xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 6

ศรีไพรและแสน แบกแหเพื่อไปหว่านหาปลาในลำคลอง จ่าสินขับรถจี๊ปผ่านทั้งสอง ทิ้งฝุ่นสีแดงจัดกระจาย แสนส่งเสียงตะโกนตามหลัง

“เฮ้ย ขับรถเห็นหัวคนบ้างซีโว้ย ถนนนี่เขาทำมาให้แบ่งกันใช้นะ”
“อย่า ไอ้แสน เดี๋ยวมีเรื่อง...” ศรีไพรปราม
“ก็มันจริงๆ นี่ ถือว่ามีสีมีเครื่องแบบ”
“เอ๊ะ ไอ้จ่าสินมันรีบร้อนไปไหน”
“พี่ หรือว่า...จ่าสินจะไปบ้านเศรษฐีบุญช่วย เรื่อง...เรื่องไฟไหม้...”
ศรีแพร กับแสน มองสบสายตากันอย่างครุ่นคิด

+ + + + + + + + + + + +

บุญช่วยเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เรื่องที่ไฟไหม้ ทำลายยาบ้าไปเกือบแสนเม็ด
“ไฟไหม้ ไหนจะเรือขนของถูกล่ม ทำไมเหตุมันต้องเกิดพร้อมๆ กันเสียหายไปเป็นล้าน จ่าต้องสืบให้ได้ว่ามันเป็นฝีมือใคร” บุญช่วยหันไปสั่งจ่าสิน
“ท่านเศรษฐีสงสัยใคร”
“ไม่รู้จะสงสัยใคร ตั้งแต่ไอ้ทวนกับไอ้เมินกลับมาบ้านนานี่ เรามีแต่เรื่องเดือดร้อน”
สไบรีบเสริม
“ขืนปล่อยให้เป็นยังงี้ เราจะเหลือแต่ตัว”
จ่าสินหันไปบอก
“ผมกำลังสืบเรื่องที่ไปที่มาของไอ้ทวนกับไอ้เมิน แต่ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสอะไร ท่านเศรษฐีทำอะไรก็อย่าให้โจ่งแจ้งนัก ถ้าส่วนกลางเขารู้ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ จ่า จ่าก็ได้ส่วนแบ่ง ที่เป็นผลประโยชน์ไปเต็มๆ ทุกเดือน เพราะฉะนั้นจ่าต้องเป็นหูเป็นตาให้เรา ถ้าชุมชนนี้มันอ่อนแอลง ที่นาของชาวนาจะไปไหน คนมีลูกติดยามันก็มีแต่ปัญหา...”
“แล้วปัญหาทั้งหมด ก็ต้องใช้เงินแก้”สไบช่วยเสริม
“งั้นเราก็ทำธุรกิจแบบ ครบวงจรเลยดีมั้ย ท่านเศรษฐี” จ่าสินยื่นข้อเสนอดีๆให้ทันที

+ + + + + + + + + + + +

ศรีไพร กับแสนนั่งเรือไปด้วยกัน ศรีไพรเหวี่ยงแหเป็นวงกว้าง ก่อนกระตุกแหที่ติดอยู่ในน้ำ
“สงสัยตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ไอ้แสน คัดท้ายเรือดีๆ”
แสนชะโงกมอง
“นี่ก็คัดเต็มที่แล้วพี่ แต่แหไม่ขยับ ไอ้ตัวใหญ่เบ้อเริ่มของพี่น่ะ ปลาหรือตอ”
“มันมีแรงดิ้น ต้องเป็นปลาซี ไม่ใช่ปลามันจะดิ้นได้ยังไง เอ๊ะ เงียบไปแล้วนี่”
ศรีแพรพยายามฟัง แสนเสนอ
“พี่ กระตุกเบาๆ อย่าให้หลุดนะ ฉันลงไปงมเอง ว้า ไม่เอาดีกว่าฉันกลัวไอ้เข้”
“จรเข้ที่ไหน มันจะหลุดเข้ามาในคลองบ้านเรา จระเข้ที่หลุดออกมาจากฟาร์ม ตอนน้ำท่วมใหญ่น่ะมันคงมาถึงหรอก ตัวละเป็นหมื่นยังงั้น ลงไปเร็วๆ”
“พี่ก็...ฉันบอกแล้วไปลงข่ายที่หนองน้ำก็ไม่เอา จะกินปลาใหญ่”
“แม่น้ำลำคลองหรือหนองบึง มันเป็นตู้เย็นของชุมชน จะกินโดยไม่แบ่งคนอื่นเลยหรือไง ลงไปเร็วๆ”
แสนถอดเสื้อเตรียมกระโดด ทวนโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ส่งเสียงสำลักเพราะติดอยู่ในแห
“พี่ศรีไพร นั่นปลาอะไรน่ะ”
ศรีไพรเห็นทวน มองงงๆ
“นาย ลงไปทำอะไรในน้ำ”
“แปลงร่างเป็นปลากะโห้ละมั้ง ถามได้ คนสำลักดิ้นแด่วๆ จะตายมิตายแหล่อยู่นี่ยังถามอีก โอย ดึงขึ้นไปที”
“ดึงไม่ไหว”
“งั้นรับไอ้นี่ก่อน”
ทวนส่งห่อยาบ้าให้ ศรีไพรตะลึงงัน
“นี่มันห่ออะไรน่ะ นี่นายลงไปดำหาไอ้ห่อนี่หรือ ไหน...ฉันดูหน่อย”
ทวนร้องห้าม...
“อย่า อย่าแกะนะ มันเป็นของกลาง”
“ไม่แกะดู จะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นห่ออะไร”
ศรีไพรฉีกห่อพลาสติกที่ห่อไว้อย่างแน่นหนา ยาบ้ากระจายออกมา ทั้งสามคนต่างตื่นตระหนก
“นี่มันอะไรนี่”
“ฉันว่าต้องเป็นยาบ้าแน่ๆ เลยพี่ ฉันเคยเห็นในทีวีตอนตำรวจเขาจับพวกค้า ยามาแถลงข่าว สีมันยังงี้แหละ”แสนบอก
“ย้าบ้าจริงๆด้วย”ทวนตะลึงมอง
“ไอ้ยาเลวพวกนี้ มันเข้ามาทำลายชุนชนเราได้ยังไง ทำลายมันซะ”
ศรีไพรโยนยาบ้าลงน้ำ ทวนร้องเสียงดัง
“เฮ้ยๆๆๆ อย่า นั่นของกลางนะ”
“นายจะเก็บไว้ทำไม หรือว่านายมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องค้ายาบ้านี่”
“พูดชุ่ยๆ น่ะมู่ทู่”
“ก็ถ้านายไม่มีส่วนรู้เห็น นายจะงมมันขึ้นมาทำไม ทิ้งน้ำให้หมดยังงี้แหละ ส่งเป็นของกลางเดี๋ยวจะได้ดีคนเลวซะ”
“อย่า...”
ศรีไพรขว้างยาบ้าทิ้งน้ำ ทวนกระโดดรับแต่ไม่ทัน ยาบ้าสีส้ม ถูกเหวี่ยงกระจายลงในน้ำ

