ในรอยรัก
ตอนที่ 12
มัสลินชี้มือไปที่ห้องพักคิม
“ไม่กล้าใช่ไหมล่ะ หรือว่ากลัวจะรับไม่ได้ว่าลูกสาวซื่อ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาของคุณไม่ได้อ่อนต่อโลกอย่างที่คุณคิด”
เตชมองไปที่ห้องนิ่งไป มัสลินเดินเข้าไปประจันหน้ากับเตชอย่างไม่เกรงกลัว เตชกัดกรามจ้องหน้ามัสลินอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ลูกน้องเตชรีบเดินเข้าไปยืนข้างเตชคอยคุ้มกัน มัสลินพูดใส่หน้าเตชน้ำเสียงเด็ดขาด
“คุณคิมกำลังจะตายและลูกสาวคุณต้องรับผิดชอบ!”
เตชตกใจแต่พยายามรักษาอาการ ตอบโต้มัสลินกลับน้ำเสียงดุดัน
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นจะตายหรือใครผิดใครถูก ฉันรู้แต่ว่าเธอต้องอยู่ห่างจากลูกสาวฉันตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ไม่อย่างนั้นเธออาจจะต้องมีสภาพไม่ต่างจากคนที่นอนในห้องนั้นแน่ ๆ”
มัสลินไม่กลัวยื่นหน้าท้าทายเตช
“ถ้าจะทำอะไรผู้หญิงอย่างฉันก็ขอให้ทำซึ่ง ๆ หน้าแล้วกัน อย่ามาลอบทำร้ายกันแบบที่พวกคุณถนัด”
เตชขยับจะก้าวหามัสลิน
“ปากดีนักนะ”
“คุณอาครับ”
กานนเข้ามาทันเห็นเหตุการณ์แต่ทำเป็นไม่รู้เรื่องเตชชะงักไว้ สะบัดหน้ามองกานนอย่างไม่พอใจ
“กานน”
กานนเดินเข้าไปยืนข้างมัสลินยกมือไหว้เตชแล้วแกล้งถาม
“คุณอามาเยี่ยมคนที่นี่เหรอครับ”
เตชหันมาจ้องหน้ามัสลินอย่างเคียดแค้นแล้วหันกลับมาที่กานน
“ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าเรื่องที่ผมได้ยินมาว่าคุณนอกใจลูกสาวผมมันเป็นเรื่องจริง”
กานนสู้สายตาเตชอย่างไม่หวาดหวั่น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม
“ผมตั้งใจว่าจะหาโอกาสคุยกับคุณอาเรื่องนี้ แต่ในเมื่อคุณอาคิดอย่างนี้ ผมก็อยากให้คุณอาเข้าใจด้วยครับว่าผมไม่เคยนอกใจเดียร์”
“แล้วที่ฉันเห็นอยู่นี่มันคืออะไร ทำไมล่ะครับคุณกานน ขนาดนี้แล้วยังไม่กล้ายอมรับกันอีกหรือ”
“ที่ผมบอกว่าผมไม่เคยนอกใจเดียร์ ผมหมายความว่าผมไม่เคยคิดอะไรกับเดียร์มากเกินไปกว่าความเป็นพี่ชายน้องสาว!”
มัสลินงงงัน เตชหน้าชา
“คุณกานน!”
