xs
xsm
sm
md
lg

ในรอยรัก ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในรอยรัก
ตอนที่ 13

ที่บ้านมัสลิน พัดนั่งกินข้าวอยู่ แป้นเดินถือจานข้าวเข้ามาสมทบ บ่นเชิงปรารภกับพัดว่า หลังเสร็จงาน และหมดเรื่องยุ่งๆ นี้แล้ว ตนจะบอกให้ม่านมัสลิน นิมนต์พระมาทำบุญบ้านเสียหน่อย พัดชำเลืองมองแป้นแว่บหนึ่งแล้วทำเป็นไม่ใส่ใจ ตักข้าวเข้าปากต่อ แป้นไม่สังเกตว่าพัดสนใจฟังหรือไม่ ยังคงพล่ามต่อ

“บ้านนี้ช่างไม่มีความสงบเลยจริงจริ๊ง ตั้งแต่คุณผู้ชายอยู่ยันล้มหายตายไป ถ้าคุณดาไม่ก่อเรื่องก็มีเรื่องคุณมัสโดนรังแก เรื่องคุณกานนเอย คุณเก๋เอย คุณ...”
พัดเริ่มรำคาญไม่สบอารมณ์จึงแทรกขึ้น
“นังแป้น! พอเลย จะคุณอะไรก็แล้วแต่มันเรื่องของแกที่ไหนห๊า มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไปสิ ว่างมากหรือไง ฉันจะได้บอกคุณดากับคุณมัสหาอะไรให้แกทำเพิ่ม”
แป้นทำหัวหดหันไปตักกับข้าวใส่จาน
“แหมน้า ก็ไม่ใช่ว่าว่าง ดูสินานๆ ทีจะมีเวลามานั่งนึกถึงเรื่องคุณๆ ท่านๆ เนี่ย หรือน้าว่าไม่จริง น้าก็ต้องมีคิดอยู่บ้างล่ะนะ”

พัดนิ่งไปวางช้อนลงที่จาน สีหน้าเป็นกังวล
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่คิด แต่ที่ฉันคิดน่ะ ฉันเป็นห่วงคุณมัสมากกว่า เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวต้องมาเจอเรื่องอะไรซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าจะทำเข้มแข็งแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน”
แป้นไม่ได้สนใจฟังพัดพูดเท่าไหร่ ปากเคี้ยวไปก็จะพูดไปตามความคิดเห็นของตัวเอง
“คุณมัสก็คงแข็งได้เรื่อยๆ แหละพี่ ตราบใดที่ยังไม่ใช่เรื่องของความรัก...ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยเจอเรื่องความรักเข้าไปก็ยวบยาบทั้งนั้นแหละ ฮึ”
พัดรวบช้อนยกจานจะเดินเข้าไปเก็บถึงขั้นชะงัก เท้าสะเอวหันมาเอาเรื่องแป้น
“นังแป้น พูดไปเรื่อยเปื่อยจะเก็บปากไว้กินหรือจะให้คุณดาเอาเข็มเอาด้ายมาเย็บปากแกฮึ”

แป้นหน้าจ๋อย เงยหน้ามาเห็นปิ่นเดินเข้ามาในชุดดำ ในมือมีซองเอกสารเล็ก ๆ
“อ้าวหวัดดีจ้าน้าปิ่น มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ร้อนจริงๆ เอาน้ำเย็นๆ มากินหน่อยสินังแป้น”
“ได้เลยๆ”
แป้นกุลีกุจอลุกไป พัดมองชุดดำของปิ่น ทักขึ้น
“เป็นไงบ้างเรื่องงานศพ”
“ญาติเค้ามารับไปจัดการต่อแล้วเรียบร้อย เหนื่อยก็เหนื่อยอยู่ แต่มันคันปาก อยากมานั่งคุยกับพี่พัด”
“เรื่องเจ้านายอีกคนละสิ นี่ก็เพิ่งดุนังแป้นไปแหม็บๆ”
“แต่มันก็น่าเป็นห่วงจริงๆ นา วันๆ มีแต่เรื่องวุ่นวาย โดยเฉพาะคุณมัสน่ะ น่าเห็นใจจริง ๆ เฮ้อ”
แป้นยกน้ำเข้ามาให้ปิ่น ได้ทีเมาท์ต่อ
“ช่ายๆ ฉันละเป็นห่วงเนอะน้าปิ่นเนอะ”
“ใครเนอะใครแนะกับหล่อนยะ... ฉันไปละพี่พัด ต้องรีบกลับไปดูคุณท่าน ช่วงนี้ไม่ค่อยดีอยู่ ฝากเอกสารเรื่องงานศพตาย้งนี่ให้คุณมัสเค้าด้วย”
“ได้ๆ ไปเหอะ แล้วร้อน ๆ อย่างนี้ระวังเป็นลมเป็นแล้งตกมอร์เตอร์ไซค์ไปซะล่ะ”
“เป็นห่วงรึแช่งกันแน่เนี่ยแม่คู๊ณ ว่าแล้วมีเศษตังค์ค่ามอร์เตอร์ไซค์รึเปล่าล่ะฉัน”

ปิ่นพูดพลางก้มล้วงหากระเป๋าใส่เหรียญในกระเป๋าถือแต่หยิบติดนามบัตรเจ้าสัวขึ้นมา
“แน่... มีนามบ่งนามบัตรกับเค้าซะด้วย”
ปิ่นลดเสียงเบา
“นามบัตรคุณเจ้าสัวนั่นยังไง”
“อ้อ จำได้ละ”
ปิ่นถือนามบัตรเจ้าสัวไว้ในมือ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบถามพัด
“พี่พัด พี่ว่าฉันควรจะโทรไปบอกเจ้าสัวหน่อยไหม เรื่องอาย้งตายน่ะ”
พัดกับปิ่นมองหน้ากันครุ่นคิด

ที่บ้านกานนขณะนั้นสาวใช้นั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ โต๊ะเล็กที่วางโทรศัพท์อยู่เสียงโทรศัพท์ดัง สาวใช้ยังคงหลับไม่รู้เรื่อง
อุษยาผ่านมาเห็นเข้าตั้งท่าจะดุสาวใช้แต่เสียงโทรศัพท์ดังไม่เลิกจึงคว้าขึ้นรับเสียก่อน
“บ้านรัตนรัชค่ะ ฮะโหล จะพูดกับใครก็ว่ามาสิคะ”
สาวใช้ตาปริบปรือเห็นอุษยาแล้วสะดุ้งสุดตัว
“ว้ายนายหญิง เอ่อ..ข..ขอโทรศัพท์ให้หนูเถอะค่า ท่านเจ้าสัวรู้เข้าหนูถูกไล่ออกเพราะไม่เฝ้าโทรศัพท์แน่เลย”
สาวใช้คุกเข่าแบมือ หน้าเหยเก อุษยาเบิกตาขู่ไล่ เอามือป้องกระบอกโทรศัพท์
“ยิ่งเจ้าสัวสั่งให้แกเฝ้าฉันยิ่งต้องรับเอง จะไปไหนก็ไป!”
สาวใช้คอหด รีบคลานหนีไป อุษยาสนใจโทรศัพท์ต่อ
“เอ้าว่าไงจะพูดไม่พูด ที่นี่บ้านเจ้าสัวทศ”

ปิ่นถือโทรศัพท์มือถือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือนามบัตรขณะเดินอยู่ในซอยบ้านมัสลิน
“อ...อ้าวยังอยู่อีกเหรอ เอ้อ สวัสดีค่ะ ดิฉันปิ่นนะคะ คือดิฉันมีเรื่องจะฝากเรียนท่านเจ้าสัวหน่อยน่ะค่ะ ....เปล่านะคะ ไม่ได้จะขอเงิน คือจะฝากเรียนให้ท่านทราบว่าอาย้งเสียแล้วค่ะ”
“ที่นี่บ้านเจ้าสัวทศ คุณโทรผิดแล้วนะ”
ปิ่นขมวดคิ้วยกนามบัตรขึ้นดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ค่ะ ไม่ผิด บ้านเจ้าสัวทศน่ะแหละค่ะถูกแล้ว ท่านให้นามบัตรดิฉันมา”
อุษยาชะงักไปเมื่อได้ยินว่าปิ่นมีนามบัตรของเจ้าสัว
“เอ๊ะ เมื่อกี้คุณว่าใครเสียแล้วนะ”
“อาย้งค่ะ บอกแค่ว่าอาย้งท่านเจ้าสัวก็จะเข้าใจเอง ดิฉันเรียนให้ทราบเท่านี้นะคะ สวัส...”
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งวาง อาย้งงั้นเหรอที่คุณว่าเสียแล้ว” อุษยาฟังแล้วพยักหน้าหงึกหงักอย่างมีแผน
“โธ่...น่าเสียใจจริงๆ เลย คุณอย่าเพิ่งวางสายนะคะ”
อุษยาแสร้งทำเสียใจเพื่อซักปิ่นต่อยาวเหยียด

