xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 12

ทอกและหมอก ช่วยกันหุงข้าวทำอาหาร อยู่หน้าเพิงพัก ทวนและเมินเดินเข้ามา ต่างมีความรู้สึกรันทดใจ กับปัญหาที่กำลังเป็นภัยคุกคามคนบ้านนา

“หลวงตาท่านคงลำบากใจนะ ที่ท่านช่วยชาวบ้านไม่ได้ ตั้งแต่เป็นเด็กหลวงตาเก็บเรามาเลี้ยง ท่านก็อบรมให้เราเป็นคนดี ท่านสอนให้เราซื่อสัตย์กับตัวเองก่อน เราจะได้ซื่อสัตย์ต่อคนอื่นเป็น” ทวนบอก
เมินทอดถอนใจ
“ยาร้ายนั่นกำลังเกลื่อนบ้านนาไปหมด มันกำลังเปลี่ยนคนบ้านนาให้เป็นสัตว์ร้ายขึ้นทุกที เราจะทำยังไงดี”
“ก็ไม่เห็นจะยาก ก็แจ้งตำรวจ” ทอกหันมาบอก
ทวนรีบห้าม
“อย่า แกไม่เห็นหรือว่าจ่าสิน เข้านอกออกในบ้านเศรษฐีบุญช่วย ศรีไพรก็เคยไปแจ้ง แต่จ่าสินทำเหมือนไม่รับรู้”
“ทุกวันนี้จ่าสินเป็นกำลังให้เศรษฐีบุญช่วย เรามีกันแค่นี้จะไปสู้จ่าสินได้ยังไง คราวที่แล้วถ้าไม่ได้หลวงตาช่วยไว้ พี่ก็อาจจะถูกจ่าสินจับ”
หมอกออกความเห็น ทวนเมินมองสบสายตากันอย่างเคร่งเครียด เมินนึกขึ้นมาได้
“เราต้องก่อตั้งแนวร่วมป้องกันยาเสพติด”
“ใครจะร่วมกับเรา”
“ศรีไพรไง”
“ศรีไพรเหรอ” ทวนพึมพำเบาๆ

ศรีไพรสะพายปืนยาว เดินตรวจต้นข้าวไปตามคันนา แล้วก็เมินหน้าเมื่อเห็นทวนยืนรออยู่
“คราวนี้อะไรอีกล่ะ บุญคุณความแค้นหมดกันไปแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก กุ้งแม่น้ำคราวที่แล้วเป็นยังไงบ้าง รสชาดสุกกำลังพอดี อมเปรี้ยวอมหวานใช้ได้มั้ย”
“รสชาดใช้ไม่ได้...เอ๊ย...ใช้ได้ดีเชียวแหละ ที่มาดักศรีไพรที่นี่ไม่ได้มาทวงบุญคุณหรอก แต่จะมา...”
“ฉันไม่มีเวลาฟัง เดี๋ยวต้องไปเก็บผักให้พี่ศรีแพร”
ทวนตาโต เมื่อได้ยินชื่อศรีแพร รีบเปลี่ยนน้ำเสียงประจบ
“งั้นผมไปเก็บให้นะ จะเอาผักอะไร ประเภทต้ม แกง หรือจิ้ม เมื่อกี้นี้ตอนที่เดินผ่านโคกอีแร้ง เห็นมะระขี้นกกำลังอ่อนได้ที่ จิ้มกับปลาร้าทรงเครื่องคงจะ...”
“ฉันถามว่าเรื่องอะไร ตอบมาเร็วๆ”
“เอ้อ...อ้า...”
“ถ้าไม่มีเรื่องก็ถอยไป ไม่มีเวลาฟังคนเพ้อเจ้อ”
ศรีไพรชนทวนตกคันนาแล้วเดินผ่านไป ทวนรีบร้องตะโกน
“อยากเห็นบ้านนา เป็นสวรรค์เหมือนเมื่อก่อนมั้ย...”
ศรีไพรชะงัก หันกลับมามองหน้าทวนด้วยความสงสัย

ศรีไพรโยนผักพื้นบ้านที่เก็บไว้ ลงในคลองก่อนก้าวตามลงไปล้างผัก ขณะที่ทวนนั่งอยู่บนฝั่ง พยายามหว่านล้อมศรีไพร ให้ร่วมมือกันปราบยาเสพติดในบ้านนา
“ถ้าอยากเห็นบ้านนาเป็นสวรรค์เหมือนตอนที่เรายังเด็ก เราต้องร่วมมือกันปราบยาเสพติด”
“ฉันไม่มีปืน ไม่มีอำนาจ ไม่มีหน้าที่ต้องเสี่ยงตายเพื่อใคร”
“เราอาจจะไม่มีปืน ไม่มีอำนาจ แต่เรามีหน้าที่...หน้าที่ที่จะปกป้องแผ่นดินเกิดของเราให้รอดจากยาอุบาทว์นั่น เราอาจจะมีแค่สองมือ คนละสองมือแต่ รวมกันเข้า เราก็มีกำลังสู้ได้”
ศรีไพรถอนใจ...
“ไอ้ที่นายพูดมันเรื่องใหญ่นะ”
“เรื่องยาก็เป็นเรื่องใหญ่ เวลานี้คนในครอบครัวกลายเป็นตัวอะไรกันไปหมด เพราะอะไร...เพราะยาเสพติด”
ศรีไพรชะงัก มองหน้าทวน แววตาเคร่งขรึมลง หอบผักที่ล้างเสร็จแล้วขึ้นมาบนฝั่ง
“ฉันเคยไปแจ้งจ่าสินแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์ คนบ้านนาก็ไม่มีใครร่วมมือ”
ทวนจับแขนศรีไพรไว้ ศรีไพรชะงัก มองที่มือ ทวนสะดุ้งรีบปล่อยมือ
“เรายังไม่ได้เริ่มเลย เราจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีใครสู้ร่วมกับเรา...”
ศรีไพรเริ่มลังเล เห็นด้วยกับความคิดของทวน

