หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 12
ที่แท้ธานีเปิดปางไม้แห่งนี้ทำศูนย์ฝึกอาชีพชาวบ้านบังหน้า ส่วนกิจการไม้เถื่อนนั้นเป็นกิจการลับ ชาวบ้านเองก็ไม่มีใครรู้ว่าที่นี่เป็นปางไม้เถื่อน
ดนัย แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งมอง อึ้งไปด้วยถึงกับร้องออกมาพร้อมๆ กัน
“ศูนย์ฝึกอาชีพ!
“ข้ามียาสมุนไพรประสานกล้ามเนื้อ เดี๋ยวจะแจกให้คุณหนูกับเพื่อนๆ ไปกินแก้หน้าแตกสักคนละชุดนะ”
ธานี หัวเราะชอบใจ ยกนิ้วให้กาซู ยิ้มเย้ยเต็มที่
ฉวีวรรณหันไปมองดนัย ทั้งคู่งงไม่แตกต่างกัน “เป็นไปได้ยังไง”
จังหวะนั้นก็ชาวบ้านคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ มาไหว้ธานีอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับเสี่ย วันนี้แวะมาดูงานเหรอครับ”
“ลูกสาวเพื่อนของฉันเขาอยากมาดูศูนย์ฝึกอาชีพของชาวบ้านน่ะ” เสี่ยธานียิ้มแย้ม
“เชิญเลยครับ เสี่ยธานีมีบุญคุณกับพวกเรามาก ออกทุนสร้างศูนย์ฝึกอาชีพ ทำให้พวกเรามีรายได้เลี้ยงครอบครัว ไม่ต้องไปทำอาชีพผิดกฎหมาย” ชาวบ้านอวยธานี
ศิริทึ่งชมออกมา “ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย นายเป็นคนดีจริงๆ ธานี”
“แหม พี่ศิริก็ชมผมเกินไป เรื่องเล็กน้อยครับ ช่วยอะไรได้ก็ช่วยกัน” ธานีถ่อมตัวแต่ยิ้มร่า...
“ป๊าชอบปิดทองหลังพระน่ะครับ เลยทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แบบนี้ทำคุณบูชาโทษชัดๆ”
ดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิและบุญทิ้งต่างรู้ดีว่าธานีกับธนวัติโกหก
“โกหก!” ฉวีวรรณพูดอย่างโมโห
อุ๊บอิ๊บหันมาพูดกับฉวีวรรณ “เลิกปรักปรำพ่อฉันสักที”
ดนัยหันไปมองทางธนวัติ “พวกแกจงใจจัดฉาก เอาไม้ไปซ่อนไว้ที่ไหน
ธนวัติพูดอย่างลอยหน้าลอยตา “ไม่มีหลักฐาน อย่าใส่ความกันสิ”
ดนัยโกรธจัด ชกธนวัติล้มลงไป ศิริรีบห้ามบอกดนัยเสียงเข้ม
“อย่ามาทำตัวนักเลงแถวนี้ ไม่เห็นหัวฉันบ้างเลยรึไง”
ธนวัติโมโหจะยิงดนัย แต่ดนัยพุ่งเข้าผลักปืนขึ้น ปืนลั่นขึ้นฟ้า ดนัยยื้อแย่งปืนกับธนวัติ เตะเข่าธนวัติล้มลง ดนัยถือโอกาสที่ศิริหลบลูกปืน รีบดึงแขนฉวีวรรณวิ่งหนี
“ไปเร็วหวี”
ธานีดูอยู่รีบสั่งลูกน้อง “จับตัวพวกมันไว้”
พวกลูกน้องกรูจะมาจับตัว ดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิและบุญทิ้ง รีบผลักถังใส่ของมาขวางทาง
แล้วทุกคนวิ่งหนีแตกตื่นอลเวงอยู่มุมในปางไม้ของธานี
แจ๋คว้าตะกร้าสานของชาวบ้านมาครอบหัวลูกน้องธานีคนหนึ่ง กิมจิกับแจ๋ช่วยกันจับลูกน้อง1หมุนไปมาจนมึน ลูกน้อง1 มึนหันไปชกพวกเดียวกันเอง
อุ๊บอิ๊บห่วงดนัย จะไปช่วยดนัยที่กำลังชกต่อยกับธนวัติ
“อ๊าย พี่ดนัย ระวังค่ะ พี่วัติอย่าทำพี่ดนัย”
อุ๊บอิ๊บเอาแต่กรี๊ดกร๊าดเป็นห่วงดนัย กิมจิชกลูกน้องคนหนึ่ง เซมาชนอุ๊บอิ๊บ จนล้มไปบนรถเข็น รถเข็นไถลลื่นไป อุ๊บอิ๊บกระเด็นลอยไปตกอยู่ในอ้อมแขนของบุญทิ้ง
บุญทิ้งรับไว้อย่างพอดี อุ๊บอิ๊บเห็นหน้าบุญทิ้งระยะประชิดก็ตกใจ ตบหน้าบุญทิ้ง
“อ๊าย ปล่อยฉันนะ”
อุ๊บอิ๊บผลักบุญทิ้งล้มลง แล้ววิ่งหนีไปตามหาดนัย
“พี่ดนัยของอุ๊บอิ๊บอยู่ที่ไหน”
มุมหนึ่งในโรงเลื่อย ขณะที่ทุกคนชุลมุนกัน กาซูล้วงเชือกอาคมจากย่ามมาบริกรรมคาถา จะเล่นงานดนัย แต่แล้วก็มีลูกธนูจากหน้าไม้พุ่งเข้าหากาซู กาซูหลบเฉียดฉิว พร้อมกับร่างของวินยาที่แอบตามมาโผล่ออกมา กาซูโกรธจัด
“วินยา นังจอมยุ่ง!”
“อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้แกใช้วิธีสกปรกทำลายคนดี”
วินยาสู้กับกาซูโดยการเตะต่อย ไม่ใช้เวทมนต์ใดๆ กาซูหลบหลีกลนลาน
ส่วนศิริ สุภาพ และอาหลู่ วิ่งตามเข้ามาหา ฉวีวรรณ ที่อยู่กับดนัยกำลังต่อสู้อยู่กับลูกน้องธานี
ศิริสั่งสุภาพ “ไปเอาตัวยายหวีมา”
สุภาพและอาหลู่ทำซ่าจะไปลุย แต่เจอลูกน้องธานีคนหนึ่ง ถูกยำโยนบกเข้ามาชนทั้งคู่ล้มลง สุภาพ อาหลู่กลับลนลาน รีบมาหลบหลังศิริ
“โธ่เอ๊ย ไม่ได้เรื่องเล้ย”
จังหวะหนึ่งธนวัติหยิบท่อนเหล็กเข้ามาจะฟาดดนัย แต่ดนัยหลบหลีก แล้วทั้งถีบทั้งต่อยธนวัติ
ธานีฉวยโอกาสมาจับตัวฉวีวรรณไป
ฉวีวรรณกรี๊ดลั่น
“มานี่”
“ปล่อยนะ”
ดนัยกำลังสู้กับธนวัติ ชกธนวัติล้ม แล้วรีบตามมาปกป้องฉวีวรรณ ดนัยพูดเสียงเข้มท่าทางเอาจริงกับธานี
“ปล่อยหวีนะ”
ธานีกลัว รีบยกมือยอมแพ้
“ปล่อยจ้ะ ปล่อยแล้ว”
ดนัยรีบดึงฉวีวรรณไป
ศิริตะโกนเรียก “หวี กลับมาเดี๋ยวนี้ หวี อย่าไป”
“พ่อ หวีขอโทษ”
ฉวีวรรณหนีไปกับดนัย อุ๊บอิ๊บแถเข้ามาจะตามไปด้วย
“พี่ดนัยขา รออุ๊บอิ๊บด้วย”
แจ๋หมั่นไส้ ยกมือขู่ “ยายหนอนบ่อนไส้ ตามมาอีกก้าวเดียว ฉันตบ”
อุ๊บอิ๊บมีชะนักติดหลังเบรกเอี๊ยด ไม่กล้าหือ
วินยาซัดกาซูล้ม แล้วรีบหนีตาม ดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งไป ศิริได้แต่มองตามฉวีวรรณ เสียใจมาก ตะโกนเรียกแต่ลูกสาวไม่หันกลับมามอง
“หวี!!! ยายหวี กลับมา”
กลุ่มของศิริคว้าน้ำเหลว กลับมาที่แค้มป์กลางป่า เวลานั้นธานี ธนวัติและกาซูคุยกันอยู แต่ละคนต่างอยู่ในโหมดอารมณ์โมโห
“เจ็บใจจริงๆ มันหนีไปได้อีกแล้ว”
ธานีโวยใส่กาซู
“ไอ้กาซู ทำไมแกไม่ทำอะไรสักอย่าง วิชาของแกน่ะ เก็บไว้ทำไม ทำไมไม่เล่นงานมัน”
“นังวินยาตามมาช่วยพวกมันไว้ อีกอย่า เสี่ยบอกเองไม่ใช่รึว่า ไม่อยากให้ข้าแสดงตัวต่อหน้าไอ้ศิริ เดี๋ยวมันจะสงสัย”
กาซูอธิบายเหตุผล ธานีได้ฟังก็เสียงอ่อนลง
“เออ ที่แกพูดมันก็ถูก นี่ดีนะที่เราไหวตัวทันจัดฉากให้ไอ้พวกชาวบ้านฝึกอาชีพจักสาน ไม่งั้นพวกเราแย่แน่”
“แล้วป๊าจะให้ทำยังไง ปล่อยไปแบบนี้เหรอ” ธนัวัติถามอย่างฉุนๆ
“ฉันไม่เก็บมันไว้เป็นหนามยอกอกหรอก แต่เราต้องจัดการเรื่องไม้ให้เรียบร้อยก่อน” ธานีหันไปสั่งธนวัติกับกาซูเสียงเครียด “พวกแกเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ คืนนี้เราจะขนไม้ทั้งหมดกลับมาไว้ที่ปาง!!”