พิณสุดาเดินถือถ้วยกาแฟออกมาที่รั้วหน้าบ้านตรงไปที่กล่องใส่จดหมาย หยิบหนังสือพิมพ์ออกมาแล้วเปิดไล่สายตาไปข่าวพาดหัวข่าวต่างๆ
“ไม่เห็นจะมีข่าว คงไม่ถึงตายละมั้ง”
มีเสียงรถยนต์แล่นมาจอดหน้าบ้านพิณสุดาชำเลืองมอง สะดุ้งเฮือกหันหลังขวับจะรีบเดินกลับเข้าบ้านเมื่อเห็นเป็นรถของมธุริน มธุรินลงจากรถพุ่งไปที่ประตูบ้านอย่างรีบร้อนเมื่อมองลอดเข้าไปเห็นหลังพิณสุดาก็รีบตะโกนเรียก
“กิ๊บ กิ๊บ”

พิณสุดาหยุดยืนนิ่งแล้วปั้นหน้ายิ้มหันกลับไปเปิดประตูให้มธุริน
“แต่เช้าเลยนะแม่คุณ”
มธุรินปรี่รวบสองมือของพิณสุดามาบีบไว้อย่างร้อนรน
“กิ๊บ เธอต้องช่วยฉันนะฉันอยู่ไม่ได้แล้ว ช่วยฉันด้วย”
พิณสุดามองหน้ามธุรินอย่างกระอักกระอ่วนค่อยๆ ดึงมือกลับแล้วตอบแบบไม่เต็มเสียง
“ช่วยอะไร”
“พาฉันหนีไง ฉันอยู่เมืองไทยไม่ไหวแล้ว ฉันกลัว”
พิณสุดาแสร้งปั้นหน้าจริงจังใส่มธุริน
“ได้สิเดียร์ไม่ต้องห่วงนะเราสองคนเป็นเพื่อนกันมีอะไรฉันไม่ทิ้งเธออยู่แล้วฉันจะช่วยเธอให้ถึงที่สุด”
มธุรินเชื่อในคำพูดของพิณสุดาเริ่มมีความหวังสวมกอดพิณสุดาอย่างซาบซึ้งน้ำใจเพื่อน
“ขอบใจนะกิ๊บ ขอบใจมาก”

พิณสุดาแบ่งรับแบ่งสู้ผละออกมาจากอ้อมกอดของมธุรินแล้วจ้องหน้ามธุรินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่...เอาอย่างนี้นะเดียร์ระหว่างที่ฉันกำลังคิดหาช่องทางให้เธอ ช่วงนี้เธอต้องอยู่เฉยๆ ไว้อย่ากระวนกระวายให้มันมากมาย เออ แล้วก็อยู่ให้ห่างๆ จากพวกฉันไว้ก่อน”
มธุรินขมวดคิ้วทำท่าสงสัย
“ทำไมล่ะ ทำไมต้องอยู่ห่าง”
พิณสุดาทำเป็นยิ้มปลอบใจมธุริน
“ไม่ต้องถามมากหรอกเดียร์ ฉันก็แค่เผื่อๆ ไว้มีอะไรทางนี้จะได้ไม่สาวไปถึงเธอไง”
มธุรินพยักหน้าเชื่อพิณสุดาอย่างสนิทใจ

เจ้าสัวมาที่โรงพยาบาลและเดินมาหน้าห้องไอซียู พยาบาลคนหนึ่งผลักประตูออกมา พยาบาลหยุดทักเจ้าสัว
“สวัสดีค่ะท่าน ท่านมาเยี่ยม...”
เจ้าสัวยิ้มให้พยาบาล
“ก็คุณยงยุทธเหมือนเดิมน่ะแหละครับคุณพยาบาล”
พยาบาลทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“อ้าว นี่เจ้าสัวยังไม่ทราบเหรอคะคุณยงยุทธแกเสียไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ”
เจ้าสัวตกใจหน้าซีดเผือดถึงขั้นเซไปจับขอบประตู พยาบาลรีบประคองไว้
“อาย้ง ตายแล้ว?”
“ค่ะ ท่านนั่งพักก่อนดีกว่านะคะ”

พยาบาลพยุงเจ้าสัวให้เดินไปทางเก้าอี้หน้าห้อง เจ้าสัวรั้งแขนพยาบาลไว้
“ผมจะติดต่อเจ้าของไข้คุณยงยุทธได้ยังไงครับ”
พยาบาลนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“คงต้องถามความสมัครใจของเค้าก่อนน่ะค่ะ ซึ่งดิฉันก็ไม่แน่ใจว่า...”
เจ้าสัวจับมือพยาบาลเป็นเชิงขอร้อง
“ได้โปรดเถอะครับ ผมจำเป็นจริงๆ”
พยาบาลมองท่าทีเจ้าสัวแล้วเห็นใจ
“เอาอย่างนี้ดีกว่านะคะ ดิฉันจะติดต่อไปทางเจ้าของไข้ แล้วถามความสมัครใจว่าจะยินดีให้ข้อมูลกับเจ้าสัวหรือเปล่า ดิฉันคงช่วยท่านได้แค่นี้”
เจ้าสัวพยักหน้าแล้วนั่งลงที่เก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน

ทางด้านอุษยาหลังจากหลอกคุยกับปิ่น อุษยาก็ขับรถมาบ้านม่านมุก อุษยาขับรถชลออยู่ในซอยบ้านม่านมุก ชะเง้อมองไล่ไปตามบ้านทีละหลัง จนเห็นบ้านหลังหนึ่งมีพุ่มเฟื่องฟ้าหนาครึ้มที่หน้าบ้าน
“เฟื่องฟ้า”
อุษยาจอดรถทำท่าเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง อุษยาก้มลงหยิบเศษกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือขึ้นมาดูที่จดไว้
“ถูกละ น่าจะใช่”
อุษยาขยับรถตรงไปทางนั้นทันที

จิรดายกถ้วยขนมหวานเดินเข้าไปหาม่านมุกที่สวมชุดดำนั่งหน้าเศร้าอยู่คนเดียว
“แม่ หนูแวะซื้อขนมเจ้าหน้าปากซอยที่แม่ชอบมาด้วย”
จิรดาตักเข้าปากตัวเองหนึ่งคำแล้วชำเลืองมองไปที่ม่านมุก
“อืม ไม่หวานมาก กะทิก็เข้มข้นกำลังดีมิน่าล่ะแม่ถึงชอบ” ม่านมุกยังคงนั่งหน้าเศร้าซึมไม่ตอบจิรดาใดๆ
“ช่วยกินหน่อยสิแม่เสียดายของ ช่วงนี้หนูไดเอทกินของพวกนี้เยอะไม่ได้ เจ้านี้อร่อยจริงๆ นะเนี่ย”
ม่านมุกค่อยๆ หันไปมองจิรดาแล้วตอบนิ่งๆ
“แม่ยังไม่อยากกิน ถ้าอร่อยแกก็กินเถอะ”

จิรดาวางชามขนมลงที่โต๊ะทำอะไรต่อไม่ถูกเดินไปนั่งลงข้างๆ ม่านมุกแล้วถอนหายใจ
เสียงกริ่งหน้าบ้านดัง จิรดาชะเง้อไปที่ประตูบ้านแล้วชำเลืองไปที่ม่านมุก เห็นม่านมุกยังคงนิ่งเฉยไม่มีท่าทีสนใจ
“ปิ่นไม่อยู่ หนูไปเปิดประตูนะแม่”
ม่านมุกพยักหน้าน้อยๆ อย่างเซื่องซึม
อุษยาสวมแว่นดำหยุดยืนอยู่ที่หน้ากริ่งรั้วบ้านม่านมุก อุษยามองลอดแว่นตาดำดูตัวเลขบนแผ่นไม้บ้านเลขที่เทียบกับที่จดไว้ที่กระดาษ เสียงเปิดประตูบ้านดังอุษยาหันไปมอง จิรดายืนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านเขม่นตามองไปที่อุษยาส่งเสียงแหวใส่ทันที
“อะไรกันยะ ตามมาหาเรื่องกันถึงที่นี่เชียวเหรอ คราวนี้จะเรื่องอะไรกันอีกล่ะ”
อุษยามองจิรดาตกใจไม่ทันได้ตั้งตัว
“เธอ...แม่นังมัสลิน ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”
จิรดาจ้องหน้าอุษยาอย่างพร้อมลุยเต็มที่
“ฉันต้องเป็นฝ่ายถามเธอมากกว่าว่าจะตามจองเวรจองกรรมกับฉันไปถึงไหน”
อุษยามองหน้าจิรดาทำท่าเหยียดปากใส่
“คนระดับอย่างฉันเนี่ยนะ จะลดตัวลงไปจองเวรจองกรรมกับคนอย่างหล่อน เสียเวลาเอาข้าวไปให้หมาข้างถนนยังมีประโยชน์ซะกว่า”

จิรดากำลังจะทำท่าพุ่งใส่อุษยา เสียงม่านมุกดังเข้ามาขัดจังหวะ
“มาเปิดประตูซะนานเลยแม่ดา ใครมากันล่ะ เสียงดังเข้าไปถึงข้างใน”
ม่านมุกเดินออกมาตามจิรดา อุษยาถอดแว่นตาดำออกเขม่นตามองไปที่ม่านมุกอย่างคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออก ม่านมุกมองหน้าอุษยาแล้วยิ้มให้น้อยๆ
จิรดายังคงหน้าตาจะเอาเรื่องอยู่แต่เมื่อหันไปที่ม่านมุกสีหน้าก็อ่อนลงด้วยความเป็นห่วงแม่
“ฉันว่าวันนี้ฉันยังไม่อยากจะมีเรื่องกับใคร กลับๆ ไปซะไป”
จิรดาทำท่าจะปิดประตูใส่แต่ถูกม่านมุกห้ามไว้
“คุณมาหาใครหรือคะ หน้าตาคุณดูคุ้นตาฉันมาก แต่ต้องขอโทษที่คนแก่อย่างฉันจำคุณไม่ได้”
อุษยายังคงขมวดคิ้วนิ่งแล้วค่อยๆ เอ่ยถามน้ำเสียงไม่แน่ใจ
“อามู่... ใช่อามู่หรือเปล่า”
ม่านมุกถึงกับตะลึงงัน นิ่งไปครู่ก็เริ่มจำเค้าหน้าอุษยาได้ถึงกับรำพึงออกมา
“คุณหนูใหญ่!”
อุษยานิ่งไปด้วยอาการตกใจพอๆ กับม่านมุก จิรดามองอุษยาทีม่านมุกที อย่างงงงัน