สไบตรวจดูบัญชีรายจ่าย โดยมีแหว่งยืนอยู่ใกล้ๆ ชาริณีก้าวเข้ามา แหว่งทำเมินหน้าไปเบะปาก
“เอาเงินมาให้ฉันสามหมื่น” ชาริณีสั่ง
“คุณจะเอาเงินไปทำอะไร” สไบย้อนถาม
“ฉันต้องรายงานแกในฐานะอะไรไม่ทราบ ฉันเป็นลูกของพ่อเหมือนพี่ชิงชัย ฉันจะใช้เงินเท่าไหร่ก็ได้ เงินพวกนี้พ่อฉันหาไว้ให้ฉันใช้ เอามานี่…”
ชาริณีกระชากเงินที่กองอยู่ตรงหน้าสไบ สไบตะครุบไม่ทัน
“คุณ อย่าเอาไปนะ เงินนี่สำหรับ...”
“ถ้าพ่อถามบอกพ่อด้วย ฉันไปหาคุณทวน”
ชาริณีเดินออกไปโดยไม่ฟังสไบพูดให้จบ แหว่งประจบประแจงทันที
“ต๊ายตาย...คุณสไบของบ่าวขา ก็เงินนี่คุณสไบต้องจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงให้จ่าสินไม่ใช่หรือคะ แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ”
“ไปเอาเงินในเรือนมาใหม่ เงินเยอะแยะ หาง่ายดายยังงั้น ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดหรอก”
“แต่ว่า...ทำยังงี้มันหยามหน้าคุณสไบของบ่าวขานะคะ”
“แกไม่ต้องกลัวหรอกนังแหว่งว่าฉันจะไม่เอาคืนน่ะ ฉันจะไม่ฟ้องท่านเศรษฐี เรื่องนังชาริณีติดยา แต่ฉันจะปล่อยให้ยากินมันให้...ตาย”
สไบยิ้มเยาะ เมื่อนึกถึงอนาคตของชาริณีที่จะมีแต่ความตกต่ำ

ทวน เมิน ทอกและหมอกช่วยกันสร้างศาลาร่วมใจ เพื่อจัดการประชุมชาวบ้านให้ความรู้ถึงพิษภัยของยาเสพติด ที่ลานวัดบ้านนา ศรีแพรตักน้ำส่งให้เมิน เมินรับขันน้ำโดยจับมือเธอไว้ด้วย
“เหนื่อยมั้ยจ๊ะ พี่เมิน”
“มีศรีแพรคอยให้ข้าวให้น้ำอยู่ยังงี้ พี่ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ”
ศรีไพรโผล่พรวดขึ้นมาระหว่างทั้งสอง โวยวายใส่
“ไม่เหนื่อยก็ดีแล้ว โน่น ไปแบกจากมามุงหลังคาจะได้เสร็จๆ ซะที พี่สาวฉันจะได้กลับบ้าน”
ทวนรีบห้าม
“จะรีบกลับไปไหนล่ะจ๊ะศรีแพร มาตั้งนานแล้วทำไมต้องรีบกลับ อยู่เป็นสิริมงคลสักค่อนคืน พรุ่งนี้เช้าพี่ไปส่ง”
ศรีไพรตวาดแว๊ด
“ไม่ให้อยู่ ถ้าจะมุงหลังคากันทั้งคืนละก็ ฉันกับไอ้แสนอยู่เอง”
“ว้า...” เมินเซ็งไปทันที
ทวนรีบบอก
“งั้นเอาไว้แค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำต่อให้เสร็จ เสร็จเรื่องมุงหลังคาศาลาหลังนี้แล้วเรายังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ อ้า...ศรีแพรต้องมาช่วยนะครับ ไม่ยังงั้นพี่ขาดกำลังใจ”
เมินรีบแย้ง
“ไอ้ทวน แกขาดกำลังใจคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ฉันขาดกำลังกายด้วย”
ขณะเดียวกัน ชาริณีขับรถยนต์เข้ามาจอด มองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ ถามหยิ่งๆ
“ทำอะไรกัน ฉันมารับคุณทวนเข้าเมืองด้วยกัน ไปเที่ยวในเมืองกันดีกว่าค่ะ คุณทวน ฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงคุณเอง”
เมินรีบปฏิเสธ
“โอ ไอ้ทวนมันกำลังกินกำลังนอน เอามันไปเลี้ยงเถอะครับ มันกำลังโต”
“ไอ้เมิน แก...”
ทวนโมโห แต่ชาริณีรีบอ้อน
“ไปนะคะ ศาลานี่ทิ้งให้พวกนี้ทำกันเอง ว่าแต่จะทำไปทำไม”
“เราจะเรียกประชุมชาวบ้าน” ศรีไพรตอบแทน
“ใคร ใคร๊...ใครจะกล้ามา ไม่มีใครกล้ามาประชุมกับใครหรอก อย่าเสียเวลาเลยแก ไปกันเถอะค่ะคุณทวน ไปเที่ยวในเมืองกัน บ้านนา...ค่ำลงไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากความมืด ไปนะคะ”
“เอ้อ...อ้า...”
ทวนไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ศรีไพรตัดบท...
“งั้นพวกเราก็เอาแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาลงแรงกันใหม่ ไป พี่ศรีแพร กลับบ้าน”
แสนร้องถาม
“มีใครอยากจะเป็นไม้กันหมาให้พี่ศรีแพรมั้ย”
“พี่เมินครับ”
เมินเสนอ ทอกรีบบอก
“ข้ากับไอ้หมอกด้วยจ้ะ”
“งั้นเรากลับกันเถอะ”
ศรีไพรมองทวนเยาะๆ ก่อนดึงศรีแพรเดินไป เมิน ทอก หมอกและแสนรีบตาม ต่างดีใจที่ได้ไปส่งศรีแพร ทวนขยับจะตามแต่ชาริณีรั้งไว้
“ไปค่ะ เราเข้าเมืองกันดีกว่า...”
“เอ้อ...ผมไปก็ได้ครับ แต่ว่า...แต่...“
“แต่...อะไรคะ...”
“เราไปเดินเล่นกันดีกว่าครับ”
ทวนยิ้มอย่างมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง

ชาริณีเดินตามทวนเข้ามาในป่าละเมาะ ทวนมองไปยังกระท่อมร้างของบุญช่วย ชาริณีไม่พอใจ เพราะทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน
“เหนื่อย...ร้อน...เดินมาตั้งไกลไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย ไหนบอกว่าจะมาเดินเล่นไงล่ะคุณทวน”
“ก็นี่ไงครับ กำลังเดินอยู่ อากาศดีตะวันยามเย็นกำลังตกยังงี้ วิวทิวทัศน์น่าสนใจ เอ๊ะ กระท่อมหลังนั้นของเศรษฐีบุญช่วยคุณพ่อคุณหรือครับ”
“ใช่ คุณถามทำไม”
“เมื่อก่อนมันเป็นที่พักคนงานไม่ใช่หรือครับ แล้วเดี๋ยวนี้คุณพ่อคุณใช้ทำประโยชน์อะไร”
“ฉันก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันไม่ใช่ที่ที่พ่อฉันให้คนงานอยู่แล้ว”
“แต่มีคนเฝ้า...”
ทันใด เสียงปืนดังขึ้น สมุนของชิงชัยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อไล่
“ใคร เข้ามาทำไม อ้อ...คุณ...”
สมุนชะงักเมื่อเห็นชาริณี
“ฉันเอง นี่แกจะบ้าหรือ ยิงปืนทำไม แกทำให้ฉันกับคุณทวนตกใจนะ”
สมุนมองเลยไปยังทวนอย่างระแวง
“คุณชิงชัยห้ามไม่ให้ใครเข้ามาในบริเวณนี้”
“ฉันเป็นน้องพี่ชิงชัย ทำไมฉันจะเข้าไปไม่ได้” ชาริณีโต้
“ใครก็ไม่ได้”
“แก...”
ชาริณีโกรธ เงื้อมือ ทวนรีบเข้าห้ามไว้
“อย่าครับ อย่ามีเรื่องกันเลยครับ ถ้าเป็นเขตหวงห้ามก็อย่าเข้าไปเลยครับ ผมว่าผมกลับดีกว่าเดี๋ยวจะค่ำ”
“แต่ว่า...”
“ผมต้องรีบกลับจริงๆ ครับ ต้องลงโบสถ์กับหลวงตา ไม่ยังงั้นหลวงตาเทศน์กัณฑ์ใหญ่ยาวแน่ ผมไปละครับ”
“คุณทวน...อ้าว ไปแล้ว”
ทวนรีบผละไป ชาริณีโกรธ หันรีหันขวาง ระบายอารมณ์กับสมุน
“แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร ถ้ารักจะอยู่เป็นสุนัขรับใช้พี่ชายฉันละก็ แกต้องฉลาดกว่านี้นะ ไอ้โง่”
ชาริณีออกกลับไป สมุนมองตามอย่างไม่ชอบใจ

สำรับกับข้าว มีจานปลาเค็มตัวเล็กตัวน้อยอยู่จานเดียว ขณะที่เมิน ทอก หมอก และพรนั่งล้อมวงกินข้าว พรวางดาบไว้ข้างๆตัว สามหนุ่มต่างมองไปยังดาบของพร ด้วยท่าทีหวั่นๆ อยู่ๆเมินก็สำลักน้ำ พรถามเสียงเหี้ยม
“เป็นอะไรวะไอ้เมิน กินเข้าไป ไหนๆ ลูกข้านังศรีแพรมันก็ออกปากชวนพวกเอ็งกินข้าวด้วย กินซี...กินซะ กินเข้าไปเถอะ ข้าวปลาอาหารนี่ ลูกเมียของข้ายังไม่ได้กินหรอก”
“เอ้อ...อ้า...” เมินพูดไม่ออก
“น้ำจ้ะพี่เมิน”
ศรีแพรเลื่อนขันน้ำให้เมิน ขณะที่ศรีไพร สดและแสนนั่งดูอยู่ห่างๆ
“ขอบใจจ้ะศรีแพร”
เมินยิ้มให้ศรีแพร พรพูดขัดทันที...
“ทีหลังไม่ต้องเอาขันเงินมาใช้นะ เก็บไว้เผื่อมีพระมีเจ้ามาโปรดสัตว์ถึงบ้าน เอากะลาก็ได้ กะลามะพร้าวน่ะใช้ได้สารพัดประโยชน์ คนโบร่ำโบราณท่านก็ใช้มา ไม่เห็นมีใครเสื่อมเสียเกียรติยศ”
“อ้า ถ้าจะให้ดีเอากาบมะพร้าวก็ได้จ้ะ พ่อจ๋า” ทอกแกล้งแหย่
พรหันมาตวาดแว๊ด
“อย่ามาเรียกข้าว่าพ่อ ไอ้ทอก ข้ากับแม่เอ็งไม่เคยมีอะไรกัน”
สดมองค้อน
“ก็ลองมีซี แม่จะจ้างงิ้วมาเล่น แล้วแถมปลาร้าให้คณะงิ้วไหนึง”
ศรีแพรหันไปมองเมิน
“ทำไมอิ่มเร็วนักล่ะจ๊ะ พี่เมิน”
“เอ้อ...อ้า...แค๊กๆๆ”
เมินพูดไปม่ออกข้าวติดคอ หมอกรีบพูด
“พี่เมินเขาคงกลืนไม่ลงคอ อ้า...ต้มโคล้งซดพอคล่องคอไม่มีหรือจ้ะ แม่ศรีแพรจ๋า”
“มี แต่ข้าเก็บเอาไว้กินวันอื่น” พรเป็นคนตอบ
“แต่ปลาเค็มนี่ มันเค็มสมชื่อปลาเลยจ้ะ” ทอกหน้าแหย
“ใส่เกลือเยอะๆ เค็มก็กินน้ำตาม มันจะได้ไม่เปลือง”
เมินหน้าจ๋อย แอบบ่น
“อิจฉาไอ้ทวน ป่านนี้มันคงกินหมูเห็ดเป็ดไก่ อ้า...ไม่ได้กินข้าวกับปลาเค็ม...เค๊ม...เค็ม” เมินหันมายิ้มประจบศรีแพร “เค็มดีจริงจริ๊ง...เฮ้อ...”
ศรีไพรกัดริมฝีปาก แววตาเคืองแค้นเมื่อคิดถึงทวนกับชาริณี เธอเริ่มหวงทวนโดยไม่รู้ตัว