ธานีมองจ้องทุกคนวางมาดเข้มสั่งการ
ทางด้านชลิตจูงมือดาหวันเดินขึ้นมาบนเนินสูง พอมองลงไปเบื้องล่างก็ตื่นเต้น
“เฮ้ย หวันดูนั่นสิ”
ชลิตชี้ไป ดาหวันมองตามลงไป ก็เห็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ที่บริเวณตีนเขา
“เรารอดแล้ว”
ดาหวันจะพุ่งลงไป แต่ชลิตคว้าแขนไว้
“เดี๋ยว! เราเคยเจอบ้านคนกลางป่ามาแล้ว คราวนั้นมันเป็นเสือสมิงนะ คราวนี้จะเป็นอะไรอีก”
“เสี่ยงเถอะน่า หรือจะรอให้ผีป่านั่นมันมาจับกินฮะ?” ดาหวันว่า
ชลิตพูดไม่ออก ดาหวันรีบลากเดินลงเนินไป
ชลิตกับดาหวันเดินลัดเลาะรอบๆ ป่าข้างๆ หมู่บ้าน ตรงไปที่หมู่กระท่อม ดาหวันกำลังจะป้องปากตะโกนเรียก แต่ชลิตรีบเอามืออุดปากไว้
“อย่าแหย่ให้เสือตื่นน่า ไปดูให้แน่ใจซะก่อนเถอะว่าพวกมันเป็นคน”
ชลิตจูงดาหวันย่องๆ มาอย่างระวัง ฉับพลันได้ยินเสียงร้องไห้กระจองอแงของเด็กๆ ดังจากลานกลางหมู่บ้าน
พร้อมๆ กับเสียงออกคำสั่งคุ้นหูของพาณิชย์กับเลาซาดังขึ้น
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว หยุด”
“เอาไปขึ้นรถให้หมด เร็วๆ เข้า”
ดาหวันกระซิบ “เสียงคุ้นๆ นะพี่ชลิต”
ชลิตกับดาหวันเอะใจ รีบย่องมุดเข้าไปใต้กระท่อม แอบมองไปที่กลางลานหมู่บ้าน เห็นเด็กๆ ถูกจับนั่งรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม มีพ่อแม่ยืนอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าไปเพราะสมุนของพาณิชย์ถือปืนกันอยู่
สมุนอีกกลุ่มทยอยลากเด็กไปที่รถตู้ เด็กๆ ร้องไห้ไม่ยอมไป
“พ่อ แม่ ช่วยหนูด้วย”
พาณิชย์ตวาดขึ้นมา “ไป๊”
พาณิชย์เงื้อมือจะฟาดเด็ก แล้วหันไปดุพ่อแม่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นสงสารลูก
“จะร้องไห้บีบน้ำตาทำไม ฉันจ่ายเงินซื้อลูกพวกแก ไม่ได้เอาไปฟรีๆ โว้ย”
ดาหวันกับชลิตตาโตตกใจเมื่อได้ยิน
“นี่พวกมันค้ามนุษย์ด้วยเหรอเนี่ย”
“เลวจริงๆ”
จังหวะนั้นสมุนอีกคนอุ้มเด็กที่ร้องไห้จ้าเข้ามา โดยมีหญิงชาวบ้านวิ่งตาม
“เอาลูกฉันมา เอาลูกฉันคืนมา”
เลาซารีบไปผลักหญิงล้มลงไปแล้วชักมีดสั้นออกมาขู่ ชาวบ้านร้องตกใจ
เลาซายกมีดขู่ทุกคน “หุบปาก เงินก็ได้ไปแล้ว อย่าเรื่องมาก”
พาณิชย์สำทับขู่ชาวบ้านทั้งหมด
“แล้วถ้าใครสาระแนไปแจ้งตำรวจล่ะก็ ตายยกหมู่บ้านแน่”
พาณิชย์มองกราดดุๆ แล้วเดินไปขึ้น รถส่วนตัวอีกคันพร้อมกับเลาซา รถตู้ของพาณิชย์ติดเครื่องแล้วแล่นออกไป พวกชาวบ้านจับกลุ่มกันร้องไห้โฮ
ดาหวันกับชลิตมองตามอย่างหนักใจ
“เด็กพวกนั้นจะถูกพาไปไหนอ่ะพี่ชลิต”
ชลิตสีหน้าและนำเสียงเครียดๆ “พี่ก็ไม่รู้”
ดาหวันมองไปทางพวกชาวบ้านที่ยังกอดกันร้องไห้
“เอาไงดีพี่ชลิต” ดาหวันถาม
ชลิตมองไปทางพวกชาวบ้านแล้วตัดสินใจ
“เราตามไปเถอะ เผื่อจะขัดขวางอะไรได้บ้าง”
ชลิตรีบมุดออกจากที่ซ่อน ดาหวันรีบย่องตามไป
“แล้วพี่ชลิตรู้เหรอว่ามันจะไปไหน”
“ก็ตามรอยนี่ไปไง”
ชลิตชี้ให้ดูรอยล้อรถที่วิ่งไปตามถนน
หลังจากผิดหวังจาการฉีกหน้ากากพวกธานี ทั้งหมดกลับมารวมตัวประชุมกันที่บ้านวินยา
“พวกมันมีพรายกระซิบหรือไงนะ ถึงได้ไหวตัวทันอยู่เรื่อย” แจ๋ตั้งสมมุติฐาน
“มันคงเอาไม้ไปซุกไว้ที่อื่นก่อนน่ะ พอลุงศิริกลับไปก็ค่อยเริ่มงานใหม่” กิมจิเสริม
“แต่คุณลุงคงไม่เชื่อพวกเราอีกแล้วล่ะ เฮ้อ” บุญทิ้งเซ็ง
ฉวีวรรณทิ้งตัวลงนั่งอย่างกลัดกลุ้ม ดนัยครุ่นคิด
“ถึงไม่มีไม้ แต่ก็น่าจะมีหลักฐานอย่างอื่นนะ คืนนี้ฉันจะกลับไปดู”
“ไม่ใช่นายคนเดียว เพราะฉันจะไปด้วย” ฉวีวรรณพูดขึ้น
แจ๋รีบยกมือ “พวกเราก็ด้วย”
วินยามองคนนั้นทีคนนี้ที แล้วขยับตัว เอาด้วย
“ถ้าพวกเธอไปกันหมด ฉันจะนิ่งดูดายได้ยังไง เดี๋ยวฉันจะให้สางโปพานักรบของเราไปด้วย
ดนัยรีบห้าม “อย่าไปเลย วินยา มันอันตราย”
ฉวีวรรณขวางหูกับคำพูดแสดงความห่วงใยของดนัยด้วยความหึง ขณะที่สามสหาย แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ดนัยพูดต่อด้วยความห่วงวินยาจริงๆ “อย่าให้ชาวชาลันเดือดร้อนเพราะพวกเราเลย พอเสร็จเรื่องยังไง พวกเราก็จะต้องไปจากป่านี่ แต่เธอกับชาวชาลันต้องอยู่ที่นี่ต่อไป เธอจะกลายเป็นเป้าหมายของพวกมันได้”
“แต่ว่า...” วินยาจะไม่ยอม
“ฉันรู้ดีว่า วินยาคิดอะไร แต่ปล่อยให้พวกเราจัดการเรื่องนี้เองดีกว่า”
วินยานิ่งไปนิดนึงแล้วพยักหน้า ก่อนจะยิ้มให้ดนัยอย่างเข้าใจ
ฉวีวรรณเดินหน้าหงิกหนีมา มีแจ๋ กิมจิ บุญทิ้งเดินตาม
“หมั่นไส้อีตาดนัยชะมัด” ฉวีวรรณล้อเลียนคำพูดดนัย “อย่าไปเลย วินยา มันอันตราย...แหวะ เป็นห่วงกันเหลือเกิ๊น”
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งมองหน้ากันงงๆ เมื่อเห็นอาการฉวีวรรณ ฉวีวรรณพล่ามต่อเพราะลมเพชรหึง
“ฮึ ออกนอกหน้ากันนัก ทีพวกเราไม่เห็นจะแคร์มั่งเลย แกว่าไหม”
ฉวีวรรณหันขวับไปแล้วหยุดพูด ชะงักเมื่อเห็นแจ๋ กิมจิ บุญทิ้งมองเขม็ง
“เป็นอะไรกัน” ฉวีวรรณถามขึ้น
“หวี แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าคนที่ออกนอกหน้าน่ะคือแก นี่แกเป็นอะไรเนี่ย อิจฉาหรือว่าหึง” แจ๋คาดคั้น
“ใครว่าหึง กดหนึ่ง” บุญทิ้งเสนอ
บุญทิ้งลืมตัวยกมือทันที “ผม!”
ฉวีวรรณมองบุญทิ้งเขม็ง บุญทิ้งรู้ตัวรีบลดมือลง
“เจริญพร ผม เอ้อ ไม่มีความเห็น แหะๆ”
“ฉันก็ว่าแกหึง”
แจ๋พูดพลางมองฉวีวรรณอย่างคาดคั้น ฉวีวรรณหน้าร้อนผ่าว รีบแก้ตัว
“ก็หึงน่ะสิ หึงแทนยายหวันไงล่ะ”
“โฮ้ย เขาเลิกกันแล้ว จะไปหึงแทนทำไม๊” กิมจิดักคอ
ฉวีวรรณจนมุมอีก รีบทำทีเป็นโมโหกลบเกลื่อน
“พวกแกจะมาคาดคั้นฉันทำไม มีเรื่องอื่นสำคัญให้คิดกว่าตั้งเยอะ เรื่องปางไม้ คิดสิว่าจะบุกเข้าไปยังไง คิดๆๆ”
ฉวีวรรณโวยวายแล้วเดินหนีไป กิมจิ แจ๋ และบุญทิ้ง มองตามงงๆ
“อะไรของเจ้หวีเนี่ย” กิมวิว่า
“งงไปเลย” ทั้งสามคนพูดออกมาพร้อมๆ กัน
เวลาเดียวกันนั้นชาวบ้านสองผัวเมียกำลังยกมือไหว้ขอร้องพาณิชย์กับสมุน ที่หน้าโกดังแห่งหนึ่ง
“คืนลูกให้พวกเราเถอะ เงินทองอะไรพวกเราไม่เอาแล้ว” ผัวอ้อนวอน
“ฉันสงสารลูก ฮือๆๆ”
“เปลี่ยนใจตอนนี้ มันสายไปแล้ว ถ้าเด็กขาดไปคนนึงก็ไม่ครบออเดอร์สิวะ” พาณิชย์ว่า
“แต่นั่นมันลูกฉันนะ ฮือๆๆ” เมียร้องไห้ออกมา
ชลิตกับดาหวันที่สะกดรอยตามมา ย่องมาที่พุ่มไม้แล้วแอบดูอย่างสนใจ
“จะให้เราทำอะไรก็ยอมล่ะ เอาพวกเราไปแทนก็ได้” ชายผู้เป็นผัวร้องขอ
“ผู้ใหญ่อย่างพวกแกเราไม่ต้องการ กลับไปได้แล้ว” เลาซาบอก
เมียได้ฟังก็แผดเสียงร้องขึ้น “ไม่ ฉันจะกลับไปหาลูก ลูกแม่”
เมียทำท่าจะวิ่งไป แต่โดนพาณิชย์ผลักล้มลงไป
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ”
ผัวเลยพุ่งเข้ามาจะต่อยพาณิชย์ แต่ก็โดนพาณิชย์ต่อย แล้วเตะล้มลงไป แล้วกระทืบซ้ำ จนผัวสลบเลือดกบปาก เมียร้องจะเป็นจะตาย
“พี่ ฮือๆๆ” เมียหันไปด่าพาณิชย์ “ไอ้ชั่ว ไอ้พวกสารเลว”
พาณิชย์โมโห เข้าไปต่อยหน้าหญิงคนนั้นจนสลบคามือ ไปอีกเหมือนกัน
ดาหวันตกใจเกือบร้องกรี๊ดออกมา ชลิตดรีบดึงให้ดาหวันมากอดซบไม่ให้ดู พาณิชย์สั่งสมุน ตะโกนเข้ม
“เอาพวกมันออกไป แล้วอย่าให้ใครมาวุ่นวายที่นี่ได้อีก”
สมุนรีบลากผัวกับเมียที่สลบออกไป พาณิชย์กับเลาซามองตามไปอย่างเย็นชาและเลือดเย็น
ชลิตประคองดาหวันที่ยังขวัญเสียเข้ามา หลบอยู่มุมหนึ่งหลังโกดัง
“พี่ชลิต หวันกลัว”
“ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรหวันแน่ๆ”
“แล้วเด็กๆ ล่ะพี่ชลิต ทำยังไงน้องๆ ถึงจะพ้นจากไอ้ปีศาจใจชั่วพวกนั้นได้”
ชลิตนิ่งคิดแล้วจึงพูดขึ้น “รอให้มืดก่อน ค่อยลงมือ”
ชลิตมองออกไปข้างหน้า เหมือนมีแผนแล้วอยู่ในใจ
อ่านต่อหน้า 2
หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 12 (ต่อ)
อาณาบริเวณในปางไม้ของธานีจะแยกกันเป็นส่วนๆ มีบ้านพักของธานี ออฟฟิศสำนักงาน แล้วก็โรงเก็บไม้ ทั้งสามส่วนนี้จะอยู่ห่างจากกันพอสมควร และเพื่อเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เวลาอุ๊บอิ๊บมาพักที่นี่ จึงไม่เคยรู้เรื่องผิดกฎหมายของพ่อและพี่ของตัวเอง
