xs
xsm
sm
md
lg

ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 12

ก้องขับรถพายาหยี ข้าวตู และไข่ตุ๋นมาที่ฟาร์มของเขา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทที่พักนัก โดยมีสุดยอดและเพิร์ลลี่ตามมาด้วย เมื่อทุกคนลงจากรถ ข้าวตู และไข่ตุ๋นตื่นเต้นกันยกใหญ่กับฟาร์มของก้อง ข้าวตูร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น

“โห สวยจังเลยครับ”
“ถ้าชอบ ก็บอกให้น้าหยีพามาบ่อยๆ สิครับ น้าก้องยินดีต้อนรับเสมอนะ” ก้องยิ้มรับ
“เห็นว่าที่บ้านทำธุรกิจอสังหาไม่ใช่เหรอครับ ไม่ยักรู้ว่าทำฟาร์มด้วย” สุดยอดออกอาการหมั่นไส้
“ที่ดินที่บ้านเยอะน่ะครับ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยลองทำฟาร์มดู ตอนแรกก็กะทำเล่นๆ แต่เดี๋ยวนี้สินค้าเกษตรกำไรดี ก็เลยกะว่าจะขยายออกไปอีกน่ะครับ”
สุดยอดฟังแล้วก็หน้าหงิก หมั่นไส้ก้องใจแทบขาด เพิร์ลลี่พูดแทรกขึ้นมา
“แหม พี่ก้องนี่เก่งจังเลยนะคะ ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่างแน่ะ เอ่อ ถ้าไงเชิญพี่ก้องกับคุณหยีตาม
สบายนะคะ” เพิร์ลลี่กอดแขนสุดยอดแน่น “เดี๋ยวเพิร์ลลี่กับพี่สุดยอดเดินเล่นแถวนี้เอง
“ไข่ตุ๋นอยากให้อายอดไปด้วยนี่คะ”
เพิร์ลลี่แอบหมั่นไส้ไข่ตุ๋นที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้สวีทกับสุดยอด
“ใช่ครับ ข้าวตูก็อยากไปกับน้าหยีแล้วก็อายอดไปด้วยกัน”
สุดยอดกับยาหยีมองหน้ากัน ก่อนที่ยาหยีจะหันมาพูดยิ้มแย้มแจ่มใสรับคำหลานๆ
“ถ้าอยากไปก็ไปสิจ๊ะ มาเลย ดูซิว่าที่นี่มีอะไรบ้าง”
ยาหยีจูงเด็กสองคนเลี่ยงไป โดยที่สุดยอดรีบตามไปทันที ในขณะที่เพิร์ลลี่ และก้อง หน้าหงิก ไม่พอใจที่ต้องเกาะกลุ่มแบบนี้ แต่ก็ต้องจำใจตามไป

เวลาต่อมาสุดยอดกำลังเดินเลี่ยงออกมาคนเดียว ด้วยท่าทีหงุดหงิด โมโหหึง
“เดี๋ยวรีดนมวัว เดี๋ยวขี่ม้า เว่อร์ไปเปล่าเนี่ยไอ้คุณหนูเอ๊ย ไม่รวยบ้างให้มันรู้ไปวะ”
สุดยอดโมโหไม่หายหันไปเตะก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆ เป็นการระบายอารมณ์ แต่ไม่ดูให้ดี เลยเผลอไปเหยียบอึวัวเข้าเต็มๆ สุดยอดตกใจมาก
“เฮ้ย อี๋”
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น สุดยอดหันกลับไปมอง เห็นยาหยียืนหัวเราะสะใจอยู่ด้านหลังตน
“ขำมากมั้ย” สุดยอดหน้าบึ้งตึง
“มาก.....” ยาหยีหัวเราะ
สุดยอดเจ็บใจแต่ไม่รู้ทำไง ได้แต่ถอดรองเท้าที่เลอะอึวัวออก แล้วกระโดดขาเดียว เอารองเท้าไปล้างที่ก๊อกน้ำใกล้ๆ สุดยอดหมั่นไส้ก้อง ล้างไปบ่นไป
“แล้วนายไฮโซเจ้าของฟาร์มล่ะ ไม่ตามคุณมาอีกเหรอ ทุกทีเห็นตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋นี่”
“มันเรื่องของฉัน เร็วๆ เถอะน่ะ จะได้ไปดูเค้าสาธิตทำไอศกรีมต่อ เสียเวลาจริงๆ นายอึวัวเอ๊ย”
สุดยอดหมั่นไส้จนทนไม่ไหว เลยแกล้งเปิดน้ำแรงๆแล้วฉีดใส่ยาหยี
“เสียเวลานักใช่มั้ย งั้นก็มาเสียด้วยกันเลย ฮ่าๆๆๆๆ”
“ว๊าย อย่านะ ทุเรศ ฉันอุตส่าห์มาตามนะ ว๊ายๆ” ยาหยีกรี๊ดลั่น
ยิ่งพูดสุดยอดยิ่งฉีดใหญ่ ยาหยีเลยเอาขันที่อยู่ใกล้ๆ ตักน้ำสาด สุดยอดโดนเข้าไปก็เอาคืน แต่ทั้งคู่แกล้งกันไปมากลับมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
สุดยอดกับยาหยีไม่รู้ว่าเพิร์ลลี่เห็นภาพที่ทั้งคู่หยอกล้อกันสนุกสนานเต็มสองตา และก็ยิ่งเกลียดยาหยีมากขึ้นทุกที

รถของณนนท์ กับวสันต์ขับมาถึงวัด ทุกคนทยอยลงจากรถ วัดแห่งนี้ เป็นวัดเล็กๆ เก่าๆ ภายในวัดมีวัว ควายอยู่หลายตัว ที่มีคนไถ่ชีวิตแล้วเอามาเลี้ยงที่นี่
“พระเจ้า! นี่มันวัดหรือป่าช้ากันแน่นี่ วังเวงวิเวกวิโหวงเหวง น่ากลัว แล้วนั่นอะไร มีแต่สัตว์
ประหลาดเต็มไปหมด” ชม้อยเริ่มบ่น
“ที่นี่มันวัดป่านะ ไม่มีความเจริญให้ดูหรอก” บุญเลื่องบอก
“ถ้าอย่างนั้นจะมากันทำไมคะ ไกลก็ไกล เมื่อยก็เมื่อย ร้อนก็ร้อน” ชม้อยบ่นต่อ
“เอ้า! ก็ถ้าจะมาทำบุญ วัดป่าที่คนเข้ามาไม่ถึงแบบนี้แหล่ะดีครับ ได้ผลบุญผลกุศลแรง”
“เชอะ ขนาดความเจริญยังเข้ามาไม่ถึงแล้วบุญจะถึงได้ยังไงมิทราบคะ” ชม้อยเยาะ
“ประทานโทษ บุญนะยะไม่ใช่ไฟฟ้า จะได้โยงมาตามเสาไฟ! พูดกับพวกบัวใต้น้ำ ก็เข้าตำราพูดไป
สองไพเบี้ย ไปทำบุญกันดีกว่าพวกเรา” ยี่หวากับบุญเลื่องเดินไป ณนนท์ตามมาพร้อมเท่ง เอนิตา วสันต์เดินตาม ปล่อยให้ชม้อยบ่นบ้าอยู่คนเดียว
“เชอะ อยากทำก็ทำไป เป็นไข้ป่าตายอย่ามาแจกซองฉันก็แล้วกัน”
ชม้อยออกอาการฟึดฟัด ครั้นกวาดสายตาไปมองโดยรอบเจอวัว ควาย ที่พากันเดินเข้ามาประชิด ชม้อยตกใจร้องลั่น เลยรีบเดินแท๊ดๆ ตามไปอีกคน