กานนยังคงสบตาเตชนิ่ง ยืนยันคำพูดของตัวเอง
เตชผลักประตูห้องทำงานเดินหัวเสียเข้ามา เตชหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานยิ่งคิดยิ่งแค้นมัสลิน ทุบโต๊ะดังปัง...ลูกน้องที่เดินตามเข้ามาสะดุ้งโหยง ชำเลืองมองเตชอย่างหวาด ๆ แล้วค่อย ๆ หยิบซองเงินออกมา
ลูกน้องเดินงุดๆ เอาซองเงินไปวางไว้บนโต๊ะคืนเตช เตชมองที่ซองเงินแล้วยิ่งโมโห คว้าซองขึ้นมาแล้วเขวี้ยงใส่หน้าลูกน้อง
“ยังมีหน้าหยิบออกมาให้อั๊วเห็นตอนนี้อีกเหรอวะ ไป ออกไปให้พ้นหูพ้นตาอั๊วเดี๋ยวนี้เลย ไป”
เตชตะโกนไล่ลูกน้องเสียงดังพร้อมกับกวาดสายตาหาของบนโต๊ะชิ้นต่อไปที่จะเขวี้ยง ลูกน้องก้มหลบแทบไม่ทันรีบหดหัววิ่งจู๊ดออกไปทันที...ศักดาเดินสวนเข้ามา
“ใครทำให้หัวเสียมาล่ะคุณเตช หรือทะเลาะกับคุณบัวมาอีก”
เตชหน้าตายังหงุดหงิดหันหลังมาเห็นเสี่ยศักดาก็ส่ายหัว
“จะใคร ก็นังมัสลิน”
ศักดาหัวเราะในคอ
“ผมพอจะเดาเรื่องออกแล้ว มันจะไปยากอะไรคุณ เรามีเงินก็ฟาด ๆ หัวมันไป คนประเภทนี้ขี้คร้านเห็นเงินก้อนโตๆ เข้า ปากก็เปิดไม่ขึ้น”
ศักดาจะเดินไปที่เก้าอี้ ตาไปสะดุดกับซองน้ำตาลที่เตชเขวี้ยงใส่ลูกน้องอยู่ที่พื้น ศักดาก้มลงเก็บแล้วถือเดินไปวางบนโต๊ะ เตชเห็นแล้วยิ่งหัวเสีย จับที่ซองเงิน
“ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ”
เตชนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ศักดาแล้วเล่าเรื่องที่โรงพยาบาลให้ศักดาฟัง เตชยิ่งเล่ายิ่งโมโหมัสลินกับกานน...ศักดามีสีหน้าตกใจที่เตชพูดถึงคิม ลี
“เมื่อกี้ผมได้ยินว่าคิม”
เตชพยักหน้าโดยไม่ได้หันกลับไปมองศักดา ศักดามีสีหน้าเป็นกังวลเมื่อรู้ว่าคิมยังมีชีวิตอยู่ ถามเตชเสียงเครียด
“แล้ว...อาการเป็นยังไง”
เตชอ้าปากยังไม่ทันตอบโทรศัพท์ศักดาดังขึ้น ศักดามองหน้าเตชก่อนกดรับโทรศัพท์
“เสี่ยครับ เมื่อสักครู่คุณม่านมัสลินโทรมาขอเลื่อนนัดออกไปก่อนครับ”
“มัสลินเลื่อนนัด โธ่เว้ย แล้วจะเอายังไงวะเนี่ย เออ ๆ”
ศักดากดวางสายหน้าตาหงุดหงิด
“เล่ห์เหลี่ยมเยอะนัก นังมัสลิน”
เตชได้ยินชื่อมัสลินก็สนใจ
“มันมายุ่งอะไรกับเสี่ยอีกล่ะ”
ศักดาถอนหายใจเล็กน้อย
“ก็จะอะไรก็เรื่องไอ้คิมเนี่ยแหละ”
ศักดาเล่าวีรกรรมที่พวกพิณสุดาก่อเรื่องไว้ให้เตชฟัง เตชมีสีหน้าหนักใจ
“เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ถ้าเจ้าคิมนั่นมันไม่ได้เป็นลูกยัยแม็กกี้”
“ก็นั่นแหละที่ผมกังวล แม็กกี้รักลูกชายยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ถ้าขืนรู้เข้าว่าไอ้ศิธาไอ้ลูกทรพีของผมทำลูกเค้าปางตาย เฮ้อ...คิดสภาพตัวเองตอนนั้นไม่ออกเล้ย”
“เรื่องไม่เป็นเรื่องของเด็กๆ แต่ทำให้ผู้ใหญ่กลายเป็นศัตรูกัน”
เตชกับศักดานั่งคิดหาทางออก
ขณะนั้นมัสลินยังอยู่ที่โรงพยาบาล เธอนั่งอยู่ข้างเตียง มองคิมอย่างห่วงใย
“มัสไม่ไปทำงานแล้ว มัสจะอยู่เป็นเพื่อนคุณนะคะ ป่านนี้เสี่ยศักดาคงรู้เรื่องคุณแล้ว”
กานนกอดอกมองมาที่มัสลินอย่างห่วงๆ
“ลำพังคุณตัวคนเดียวคุณคิดว่าจะคุ้มกันคุณคิมได้เหรอมัสลิน”
“ได้ไม่ได้ฉันก็ต้องทำ นายเตชโกรธหน้าดำหน้าแดง เราไม่รู้หรอกว่าคนพาลอย่างนั้นจะทำอะไรเมื่อไหร่ ...อันที่จริงคุณน่าจะบอกเค้าไปเลยนะคะว่าเราเป็นพี่น้องกัน”
“นั่นมันคือการแก้ตัว ผมไม่ชอบแก้ตัว”