พีระพลนอนห่มผ้าอยู่บนที่นอน เห็นพิณสุดาก้าวฉับๆ เข้ามา ส่งเสียงโวยเรียกพีระพลให้ตื่น
“โก้ ไอ้โก้ ตื่นได้แล้ว ลุกมาเดี๋ยวนี้เลย ลุก ลุก”
พีระพลขยับตัวหน้าบิดเบี้ยวแบบหงุดหงิด หรี่ตามองพิณสุดาที่เปิดลิ้นชักโน้นนี้ราวกับกำลังหาอะไรสักอย่างรีบๆ แล้วชันตัวขึ้นขมวดคิ้วมุ่น
“ค้นอะไรพี่กิ๊บ” พินสุดาคว้าหนังสือเดินทางจากลิ้นชัก ซึ่งเพิ่งเปิดเจอโยนแปะเข้าที่อกพีระพล
“พาสปอร์ต? อะไรของพี่กิ๊บ”
พิณสุดาท้าวสะเอวสั่งการ
“ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลย ไปไหนก็ได้สักพัก” พีระพลงงหนักเข้าไปอีก
“ไม่ใช่เวลามาทำหน้าเหรอหราตอนนี้ ก็เพราะพวกแกนั่นละขยันทำเรื่องดีนัก ถ้าไอ้ตี๋ คิม ลี มันเกิดตายขึ้นมาจริงๆ แกรู้มั้ยว่าพวกเราจะเป็นยังไง”
“อ้อ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง พี่กิ๊บพูดหยั่งกับเราเป็นคนฆ่ามันงั้นแหละ โอ้ย!”
พิณสุดาจิ้มนิ้วเข้าที่หน้าผากพีระพล
“ไอ้น้องโง่! ไม่น่าสมกับที่คลานตามฉันมาเลยนะ ที่ คิม ลี มันถูกอุ้มไปทิ้งอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องคลิปนังมัสลินหรอกเหรอ วันดีคืนดีเกิดมีคนเจอศพมันเข้า ตำรวจคงไม่สาวถึงเราหรอกมั้ง”
“ลูกน้องศิธาไม่ทำงานรั่วอย่างนั้นหรอก”
“แกไม่กลัวแต่ฉันกลัว ทั้งที่ลำพังตัวฉันน่ะไม่เท่าไหร่หรอกนะ เพราะฉันไม่ใช่คนทำ แต่เป็นแกกับศิธาต่างหาก”
“โฮ้ยกลัวจัง โอเคยัง พูดจบแล้วใช่มั้ยโก้จะได้นอนต่อ ....แก่แล้วปอดแหกชะมัด คนไม่กลัวก็จะขู่ให้กลัวอยู่ได้ เฮ้อ”
พีระพลโยนพาสปอร์ตทิ้งที่หัวเตียง ทิ้งตัวลงมุดผ้าห่ม พิณสุดาคว้าพาสปอร์ตมาพร้อมกับดึงแขนพีระพลให้ลุกขึ้น
“ถ้าแกยังเห็นฉันเป็นพี่ แกต้องไปจากเมืองไทย ไอ้โก้ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”
พีระพลลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้
“เอาๆๆ จะเอายังไงก็ว่ามา”
“แกฟังฉันให้ดีๆ นะ การหายตัวไปของ คิม ลี มันเงียบอยู่อย่างนี้ได้ไม่นานหรอก ไอ้ตี๋นั่นมันก็มีพ่อมีแม่ คิดเหรอว่าเค้าจะไม่มาตามหาลูกชายเค้า”
“มาดามแม็กกี้แม่ของมันสนิทกับป๊าของศิธา” พีระพลยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “มันจะมีปัญหาอะไร”
“โว้ย!เลิกมั่นใจไร้สติสักนาทีนึงจะได้มั้ยไอ้น้องโง่! ฉันไม่สนว่าใครจะเอี่ยวจะดองกันยังไง ที่ฉันสนคือแก แกคนเดียวเข้าใจมั้ย เพราะแกดันเป็นน้องชายที่ไม่เอาไหนของฉันไง”
“ปั้ดโธ่แล้วพี่กิ๊บจะให้โก้ทำอะไร เอ้าบอกมาเลย ทำได้จะทำ”
“ไปจากเมืองไทยซะ แล้วฉันจะจัดการหาคนผิดเรื่องคลิปมัสลิน เรื่องมันจะได้จบๆ ไป ทีนี้ศพไอ้ คิม ลี จะโผล่อืดมาตอนไหนก็เรื่องของมัน”
“แล้วใครล่ะ ความผิดของพี่กิ๊บน่ะ”
พินณสุดาหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเล่นคลิปเสียงมธุริน
“แกต้องช่วยฉันนะกิ๊บ ถ้าแม่รู้ว่าฉันเป็นคนสั่งปล่อยคลิปมัสลิน ฉันตายแน่”
พีระพลฟังแล้วรำพึงออกมาเบา ๆ
“พี่เดียร์... พี่กิ๊บทำเค้าลงเหรอ”
“ลงซะยิ่งกว่าลง นังเดียร์มันไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน หนำซ้ำนังนี่มันกำลังตีสองหน้า จ้องจะแย่งกุไปจากฉัน”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง แบบนี้เค้าเรียกแค้นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับรักน้องนี่”
“แกหุบปาก แล้วรีบบอกศิธาให้จัดแพะฝั่งแกไว้ซะ”
พิณสุดาว่าพลางมองโทรศัพท์มือถืออย่างหมายมาด

เจ้าสัวกลับเข้าบ้านด้วยความเศร้าหมอง คนใช้เดินถือแก้วน้ำเข้ามาเสิร์ฟ เจ้าสัวนั่งลงที่โซฟาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง คนใช้เสิร์ฟน้ำเสร็จมองเจ้าสัวที่ดูเหนื่อยอย่างผิดสังเกต
“วันนี้คุณท่านดูเหนื่อยๆ จะให้เรียกคนมานวดมั้ยคะ”
เจ้าสัวโบกมือห้ามหยิบน้ำขึ้นมาจิบ 2-3 คำก็วางแก้วลง
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากขึ้นไปพักแล้ว”
เจ้าสัวยันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็เป็นลมล้มไป คนใช้ตกใจรีบวิ่งเข้าไปพยุงเจ้าสัว
“ว้าย คุณท่าน เอ้าใครอยู่ใกล้ๆ มาช่วยกันหน่อยเร็ว คุณท่านเป็นลม”
คนใช้อีกคนวิ่งออกมาช่วยพยุง อุษยาเดินกลับเข้าบ้านมาเห็นภาพคนใช้กำลังช่วยกันพยุงเจ้าสัวกลับมาที่โซฟาก็ยิ่งมึนงงหนัก
“พ่อ”

ขณะเดียวกันนั้นมัสลินอยู่ที่ออฟฟิศของดุสิต มัสลินนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างขะมักเขม้นมีดุสิตและเกวลินขนาบข้างซ้ายขวา ดุสิตมองหน้าเกวลินทีมัสลินทีแล้วทำหน้าปูเลี่ยนๆ
“คุณผู้หญิงทั้งสองท่านครับ วางตากันบ้างก็ได้ครับ ไอ้ที่จ้องกันอยู่นี่มันหนังโป๊นะครับ คุณไม่อายแต่ผมอาย”
เกวลินหันไปมองหน้าดุสิตยิ้มขำๆ แล้วหันกลับจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อแล้วแซวดุสิตอย่างไม่มองหน้า
“เข้าใจพูดให้เพื่อนหมั่นไส้นะยะ อย่างแกเนี่ยนะอายไอ้สิต อืม...แต่นั่งดูมาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นอะไรผิดปกติในนี้เลยนะ มันก็...พรึ่บพรั่บๆ กันตามธรรมชาติหนังลามกทั่วๆ ไป”
มัสลินกดปุ่มค้างภาพชั่วคราว ละสายตาจากหน้าจอไปที่เกวลินแว่บหนึ่งแล้วถอนหายใจ
“มัสก็ไม่รู้เหมือนกันพี่เก๋ แต่มัสว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ คุณคิมเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งนี้เชียวนะ เฮ้อ...ถ้าคุณคิมโผล่มาตอนนี้ก็คงดี”