บุญเลื่องกับเท่งตรงไปที่กุฏิเพื่อถวายสังฆทาน บนกุฏิมีสังฆทานเตรียมไว้สามชุด บุญเลื่องหยิบหนึ่งชุด เท่งหยิบหนึ่งชุด อีกชุดณนนท์กับยี่หวาหยิบพร้อมกัน จังหวะนั้นมือของทั้งคู่ก็สัมผัสกันโดยบังเอิญ
“คุณก่อนครับ”
“ให้คุณดีกว่าค่ะ”
“ไม่ต้องเถียงกัน ฉันเอาเอง! ไปทำบุญด้วยกันนะคะนนท์” เอนิตาบอก ยี่หวาเดินเลี่ยงออกไป ณน
นท์มองตาม
“ไปสิคะนนท์ พระท่านรอแล้ว” เอนิตาคะยั้ยคะยอ
“คุณไปเถอะ” ณนนท์บอก
“ทำไมกลัวจะมาเกิดร่วมชาติกันอีกหรือไง
“คุณพูดเองนะนิตา ผมไม่ได้พูด”
ณนนท์พูดแล้วเดินเลี่ยงไป ปล่อยเอนิตาถือถังสังฆทานค้าง
“พระท่านรอจะให้ศีลให้พรแล้ว เร็วสิ นิตา” เท่งบอก
เอนิตาจำใจเดินเข้าไปถวายสังฆทาน จังหวะที่เอนิตากำลังจะถวายของ ชม้อยเดินเข้ามาเกาะใบบุญ แตะมือร่วมถวายด้วย เอนิตาทำหน้ารังเกียจ
“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันไม่อยากทำบุญร่วมกับคุณ”
“เอ้าทำไงได้ ก็ของมันหมดนี่!”
เท่งกับบุญเลื่องมองภาพเอนิตากับชม้อยทะเลาะกันก็เลยยิ้ม ขำๆ

ยี่หวาเดินลงมาจากกุฏิ แล้วก็เดินเข้าไปกราบพระในอุโบสถ ขณะที่ยี่หวากำลังกราบพระ ณนนท์เดินตามเข้ามาในอุโบสถ ยี่หวากราบเสร็จก็ลุกขึ้นจะเดินออก ณนนท์เดินมาขวาง
“จะรีบไปตามสามีหรือไงคุณ ห่างกันไม่ได้เลยนะ”
“นี่! ในวัดนะ จะพูดจะจาอะไรให้สำรวมหน่อย แล้วที่ฉันออกไปเพราะฉันไหว้พระเสร็จแล้ว ไม่ได้ไปตามใคร รู้ไว้ซะด้วย”
“ถ้าไม่ได้ไปตามสามีเก่า งั้นก็คงรีบไปโทรศัพท์หาแฟนคนใหม่” ณนนท์หมายถึงทนายภูมิชาย
“แฟนใหม่ ใคร ? คุณเอาอะไรมาพูด”
“คุณภูมิชายไง ถ้าตาไม่บอด ใครดูก็รู้ว่าเค้าชอบคุณ”
“แต่ฉันไม่ได้ชอบเค้า รู้ไว้ด้วย”
“อ้าวเหรอ” ณนนท์มีสีหน้าดีใจ “ผมไม่รู้นี่”
“แล้วทำไมคุณต้องรู้ทุกเรื่องของฉันด้วยล่ะ ว่าแต่คุณเถอะ หนีภรรยามาคุยกับฉันแบบนี้ เดี๋ยวก็เกิดเรื่องหรอก”
“เรื่องอะไร ผมกับนิตาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว”
“อ้าวเหรอ ฉันไม่รู้”
“ก็ผมกำลังบอก ไม่รู้ก็รู้ไว้ซะสิครับ”
ณนนท์จ้องหน้ายี่หวาเหมือนจะบอกเป็นความนัย ยี่หวารู้สึกประหม่าๆ ที่ถูกจ้องด้วยสายตาอย่าง
นั้น

ระหว่างนั้นที่ด้านนอกอุโบสถวสันต์กับเอนิตาเดินมาด้วยกัน เอนิตาชะงักเมื่อเห็นณนนท์คุยกับยี่หวา
“แอบมาอยู่กับเมียคุณอีกแล้วนะ” เอนิตาพูดกับวสันต์
เอนิตาจะเดินเข้าไปจัดการแต่วสันต์ขวางไว้
“มาจับฉันไว้ทำไม ฉันจะเข้าไปจัดการ”
“ไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่เห็นเหรอเวลานี้เขาสองคนรู้สึกดีต่อกันขนาดไหน ดูสายตาที่เค้า
สองคนมองกันสิ” วสันต์บอก
“ฉันถึงต้องไปจัดการไงล่ะ คุณเป็นผัวภาษาอะไรปล่อยให้เมียคุณสวมเขาต่อหน้าต่อตาเนี่ยนะ”
“เขาสวมเราฝ่ายเดียวหรือไงล่ะ อย่าลืมสิ เราสองคนก็เคยสวมเขาให้พวกเขามาแล้ว” วสันต์เย้ย
“ไม่ต้องมาตอกย้ำ ฉันอยากรู้ว่าคุณจะเอายังไง คุณจะปล่อยให้สองคนนั่นรักกัน แล้วทิ้งให้เราสองคนเป็นม่ายงั้นเหรอ”
“ผมไม่ยอมหรอก ตราบใดที่ผมยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ”
“ฉันก็ไม่ยอมให้ใครมาแย่งของๆ ฉันไปเหมือนกัน”
“งั้นเราสองคนต้องร่วมมือกัน คุณว่าไง?” วสันต์ว่าขึ้น
“จะให้ฉันทำอะไร ฉันทำได้ทุกอย่าง ขออย่างเดียว อย่าให้สองคนนี้ลงเอยกันได้ก็พอ!”
เอนิตาพูดอย่างเคียดแค้น

ด้านชม้อยเดินตากแดดตามหาวสันต์ไปทั่ววัด แดดร้อนก็ยิ่งหงุดหงิดชม้อยมองไปรอบๆ
“วัดเล็กๆทำไมหาไม่เจอซะทีเนี่ย อุ๊ย ทั้งเมียเก่า กิ๊กใหม่ นี่ถ้าไม่ติดว่ารวยนะ ผู้ชายพรรค์นี้ไม่อย่างยุ่งเลยจริงจิ๊ง”
เท่งเดินถือร่มเข้ามาหาชม้อย
“เดินตากแดดอย่างงี้ ไม่ร้อนเหรอคุณ”
“ร้อนสิ ถามได้” ชม้อยหงุดหงิด
“งั้นเอาร่มมั้ย แดดมันแรง เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ” เท่งยื่นร่มให้
ชม้อยยิ้มอย่างพอใจ รับร่มมา “ขอบใจมากนะ ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย”
เท่งเดินเลี่ยงไป ไม่พูดอะไรมาก ชม้อยกางร่มออกเพื่อกันแดด ปรากฏว่าร่มคันนี้สีแดงแป๊ดสุดๆ
ควายที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ พอเห็นร่มสีแดง ก็หันมาจ้องตาเป็นมัน ชม้อยกางร่มเดินตามหาวสันต์ต่อ
ชม้อยอารมณ์ดี “ค่อยยังชั่ว ทีนี้แหละคุณวสันต์ จะหนีฉันไปไหนพ้น” ทันใดนั้นควายก็ร้องลั่น แล้ววิ่งไล่ขวิดชม้อยทันที
ชม้อยได้ยินเสียงแปลกๆ หันกลับมาเห็นควายไล่ขวิดก็ตกใจ แหกปากร้องลั่น วิ่งหนีไปทันที
ยิ่งกางร่มวิ่งหนี ควายก็ยิ่งไล่ขวิดไม่ลดละ
เท่ง กับบุญเลื่องที่พากันแอบดูอยู่ หัวเราะคิกคัก แล้วตบมือกันด้วยความสะใจ

ค่ำวันเดียวกันนั้นชม้อยเดินหัวกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม กลับเข้ามาที่ด้านหลังรีสอร์ท
“ไอ้ควายบ้า จะไปไหนก็ไม่ไปเฝ้าฉันอยู่นั่นแหละ ไอ้พวกคนที่ไปด้วยก็บ้าบ้าๆๆ ทิ้งกันได้ลงคอ”
ชม้อยก็เดินตุปัดตุเป๋อารมณ์เสียกลับห้อง แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน ชม้อยชะงักแอบดู
“คุณแน่ใจเหรอว่าจะสำเร็จ” เอนิตาถามขึ้น
“โธ่คุณ ผู้หญิงร้อยทั้งร้อย ถ้าสามีกลับไปทำหน้าที่ เป็นหายงอนทุกคนแหละ อยู่ที่คุณ” วสันต์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ว่าจะพาสามีคุณมาดูฉากเลิฟซีนของผมกับยี่หวาได้ตามเวลาเป๊ะๆรึเปล่า เค้าจะได้เลิกยุ่งกับเมียผมซะที”
เอนิตายิ้มอย่างร้ายๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ เรื่องแค่นี้ไม่มีพลาด คุณจะให้ฉันทำอะไรก็บอกมาเหอะ”
วสันต์ กับเอนิตา พูดคุยซักซ้อมแผนกัน โดยมีชม้อยคอยเงี่ยหูฟัง และได้ยินทั้งหมด