“ก็จริงของคุณ ฉันมันก็คิดได้แค่ตื้นๆ”
“อย่าประชดกันเลยมัสลิน ...ผมทำดีที่สุดแล้ว ผมไม่อยากให้มีใครเสียหาย โดยเฉพาะคุณ”
“ฉันมันด้านซะแล้ว ไม่เป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก ขอบคุณที่ห่วงกัน แต่ก็ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะคะ”
กานนมองมัสลินอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะชดใช้ให้คุณคิม”
“คุณพูดอะไรของคุณมัสลิน”
“ฉันต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับเค้า ...ฉันจะดูแลเค้าไปตลอดชีวิต”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ถ้าจะต้องแต่งงานกับเค้า ฉันก็จะทำ”
มัสลินหันสบตากานนจริงจัง
“...มัสลิน...”
นิ้วมือคิมเริ่มกระดิกได้ และที่เปลือกตาขยับเล็กน้อย ราวกับรับรู้สิ่งที่มัสลินพูด
กานนมองหน้ามัสลินนิ่งงัน พูดไม่ออก
อ่านต่อหน้า 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 18 (ต่อ)
พีระพลเดินถือเจลเย็นประคบแผลที่หน้ามา หย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาแล้วสะดุ้งโหยงเพราะรู้สึกเหมือนกำลังนั่งทับอะไรบางอย่าง พีระพลหันไปมองจึงเห็นเป็นกระเป๋าเครื่องสำอางใบเล็กใบหนึ่งพีระพลหยิบกระเป๋านั้นขึ้นมาดูแล้วทำหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าดูเครื่องสำอางข้างใน หยิบลิปสติกออกมาหมุนดูครุ่นคิด
“หรือว่าของพี่เดียร์” พีระพลมองลิปสติกอีกที
“สีซีดๆแบบนี้ไม่ใช่ของพี่กิ๊บแน่”
พิณสุดาเดินกระแทกเท้าเข้ามาในบ้านหลังจากออกไปข้างนอกมา หน้าตาบอกบุญไม่รับ พีระพลหันไปเห็นพินสุดาก็เดินเข้าไปหายื่นกระเป๋าเครื่องสำอางของมธุรินให้ พินสุดาไม่สนใจกระแทกตัวลงที่โซฟาอารมณ์เสีย
“พี่กิ๊บ เมื่อคืนนี้...”
พิณสุดาแหวใส่ทันที จ้องพีระพลตาเขียวปั๊ด
“เมื่อคืนนี้? เมื่อคืนนี้ที่แกสร้างปัญหาให้ฉันใช่มั้ย ไอ้โก้ ไอ้น้องไม่รักดี วันๆ หาแต่เรื่อง แล้วก็ทำฉันเสียเรื่องหมด”
พีระพลชักกระเป๋าเครื่องสำอางกลับ เชิ่ดหน้าขึ้นมาทันที
“ทำเสียเรื่องอะไรอีกล่ะพี่กิ๊บ เอะอะอะไรก็จะมาโยนความผิดให้โก้ตลอดเลยนะ”
“แล้วใครใช้ให้แกสะเออะไปให้เขาตบมาเยินขนาดนี้ล่ะ ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมให้ตัดใจจากมันไอ้ศิธาน่ะ แกเชื่อฉันที่ไหน ดูสิมันปกป้องอะไรแกได้บ้าง”
พีระพลหน้าตาเอาเรื่องตอบโต้พินสุดากลับอย่างไม่ยอมแพ้
“อย่ามาว่าแต่โก้นะ เรื่องพี่กิ๊บเองน่ะเอาให้รอดเถอะ ไอ้ที่บอกเสียเรื่องน่ะ เพราะหลอกผู้ชายมากินไม่สำเร็จใช่ไหมล่ะ”
พิณสุดาลุกขึ้นชี้หน้าพีระพลโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“แกไอ้น้องทรพี ไอ้น้องไม่รู้จักบุญคุณ ไปให้พ้นหูพ้นตาฉันเลยนะ เสียแรงเสียเวลาฉันที่ไปช่วยแกจริงๆ ไป ไป๊”
พีระพลเหวี่ยงกระเป๋าเครื่องสำอางค์มธุรินไปอยู่รวมกับกองหนังสือมุมห้องแล้วเชิ่ดหน้าใส่พินสุดาเดินกลับเข้าห้องตัวเอง พินสุดามองตามด้วยความโกรธ
กุเทพมาที่ร้านแล้วนั่งเอามือกุมแบบหัวคิดไม่ตกอยู่ตรงบริเวณทำงานส่วนตัว
“ปวดหัวจริงโว้ย”
กุเทพยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วเหม่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เสียงมธุรินลอยเข้ามาในโสตประสาท
“คุณกุ อย่าค่ะนี่เดียร์เอง คุณกุ!”