เสียงครืดๆ ดังจากโทรศัพท์ของมัสลินที่วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งหมดหันมองหน้ากันอัตโนมัติ หวังใจว่าจะเป็นคิม มัสลินคว้าโทรศัพท์ขึ้นดูที่หน้าจอเห็นเป็นข้อความเสียง เกวลินยื่นหน้ามาดูกับมัสลิน
“ว้า... ใครน่ะ”
เกวลินถามอย่างผิดหวัง มัสลินส่ายหัว
“ข้อความเสียง...”
“ไม่ขึ้นชื่อด้วย”
มัสลินกดโหลดข้อความ
“ชื่อไม่ขึ้น เบอร์ก็ไม่คุ้น”
“อาจจะเป็นเสียงเจ้าคิมก็ได้!”
เกวลินพยักหน้าเห็นด้วย มัสลินมองดูการโหลด ร้อนใจขอให้ใช่คิม
“จริงด้วย ขอให้เป็นคุณทีเถอะ”
หน้าจอแสดงผลว่าการโหลดสำเร็จ มัสลินกดปุ่มเล่นทันที
“แกต้องช่วยฉันนะกิ๊บ ถ้าแม่รู้ว่าฉันเป็นคนสั่งปล่อยคลิปมัสลิน ฉันตายแน่”

เกวลินกับดุสิตตาโต รีบเงี่ยหูฟัง มัสลินรีบกดปุ่มเร่งเสียงแล้วยกขึ้นฟัง...จบข้อความมัสลินวางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะ ตั้งสติ ขณะที่เกวลินกับดุสิตถกกันงง ๆ
“แกต้องช่วยฉันนะกิ๊บ ‘กิ๊บ’ นี่ใครวะเก๋”
“พิณสุดา” เกวลินเฉลย
“พิณสุดา? แล้วเสียงใครล่ะที่ให้ยัยกิ๊บนี่ช่วย”
เกวลินหันหาคำตอบจากมัสลิน มัสลินนิ่งเฉยไม่ตอบอะไร

พิณสุดาถือโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ มองมันอย่างพอใจหลังจากที่เพิ่งส่งคลิปเสียงมธุรินให้มัสลิน
“ส่งคลิปใส่พานถวายให้ขนาดนี้แล้ว ถ้าแกไม่เอาเรื่องนังเดียร์ฉันจะกราบแกงามๆ นังมัสลิน นังแม่พระ หึ...หึ”
พินสุดาวางโทรศัพท์มือถือนั้นลง แล้วหยิบอีกเครื่องหนึ่งขึ้นมา
“คราวนี้ก็ถึงตาเธอ...เดียร์เพื่อนรัก ฮะๆๆๆ”
พิณสุดากดพิมพ์ข้อความที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ เห็นข้อความที่พิณสุดากำลังพิมพ์ไปพร้อมอ่านข้อความนั้นอย่างสะใจ
“เตรียมตัวเข้าคุกนะมธุริน เธอหนีไม่พ้นความเลวที่เธอทำกับฉันหรอก ฉันจะทำให้เธออับอายและสูญเสีย เหมือนอย่างที่เธอเคยทำกับฉัน ...บอกลากานนได้เลย เพราะเค้าไม่มีทางอยู่กับผู้หญิงเลวๆ อย่าง
เธอได้หรอก”
พินสุดากดพิมพ์ข้อความสีหน้าสะใจ
“คงไม่ต้องลงชื่อหรอกนะว่าจากใครเดียร์เพื่อนรัก ฮ่ะๆๆๆๆ”
พิณสุดาส่งข้อความไปให้มธุรินแล้วกระหยิ่มยิ้มกับตัวเองอย่างเลือดเย็น

ขณะนั้นมธุรินเพิ่งกลับมาจากข้างนอก หญิงสาวโยนกระเป๋าสะพายลงบนเตียงแล้วขึ้นนั่งนั่งกอดเข่า สีหน้าแววตาว้าวุ่นสับสน
เสียงข้อความเข้าดังจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพาย มธุรินหยิบกระเป๋ามาล้วงหาโทรศัพท์มือถือเนือยๆ
ทันทีที่เปิดอ่านข้อความ มธุรินถึงกับหน้าถอดสี ปล่อยโทรศัพท์มือถือแตกกระจายที่พื้น
“มัสลิน เธอขู่ฉันเหรอ ฉันไม่กลัวเธอ ไม่กลัว ได้ยินมั้ย ฉันไม่กลัว!”
มธุรินเอะอะเสียงดัง บัวบงกชเปิดประตูปราดเข้ามา
“เดียร์! ลูกเป็นอะไร” บัวบงกชเห็นชิ้นส่วนมือถือบนพื้นยิ่งตกใจ “ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ!”
มธุรินตาขุ่นขวางหันขวับไปที่บัวบงกช
“มัสลินจะแย่งทุกอย่างที่เป็นของเดียร์ไป”
“หนูพูดอะไรของหนูลูก ไม่มีใครทำอะไรหนูนะ แม่อยู่ตรงนี้”
บัวบงกชยื่นมือไปจะจับตัวมธุรินมากอด แต่มธุรินขยับหนี
“ไม่จริง! นังมัสลินมันบอกว่าแม่อยู่ข้างมัน แม่รักมัน กานนก็รักมัน ทุกคนรักมัน!”
“เดียร์!”
“แม่ออกไป เดียร์ไม่อยากเห็นหน้าแม่ มัสลินจะเอาเดียร์เข้าคุก เดียร์กำลังจะติดคุก ไม่มีใครรักเดียร์แล้ว”
“ไม่จริง แม่รักเดียร์นะลูก”
“รักเดียร์? งั้นแม่ก็จัดการมัสลินให้เดียร์สิ เรียกมันมา ขู่มัน หรือทำร้ายมันก็ได้”
“เหลวไหลใหญ่แล้วลูก”
“เห็นมั้ยล่ะ แม่ก็ไม่กล้า ไม่มีใครรักเดียร์แล้ว เป็นอย่างที่นังมัสลินมันว่าจริงๆ ด้วย”
บัวบงกชน้ำตาตก มองดูมธุรินด้วยใจสลาย มธุรินผลักบัวบงกชให้ออกไปจากห้อง
“ออกไป ออกไปจากห้องเดียร์ เดียร์บอกว่าเดียร์ไม่อยากเห็นหน้าแม่ ออกไป๊...คอยดูนะเดียร์จะทำลายมัน นังมัสลินมันจะไม่มีทางแย่งอะไรไปจากเดียร์ได้ ไป... แม่ออกไป”
บัวบงกชได้แต่ตกใจทำอะไรไม่ถูกปล่อยให้มธุรินผลักออกจากห้อง

ที่บ้านของกานน ขณะนั้นเจ้าสัวนอนอยู่บนเตียงอาการไม่สู้ดีเรียกหากานน
“ปลิว ปลิว”
กุเทพที่ยืนอยู่ใกล้เจ้าสัวได้ยินก่อนจึงหันไปเรียกกานนที่นั่งอยู่กับอุษยาที่ปลายเตียง
“อาปลิวครับ”
กานนผุดลุกขึ้นเดินไปหาเจ้าสัวที่ข้างเตียง
“ผมอยู่นี่ครับปู่”
เจ้าสัวหรี่ตามองที่กานนแล้วจับมือ
“แก...ช่วยพาหนูมัสลินมาหาฉันที” อุษยาเมื่อได้ยินชื่อมัสลินก็รีบลุกเดินเข้ามาข้างเตียงอีกคน
“พาหนูมัสลินมาที ฉันอยากไปเจอยายเขา”

อุษยาถึงกับนิ่งงัน นึกถึงเรื่องเมื่อกลางวัน...
อุษยาเข้ามานั่งอยู่ในห้องรับแขกบ้านม่านมุก ปรายตามองที่จิรดาแล้วหันไปที่ม่านมุก
“แล้วนี่...เป็นอะไรเกี่ยวข้องกันยังไงเนี่ย อย่าบอกนะว่า...ลูก”
จิรดาลอยหน้าชิงม่านมุกตอบซะเอง
“ใช่ ฉันเป็นลูกแล้วจะทำไมเหรอยะ”
ม่านมุกเห็นท่าไม่ดีรีบปรามจิรดาแล้วหันไปตอบอุษยา
“แม่ดานี่ ดิฉันแต่งงานใหม่น่ะค่ะ แม่ดาก็..เป็นลูกที่เกิดกับสามีใหม่ดิฉัน”
อุษยาฟังไปชำเลืองตามองจิรดาที ม่านมุกที อย่างคลางแคลงใจ

อุษยาจับตัวกานนให้เขยิบออกไป เห็นเจ้าสัวนอนอาการดูยอบแยบเต็มทีจึงเข้าไปจับแขนเจ้าสัวทำท่าจะอ้าปากถามแต่แล้วก็เปลี่ยนใจเป็นนิ่งไป
“พ่อคะ”
กุเทพหันไปหากานนถามเรื่องยายของมัสลิน
“อาปลิวครับ ทำไมคุณก๋งถึงอยากเจอคุณยายของมัส”
กานนมองหน้ากุเทพอย่างไม่รู้จะตอบยังไง กุเทพจ้องหน้ากานนคาดคั้นจะเอาคำตอบ
“แล้วทำไม จะต้องเป็นอาที่เป็นคนพามัสมาหาคุณก๋ง”

กานนยังคงนิ่งไม่ตอบ และทำเป็นมองไปทางอื่น

อ่านต่อหน้า 2









ในรอยรัก
ตอนที่ 13 (ต่อ)