เมิน ทอกและหมอก กลับจากบ้านของศรีไพร หลังกินข้าวกินปลาเค็มรสเค็มจัดต่างบ่นเพราะฝืดคอ
“หนอย...นึกว่าจะได้กินต้มโคล้งต้มยำฝีมือแม่ศรีแพร ที่แท้คุณพ่อสั่งให้ยกปลาเค็มมาให้กิน”
“แล้วไงล่ะ เค็มมั้ย เค็ม...เค๊ม...เค็มยังงี้ ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าว่าที่พ่อตาในอนาคตของพี่เมินเขาเค็มแค่ไหน”
หมอก กับ ทอกพากันบ่น แล้วทุกคนก็ชะงักไปที่เห็น ทวนนั่งหุงข้าวจากเตาฟืนอยู่
“ไอ้ทวน ก็ไหนว่าแกไปเที่ยวในเมือง กินหมูเห็ดเป็ดไก่ไงล่ะ ทำไมมานั่งหุงข้าวอยู่ยังงี้วะ” เมินแปลกใจ
“อ้าว พี่ทวน พี่ไม่ได้ไปกินของดีของฟรีกับลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยเหรอ” หมอกสงสัย
ทวนถอนใจ
“ถ้ากินแล้วจะมานั่งหุงข้าวทำไมวะ พวกเอ็งล่ะ...คงอิ่มหมีพีมันมาแล้วละซี ฝีมือต้มยำทำแกงของศรีแพร ใครๆ ก็รู้ว่าศรีแพรเป็นแม่ศรีเรือน”
เมินถอนใจ
“ที่ไหนได้ แทนที่จะได้ร่วมสำรับกับศรีแพร ต้องไปนั่งกินข้าวกับปลาเค็มกับว่าที่คุณพ่อ หวงลูกสาวยังงี้ฉันเห็นจะต้องพาหนี”
“อย่า อย่าแม้แต่จะคิด ฉันไม่ยอมให้แกพาศรีแพรหนีหรอก มันต้องข้ามศพฉันไปก่อน”
หมอกรีบปราม
“เอาละพี่ทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลย ถึงพี่จะลงทุนไปลงแรงทำนาเหนื่อยสายตัวแทบขาด แถมทำท่าเงียบๆ หงิมๆ แต่ฉันก็ยังมองไม่เห็นทางที่พี่จะหยิบชิ้นปลามันเลย ฉันว่ามันมีอยู่ทางเดียว”
เมินสนใจ
“ยังไงวะ”
“รักผู้หญิง...ต้องอิงน้องสาว...”
หมอกยิ้มกริ่ม เมื่อคิดถึงแผนการณ์

วันต่อมา ทวนและเมิน พยายามประจบเอาใจศรีไพร ช่วยสร้างศาลาร่วมใจ เพื่อใช้เป็นศูนย์ประชุมชาวบ้าน ทวนเอามะพร้าวอ่อนมาให้ศรีไพร เมินเอาน้ำสมุนไพรมาให้ ทั้งสองแข่งกันประจบศรีไพร ตามคำแนะนำของหมอกที่ว่า...รักผู้หญิงต้องอิงน้องสาว...
“กินน้ำก่อนมั้ยมู่ทู่...เอ๊ย ศรีไพร แดดร้อนจนเหงื่อโชกยังงี้มันต้องน้ำมะพร้าว ผมให้ไอ้ทอกมันปีนมะพร้าวน้ำหอมท้ายวัดมาให้ศรีไพรนะ”
เมินรีบบอก
“นี่น้ำสมุนไพร เหลือก้นกาหลวงตา ผมขึ้นไปขโมย...เอ๊ย แบ่งที่หลวงตาเหลือฉันมาให้ศรีไพรแก้คอแห้ง อ้า...วันนี้ศรีแพรไม่มาด้วยหรือครับ”
ศรีไพรถามกวนๆ
“กินแล้วตายมั้ย”
“ตายก็ดี เอ๊ย ไม่ใช่ ไม่ตายหรอกครับกินแล้วชื่นใจ คอแห้งทีไรร้องหาแต่...พี่ทวน เอ๊ย มะพร้าวน้ำหอม”
“ไม่อยากกิน เอ้า...เร่งมือเข้าหน่อย เสร็จแล้วจะได้แยกย้ายกับกลับ บ้านใครบ้านมัน หม้อข้าวใครหม้อข้าวมัน หรือใครจะมีราชรถมารับไปกินที่เหลาที่ภัตตาคารในเมืองจะได้รีบไป...ซะ”
ศรีไพรสะบัดหน้าออกไป เผลอตัวค้อนทวน ทุกคนต่างงงๆ
“แสนโว้ย น้องรักของพี่ ไอ้อาการแบบ...แบบเมื่อตะกี้นี้ เป็นบ่อยมั้ย” เมินรีบหันไปถาม
“อาการยังงี้น่ะหรือ” แสนทำท่าค้อน “ไม่เคยเห็น”
เมินตาโต
“เป็นเรื่องแล้วละซีไอ้ทวน แกทำให้ศรีไพรค้อนแกได้นี่ แกถูกเลขท้ายรางวัลใหญ่เข้าให้แล้ว”
ทวนงงๆ
“เลขท้ายยังไงวะ”
“ศรีไพร รักแกเข้าให้แล้ว เพื่อน...”
“เหวอ...”
ทวนส่งเสียงร้องลั่นอย่างตื่นตระหนก

ค่ำคืนนั้น ศรีไพรนั่งท้าวคางมองพระจันทร์นอกหน้าต่าง ด้วยความรู้สึกขุ่นมัว ฮึดฮัดรำคาญตัวเอง เพราะตัดความคิดเรื่องทวนกับชาริณีไม่ได้
“ฮึ คนเห็นแก่ได้ ผู้ชายเห็นแก่กิน...”
ศรีแพรเดินเข้ามาโอบไหล่ศรีไพร หวีผมให้ศรีไพร
“คิดอะไรอยู่ คิดถึงพี่ทวนใช่มั้ย” ศรีแพรชวนคุย
“ทำไมต้องคิดถึงเขา คิดถึงเรื่องอะไร”
“เรื่องที่ลูกสาวเศรษฐีบุญช่วย พาพี่ทวนไปเที่ยวในเมืองวันก่อนน่ะซี พี่เห็นน้องของพี่ทำหน้าบูดหน้าเบี้ยว กระแทกนั่นกระทุ้งนี่ ไม่หึงแล้วจะอารมณ์เสียทำไม”
“แน้ พี่ศรีแพร เรื่องอะไรฉันจะต้องไปหึงนายนั่น เขาจะไปไหนกับใครมันก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย”
“ความจริงพี่ทวนเขาเป็นคนดีนะ ถ้าไม่พยายามหาคำตอบเรื่องที่เขาหายไปเกือบสิบปี เขาก็เหมือนพี่เมิน ผู้หญิงน่ะ...ถ้ารักใครแล้ว ก็ไม่ต้องการเหตุผลหรอก”
“ฉันไม่ได้รักนายนั่น หน้าตายังกับโจรยังงั้นใครจะไปรักลง แถมนิสัยก็ยังเห็นแก่กิน ถ้าฉันรักนายทวนละก็...ฉันไปตายดีกว่า”
ศรีไพรลุกขึ้นยืนผลุนผลันออกไปจากบานหน้าต่าง ศรีแพรยิ้มขำก่อนตามไป ขณะเดียวกันนั้น ทวนและเมินแอบอยู่ใต้หน้าต่าง
“โอย โล่งอก ยายมู่ทู่ไม่ได้รักฉันอย่างที่แกว่า ไปที่ชอบๆ เถิ้ดดด สาธุ”