ออฟฟิศแห่งนี้เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่ใช้เป็นที่ประชุมงาน เก็บเอกสาร ห่างออกมาจากตัวบ้านพัก เหมือนโฮมออฟฟิศเล็กๆ อยู่ใกล้กับโรงเก็บไม้
ส่วนโรงเก็บของขนาดย่อม ซึ่งตั้งห่างออกมาจากโรงเก็บไม้และออฟฟิศ
ดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งถือไฟฉายย่องๆ กันเข้ามาที่บริเวณปางไม้ อยู่ๆ กิมจิก็โพล่งขึ้น
“ทำไมปางไม้มันเงียบอย่างงี้วะ ไม่เห็นมีเสียงอะไรเลย” กิมจิโพล่งขึ้น
แจ๋เขกหัวกิมจิ “นี่แน่ะ มันจะไม่เงียบก็เพราะแกนี่แหละ”
“จุ๊ๆๆๆ พอกันนั่นแหละครับ ทั้งสองคนน่ะ”
กิมจิกับแจ๋รู้ตัวรีบปิดปาก แล้วหันหาดนัยกับฉวีวรรณที่ย่องๆ
“เอาไงล่ะดนัย” แจ๋ถาม
“หรือว่าพวกมันยังไม่ขนไม้กันวันนี้” ฉวีวรรณออกความเห็น
“เสียเที่ยวแฮะ” แจ๋เซ็งๆ
ดนัยไม่ตอบ แต่มองไปตรงหน้า เห็นแสงไฟวาบๆ ไกลออกไป
“นั่นอะไร”
ทุกคนมองตามไปอย่างตระหนก เห็นไฟสว่างอยู่ในดงไม้
“ก...กระสือหรือเปล่าครับ”
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งกอดกันกลมด้วยความกลัว แต่ดนัยกับฉวีวรรณไม่สนใจ เดินนำไป
เวลานั้นคนงานสวมใส่ชุดหมีแบบนายช่างมีซิปข้างหน้า และหมวกแก้ปกำลังลำเลียงไม้จากรถบรรทุกเข้าไปในโรงเก็บไม้ มีธนวัติกับธานีคอยสั่งงาน เห็นกาซูอยู่ใกล้ๆ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีไฟสปอตไลท์ส่องให้แสงสว่าง
ส่วนที่หมู่บ้านชาวชาลัน สางโปนั่งเพ่งกระแสจิตอยู่มุมหนึ่งของบ้าน วินยานั่งรอฟังข่าว
“สางโป เห็นอะไรบ้าง ดนัยกับเพื่อนๆ ปลอดภัยหรือเปล่า”
สางโปพึมพำหลับตา “ทุกอย่างปกติดีนายน้อย พวกเขาไปถึงดงผีฟ้าแล้ว”
วินยาถอนใจโล่งอก มีหญิงชาวเผ่าเดินเข้ามาหาวินยา
“มีคนมาหานายน้อยจ้า”
“ใครกัน มาดึกป่านนี้”
วินยาพูดจบ ทองอินก็เดินแทรกเข้ามา วินยาเห็นเข้าก็ยิ้มให้อย่างดีใจ
“พี่ทองอิน”
ทองอินนั่งคุยกับวินยาและสางโป
“ขอโทษด้วยที่ต้องมารบกวนตอนดึกๆ พอดีพี่มีเรื่องด่วนน่ะครับ”
“เรื่องอะไรเหรอพี่ทองอิน” วินยาถาม
ทองอินมีสีหน้าหนักใจ แล้วเปิดกระเป๋าหยิบรูปถ่ายดนัยส่งให้สางโปให้
“มีคนที่พี่รู้จักกำลังตามหาลูกชายอยู่ เขาเข้าป่ามากับเพื่อนๆ เป็นเดือนแล้ว แต่ยังไม่ยอมกลับบ้านเลย ไม่รู้ว่าวินยาเคยเห็นเด็กคนนี้บ้างไหม ที่จริงเขาเป็นรุ่นน้องพี่ที่มหาวิทยาลัยด้วยนะ”
สางโปรับมาดูแล้วรีบส่งต่อให้วินยาทันที
“ดนัย” วินยาอุทาน
ทองอินที่กำลังจะอธิบายต่อ ชะงักมองหน้าวินยาอย่างแปลกใจ
“วินยารู้จักดนัยเหรอ”
วินยาพยักหน้า “เขากับเพื่อนๆ มาพักที่หมู่บ้านเรา”
ทองอินตื่นเต้นรีบถามต่อ “แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน”
วินยาทำหน้าหนักใจ ไม่รู้ว่าควรจะบอกทองอินดีหรือไม่
เหตุการณ์ที่ปางไม้เถื่อนของธานี ดนัยอยู่บนคบไม้สูง กำลังถือกล้องส่องทางไกลของวินยาส่องดูภาพนั้น แล้วปีนลงมา
“พวกมันกำลังขนไม้เข้าไปเก็บในโรงเก็บไม้จริงๆ ด้วย”
“งั้นก็ลุยเลยสิ”
“เราไม่ควรไปกันหมด แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง แกสามคนเข้าไปใกล้กว่านี้ แล้วถ่ายรูปกับวิดีโอมาให้มากที่สุด”
“แล้วแกล่ะ” กิมจิสังสัยพอๆ กับแจ๋และบุญทิ้ง
“ฉันกับฉวีวรรณจะเข้าไปหาเอกสารในออฟฟิศ เราต้องหาหลักฐานมาให้รัดกุมที่สุด ถึงจะมัดตัวมันได้ ไป”
ดนัยฉุดแขนฉวีวรรณที่หน้าตางงๆ เหวอๆ โดนดนัยฉุดให้ไปด้วยกัน แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งแยกไปอีกทาง
“อะไรเนี่ย ปล่อยฉันนะ” ฉวีวรรณโวยตามนิสัย
ขณะนั้นอุ๊บอิ๊บนอนใส่แผ่นมาสก์หน้าสีขาว กระสับกระส่ายเพราะร้อนแล้วทนไม่ไหวลืมตาขึ้น
“โอ๊ย ทำไมร้อนอย่างงี้นะ”
อุ๊บอิ๊บลุกขึ้น หยิบรีโมทแอร์มาเปิด แต่ไม่ติด ยิ่งโมโห
“อี๊ ไฟดับเหรอ”
อุ๊บอิ๊บเดินถือไฟฉายส่อง ไปเคาะห้องธนวัติกับธานี โดยที่ไฟยังดับอยู่
“ป๊า พี่วัติ ทำไมไฟดับล่ะคะ เกิดอะไรขึ้น”
อุ๊บอิ๊บเคาะห้อง พอเห็นไม่มีคนเปิดก็เคาะรัวๆ
“ป๊า”
อุ๊บอิ๊บโมโหถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แต่ปรากฏว่าไม่มีคนอยู่
“เอ๊ะ ทำไมไม่มีใครอยู่ซักคน ป๊ากับพี่วัตินี่ยังไงนะ พาเค้ามาทิ้งไว้กลางป่ากลางเขาอย่างนี้ได้ยังไง”
อุ๊บอิ๊บหัวเสีย เดินออกจากห้องไป
เวลาเดียวกันนั้น แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งถือไฟฉายย่องๆ เลาะมารอบตัวบ้าน กำลังจะมุ่งหน้าไปโรงเก็บไม้ผ่านมาทางหน้าประตูบ้าน อุ๊บอิ๊บเปิดประตูมาพอดี ชนทั้งสามล้มลง
“ว้าย”
อุ๊บอิ๊บมองไปที่แจ๋ซึ่งโดนกระแทกจนไฟฉายชี้ใส่หน้าตัวเองก็ตกใจ นึกว่าผี เช่นเดียวกับแจ๋และพวกที่เห็นอุ๊บอิ๊บพอกหน้าขาวว่อกก็นึกว่าเป็นผี เลยกรี๊ดใส่กันอย่างตกใจ
ฉับพลันไฟหน้าบ้านที่ดับไปกลับมาสว่างโร่เหมือนเดิม กิมจิกับบุญทิ้งเห็นอุ๊บอิ๊บก็จำได้
“เฮ้ย ยายอุ๊บอิ๊บ” กิมจิร้องขึ้น
อุ๊บอิ๊บผงะ มองทุกคนเต็มตา “พ..พวกแก มาทำอะไรที่นี่ ฮะ หรือว่ามาปล้น”
อุ๊บอิ๊บตั้งท่าจะกรีดร้อง บุญทิ้งรีบลุกขึ้นปิดปากอุ๊บอิ๊บไว้แล้วลากเข้าบ้าน แจ๋กับกิมจิรีบตามเข้าไป
บุญทิ้งรีบไล่ “ตามมาทำไมเล่า ไปสิเดี๋ยวงานไม่สำเร็จหรอก ผมจัดการทางนี้เอง รีบไป เร็วเข้า”
“จะไปไหน กลับมานะ กลับมา! ช่วยด้วย กรี๊ดๆๆๆ” อุ๊บอิ๊บพูดไม่เต็มเสียงเพราะโดนบุญทิ้งเอามือปิดปากอยู่
แจ๋กับกิมจิรีบออกไป ทิ้งให้บุญทิ้งกอดปล้ำอุ๊บอิ๊บอยู่อย่างนั้น
บุญทิ้งทั้งอุ้มทั้งลากอุ๊บอิ๊บเข้ามาในห้อง อุ๊บอิ๊บโวยวายไม่หยุด
“แกจะทำอะไรฉัน ปล่อยนะ ปล่อย”
“คุณอุ๊บอิ๊บใจเย็นๆ สิครับ”
“ไม่เย็น ปล่อยนะ ปล่อย ปล่อยสิ”
บุญทิ้งปล่อยทันที อุ๊บอิ๊บหล่นโครม
“อ๊าย แก”
อุ๊บอิ๊บเกาก้นตัวเองด้วยความเจ็บปวด บุญทิ้งเดินเข้ามา
“ย...อย่าเข้ามานะ แกจะทำอะไรฉัน อยากได้อะไรก็เอาไปสิ”
บุญทิ้งพูดอย่างเหนื่อยใจ “ผมไม่อยากได้อะไรทั้งนั้นแหละครับ คุณอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน”
อุ๊บอิ๊บตกใจ “หา! อยู่เฉยๆ เหรอ แกจะปล้ำฉันใช่ไหม อย่านะ ไอ้บ้า ไป๊ๆๆ”
อุ๊บอิ๊บวิ่งหนีขึ้นเตียงเอาหมอนสารพัดใบปาใส่ บุญทิ้งหลบพัลวัน แต่ยังยืนขวางประตูไว้
สมุนของพาณิชย์ 2 คน กำลังตวาดใส่เด็กๆ ที่หลบมุมร้องกระจองอแงกันอยู่ในโกดัง
“เงียบโว้ย”
“ขืนใครแหกปาก ข้าจะหักคอจิ้มน้ำพริกให้ดู”
ชลิตกับดาหวันค่อยๆ ย่องเข้าประตูที่สมุนเปิดแง้มทิ้งไว้อยู่ เข้ามา ชลิตจุ๊ปาก บอกเด็กๆไม่ให้ร้อง
เด็กๆ มองแล้วเงียบเสียงลง พวกสมุนได้ใจ นึกว่าเด็กกลัวที่ขู่
ชลิตกับดาหวันพยักหน้าให้กัน ดาหวันหยิบท่อนไม้อันหนึ่งขึ้นมา ตรงไปที่สมุนคนหนึ่ง ชลิตย่องเข้าไปที่สมุนอีกคน
“เออ รู้จักสงบปากสงบคำบ้าง ขืนทำให้พวกข้ารำคาญอีกล่ะก็ พวกแกได้เป็นผีเด็กเฝ้าป่าแน่”
ชลิตถีบสมุนคนหนึ่ง กระเด็นออกไป สมุนอีกคน หันไปเจอดาหวันเข้า ดาหวันเอาไม้ฟาดสุดแรงร่างกระเด็นไปเหมือนกัน
ชลิตตามเข้าไปซัดสมุนคนนั้น รัวหมัดซ้ายขวา จนมันสลบไป ดาหวันตามเข้าไปตีๆ สมุนอีกสองสามที สมุนปัดป้อง จนท้ายที่สุดหลบเลี่ยงได้ แล้วพลิกตัวเตะขาพับดาหวันล้มลงไป มันชักปืนออกมาจะยิงดาหวัน ชลิตหันมาเห็นตกใจ
“ระวัง”
ชลิตรีบหยิบก้อนอิฐที่ร่วงอยู่แถวนั้น ขว้างใส่ศีรษะสมุนคนนั้น สะดุ้งเฮือกเลือดอาบกุมหัว ชลิตรีบพุ่งเข้าไปต่อยสมุนคนนั้น อย่างโกรธจัด รัวหมัดซัดไม่ยั้ง จนจมกองเลือดหมดสติไปคามือ ชลิตยังไม่หนำใจ เข้ามาเตะซ้ำอีก
“ไอ้ชั่ว ตายซะ”
ดาหวันรีบวิ่งเข้าไปดึงแขนชลิต ห้าม
“พี่ชลิต พอได้แล้ว พอ”
ชลิตยังอิน หลุดพูดออกมาไม่รู้ตัว
“ถ้ายังอยากหายใจอยู่ อย่ามารังแกแฟนฉันอีก”
ดาหวันอึ้ง ชะงักมองชลิตตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อหู ไม่คาดคิดว่าชลิตจะออกปากขนาดนี้
ชลิต หันมามองหน้าดาหวันอย่างช้าๆ ตะลึงไปเหมือนกัน หลุดปากออกไปได้ไง ทั้งเขินเสียฟอร์ม
ดาหวันมองจ้องหน้าชลิต ใจเต้นตึกตัก ชลิตอึกอักตื่นเต้น อยากจะพูด แต่ก็พูดไม่ออก....