กุเทพเดินออกมาจากห้องเจ้าสัว โดยมีกานนเดินไล่หลังและตะโกนเรียก

“นายกุ”
กุเทพหยุดกึกหันกลับมาที่กานน
“ครับอา”
กานนหน้าตาอึดอัดขอคุยกับกุเทพ
“มันไม่ใช่อย่างที่แกคิด” กุเทพมองหน้ากานนนิ่งไม่พูดอะไร
“เอาเป็นว่าฉันขอให้แกอย่าเพิ่งเข้าใจอะไรผิดตอนนี้ก็แล้วกัน อาการของคุณปู่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเวลานี้” กุเทพยังคงมองหน้ากานนด้วยอาการนิ่งเฉย
“เฮ้ย... นี่แกจะไม่พูดอะไรเลยสักคำเหรอวะ”
กุเทพยิ้มมุมปาก
“อาจะให้ผมพูดเรื่องอะไรล่ะครับ เรื่องมัสลินน่ะเหรอ”
กุเทพเปิดประเด็นแล้วก็หันหลังกลับเดินไปที่โซฟา กานนเดินตามไปอย่างงงๆ เริ่มจับทางกุเทพไม่ออก
“ถ้าเรื่องมัสลินน่ะผมเข้าใจ คุณปู่คงมีเหตุผลของท่าน...อีกอย่าง...” กุเทพพูดค้างไว้แล้วนั่งลงที่โซฟาแบบสบายๆ กานนเดินมาหยุดยืนด้านหลังโซฟา
“อีกอย่างที่ผ่านมาผมก็รู้ดีมาตลอด มัสเขาไม่เคยรักผมเลย”

มัสลินวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ เกวลินเอ่ยอย่างมั่นใจ
“คนที่ร้องให้ยัยกิ๊บช่วยคือมธุริน” มัสลินจ้องเกวลิน อึกอัก
“เดาไม่ยากเลย ยิ่งดูท่าทางของยัยมัสตอนนี้สิ”
“มัสไม่ได้จะปิดพวกพี่เก๋ แต่มัส...”
“ดูตามเกมแล้ว คุณกานนคงมาขอร้องอะไรบางอย่างกับคุณ ถ้าผมเดาไม่ผิด”
“คนเค้าแฟนกัน มีรึจะปล่อยให้อีกคนเจอตะราง...” เกวลินนึกขึ้นได้ เหลือบมองเกวลิน
“เอ้อ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้มัสรู้สึกไม่ดีนะ”
“มัสไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”
“เอ..แต่จะว่าไป ถ้าเสียงนี่ไม่ใช่เสียงมธุรินล่ะ เป็นไปได้ไหมว่าจะมีคนกลั่นแกล้ง”
เกวลินตอบดุสิตกลับเสียงสูง
“ใครจะแกล้ง เสียงนี้เป็นเสียงของยัยมธุรินแท้แน่นอน ฉันมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ 1,000 เปอร์เซ็นต์เลยเอ้า ใช่ไหมยัยมัส”
มัสลินยังคงนั่งนิ่ง
“แล้วใครเป็นคนส่งล่ะ มันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่คุณมธุรินจะส่งมาเอง”
เกวลินกับดุสิตได้แต่มองตากันไปมาที่มัสลินเอาแต่นั่งนิ่ง
“ยัยมัส อย่าเอาแต่นั่งนิ่งสิ พูดอะไรออกมาบ้าง”
มัสลินกระพริบถี่ๆ แล้วหยิบรีโมทขึ้นมากดปุ่มเล่นต่อ
“มัสไม่สนใจอะไรทั้งนั้นล่ะค่ะตอนนี้ ไม่ว่าจะใครส่งหรือจะเสียงใครจตอนนี้มัสสนใจแค่ว่าคุณคิมหายไป มัสขอหาคุณคิมให้เจอก่อนเถอะค่ะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

ทั้งสามหันมานั่งจ้องอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์ เกวลินทนไม่ไหวลุกขึ้นยืน
“โอ๊ย ขืนต้องดูไอ้หนังอุบาทว์นี่อีกสักนาที จิตฉันคงเสื่อมอ่ะ ดูกันมาร่วมชั่วโมงละยังไม่เจออะไรเลย”
“เอายังไงกันดี พักก่อนมั้ยครับคุณมัส”
มัสลินราวกับไม่ได้ฟังดุสิต คว้ารีโมทมากดปุ่มหยุดชั่วคราว
“พี่เก๋ คุณสิต มาดูอะไรนี่เร็ว มัสว่าฉากนี้มัน...คุ้นๆ”

เกวลินกับดุสิตรีบหันกลับมาสนใจที่คอมพิวเตอร์ทันที ดุสิตนั่งจ้องที่หน้าจอก็เอะใจนึกถึงคำพูดคิมก่อนจะวางสายตอนที่คุยกับเขา
“โอ ผมลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท เจ้าคิมมันเคยพูดถึงฉากหลังอะไรนี่เหมือนกัน”
“ค่อยยังชั่ว คิดว่าเสียเวลาดูหนังทุเรศๆ นี่ฟรีซะแล้ว”
มัสลินพรวดพราดลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือกับกุญแจรถดุสิตกระโดดไปขวางไป
“คุณมัสจะไปไหนครับ”
“มัสก็จะไปเอาเรื่องไอ้ศิธากับไอ้พีระพลเดี๋ยวนี้น่ะสิคะ หลักฐานก็อยู่นี่ชัดเจนว่าพวกมันเอาฉากจากหนังโป๊มาตัดต่อเป็นคลิปมัส”
เกวลินรีบเข้ามาช่วยห้าม
“ไม่ได้นะมัส พวกมันเป็นใครแล้วเราเป็นใคร อย่าหาเรื่อง นั่งลงแล้วค่อยๆ คิดกัน”
โทรศัพท์มือถือมัสลินดังขึ้น มัสลินหยิบดูเบอร์ที่โทรเข้าแล้วกดรับ
“คะพี่กุ คือมัสกำลังยุ่งน่ะค่ะ”
น้ำเสียงร้อนใจของกุเทพดังรอดจากโทรศัพท์
“พี่เข้าใจ แต่พี่มีเรื่องด่วนจะคุยกับมัส” มัสลินนิ่งฟังกุเทพ “สำคัญมากนะมัส”
มัสลินออกจากออฟฟิศเพื่อจะไปพบกับกุเทพ แต่หลังจากขับรถมาได้สักระยะมัสลินก็ตัดสินใจชะลอรถจอดข้างทาง แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหากุเทพ
“พี่กุคะ พอดีมัสยังเคลียร์ธุระไม่เสร็จน่ะค่ะ มัสคงไปหาพี่กุช้าหน่อยนะคะ”
มัสลินกดวางสายกุเทพแล้วกดอีกเบอร์หนึ่งโทรออกต่อทันที

ที่ออฟฟิศของเตช ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง พนักงานพากันทยอยเดินออกจากออฟฟิศ เสียงโทรศัพท์ดังจากที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ โอเปอเรเตอร์ประจำเคาน์เตอร์รับสาย
“เตชะฟิล์มสวัสดีค่ะ ...อ๋อ คุณเตชไม่เข้าออฟฟิศวันนี้ค่ะ”
ศักดาเดินหงุดหงิดออกมากับลูกน้อง 2 คน
“แหมเว้ย นึกจะไม่มาก็ไม่มาซะอย่างนั้น เวลายิ่งเป็นเงินเป็นทอง นี่ถ้าไม่ใช่เสี่ยเตชนะ มาเบี้ยวอั้วอย่างนี้ได้มีเรื่องกันหน่อย”
ศักดากับลูกน้องผ่านเคาน์เตอร์ไป โอเปอร์เรเตอร์ค้อมหัวให้พลางคุยโทรศัพท์ต่อ
“ค่ะ แล้วจะเรียนท่านให้นะคะว่าคุณมัสลินโทรเข้ามา ค่ะ ค่ะ”
ศักดาหันขวับไปที่โอเปอเรเตอร์ทันทีที่ได้ยินชื่อมัสลิน
“เฮ้ยเดี๋ยวๆ ใครโทรมานะนั่นน่ะ”
โอเปอร์เรเตอร์ถือโทรศัพท์ค้าง งงกับคำถามของศักดา

ศักดากับลูกน้องเดินเข้ามาในร้านอาหาร ลูกน้องสอดส่ายสายตาหามัสลิน
“โน่นครับนาย”
ศักดาหันมองตาม ยิ้มพอใจ
“เออๆ เห็นแล้ว”
ลูกน้องผายมือให้ศักดาเดินนำไป มัสลินนั่งอยู่โต๊ะๆ หนึ่งปรายตาไปข้างหลัง รู้ดีว่าศักดากำลังเดินตรงมา มัสลินสูดหายใจลึกเตรียมใจก่อนจะลุกขึ้นยิ้ม และยกมือไหว้ศักดา
“สวัสดีค่ะคุณศักดา”
ศักดารับไหว้ ยิ้มแต้
“อ้อสวัสดีๆ นั่งลงเถอะ ไม่ต้องพิธีอะไรมาก สบายๆ นะหนูนะ”
ลูกน้องขยับเก้าอี้ให้ศักดานั่ง แล้วยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ
ศักดาถามมัสลินหยั่งเชิง
“มันคงต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ หนูถึงได้ถึงกับขอให้ฉันมาพบ”
“ขอโทษที่ดิฉันเสียมารยาท ทั้งที่คุณเป็นผู้ใหญ่”
“เสียมารยาทอะไรกัน ดีใจซะอีกที่ได้เจอหนู ว่าธุระของหนูมาเถอะ”
มัสลินเหลือบสายตามองลูกน้องศักดา
“คนของฉันเอง” มัสลินพยักหน้ารับฟัง แต่ยังคงนิ่งเฉยไม่เปิดปากพูดธุระ ศักดาหันสั่งลูกน้อง
“เฮ้ยพวกเอ็งไปสั่งน้ำสั่งอะไรกินไปก่อนเว้ย”
ลูกน้องลังเลยึกยัก จนกระทั่งศักดาเบิกตาดุใส่จึงออกไปทั้งหมด
“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ เพราะเรื่องที่ดิฉันจะคุยกับคุณมันค่อนข้างส่วนตัว”
ศักดายิ้มอารมณ์ดี
“เรื่องอะไรก็ว่ามาเลยจ้ะ”
“เรื่องของนายศิธาลูกชายคุณ”
ศักดาหุบยิ้มในทันที
“ศิธา”