+ + + + + + + + + + + +

ทวนเดินตามศรีไพรอย่างหงุดหงิดหัวเสีย เพราะศรีไพรทำลายของกลางที่จับได้ ศรีไพรแบกแห เนื้อตัวเปียกมอมแมม ส่วนแสนสะพายข้องใส่ปลา
“รู้มั้ยว่าทำอะไรลงไป นี่เป็นการทำลายหลักฐานสำคัญเลยนะ มันเป็นของกลาง รู้มั้ย...เขาเรียกว่า...ของกลาง” ทวนโวยวาย
ศรีไพรชะงักก้าว หันกลับมาจ้องหน้าทวนด้วยแววตาคาดคั้น
“แล้วนายมีหน้าที่อะไร ถึงต้องดำลงไปหาหลักฐานสำคัญ ไอ้ที่เรียกว่า...ของกลางนี่น่ะ”
“เอ้อ คือว่า...”
“นายก็ตอบไม่ได้ นี่ฉันมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่านะ ที่ฉันคิดว่านายดำลงไปงมปลาหลด ปลาไหลจับปลาหลด แต่จับได้ยาบ้าห่อเบ้มเริ่ม นี่ถ้านายกับยาบ้าไม่ติดแหฉันขึ้นมา ใครจะไปรู้ป่านนี้นายอาจจะเป็นผู้ค้า ไม่ใช่แค่ผู้เสพ”
“นี่ อย่ามากล่าวหาว่าผมติดยานะ ติดหญิงอย่างเดียวก็แย่แล้ว ไม่เชื่อ...คุณจะดมที่ปากของผมก็ได้”
“ดมทำไม”
“ก็คนที่เสพยา มักจะมีกลิ่นปาก เอ้า ดมเลย...ฉี่ไม่มีสีม่วงซะอย่าง ท้าพิสูจน์”
ทวนยื่นหน้าท้าทาย
“เอ้า ดมซี แต่ขอร้องว่าดมพอหอมปากหอมคอ ไอ้แบบนี่เรียกว่าพอสังเขป ห้ามจูบ...จะมาฉวยโอกาสจูบไม่ได้นะ...ไม่ได้”
ศรีไพรตวาดแว๊ดด้วยความโกรธ
“ไม่ดม ไม่จูบ ไม่รู้ละ ถ้านายยังเซ้าซี้เรื่องนี้อีก ฉันจะคิดว่านายกำลังทำธุรกิจอุบาทว์...ค้ายา ไป...ไอ้แสน กลับบ้าน”
ศรีไพรเดินนำหน้าแสนออกไป ทวนมองตามไป เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เคียดแค้นศรีไพร
“ยายมู่ทู่ ทำเสียเรื่องหมดเลย โธ่”

+ + + + + + + + + + +

เมินและมหาเฉื่อยนั่งเล่นหมากรุกกันในร้านของเจ๊กตง โดยมีหมอกยืนลุ้นอยู่ใกล้ๆ
“อาม่วยเนี๊ยวจ๋า ข้าวแฝ่ถ้วยนึง ไม่ต้องหวานมาก มหาเฉื่อยแพ้ความหวานจ้ะ” มหาเฉื่อยหันไปบอกเนี้ยวเสียงอ่อน เสียงหวาน
เจ็กตงขวางทันที
“มหาเฉื่อย ลื้อริอ่านทำฟาร์มงูไว้บนหัวตั้งแต่เมื่อไหร่วะ อาม่วยเนี๊ยว ขึ้นเล่าเต๊ง...เดี๋ยวนี้”
ทันใด รถบรรทุกที่แล่นผ่านหน้าร้านไปด้วยความเร็ว ฝุ่นฟุ้งกระจาย เมินมองตามด้วยความสงสัย
“พักนี้มีรถบรรทุกวิ่งเข้าๆ ออกๆ จะว่าหน้าเกี่ยวก็ไปอย่างแต่นี่ไม่ใช่ ชาวนาเพิ่งจะเตรียมหว่าน แล้วรถมันเข้ามาขนอะไรวะ” มหาเฉื่อยบ่น
“นั่นน่ะซี ใครบังอาจประกอบธุรกิจแข่งกับอั๊ววะ” เจ๊กตงโวย
เนี้ยวหันไปยิ้มหวาน
“พี่เมินจ๋า ทำไมพี่ทวนเขาหายหน้าไปล่ะ ไม่เห็นเขามาเล่นหมากรุกที่ร้านม่วยเนี้ยวเลย”
“อาม่วยเนี้ยว ลื้อถามถึงไอ้ทวนมันทำไม มันไม่มาน่ะดีแล้ว สั่งข้าวแฝ่ถ้วยเดียวนั่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหมือน...เหมือน...” เจ็กตงไม่พอใจ
“ก็ข้าถือศีลกินแต่ข้าววัด เอ็งจะให้ข้าสั่งอะไรวะ จริงมั๊ยจ๊ะม่วยเนี๊ยวของท่านมหาเฉื่อย”
เมินถามอย่างสงสัย
“เมื่อก่อนนี้ไม่มีรถเข้าๆ ออกๆ บ้านนาเลยหรือ ลุงมหาเฉื่อย”
“มันมีแต่รถขนข้าว กับรถขนดินของเศรษฐีบุญช่วย เมื่อก่อนนี้อำเภอเขาเคยมาซ่อมถนนให้ใหม่ แต่เพราะไอ้รถบรรทุกดินกับรถบรรทุกข้าวนี่แหละ ที่มันทำถนนพัง คนบ้านนาเลยต้องอยู่ในฝุ่น หัวหงอกหัวดำ เป็นหัวแดงกันหมด”
ขณะเดียวกัน ศรีไพรเดินนำหน้าแสนเข้ามา เมินรีบยกหนังสือพิมพ์ขึ้นบังหน้าเพื่อไม่ให้ศรีไพรเห็น เจ๊กตงรีบไล่
“ร้านเจ๊กตงไม่ยินดีต้อนรับ”
เนี้ยวไม่พอใจ รีบขวาง
“เตี่ย แต่อั๊วยินดีต้อนรับ อาศรีไพรกับม่วยเนี้ยวเป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่เด็ก”
“ซี้ซั้วต่าน่ะซี ลื้อรู้มั้ยว่าเดี๋ยวนี้ชาวบ้านไปเป็นพวกเศรษฐีบุญช่วยกันหมดแล้ว เราต้องเข้าข้างเศรษฐีบุญช่วย”
มหาเฉื่อยออกความเห็น...
“เฮ้ย เจ๊กตง ยังงี้มันก็ไม่ใช่การค้าเสรีซีวะ ค่อยพูดจามีสามัคคีกัน ยังไงเราก็เป็นคนบ้านนาเหมือนกัน มาซื้ออะไรวะ ไอ้ศรีไพร”
“ไม่ได้มาซื้อของเจ๊กตงหรอกลุงมหาเฉื่อย หมูหมากาไก่เลี้ยงเอง แก๊สก็หมักใช้เองจากมูลสัตว์ ผลักหญ้าปลูกตามริมรั้ว แต่พี่ศรีแพรให้ฉันมาส่งข่าวเรื่อง...เรื่อง...”
เมินลืมตัว รีบลดหนังสือพิมพ์ลง ยิ้มกว้าง
“เรื่องอะไรครับ”
“แหม นึกว่าพี่เมินไม่อยากรู้”
“แสนศักดิ์ น้องรักของพี่ พี่ต้องอยากรู้ซี ทำไมจะไม่อยากรู้ ว่าแต่ศรีแพรให้มาส่งข่าวเรื่องอะไร...จ๊ะ”
“พรุ่งนี้หว่านข้าว ไปลงแรงกันเช้าๆนะ”
ศรีไพรสะบัดหน้ากลับ แสนรีบตามออกไป
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร”

รอยยิ้มของเมินหุบลง บ่นขึ้นมาทันที

อ่านต่อหน้า 2





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 6 (ต่อ)

ศรีแพรกำลังนั่งจัดข้าวปลาอาหาร อยู่ใต้ต้นไม้ริมคันนา ขณะที่ทวน และเมิน ช่วยกันหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกบนผืนนาไป และร้องเพลงเกี้ยวเธอไปด้วย