“เออ พ...พี่....พี่”
เสียงเด็กคนหนึ่งดังเข้ามาขัดจังหวะ พอดี
“ช่วยหนูด้วย”
ดาหวันรีบหันไปมอง ทำเป็นไม่รู้เรื่องตัดบททันที เพราะเขินไม่ใช่รังเกียจ
“รีบไปช่วยเด็กเถอะ”
ดาหวันรีบวิ่งเข้าไปหาเด็กๆ ชลิตมองตาม เอื้อมมือจะแตะแต่ไม่ทัน สายตาอาวรณ์หมดจังหวะจะพูด
“หวัน”
ดาหวันคุกเข่า คุยกับหมู่เด็กๆ
“ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ทุกคนจะต้องปลอดภัย พี่ๆ จะพาพวกหนูกลับบ้านเอง”
เด็กๆ มองดาหวันอย่างมีความหวัง ดีใจแล้วลุกขึ้นพร้อมกัน เผยให้เห็นว่าเด็กทุกคนมีโซ่ตรวนล่ามต่อๆ กันอยู่แล้วล้มลุกคลุกคลานไปไหนไม่ได้
“กลับบ้านๆ”เด็กๆ ล้มต่อหน้าดาหวัน
“ตายแล้ว”
ชลิตรีบตามเข้ามาดู เป็นห่วงเป็นใยเด็กๆ แค้นแทน
“เลวจริงๆ มันทำกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ”
ชลิตกับดาหวันอึ้งมองเด็กๆ สงสาร เห็นใจ
ดนัยดึงแขนฉวีวรรณมาจนถึงตึกออฟฟิศ ฉวีวรรณสะบัดมือออก หน้างอ
“นายนี่มันเจ้ากี้เจ้าการจริงๆ เลย ฉันยังไม่ได้พูดซักคำว่าอยากมาด้วย”
“ก็ฉันต้องการผู้ช่วย”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน ฉันไม่ได้อยากมากับนายซักหน่อย”
“แต่ฉันอยาก เพราะเธอคือคนที่รู้ใจฉันที่สุด”
ดนัยจ้องฉวีวรรณด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นมา ก็มีแต่เราสองคนเท่านั้นที่จะช่วยกันให้รอดไปได้ เหมือนที่ผ่านๆ มาไง”
ฉวีวรรณประชด “ฉันว่าวินยาน่าจะช่วยนายได้มากกว่าฉันนะ”
ฉวีวรรณสะบัดพรืดจะเดินไป แต่ดนัยคว้าแขนไว้ แล้วจ้องหน้า
“แต่ฉันไม่รู้ใจวินยา...ฉันรู้ใจเธอ”
ดนัยจ้องเข้าไปในดวงตาฉวีวรรณด้วยความจริงใจ ฉวีวรรณชะงัก แต่พยายามเบือนหน้าหนี
“เราผ่านเรื่องร้ายมาด้วยกันตั้งเยอะ ยอมรับเถอะหวี อย่าไล่ฉันไปให้คนอื่นอีกเลย”
ฉวีวรรณรู้สึกตัว รีบผลักดนัยออกทันที
“พูดอะไรเพ้อเจ้ออยู่ได้ ไปเร็วๆ เข้า”
ฉวีวรรณเดินนำหน้าดนัยไป ซ่อนสีหน้าสับสน ดนัยรีบตามไป
ฉวีวรรณกับดนัยพุ่งตัวเข้ามาซุ่มอยู่หลังต้นไม้ มองดูสภาพรอบๆ
“พวกมันคงไปขนไม้กันหมด ที่นี่ไม่น่าจะมีคนอยู่”
ฉวีวรรณรีบพุ่งตัวออกไป ดนัยเห็นสมุนเดินมาพอดี รีบกระโจนกระชากฉวีวรรณไว้
ฉวีวรรณร้องกรี๊ด แต่ถูกดนัยอุดปาก แล้วคร่อมตัวไว้ใต้ต้นไม้ ฉวีวรรณยิ่งดิ้นๆ นึกว่าดนัยจะปล้ำ
สมุนสองคนเดินผ่านมา เห็นต้นไม้ไหวๆ ก็หยุดดู จนอีกคนชะงักตาม
“มีอะไรวะ”
สมุนคนที่ 2 เดินเข้ามาใกล้พุ่มไม้ มองอย่างแปลกใจ
ด้านล่างพุ่มไม้ ดนัยนอนกอดฉวีวรรณแน่น ไม่ให้ดิ้นและส่งเสียงร้อง ตื่นเต้นกลัวจับได้ทั้งคู่
ดนัยก้มตัวลงเพื่อพยายามซ่อนตัวเองจนใบหน้าไปชิด ฉวีวรรณวาบหวาม แต่เอะอะไม่ได้
“สงสัยจะเป็นหนูวิ่งผ่านไปน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
สมุนทั้งสองพากันเดินไป
ทั้งสองโล่งใจ แล้วหันหน้ามาชนกันแบบไม่ได้ตั้งใจ ปลายจมูกดนัยแตะแก้มฉวีวรรณเบาๆ
ฉวีวรรณชะงัก ใจเต้นโครมคราม ยิ่งเหลือบสายตามาสบตากับดนัยแล้ว ยิ่งหวั่นไหว ฉวีวรรณเขินสายตาดนัย ขยับจะผลักดนัยออก
ดนัยกลับไม่ไหวติง กอดฉวีวรรณไว้ดั่งเดิม ไม่ยอมปล่อย
“อย่ามาทำบ้าๆ ปล่อยฉันนะ”
“บ้าที่ไหน นี่มันช่วงโปรโมชั่นสำหรับเธอคนเดียวเลยนะ หวี”
“โปรโมชั่นอะไร พูดมาให้ดีนะ”
“ดีแน่ ก็ฉันอนุญาตให้เธอกอดฉัน หอมฉันได้ฟรี ๆ ไม่คิดตังค์สักบาท”
“ทุเรศใครอยากจะกอดนาย หอมนาย ฮ้า”
ดนัยยิ้มๆ “ได้ ถ้าไม่ชอบกอด ชอบหอม งั้นเธอคงต้องชอบจูบแน่เลย”
ดนัยแกล้งก้มหน้าลงไป จะจูบปาก ฉวีวรรณกรี๊ดๆ แล้วรีบเอามือดันดนัยไว้
“อี๋ ฉันมาทำงานเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่มาเวิ่นเว้อกับผู้ชายชีกออย่างนาย”
“เวิ่นเว้ออะไร เขาเรียกว่า รักระหว่างรบ”
ฉวีวรรณผลักดนัยแรง จนดนัยหงายหลังออกไป แล้วรีบลุกขึ้น
“คนกะล่อน ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว”
ฉวีวรรณรีบวิ่งออกไป ดนัยมองตามยิ้มๆ แล้วรีบลุกวิ่งตามไป
“เดี๋ยว หวี รอก่อน”
ที่บริเวณโรงเก็บไว้สมุนธนวัติยังคงลำเลียงไม้จากรถไปใส่โรงเก็บไม้กันอยู่ แจ๋ และกิมจิโผล่มาจากพุ่มไม้ กิมจิรีบหยิบกล้องขึ้นถ่ายทันที แต่แจ๋เห็นเข้าก็รีบห้าม
“ไอ้ติงต๊อง ถ่ายตรงนี้เดี๋ยวแฟลชก็เรียกพวกมันให้หันมาดูหรอก”
“ก็ปิดแฟลชสิยายเบื๊อก”
แจ๋ตบหัว “ปิดแล้วจะชัดไหม อย่าโง่ ต้องเข้าไปใกล้ๆ กว่านี้”
แจ๋แย่งกล้องมาจนได้
“ใกล้กว่านี้อีกเหรอ เราจะตายไม่เนี่ย” กิมจิบ่น
“พ้นคืนนี้ไปได้ ถ้ามันไม่ตาย เราก็ตายล่ะวะ”
แจ๋รีบย่องนำเข้าไปใกล้โรงเก็บไม้อีก กิมจิจำต้องตามไป ทั้งสองโผล่ออกจากพุ่มไม้แล้วเกือบเจอกับคนงานที่ถือปืนเดินยามอยู่ กิมจิรีบลากแจ๋หงายกลับเข้ามาในพุ่มไม้ต่อ แจ๋ล้มเข้ามาในอ้อมแขนกิมจิ แล้วอึ้ง ใจเต้นตึกตัก
ครั้นพอคนงานเดินผ่านไปแล้ว กิมจิทำเก๊กหน้าหล่อ กึ่ม ถามแจ๋
“แจ๋...ฉันมีอะไรจะบอกแก เป็นพิเศษ”
แจ๋ ยิ้มเขินขึ้นมานึกว่ากิมจิจะบอกรัก
“ฮิฮิฮิ อยู่ใกล้ฉันแล้วเคมีมันทำงานใช่มั้ยล่ะแกนี่เซี้ยวจริงๆ หน้าสิ่วหน้าขวานยังจะมาพูดอะไรเลี่ยนๆ อีก”
“ฟังหน่อยก็แล้วกันนะ ฉันอัดอั้นมานานแล้ว”
แจ๋เคลิ้มเงยสบตากิมจิ ทำตาปรอยแอ๊บแบ้ว
“อะไรเหรอ”
กิมจิมองสบตาพูดขึ้น
“ผม...แกเหม็นมาก”
สีหน้าแจ๋ อย่างเซ็ง
“กลับไปอย่าลืมสระผมด้วยล่ะ” กิมจิทำท่าจะอาเจียน “แหวะ อ้วก”
แจ๋โกรธอยากฆ่ากิมจิ ข่วนหน้ากิมจิ แคว่ก
“ไอ้ปากส้วม”
แจ๋สะบัดเดินออกไปเลย จบที่กิมจิหน้าแหย เป็นรอยแนวเล็บยาวลงมา จะร้องไห้
“ฮือฮือฮือ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนที่พูดจริงๆ อาจตายได้”
ด้านดนัยและฉวีวรรณลัดเลาะมาด้านข้าง จนกระทั่งมาถึงริมหน้าต่าง
“งั้นเดี๋ยวฉันจะหาทางเข้าไป เธอคอยดูต้นทางแล้วกันนะ” ดนัยออกไอเดีย
“ฉันไปเอง ฉันตัวเล็ก คล่องกว่า นายนั่นแหละดูต้นทาง”
“แต่เธอ...”
“ทำไม กลัวว่าฉันจะเซ่อซ่า หาหลักฐานไม่เจอใช่ไหม”
ดนัยได้ยินเสียงเขียวของฉวีวรรณก็ไม่กล้าหือ
“เปล่าจ้ะเปล่า งั้น...เข้าไปด้วยกันแล้วกัน”
ดนัยหยิบมีดพกออกมา แล้วค่อยๆ แหย่เข้าไปรูหน้าต่าง พยายามงัดแงะหน้าต่างจนเปิดออกได้ ฉวีวรรณมองดูอย่างทึ่งจัด
“นี่ นายเรียนมาจากไหนเนี่ย คณะมิจฉาชีพศาสตร์หรือไง”
“แต่มันก็ช่วยเราได้ใช่ไหมล่ะ”
ดนัยยักคิ้ว ยิ้มๆ แล้วแง้มหน้าต่างออก ก่อนจะปีนนำเข้าไป แล้วช่วยดึงฉวีวรรณให้ตามเข้ามา
ส่วนอุ๊บอิ๊บนั่งกอดผ้าห่มอยู่บนเตียง มองบุญทิ้งอย่างหวาดระแวง พอเห็นบุญทิ้งเริ่มตาปรือ ก็รีบลุกขึ้นย่องๆ มา บุญทิ้งที่นั่งพิงกำแพงสัปหงกเอนตัวพ้นจากเขตประตูพอดี อุ๊บอิ๊บรีบจับประตูจะเปิด แต่จู่ๆ บุญทิ้งก็จับแขนไว้
“คุณอุ๊บอิ๊บจะไปไหนครับ”
บุญทิ้งถามพลางจับขาไว้ไม่ปล่อย อุ๊บอิ๊บหลบสายตา
“ฉัน เอ่อ ฉันจะไปห้องน้า”
บุญทิ้งมองอุ๊บอิ๊บ แล้วเหลือบไปเห็นประตูห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง
“ห้องน้ำอยู่ตรงโน้นนี่นา”
“ส้วมเต็ม”
“เดี๋ยวผมไปดูให้”
บุญทิ้งจะลากอุ๊บอิ๊บไป อุ๊บอิ๊บรีบสะบัด
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
อุ๊บอิ๊บวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำ จะปิดประตูล็อก แต่บุญทิ้งรีบวิ่งตามเข้าไปดันประตูไว้ไม่ให้ปิด
บุญทิ้งพูดขึ้นขณะดันประตู “คุณอุ๊บอิ๊บ ล็อกประตูไม่ได้นะครับ”
อุ๊บอิ๊บดันจะปิดประตู “นายจะมาดูฉันปลดทุกข์หรือไงยะ”
“เปล่านะครับ คุณแจ๋กับคุณกิมจิสั่งให้ผมผมเฝ้าคุณไว้”
“พวกนั้นมันเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายของนาย ถึงต้องเชื่อฟังมันด้วย”
“ผมเต็มใจมาเฝ้าคุณต่างหากล่ะครับ ผมไม่อยากเห็นคุณทำอะไรผิดๆ อีก”
“หุบปาก ฉันจะล็อก”
อุ๊บอิ๊บตวาดใส่ และกำลังจะผลักประตูอีก บุญทิ้งผลักกลับมาแรง
“ว้าย”
อุ๊บอิ๊บกระเด็นไปหลังติดผนังห้องน้ำอีกด้าน บุญทิ้งเปิดประตูเข้ามายืนจังก้า ประกาศก้อง
“คุณจะล็อกก็ได้แต่ผมต้องอยู่ด้วย” บุญทิ้งจริงจัง
“อ๊าย นี่แก รั่วหรือบ้ากันแน่ ฮ้า”
“คุณอุ๊บอิ๊บเชื่อใจผมได้นะครับ ผมถือศีลห้า ไม่มีมุสาอยู่แล้วล่ะครับ”
บุญทิ้งบอกขึงขัง แล้วรีบหันหน้าไปทางประตู หลับตาปี๋ เอามือหนึ่งบีบจมูกกันเหม็นไว้ พูดขึ้น
“ฉี่ได้เลยครับ ตามสบาย”
อุ๊บอิ๊บกัดปากอยากจะกรี๊ด อย่างเหลืออดกับความซื่อบื้อของบุญทิ้ง
“ฉันอยากจะบ้าตาย”
ขณะนั้นดนัยกับฉวีวรรณซึ่งปีนเข้ามาจนสำเร็จแล้ว มองไปรอบๆ เคร่งเครียด หาหลักฐาน
“มองอะไรไม่เห็นเลย แล้วเราจะค้นหาเอกสารไปมัดตัวมันได้ยังไง” ฉวีวรรณบอก
“ก็ต้องค่อยๆ ส่องเอาแหละ”
ฉวีวรรณเดินคลำทางไปเรื่อยๆ แล้วสะดุดล้มโครม หน้าจะคว่ำลง ดนัยรีบเข้าไปประคองไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า เดินดีๆ หน่อยสิ เดี๋ยวพวกมันได้ยิน”
“ก็มันมืดอ่ะ มองอะไรไม่เห็น ไม่รู้อะไรวางเกะกะเต็มไปหมด”
“ยังสาวยังแส้ ตาฟางซะแล้ว หัดกินวิตามินบีซะบ้างนะ” ดนัยกวน
“นี่..ฉันไม่ได้ขอคำแนะนำจากนายเลยนะ ไม่ต้องมายุ่งเลย”
ฉวีวรรณขยับจะไป แบบเงอะๆงะๆ จะชนไม่ชนแหล่
“มองไม่เห็นแล้วยังจะซ่าอีก”
ดนัยคว้ามือฉวีวรรณ จับไว้แน่น ฉวีวรรณอึ้ง
“มานี่ ...ฉันจะเป็นตาให้เธอเอง”
ฉวีวรรณสบตาดนัยอึ้งโดนใจ แล้วดนัยค่อยดึงมือฉวีวรรณ นำพาเดินหลบโต๊ะเก้าอี้ไป ฉวีวรรณแอบมองดนัยที่เดินจูงมือไป โดนใจอย่างแรงเป็นซึ้ง
ดนัยจูงมือฉวีวรรณ พาย่องมาจนถึงหน้าห้อง
“น่าจะเป็นห้องทำงานของมันนะ”
ฉวีวรรณดูมือดนัยที่ยังจับมือตัวเอง ไว้อยู่ไม่ยอมปล่อย
ฉวีวรรณว่าเขินๆ เบาๆ “ปล่อยได้แล้ว”
ดนัยชะงักแล้ว ยิ้มขำๆ ทำเป็นไม่ได้ยิน
“อะไรนะ เขินเหรอ”
ฉวีวรรณรีบดึงมือออกทันที แหวกใส่ “ อีตาบ้า กวนประสาทอยู่ได้”
ดนัยจุ๊ปาก ให้เบาๆ
“เงียบน่า เดี๋ยวพวกมันได้ยินหรอก”
ฉวีวรรณฮึดฮัดขัดใจ ทำย่นจมูกใส่ แต่เสียงเบาลง เล่นมุกที่ดนัยไม่ให้พูดดังเลยด่าเบาๆ
“อีตาบ้า กวนประสาทอยู่ได้”
ฉวีวรรณค้อนขวับ ดนัยมองยิ้มๆ แล้วฉวีวรรณเบียดดนัยให้ถอยออก ตัวเองจะเปิดประตู แต่ติดล็อก บิดลูกบิดไปมา
“มันติดล็อกอ่ะ เข้าไปไม่ได้แล้ว ทำไงดี”
ดนัยยิ้มๆ แล้วหยิบเอาขดลวดในกระเป๋าออกมา ฉวีวรรณหันมามอง อึ้งไป
“ปัญหาไม่ได้มีไว้กลุ้ม แต่มีไว้แก้ ฉันจัดการเอง” ดนัยชูลวดให้ดู
แล้วดนัยจัดการเอาขดลวด มาแหย่ๆ จนเปิดล็อกได้ ฉวีวรรณอึ้งไปอีก
“ฉันชักจะเชื่อแล้วว่านายมีอาชีพเสริมเป็นโจรแน่ๆ”
“ฉันไม่เคยปล้นใคร มีแต่โดนคนบางคนปล้นไป แต่ไม่ยอมรับ”
ฉวีวรรณงงไม่เก็ท “ใคร?”