กุเทพคิ้วขมวดขณะที่ภาพของพินสุดาเข้ามาซ้อน กุเทพนั่งกุมหัวบีบขมับตัวเอง
“ยังไงวะเนี่ย ตกลงใครกันแน่วะ”
ผู้จัดการร้านเดินถือซองเอกสารมายื่นให้
“ขอโทษครับคุณกุเทพ”
กุเทพเงยหน้าขึ้นมารับซองเอกสารไปดูงง ๆ
“อะไรน่ะ”
“เอกสารคุณเดียร์ฝากไว้ให้ครับ”
ผู้จัดการค้อมหัวแล้วหันหลังเดินออกจากห้อง กุเทพเปิดดูแบบงงๆ แล้วทำตาโต...กุเทพหยิบเอกสารดูทีละแผ่น กระดาษโน๊ตแผ่นเล็กร่วงลงมากุเทพหยิบขึ้นมาอ่าน
“คุณกุคะ เดียร์ตัดสินใจขายหุ้นในส่วนของเดียร์ให้กิ๊บไปแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกให้คุณทราบก่อน เดียร์คงไม่ได้เข้าไปที่ร้านอีก”
กุเทพเงยหน้าขึ้นจากกระดาษโน๊ตแล้วรีบควานหาโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ
“อะไรกันอีกว๊า โทรศัพท์ โทรศัพท์วางไว้ไหนวะเนี่ย”
กุเทพกดโทรออกหน้าตาหงุดหงิด
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้....”
กุเทพหงุดหงิดหนักกว่าเดิม กดสายทิ้งแล้วกดใหม่อีกที
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้...”
พิณสุดาเดินเข้ามา กุเทพละจากโทรศัพท์มือถือมองไปที่พิณสุดา เบื่อหน่ายหนักกว่าเดิมพิณสุดาตรงไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับกุเทพ
“สวัสดีค่ะกุ”
“คุณจะมาอะไรกับผมอีก”
พิณสุดาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วมองไปรอบ ๆ ทำเป็นไม่สนใจที่กุเทพ
ถาม
“ยัยเดียร์ล่ะคะ ไม่อยู่เหรอ” กุเทพหันไปทางอื่นไม่ตอบอะไร พินสุดาชำเลืองไปที่กุเทพเล็กน้อยแล้วลอยหน้าลอยตาพูด
“ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรถือซะว่าเข้ามาดูร้าน เห็นผู้จัดการเขาโทรมาบอกเรื่องหุ้น” กุเทพยังคงทำท่าไม่สนใจพิณสุดาลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปด้านนอก
“งั้นเดี๋ยวกิ๊บขอทำงานก่อนนะคะ งานเก่ายัยเดียร์ที่ส่งต่อมาให้กิ๊บสุมเป็นกองเชียวค่ะ”
กุเทพเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“เดี๋ยวกิ๊บ...เมื่อคืน”
พินสุดาชะงักหันหน้ากลับ ยิ้มดีใจที่กุเทพจำได้
“คิดว่ากุจะไม่คุยกิ๊บเรื่องนี้ซะแล้ว ฉุกละหุกไปหน่อยนะคะเมื่อคืน ยังไงกิ๊บขอแก้ตัวคราวหน้า ...นะคะ”
ผู้จัดการดินมาหาพินสุดาพร้อมแฟ้มในมือ สองคนปรึกษางานกันกุเทพยังคงมองนิ่งที่พินสุดา แล้วกุมขมับ ยกแก้วกาแฟจะดื่มแต่แล้วมีแต่แก้วเปล่าก็ยิ่งอารมณ์เสีย
“โว้ย!”