พรได้ยินเสียงเพลงของสองหนุ่มก็ฮึดฮัดเพราะหลวงลูกสาว
“ฮึ ไอ้พวก...”
ศรีไพรรีบเข้ามาปรามพร ด้วยน้ำเสียงดุๆ แผ่วๆ
“อย่า พ่อ ยอๆๆ”
“ยออะไรวะ ข้าไม่ใช่ไอ้ไฉไลเฉิดนะ หนอย...จะมาสั่งให้ข้ายอ ยออะไรวะ”
“ยอหยุด หยุดก่อนพ่อ รอให้หว่านข้าวท่านเสร็จ รอให้เกี่ยว นวด ขึ้นลาน แล้วขนขึ้นยุ้งก่อน พ่อจะด่า จะยิง หรือจะฆ่าพวกนั้น ตามสบาย”
สดหันไปประชด
“นาเป็นร้อยๆ ไร่ แกทำเองคนเดียวไหวเรอะ ตาพร แก่แล้วไม่มีความคิด”
“แล้วนี่ข้าต้องทน ให้ไอ้พวกนั้นร้องเพลงเกี้ยวลูกสาวข้าทุกวันหรือยังไง”
“พ่อต้องทน พ่อทนคนเดียวซะเมื่อไหร่ล่ะ ฉันด้วย”
“เอ็ง...ด้วย...”
ศรีไพรยักคิ้ว พรถอนใจเฮือก
“เอาวะ ยอเป็นยอ หยุดเป็นหยุด นาเสร็จเมื่อไหร่ละก็...มึ๊ง เห็นดีกับกูแน่ ไอ้พวกลิง”
พรมองเมินและทวน แข่งกันส่งสายตาเจ้าชู้ไปยังศรีแพร อย่างหงุดหงิดไม่หาย

+ + + + + + + + + + + +

บุญช่วยเดินนำหน้าชาริณีและชิงชัย ลงมาจากเรือน โดยมีสไบและแหว่งตามลงมาด้วย หลิมวิ่งเข้ามากระซิบที่ริมหูของชิงชัย...
“จริงหรือวะ” ชิงชัยย้อนถามเครียดๆ
“เรื่องอะไรกัน” บุญช่วยถาม
“ไอ้หลิมมันมาส่งข่าวว่า ตาพรหว่านข้าวเสร็จแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง นามันร้อยไร่ไม่ใช่น้อยๆนะ”
บุญช่วยแปลกใจ
“ตอนไถ หนักกว่าตอนหว่านมันยังทำเสร็จแค่ไม่กี่วัน แล้วทำไมมันจะหว่านไม่เสร็จล่ะคะพี่ ในเมื่อมีคนช่วยตั้งเจ็ดแปดคน” สไบออกความเห็น
“มีชาวบ้านหน้าไหน กล้าไปช่วยมันมั่ง” ชิงชัยหันไปถาม
“ไม่มีเลยพี่” หลิมบอก
“นี่ขนาดไม่มีคนไปลงแรงช่วย มันยังทำสำเร็จ นี่ถ้าปล่อยให้มันเกี่ยวข้าวขึ้นยุ้ง ชาวบ้านต้องรู้ว่าไอ้วิธีนี้ก็ทำได้”
“ทำไมไม่ใช้วิธีตัดกำลังมันล่ะพ่อ” ชาริณีถาม
สไบขัดทันที...
“จะอาสาไปตัดกำลังฝ่ายตรงข้าม ด้วยวิธีไหนล่ะ”
“แกอย่ายุ่งได้มั้ยนังสไบ วิธีของฉันต้องได้ผลกว่าวิธีอื่น เพราะฉันใช้สมองคิด”ชาริณีเชิดใส่
“ทำยังไง” บุญช่วยหันมาถาม
“ทำให้นายทวนกับนายเมิน มาเข้าพวกเรา” ชาริณียิ้มอย่างมั่นใจในแผนการ

+ + + + + + + + + + + +

วันต่อมา....
ทวนเดินขึ้นมาจากหนองน้ำ หลังล้างหน้าล้างตัว ชาริณียืนรออยู่ด้วยรอยยิ้ม...
“นี่ถ้ายอมรับข้อเสนอของฉัน ย้ายฝ่ายไปเข้าพวกกับพ่อ ก็ไม่ต้องเหนื่อยแถม ยังมีเงินเหลือใช้ มีเวลานั่งๆ นอนๆ แสนสบาย”
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาทบทวนข้อเสนอ วันก่อนคุณยังไม่รับปากฉันเลยนะ”
ชาริณีเข้ามาควงแขน ทวนเริ่มอึดอัด
“เอ้อ...ข้อเสนอ...”
“อยู่กับฉัน เป็นบอดี้การ์ดให้ฉันก็ได้ ต้องการเงินเดือนเท่าไหร่พ่อฉันพร้อมจ่ายนะ”
“แต่ว่า...ผม...”
“ถ้าน้อยไป ก็รถอีกคัน”
“ผมใช้เกวียนครับ”
“เกวียนมันตกรุ่นไปตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว อยากได้รถยี่ห้อไหนบอก ท่านเศรษฐีพ่อของฉันพูดจริงทำจริงนะ ขนาดจ่าสินเป็นแค่สมุน พ่อยังถอยรถป้ายแดงให้เลย”
ทวนเริ่มสนใจเรื่องของจ่าสิน
“เอ้อ...จ่าสินนี่ เป็นสมุนรับใช้ท่านเศรษฐีพ่อของคุณหรือ เอ๊ะ ก็เขาเป็น...”
“ใครๆพ่อฉันก็ซื้อได้ทั้งนั้นแหละ ใช้เงินซะอย่าง”
ทวนแกล้งทำตาโต ทำหน้าตื่นเต้นเหมือนโลภ
“จริงหรือครับ แล้วซื้อแพงมั้ย”
“คนชั่วๆ ก็ราคาไม่เท่าไหร่ แต่คนดีๆ พ่อฉันพร้อมจะซื้อ...แพงๆ”
“เอ งั้นผมคงต้องเก็บเอาข้อเสนอของคุณไปคิด เพิ่งรู้นะ...ว่าคนดีกับคนชั่ว มีค่าตัวต่างกัน ผมจะเป็นคนดีหรือคนชั่วดีน้า”
ศรีไพรเดินมาหา มองไม่พอใจ
“นี่ ล้างเนื้อล้างตัวเสร็จหรือยัง พี่ศรีแพรให้มาตามไปกินข้าว”
“ศรีแพรหรือ”
ทวนดีใจ ลืมตัวขยับก้าว แต่ชาริณีฉวยมือไว้
“ไม่ต้องไป ฉันซื้อตัวคุณแล้ว”
ศรีไพรมองเหยียดๆ
“งั้นหรือ ฉันก็เพิ่งรู้นะว่านายนี่...นอกจากจะเป็นเด็กวัด คนเร่ร่อน ตกงาน ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแล้ว ยังเป็นสัตว์ปีกอีกด้วย”
“มู่ทู่”ทวนไม่พอใจ
“นี่แกหาว่าคุณทวนของฉันเป็นแมงดาเหรอ” ชาริณีตวาดแว๊ด
“ผู้ชายที่ขายตัวให้เงิน ไม่เป็นสัตว์ปีก แล้วเป็นอะไร”
“เอ้อ...เดี๋ยวก่อน…”
ทวนพยายามขวาง ศรีไพรจ้องหน้า
“ถ้ารักจะเป็นผู้ชาย แบบที่ศักดิ์ศรียังอยู่ครบก็ไปกินข้าว แต่ถ้ารักจะเป็นสัตว์ เลี้ยงของคุณคนนี้ละก็...เชิญตามสบายนะ”
ศรีไพรเดินออกไป ทวนรีบหลบชาริณีเดินตามศรีไพรไป ชาริณีโกรธ แผดเสียงตามไป
“เขาต้องเป็นของฉันแน่ ใครเขาจะอยากเป็นควายให้แกใช้ทำนาล่ะ จริงมั้ย”
ชาริณีหันมา ไม่เห็นทวนก็โวยวายดัง...
“นาย...นายทวน อ้าว ไปไหนแล้ว”