“ดิฉันมีข้อตกลงมาเสนอ” ศักดาเริ่มงงหนักขึ้น
“ถ้าคุณสามารถช่วยดิฉันหาเบาะแสเรื่องคุณคิมที่หายตัวไปได้ ดิฉันจะเล่นหนังเรื่องใหม่ให้”
“คิม ลี น่ะเหรอหายตัวไป แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับเจ้าศิธา”
“เอาเป็นว่าดิฉันมีหลักฐานว่าศิธาเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณคิม ตอนนี้ดิฉันยังไม่ได้คิดจะเอาเรื่องแต่ดิฉันต้องการที่จะรู้ให้ได้ว่าคุณคิมยังปลอดภัย”

ศักดาตกใจมากและเริ่มนั่งไม่ติด
“หลักฐานที่ว่าคืออะไร”
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยค่ะ แต่ดิฉันมีแน่ๆ หลักฐานที่ว่า ดิฉันบอกแล้วว่าดิฉันไม่ได้จะเอาเรื่องอะไร ตอนนี้ดิฉันแค่อยากจะทราบว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับดิฉันมั้ย”
ศักดาเริ่มหน้าเครียด
“จะให้รับปากตอนนี้มันก็คงจะไม่ได้ ขอฉันสืบเรื่องดูก่อน”
มัสลินหยิบกระเป๋าถือของตัวเองแบบเตรียมจะลุกไป
“ได้ค่ะ แต่ดิฉันมีเวลาให้คุณได้แค่ไม่เกินวันนี้ ดิฉันยืนยันถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณคิม ดิฉันยินดีจะเล่นหนังเรื่องใหม่ให้คุณ”

มัสลินลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ลาศักดา “ดิฉันลาค่ะ”
ศักดารับไหว้ทั้งที่ยังงงงัน มัสลินก้าวออกไปแล้ว แต่หันกลับมาอีกครั้ง
“อ้อ...วันก่อนดิฉันอ่านข่าวเห็นว่าคุณลงเล่นการเมืองท้องถิ่น ...ดีนะคะ สังคมต้องการคนดีๆ มาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองอย่างนี้ละค่ะ”
มัสลินยิ้มมีเลศนัยแล้วออกไป ศักดาทุบโต๊ะปัง ลูกน้องปราดมาหาทันที
“ไอ้ศิธาเอ๊ย ฉันบอกแล้วช่วงนี้ให้อยู่เงียบๆ โธ่เว้ย หาเรื่องให้ฉันจนได้”
ศักดาหัวเสียลุกขึ้นยืนสั่งลูกน้อง
“กลับเว้ย พวกเอ็งมีงานด่วนแล้ว”

ขณะเดียวกันนั้นศิธาอยู่ที่สตูดิโอ เขานั่งอยู่ที่โซฟามีพีระพลยืนทำท่านวดบ่าให้อยู่ด้านหลังอย่างกระเง้ากระงอด
“นะศิธานะ ยังไงพี่กิ๊บก็เป็นพี่สาวโก้ นึกว่าเห็นแก่พี่กิ๊บละกัน”
ศิธาหน้าตาไม่สบอารมณ์อย่างหนัก
“เห็นแก่พี่กิ๊บ แล้วพี่คุณเคยเห็นอะไรแก่ผมบ้าง” ศิธาหันหน้าที่มีรอยแผลเกิดจากกุเทพให้พีระพลดู
“คุณเห็นไหมมันทำกับผมขนาดไหน ยังมีหน้ามาขอไม่ให้เอาเรื่อง ลองดูไหมล่ะถ้าเราไม่ไปจัดการกับมันก่อน มันต้องหาทางจัดการกับเราแน่ๆ คุณก็ได้ยินไม่ใช่เหรอว่ามันไม่ยอมแน่ๆ เรื่องคลิป”
พีระพลเดินอ้อมโซฟาไปนั่งข้างๆ ศิธา
“ก็พี่กิ๊บหาทางออกให้แล้วไง โก้ว่าก็ดีนะเราสองคนจะได้ไปเที่ยวสวีทกันสองคนสักพัก รอพี่กิ๊บส่งสัญญาณไปว่าเรื่องเงียบแล้วเราก็ค่อยกลับมา เอาน่า ไม่เห็นแก่พี่กิ๊บเห็นแก่โก้ก็ได้”
ศิธาหันหน้าหนีไม่ยอมท่าเดียว
“งั้นก็กระทืบมันก่อนแล้วค่อยไปทีเดียวเลยละกัน”

พีระพลรู้สึกว่าไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนวิธีเป็นหันไปกอดอ้อนศิธา
“ไม่เอาน่า โก้รู้ว่าศิธาน่ะแค่พูดไปอย่างนั้นเอง นะๆ ศิธาคนดี เห็นแก่โก้ละกันนะ น๊า”
ศิธาเริ่มมีทีท่าอ่อนลงหันหน้ามาหาพีระพล จังหวะนั้นศักดาผลักประตูห้องเข้ามา ตาเบิกโพลง
“ไอ้ศิธา ไอ้ลูกชั่ว นี่แก!”
พีระพลกับศิธาถึงกับผงะขยับตัวออกห่างกันโดยอัตโนมัติ
“ป๊า!!!”
ศักดาปราดเข้าไปกระชากแขนพีระพลอย่างแรง
“ออกไปไกลๆ จากลูกชายฉันเลยอีตุ๊ด เสื่อมที่สุด ออกไป!”
ศักดาผลักพีระพลเซไปทางหนึ่ง พีระพลผวาร้องหาศิธา
“ว้าย ศิธาช่วยโก้ด้วย โก้เจ็บ”
ศักดาได้ยินแล้วหมั่นไส้ ปราดเข้าเงื้อมือขึ้นจะจัดการพีระพล
“ฮึ้ยยไอ้ลักเพศ ดัดจริตนักมึง”
“อย่านะครับป๊า”

ศิธาเข้าขวางแล้วรับฝ่ามือศักดาเข้าไปเต็มๆ พีระพลกับศักดาตกใจพอๆ กัน ศิธากุมที่มุมปากมีเลือดซิบๆ ออกมา ศักดาโมโหหนักชี้หน้าไล่พีระพลให้กลับไป
“ยังไม่ไปอีกเหรอ มึงอยากจะโดนใช่มั้ย”
ศักดาขยับจะเข้าหาอีก ศิธาเข้ากอดศักดาไว้ ส่งเสียงไล่พีระพล
“ไปซี่โก้ ออกไป๊!”
“นี่ศิธาไล่โก้”
“โธ่โว้ย เดี๋ยวก็ได้ตายอยู่ที่นี่หรอก ไป๊!!!”
พีระพลผละออกไปอย่างเสียขวัญ ศักดาสะบัดจากศิธา แล้วคว้าคอเสื้อศิธาอย่างเกรี้ยวกราด
“ไอ้ลูกไม่รักดี นี่แกไปทำเรื่องอะไรไว้กับลูกยัยแม็กกี้ บอกมา!”
ศิธาหลบตาศักดาตอบอ้อมแอ้ม
“ผมเปล่าทำนะป๊า ลูกน้องผมมันใจร้อนไปหน่อยแค่นั้นเอง”
ศักดาตาลุกวาว
“นี่แกรู้เรื่องนี้จริงๆ ไอ้...” ศิธาหลบวูบ “โธ่โว้ยยย!!!!”
“ใครคาบเรื่องนี้มาฟ้องป๊า”
“ไม่ต้องสนว่าใครโว้ย ตอนนี้ไอ้คิมมันอยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน!”

ศิธายังคงหลบตาตอบศักดาแบบไม่เต็มเสียง
“ผมไม่แน่ใจครับป๊า พวกมันคงเอาไปทิ้งทะเล ป่านนี้ฉลามคงฉีกมันเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว”
ศักดาปรี๊ดแตก
“โง่ โง่กันจริงๆ ไม่มีสมองคิดกันหรือไงวะ ฉิบหายกันแน่คราวนี้ ฉันบอกแกไว้ก่อนนะงานนี้ฉันจะไม่เอาตัวลงมาซวยกับพวกแกด้วยแน่ๆ ยัยแม็กกี้แม่มันไม่ปล่อยให้ลูกชายมันโดนฉลามฉีกฟรี ๆ อย่างที่แก
บอกหรอก พวกแกเตรียมตัวโดนมันแหกอกไว้ได้เลย”
เมื่อได้ยินชื่อแม็กกี้ ศิธาก็ทำท่าสยองขึ้นมา ส่วนศักดาเมื่อพูดจบก็เดินออกจากห้องไปอย่างฉุนเฉียว ศิธาเดินตามไปไม่ทันได้แต่ตะโกนไล่หลัง
“เดี๋ยวป๊า ป๊าต้องช่วยผมนะ ...ป๊า!!”