ทวนถอนหายใจอย่างโล่งอก ยกมือท่วมหัว

อ่านต่อหน้า 2 วันพรุ่งนี้









เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 12 (ต่อ)

สไบกำลังนวดไหล่ให้ชิงชัย ในขณะที่เขาอ่านหนังสือแข่งม้า แหว่งยืนพัดให้ทั้งคู่ ขณะเดียวกันนั้น หลิมวิ่งพรวดพราดขึ้นมาบนบ้าน ก้มลงกระซิบกับชิงชัย

“จริงเหรอ...” ชิงชัยฟังแล้วย้อนถาม
“ครับ คุณชิงชัย ตอนนี้มันสร้างศาลาร่วมใจเสร็จแล้ว ไอ้ศรีไพรมันกำลังจะจัดนิทรรศการเรื่องพิษภัยของยาเสพติด เตรียมเรียกประชุมคนบ้านนาให้ต่อต้าน...สู้ๆ”
“ไอ้ศรีไพรน่ะเหรอ” สไบแปลกใจ
“มันจะชวนชาวบ้านต่อต้านพ่อข้าหรือวะ งั้นคืนนี้….พังมันให้ราบ”
ชิงชัยบอกด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
ค่ำคืนนั้น...
หลิม เลิศและสมุนขับรถจี๊ปเข้ามาจอด ต่างกระโดดลงมาพร้อมขวาน มีด ไม้ ต่างช่วยกันพังศาลาร่วมใจที่ศรีไพรเพิ่งจะสร้างเสร็จลง

เช้าวันใหม่ ศรีไพร กับศรีแพรเดินนำหน้าแสน มาที่ศาลาร่วมใจอย่างรีบร้อน หอบเอกสาร โปสเตอร์ที่เกี่ยวกับการต่อ ต้านยาเพสติดมาด้วย ขณะที่มหาเฉื่อย ทวน เมิน ทอก และหมอกยืนอยู่ในซากของศาลาร่วมใจที่พังลงกับพื้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย มันเป็นยังงี้ได้ยังไง” ศรีไพรมองอย่างตกใจ
“พี่ศรีไพรอุตส่าห์ไปอำเภอ ไปขอใบที่เขาโฆษณาเรื่องภัยของยาเสพติด จะเอามาจัดนิทรรศการให้ความรู้ชาวบ้าน” แสนบอก
มหาเฉื่อยส่ายหน้า
“หมด ไม่มีเหลือแล้ว...”
“ลงแรงกันแทบตาย เช้าขึ้นมาพังราบ มันต้องเป็นฝีมือพวกไอ้ชิงชัยแน่” ทอกบอกอย่างมั่นใจ
หมอกหันไปถามทวน
“ทำยังไงดีล่ะ ไม่มีศาลา ก็ไม่มีที่ที่จะให้ชาวบ้านมารวมตัวกัน”
“เมื่อคืนนี้ฉันก็หลับเป็นตาย ไม่คิดว่า...”
“กุฏิพระมันยังเผามาแล้ว นับประสาอะไรกับศาลาหลังนี้ มันพยายามขัดขวางไม่ให้เรารวมชาวบ้านนา” ทวนบอกอย่างเหนื่อใจ
ศรีไพรฮึสู้ขึ้นมา
“แต่เราจะไม่ยอมแพ้...”
มหาเฉื่อยนึกขึ้นมาได้
“ร้านเจ๊กตงไง ร้านเจ๊กตงอยู่กลางหมู่บ้าน เป็นศูนย์กลางชาวนาไปๆ มาๆ เอาที่นั่นเป็นที่ประชุมได้มั้ย”
ศรีไพร และทุกคนเห็นด้วยทันที

เจ๊กตงยิ้มเหยียด ยืดทรวงอกขึ้น สั่นศีรษะ น้ำเสียงเด็ดขาด…
“ม่ายล้าย...เจ๊กตงไม่อนุญาตให้ใครใช้สถานที่ร้านเจ๊กตง เป็นที่เรียกประชุมชาวบ้าน...”
เนี้ยวพยายามช่วยพูด...
“เตี่ย ไอ้ศรีไพรแค่ขอความร่วมมือ เตี่ยแค่ให้ความร่วมมือ ไหนๆ เราก็เป็นร้านค้า มีคนเข้าร้านเยอะๆ เราจะได้ขายดีไง”
“ไม่ เจ๊กตงบอกไม่ก็คือ...ไม่ ไม่ให้ความร่วมมือกับคนที่ไม่ใช่พวกของเศรษฐีบุญช่วย ออกไปให้พ้นร้านนี้ ร้านเจ๊กตงไม่ยินดีต้อนรับ”
“เตี่ย...”
เนี๊ยวพูไม่ออก มหาเฉื่อยจึงช่วย...
“ไอ้เจ๊กตง แต่ที่ไอ้ศรีไพรมันทำ ก็เพื่อชาวบ้านนานะ”
“เพื่อใครอั๊วก็ไม่สน ออกไปจากร้านของอั๊ว...เหลียว...เหลียวนี้นะ...”
“เจ๊กตง ทำไมถึงได้ใจร้ายยังงี้” แสนตาว่า
“อย่าไปว่าเจ๊กตงเลย มันเป็นสิทธิ์ของเจ๊กตง” ศรีไพรปราม
สุมิตรขี่จักรยาน บรรทุกสินค้าเข้ามาฟังอยู่ภายนอกร้านด้วยความสนใจ ขณะที่ศรีไพรตัดสินใจ...
“ในเมื่อเจ๊กตงไม่อนุญาตให้เราใช้ร้านนี้เป็นที่เรียกประชุมชาวบ้าน เราก็หาที่อื่น”
สุมิตรรีบบอก...
“อีนี้...นมัสเตจ้ะทุกคนจ๋า ท่านมหาเฉื่อย อีนี้แขกยินดีให้ความร่วมมือจ้ะ เจ๊กตงไม่อนุญาตให้ใช้ร้านนี้ก็ไปใช้ที่อื่น...”
“ที่ไหนวะ” มหาเฉื่อยหันไปถาม
“ทุกที่ในบ้านนา...” สุมิตรฉีกยิ้มกว้าง