ขณะนั้นมธุรินนั่งเหม่ออยู่ที่บ้าน ภาพกุเทพลอยเข้ามาในหัวมธุรินรวมทั้งเหตุการณ์เมื่อคืน มธุรินสะบัดหัวไปมาอย่างแรง
“โอ๊ย....ฉันจะลืม ๆ มันไปได้ยังไงเนี่ย”
สาวใช้เดินนำหน้าอุษยาเข้ามา มธุรินเห็นอุษยาก็รีบลุกขึ้นไหว้ อุษยายกมือรับไหว้ยิ้มแย้ม
“นี่ถ้าอาไม่รู้จักบ้านหนูเดียร์ อาคงติดต่อกับหนูไม่ได้เลยสินะ”
มธุรินหน้าเสีย
“เดียร์ขอโทษค่ะคุณอา พอดีช่วงนี้เดียร์มีเรื่องยุ่ง ๆ นิดหน่อยน่ะค่ะ”
อุษยายิ้มอย่างอารมณ์ดี
“อุ๊ยหนูเดียร์ไม่ต้องหน้าเสียอะไรขนาดนั้นหรอกจ้ะ อาก็แค่แซวเล่นนิดหน่อย อามานี่เพราะมีข่าวดีมาบอก”
สาวใช้ยกน้ำมาเสิร์ฟให้อุษยาแล้วเดินออกไป
“ข่าวดีอะไรคะคุณอา”
อุษยายกน้ำขึ้นจิบแล้วตอบ
“ก็เรื่องตาปลิวกับนังเอ้ยแม่มัสลินน่ะสิ” มธุรินได้ยินชื่อกานนกับมัสลินแล้วหน้ายิ่งเหี่ยวลงได้แต่นั่งก้มหน้าอุษยาจับมือมธุริน “ไม่ต้องหน้าเศร้าแล้วจ้ะหนูเดียร์ ตอนนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว ตาปลิวกับยัยมัสลินตอนนี้กลายเป็นพี่น้องกันไปแล้ว”
มธุรินมองหน้าอุษยาอย่างแปลกใจ
“คุณอาหมายความว่ายังไงคะ”
อุษยาหัวเราะในท่าทีประหลาดใจของมธุริน
“เรื่องมันยาวไว้มีเวลาอาจะเล่าให้ฟัง เอาเป็นว่าตอนนี้หนูควรจะทำตัวให้สวย ๆ แล้วก็แวะไปหาตาปลิวบ่อย ๆ หน่อยจะได้คืนดีกันเร็ว ๆ”
มธุรินเงยหน้ามองอุษยาน้ำตาไหลออกมา อุษยาหน้าเหวอไปแต่แล้วก็ยิ้มออกมา รีบลุกไปโอบมธุริน
“โถ หนูเดียร์นี่ถึงขนาดดีใจจนน้ำตาไหลเลยเหรอลูก โถ ไม่ต้องห่วงหรอกหนูเดียร์ อาอยู่ทั้งคนยังไงก็ต้องลงเอยกันด้วยดีอยู่แล้ว” มธุรินยิ่งได้ยินอุษยาพูดยิ่งร้องไห้หนัก พูดอะไรไม่ออก
“อ้อ หนูเดียร์มาช่วยอาจัดงานด้วยนะลูก งานเลี้ยงต้อนรับสองแม่ลูกเข้ามารวมเป็นครอบครัวเดียวกับอา”
อุษยาทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเอ่ยถึงจิรดาและมัสลิน
“นี่อาเลยจับพลัดจับผลูกลายเป็นพี่น้องกับแม่จิรดานั่นไปด้วย เฮ้อ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคนเรา นี่ยังไงล่ะเค้าถึงว่าเกลียดอะไรมั๊นก็ได้อย่างนั้น”
มธุรินมีสีหน้าหนักใจกว่าเดิม สาวใช้เดินค้อมตัวถือโทรศัพท์บ้านเข้ามาให้มธุริน
“คุณเดียร์คะ คุณกิ๊บโทรเข้ามาค่ะ”
มธุรินหน้าซีดเผือดมองที่โทรศัพท์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปรับโทรศัพท์มา
ที่บ้านมัสลิน