ภายในห้องอาหารรีสอร์ทณนนท์เริ่มเล่นกีต้าร์เป็นบทเพลงสุนทราภรณ์ เป็นเพลงจังหวะลีลาศยอดนิยม
“ครั่นครื้น ดั่งเพลงสวรรค์ วิมานคนธรรพ์ลั่นฟ้ามาใกล้ เทพบุตรนางฟ้าไทย โอบกอดกันพลิ้วไป พลิ้วไปพร้อมกับเสียงเพลง สุขคร้าน ผ่านฟลอร์ เฟื่องฟ้า ร้อนแรงลีลาที่ล้าและเร่ง ปลื้มดื่มด่ำตามเสียงเพลง สนุกกันครื้นเครง เพราะรสประเลง ปลุกใจ...”
ข้าวตู ไข่ตุ๋นออกไปเต้นลีลาศกัน ไม่ค่อยเข้าจังหวะ ไม่ถูกต้องเพราะแค่เลียนแบบปู่ ยายเท่านั้น แต่ก็ดูน่ารักแบบเด็กๆ
สุดยอดกับยาหยี มองดูหลานๆ แล้วก็หัวเราะ ก่อนจะหันมามองกันแบบเขินๆ ในขณะที่ณนนท์ร้องเพลงไป สบตายี่หวาไป ต่างคนต่างมองกัน

ครู่ต่อมาเอนิตานัดยี่หวาออกมาด้านนอก ทั้งคู่มาคุยกันในที่ลับตา
“พูดธุระสำคัญของเธอมาสิ”
“จะใจร้อนไปไหน ห่างสามีฉันสักนาทีไม่ได้เลยหรือไง”
“เธอเรียกฉันออกมาหาเรื่องแค่นี้เองเหรอ ฉันกลับนะ”
ยี่หวาหันหลังกลับแต่เอนิตาคว้าแขนเอาไว้
“เดี๋ยวสิ ฉันมีเรื่องเดือดร้อน อยากขอความช่วยเหลือ” เอนิตาบอก
“คนเก่งอย่างเธอยังต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นอีกเหรอ อีกอย่างฉันก็เป็นแค่ผู้หญิง
ธรรมดาๆคนหนึ่ง จะไปช่วยอะไรเธอได้”
เอนิตาเสียงเข้ม “ปัญหาของฉัน มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่จะช่วยได้!” เอนิตาเปลี่ยนเสียงเป็นอ้อนๆ “มี
ยาปวดประจำเดือนมั้ย ฉันปวดมากจนจะทนไม่ไหวแล้ว”
ยี่หวาได้ฟังถึงกับทำหน้าระอา
“ที่แท้ก็เรื่องแค่นี้เอง รอเดี๋ยวก็แล้วกัน ฉันมียาเดี๋ยวไปเอาให้”
ยี่หวาเดินจากไป เอนิตายิ้มร้าย ในที่สุดก็เป็นไปตามแผน

ทางด้านวสันต์ รออยู่ในห้องจิบไวน์รอ จนกรึ่มได้ที่
“รับรองคราวนี้คุณต้องใจอ่อน ยอมผมทุกอย่างแน่!”
พูดจบวสันต์ก็โด๊ปชุดใหญ่ ทั้งไข่ลวก, เอ็มซิงค์, หอยนางรม ที่สั่งมาจากห้องอาหาร โดยไม่รู้ว่าที่หน้าห้อง ชม้อยแอบอยู่ เตรียมขัดขวางแผนการเต็มที่
“หนอย! ฉันไม่ยอมให้แผนเจาะไข่แดง ไม่ใช่สิรอบสองต้องเรียกไข่เค็ม! สำเร็จหรอก จะขัดขวางให้
ถึงที่สุด”
ชม้อยสะดุดไปชนประตูเสียงดัง ขณะที่วสันต์ได้ยินเสียงคนเคาะประตูเรียก
“มาแล้วเหรอ เดี๋ยวเธอก็รู้ว่ายังไงชีวิตนี้เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก”
วสันต์ดับไฟจนมืด วิ่งไปเปิดประตู ยังไม่ทันที่คนหน้าห้องจะพูดอะไร วสันต์ก็ปิดปาก ตุ๊ยท้อง ลาก
เข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว”
เวลาเดียวกันนั้นยี่หวาเดินมาที่ลานจอดรถ เปิดประตูรถหยิบยาแก้ปวดที่เก็บไว้ที่ช่องเก็บของ ก่อนเดินไป

ในความมืด วสันต์กำลังปลุกปล้ำชม้อยอย่างเต็มแรง ชม้อยดิ้นพราดๆ มือไปโดนสวิทช์ไฟตรงหัวเตียง ไฟเลยสว่างขึ้น วสันต์กำลังปลุกปล้ำอย่างเมามันส์อยู่ แต่พอเห็นหน้าชม้อยชัดๆก็ตกใจสุดๆ
วสันต์ตกใจสุดๆ ผงะออกมา “เฮ้ย!!! เข้ามาได้ยังเนี่ย”
“อ้าว คุณกระชากฉันเข้ามาเอง ฉันสิต้องเป็นฝ่ายโวยวาย”
พอนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองจูบชม้อยไปหลายฟอด วสันต์ก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออ้วกทันที
ชม้อยลุกขึ้น อารมณ์เริ่มเตลิด เพราะถูกวสันต์บิวท์จนเครื่องติด ชม้อยทำตาปรือ เดินย่างย้วยท่าทางเซ็กซี่เข้าไปหา วสันต์หันกลับมา เห็นชม้อยยืนโพสท่าเซ็กซี่ ก็ตกใจขวัญผวา
ชม้อยเดินเข้ามาโอบคอวสันต์ ส่งสายตาปิ๊งๆ
“มามะ เรามาสานต่อให้จบกันดีกว่า”
ชม้อยเหวี่ยงตัววสันต์ออกจากห้องน้ำทันที
เวลานั้นที่หน้าห้อง ณนนท์กำลังเคาะประตูด้วยความร้อนใจเพราะเป็นห่วงยี่หวา
“ยี่หวาๆ คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
เอนิตาเดินยิ้มสะใจตามมา
“มีมารยาทหน่อยสิคะนนท์ คนเค้ากำลังมีความสุขกัน หัดเกรงอกเกรงใจกันบ้าง”
ห้วงเวลาเดียวกันนั้นยี่หวาก็เดินถือยามาที่ห้อง มีอาการงงๆ ที่เห็นณนนท์และเอนิตายืนอยู่หน้าห้องตัวเอง ยี่หวาเดินเข้ามายื่นยาให้เอนิตา
“อ่ะ ยาเธอ ว่าแต่พวกคุณมีอะไรกันมาอยู่หน้าห้องฉันทำไมเนี่ย”
ว่าแล้วยี่หวารีบไขประตูห้องเข้าไป รีบเปิดไฟทันที ทั้งสามคนสะดุ้งตกใจ ปากอ้าตาค้าง ที่เห็นชม้อยกำลังปล้ำวสันต์อยู่อย่างเมามันส์
ครู่ต่อมายี่หวาถามวสันต์ที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว แต่นั่งก้มหน้าอยู่ ขณะที่ชม้อยแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ณนนท์กับเอนิตายืนอึ้งอยู่มุมหนึ่ง
“นี่มันเรื่องอะไรกันวสันต์ แล้ว….”
ยี่หวาชี้ไปที่ชม้อย เพราะยิ่งงงหนัก ชม้อยพูดแทรกขึ้นแฉเรื่องทุกอย่าง
“ผัวเก่าเธอน่ะวางแผนจะคืนดีโดยให้ยัยนี่” ชม้อยชี้ไปที่เอนิตา “เป็นผู้ช่วย ฉันผ่านมาได้ยินแผนพอดีก็เลยเสนอตัวเข้ามาช่วย เรื่องก็มีแค่นี้แหละ ที่เหลือไปเคลียร์กันเองก็แล้วกัน” พลางหันไปพูดกับวสันต์ “ไปก่อนนะดาหลิง”
ชม้อยทิ้งระเบิดแล้วเดินเชิดออกจากห้องไป
“ฉันไม่คิดเลยนะว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้” ยี่หวาต่อว่าสามี
วสันต์อายจนพูดไม่ออกสักคำ ณนนท์ที่ยืนอยู่กับเอนิตา หันไปมองหน้าเอนิตา หน้าตาเอาเรื่อง
“ผมก็ผิดหวังในตัวคุณเหมือนกัน เอนิตา”
“ฉันเปล่า ทั้งหมดเป็นแผนของเขา” เอนิตาชี้ไปที่วสันต์ “เขาบังคับให้ฉันช่วย ฉันไม่เกี่ยว
อะไรด้วย” เอนิตาเอาตัวรอดคนเดียว
“อ้าวคุณ ไหงพูดงั้นล่ะ เรื่องชั่วๆ แบบนี้ผมทำได้แต่คิดไม่ได้หรอก คุณต่างหากที่เป็นคนวางแผนทั้งหมด” วสันต์แฉคืน เอนิตาแก้ตัวพัลวัน
“ฉันปล่าวนะ”
วสันต์กับเอนิตาเถียงไม่ยอมกัน
“พอได้แล้ว คุณออกไปจากห้องฉันได้แล้ว” ยี่หวาร้องตะโกนขึ้นมา
“ยี่หวา!” วสันต์ทำเสียงอ้อน
“ยังไม่ออกไปอีก ฉันไม่อยากโวยวายเพราะฉันไม่อยากให้ข้าวตูรู้วีรกรรมเลวๆ ของคุณ ฉันจะถือ
ว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น พรุ่งนี้เราต่างคนต่างกลับกรุงเทพฯ” ยี่หวาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ณนนท์หันมาพูดน้ำเสียงเบาๆ กับเอนิตา
“แหม น่าจะแจ้งความข้อหาบุกรุกด้วยนะ ผมจะได้เพิ่มข้อหาสมรู้ร่วมคิดเข้าไปอีกคน”
เอนิตาทำตาขวางใส่ณนนท์ อย่างไม่พอใจ