พนักงานที่เคาน์เตอร์เครื่องประดับกุเทพ ก้มหน้าก้มตาเก็บของลงในตู้โชว์แต่สายตาแอบชำเลืองมองหน้าบอบช้ำของกุเทพเป็นระยะ กุเทพเดินวนไปวนมามองนาฬิกาสลับกับเปิดประตูหน้าร้านออกไปชะเง้ออยู่เป็นระยะ
“ไหนบอกว่าจะช้านิดหน่อยไง ร่วมชั่วโมงแล้วยังไม่มาอีก”
เสียงประตูหน้าร้านดังเป็นสัญญาณว่ามีคนเปิดเข้ามา กุเทพแทบจะพุ่งไปที่ประตูแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นมธุรินเดินอย่างเหม่อลอยเข้ามา
“คุณเดียร์...”
มธุรินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพอเห็นแผลช้ำที่หน้ากุเทพก็ตกใจตาโต
“คุณกุ หน้าไปโดนอะไรมาคะ หรือว่า...ไปมีเรื่องกับใครมา”

กุเทพเอามือขึ้นคลำๆ ที่แผล
“มันเห็นชัดมากเลยเหรอครับ มิน่าเด็กๆ ในร้านป้องปากพูดกันใหญ่สงสัยจะเม้าท์ผมกันอยู่”
มธุรินยิ่งดูเป็นกังวลกว่าเดิม
“คุณกุยังไม่ได้บอกเลยว่าไปโดนอะไรมา”
“ก็แค่ซุ่มซ่ามทำอะไรไม่ได้คิดก่อนน่ะครับ ว่าแต่คุณเดียร์เถอะฮะ ทำไมถึงดูเศร้าขนาดนี้”
มธุรินได้แต่มองหน้ากุเทพตาละห้อยไม่มีอารมณ์จะตอบ กุเทพหาทางออก
“เออ คุณเดียร์เพิ่งเข้ามา คงยังไม่เห็นคอลเล็คชั่นใหม่ของเรา ผมให้เด็กเอาไปวางขึ้นตู้โชว์ละ ลองดูสักหน่อยไหมครับ”
มธุรินยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น กุเทพก้มหน้าลงมาจ้องหน้ามธุริน
“ตกลงคุณเดียร์จะพูดอะไรกับผมไหมครับวันนี้”

มธุรินก้มหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดข้อความที่ได้รับยื่นใส่หน้าให้กุเทพอ่าน
กุเทพรับโทรศัพท์มือถือมาอย่างงงๆ แล้วก้มอ่าน เมื่ออ่านจบกุเทพก็ยื่นโทรศัพท์คืนมธุริน
“เขาลงชื่อว่าเป็นมัสลิน แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าต้องใช่มัสที่เป็นคนส่งข้อความหยาบคายนี่มาให้คุณเดียร์นี่ฮะ มัสไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกครับคุณเดียร์”
มธุรินรับโทรศัพท์คืนแล้วมองหน้ากุเทพอย่างไม่พอใจ
“เดียร์ว่าแล้วคุณกุก็ต้องพูดแบบนี้แน่ ก็คุณกุรักเค้านี่”
“มันไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นหรอกครับคุณเดียร์ แต่ผมมั่นใจว่าผมรู้จักมัสลินดี คนแบบมัสไม่มีทางคิดที่จะส่งข้อความอะไรแบบนี้ให้คนอื่นอย่างแน่นอน”
พลันมีเสียงมัสลินดังกร้าว แทรกขึ้น
“มัสไม่ใช่คนดีอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกค่ะ!”

มธุรินตาโตเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นมัสลินยืนอยู่ข้างหลังกุเทพ กุเทพหันทักมัสลิน ประหลาดใจเช่นกัน
“มัส”
“เลิกแก้ตัวแทนมัสซะเถอะค่ะ ข้อความในมือถือที่ผู้หญิงคนนี้ให้พี่กุดูมันอาจจะเป็นฝีมือมัสก็ได้”
มธุรินเสียงแหวใส่มัสลิน
“ไม่อาจหรอก ก็มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่น่าสงสัย เธอทำแบบนี้เพื่ออะไร”
“ต้องถามด้วยเหรอ อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้จริงๆ ว่าคนอย่างเธอมันสมควรแล้วที่จะเจอเรื่องเลวร้ายซะบ้าง”
“พูดอะไรของเธอ”
“ถึงกับคุมสติสตังไม่อยู่เลยเหรอ หึ..ตะโกนออกมาเลย! ตะโกนบอกคนทั้งโลกไปเลยสิว่าเธอไม่ได้ทำเรื่องชั่วๆ ...ชีวิตคนๆ หนึ่งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกำลังเดือดร้อนก็เพราะเธอ”
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้เลย... คุณกุ พาเค้าออกไปสิคะ”
กุเทพงงกับท่าทีรนรานของมธุริน
“คุณเดียร์ คุณใจเย็นๆ ก่อนสิครับ”
“หรือว่าคุณกุเชื่อเค้า ไม่จริงนะคะ เดียร์ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ทำ”
มัสลินมองมธุรินอย่างสังเวช
“เธอเหลือเวลาปฏิเสธปากสั่นหน้าซีดอย่างนี้ได้อีกไม่นานหรอก เพราะถ้าคนๆ นั้นเป็นอะไรไป รับรอง เธอได้มีอันเป็นไปไม่น้อยไปกว่าเค้าแน่”
มธุรินกรีดร้อง ทั้งร้านหันมอง
“ออกไป๊!!! ฉันบอกให้ไป๊! ฉันก็จะเอาเรื่องเธอเหมือนกัน ไอ้ข้อความบ้าๆ เนี่ยคิดว่าฉันจะกลัวเหรอ ต่ำที่สุด!”
มธุรินเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือเฉียดตัวมัสลิน มัสลินตาลุกวาว ก้าวหามธุรินทันที
“เธอนี่มันป่าเถื่อนจริงๆ ได้! ฉันก็เถื่อนเป็น! มา!”

กุเทพปราดเข้าแทรกตัวกันมัสลินไว้
“พอเถอะครับ อย่ามีเรื่องกันเลย อายเค้า พี่ขอร้องนะครับมัส”
“ขอร้องมัสงั้นเหรอคะ พี่กุพูดยังกับว่ามัสเป็นฝ่ายมาหาเรื่อง นี่น่ะเหรอคะธุระที่พี่กุนัดมัสมา”
“ไปกันใหญ่แล้วครับมัส ที่พี่นัดมัสมาน่ะเพราะมีธุระจะคุยด้วยจริง ๆ ไม่เอาน่า ไปกับพี่ก่อนเถอะนะครับ” กุเทพต้อนมัสลิน มัสลินขืนตัว กุเทพวิงวอน “ ...มัส”
มัสลินจำยอมก้าวไป แต่สายตายังมองเขม็งที่มธุริน มธุรินมองมัสลินเดินออกไปกับกุเทพหอบหายใจถี่ คนอื่นในร้านยังคงมองมาเป็นตาเดียว

กุเทพพามัสลินมาส่งบ้าน แป้นถือถาดเสิร์ฟน้ำเข้ามาเก็บในครัวเห็นพัดยืนเก็บจานชามอยู่ก็รีบพุ่งเข้าไปหา
“น้าพัดๆ น้าเป็นคนเปิดประตูให้คุณกุนี่ น้าเห็นแผลที่หน้าคุณกุไหม โดนมาขนาดนี้นี่ไม่ใช่น้อยเลยนะ เออ น้ารู้ไหมช่วงนี้เขามีเรื่องอะไรกันน่ะ คุณมัสก็หน้าเครี๊ยด เครียด”
พัดทำท่าไม่สนใจยังคงสาละวนอยู่กับการเช็ดจานชาม
“ใช่ ฉันเป็นคนเปิดประตูแต่ฉันไม่ได้สนใจแผลคุณกุ เพราะฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องเจ้านาย มันผิดมารยาท”
“อย่าเลยน้าพัด ฉันรู้นะน้าเองก็อยากรู้เหมือนกันน่ะแหละ แหมผิดมารยาท”
คราวนี้พัดหน้าตาเอาเรื่องหันขวับมาทางแป้น
“เอ๊ะ นังนี่นี่ ก็บอกว่าไม่ยุ่ง ๆ แผลคุณกุน่ะได้มายังไงฉันไม่รู้โว้ย แต่ถ้าแผลที่ปากแกที่กำลังจะแตกตอนนี้น่ะ ฉันรู้ดีเลยละว่ามันมายังไง” พัดเงื้อง่าจาน
“แว๊ก ไม่เล่นน่าน้าพัด เผื่อเผลอหลุดไม้หลุดมือขึ้นมาจะว่ายังไง เอ๊อ...”
“กลัวนักก็หุบปากมอม ๆของแกสักที เลิกเม้าท์เรื่องเจ้านาย ไม่งั้นฉันบอกคุณดาแน่ จะไปไหนก็ไป”
“ไปก็ได้ แล้วอย่ามาถามก็ละกันว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง สืบได้ทีไรก็เห็นฟังหูผึ่งทุกที ชึ! เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”
พัดเงื้อจานขึ้นสูงกว่าเดิม
“หนอยแกว่าฉันเหรอนังแป้น!”
แป้นวิ่งจู๊ด เอามือกุมหัวออกไป