“เธอไง อยากรู้ไหมว่าปล้นอะไร”
ฉวีวรรณหน้าร้อนผ่าว รู้สึกว่าดนัยเริ่มลามปาม รีบส่ายหน้าดิก
“ไม่อยากรู้ย่ะ” พูดแล้วฉวีวรรณรีบเปิดประตูเข้าห้องไป
ดนัยยิ้มมอง แล้วตามไป
เวลานี้ทั้งสองคนยืนอยู่กลางห้อง มองดูห้องทำงานขนาดไม่ใหญ่มากอึ้งๆ เพราะเห็นมีตู้เอกสารเต็มไปหมด
“ที่นี่แหละขุมทรัพย์ของเรา” ดนัยบอก
“แล้วเราจะเอาไปหมดได้ยังไง มีเอกสารเป็นตู้ๆ แบบนี้”
“ก็ต้องเลือกที่สำคัญที่สุดนั่นแหละ มาช่วยกันเร็วเข้า”
ดนัยตรงไปรื้อลิ้นชักออกมา ค้นดูเอกสารในนั้น ฉวีวรรณไปค้นตู้เล็กๆ ข้างโต๊ะทำงาน เจอไฟฉายอันเล็กๆ เลยหยิบขึ้นมา เอาไปช่วยดนัย ส่องดูแฟ้มต่างๆ
ทั้งสองช่วยกันอย่างรีบเร่งแข่งกับเวลา แต่เป็นห้วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันอยู่ในที
อ่านต่อหน้า 3
หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 12 (ต่อ)
ในห้องน้ำอุ๊บอิ๊บปีนโถชักโครกขึ้นไป พยายามจะเปิดฝ้าด้านบนหนี แล้วทำเป็นพูดไปด้วยเพื่อสร้างสถาการณ์ให้บุญทิ้งตายใจ
“อย่าหันมานะ ฉันกำลังโป๊อยู่นะ”
บุญทิ้งยืนหลับตา หันหน้าพิงประตู เงี่ยหูฟัง
บุญทิ้งพูดอย่างจริงใจและใสซื่อ “ไม่ต้องกลัวฮะ ผมพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว แต่ฉี่นานขนาดนี้ คุณต้องอั้นไว้นานแน่ๆ มันไม่ดีเลยนะครับ เดี๋ยวกระเพาะปัสสาวะอักเสบ”
อุ๊บอิ๊บหันมาทำปากขมุบขมิบด่า อย่างรำคาญ
“ไอ้โง่”
บุญทิ้งเอะใจ ไม่ได้ยินเสียงอุ๊บอิ๊บฉี่
บุญทิ้งฉุกคิดเลยร้องขึ้นมา “ฮึ จริงด้วย”
อุ๊บอิ๊บตกใจ นึกว่าบุญทิ้งได้ยินที่ตัวเองด่า จนพลั้งตกชักโครกลงมา
“อ๊าย อู้ย นี่ แกได้ยินด้วยเหรอ”
“ปะ เปล่าครับ ผมไม่ได้ยิน ผมถึงแปลกใจไงฮะ ทำไมคุณอุ๊บอิ๊บฉี่เงียบจัง”
อุ๊บอิ๊บโมโหหยิบสายยางเล็กที่ล้างก้นฉีดไปที่บุญทิ้ง
“อึย ฉี่เงียบก็ไม่ได้ใช่มั้ย นี่แน่ะๆ นายมหาซื่อบื้อ”
น้ำโดนบุญทิ้งจนเปียก พยายามหลบไปมา แต่ก็ยังไม่ยอมหันมา
“โอ๊ย อย่าครับคุณอุ๊บอิ๊บ อย่าเล่นพิเรนทร์สิครับ ผมเปียกหมดแล้ว”
อุ๊บอิ๊บยิ้มสะใจ
“สมน้ำหน้า” อุ๊บอิ๊บถอยหลังไป สะดุดขาลื่นเองร้องลั่น “ว้าย โอ๊ย”
อุ๊บอิ๊บหล่นโครมลงไปที่ชักโครก ก้นติดกับชักโครกดึงไม่ออก บุญทิ้งตกใจแต่ยังไม่ยอมหันมา
“คุณอุ๊บอิ๊บ ! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
อุ๊บอิ๊บเจ็บจนร้องไห้ออกมา
“โอ๊ย ฮือๆๆๆ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ก้นฉัน ก้นฉันติดชักโครกอ่ะ ฮือๆ ฉันลุกไม่ขึ้นแล้ว อ๊อย”
“คุณอุ๊บอิ๊บ” บุญทิ้งเรียก
“นายเซ่อ ฉันเจ็บขนาดนี้แล้ว นายยังไม่หันมาดูฉันบ้างเลยเหรอ”
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าผมไม่เคยผิดคำสัญญา คุณอุ๊บอิ๊บอนุญาตก่อนสิครับ”
อุ๊บอิ๊บแหกปากร้องไห้อย่างแค้นเคืองใจ
“ฮือๆๆ นี่มันเวรกรรมอะไรของช้าน ซวยไม่พอยังต้องมาเจอไอ้บ้าปัญญาอ่อนอย่างนี้อีกด้วย”
บุญทิ้งไม่สนใจคำพูดรีบเร่ง “อนุญาตสิครับ เร็ว”
อุ๊บอิ๊บตวาดเสียงแหลม “อนุญาต”
บุญทิ้งรีบกระโดดขวับหันกลับมาอย่างเร็วรี่ แล้วพุ่งเข้ามาดู อุ๊บอิ๊บที่ร้องไห้โฮๆ สงสารตัวเองอยู่
“ขอบคุณฮะ” บุญทิ้งวิ่งไปด้วยความเป็นห่วง “คุณอุ๊บอิ๊บ ๆ ทำใจดีๆ นะครับ ผมจะช่วยคุณเอง”
เหตุการณ์ทางด้านชลิต เวลานั้นเขาเอากุญแจแบบเป็นพวงๆ มีหลายดอก ไขที่แม่กุญแจที่ล่ามโซ่ของเด็กๆ ติดกับต้นเสาในโกดัง ดาหวันมองชลิตอย่างลุ้นจัด และเร่งรัด กลายเป็นทะเลาะกันอีก
“ให้ไวหน่อยพี่ชลิต เดี๋ยวพวกมันก็ฟื้นมาเอากุญแจคืนหรอก”
“ค่า แม่คุณทูนหัวของไอ้ชลิต ถ้าพี่รู้ว่าดอกไหน พี่ก็ไขไปแล้วล่ะค่ะ”
“ยังจะมากวน เดี๋ยวเหอะ”
“ก็ใจเย็นๆ หน่อยสิคะ พี่ก็อยากจะช่วยน้องๆ ไม่แพ้หวันหรอก”
ชลิตพูดแล้วหันไปไขกุญแจต่อ อย่างขะมักเขม้น
“อดทนหน่อยนะ เด็กๆ”
ดาหวันมองเอาใจช่วย แล้วเหลียวมองเด็กด้วยความสงสาร ยกมือขึ้นไหว้อธิษฐาน
“เจ้าประคู้ณ ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง ขอให้เด็กๆทุกคนกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”
เสียงของดาหวันดังแว่วมา สมุนคนหนึ่งที่เดินยามอยู่หันขวับไปที่ประตูโกดังด้านหลัง
“ใครวะ”
มันทำหน้าเหี้ยม เดินตรงเข้าไปที่ประตู จังหวะนั้นเองก็สายตาลึกลับคู่หนึ่งโผล่มาจากบนต้นไม้ด้านหลัง
สมุนคนนั้นจะเปิดประตู ฉับพลันก็โดนปาด้วยผลไม้ขนาดใหญ่เข้าที่ท้ายทอย
“โอ๊ย”
สมุนคนนั้นร้องได้แค่นั้นก็ล้มลงแน่นิ่ง
เป็นผลงานของดาเนาที่อยู่บนต้นไม้ ถือผลไม้อยู่ กระหยิ่มยิ้มย่อง
“แม่นเหมือนกันนะเรา” ดาเนายิ้มในความสำเร็จ
ขณะนั้นพาณิชย์กับสมุนกำลังนั่งก๊งเหล้ากันอยู่ที่หน้ากระท่อม เลาซาเดินเข้ามามองอย่างไม่พอใจ
“พวกเจ้าไม่ควรดื่มเยอะเกินไป พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันแต่เช้า”
สมุนหลบวูบอย่างเกรงๆ แต่พาณิชย์ไม่สนใจ นั่งดื่มต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สา เลาซาโมโห เข้าไปกระชากขวดเหล้ามา
“เจ้าก็ด้วย ไม่งั้นข้าจะฟ้องอาเจ้า”
พาณิชย์มองเลาซาอย่างไม่พอใจ แต่เห็นสายตาดุดันก็เกรงๆ
“ไปนอนก็ได้” พาณิชย์พูดกับสมุน “เฮ้ย ฉันจะไปนอนแล้ว ไหนล่ะหมอนข้าง”
สมุนรู้ใจเข้าไปฉุดผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากมุมมืด แล้วประคองมาหาพาณิชย์
พาณิชย์ดึงไปกอดหอมแก้ม อีกฝ่ายขัดขืนพอเป็นพิธี ทั้งที่สมยอมอยู่แล้ว
“ดีมาก ว่าง่ายๆ พี่จะตบรางวัลให้ถึงใจไปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า”
พาณิชย์เดินโอบหญิงชาวบ้านเข้าไปในกระท่อม เลาซามองตามพาณิชย์อย่างดูถูก แล้วหันมาสั่งลูกน้อง
“ไอ้คนเมืองดีแต่เปลือกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่มีข้าเสียคนก็ไม่มีปัญญาทำอะไรสำเร็จ” เลาซาหันสั่งสมุน “พวกเจ้าก็ไปลาดตระเวนกันได้แล้ว อย่ามัวแต่อู้”
สมุนออกอาการกลัวรีบแยกย้ายกันออกไปทันที ขณะที่เลาซามองตามไปเคร่งเครียดเอาจริง
ลูกสมุนของเลาซา3 คน เดินยามอยู่อีกด้านหนึ่ง จู่ๆ ดาเนาก็โผล่มาขวางหน้า ห้อยหัวลงมาจากต้นไม้พร้อมกับสวมหน้ากากผี
“แฮ่”
สมุนทั้ง 3 ตกใจเหวอ ดาเนายังทำหน้าหลอกหลอนต่อไปอย่างสนุกสนาน และหัวเราะชอบใจ
“ผ...ผีหลอกก”
สมุนคนหนึ่ง หันตัวเตรียมวิ่งหนีออกไป แต่ดันก้าวขาไม่ออก
จังหวะนั้น ดาเนาก็กระโจนเข้ามาขี่คอสมุนคนนั้น หัวเราะชอบใจ พลางเขกหัวพวกวายโป้กๆ ไปด้วย
สมุนคนหนึ่งกลัวหนัก จนจะร้องไห้ ร้องเรียกเพื่อน “ฮือ ไอ้หมัด ช่วยด้วย”
“อ๋อ เพื่อนทิ้งเหรอ เดี๋ยวนะ”
ดาเนากระโดดลอยตัวไปในอากาศแล้ว ม้วนตัวลงไปยืนที่พื้นดิน แล้วกวักมือเรียกสมุนคนที่
“เพื่อน กลับมาก่อน...เพื่อน”
แต่แล้วสมุนคนนั้น ที่วิ่งๆ อยู่ ก็เกิดอาการ วิ่งถอยหลังกลับมา แบบบังคับตัวเองไม่ได้ มันถึงกับตาเหลือก ร้องลั่นอย่างหวาดกลัว
“อ๊าก”