สามวันต่อมา ที่สนามเด็กเล่นอนุบาลเด็กดี ข้าวตูกำลังวอร์มอัพ เหยียดแขนเหยียดขา หน้าตามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังสุดๆ
“เอาล่ะนะ”
“เอาเลย ข้าวตูสู้ๆ ทำให้ได้นะ”
เด็กหญิงน้ำและกองเชียร์เพื่อนผู้หญิงให้กำลังใจข้าวตูอยู่ข้างๆ ข้าวตูพยักหน้ารับ เขี่ยเท้าไปด้านหลังสองทีเตรียมตัววิ่ง ด้านหน้าคือเด็กหญิงสองคนถือหนังยางเรี่ยพื้นอยู่คนละฝั่ง ที่แท้กลุ่มของเด็กหญิงน้ำกำลังสอนข้าวตูเล่นกระโดดหนังยาง!!

ข้าวตูวิ่งกระโจนเข้าไป เด็กหญิงสองคนยกหนังยางแกว่งขึ้น ข้าวตูพลาดกระโดดไม่ผ่านแถมล้มก้นจ้ำเบ้าเด็กหญิงร้องเย้ๆ ตบมือกันสนุกสนาน
“ไม่เป็นไรนะข้าวตู เดี๋ยวลองใหม่ ข้าวตูทำได้อยู่แล้ว” เด็กหญิงน้ำให้กำลังใจข้าวตู พลางยื่นมือส่งมาให้ ข้าวตูจับอย่างแน่นแล้วลุกขึ้น
“น้ำกับข้าวตูรีบมาจับหนังยางสิ ต่อไปตาพวกเราแล้ว” เด็กหญิงอีกคนบอก
จังหวะนั้นก็มีเสียงดังแทรกขึ้นมา “ไม่ต้องจับจะจับทำไม!”
ทุกคนตกใจหันไปเห็นกังฟูถือลูกฟุตบอลพร้อมกลุ่มเพื่อนผู้ชายเดินอาดๆ มา
“เลิกเล่นกันได้แล้ว เกะกะพวกเราจะเตะบอล”
“แต่พวกเราเล่นกันอยู่ก่อน พวกนายไปเล่นที่อื่นสิ” ข้าวตูบอก
กังฟูเดินไปผลักอกข้าวตู “ไม่เอาจะเล่นตรงเนี้ย มีอะไรมั้ย?”
ข้าวตูทำท่าจะสู้ แต่ถูกเด็กผู้ชายเพื่อนของกังฟูเบ่งกล้ามเล็กๆ ใส่ กังฟูทำยืด ไม่กลัว
“อยากโดนรุมก็เข้ามาสิ” กังฟูพูดแบบเบ่งเต็มที่
“เราจะฟ้องครูปราณี กังฟูเกเร นิสัยไม่ดี” เด็กหญิงน้ำพูดขึ้น พร้อมกับหันหลังจะไปฟ้องครูปราณี แต่ถูกไข่ตุ๋นมาหยุดเอาไว้
“น้ำ เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ชาย ให้ข้าวตูเคลียร์กับกังฟูเอาเอง”
“ถูกต้องแล้วคร๊าบบ... เอาอย่างนี้ นี่เป็นสนามฟุตบอลถ้านายอยากได้สนามคืนก็เตะบอลให้ชนะพวกเราดิ ฮ่าๆ จ้างให้ก็ทำไม่ได้ งั้นก็อดเล่น อดเล่นๆๆๆ”
กังฟูพูดพร้อมกับล้อเลียน ยั่วโมโห ข้าวตูกำมือแน่น โกรธจัดแต่ทำอะไรไม่ได้ ไข่ตุ๋นออกรับแทนข้าวตู
“ข้าวตูแข่งบอลกับกังฟูก็ด้าย ถ้าแพ้กังฟูอย่าผิดสัญญาก็แล้วกันไม่งั้นเราจะถือว่ากังฟูไม่ใช่
ลูกผู้ชาย”
“ได้เลย … เตะบอลให้ชนะก็แล้วกัน พวกเรา! ลงสนาม สนามของพวกเราแล้ว เย้ๆๆ”
พูดจบกังฟูและเพื่อนๆ ลงไปเตะบอลทำเหมือนเจ้าของสนาม
“ไข่ตุ๋นบอกกังฟูอย่างนั้นทำไม ข้าวตูเตะบอลไม่เป็น” ข้าวตูครวญ
“ไม่เป็นก็หัดสิ ผู้ชายแต่เตะบอลไม่เป็นรู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“แล้วจะหัดยังไง?”
“จิ๊บๆ พ่อไข่ตุ๋นเตะบอลเก่งที่สุดในโลก ไข่ตุ๋นจะบอกพ่อสอนข้าวตูให้”
“จริงนะ ไข่ตุ๋น”

ข้าวตู ออกอาการดีใจมากๆ 

อ่านต่อหน้า 2










ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 12 (ต่อ)

ภายในร้านอาหารของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ณนนท์กำลังเสนองานกับคุณเสริฐลูกค้าเจ้าของขนมทอมทั้ม โดยรับประทานอาหารกันไปด้วย