+ + + + + + + + + + + +

ในนา...
เมินส่งภาษามือบอกรักศรีแพรซึ่งอยู่ไกลๆ กัน ศรีไพรแอบมอง แล้วหยิบหนังสือบทเรียนภาษามือ ที่ทวนให้ไว้ขึ้นมาอ่าน
“หนอยแน่ะ เผลอเป็นไม่ได้เลย กล้าบอกรักพี่สาวฉันทั้งที่แดดร้อนเปรี้ยง นึกหรือว่าฉันไม่รู้ อะไรนะ...ไอ้ท่านี้...คือการนัดนี่...นะ-นัด-ที่-คะ-คลอง คืนนี้...สี่ทุ่ม”
พออ่านท่าทางได้ใจความ ศรีไพรโกรธขึ้นมาทันที...
ค่ำคืนนั้น...
เมินว่ายน้ำข้ามลำคลองเข้ามารอศรีแพรตามนัด ใบหน้าประแป้งลายพร้อมหวีผมเรียบ หล่อ
“ศรีแพร พี่มาแล้ว ถึงอากาศจะไม่เป็นใจ หนาวยังไงพี่ก็ต้องมา นั่นศรีแพรใช่มั้ย มารอพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ป่านนี้ยายมู่ทู่คงหลับอยู่ในโปง ก็แน่ละ...ไหนจะหว่านข้าว ไหนจะเป็นไม้กันหมาให้พี่สาว คงเหนื่อยจนหลับปุ๋ย อิอิ”
เมินว่ายน้ำเข้ามาเกาะที่ท่าน้ำ แสงสลัวคลุมเครือ มองเห็นผ้าคลุมไหล่ของศรีแพรคลุมอยู่บนตอไม้ เมินคิดว่าเป็นศรีแพร
“ศรีแพรจ๋า พี่อยากแต่งงานกับศรีแพรเร็วๆ พอเราแต่งงานกันพี่จะมีลูกถี่ๆ ไม่ให้ท้องว่างเลย ไอ้ทวนมันจะได้เฉาตาย แต่ก่อนแต่งงาน พี่ขอจูบมัดจำไว้ก่อนได้มั้ยจ๊ะ พี่จะได้แน่ใจว่า...ศรีแพรรักพี่จริงๆ มา...ม๊ะ”
เมินโอบกอดแล้วจูบที่ตอไม้
“เอ๊ะ ทำไมกลิ่นศรีแพรถึงได้มีแต่ตะไคร่น้ำ แก้มก็...แข็งๆ เหมือน...”
เมินขมวดคิ้วสงสัย เปิดผ้าคลุมเห็นตอ เมินร้องลั่น
“ว๊ากกก ตะ...ตอ...”
เมินกระโดดลงน้ำ ว่ายข้ามฝั่งคลองออกไป ศรีไพร แสน ออกมาจากที่ซ่อน ต่างหัวเราะขบขันเมิน

+ + + + + + + + + + + +

ในบ้าน...
พรเดินกระวนกระวายไปมา ขยับดาบในมือด้วยท่าทีขึงขัง สดคุมให้ศรีแพรปะชุนเสื้อผ้าอยู่ ศรีแพรนั้นกระวนกระวายใจ เพราะนัดกับเมินไว้
“ฝ้ายที่เขาทอเป็นผ้า ก็มาจากธรรมชาติมาจากดินจากน้ำจากแสงแดด เราต้องใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด โบราณท่านว่า...จะจนยังไงก็อย่าให้ผ้าขาด...นั่นแหละ ปู่ย่าตายายท่านสอนให้เราขยัน ซื้อหาแต่ไอ้ที่มันสมควร” สดชวนคุย
พรหงุดหงิด
“เมื่อไหร่มันจะกลับเสียทีวะ ไอ้ศรีไพรกับไอ้แสนนี่มันชักจะแก่นกะโหลกกะลากันใหญ่แล้ว บอกจะไปสุมไฟไล่ยุงให้ไอ้ไฉไลเฉิด หายไปเกือบครึ่งคืนแล้ว”
“ให้ฉันไปตามนะจ๊ะ พ่อ”
ศรีแพร รีบวางเสื้อผ้าในมือ ขยับจะยืน เพื่อจะหลบออกไปพบเมินตามนัด พรหันมาตวาด
“ไม่ต้อง...”
“เดี๋ยวมันก็มา มันสุมไฟแล้วคงไปเดินตรวจตราดูรอบๆ ไม่ต้องห่วงมันหรอก มันยิงปืนแม่นยังกับจับวาง”
“ยังไงมันก็เป็นผู้หญิง แล้วเดี๋ยวนี้มดกับไร มันยิ่งจ้องจะไต่ตอมลูกสาว ของข้าอยู่ด้วย ไอ้ศรีไพรน่ะถึงมันจะมอมแมมยังไง ก็ยังพามันไปวัดได้ตอนค่ำๆโว้ย...”
ศรีไพรส่งเสียงมาแต่ไกล ก่อนเดินนำหน้า หิ้วตะเกียงขึ้นมาบนเรือนด้วยท่าทีมีความสุข ศรีแพรเห็นน้องสาวห่มผ้าคลุมไหล่ของเธอ ก็มองอย่างแปลกใจ
“พ่อจ๋า รู้เลยว่าพ่อกำลังชมฉันอยู่ใช่มั้ยล่ะ เอาเถอะ...ลูกสาวคนนี้พาไปวัดตอนเช้าๆ ไม่ได้ แต่พาพ่อขึ้นเมรุได้ก็แล้วกันน่ะ”
“ไอ้ศรีไพร นี่...นี่เอ็งแช่งพ่อ...”
พรจะด่า แสนรีบขัด
“พี่ศรีไพรเขาไม่ได้แช่งพ่อ หรือว่าพ่อมีคนจูงขึ้นเมรุแล้วเลยไม่ต้องพึ่งฉันกับพี่ศรีไพร”
“ชะ...ช้า ไอ้แสน เอ็งนี่ปากคอชักจะเลาะร้ายเหมือนพี่สาวเอ็งขึ้นทุกวันนะ เดี๋ยวเถอะ..เดี๋ยวก็โดนโยงขื่อเฆี่ยนด้วยหวายหรอก”
“โหดจัง ไป ไปนอนกันเถอะ ไอ้แสน”
“จ้ะ”
ศรีไพร แสนเข้าเรือนไป ศรีแพรรีบตามศรีไพรเข้าเรือน สดเห็นพรขยับปากจะด่าต่อรีบขัด
“เอา ไปนอนกันได้แล้ว แม่จะได้ปิดประตูลงกลอน ไป...แกด้วยตาพร เลิก โมโหโทโสกับลูกเสียทีเถอะ มันโตแล้ว ไป…”
“เฮ้อ นี่ถ้าศรีแพรมันแต่งงานไปเสียกับพวกอำเภอ ข้าคงหมดห่วงเรื่องไอ้หมา วัดพวกนั้น ตอนนี้ถึงจะได้แรงมันมาช่วยลงนา แต่บอกตรงๆ ว่ะ ข้ากลัวได้ไม่คุ้มเสีย...”