ดาเนาหัวเราะชอบใจ
สมุนคนนั้น วิ่งถอยหลังเข้ามา จนชนกับสมุนคนที่ก้าวขาไม่ออกอย่างจัง ทั้งสองล้มคว่ำไปด้วยกัน เป็นอันสลบ
ดาเนาชอบใจใหญ่ “สอยไปอีกสอง หุๆๆๆ”
ดาเนาถอดหน้ากากผีอออกเผยให้เห็นหน้าอันทะเล้น
“ทีนี้ก็เหลือใครอีกน้า”
ดาเนามองไปเห็นกระท่อมไม้ไผ่ที่ไฟสว่างอยู่ ดาเนาจ้องมองมีแผนจัดการในใจ
ภายในกระท่อม พาณิชย์ถอดเสื้อออก ก้าวเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นอยู่บนเตียง หญิงสาวกลับเปลี่ยนใจผลักพาณิชย์ขยับจะหนี พาณิชย์กระชากตัวมา
“จะไปไหน”
หญิงคนนั้นร้องขอให้ปล่อยอย่างน่าสงสาร “อย่า ปล่อยหนูเถอะ”
พาณิชย์ไม่สนใจตบหญิงโชคร้ายกระเด็นล้มไปบนเตียง
“อยากเจ็บตัวหรือไงวะ”
พาณิชย์พุ่งตามเข้าไป ปล้ำหญิงสาวอย่างหื่นหิว หญิงคนนั้นร้องโวยวายขอความช่วยเหลือลั่น
“ช่วยด้วยๆ”
เวลานั้นที่หัวเตียงติดกับฝากระท่อม มีควันพวยพุ่งออกมาจากรูเล็กๆ
เป็นดาเนาที่กำลังกรอกผงยานอนหลับลงไปในบ้องเล็กๆ แล้วพ่นเข้าไปตามช่องภายในกระท่อมอีก
“ฝันร้ายนะไอ้คนชั่ว ฮิๆๆๆ”
พาณิชย์ที่กำลังหื่น และซุกไซ้เรือนร่างหญิงชาวป่าอยู่ชะงักกึก เริ่มสะลึมสะลือ พยายามจะส่ายหัวเรียกสติ แต่ยังตาปรือ
“อะไรวะ ทำไมง่วงอย่างนี้”
พาณิชย์รำพึงแล้วฟุบหลับไปพร้อมกับหญิงสาว
ดาเนามองลอดเข้าไปดูผลงาน เห็นพาณิชย์หลับไปแล้วรีบเก็บอุปกรณ์ใส่ย่าม
“เท่านี้ก็เรียบร้อย จะได้ไปช่วยเพื่อนๆ ซักที”
ดาเนาลุกขึ้น พอหันกลับมาก็เจอเลาซายืนขวางอยู่ สะดุ้งเฮือก
“เจ้าเป็นใคร”
ดาเนาอึ้ง รีบล้วงเข้าไปในย่ามแล้วปาผงใส่หน้า เลาซาเอามือโบกกระเด็นไป
“คิดว่าผงยาบ้าๆ นี่จะเล่นงานข้าได้รึ”
เลาซาจ้องดาเนาตาลุกวาว ดาเนารีบกระโดดขึ้นต้นไม้ แล้วกระโจนไปตามมุมต่างๆ
เลาซารีบตะโกนเรียกลูกน้อง “มีคนบุกรุก จับมันไว้”
ในที่สุดชลิตก็ไขกุญแจออกมาจนได้ ดาหวันรีบดึงโซ่ออกมาจากข้อเท้าของเด็กๆ ทีละคน
เด็กๆ เริ่มเป็นอิสระลุกขึ้นจะกระโดดโลดเต้น
“ชู่ว์ อย่าเพิ่งส่งเสียงนะ เดี๋ยวพวกพี่จะพาน้องๆกลับบ้านเอง”
เด็กๆ รีบลุกขึ้นอย่างดีใจกระตือรือร้น
ส่วนภายในป่า เลาซาวิ่งไล่ดาเนาที่กระโดดไปรอบๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ดาเนากระโจนหนีไปตามต้นไม้คล่องแคล่วเหมือนลิงกระโจนต้นไม้ แล้วหัวเราะตลอดทาง
เลาซาหยุดนิ่งอย่างโมโห แล้วหยิบบ่วงบาศก์ออกมาจากย่าม ปาใส่ไปทันที เชือกพุ่งทะยานไปเหมือนงู แล้วรัดคอดาเนาไว้ได้
“โอ๊ย”
ดาเนาโดนกระตุกลงมาล้มกลิ้งแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นตรงหน้าเลาซา
เลาซารีบเข้าไปคว้าคอเสื้อ กระชากขึ้นมา พอดาเนาหันมาสบตา เลาซาก็ชะงัก ปวดหัวตุบ
“โอ๊ย”
ดาเนารีบสลัดเชือกออก กระโจนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วพุ่งเข้าไปที่ช่องลมของโกดัง
“หยุดนะ”
ดาเนาพุ่งตัวเข้ามาในช่องลม แล้วม้วนตัวลงไปยืนตั้งท่าอย่างคล่องตัว แต่เกือบชนกับชลิตดาหวัน ที่กำลังพาเด็กๆ ออกประตูโกดังพอดี ทุกคนผงะตกใจ
ชลิตกับดาหวันร้องอย่างตกใจพร้อมๆกัน “เฮ้ย / ว้าย”
ดาเนามองดาหวันกับชลิตอย่างแปลกใจ
“พวกเจ้านี่เอง”
ชลิตงง “หนูเป็นใคร เราเคยเจอกันเหรอ” ชลิตนึกขึ้นได้ “หรือว่า...” ชลิตนึกถึงตอนที่ดาเนาหลอกผีตัวเองกับดาหวัน ถึงตอนนี้ดาหวันก็นึกได้ พูดขึ้น
“เธอเป็นเด็กคนนั้นเหรอ แล้วมาทำอะไรที่นี่”
“แล้วพวกเจ้าล่ะมาทำอะไร” ดาเนามองไปที่เด็กๆ “เพื่อนข้า เร็วเข้า ข้ามาช่วยแล้ว”
เด็กคนหนึ่งชี้ไปที่ดาหวันกับชลิตแล้วเอ่ยออกมา “พี่สองคนนี้ช่วยถอดโซ่ให้พวกเราแล้ว”
ดาเนาหันมองชลิตกับดาเนา อึ้งไป ไม่นึกว่าคนเมืองจะมีน้ำใจ
“ช่วย? คนเมืองอย่างพวกจะ..” ดาเนาทำท่าจะเรียกเจ้า แต่เปลี่ยนใหม่เป็นพี่ “พี่ เนี้ยนะจะมาช่วยเพื่อนๆ ของข้า”
ดาหวันกับชลิตไม่ตอบอะไร แต่ยิ้มๆ อย่างยอมรับ
ทันใดนั้นประตูโกดังก็เปิดผางออก เลาซายืนตระหง่านตะโกนขึ้นสุดเสียง
“หยุดนะ”
เด็กๆ กระโดดกอดกัน อย่างหวาดกลัว เลาซามองไปทางชลิตกับดาหวัน
“ไอ้พวกแส่ไม่เข้าเรื่อง”
“ใช่ ฉันมันแส่ เพราะทนเห็นไอ้คนชั่วอย่างแก รังแกเด็กไม่ได้ไงล่ะ” ชลิตบอก
“แค่แกตัดไม้ทำลายป่าก็เลวพอแล้ว นี่ยังจะมาค้ามนุษย์อีก พวกแกตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิดแน่” ดาหวันด่าซ้ำ
“หุบปาก”
เลาซาตวาดพร้อมกับหยิบมีดพกออกมา แล้วพุ่งเข้าไปจะแทงชลิต ชลิตหลบหลีก ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
พวกสมุนอื่นๆ กรูเข้ามาจะเล่นงาน ดาหวันกับเด็กๆ
“น้องๆ มานี่”
เด็กๆ ร้องกรี๊ดกร๊าดไปหลบหลังดาหวัน เป็นแม่งูกินหาง
สมุนคนหนึ่ง วิ่งเข้ามาจะทำร้ายดาหวัน ดาหวันตบหน้าสมุนคนหนึ่งเต็มแรง เตะถีบเต็มที่
สมุนโมโหจะต่อยดาหวันกลับ
ดาเนารีบกระโดดตัวลอยเข้าไป เตะหน้าสมุนจนล้มคว่ำ เด็กๆ กริ๊ดกร๊าด ตบมือดีใจกัน
ดาเนายืด เก๊กหล่อทันที
“คนหล่อ ทำอะไรก็ชนะ ฮิฮิฮิ” ดาเนาชมตัวเอง
สมุนอีกคน หยิบท่อนเหล็กพุ่งเข้ามา จะตีศีรษะดาเนา ดาหวันร้องลั่น
“น้อง”
สมุนคนนั้นตีท่อนเหล็กลงมา แต่ปรากฏว่า เหล็กงอเป็นรูปโค้งเหมือนศีรษะดาเนา
สมุนตาเหลือก ตกใจ ดาเนาหันขวับไปมองที่ โซ่ที่มัดท่อนคอนกรีต โยงมาจากขื่อเพดาน
ก็ขาดผัวะ แท่งคอนกรีตหนักๆ หล่นลงมาทับสมุนคนนั้น ล้มลงไป สลบเหมือด เลือดท่วม
พวกสมุนที่เหลือตกใจจะวิ่งหนีออกประตู แต่ประตูกลับปิดผัวะใส่หน้า ทุกคนยิ่งตะลึงหวาดกลัว
“ทีทำคนอื่นไม่เห็นกลัว ที่งี้ล่ะกลัวนะ”
ดาเนาจ้องไปอีก พวกสมุนเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นบีบคอ จนตัวลอยขึ้นจากพื้นขาห้อยต่องแต่ง แล้วโดนเหวี่ยงไปกองกับพื้นทีละคน เจ็บจนหมดสติไปทั้งหมด
ที่อีกมุมภายในโกดัง ชลิตต่อสู้กับเลาซาที่พื้น แล้วเลาซาวิ่งหนีขึ้นไป ชลิตกระโดดตามเลาซาขึ้นไปต่อยกันบนนั่งร้านเหล็ก(หรืออะไรก็ได้ที่สูงมากๆจากพื้น)ทั้งสองทั้งเตะต่อย แลกหมัดกันดุเดือด ต่างมีฝีมือทั้งคู่ แล้ว
จังหวะหนึ่ง ชลิตพลาดโดนเลาซาถีบจนกระเด็นตกนั่งร้านแต่ มือชลิตจับขอบนั่งร้านไว้ได้ ตัวห้อยต่องแต่ง เลาซากระหยิ่ม เข้ามา เอาเท้าเหยียบมือชลิต
“ไปลงนรกเสียเถอะ ไอ้ชลิต”
ชลิตร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ดาหวัน ดาเนา วิ่งเข้ามาดู ดาหวัน เป็นห่วงมาก
“พี่ชลิต”
เลาซาบี้เหยียบมือชลิต จนมือเกือบจะหลุดจากขอบนั่งร้าน ดาเนามองจ้องไปที่ชลิต ใช้พลังจิต
ชลิตรู้สึกถึงพลังอะไรบางอย่างดึงมือตัวเองออกจากเท้าเลาซาที่เหยียบ ลอยตัวอยู่ในอากาศ ชลิตแปลกใจ
“เฮ้ย”
ดาเนายิ้มแฉ่งให้ชลิต
“พี่ชาย จัดการมันเลย”
ชลิตค่อยๆ ลอยตัวขึ้นเหมือนมีคนดึง แล้วม้วนตัวในอากาศ ลงมายืนจังก้าบนนั่งร้านอีกครั้ง
เลาซามองตะลึง ชลิตต่อยเลาซาตูม เลาซากระเด็นตัวลอย ตกมาจุกแอ่กหมดแรง ที่พื้นข้างล่าง แถวๆที่ดาหวันยืนอยู่