“ผมรับรองว่างานเปิดตัวขนมอบกรอบตัวใหม่ของคุณ ดังแน่ครับคุณเสริฐ อย่างน้อยสื่อจากการประกวดหาพรีเซนเตอร์เด็กที่ออกไปก็ทำให้คนจำชื่อขนม ‘ทอมทั้ม’ ของเราได้”
“แต่ผมยังอยากใช้ดาราอยู่นะเพราะว่าจำง่ายดี แทนที่จะจัดโครงการค้นหาพรีเซนเตอร์เด็กแบบนี้”
“ดาราก็ได้แต่กระแสครับ พอหมดกระแสคนก็ลืม เราทำเป็นโครงการให้เด็กๆ มาแสดงความสามารถแบบนี้ดีกว่า เพราะทาเก็ตกรุ๊ปของเราเป็นกลุ่มเด็กๆ ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ภาพลักษณ์ที่ดีด้วย” ณนนท์ย้ำไอเดียของเขา
“โอเค งั้นตามนั้น! เงินรางวัลที่คุณเสนอมาเท่าไหร่นะ”
“ที่หนึ่งสามแสน ที่สองสองแสน ที่สามหนึ่งแสนตามลำดับครับ”
จังหวะนั้น เอนิตาเดินเข้ามาในร้านเพื่อมาหาณนนท์ได้ยินเข้าพอดี
“งั้นคุณดำเนินการได้เลย ฝากด้วยนะ ผมต้องรีบไปประชุมต่อแล้ว”
“ครับ สวัสดีครับ”
คล้อยหลังลูกค้าเดินไป เอนิตาเข้าไปหาณนนท์ทันที

เอนิตาซึ่งได้ยินตัวเลขเงินรางวัล พยายามอ้อนณนนท์ขอส่งไข่ตุ๋นลงประกวดครั้งนี้ แต่ณนนท์ไม่ยอมท่าเดียว
“นะ นนท์นะให้ฉันส่งไข่ตุ๋นเข้าประกวดเถอะนะ คุณก็รู้ฉันเคยเทรน์เด็กโครงการ คิด ซุปเปอร์สตาร์มาแล้ว ฉันเทรน์ยัยไข่ตุ๋นได้” เอนิตายกเหตุผลอื่นมาอ้าง
“แต่ผมไม่อนุญาติ อะไร?? พ่อเป็นคนจัดงาน แล้วส่งลูกตัวเองเข้ามาประกวดเอาอะไรคิดเนี่ย ผม
มืออาชีพนะครับ ไม่ได้ทำอุตสาหกรรมภายในครัวเรือน”
“แหม เดี๋ยวนี้ อะไรๆ มันก็จัดตั้งกันได้ทั้งนั้นแหละ ดีซะอีกฉันจะได้ไม่ต้องมากวนเงินคุณบ่อยๆ ไง”
“ตามใจ ถ้าคุณโลภอยากได้เงินก็ไปหาเด็กคนอื่นมาปั้นแทนแล้วกัน แต่ผมขอบอกไว้ก่อน ต้อง
ไม่ใช่ไข่ตุ๋น ไม่งั้นผมเอาเรื่องคุณแน่!”
พูดแค่นั้นณนนท์ก็เดินไป เอนิตาฟึดฟัด อย่างไม่พอใจ
“ประสาท! แล้วฉันจะไปหาเด็กที่ไหน?”
เอนิตาฟึดฟัดก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

วันต่อมาเอนิตาก็พาตัวเองมาชะเง้ออยู่หน้าโรงเรียนอนุบาลเด็กดี ไข่ตุ๋นดีใจวิ่งไปหาไปกอด เพราะนึกว่าแม่มารับตัวเอง
“ทำไมวันนี้แม่มาเร็วจังคะ”
เอนิตาไม่ตอบ เดินดุ่ยเข้าไปข้างในโรงเรียน สอดส่ายสายตามองหา ไข่ตุ๋นยังวิ่งเข้าไปเกาะอย่างไร้เดียงสา
“แม่มองหาอะไรคะ ไข่ตุ๋นอยู่นี่ไง”
“อย่าเพิ่งมายุ่งได้มั้ยลูก แม่กำลังยุ่ง”
“นี่แม่ไม่ได้มาหาไข่ตุ๋นหรอกเหรอ”
“ใช่ แม่มาธุระ!” เอนิตานึกขึ้นได้ “เออนี่ไข่ตุ๋นมีเพื่อนที่มีความสามาถเป็นเด็กเก่งๆ มั่งมั้ย”
“ก็ไข่ตุ๋นนี่ไง ใครๆก็ชมว่าไข่ตุ๋นเก่งทั้งนั้น”
จังหวะนั้นเองเสียงร้องแบบชื่นชมของกลุ่มเด็กๆ และผู้ปกครองดังขึ้นมาอีกฟากหนึ่ง
“นั่นอะไร” เอนิตาถามลูกสาว
“อ๋อ กังฟูกำลังสอนเพื่อนๆ รำมวยไทยเก๊กอยู่ค่ะ”
เอนิตามองไปก็เห็นเด็กชายกังฟูกำลังรำไทเก๊ก เป็นกระบวนท่าต่างๆ เรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆ ที่ดูอยู่ เอนิตาถึงกับตาลุกวาว ปิ๊งไอเดีย
“อุ๊ย น่าสนใจ เด็กเก่งแบบนี้นแหล่ะที่ฉันจะส่งเข้าประกวด”
“ประกวดอะไรคะ แบบนี้ไข่ตุ๋นก็ทำได้เหมือนกันแหล่ะ ทำไมแม่ไม่ส่งไข่ตุ๋นเข้าประกวดบ้างล่ะ”
“อยากรู้ก็ไปถามพ่อเอาเองก็แล้วกัน รออยู่ก่อนนะเดี๋ยวแม่มา”
เอนิตาถลาเข้าไปหากังฟู คุยกับแม่กังฟูแบบชื่นชมสารพัด ไข่ตุ๋นคอตก ไม่เข้าใจทำไมแม่ไม่เห็นความสำคัญของตน

พอกลับจากโรงเรียน ค่ำนั้นไข่ตุ๋นก็ทำท่าเลียนแบบเอนิตาให้เท่งกับสุดยอดดู แบบน้อยใจไข่ตุ๋นชูนิ้วโป้งดัดเสียงเลียนคำพูดผู้เป็นแม่
“เก่งมากเลยค่ะ ทำได้ยังไงคะ เด็กอัจฉริยะมาเกิดหรือเปล่าเนี่ย...”
แอ๊บแบ๊วเลียนท่าทางเอนิตาให้ปู่กับน้าดูเสร็จไข่ตุ๋นก็ทำหน้าเซ็งๆ
“แม่เขาชมก็ดีแล้วนี่ลูก” เท่งบอกหลาน
“ชมไข่ตุ๋นซะที่ไหนคะ แม่ชมคนอื่นต่างหาก”
“อ้าว ไหงเป็นงั้นล่ะ ไข่ตุ๋น” สุดยอดกับเท่งงง
“เฮ้อ! ไข่ตุ๋นจะต้องทำยังไงน้า แม่ถึงจะชมไข่ตุ๋นแบบนี้บ้าง”
เท่งกับสุดยอดมองอย่างเห็นใจ
เวลานั้นณนนท์กลับมาจากทำงานเดินเข้ามาในบ้านพอดี
“โน่นไง พ่อมาแล้ว มีอะไรจะถามพ่อเค้าไม่ใช่เหรอ” เท่งบอก
ไข่ตุ๋นมองณนนท์อย่างเซ็งๆ แล้วเบือนหน้าหนีไป
“งอนอะไรอีกล่ะลูก ใครทำอะไรให้ไข่ตุ๋นของพ่อไม่พอใจ อายอดเหรอมาเดี๋ยวพ่อจัดการให้”
แล้วณนนท์ก็ทำตลกเดินเข้าไปเล่นงานสุดยอด
“แกล้งหลานอีกแล้วเหรอเจ้ายอด เดี๋ยวปั๊ด...”
“คุณพ่อนั่นแหล่ะค่ะ”
ไข่ตุ๋นโพล่งขึ้น ณนนท์ชะงัก งานเข้าเต็มๆ
“อ้าว พ่อเกี่ยวอะไรด้วย ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“คุณพ่อโกหก วันนี้คุณแม่มาที่โรงเรียน มาเอากังฟูไปเข้าประกวด แล้วทำไมไม่ใช่ไข่ตุ๋น ทำไมล่ะ
คะพ่อ”
ณนนท์ฟังแล้วก็ถอนหายใจพึมพำเบาๆ “หาเรื่องอีกแล้วนิตา”
“คุณพ่อคิดว่าไข่ตุ๋นเก่งสู้คนอื่นไม่ได้หรือไง ถึงไม่ยอมให้เข้าประกวด”
“ไม่ใช่อย่างนั้นลูก พ่ออยากให้ใครว่าได้ ลองคิดดูสิว่าถ้าพ่อจัดงาน ไข่ตุ๋นมาประกวดแล้วไข่ตุ๋นเกิด
ชนะขึ้นมา คนอื่นเขาจะคิดยังไง”
“ก็ช่างคนอื่นสิ คุณพ่อไม่ใช่ ‘เปาบุ้นจิ้น’ ซะหน่อย” ไข่ตุ๋นแย้งประสาเด็ก
“ไข่ตุ๋นยังเด็ก ไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อพูดหรอก เอาเป็นว่ายังไงพ่อก็ไม่ให้ไข่ตุ๋นลงประกวด”
“ไข่ตุ๋นโกรธพ่อแล้ว!”
ไข่ตุ๋นวิ่งขึ้นบ้านไป ณนนท์ร้องเรียกก็ไม่ฟัง
“ปล่อยเขาไปก่อนเถอะลูก” เท่งบอก
“เด็กก็เป็นอย่างนี้แหล่ะครับ พี่อย่าคิดมากเลย พรุ่งนี้ก็ลืมแล้ว”
ฟังน้องชายปลอบณนนท์กลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้ายังกลุ้ม