จิรดากำลังคะยั้นคะยอให้มัสลินไปกินข้าวบ้านเจ้าสัวเป็นเพื่อน
“ก็แค่แป๊บเดียว กินเสร็จก็กลับ ไปเป็นเพื่อนฉันแค่นี้ทำไม่ได้หรือไง”
มัสลินหน้าเบ้พยายามหาทางอื่นมาต่อรองกับจิรดา
“เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวมัสขึ้นไปช่วยเลือกเสื้อผ้า เอาจนกว่าแม่จะมั่นใจว่าแม่สวยที่สุด” จิรดาหน้างอ “อ่ะงั้น ถ้าแม่ยังไม่ถูกใจมัสพาไปซื้อใหม่เลยเอ้า แต่มัสขอไม่ไปนะแม่นะ”
มัสลินกลายเป็นหันมาอ้อนจิรดาแทน จิรดาหน้าบึ้งไม่พอใจ
“ก็ไปกันทั้งสองคนแม่ลูกนั่นละ”
จิรดาและมัสลินหันขวับไปที่ต้นเสียงพร้อมกัน อุษยาทำไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้าไปวางของที่ถือมาแปะลงที่โซฟา จิรดากับมัสลินหันมองหน้าอึ้ง ๆ แล้วก็หันกลับไปมองที่อุษยา
“นี่ใจคอจะไม่มีใครเรียกฉันนั่งเลยเหรอยะ”
จิรดามองอุษยาอย่างไม่ไว้ใจที่อยู่ ๆ ก็โผล่มา อุษยานั่งลงที่โซฟาแล้วหยิบถุงยื่นให้จิรดา
“ฉันซื้อมาให้ คิดว่าเธอคงใส่ได้” จิรดารับถุงมาแบบงง ๆ แล้วหันไปมองหน้ามัสลิน อุษยาหันไปทางมัสลิน “ฉันเดินเข้ามาได้ยินพอดีว่าเธอจะไม่ไป” มัสลินอ้ำอึ้ง “ได้ยังไงขืนเธอไม่ไป พ่อฉันเล่นงานฉันแน่”
จิรดาเปิดถุงหยิบกล่องออกเห็นเป็นชุดใส่ไปงาน
“ชุดนี้ให้ฉันเหรอ”
อุษยายังคงวางมาดนิ่งตอบจิรดาแบบไม่มองหน้า
“ก็ฉันเพิ่งบอกว่าซื้อมาให้” จิรดาคลี่ชุดออกดูสีหน้าดูพอใจ มัสลินเห็นหน้าจิรดาก็อมยิ้มรู้ว่าจิรดาชอบ “เออ วันงานน่ะฉันชวนหนูเดียร์เขามาด้วยนะ” อุษยาพูดจบก็ชำเลืองมองมัสลิน “หนูเดียร์เขาจะมาช่วยงาน จะได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกันเอาไว้ อีกหน่อยก็ต้องมาเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ดี”
จิรดาหันไปเห็นมัสลินสีหน้าอึดอัด รีบออกตัวแทนมัสลิน
“แกติดงานนี่นังมัส จริง ๆ ฉันว่าแค่กินข้าวเย็น แกไม่ต้องไปก็ได้นะ”
มัสลินเงยหน้าขึ้นมองจิรดารู้สึกดีอุษยาตาขวางใส่ มัสลินฝืนยิ้มโพล่งขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ เดี๋ยวมัสโทรไปเลื่อนได้ จริงอย่างที่คุณอาพูดเราควรจะไปทำความรู้จักคุ้นเคยกันเอาไว้”
อุษยาได้ยินก็พอใจลุกขึ้นทำท่าจะกลับ
“ดีมาก อะไรๆ ที่แล้วก็ให้มันแล้วกันไป คิดแค่ว่าเธอกับกานนเป็นพี่น้องกัน ก็จบ ...แล้วเจอกันที่บ้านล่ะ” อุษยาถือกระเป๋าหันขวับทำท่าจะเดินออกไป มัสลินไหว้อุษยา จิรดาได้แต่มองมัสลินแบบห่วง ๆ อุษยาเบิกตาทวงไหว้จากจิรดา จิรดายกมือไหว้แบบขอไปที “เธอน่ะเป็นน้องสาวฉันนะยะ หัดรู้ว่าอะไรควรไม่ควรซะบ้าง”