“ถึงเวลาชดใช้กรรมชั่วของแกแล้ว” ดนัยพยักพเยิดกับดาเนา “จัดไป ไอ้น้อง”
ดาเนาหันไปสั่งเด็กๆ ที่ยืนอยู่
“ไป พวกเรา จัดการมันเลย”
แล้วดาเนานำหมู่เด็กๆ ทั้งหมดเฮโลเข้ามารุมกระทืบเลาซา เตะต่อย เลาซาปัดป้อง
ชลิตกระโดดลงมา ดาหวันวิ่งเข้าไปกอดชลิต
“พี่ชลิต”
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” พยักพเยิดให้ดูดาเนา “พี่ว่าเจ้าเด็กคนนี้มันไม่ธรรมดาแน่”
“เอาไว้คุยกันทีหลังเถอะ เรามาจัดการสั่งสอนคนชั่วให้มันรู้สำนึกกันดีกว่า”
ดาหวันดึงชลิตเข้าไป หยิบโซ่ แล้วช่วยกันเอามาคล้องเลาซา ที่โดนเด็กๆ ซ้อมจนน่วมแล้ว ดาเนาจัดการเอาเศษผ้ายัดปากเลาซาทันทีไม่ให้พูด
เลาซาพูดทั้งๆ ที่ถูกผ้ายัดปาก “แกจะทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...ร้องให้ตายก็ไม่มีใครช่วยแกแล้ว” ดาเนาเยาะเย้ย
“ถึงตาแกจะได้รู้สำนึกบ้างว่าการถูกล่ามเป็นสัตว์มันเป็นยังไง”
ชลิตพูดจบก็เอากุญแจมากดล็อก ล่ามเลาซาไว้กับโกดัง แล้วเตะย่ามของเลาซากระเด็นไป เพื่อไม่ให้หยิบอาวุธมาต่อก่อนได้อีก ดาเนาหันไปพูดใส่หน้าเลาซา
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง ฮ่าฮ่าฮ่า” แล้วหันไปพูดกับทุกคน “ไปกันเถอะพวกเรา”
เด็กๆ ร้องเฮลั่นแล้วรีบพากันวิ่งออกไปทันทีโดยมีดาเนานำหน้า
ชลิตกับดาหวันยิ้มให้กันแล้วรีบวิ่งตามไป
“เด็กๆ รอพี่ด้วย” ดาหวันเรียก
เลาซาดิ้นพราดๆ โวยวาย แต่ถูกโซ่รั้งไว้ไม่ให้ตามไป
ศิริกดสายหาธานี จากแค้มป์กลางป่า แต่ไม่มีสัญญานตอบรับ, ศิริกดสายทิ้ง บ่นกับตัวเอง
“ธานีมันเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย เอ หรือว่าสัญญานจะไม่ดี”
ศิริหันไปแล้วป๊ะกับปากกระบอกปืนที่สุภาพถืออยู่พอดี ศิริตกใจร้องลั่น สุภาพกับอาหลู่พลอยกระโดด ร้องตกใจไปด้วยแล้วหันไปอีกทาง
“อ๊าก ขอโทษครับนาย ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ทางนี้”
สุภาพกับอาหลู่ถึงหันกลับมา
“อ๋อ ครับ แหะๆ นายออกมาทำอะไรกลางดึกอย่างนี้ครับ”
“มาช้อปปิ้งล่ะมั้ง”
“ก็ดีนะครับ เฮ้ย แหมนายก็เดี๋ยวนี้ยอกย้อนลูกน้องเหลือเกินนะ”
“ก็ถามมาได้นี่หว่า นี่ฉันหงุดหงิดที่ธานีมันไม่รับสายก็พอแล้วนะ เดี๋ยวพวกแกกวนประสาทอีกล่ะก็ มีเตะแน่”
“นายมีเรื่องอะไรกับเสี่ยธานีเหรอ อาหลู่ไปส่งข่าวให้ก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากจะถามข่าวว่า เขาจัดการธุระที่ศูนย์ฝึกอาชีพเสร็จหรือยัง เห็นรีบร้อนออกไปกันตั้งแต่บ่ายแล้ว”
“นายก็มีน้ำใจกับเขาจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะดีจริงๆ กับนายด้วยหรือเปล่านี่สิ” สุภาพพูดขัดขึ้น
ศิริถามกลับเสียงเข้ม “นี่แก พูดอะไรของแก ฮ้า สุภาพ รู้จักให้เกียรติเพื่อนฉันบ้างนะ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ แค่ที่เสี่ยธานีมีบ้านพักที่ศูนย์แล้วไม่ชวนนายไปพักด้วยนี่ก็พอจะรู้แล้วละ ว่าเสี่ยเพื่อนรักของนาย มีน้ำใจแค่ไหน”
“แต่อาหลู่ว่า มันแปลกๆ น้า เสี่ยธานีอาจจะมีอะไรปิดบังนายอยู่ก็ได้” อาหลู่ออกความเห็น
“เอาล่ะ เลิกสร้างเรื่องคิดไปเองกันเสียที ฉันจะบอกให้นะว่า ธานีมันชวนฉันแล้ว แต่ฉันไม่อยากไปเอง ฉันอยากจะนอนเต็นท์ของเรามากกว่า”
“อ้าว”
“ทีหลังอย่าได้มาใส่ความธานี เสียๆหายๆ อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดเงินเบี้ยเลี้ยงพวกแกสองคนให้หมดเลย”
ศิริเดินออกไป สุภาพกับอาหลู่จ๋อย
“อ้าว” สุภาพกับอาหลู่พูดออกมาพร้อมๆ กันอีก
ทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่าง...เซ็ง
“เกือบซวยแล้วไหมล่ะ” สุภาพว่า
เวลาเดียวกันนั้นอุ๊บอิ๊บยังนั่งก้นจุ่มติดครอบชักโครกดิ้นรน บุญทิ้งพยายามดึงตัวอุ๊บอิ๊บขึ้น
“หายใจเข้า หายใจออก เอ้า อึ้บ เบ่งคร๊าบ”
อุ๊บอิ๊บเผลอเบ่งไปด้วยแป๊บนึง แล้วรู้สึกตัวสะบัดผลักบุญทิ้งออก
“อ๊าย ฉันไม่ได้เจ็บท้องคลอดลูกนะยะ ไอ้เซ่อ ไอ้ซื่อบื้อ”
บุญทิ้งนิ่ง วิ้งขึ้นมาเหมือนกัน
“ถ้าอยากให้ผมช่วย ก็พูดดีๆ สิครับ”
“ทำไม ฉันจะพูดอย่างนี้ ผิดศีลข้อไหนฉันก็ไม่สนหรอกยะ”
บุญทิ้งเหลืออด ยกมือไปกดปุ่มชักโครก เสียงน้ำชักโครมดังขึ้น คร้อก
“กรี๊ด นี่แก แกทำบ้าอะไรอีก ฮ้า มากดชักโครกทำไม”
“คำพูดส่อเสียดของคุณมันก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนอาจม กดมันทิ้งไปบ้างเถอะนะครับ จิตใจของคุณจะได้สะอาดขึ้น” บุญทิ้งยกธรรมะมาอบรม แต่...ดูเหมือนจะยังไม่ได้ผล
“อ๊าย นี่แกว่าฉันจิตใจสกปรกงั้นเหรอ” อุ๊บอิ๊บทุบตีบุญทิ้งไปด้วย “ไอ้คนงี่เง่า เฮงซวย แกเป็นใครมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน”
บุญทิ้งปัดป้อง แล้วจับรวบมืออุ๊บอิ๊บไม่ให้ตี
“ก็สิทธิ์ของคนที่หวังดีกับคุณอย่างจริงใจไงครับ”
บุญทิ้งยอตัวลงมาคุกเข่า กับพื้นห้องน้ำหน้าชักโครก จ้องตาอุ๊บอิ๊บจริงจังจริงใจ พูดจริงๆ จากในใจ
อุ๊บอิ๊บมองหน้าบุญทิ้งอึ้งไปเลย
“ความสวยภายนอก มันไม่ยั่งยืนเท่าจิตใจที่งดงามหรอกนะครับ ถ้าคุณอุ๊บอิ๊บอยากให้คนอื่นเขารักคุณ ดีกับคุณ คุณก็ต้องรู้จักพูดดี ทำดีกับคนอื่นบ้างนะครับ”
อุ๊บอิ๊บได้ฟังบุญทิ้งพูดแล้วจี๊ดโดนใจ
“ทำดีเหรอ? เฮอะ” ส่ายหน้าแล้วหันมาพรั่งพรูระบายเรื่อง...ดนัยเป็นหลัก “ฉันยังดีกับพี่ดนัยไม่พออีกเหรอ? ไม่เห็นเขาสนใจฉันเลย”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น” บุญทิ้งไม่ท้อ ยังพยายามต่อ
“นายนั่นแหละ เงียบไปเลย ฉันขอเป็นคนชั่วที่สมหวัง ดีกว่าเป็นคนดีที่ถูกเขาทิ้ง ได้ยินไหม ฉันจะทำทุกทางให้พี่ดนัยรักฉันให้ได้” อุ๊บอิ๊บประกาศกร้าว
บุญทิ้งฟังแล้วตะลึง “คุณอุ๊บอิ๊บ”
“ไป ออกไปให้พ้น ไม่ต้องมาสั่งสอนฉันแล้ว”
อุ๊บอิ๊บผลักบุญทิ้งออกไปเต็มแรง บุญทิ้งไม่ทันตั้งตัวผงะออกไป แต่มือดันดึงตัวอุ๊บอิ๊บตามมาด้วย
“ว้าย”
ทำให้อุ๊บอิ๊บก้นหลุดจากชักโครก เซตามบุญทิ้งล้มลงไปกอดกัน อุ๊บอิ๊บคร่อมอยู่บนตัวบุญทิ้ง อุ๊บอิ๊บเซลงมา จูบปากบุญทิ้ง เข้าไปแบบเต็มๆ! บุญทิ้งลืมตาโพลง ทั้งสองต่างอึ้งกันไปครู่หนึ่ง
อุ๊บอิ๊บค่อยถอนปากขึ้นมา เอามือเท้าพื้นยันตัวไว้ มองหน้าบุญทิ้ง รู้สึกแปลกใจที่จูบกันอีกแล้ว
“ฉันจูบนาย...อีกแล้วเหรอ”
บุญทิ้งทั้งเขินทั้งตื่นเต้น พยายามจะแก้ตัว แต่กระตุกหอบขึ้นมาซะงั้น
“เออ คือ...” เริ่มหอบ “ค...คุณอุ๊บ...อิ๊บ...ผ...ผม...ขอโทษ...ผม....”
อุ๊บอิ๊บนับเพราะว่ารู้ว่าเดี๋ยว บุญทิ้งต้องเป็นลม “1..2..3....สลบ”
“ค...คร้อก” บุญทิ้งหมดสติไป
บุญทิ้งหมดสติไปตามที่อุ๊บอิ๊บนับพอดี อุ๊บอิ๊บมองบุญทิ้งยิ้ม ชอบใจ
“เป็นลมไปเลย ฮิฮิฮิ จูบมรณะของฉัน ได้ผลเกินคาด ฮึ รู้อย่างนี้ฉันจูบนายแต่แรกแล้ว จะได้ไม่ต้องเหนื่อยก้นติดชักโครกอยู่ตั้งนาน”
อุ๊บอิ๊บตบแก้มบุญทิ้งเบาๆ แล้วลุกออกไป
“หลับให้สบายนะ นายมหาไก่อ่อน!!”