เช้าวันรุ่งขึ้นณนนท์ขับรถมาส่งไข่ตุ๋นที่โรงเรียนตามปรกติ เทียบรถเข้าจอด ไข่ตุ๋นเปิดประตูลงมา หน้าตาบึ้งตึง
“ไข่ตุ๋น ลืมอะไรหรือเปล่าลูก”
ไข่ตุ๋นเข้ามาหอมแก้มณนนท์แบบขอไปทีจนณนนท์รู้สึกได้ถึงความผิดสังเกตุ
“วันนี้ไข่ตุ๋นของพ่อเป็นอะไรน้า”
ไข่ตุ๋นยังเชิดหน้า
“อย่าทำอย่างนี้สิครับ ไข่ตุ๋นไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยนะ”
ไข่ตุ๋นมองณนนท์แบบงอนๆ
“ไหนบอกพ่อมาสิทำไมเราถึงอยากประกวดนัก” ณนนท์ถามลูกสาว
“ก็ไข่ตุ๋นอยากให้แม่รัก” ทำท่าเบ้ปาก “พ่อไม่รู้หรอกว่าคนที่แม่ไม่รักมันเป็นยังไง ตอนนี้แม่เอาใจ
แต่กังฟู อีกหน่อยก็ลืมไข่ตุ๋นแล้ว”
ไข่ตุ๋นพูดพลางน้ำตารื้นขึ้นมา สะอื้นเสียใจ ใช้มือน้อยๆ ปาดน้ำตาอย่างเดียงสา
“เอาล่ะๆ” ณนนท์ซับน้ำตาลูก “ถ้าไข่ตุ๋นคิดว่าการประกวดครั้งนี้จะทำให้แม่รักไข่ตุ๋น งั้นพ่อยอม โอเคมั้ย?”
ไข่ตุ๋นฟังพ่อว่าอย่างนั้นก็เริงร่าขึ้นมาทันที
“จริงเหรอคะ”
“จริง แต่งานนี้ไม่มีใครช่วยไข่ตุ๋นนะ พ่อกับแม่ก็ช่วยไม่ได้ ไข่ตุ๋นจะโชว์อะไร แล้วใครจะช่วยซ้อม” ณนนท์พูดอย่างเป็นห่วง
“เรื่องนั้นมันต้องห่วงค่ะพ่อ ไข่ตุ๋นคิดไว้แล้ว”
ไข่ตุ๋นพูดจบก็ทำยักคิ้วหลิ่วตาแบบมั่นใจสุดๆ

ไม่นานหลังจากนั้น ยี่หวาเดินจูงข้าวตูมาส่งที่หน้าประตูโรงเรียน ไข่ตุ๋นนั่งรออยู่นานแล้ว พอหันมาเห็นเข้าก็เรียกเสียงดัง
“น้ายี่หวา ไข่ตุ๋นมีข่าวดีมาบอกค่ะ”
“ข่าวอะไร ทำไมไม่บอกเราล่ะ มาบอกแม่เราทำไม”
“มันเรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็กซะหน่อย”
“โห ไม่เจอกันวันเดียว โตเป็นผู้ใหญ่เลยเหรอ”
ยี่หวาเห็นท่าไม่ดีจึงชิงถามขึ้นมา “เรื่องอะไร ไหนว่ามาซิ”
“คุณพ่ออนุญาตให้ไข่ตุ๋นเข้าประกวดแล้วค่ะ”
“อ้าวเหรอ ดีใจด้วยนะจ๊ะ” ยี่หวายิ้มๆ
“แต่ไข่ตุ๋นยังไม่รู้เลยว่าจะแสดงอะไรดี น้ายี่หวาช่วยสอนหน่อยได้มั้ยคะ?”
“เราสอนให้ก็ได้” ข้าวตูอาสา
ไข่ตุ๋นหันมามองหน้าแบบไม่พอใจ
“จุ้น บอกแล้วไงเรื่องของผู้ใหญ่” หันไปพูดกับยี่หวา “ไข่ตุ๋นอยากชนะ แม่จะได้เห็นว่าไข่ตุ๋นมีความสามารถแล้วก็จะได้รักไข่ตุ๋นมากกว่ากังฟู น้ายี่หวาช่วยไข่ตุ๋นหน่อยนะคะ นะคะ”
ไข่ตุ๋นออดอ้อน จนยี่หวาชักลังเล
“ไข่ตุ๋นอยากให้แม่รัก คุณแม่ช่วยไข่ตุ๋นเถอะนะครับ” ข้าวตูช่วยอ้อน
“ก็ได้จ้ะ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าน้ายี่หวาดุมาก ไข่ตุ๋นต้องห้ามเกเร ขี้เกียจซ้อมเด็ดขาด โอเคมั้ย?”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ไข่ตุ๋นจะสู้เต็มที่ สู้เพื่อแม่ไงคะ”
ยี่หวากับข้าวตูยิ้มสนุกไปกับมุกของไข่ตุ๋น

มุมรับแขกภายในออฟฟิศของคุณเสริฐเจ้าของผลิตภัณฑ์ขนมทอมทั้ม ณนนท์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นคุณเสริฐเดินเข้ามาณนนท์ตรงเข้าไปหา
“ว่าไง มีธุระด่วนอะไรถึงมาดักรอผมแต่เช้าเชียว” คุณเสริฐทัก ณนนท์อึกอัก เกรงใจ
“คือว่าผมจะขออนุญาตถอนตัวจากการเป็นผู้จัดงานครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะ เราคุยรายละเอียดกันเรียบร้อยแล้วนี่ คุณเองก็พรีเซนต์ซะดิบดีแล้วจู่ๆ จะมาถอน
ตัวทำไม หรือว่าไม่มีเด็กสนใจมาประกวด” คุณเสริฐแปลกใจ
“ไม่ใช่หรอกครับ เด็กที่ส่งใบสมัครเข้ามาน่ะเยอะ แต่ติดปัญหาตรงที่ลูกสาวผมก็อยากจะประกวด
ด้วย ผมปฏิเสธแกไม่ได้จริงๆ กลัวแกจะเสียใจ ผมก็เลย...”
ณนนท์ไม่ทันอธิบายจบคุณเสริฐก็พูดขึ้น
“โธ่เอ๊ย! นึกว่าอะไร มันเรื่องเล็กมาก” พลางเข้าตบไหล่ “อย่าคิดมากสิคุณ ถ้าลูกคุณนนท์มี
ความสามารถจริงๆ เอามาเลย ผมยินดี อย่าไปปิดโอกาสเขาเพียงเพราะเขาเป็นลูกคุณสิ”
“จะดีเหรอครับ แต่ผมกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเวทีเราไม่เป็นธรรมน” ณนนท์ยังเป็นกังวล
“ไม่เกี่ยวกันหรอก คิดมาก นี่มันเรื่องของเด็กแท้ๆ เงินรางวัลตั้งเอาไว้ ใครเก่งก็มาเอาไป ผม
ไม่คิดมาก คุณตั้งใจจัดงานออกมาให้ดี เท่านี้ผมก็พอใจแล้ว”
ฟังที่คุณเสริฐบอกณนนท์ก็โล่งใจ รู้สึกดีขึ้น