พรกระแทกน้ำเสียงด้วยความกังวล

อ่านต่อหน้า 3





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 6 (ต่อ)

ศรีแพรเข้าไปในห้องนอน ค้นหาผ้าแพรคลุมศีรษะ ศรีไพรก้าวเข้ามา ยื่นผ้าแพรมาตรงหน้า

“ผืนนี้ใช่มั้ยที่พี่กำลังหาอยู่”
“เอ้อ...”
“ฉันเป็นคนเอาไปเองแหละ ไม่ได้บอกพี่ศรีแพรหรอก ไม่อยากจะบอก ฉันกับไอ้แสนออกไปสุมไฟไล่ยุงให้ไฉไลเฉิด อากาศมันหนาวๆ ฉันก็เลย เอาผ้าของพี่ห่มไปที่ท่าน้ำ”
ศรีแพรอึ้ง
“ท่าน้ำ...”
“พอถึงท่าน้ำก็เอาแพรไปห่มไว้ที่ตอ แล้วคลานไปหลบอยู่หลังจอมปลวก จะจับปลวกมาเป็นอาหารไก่ แต่ว่า…”
“แต่...อะไร...”
“ตัวอะไรก็ไม่รู้จ้ะ ปลวกก็ไม่ใช่ จรเข้ก็ไม่เชิง มันคลานดึบๆ ขึ้นมาจากคลอง มาจูบตอเข้าปังใหญ่ ....นึกออกแล้ว...ตัวเงินตัวทอง หรือไอ้ที่ชาวบ้านเรียกว่า...”
ศรีแพรเข้ามาปิดปาก
“รู้แล้ว ไม่ต้องบอกหรอกว่าตัวอะไร แกน่ะ...”
ศรีแพรกระซิบที่หูของศรีไพร ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตัวกันท่า...”

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
ทอก กับ หมอก ก่อไฟหุงข้าว ขณะที่เมินนอนก่ายหน้าผาก ฟังเพลงจุดไต้ตำตอจากวิทยุ แล้วเมินก็ผลุดลุกขึ้นนั่ง ศีรษะชนขอนไม้อย่างจัง
“โอ้ย...”
เมินรีบปิดวิทยุ เสียงเพลงเงียบกริบ ทวนเดินหิ้วปลามาส่งให้ทอก ทวนแกล้งดักคอ
“ไง ไปทำอะไรมา หน้าตาแกถึงได้เหมือนไปจุดไต้ชนตอยังงั้น”
“ฮึ่ม ตอ แว๊บเลย...ฉันนึกออกแล้วว่าไอ้ตอเมื่อคืนนี้ฝีมือใคร”
ทวนยิ้ม
“นี่แสดงว่าแกนัดพบกับศรีแพร แล้วมีผู้หวังดีทำตัวเป็นตอใช่มั้ย”
“ยายมู่ทู่”
เมินคำรามเคืองแค้น ไม่สนใจเย้ยหยันของทวน
“ยายนั่นรู้ได้ยังไงวะ ว่าฉันนัดกับศรีแพรที่ท่าน้ำ ฉันไม่ได้ทิ้งหลักฐานไว้ในที่เกิดเหตุสักหน่อย หรือว่า...หรือว่า…”
เมินจ้องหน้าทวน
“เฮ้ย ฉันเปล่านะ ฉันไม่ได้ยุ่งอะไรด้วย ไม่เกี่ยว”ทวนรีบปฏิเสธ
“ฉันยังไม่ได้กล่าวหาแกเลย แกกินปูนร้อนท้อง เหมือน...เหมือน...เหมือน...ตุ๊กแก พอตับแก่เข้าหน่อยก็เรียกงูเขียวมาล้วงกินตับ”
“เออ ยอมรับว่าเป็นงูเขียวก็ดีแล้ว ยังไงแกก็ไม่มีวันประคับประคอง ความรักของแกกับศรีแพร ให้รอดปากเหยี่ยวปากกาหรอกโว้ย ความรักน่ะดูแลมันไม่ดี...ไม่มีเวลาให้พอ อาจหมดอายุได้นะ”
หมอกขัด...
“พี่จ๋า พี่จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย จัดสรรกันไม่ลงตัวก็น่าจะหาวิธีจัดการให้มันดีได้”
“ใช่ ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก แย่งกันอยู่ได้ ลูกสาวตาพรมีตั้งสองคน”หมอกออกความเห็น
เมิน กับ ทวนร้องออกมาพร้อมกัน
“ยายมู่ทู่...”
หมอกพยักหน้ารับ
“ถึงหน้าตาไอ้ศรีไพรมันจะมู่ทู่ เพราะวันๆ เอาแต่ทำหน้ายักษ์ แต่มาคิดดูไอ้ศรีไพรน่ะมันเป็นคนมองโลกไกลนะ ไม่ยังงั้นมันคงไม่ตั้งตัวต่อต้านเศรษฐีบุญช่วยหรอก ถ้าบ้านนาไม่มีคนลุกขึ้นมาสู้กับอิทธิพลมืด บ้านนาจะเป็นยังไง”
เมิน กับทวนเคร่งเครียดขึ้น
“แล้วตอนนี้ชาวนายิ่งแห่กันไปเข้าพวกเศรษฐีบุญช่วย จนไม่เหลือใครที่เป็นพวกไอ้ศรีไพรแล้ว แม้แต่…”
ทวนนึกถึงกล่ำ กับช้อยขึ้นมาแล้วถอนใจ

+ + + + + + + + + + + +

มหาเฉื่อยนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับกล่ำ โดยเจ๊กตงยืนลุ้นอยู่ใกล้ๆ วงลูกของช้อยเดินออกไปเล่นที่ถนน ศรีไพรเดินนำหน้าแสน เข้ามาอุ้มด้วยความเอ็นดู
“เอ๊ ลูกใครน้า...มา หอมแก้มที”
ช้อยรีบวิ่งไปดึงตัวเด็กออกมาจากศรีไพร แล้วหลบหน้าออกไป ศรีไพรมองตามด้วยความแปลกใจ
“น้าช้อยเป็นอะไรน่ะ น้ากล่ำ”
“เป็นอะไร ไม่อยากพูดกับเอ็งน่ะซี กลัวความเดือดร้อนว่ะ”
กล่ำรีบผลุนผลันออกไป คนอื่นๆ มองตามไปด้วยความแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นนี่เตี่ย ทำไมน้ากล่ำกับน้าช้อย ถึงได้ทำท่ารังเกียจไอ้ศรีไพร ทั้งที่ไอ้ศรีไพรมันเอออวยช่วยเหลือทุกอย่าง” เนี๊ยวงง
“นั่นน่ะซี เมื่อก่อนก็ยังดีๆ กันนี่นา ใครมีอะไรก็แบ่งปันช่วยเหลือกัน ตอนนี้มันเป็นอะไรวะ”มหาเฉื่อยบ่น
“พี่ศรีไพร...”
แสนสะกิด ศรีไพรส่ายหน้า...
“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอกลุงมหาเฉื่อย เจ๊กตง เอาโอยั๊วะมาถ้วยนึง”
“น้ำหวานอีกแก้ว” แสนสั่งบ้าง
เจ๊กตงบอกทันที...
“ไม่ขาย...”
“เตี่ย ทำไมล่ะ ก็ไอ้ศรีไพรมันเป็นลูกค้าของเตี่ย ทำไมเตี่ยถึงไม่ขาย”
“ไม่รู้ ไม่มีคำตอบ ไม่มีเหตุ แต่...ไม่ขาย...”
เจ๊กตงกระแทกเสียง ศรีไพร แสน หันมามองหน้ากันอย่างงงๆ