บุญทิ้ง พริ้มหลับไปไม่รู้เรื่อง
การขนลำเลียงไม้เถื่อนยังดำเนินต่อไป ธนวัติกับธานีเดินมาสั่งงาน แจ๋มกับกิมจิเอากิ่งไม้มาติดตามตัวเพื่ออำพราง แล้วถือพุ่มไม้คนละพุ่ม วิ่งเข้ามาหลบดู พวกธานี กับธนวัติ
พอธนวัติกับธานี หันมาก็หยุดทำเป็นพุ่มไม้ แล้วพอทั้งธานี ธนวัติหันไปไม่สนใจ แจ๋ก็โผล่หน้าออกมาชี้บอกให้กิมจิ ถ่ายรูปอย่างมุ่งมั่น
“มุมนี้แหละชัดสุดแล้ว เอาเลยกิมจิ”
แจ๋เห็นกิมจิเงียบไม่ตอบ ก็หันไปมอง เห็นกิมจิกำลังถ่ายนกฮูกบนต้นไม้ แจ๋ตบผัวะเข้าให้
“ไอ้บ้า นี่เรามาจับผู้ร้ายนะโว้ย ไม่ได้มาส่องสัตว์”
“ก็นกฮูกตัวนั้นมันเหมือนเฮดวิค ใน แฮรี่ พอตเตอร์อ่ะ”
“ไอ้เพ้อเจ้อ เอามานี่เลยมา ฉันถ่ายเอง”
แจ๋แย่งกล้องมาจากกิมจิแล้วกดชัตเตอร์ถ่าย กิมจิชะโงกหน้าดู
“อื้อหือ นี่แกถ่ายรูปกดติดวิญญาณไงวะ เบลอเชียว มะ ฉันถ่ายเอง”
กิมจิแย่งกล้องคืนมา แล้วยกกล้องขึ้นสาธุ ไหว้ปลุกของแบบไม่ลืมหูลืมตามองอะไรเลย
“อับดุล ซ้ายรู้จัก ขวารู้จัก จัดมาเน้นๆ เห็นหน้าไอ้ชั่วสองตัวพ่อลูกนั่นเต็มๆ”
ปลุกของเสร็จ กิมจิก็ยกกล้องขึ้นถ่าย ซึ่งภาพในกล้อง เห็นเป็นพ่อลูกธานีกับธนวัติ ยื่นหน้ามายิ้มร้ายกวนใส่ กิมจิดีใจ
“ของขึ้นจริงๆ ด้วย เห็นหน้าไอ้แก่ธานีกับไอ้กระบือธนวัติ ชัดแจ่มมาก”
เสียงร้องไห้ของแจ๋ดังแทรกเข้ามา “ฮือ ฮือ ฮือ”
กิมจิยังถ่ายต่อไป โดยม่ได้หันไปดูแจ๋ “อย่าหอนได้มั้ย แจ๋”
แต่แจ๋ยิ่งร้องไห้ดังขึ้น กิมจิถ่ายอย่างเมามันไม่สนใจหันมองอะไร
“ไม่เอาน่าแจ๋ แพ้แล้วอย่าพาลซี้” กิมจิจดจ่ออยู่กับกล้อง “สุดยอด มันเปลี่ยนโพสให้ด้วย”
ภาพในกล้อง เห็นธานีกับธนวัติหยิบปืนออกมา เล็งมาที่กิมจิ
“ไอ้พวกแมงเม่า บินเข้ากองไฟ” เสียงธานีเอ่ยขึ้น
“ฉันให้แกเลือก ยิงแสกหน้า หรือว่า ทะลุหัวใจ”
สมุนคนหนึ่งที่ยืนข้างๆ ดึงกล้องไปจากมือกิมจิ แต่กิมจิยังอินทำมือตามกล้องถ่ายภาพอยู่
“เฮ้ย ทั้งภาพทั้งเสียงคมมาก โห ยังกับถ่ายทอดรายการสดเลยนะเนี่ย”
ธานีกับธนวัติจ้องเขม่ง เล็งปืนที่กิมจิตัวเป็นๆ
กิมจิ สบตาธนวัติแล้วสะดุ้ง รู้สึกตัว “เฮ้ย นี่มัน ตัวจริงเสียงจริงนี่หว่า”
แจ๋เองโดนสมุนอีกคน ล็อกตัวจับไว้เรียบร้อยแล้ว
แจ๋ร้องไห้ออกมา “ไอ้กิมเซ่อ ฉันบอกแล้ว แกไม่ฟังเอง”
กิมจิมองแจ๋ แล้วจะร้องไห้ “แจ๋ ฮือ ฉันว่าเราสูญเสียอิสรภาพกันแล้วละ”
ธานีถีบกิมจิจนถลาไปกองรวมกับแจ๋อย่างหมั่นไส้
“จะตายแล้วยังน่าถีบ ไม่ใช่แค่แกเสียอิสรภาพอย่างเดียว ฉันจะทำให้พวกแกเสียชีวิตอีกด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า ใจป้ำแถมให้”
ทั้งสองร้องลั่น ปฏิเสธ ส่ายหน้าไปมา แล้วเสียงมือถือของธานีดังขึ้น ธานีกดรับ
“ฮัลโหล ว่าไงอุ๊บอิ๊บ” ธานีฟังแล้วสำทับถาม “ฮึ แกจับคนบุกรุกได้หรือ”
แจ๋กับกิมจิ มองหน้ากัน พูดออกมาพร้อมกัน
“มหาบุญทิ้ง!”
ธานีพูดต่ออีก 2-3 ประโยค มีสีหน้า เข้ม และเอาจริง
“ได้ เดี๋ยวป๊าจะเข้าไป จัดการสำเร็จโทษพวกมันทั้งหมดพร้อมกัน”
ดนัยกับฉวีวรรณยังไม่รู้ว่า เพื่อนอีกสามคนโดนจับได้ เวลานั้นดนัยอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ห้องทำงานธานี และเปิดคอมพ์ฯ ขึ้นมาที่หน้าวินโดว์ ดนัยโล่งอก
“มันไม่ได้ใส่รหัสไว้”
ดนัยไล่ดูแต่ละโฟลเดอร์ที่หน้าจอ แล้วลองคลิกไปเรื่อยๆ กลายเป็นเข้าโปรแกรมอะไรบางอย่างขึ้นมา ทันใดนั้น เสียงไซเรนก็ดังขึ้นทันที พร้อมกับไฟสว่างไปทั่วห้อง
ดนัยกับฉวีวรรณผงะตกใจ
“ซวยแล้ว” ฉวีวรรณร้องออกมา
ขณะนั้นกาซูยืนคุมคนงานขนไม้ ทุกคนได้ยินเสียงไซเรนดังมาจากออฟฟิศก็หันไปมอง
“ใครอยู่ที่นั่น ให้คนไปดูซิ”
คนงานสองคนรีบวิ่งไป
ดนัยรีบคว้ามือฉวีวรรณวิ่งออกมาจากห้องทำงานมา กำลังจะออกประตูกลางออฟฟิศ
“หนีก่อนเร็ว” ดนัยบอก
แต่มีเสียงพวกคนงานดังเข้ามา ดนัยดึงมือฉวีวรรณ ชะงัก
ดนัยหันไปหยิบแชลงเหล็ก ส่งให้ฉวีวรรณ แล้วตัวเองหยิบร่มมาถือไว้ แล้วส่งสัญญาณให้ฉวีวรรณเงียบ
พวกคนงานเตะประตูโครมเข้ามา ดนัยรีบเอาร่มฟาดทันที ฉวีวรรณเอาแชลงช่วยตีด้วย
“โอ๊ย” สมุนร้องอย่างเจ็บปวด
“นี่แน่ะๆๆๆ” ฉวีวรรณตีซ้ำ
ดนัยใช้ขาร่มเหนี่ยวคอคนงานคนหนึ่งขึ้นมา แล้วต่อยเข้าหน้าจนน็อกไป แล้วหันไปช่วยฉวีวรรณเล่นงานอีกคน จับคนงานเอาหัวกระแทกพื้นจนแน่นิ่งไปอีกคน
“ไปกันได้แล้ว” ฉวีวรรณจะเดินไป
ดนัยห้ามไว้ “เดี๋ยว ...ช่วยกันซ่อนไอ้สองคนนี้ก่อน ปิดประตูซะ”
ฉวีวรรณพยักหน้ารับ แล้วไปปิดประตูตามที่ดนัยบอก ดนัยเข้าไปลากคนงานเข้าไปข้างใน
สามสหาย แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งโดนธนวัติกับธานีจับมัดไว้ด้วยกันที่มุมห้อง
ธานีเอาปืนชี้หน้าถามขึ้น “บอกมาว่าพวกแกเข้ามาในนี้ทำไม”
“ก็บอกแล้วไงว่าพวกเราหลงมา” กิมจิบอก
“โกหก หมู่บ้านชาลันกับดงผีฟ้าห่างกันเป็นกิโล ไม่มีทางที่แกจะหลงมาที่นี่”
ธนวัติไม่เชื่อ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งหลบตากันหลุกหลิก จังหวะนั้นธนวัติเอาปืนเข้ามาเล็งที่หัวแจ๋
“บอกมา ไม่งั้นฉันจะเป่าสมองแกให้ดิ้นทีละคน”
ทั้งสามสะดุ้งเฮือก เพราะรู้ว่าธนวัติเอาจริงแน่
“ฉัน ฉันจะเข้ามาขโมยของ” แจ๋บอกอย่างจริงจัง
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าโกหก” ธนวัติขู่อีก
ธนวัติเงื้อปืนจะตบแจ๋ แต่กิมจิรีบโอบแจ๋ไว้
“อย่านะเว้ย ถ้าแกทำร้ายผู้หญิง แกก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
แจ๋มองกิมจิอึ้งๆ ที่อีกฝ่ายยืดอกปกป้อง ธนวัติมองกิมจิอย่างหมั่นไส้
“ได้ งั้นแกก่อน”
ธนวัติขึ้นนกแล้วจ่อกระบอกปืนที่หัวกิมจิทันที ทั้งสามตาเหลือก จู่ๆ อุ๊บอิ๊บก็พูดขึ้นมา
“นายจะเข้ามาปล้ำฉันใช่ไหมล่ะบุญทิ้ง ฉันรู้นะ”
ธานีกับธนวัติหันขวับ
“ว่าไงนะ”
อุ๊บอิ๊บกอดอกหน้าเชิด หยิ่งทระนงกับความสวยของตัวเองเต็มที่
“แหมป๊า ก็น่าจะรู้นะว่าลูกสาวป๊า ทั้งสวยทั้งเซ็กซี่ ผู้ชายที่ไหนก็ปลื้มอุ๊บอิ๊บกันทั้งนั้นล่ะค่ะ”
แจ๋กับกิมจิมองอุ๊บอิ๊บ อึ้งตาค้าง
แจ๋กระซิบ “ชีมั่นสุดๆ เลยว่ะ”
อุ๊บอิ๊บเยาะ “นี่คงแอบมาด้อมๆ มองๆ ที่บ้านเราอยู่นานแล้ว พอสบโอกาส เห็นอุ๊บอิ๊บอยู่บ้านคนเดียวก็เลย...” อุ๊บอิ๊บทำท่าปิดปาก “อุ๊บส์ เซ็นเซอร์”
“อุ๊บอิ๊บ ป๊าขอแต่เนื้อๆ ได้ไหม น้ำไม่ต้อง” ธานีเริ่มจะเหลืออดกับความเยอะของลูกสาว
“ก็นั่นแหละค่ะ มันก็เลยจะปล้ำอุ๊บอิ๊บ แต่ดีนะที่อุ๊บอิ๊บมีไหวพริบและปฏิภาณดี อุ๊บอิ๊บเลยเอาตัวรอดมาได้ค่ะ”
ธานีโมโหหันตวาดบุญทิ้ง “แกเข้ามาปล้ำลูกสาวฉัน จริงหรือเปล่า”
บุญทิ้งมองอุ๊บอิ๊บด้วยความน้อยใจที่มากล่าวหาตัวเองแบบนี้ แจ๋กับกิมจิตัวสั่นกลัวแทน แล้วชิงรีบแย่งพูดแทนบุญทิ้งพร้อมๆกัน
“จ...จริงค่ะ/จริงครับ”
บุญทิ้งหันมองแจ๋กับกิมจิเหวอๆ ที่โดนโบ้ย แจ๋รีบขยิบตา กระซิบ
แจ๋กระซิบ “ยอมรับไป จะได้รอด”
กิมจิกระซิบบิ้วท์อีก “รับเลย บุญทิ้ง”
แต่บุญทิ้งกลับประกาศก้องออกไปอีกอย่าง
“ไม่จริงครับ ผมไม่เคยคิดจะปล้ำคุณอุ๊บอิ๊บเลยครับ”
แจ๋กับกิมจิหน้าเสีย “บุญทิ้ง”
“ผมพูดจริงๆนะครับ ถึงผมจะเป็นแค่เด็กวัดกระจอกๆ แต่ผมก็ไม่เคยคิดทำอะไรให้สุภาพสตรีอย่างคุณอุ๊บอิ๊บเสื่อมเสียหรอกนะครับ”
อุ๊บอิ๊บอึ้ง ไม่เคยมีใครยกย่องให้เกียรติ อย่างนี้
ธนวัติหัวเราะออกมาเพราะขำสุดกลั้น กับคำพูดและท่าทางแสนซื่อของบุญทิ้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขำว่ะ ตาแกเป็นต้อกระจกหรือเปล่าถึงได้เห็นผู้หญิงดัดจริต แถมกระแดะตัวแม่อย่างยายอุ๊บอิ๊บเป็นสุภาพสตรีไปได้”
“เจริญพร คุณนั่นแหละที่ไม่เข้าท่า เป็นพี่ชายก็ควรปกป้องดูแลน้องสาว ไม่ใช่มาด่าทอเหยียบย่ำเสียเอง”
อุ๊บอิ๊บมองบุญทิ้ง ยิ่งรู้สึกแน่นขึ้นมาภายในใจ
ธนวัติถูกด่าฟรี โมโหจัดปรี่เข้าไปฟาดด้ามปืนใส่หน้าบุญทิ้ง แจ๋ กิมจิ ร้องห้ามอย่างตกใจ
“เยอะไปแล้วนะแก”
อุ๊บอิ๊บรีบวิ่งเข้ามาดึงมือธนวัติรั้งเอาไว้
“พอได้แล้ว พี่วัติ หยุดนะ!”
“ห้ามทำไม หรือว่าแกก็ชอบมัน”
“บ้า ใครจะไปชอบผู้ชายเฉิ่มๆ ซื่อบื้ออย่างนี้ได้ลงคอ อุ๊บอิ๊บห้ามเพราะอุ๊บอิ๊บไม่อยากให้พี่วัติเสียลูกปืนโดยไม่จำเป็น” พลางหันไปมองบุญทิ้งทำเป็นเยาะ “ฮึ ชีวิตคนบางคนแถวนี้ มันราคาถูกกว่าลูกปืนอีกนะคะ”
บุญทิ้งเงยหน้าทั้งที่เลือดไหลหยดออกมุมปาก ขึ้นมามองสบตากับอุ๊บอิ๊บ ทั้งอึ้ง และน้อยใจ
อุ๊บอิ๊บทำเชิดเหยียดเยาะ แต่จริงๆ ชักจะเริ่มมีใจให้บุญทิ้งเข้าจริงๆ แล้วสิ
อ่านต่อตอนที่ 13
ติดตามอ่านเรื่องราวแสนสนุกสนานของ "หอบรักมาห่มป่า" แบบละเอียดทุกลมหายใจ สมบูรณ์ที่สุด และตรงตามบทโทรทัศน์ช่อง 7 สี ทุกวัน ทาง "ละครออนไลน์"