วัลลภากับวสันต์นั่งดูข่าวภาคค่ำ ขณะนั้นผู้สื่อข่าวกำลังรายงานข่าวภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น
“โธ! ดูแล้วก็สงสารเนอะลูก ภัยธรรมชาติ พัดทุกอย่างไปหมดเกลี้ยงเลย”
โดยไม่คาดฝัน! มีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในบ้านวัลลภา เข้ามายกทีวีไปต่อหน้าต่อตา รวมถึงข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ในบ้าน วสันต์ตกใจร้องถามขึ้น
“พวกแกเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง”
วัลลภาตกใจกว่าเมื่อมองไปเห็นก็ร้องออกมา “แล้วนั่นๆ มันของๆ ฉันนะวางลงเดี๋ยวนี้นะ”
วัลลภาปรี่เข้าไปจัดการ แต่ชายที่ดูหน่วยก้านน่าจะหัวหน้าทีมชายชุดดำพูดขัดขึ้น
“ตอนนี้ที่เลวร้ายกว่าภัยธรรมชาติคือยอดหนี้ของคุณนาย มันทบต้นทบดอกจนผมทนเฉยไม่ได้ ต้องมากวาดทรัพย์สินทุกอย่างในบ้านคุณนายออกไปนี่ไง”
“ไอ้พวกมารสังคม ทำตัวเป็นสึนามิงั้นเหรอ?” วัลลภาย้อน
“ผมจะเป็นมากกว่านั้นอีก ถ้าอีกสองวันคุณนายหาเงินสิบล้านมาใช้ไม่ได้” ชายผู้เป็นหัวหน้าขู่
“ฉันเป็นหนี้แกแค่ห้าล้าน แล้วอีกห้าล้านมันมาได้ยังไง” วัลลภาโวยวาย
“ดอกเบี้ยไง ลืมไปแล้วเหรอ ใครจะให้เงินฟรีๆ ไม่มีดอก” หัวหน้าบอก
“ไอ้พวกหน้าเลือด ฉันจะแจ้งความจับแกเดี๋ยวนี้”
วสันต์จะคว้าโทรศัพท์ มาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอสีหน้าและคำพูดเหี้ยมๆ จากลูกน้องอีกคน
“ก็ลองดูสิ ถ้าแกคิดว่าแกจะมีลมหายใจโทรไปแจ้งความได้!”
“แล้วขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าภายในสองวันนี้ไม่มีเงินสิบล้านมาใช้หนี้ฉันกลับมาเอาชีวิตพวก
แกแน่”
ชายที่เป็นหัวหน้าขู่ ขณะที่ลูกน้องชายชุดดำขนของทุกอย่างออกไป
“หมด คราวนี้หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง" พลางหันไปหาเรื่องลูก "เห็นมั้ย! ตาสันต์ มัวแต่ใจเย็นอยู่ได้ ขืนชักช้ากว่านี้ชีวิตเราก็จะรักษาไว้ไม่ได้นะ” วัลลภาโวยวายตะคอกลูก วสันต์หงุดหงิดไม่แพ้กัน
“แล้วแม่จะให้ผมทำยังไงเล่า ผมไม่ได้เป็นคนกู้มาสักหน่อย”
เจอลูกชายเหน็บวัลลภาของขึ้นทันที
“อย่ามาพูดดีนะ ฉันกู้มาก็เอาไปใช้หนี้บอลให้แกแหละ”
“แม่พูดยังกับแม่ได้เล่นด้วยงั้นแหละ อีกสองวันใครจะหาเงินสิบล้านมาให้พวกมันทัน บ้าเอ๊ย!”
“เลิกบ่นได้แล้ว มาช่วยกันคิดก่อนดีกว่าจะเผ่นไปอยู่ที่ไหนก่อนพวกมันจะมาฆ่าทิ้ง”
วัลลภาพูดด้วยความกลัวจับหัวใจ

ที่แท้วสันต์กับวัลลภา โผล่มาที่บ้านยี่หวา และทั้งสองคนกำลังก้มลงกราบขอขมาบุญเลื่อง ซึ่งบุญเลื่องและยาหยีพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ส่วนยี่หวายังมีท่าทีสงสารสองแม่ลูกอยู่
“ดิฉันพลาดไปแล้ว หมดเนื้อหมดตัวแล้วก็หมดที่พึ่ง ถึงต้องมาอาศัยใบบุญคุณพี่ หวังว่าคงไม่รังเกียจที่จะให้ดิฉันกับลูกอยู่ที่นี่สักพักนะคะ”
“อย่าพูดเองเออเองสิคะคุณวัลลภา ถามฉันก่อนว่าโอเคหรือเปล่า”
“แหม! ผู้ใหญ่ใจดีอย่างคุณพี่ คงไม่ปฏิเสธคนตกทุกข์ได้ยากอย่างดิฉันกับลูกหรอก”
“เมื่อก่อนนะใช่ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว จริงมั้ยคะคุณแม่” ยาหยีบอก
“จริงลูก พูดอย่างใจแม่คิดเลย”
“นี่แปลว่าคุณพี่ … จะไม่ให้โอกาสดิฉันกับลูกเลยเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ คำตอบคือไม่!” บุญเลื่องตอบ ทำเอาวัลลภาสะดุ้งโหยง ตกใจ หันไปทางยี่หวา
“ยี่หวา ช่วยแม่หน่อยนะลูก ช่วยแม่ด้วย แม่ไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ”
ยี่หวาทำหน้าไม่ถูก เดินออกไป วัลลภาประเมินสถานการณ์ รีบส่งซิกให้วสันต์เดินไปตาม

วสันต์ออกโรงเดินตามมาง้อยี่หวาหน้าบ้านต่อ
“นี่คุณจะใจดำไม่ช่วยผมกับแม่ได้ลงคอเชียวเหรอ พวกมันไม่ใช่แค่ยึดบ้านนะแต่ยังขู่จะเอาชีวิตผมกับแม่ด้วย”
“นั่นมันเรื่องของคุณ” ยี่หวาพูดน้ำเสียงเรียบ
“ลำพังชีวิตผม ผมไม่เสียดายหรอก แต่คิดดูสิว่าลูกจะอยู่ยังไง คุณก็รู้ว่าข้าวตูรักผมมากขนาดไหน”
ยี่หวาฟังคำพูดวสันต์แล้วนิ่งคิด
“อย่าเอาลูกมาอ้าง ถึงคุณจะอยู่หรือคุณจะไป คุณก็ไม่เคยสนใจแกอยู่แล้ว”
“ที่ผ่านมาอาจเป็นอย่างนั้น แต่รับรองนะ ถ้าคุณขายที่ช่วยผมคราวนี้ ผมจะทำตัวใหม่ ผมจะเป็น
พ่อที่ดีของข้าวตู แล้วก็เป็นสามีที่ดีของคุณ ผมจะยอมหยุดทุกอย่าง ผมสัญญา!”
“เอาล่ะ วันนี้คุณกลับไปก่อน ขอเวลาฉันนิดหนึ่ง แล้วฉันจะพูดกับแม่ให้”
“จริงนะยี่หวา คุณต้องทำให้สำเร็จนะ คุณคือความหวังสุดท้ายของผมแล้ว!”
วสันต์ดีใจจนออกนอกหน้า ทั้งคู่ไม่รู้ว่ายาหยีแอบฟังเรื่องทุกอย่าง และยาหยีรู้สึกสงสารพี่สาวจับใจ