ที่ลานบ้านบุญช่วย กล่ำและช้อย นั่งรวมอยู่กับชาวบ้านรอรับคำสั่ง ชิงชัยกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณ น้ำเสียงเข้ม ดุ
“จำไว้ ห้ามไม่ให้ชาวบ้านนาทุกคน เข้าไปร่วมประชุมกับไอ้ศรีไพร หรือแม้แต่ให้ความร่วมมือกับพวกมัน ถ้าใครบังอาจขัดคำสั่งของพ่อข้า ข้ามีวิธีจัดการกับคนๆ นั้นแบบ...เจ็บไปจนตาย เรากำลังจะชนะพวกมัน เพราะฉะนั้น...อย่าไปหลงกลกับหลักการของไอ้ศรีไพรเด็ดขาด...”
“ใช่ มันมีคนแค่นั้นมันจะไปทำอะไรได้ แต่ข้า...เศรษฐีบุญช่วย ไม่ว่าชาวบ้านนาจะต้องการอะไร ปุ๋ย ยา สารเคมี หรือเงิน ข้ามีให้...ไม่อั้น” บุญช่วยเสริม
ชาริณียิ้มให้ชาวบ้าน
“เดือดร้อนอะไร พ่อเศรษฐีช่วยได้ ไม่ต้องไปฟังเรื่องไร้สาระของมัน ไอ้ศรีไพรมันทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือ”
สไบค้อนชาริณี แหว่งค้อนตาม เร่งพัดในมือถี่ๆ ชิงชัยชี้หน้าทุกคน
“อย่าให้ข้ารู้ว่าใครไปประชุม ไอ้หลิม ไอ้เลิศ เอ็งหมายหัวไว้ ใครขัดคำสั่งของข้า...ข้าจะส่งคนไปคิดบัญชี”
กล่ำ ช้อย และ ชาวบ้านคนอื่นๆ หันมาสบสายตากันด้วยความหวาดกลัว

เช้าวันต่อมา ศรีไพร ศรีแพร และทุกคนต่างกระวนกระวาย ชะเง้อรอชาวบ้านที่เรียกประชุมแต่ไม่มีใครมาเลยแม้แต่คนเดียว ขณะเดียวกัน เนี้ยวขี่จักรยานส่งเสียงมาแต่ไกล
“มาแล้วจ้ะมาแล้ว อาม่วยเนี้ยวมาแล้ว เอ๊ะ ทำไมไม่มีคนเลยล่ะ พี่ทวน ไอ้ศรีไพร”
“ป่าวประกาศกับชาวบ้านครบหรือเปล่า แสน” ทวนหันไปถาม
“ฉันบอกถึงกะไดทุกบ้านเลยจ้ะ”
สุมิตรเสริม...
“อีนี้นาร๊ายนารายณ์ อาศรีไพรกับท่านมหาเฉื่อย ทำไมเป็นยังงี้ สุมิตรามายันช่วยป่าวประกาศก็ยังไม่มีใครมา”
เนี้ยวนึกขึ้นมาได่
“แต่ม่วยเนี้ยวเห็นชาวบ้าน ไปรวมกับที่บ้านเศรษฐีบุญช่วยเมื่อวาน”
“งั้นต้องเป็นแผนของเศรษฐีบุญช่วย ไม่ให้คนบ้านนารู้ข่าวสารเรื่องภัยยาเสพติด เราต้องหาวิธีอื่นที่ถึงตัวชาวบ้านแบบง่ายๆ” เมินออกความเห็น
“ทำยังไงดีล่ะ ศรีไพร”
ศรีแพรถาม ศรีไพรนิ่งคิดแล้วนึกออก
“เอาแผ่นป้ายรณณรงค์นี่ ไปติดตามต้นไม้ทุกต้น”
ทุกคนเห็นด้วยกับแผนการณ์นี้ทันที จึงช่วยกันนำแผ่นป้าย รณรงค์ต่อต้านยาเสพติดไปติดตามต้นไม้ทุกต้นในหมู่บ้านนา ศรีแพรติดป้าย ทวนและเมินพยายามช่วย ศรีไพรโผล่ขึ้นมากันท่าทั้งสอง ขณะเดียวกัน เนี้ยวและมหาเฉื่อยช่วยกันติดแผ่นป้าย สุมิตรโผล่ขึ้นมาแทรกกลาง ระหว่างทั้งสองเพราะต่างหลงรักเนี้ยว
หลังจากติดป้านเสร็จ ศรีแพรถอยก้าวไปยืนมองแผ่นป้ายที่ติดไว้ที่ต้นไม้ อย่างพอใจในผลงาน เมินและทวนเข้ามาประกบยืนชิด
“เอาละ เรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้...ต่างคนต่างไป บ้านใคร...บ้านมัน” ศรีไพรรีบแทรกเข้ามา มองหน้าทั้งสอง ทำหน้าเหี้ยม ขู่อย่างกันท่า


ชิงชัยคำรามอย่างโกรธแค้น เมื่อรู้ว่าศรีไพรเปลี่ยนวิธีรณรงค์กับชาวบ้านด้วยการปิดป้ายโฆษณาตามต้นไม้ทุกต้นในบ้านนา
“ถ้ามันยังไม่หยุด ก็ใช้ไม้ตายกับมันเลย”
บุญช่วยรีบปราม
“อย่า อย่าเพิ่งฆ่ามัน เดี๋ยวชาวบ้านจะแตกตื่น ต้องใช้วิธีทำให้มันเสียหน้า ชาวบ้านจะได้ไม่เชื่อมัน”
“พ่อจะให้พี่ชิงชัยทำยังไง” ชาริณีสงสัย
“ฉีกไอ้ป้ายบ้านั่นทิ้งซะ” บุญช่วยสั่งทันที
หลิมและเลิศพร้อมสมุน เข้าฉีกทำลายป้ายประกาศที่ศรีไพรนำมาติดไว้แล้วฉีกกระจัดกระจาย แล้วหันมาทำตาขวางขุ่นกับชาวบ้านที่ยืนอ่านอยู่
“ยืนดูอะไรวะ เดี๋ยว...เดี๋ยวมีเรื่อง เดี๋ยวพ่อก็ควักลูกตาออกมาทำลูกเต๋าซะหรอก”
ชาวบ้านที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ รีบหอบลูกจูงหลานหนีพวกของหลิมและเลิศ

ศรีไพรเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน โยนเอกสารทั้งปึกลงอย่างสิ้นหวัง อ่อนแรงเริ่มหมดกำลังใจที่
จะทำงานเพื่อชาวบ้านนา ทวนเดินตามมา...
“นั่นจะร้องไห้เหรอ”
“นาย...มาทำไมอีก ไม่เห็นหรือว่าความพยายามของเรา ถูกพวกมันฉีกทิ้งไปหมดแล้ว”
“มันฉีกทิ้งเราก็ติดใหม่ ไม่เห็นจะยากเลย”
“แล้วนี่นายไม่ไปกินหมูเห็ดเป็ดไก่เหรอ”
ทันใด ชาริณีก้าวเข้ามาควงแขนของทวน
“กำลังจะไปอยู่นี่ไง เจ้าของบ้านเขาไม่ต้อนรับจะอยู่ทำไมคะคุณทวน ไปเที่ยวในเมืองกันดีกว่า แต่แบบ...ไปเดินเล่นกลางทุ่งนากับป่าละเมาะไม่เอานะ ไม่สนุก”
ศรีไพรตาโต
“ป่า ป่าละเมาะหรือ นี่นายกับ...กับ...”
ทวนรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจนะ”
ชาริณีขัด...
“อยากจะให้เข้าใจยังไง ก็ปล่อยให้มันเข้าใจไปเถอะค่ะ ดี เข้าใจว่าคุณทวนเขามีคนจับจองแล้วก็ดี ไปค่ะ…”
“เอ้อ...ผมไปไม่ได้จริงๆ ครับ ผมต้องเอาป้ายรณรงค์เรื่องยาเสพติดนี่ไปติดตามบ้านชาวบ้าน รวมทั้งบ้านของคุณด้วย”
“ป้ายรณรงค์เรื่องอะไร ไหน...ดูหน่อย”
ชาริณีกระชากมาจากมือของทวน กางออกดูแล้วฉีกทิ้งด้วยสีหน้าเครียดจัด
“อ้าว ฉีกทิ้งทำไมครับ”
“ทำไมฉันจะฉีกไม่ได้ ไม่มีใครเขาสนใจป้ายนี่หรอก กินก็ไม่ได้ ใช้รองนั่งก็ไม่ปิดก้น คนติดยาน่ะ..ใครเขาสนล่ะว่าอนาคตจะเป็นยังไง”
ศรีไพรมองแปลกใจ...
“คุณพูดเหมือน...เหมือน...”
ชาริณีตัดบททันที
“จะไปหรือไม่ไป”
ทวนถูกชาริณีดึงตัวไป ศรีไพรมองตามอย่างสลด เพราะเธอเริ่มรักทวนเข้าให้แล้ว

+ + + + + + + + + + + +

ชาริณีดึงทวนมาที่รถยนต์ ทวนขืนตัวไว้ มองหน้าชาริณีอย่างคาดคั้น เพราะเริ่มสงสัยว่าชาริณีติดยาเสพติด
“ตอบผมมาก่อน ทำไมคุณคิดว่าคนที่ตกเป็นทาสยาเสพติดไม่สนใจว่าอนาคตจะเป็นยังไง คุณก็ด้วยใช่มั้ย”
ชาริณีหน้าเสีย รีบแก้ตัว
“นี่ พูดอะไรออกมารู้มั้ย อย่ามาทำสุ้มเสียงเหมือนสั่งสอนฉันนะ คนอย่างฉันไม่มีใครมาสั่งสอนฉันได้”
“ไม่มีคนสั่งสอนคุณ หรือคุณไม่ฟังคำสั่งสอนของใคร คุณติดยาใช่มั้ย”
“ทำไมฉันต้องตอบคำถามของคุณ ฉันแค่เหงา อยากมีผู้ชายสักคนเป็นเพื่อน แล้วคุณก็เป็นผู้ชายที่ฉันอยากคบด้วยตอนนี้ ถึงจะเป็นคนขี้คุกฉันก็ไม่ถือไปน่า...นะ เอ้า นี่กุญแจรถ คุณจะพาฉันไปไหนก็ได้”
“ที่ไหนก็ได้แน่นะ”
“ใช่ ที่ไหนก็ได้”
ทวนมองหน้าชาริณี รับกุญแจรถยนต์ ก่อนขับรถยนต์พาชาริณีออกไป ศรีไพรเดินออกมามองตามอย่างเครียดๆ

+ + + + + + + + + + + +

สไบเดินนำหน้าแหว่งลงมาจากเรือน ขณะที่ทวนขับรถยนต์เข้ามาจอด ชาริณีส่งเสียงเอะอะ
“เอ๊ะ มาที่นี่ทำไม ก็ไหนเราจะไปเที่ยวในเมืองกันยังไงล่ะ นี่บ้านของฉันนี่”
“ผมพาคุณมาส่งบ้าน ผมต้องทำมาหากิน ไม่ยังงั้นคุณจะคิดว่าผมเป็นอยู่อย่างเดียวคนขี้คุก เอ้า นี่ กุญแจ ผมจะเดินกลับ”
ทวนส่งกุญแจให้ชาริณี หันหลังกลับเดินออกไป ชาริณีโกรธ ตะโกนด่า
“โง่ ไปกินผักบุ้งไป๊ ผู้ชายอะไรโง่เหมือนเต่า” ชาริณีเห็นแหว่งมองอยู่ก็ตวาดแว๊ด “มองอะไรนังแหว่ง”
“เปล่าค่ะ รับใช้คุณสไบของบ่าวขาอยู่ค่ะ จริงมั้ยคะ...คุณสไบของบ่าวขา”
สไบยิ้มเยาะ
“ลำบากหน่อยนะ ไหนว่าเสน่ห์แรง จะเอาไอ้ทวนมาเป็นสมุนรับใช้ให้ได้ยังไงล่ะ ท่าทางเหมือนจะดีแค่คุยนะ”
“อย่ายุ่งกับเรื่องของฉัน ผู้ชายที่ได้ยากๆ กับผู้ชายที่ได้ง่ายๆ อย่างพี่ชายฉันน่ะ รสชาดมันผิดกัน ยิ่งพวกกินตะกรุม...ตะกราม...ตะกละด้วยแล้ว ยิ่งไม่รู้เปรี้ยวรู้หวาน ไม่รู้ว่ามันๆ เค็มๆ มันอยู่ตรงไหน”
“แก” สไบหน้าตึง...
“ฉันจะอดใจรอคุณทวน วันหนึ่งเขาต้องใจอ่อน ระวังไว้เถอะ...ไอ้กินไม่รู้จักอิ่มน่ะ ระวัง...ไอ้ที่กินเข้าไปมันจะเป็นพิษ”
ชาริณีสะบัดหน้าขึ้นเรือนไป สไบหน้าแดงเข้มเพราะความโกรธ แหว่งโต
“อุ๊ย มันพูดเหมือนมีนัยยะว่า...ว่า...ว่ามันรู้ค่ะว่าคุณสไบของบ่าวขาเป็นคนขี้ตะ...กละ”
“นังแหว่ง...”
“เอ๊ะ แหว่งไม่ได้พูดเองนะคะ มันค่ะ...นังคุณชาริณีมันพูดว่า...คุณสไบของบ่าวขา...ตะ...กละ...”
“นังแหว่ง นี่แกซื่อหรือแกเจ้าเล่ห์กันแน่ ถ้าแกปากโป้งเรื่องของฉันละก็ ฉันจะฆ่าแก...”
สไบกระแทกเสียง สะบัดหน้าขึ้นเรือนไป
“เอ๊ะ ฆ่าแหว่งแล้วจะมีคนคอยดูต้นทางให้หรือคะ คุณสไบของบ่าวขา...” แหว่งพึมพำอย่างงงๆ