+ + + + + + + + + + + +

เนี้ยวดึงมือเจ๊กตงเข้ามาหลังร้านด้วยความร้อนใจ ที่เจ๊กตงปฎิเสธไม่ขายของให้แก่ศรีไพร พร้อมกับแสดงความรังเกียจ
“เตี่ย ทำไมเตี่ยทำยังงี้ล่ะ เตี่ยทำให้ไอ้ศรีไพรเสียใจนะ ไหนเตี่ยเคยบอกอั๊วว่า มันเป็นคนดี มีน้ำใจช่วยเหลือชาวบ้านไงล่ะ”
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้มันจะเป็นคนดีคนเลว เราคบมันไม่ได้”
“ทำไมล่ะเตี่ย อั๊วกับไอ้ศรีไพรโตมาด้วยกัน ถึงจะมาห่างกันตอนมันไปเรียน กรุงเทพฯ แต่มันเป็นเพื่อนของอั๊วนะ”
“เป็นเพื่อนก็ไม่ได้ ขืนเรายอมขายของให้มัน มีหวังท่านเศรษฐีบุญช่วยเล่นงานเราตาย ลื้อรู้มั้ยว่าตอนนี้ เศรษฐีบุญช่วยสั่งชาวบ้านว่ายังไง...”
“ว่ายังไง...” เนี้ยวกระแทกเสียงด้วยความสงสัย
เจ๊กตงจึงเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์?ผ่านมาว่า...
ชิงชัยป่าวประกาศกับชาวบ้านว่า...
“ต่อไปนี้ ห้ามไม่ให้ใครติดต่อ...ซื้อขาย หรือเกี่ยวข้องกับไอ้ศรีไพร กับวงวารว่านเครือของมันเด็ดขาด ใครอยากจะอยู่ข้างพ่อเศรษฐีของข้า ก็ต้องตัดสวาทขาดอีโต้กับครอบครัวนี้ ถ้าข้ารู้ว่าใครฝืนคำสั่งนี้ ข้าจะขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อีกร้อยละยี่สิบ”
กล่ำโวย...
“ร้อยละยี่สิบ แล้วพวกเราจะไม่ตายหรือ ท่านเศรษฐี”
“ไม่ตายหรอก พวกเอ็งชาวนา มีน้ำอดน้ำทนมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่ปู่ย่า แค่หนี้พอกหางหมูแค่นี้ จะรีบตายไปไหนกัน”
บุญช่วยพูดขำๆ ชาริณีรีบเสริม
“อีกหน่อยพอไอ้ศรีไพรไม่มีพวกแล้ว มันต้องซมซานมาเข้าพวกกับพวกเรา ถึงตอนนั้นเราจะไล่มันออกไปจากบ้านนา”
สไบมองค้อนชาริณี แหว่งค้อนตาม ชิงชัยโบกมือไล่...
“เข้าใจแล้วก็แยกย้ายกันกลับได้ จำไว้ว่า...ใครให้ความร่วมมือกับไอ้พวกนั้น ถือว่าเป็นศัตรูของพ่อเศรษฐี ใครไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของข้าลุกขึ้น”
หลิมแกล้งโวยวาย...
“ใครวะ ใคร ไอ้หน้าไหนกล้าลุก”
เลิศตวาดถามบ้าง...
“แน่จริงลุกขึ้นซีวะ ไม่มีเลยครับคุณชิงชัย”
ชิงชัยมองไปรอบๆ เห็นทุกคนนิ่งก็ยิ้มพอใจ...
“นั่นแสดงว่าทุกคนเข้าใจดี ดี พูดกันง่ายๆ ยังงี้สิ้นปีจะเอารถเกี่ยวไปเกี่ยวข้าวให้”
ชาวบ้านต่างแยกย้ายกันกลับอย่างเงียบๆ บุญช่วยยิ้มอย่างพอใจ
“หวังว่าแผนตัดปีกตัดหางไอ้ศรีไพรคงได้ผลนะ คนหัวแข็งจะอยู่ร่วมแผ่นดิน กับข้าในบ้านนาไม่ได้ ไม่มีคนคบหาสมาคมกับมัน มันจะอยู่ได้ยังไง”
“ตัดปีกตัดหางไม่พอหรอกค่ะพี่ มันต้องตัดกำลังด้วย ต้องได้ตัวไอ้ทวนไอ้เมินมาเป็นพวก มันถึงจะชนะขาด”สไบแนะ
“ฉันก็กำลังทำอยู่นี่ไง”ชาริณีบอก
“แล้วเมื่อไหร่...จะสำเร็จ...”

สไบยิ้มเยาะหยันชาริณี

อ่านต่อหน้า 4





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 6 (ต่อ)

ชาริณียืนพิงรถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน รอทวนอยู่ที่ริมทางตอนเช้าของวันต่อมา ทวนเดินผิวปากผ่านมา ชาริณีทักทาย

“นี่ถ้าเชื่อฉัน ยอมรับข้อเสนอของพ่อเศรษฐี ก็ไม่ต้องกินปลาซิวปลาสร้อยยังงี้หรอก ได้กินหูฉลามไปแล้ว ไง คิดออกหรือยังว่าตอบตกลง หรือว่าจะตอบปฏิเสธ”
“เอ้อ...คือว่า...ผม...”
“ตกลงเถอะ ชวนเพื่อนคุณมาอยู่ด้วยยิ่งดี เราต้องการพวกคุณทั้งแก๊งส์เลย รับแบบไม่อั้น”
“ทั้งสี่คนเลยหรือครับ มีไอ้เมิน ไอ้ทอก ไอ้หมอกแล้วก็...ผม”
ขณะเดียวกัน ศรีไพรขี่หลังควายไฉไลเฉิดมาพร้อมกับแสน ชาริณีแกล้งเชิดหน้า
“จะแถมมหาเฉื่อยอีกคนก็ยังได้นะ มาอยู่กับพ่อฉัน จะขับรถไถรถเกี่ยวรถขนดิน หรือจะขับรถแทรกเตอร์รถอีแต๋น รถกะบะ รถบรรทุกสินค้าเฉพาะกิจ เรามีให้เลือกทุกประเภท ข้อสำคัญฉันกับคุณจะได้ใกล้ชิดกันแบบเนื้อล้วนๆ”
“เนื้อล้วนๆ เลยหรือครับ”
ศรีไพรหมั่นไส้ เรียก...
“ไฉไลเฉิด...”
ควายร้องรับ
“มอๆๆ”
ศรีไพรแกล้งถาม
“อยากกินของสด หรืออยากกินของคาว ลูกแม่”
“มอๆๆ”
แสนช่วยแปลความหมาย
“ไอ้ไฉไลเฉิดมันบอกว่าอยากกินของสด ของคาวไม่เอา มันกลัวเป็นของเหลือ ใช้มาจากที่อื่น แล้วมาโม๊ะยากันเน่าที่นี่”
ชาริณีโกรธ ชี้หน้าศรีไพรและแสน
“แก แกหาว่าฉันแหลกเหลวเละเทะมาจากที่อื่นใช่มั้ย รู้ได้ยังไง”
“มอๆๆๆ”
แสนบอกขำๆ
“พี่ศรีไพร ไอ้ไฉไลเฉิดมันได้กลิ่นอะไรไม่รู้ มันทำจมูกฟุตฟิต”
ศรีไพรแกล้งพูด
“รีบกลับกันเถอะ ไอ้แสน ไอ้ไฉไลเฉิดมันคงจะได้กลิ่นแกงเลียงผักตำลึงกับบวบข้างรั้วใส่กุ้งแม่น้ำฝีมือพี่ศรีแพรละมั้ง วันนี้พี่ศรีแพรเข้าครัวรัวน้ำพริกแกงเอง กลิ่นมันก็เลยฟุ้งจนกลบกลิ่นไม่พึงประสงค์แถวนี้ เอ๊ะ...แกงหม้อเบ้อเริ่ม...”
ทวนตาโต
“โห เบ้มเริ่ม...”
“เดี๋ยวแวะท้ายป่าช้า เรียกพี่เมินไปกินด้วยดีกว่า ดีกว่าเทให้ผีไม่มีญาติ ไป”
“ไปจ้ะพี่”
ศรีไพร แสนขี่ควายกลับบ้าน ทวนรีบวิ่งตาม
“ไปด้วย...”
“คุณ ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลยนะ แล้วเรื่องนั้นว่าไง เรื่องที่ฉันชวนคุณกับพวก ไปอยู่กับพ่อฉันน่ะ ว้า...”
“เห็นแก่กินจริงๆ” ชาริณีค้อนตาม