วสันต์รีบลากวัลลภาออกมา ในขณะที่วัลลภาไม่อยากออกจากบ้านเลย สะบัดแขนพรึบ
“นี่แกจะบ้าเหรอ ลากฉันมาทำไมนี่ เพิ่งมาขออยู่กันหยกๆ”
“ใจเย็นสิครับคุณแม่ ออกมาตั้งหลักก่อน”
“เรายังมีหลักให้ตั้งอยู่อีกเหรอ ต้องรีบอย่างเดียว รีบพูดให้เมียแกใจอ่อนยอมขายที่ หรือไม่ก็ต้อง
รีบเผด็จศึกนังเพิร์ลลี่กิ๊กของแก ก่อนที่ความลับจะแตกว่าเราเหลือ แต่ตัว เลือกเลยเลือกทางใดทางหนึ่ง”
“ผมไม่เลือกหรอกครับ ผมจะล็อคไว้ทั้งสองทางนั่นแหล่ะกันเหนียว คนอย่างผมไม่วันยอมตกอับเด็ดขาด”
“โอ้วพระเจ้า ลูกแม่ช่างฉลาดเหมือนแม่จริงๆ และแล้วเราก็มาถึงทางเลือกและทางรอดพร้อมๆ กัน”
“ครับ แต่ตอนนี้ถ้าอยากไปถึงตรงนั้น คุณแม่ต้องเชื่อผม เราออกไปกันก่อนอดเปรี้ยวไว้กิน
หวานแล้วทุกอย่างจะดีเอง”
วัลลภาเห็นงามไปตามลูกด้วย จึงเดินออกไปอย่างมีความหวัง ยาหยีตามมาและได้ยินเรื่องทุกอย่าง มองสองแม่ลูกด้วยความโกรธแค้น
“ฝันไปเถอะ! พวกมารสังคม ฉันไม่มีวันปล่อยให้แผนพวกแกสำเร็จหรอก”

แล้วยาหยีก็เริ่มแผนการเปิดโปง 2 แม่ลูกสุดแสบ โดยมีสุดยอดเป็นผู้ช่วย ทั้งสองมาถึงจุดนัดหมายก่อนเป็นร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ทำแบบนี้จะดีเหรอคุณ” สุดยอดหวั่นๆ หลังจากได้ฟังแผนการแล้ว
“เชื่อฉันสิ ยิงปืนนัดเดียว นกร่วงสองตัว คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม”
“แต่ผมว่า…”
“ไม่มีเวลาแล้ว เป้าหมายฉันมาโน่นแล้ว”
ยาหยีเห็นวสันต์กับวัลลภาเดินดุ่ยมาหน้าร้าน รีบเข้าไปรับหน้า พาไปนั่งที่โต๊ะ
“อ้าว แล้วยี่หวาล่ะ”
“นั่นน่ะสิ ไอ้เราก็รีบมาเห็นเมสเสจนัดมาเจอ นึกว่าจะตกลงเรียบร้อยแล้ว”
“พี่ยี่หวากับแม่ให้ฉันมาเป็นตัวแทนเจรจา ไม่ต้องห่วงนะคะฉันมีอำนาจตัดสินใจ วันนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแน่”
“ดีแล้วจ้ะ พูดกันง่ายๆ อย่างนี้ฉันชอบ” วัลลภาเอ่ย
“ไปนั่งคุยให้เป็นเรื่องเป็นราวดีกว่าค่ะ ฉันจองโต๊ะไว้แล้ว”

วัลลภาและวสันต์นั่งลงบนโต๊ะที่เตรียมไว้ โดยไม่รู้ว่าสุดยอดนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ หันหลังชนกันตามแผนที่ยาหยีวางเอาไว้แล้ว
“สั่งอะไรทานก่อนมั้ยคะ” ยาหยีถาม
“ไม่เป็นไรจ้ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า” วัลลภาตอบ
“ตกลงว่าคุณแม่และยี่หวายอมขายที่ช่วยเหลือพวกเราแล้วใช่มั๊ย
“ก็ทำนองนั้น แต่… พวกคุณต้องตอบคำถามฉันมาก่อน”
วัลลภาได้ฟังก็ออกอาการตื่นเต้นดีใจ “อยากรู้อะไรล่ะ ถามมาได้เลย”
เวลานั้นที่หน้าร้านชม้อยกับเพิร์ลลี่เดินเข้ามา เห็นสุดยอดๆ โบกไม้โบกมือให้มาที่โต๊ะ ที่ติดกับโต๊ะของวสันต์กับวัลลภา นั่งหันหลังมีเพียงพาทิชั่นกั้น
“คุณสองคนจะเอาเงินไปทำไมตั้งมากมาย”
“ถามได้ก็ใช้หนี้น่ะสิ เป็นหนี้อยู่ตั้งห้าล้าน”
“สิบล้านต่างหากครับคุณแม่”
“ไม่ใช่!” วัลลภามีสีหน้าจริงจังก่อนหักมุม “สิบล้านห้าแสนต่างหาก เพิ่งยืมนังชม้อยมันมา แหม! กว่าจะได้คุยปากแทบฉีกถึงหู”
ชม้อยซึ่งนั่งหันหลังให้อยู่ ได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองถึงกับตาโต พยายามเพ่งมองจากด้านหลัง ครั้นนึกขึ้นมาได้ ชม้อยก็อุทานออกมาเบาๆ
“นั่นมัน”
“อย่าเอ็ดไปครับ ฟังไปก่อน แล้วจะรู้ว่าทำไมผมถึงชวนคุณแม่มาที่นี่”

ทางด้านยาหยียังทำตามแผนกระชากหน้ากากต่อไป เพื่อให้แม่ลูก เศรษฐีกำมะลอเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
“อ้าว ก็ไหนบอกว่าทำธุรกิจอสังหาออกใหญ่โตไม่ใช่เหรอคะ”
“โอ๊ย.. ทำอะไร ไปเอาเงินมาจากไหน ฉันก็เม้าท์มอยไปอย่างนั้นแหล่ะ คนมีบุญก็ยังงี้แหละพูดอะไรคนก็เชื่อ แม้แต่เพชรพลอยที่ใส่ก็ของปลอมล้วนๆ มันก็ยังเชื่อ
ชม้อยฟังวัลลภาพูดก็โมโหมาก จะออกไปจัดการแต่สุดยอดรั้งไว้ก่อน
“อ้าว แล้วพี่วสันต์ไม่ทำงานอะไรเป็นหลักเป็นแหล่ง พอที่จะมีรายได้เข้ามาบ้างเลยเหรอคะ”
“เอ่อ” วสันต์อ้าปากจะตอบแต่ไม่ทัน ผู้เป็นแม่อาสาตอบแทนให้
“โอ๊ย..รายนี้ยิ่งแล้ว ถ้ามันทำมาหากินเก่ง ฉันคงไม่ต้องตีกรรเชียงหนีหนี้กันขนาดนี้หรอก ความ
จริงก็คือมันไม่ทำอะไรเลย.....”
“คุณแม่พูดอย่างนี้ผมเสียหายหมด ผมน่ะเป็นที่ปรึกษา...” วสันต์โวย
“หยุดเหอะ วันนี้ต้องเอาความจริงมาพูดกัน เขาจะได้สงสารเห็นใจให้เงินเรา ยังไงความจริงคือสิ่งไม่ตายอยู่แล้ว” วัลลภาบอกลูกอย่างปลงๆ
ยาหยีพูดด้วยใบหน้ากระหยิ่ม
“แต่วันนี้คุณจะได้รู้ว่าความจริงคือสิ่งที่จะทำให้คุณตาย”
จังหวะเดียวกันนั้นชม้อยสุดจะทนฟังต่อไป จึงสะบัดแขนสุดยอดโผล่พรวดเข้ามากลางวงสนทนา
“ใช่! มันตายแน่ พวกแกกล้าดียังไงมาหลอกเงินฉัน” ว่าพลางชี้หน้า “วันนี้อย่าหวังจะได้กลับบ้านกันในสภาพปกติเลย ต้องพิการอย่างเดียว
“กะ..แก.. แกหลอกฉัน เผ่นเถอะลูก”
วัลลภารู้ตัวว่าโดนยี่หวาหลอก หันไปบอกวสันต์แต่ไม่เจอตัว เพราะวสันต์เผ่นไปก่อนแล้ว วัลลภาลนลานหนีกันอลหม่าน ชม้อยวิ่งตามวัลลภา เพิร์ลลี่วิ่งตามแม่ไป

สุดยอดยกนิ้วโป้งให้ยาหยีบอกเยี่ยม!

จบตอน

อ่านต่อวันพรุ่งนี้
อังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554









กำลังโหลดความคิดเห็น