+ + + + + + + + + + + +

วันต่อมา...
ศรีไพรเดินเหงาๆ อยู่ที่คันนา เธอรู้สึกขุ่นเคืองที่เห็นทวนไปกับชาริณี แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นทวนเดินมาหา
“ศรีไพร อยู่นี่เอง ผมไปหาที่บ้านแสนบอกไม่อยู่ นึกแล้วว่าต้องออกมาดูต้นข้าวท่าน”
ศรีไพรเมินหน้า ทำมึนตึง
“นายมีอะไร”
“ผมมาช่วยติดป้ายรณรงค์ให้ใหม่น่ะ”
“ฉันยังไม่มีอารมณ์จะออกไปทำความดีเลย”
“แล้วมีอารมณ์ทำความเลวมั้ย หน้าตามู่ทู่เหมือนชื่อยังงี้ รู้เลย...ว่าอยากทำอะไร ต่อยหน้าผมใช่มั้ย อย่า...ไม่ท้า กลัวต่อยจริง โกรธผมเรื่องเมื่อวานนี้ใช่มั้ยล่ะ”
“ทำไมฉันต้องโกรธนาย”
“ก็เพราะตอนนี้ศรีไพรชักจะรักผมเข้าแล้วละซี ทนต่อความรูปหล่อเร้าใจของนายทวนคนนี้ไม่ไหว ปฏิเสธได้นะ...ปฏิเสธเลย ผมจะได้ถอนหายใจโล่งอกแล้วกลับไปนอนตายตาหลับ” ทวนทำเลียนเสียงผู้หญิง “ฉันไม่ได้รักคุณ ฉันเกลียดคุณ คุณมันไอ้ตัวขี้เกียจ ไอ้คนขี้คุก ถ้าฉันรักคุณขอให้ฉัน...ฉัน...”
ศรีไพรโกรธ ก้มลงหยิบโคลนปาใส่ หน้าทวนเปรอะไปทั้งหน้า

+ + + + + + + + + + +

ทวนกลับไปที่เพิง ล้างหน้าเอาโคลนที่ถูกศรีไพรปาใส่ออก เมินเข้ามายั่วโทสะ
“ไง รักมั้ย นี่ขนาดแกลงทุนเอาหน้าไปให้ศรีไพรระบายอารมณ์แล้วเชียวสำเร็จมั้ย เพื่อน”
ทอกออกความเห็น
“ฉันว่าต้องเป็นเพราะหึง ไอ้ศรีไพรมันหึงพี่ ที่ลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยมานัวเนียอยู่กับพี่ ไม่ยังงั้นจะเอาโคลนปาหน้าพี่เรอะ”
“นี่น่ะนะ...รัก รักแบบไหนกันถึงได้ทำกันยังงี้” ทวนบ่น
เมินหัวเราะ
“รักจริงไง ศรีไพรรักแกจริงๆ นะ ถ้าไม่รู้ตัวก็รู้ซะเดี๋ยวนี้เลย มีผู้หญิงมารักยังงี้แล้วจะเล่นตัวทำไมอีก”
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันรู้ทันแกหรอกน่ะ ไอ้เมิน แกยัดเยียดยายมู่ทู่นั่นให้ฉัน แกจะได้จีบศรีแพรโดยไม่มีคู่แข่ง”
“แต่ไอ้ศรีไพรมันก็เป็นผู้หญิง”หมอกแย้ง
ทวนตะโกน
“ฉันรักเดียวใจเดียวโว้ย ฉันไม่รักใครนอกจากศรีแพรคนเดียวเท่านั้น ยายมู่ทู่น่ะหรือ ต่อให้คุณพ่อเอาใส่ถาดทองมาประเคนฉันก็ไม่รับ รับแต่ถาดว่ะ”
ทวนผลุนผลันเข้าเพิงไป ทั้งสามมองตาม
“เอ๊ะ ทำไมไอ้ทวนมันต้องโกรธพวกเราด้วยวะ” หมอกงง
“พี่ ฉันสงสัย...”
ทอกทำท่าคิด หมอกหันไปถาม
“เอ็งสงสัยอะไรไอ้ทอก”
“สงสัยว่าพี่ทวนเขาจะรักไอ้ศรีไพรซะแล้ว แต่เป็นรักแบบ...แบบ...”
“แบบไหน” เมืนรีบถาม
“รักคุด...” ทอกหัวเราะคิกคัก

+ + + + + + + + + +

มหาเฉื่อยหิ้วย่ามเดินตามหลวงตา ซึ่งกลับจากรับกิจนิมนต์ เดินผ่านเสาไฟฟ้าที่ศรีไพรและแสน
กำลังปิดป้ายรณรงค์เรื่องยาเสพติดอยู่หลวงตาหยุดก้าว มองมายังศรีไพรด้วยความสงสาร
“ไอ้ศรีไพรมันยังไม่หมดความพยายาม ที่จะทำให้ชาวบ้านนาหลุดพ้น จากการเป็นทาสยาเสพติด มันทำให้ข้าได้คิดว่ากิจของสงฆ์กับกิจของฆราวาส เป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันได้ ถ้าเป็นประโยชน์สุขของส่วนรวมละก็ ท่านมหาเฉื่อย”
“ขอรับหลวงพ่อ”
“เรียกประชุมชาวบ้านที่ศาลา บอกข้าจะเรี่ยไรบุญ”
หลวงตาเดินต่อไป
“เรี่ยไรบุญ ก็หลวงตาท่านไม่นิยมการระดมทุนนี่หว่า ท่านจะทำอะไรน่ะ”

มหาเฉื่อยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ

อ่านต่อวันพรุ่งนี้








กำลังโหลดความคิดเห็น