+ + + + + + + + + +

ศรีไพรเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน แล้วเสียงตะโกนสั่งแสน
“เอาไอ้ไฉไลเฉิดเข้าคอก แล้วเอาหญ้าให้มันกินด้วยนะ”
ทวนวิ่งพรวดพราดเข้ามา
“ไหน ตั้งสำรับหรือยัง แล้วศรีแพรล่ะ ผมจะขึ้นไปช่วยศรีแพรยกสำรับ”
“นาย...มาได้ยังไงนี่”
“ถามได้ ก็วิ่งตามหลังไอ้ไฉไลเฉิดมาน่ะซี เห็นว่า...ศรีแพรแกงเลียงผักรวมหม้อเบ้อเริ่ม อ้า...อยากจะเห็นหม้อ”
“ทะลึ่ง...”
“ป๊าว ไม่ได้หมายความลึกยังงั้น แต่หมายความว่าแกงหม้อใหญ่แค่ไหน ใบ…เอ้อ...เบ้อเริ่มอย่างที่คุยมั้ย”
ทวนทำตาเจ้าเล่ห์
“ไม่ได้แกงหรอก วันนี้ตำน้ำพริก”
“อ้าว ก็ไหนว่า...”
“หรือว่านายกับสมัครพรรคพวก อยากจะไปเป็นสมุนรับใช้ของเศรษฐีบุญช่วย ก็แน่ละซี อยู่ที่นั่นมีบ้านหลังใหญ่ รถทุกประเภท ไหนจะของสด...ของคาว...ของใช้แล้ว แม้แต่ของหมดอายุ”
“ศรีไพร มองผมในแง่ดีบ้างซี ของอะไรๆ มันก็ไม่เหมือน...ไม่เหมือน…”
ทวนมัวแต่ชะเง้อชะแง้ขึ้นไปบนเรือน หวังจะได้พบศรีแพร ศรีไพรใช้ศอกกระทุ้งพุงของทวน
“โอ้ย ของแปลก...”
“แปลกยังไง”
“ก็แปลกยังงี้...ไง”
ทวนพยักหน้ามาที่ศรีไพร ขณะเดียวกันพรถือดาบวิ่งลงมา เพราะความหวงลูกสาว
“ไอ้ทวน ใครใช้เอ็งมาด้อมๆ มองๆ ที่เรือนของข้านอกเวลาทำนาวะ นี่เอ็งมาจีบลูกสาวของข้าใช่มั้ย หา”
พรไล่ฟันทวน ทวนเผ่นทันที
“หนอยแน่ะ จีบใครไม่จีบ มาจีบไอ้ศรีไพร”
“พ่อ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่”
“ข้าไม่เชื่อ มันจีบพี่สาวเอ็งไม่ได้ มันก็เลยเปลี่ยนมุมมอง นึกหรือว่าข้าจะยอมให้มันแต่งงานกับเอ็ง ลูกคนนี้ข้าไม่ยอมให้มันมีผัวหรอก ข้าจะเก็บมันไว้…เอ้อ...อ้า...”
พรหันมาสบสายตาเขียวขุ่นของศรีไพร
“ไถนาแทนควายใช่มั้ย ฮึ พ่อนะพ่อ...”
ศรีไพรงอน ทำท่าจะร้องไห้ สะบัดหน้าขึ้นเรือนไป
“ไอ้ศรีไพร เฮ้ย เดี๋ยวก่อน...”
พรรู้สึกตัว รู้สึกไม่ดีที่พูดออกไปอย่างนั้น

+ + + + + + + + + + + +

ศรีไพรวิ่งเข้าไปในห้อง ไปยืนที่หน้ากระจก เบะหน้าร้องไห้เพราะเสียใจ ที่พรไม่รักและตั้งความหวังไว้กับศรีแพรสูงกว่า
“ฮึ เพราะฉันขี้ริ้วขี้เหร่ หน้าตามอมแมม แถมยังมีโคลนเปรอะไปทั้งตัวยังงี้ใช่มั้ย พ่อถึงไม่รักฉัน พ่อไม่เคยตั้งความหวังไว้กับฉันเลยนะ ฉันสอบได้ที่หนึ่ง พ่อบอกน้อยไป ฉันจะไปประกวดร้องเพลงพ่อก็ว่าเสียงฉันเหมือนควาย จะขึ้นเวทีนางงามพ่อก็ว่าความสวยไม่ได้ที่ ไม่มีอะไรเลยใช่มั้ยที่ฉันจะสู้พี่ศรีแพรได้น่ะ”
ขณะเดียวกัน ศรีแพรยื่นใบหน้างดงาม เข้ามาแนบใบหน้าของเธอ ศรีไพรมองหน้าพี่สาวผ่านกระจก
“มี ความกล้าหาญในตัวของน้องไงที่พี่ไม่มี ถ้าน้องของพี่คนนี้ไม่ใช่คนกล้าหาญ จะนำพวกเราสู้กับอิทธิพลของเศรษฐีบุญช่วยได้ยังไง”ศรีแพรพยายามให้กำลังใจ
“แต่...พ่อ...”
“อยากให้พ่อรัก ก็ทำตัวให้เป็นผู้หญิง ล้างคราบโคลนคราบตะไคร่นี่ออกซะบ้าง พรุ่งนี้วันพระใส่ซิ่นสวมเสื้อลูกไม้ ปล่อยเผ้าผมให้มันดูเป็นผู้หญิง พี่รับรองเลยว่าความงามของน้องสาวพี่ต้องปรากฏ”
ศรีไพร หันกลับไปสบสายตาตัวเองในกระจกเงาอย่างเก้อๆ

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันต่อมา...
มหาเฉื่อยต้อนรับชาวบ้านที่มาทำบุญในวันพระ
“ขออนุโมทนาญาติโยม นิมนต์...เอ๊ย...เชิญพุทธบริษัททั้งหลาย ขึ้นไปบนศาลาได้แล้ว เดี๋ยวจะได้เวลาใส่บาตรทำบุญ ข้าวปลาอาหารหวานคาว ทางวัดได้จัดภาชนะรองรับตามกำลังศรัทธา เอ้า ไอ้กล่ำ เมียเอ็งก็มาด้วย ไม่ได้เอาลูกมาด้วยเรอะ”
กล่ำยิ้มให้...
“ส่งไปให้แม่ยายเลี้ยงจ้ะ กลางคืนมันกวน ฉันเลยกวนเมียไม่ได้”
ช้อยมองค้อน
“ปากนะ ในวัดในวาไม่ยกเว้น ท่านมัคทายกท่านเป็นคนถือศีล ท่านจะมายุ่งอะไรกับเรื่องในมุ้ง”
กล่ำแกล้งแหย่...
“ทียังงี้ละทำเป็นถือ ทีเมื่อคืนละสกิดยิกๆ…”
“ไอ้...”
มหาเฉื่อยกลัวผัวเมียจะตีกัน รีบขัด
“เอาละ ไอ้กล่ำ นังช้อย ขึ้นไปบนศาลาเร็วๆ ก่อนที่ข้าจะศีลขาด ไอ้ทวน ไอ้เมิน กับไอ้สองตัวนั่นมัวทำอะไรอยู่ ขึ้นไปเสริ์ฟ...เอ๊ย...ขึ้นไปประเคนอาหารหวานคาวได้แล้วโว้ย”
ขณะเดียวกัน พร สดเดินนำหน้าศรีแพร ศรีไพรและแสนเข้ามาทำบุญที่วัด ทวน เมิน ทอกและหมอกต่างจ้องมองศรีไพรที่แต่งตัวนุ่งซิ่น ใส่เสื้อลูกไม้ เขียนหน้าทาปากแต่ท่าทางเชย เก้งก้าง คันยุบคันยิบ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าเก็บเหมือนย้อนยุค
“เฮ้ย มองอะไรวะ ไม่เคยเห็นของแปลกหรือยังไง”
ศรีไพรสดุ้ง
“พ่อ...”
“นี่ วันนี้วันพระ เลิกจิกเลิกกัดสักวันได้มั้ยตาพร ไป...ขึ้นศาลา” สดแว๊ดใส่
“นิมนต์ เอ๊ย...เชิญจ้ะ...”
มหาเฉื่อยผายมือ...
พร สด ศรีแพรและแสนเดินขึ้นบันไดศาลา ศรีไพรยังคงหันมาทำตาเขียวใส่ เมิน ทวน ทอกและหมอกที่มองศรีไพรเป็นตัวแปลก