อุษยาหน้าเชิดออกไป ทันทีที่คล้อยหลังอุษยา จิรดาส่งเสียงตามหลังทันที
“นังแม่มด ไม่รู้ว่าฉันโชคดีรึโชคร้ายกันแน่นะนี่”
มัสลินหน้าหมอง สูดหายใจเข้าให้กำลังใจตัวเอง
“ก็ต้องโชคดีสิคะแม่”
วันต่อมามธุรินมาที่ร้านกาแฟเพื่อเจอกับพิณสุดา มธุรินมองหน้าพิณสุดาอย่างสังเกต ด้วยเรื่องกุเทพที่อยู่ในใจ พิณสุดาคุยไปเรื่อยๆ สีหน้าดูอารมณ์ดี
“สงสัยอยู่แล้วว่าทำไมจู่ๆ กุถึงกลับมาทำดีกับฉัน ที่แท้ก็เพราะเรื่องนังมัสลินจับพลัดจับผลูกลายเป็นคุณอามัสของกุ ชึ..ไม่รู้จะดีใจ หรือสังเวชใจแทนกุดี รึจะสมน้ำหน้าดี”
มธุรินฟังพินสุดาอย่างตั้งใจ จนพินสุดาสังเกตเห็น
“นี่! หน้าฉันมีอะไรผิดปรกติเหรอ แกถึงได้จ้องเอา ๆ”
มธุรินรีบละสายตา
“อ..เอ่อ..เปล่านี่ ฉันก็แค่ตั้งใจฟังที่แกพูด”
พิณสุดาคุยต่อ เลิกใส่ใจมธุริน
“ไม่แน่นะแก ฉันอาจจะมีข่าวดีก็ได้”
มธุรินพยายามปั้นหน้าเป็นปรกติที่สุด
“เหรอ”
พิณสุดาค้อนมธุรินอย่างหมั่นไส้ คว้ามือมธุรินมาหยิบก้อนน้ำแข็งในแก้วยัดใส่
“ว้าย!” พิณสุดาหัวเราะร่วน
“เล่นบ้าอะไรของแกกิ๊บ”
“ก็แกจะได้ตื่นซะทีไง เป็นอะไรของแก เหวอ ๆ เป๋อ ๆ เหมือนคนเสียสติ อะไร๊เพื่อนบอกว่ากำลังจะมีข่าวดีอยู่แท้ ๆ ดูทำหน้า”
“โอเค ...ตื่นเต้นก็ได้ ข่าวดีอะไรของแก”
มธุรินฝืนยิ้มรอฟัง
“ฉันกับกุจะกลับมาคืนดีกัน” มธุรินหุบยิ้มทันที พิณสุดาจ้องหน้ามธุริน
“อะไรของแก ไม่ดีใจหน่อยเหรอที่จะได้เห็นเพื่อนรักมีความสุขน่ะ”
มธุรินกลับจ้องหน้าพิณสุดาจริงจัง
“นี่แกกับกุ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันแล้วใช่มั้ย” ภาพกุเทพปลุกปล้ำแวบเข้ามาในความคิดมธุรินอยู่ตลอด “ฉันถามว่าแกกับกุไม่ได้มีปัญหาอะไรกันแล้วใช่มั้ย”
มธุรินถามย้ำ พินสุดายิ้มตอบ
“ถ้ามีแล้วฉันจะพูดได้เหรอว่ากำลังจะมีข่าวดี”
มธุรินฝืนยิ้มให้
“ก็ดีแล้วละ... ดีใจด้วยนะ”
พิณสุดาหันเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม มธุรินลอบยิ้มอย่างโล่งใจ ก่อนจะทำหน้าเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ว่าในเมื่อไม่มีใครรู้
มธุรินก็จะทำเนียน เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
อ่านต่อวันพรุ่งนี้