อยงี้หนาวยะเยือก แต่ก็ยังพยายามคิดว่า เป็นเพราะแม่มาเล่าเรื่องพี่เตชิตเจอผีให้ฟังทำให้ฝันเป็นตุเป็นตะ แต่...แต่เมื่อกี้นี่เอง...” อ้อยทำหน้าสยองสุดๆ “อ้อยลืมของไว้ที่โรงงานเลยกลับไปเอา อ้อยเห็นจะจะเลย”
อ้อยแต่งเรื่องโกหกตรีทศว่าเจอผีเกษรริน ระหว่างเล่าอ้อยกอดตรีทศแน่นประมาณว่ากลัวสุดๆ
“เกษเขาบอกอ้อยว่าอย่ากลัว เขาแค่มาขอความช่วยเหลือ”
ตรีทศจับต้นแขนอ้อย ดึงออกห่าง
“ทำไมเกษไม่มาขอความช่วยเหลือพี่ แทนที่จะเป็นอ้อย อ้อยไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเขามากมาย”
“อ้อยก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาว่าเขาทุกข์ทรมานมากไปผุดไปเกิดก็ไม่ได้ เขาบอกให้อ้อยช่วยขุดร่างขึ้นมา”
“เขาบอกหรือเปล่าว่า ร่างเขาอยู่ที่ไหน แล้วใคร...ฆ่าเขา”

ตรีทศรีบถาม อ้อยมองสบตาตรีทศ แล้วบีบน้ำตาออกมา

อ่านต่อตอนที่ 6 วันที่ 22 ม.ค. 55




กำลังโหลดความคิดเห็น