+ + + + + + + + + + + +

บนศาลา ชาวบ้านนั่งอยู่กระจายทั่วๆ บุญช่วยนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งพร้อมด้วยชาริณี ชิงชัย สไบ แหว่ง หลิมและเลิศ
พรและสดเดินนำศรีไพรและศรีแพรขึ้นมาบนศาลา ชาวบ้านเริ่มคลานหนีห่าง เข้าไปนั่งรวมกลุ่มอยู่กับเศรษฐีบุญช่วย ต่างมองมาด้วยความรังเกียจ
“พี่ศรีไพร ทำไมชาวบ้านถึงได้ทำท่าเหมือนรังเกียจพวกเราล่ะ”แสนกระซิบ
“หรือว่า...”
ศรีแพรจะออกความเห็น สดรีบขัด...
“เงียบนะ”
“บนวัดบนวา อย่าส่งเสียงแข่งกับพระ บาป”
พรเสริม แล้วมองไปยังชาวบ้านที่เข้าพวกกับเศรษฐีบุญช่วย ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ขณะเดียวกัน เสียงหลวงตาดังขึ้น...
“เอ้า ญาติโยมมากันพร้อมหน้าแล้ว ก็เริ่มกันเถอะท่านมหาเฉื่อย...”
เนี้ยวส่งเสียงมาแต่ไกล เจ๊กตงวิ่งตามมา พร้อมข้าวของทำบุญ
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนค่ะหลวงตาขา รอม่วยเนี้ยวกับเตี่ยด้วย ม่วยเนี้ยวเตรียมอาหารหวานคาว ผลมูกผลไม้มาถวายพี่ทวน...เอ๊ย หลวงตาจ้ะ”
มหาเฉื่อยบอกหลวงพ่อ
“นิมนต์รออาม่วยเนี๊ยวก่อนขอรับหลวงพ่อ ทำบุญร่วมขันเผื่อชาตินี้มีจริง อาม่วยเนี๊ยว...”
“มานี่ อาม่วยเนี้ยว มาอยู่ไกลๆ ฟาร์มเลี้ยงงูท่านมหาเฉื่อย เตี่ยไม่ไว้ใจ”เจ๊กตงรีบบอก
“อั๊วจะนั่งกับไอ้ศรีไพร”
“ไม่ได้ นั่งไม่ได้ เราเป็นพวกเดียวกับท่านเศรษฐี ต้องนั่งฝั่งท่านเศรษฐี จะไปนั่งฝั่งยาจกไม่ได้”
“ทำไมล่ะเตี่ย ศาลาออกกว้าง นั่งตรงนี้ไม่ได้หรือยังไง”
“เตี่ยบอกว่าม่ายล่าย ก็ม่ายล่าย ชาวบ้านอีย้ายสำมะโนครัวไปเป็นพวกของ เศรษฐีบุญช่วยกันหมดแล้ว ขืนใครเป็นพวกอาศรีไพร เดี๋ยวก็เดือดร้อนซี”
ศรีไพรสะเทือนใจ ขณะที่ทวนและเมิน หันมามองสบสายตากัน

+ + + + + + + + + + + +

กลับจากวัด ศรีไพรวิ่งขึ้นมาบนเรือน กระชากวิกผมขว้างลงกับพื้น ดึงสร้อย เครื่องแต่งตัวออกมาโยนทิ้งด้วยความโกรธ ศรีแพร สด พรและแสนเดินตามขึ้นมาบนเรือน
“อย่าไปถือสาชาวบ้านพวกนั้นเลย เขามีหนี้ ก็มีความจำเป็นต้องไปเข้าพวกกับ เศรษฐีบุญช่วย เราไม่มีหนี้สินกับใครเพราะเรารู้กินรู้ใช้ ก็ไม่ต้องไปสนใจ” สดบอก
ศรีแพรถอนใจ
“มันประกาศสงครามกับเราแล้วนะ พ่อ แม่ มันบังคับให้ชาวบ้านต่อต้านเรา”
“แม้แต่น้ากล่ำ พี่ศรีไพรเขาเคยช่วยทำคลอดให้น้าช้อยแท้ๆ ยังเมินหน้าไม่มองพวกเราเลย” แสนบอก
“อย่าอ่อนแอนะ ศรีไพร ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่แรก เราก็ไม่รู้หรอกว่าเรามีกำลังสู้ได้แค่ไหน เอ็งสู้ พี่ก็สู้ด้วย”
ศรีแพรให้กำลังใจ สดบอกบ้าง...
“แม่ด้วย แม่จะสู้กับเอ็ง แกล่ะ...ตาพร...”
“ไม่น่าถาม ลูกสาวของข้าสู้ แล้วข้าจะยอมแพ้ได้ยังไง ถึงหน้าตาของลูกสาวข้าจะดูแปลกๆ แต่พลังของมันยังเต็มร้อย”
ศรีไพรหน้าตึง
“พ่อ นี่พ่อจะชมฉัน หรือพ่อจะด่าฉันกันแน่”
แสนรำพึงเบาๆ...
“อยากรู้จังว่าพี่เมินกับพี่ทวน เขาจะอยู่ฝ่ายไหน”

+ + + + + + + + + + + +

เมินยกสำรับเดินตามทวน ลงมาจากศาลาหลังพระฉันเรียบร้อยแล้ว
“แกก็ต้องอยู่ฝ่ายศรีไพรซี เพราะแกชอบของแปลกอยู่แล้วนี่ วันนี้เขียนหน้าทาปาก นุ่งผ้าซิ่นกับเสื้อลูกไม้ คงค้นออกมาจากหีบของคุณหญิงย่า แบบมันถึงได้ย้อนยุคไปเกือบร้อยปี แล้วไอ้ทรงผม...”
เมินพูดไม่ทันจบ ทอกรีบออกความเห็น
“สงสัยจะเป็นผมปลอมแฮะ ตอนที่นั่งฟังหลวงตาท่านเจริญพรน่ะ เหงื่อไหลซ่กเลย”
หมอกนินทาต่อ...
“แล้วยังคันยุบคันยิบ นั่งไม่ติดที่ สงสัยวิกเก็บไว้นานเหาเลยใช้เป็นที่อยู่ เกิดอะไรขึ้นกับไอ้ศรีไพร ทำไมมันถึงได้กลายเป็นของแปลก”
เมินเสริม...
“ก็เพราะไอ้ทวนเพื่อนเรา มันชอบของแปลก ยิ่งแปลกจนชาวบ้านไม่มีใครกล้าพูดด้วย มันยิ่ง...”
ทวนรีบขัด
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้นี้แกว่าอะไรนะ”
“ชาวบ้าน ไม่มีใครพูดกับไอ้ศรีไพร เออ จริงด้วยว่ะ ชาวบ้านขยับห่างไปเข้า พวกกับเศรษฐีบุญช่วย มันหมายความว่ายังไง พี่ทวน”
“ก็หมายความว่าเศรษฐีบุญช่วย ประกาศสงครามแล้วน่ะซี”

ทวนพึมพำอย่างรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวศรีแพรขึ้นมา

โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
พุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554




กำลังโหลดความคิดเห็น