ขณะนั้นมัสลินกับกุเทพนั่งอยู่ในห้องรับแขก มัสลินมองแผลบนใบหน้ากุเทพอย่างรู้สึกผิด
“มัสมัวแต่ทำเรื่องวุ่นวายที่ร้านพี่กุ ลืมดูไปเลยว่าหน้าพี่กุไปโดนอะไรมา มัสขอโทษค่ะ”
กุเทพหน้าจริงจังขึ้นมาทันที
“ที่พี่บอกอยากเจอมัสด่วนก็เรื่องนี้แหละ”
มัสลินตั้งใจฟังด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจ
“มีคนทำพี่กุงั้นเหรอคะ”
กุเทพพยักหน้า
“...นายศิธา”
“นายศิธา? อีกแล้วเหรอคะ”
“มัสพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“คุณคิมหายตัวไป ดูท่าว่าจะเป็นฝีมือของพวกนายศิธา”
กุเทพฟังอย่างครุ่นคิด
“พี่คิดว่าใช่เลยละ พี่ได้ยินมาอย่างนั้นเหมือนกัน วันที่เกิดเรื่อง พี่ไปที่บ้านกิ๊บ...”

มัสลินขยับฟังอย่างตั้งใจ กุเทพเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่บ้านพินสุดาให้มัสลินฟัง มัสลินน้ำตารื้น
“คุณคิมไม่ควรจะต้องมาเดือดร้อนเพราะมัส”
กุเทพเอื้อมมือไปจับมือมัสลินปลอบใจ
“ทำตามที่คุณดุสิตกับพี่เก๋บอกนั่นละดีแล้ว พี่เห็นด้วยว่าพวกเราควรจะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”
มัสลินสายตากร้าวขึ้นทันที เห็นแววรั้น กุเทพมองอย่างสังเกต “มัสฟังที่พี่พูดอยู่รึเปล่าครับ”
“ค่ะ”
“มัส...”
มัสลินเลี่ยงสายตา มองไปทางอื่น
“มัสมีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าให้พี่ฟังรึเปล่า”
มัสลินหันมาสบตากุเทพ
“มัสจะต้องรู้ให้ได้ว่าคุณคิมอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีหรือเปล่า ...ก็แค่นั้น”
“ยังไง?... มัสจะทำยังไง? อย่ายุ่งกับพวกมันนะมัส ถึงพี่จะไม่ใช่คนสำคัญสำหรับมัส แต่อยากขอร้องมัส ในฐานะ...เพื่อน”
กุเทพหน้าหมองลงทันที แต่ยังคงสบตามัสลินอย่างจริงใจ มัสลินงงงัน
“พี่กุ...”
“เชื่อพี่สักครั้งได้มั้ยครับมัส อย่ายุ่งกับพวกนายศิธา” มัสลินอ้ำอึ้ง
“พี่คงไม่มีความสำคัญอะไรกับมัสจริง ๆ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพี่กุ”
จิรดาเข้ามาอย่างหัวเสีย พอเห็นกุเทพก็เสียงดังใส่
“แหม ตระกูลคุณกับครอบครัวฉันนี่ดูท่าจะดวงสมพงษ์กันซะจริ๊งนะ”
กุเทพลุกขึ้นไหว้จิรดา
“สวัสดีครับคุณน้า”
“เดี๋ยวคุณกานนมาที เดี๋ยวคุณก็มาที อย่างนี้นิเล่าแม่คุณย่าของคุณถึงราวีบ้านฉันไม่เลิก”
“แม่!”
“ไม่ต้องมาดัดจริตทำหน้าบางยัยมัส ตรงไปตรงมาอย่างนี้ละถ้าจะคบกัน”
“คุณย่าผมทำอะไรเหรอครับ เล่าให้ผมฟังได้มั้ยฮะ”
“ได้อยู่แล้ว ย่าคุณน่ะจองล้างจองผลาญฉันไม่เลิก ถึงขั้นตามไปหาเรื่องฉันถึงบ้านสวนยายยัยมัสโน่น... นี่ดีนะที่ยายแกอยู่ด้วยไม่งั้นละก็...”

กุเทพตกใจที่ได้ยินจิรดาพูดอย่างนั้น
“อ้าว แล้วคุณย่ารู้จักบ้านสวนได้ยังไงล่ะครับ”
“ฉันจะไปรู้เหรอ เออ จริงๆ ก็น่าคิดเหมือนกัน เผื่อคราวหน้าคราวหลังอยากจะจุ้นเรื่องชาวบ้านฉันจะได้ยกหูหาย่าคุณเป็นคนแรก”
“แม่!”
“ทำไม! จะอะไรนักหนา ฉันก็แค่เล่าให้คุณเค้าฟัง เทียบกับที่ยัยคุณย่านั่นแจ้ดๆๆๆใส่ฉันมันยังน้อยไป โฮ้ย!ขยันเข้าข้างคนอื่นดีนักนะ เอาละๆ คุยกันไปเถอะ ฉันไปดีกว่า”
จิรดาเดินขึ้นชั้นบน มัสลินมองตามหน้าเครียด
“ดูท่าทางไม่น่ามีอะไรรุนแรงหรอก อย่าหาเรื่องเครียดใส่ตัวเพิ่มเลยมัส มีพี่นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน”
กุเทพยิ้มจริงใจ มัสลินเห็นแล้วยิ่งรู้สึกผิด

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านสวน ม่านมุกนั่งเหม่ออยู่คนเดียวคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวัน
ปิ่นเดินเข้ามาเห็นท่าทีม่านมุก จึงเอ่ยเรียกอย่างเกรง ๆ
“คุณท่านคะ”
ม่านมุกเหลือบสายตามองปิ่น แล้วทอดถอนใจ
“มีอะไรกับฉันเหรอปิ่น”
“เปล่าค่ะ ปิ่นเห็นคุณท่านสีหน้าไม่ค่อยดี คุณท่านเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ม่านมุกส่ายหน้าเนือย
“นั่งคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” ปิ่นเข้ามานั่งใกล้ๆ มองหน้าม่านมุกอย่างชั่งใจ
ม่านมุกสังเกตเห็นอาการปิ่น “มีอะไรกันแน่แม่ปิ่น”
ปิ่นมองม่านมุกนิ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“คือ...ไหนๆ อาย้งก็เสียไปแล้ว ปิ่นมีเรื่องอยากจะเล่าให้คุณท่านฟังน่ะค่ะ”
ม่านมุกฟังแล้วประหลาดใจ
“พูดอะไรของเรางงๆ หืม...มันเรื่องอะไรกันแน่ การตายของตาย้งไปเกี่ยวอะไรด้วย”
“ตอนที่อาย้งยังนอนอยู่ไอซียู ปิ่นเจอผู้ชายคนนึง... เค้ามาเยี่ยมอาย้ง เค้าว่าเค้าชื่อ...เจ้าสัวทศ”ม่านมุกฟังอย่างตั้งใจ
“เจ้าสัวคนนั้นถามถึงเจ้าของไข้อาย้ง ถามซ่อกแซ่กจนปิ่นสงสัยว่า...”
“หืม?” ม่านมุกรอฟังปิ่น
“สงสัยว่าเจ้าสัวนั่นจะเป็นคนๆ เดียวกับคุณเจ้าสัวของคุณท่านค่ะ!” ม่านมุกนิ่งงัน ตั้งตัวไม่ติด
“ปิ่นเห็นว่าอาย้งก็เสียไปแล้ว ปิ่นก็เลยโทรไปบอกคุณเจ้าสัวตามนามบัตรที่เค้าเคยให้ไว้” ม่านมุกกุมมือทั้งสองที่สั่นระริกเข้าหากัน
“คนที่รับโทรศัพท์ยังถามทางมาบ้านเรา บอกว่าเจ้าสัวจะฝากเงินมาช่วยงานศพอาย้ง วันนี้มีคนมาที่บ้านเราใช่มั้ยคะ”
ม่านมุกนิ่งงัน หน้าเครียด ปิ่นมองท่าทีของม่านมุกแล้วเจื่อนไป
“คุณท่าน... ปิ่นคงพูดอะไรให้คุณท่านไม่สบายใจ”
“ไม่มีอะไรหรอก วันนี้ก็มีคนมาที่บ้านเราอย่างที่แม่ปิ่นว่านั่นละ”
ปิ่นยกกาน้ำชาเทลงถ้วยกะจะให้ม่านมุกพลางคุยต่อ
“งั้นเหรอคะ เห็นแม่พัดโทรมาเล่าว่าคุณดาแกโวยยาวจนถึงบ้าน คนที่มาเค้าเป็นใครกันเหรอคะ ถึงทำคุณดาอารมณ์เสียนัก คุณท่าน!!!”
ปิ่นก้มหน้าก้มตาพูดๆ ครั้นพอเหลือบตาขึ้นมองม่านมุก ปิ่นก็ร้องอย่างตกใจ

เมื่อเห็นม่านมุกสะลึมสะลือ กุมขมับ เอียงตัวค่อยๆ ฟุบลงกับหมอนอิง

อ่านต่อวันพรุ่งนี้








กำลังโหลดความคิดเห็น