ในรอยรัก
ตอนที่ 12
มัสลินกลับเข้าบ้านอย่างเศร้าสร้อย ขณะกำลังจะเดินเข้าห้องตัวเอง พลันชะงักเมื่อเห็นไฟจากห้องจิรดาเปิดอยู่ ประตูแง้ม มัสลินหยุดยืนอยู่หน้าห้องก้มลงมองลอดช่องประตูที่แง้มอยู่เข้าไปภายในห้อง
“กลับมาแล้วเหรอ เข้ามาสิ”
มัสลินยืดตัวขึ้นอย่างแปลกใจ ละล้าละลังเพราะไม่เคยเข้าห้องจิรดามาก่อน ประตูห้องถูกเปิดออก จิรดายืนอยู่ตรงหน้ามองมัสลินที่ยืนขัดๆ เขินๆ
“เป็นอะไร ก็ฉันบอกแล้วให้เข้ามา”
“แม่ให้มัสเข้าไปได้จริงๆ เหรอคะ”
จิรดาทำหน้ารำคาญๆ ในท่าทีของมัสลิน ทำท่าหันหลังจะเดินกลับเข้าห้อง
“ก็ฉันออกมายืนเชิญแกอยู่ตรงนี้แล้วไม่ใช่เหรอ อ่ะ ตามใจนะจะเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงนี้ก็ตามใจ”
มัสลินมองตามหลังจิรดาที่เดินกลับเข้าไปในห้องอย่างชั่งใจ ก่อนจะผลักประตูห้องเดินตามจิรดา
เข้าไป
มัสลินยืนอยู่ในห้องจิรดาห่างจากประตูที่เปิดเข้ามาไม่กี่ก้าว ท่าทางทำตัวไม่ถูก จิรดานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งหยิบกระปุกครีมขึ้นมาจะทามองเห็นมัสลินยืนเก้อๆ ผ่านทางกระจกหน้าโต๊ะก็ยิ้มเยาะวางกระปุกครีมลงแล้วหมุนตัวไปหา
“ทำท่ายังกับเดินเข้าห้องดับจิตหืม นังมัส” มัสลินฝืนยิ้มไปกับมุกฝืดของจิรดา
“แม่เรียกมัสเข้ามามีอะไรใช้มัสรึเปล่า”
“ไม่มี ฉันแค่อยากคุยกับแก”
“อ้อ ค่ะ งั้นเดี๋ยวมัสไปรอแม่ข้างล่างดีกว่ามั้ยคะ”
“นังมัส แกเลิกทำท่าเหมือนฉันเป็นตัวประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวซะทีได้มั้ย ฉันจะคุยกับแกตรงนี้ ในห้องฉันนี่”
มัสลินฟังแล้วเอาแต่มองหน้าจิรดา “พูดแล้วยังจะมามองหน้า”
“มัส... มัสไม่เคยอยู่กับแม่ ...ในห้องแม่”
“...นี่ฉันเป็นแม่ที่แย่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย แกเป็นลูก... แต่ไม่เคยเข้ามาห้องฉัน ...ที่เป็นแม่”
จิรดาเสียงหม่นเศร้า มัสลินรีบเข้าปลอบ
“แม่... มัสไม่ได้คิดอะไรเลย ...มัส...”
“ไม่ต้องมาปลอบฉันหรอก ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรเหมือนกัน คนอย่างฉันไม่มีใครอยากเข้าใกล้นั่นละถูกแล้ว”
จิรดาประหลับประเหลือกหน้าเชิด มัสลินสีหน้าคลายลง เห็นรอยยิ้มจาง
“เรื่องตาย้งอะไรนั่นเป็นยังไงมั่ง ...แล้วให้ไปจัดการเรื่องที่โรงพยาบาลแค่นี้ ทำไมแกดูเหนื่อยอะไรกันนักกันหนา”
มัสลินหน้าพลันหม่นลง
“ก็เรียบร้อยดีค่ะแม่ พรุ่งนี้ญาติที่อยู่ทางใต้ของอาย้งเค้าก็จะมารับศพ”
“หมดเวรหมดกรรม ป่วยอยู่นานเลยไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ”
“แล้วตกลงจะมีใครบอกฉันได้รึยังว่าตาย้งกับยายแกเค้าเป็นอะไรกัน”
“แม่!”
“ฉันจะพูดอย่างนี้ละแกจะทำไม พอกันเลยทั้งบ้าน พ้นจากพ่อแกมา ฉันคิดว่าจะจบสิ้นกันซะทีไอ้เรื่องลับลมคมใน ที่ไหนได้ ยายแกก็เอากับเค้าเหมือนกัน เกิดมีความลับกับเค้าขึ้นมามั่ง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะแม่”
แววตาจิรดาล่องลอยไปไกล หวนคิดถึงเรื่องภาษิต
“ความลับ... มันน่าค้นหาพอๆ กับที่มันน่ากลัว ฉันคนนึงละที่โดนปั่นหัวซะงง ...เหมือนตัวตลก ไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ...” มัสลินฟังจิรดาอย่างห่วงใย
“แกอยากรู้เรื่องของฉันกับพ่อแกมั้ย” มัสลินนิ่งเงียบ จิรดาไม่ได้สนใจฟังคำตอบจากมัสลิน
“พ่อแกหลอกฉันเสียสนิท พอแต่งกันแล้วถึงรู้ว่าเค้าลืมผู้หญิงคนนั้นไม่ได้”
มัสลินนิ่งไป รู้ดีแก่ใจว่าจิรดาหมายถึง...บัวบงกช
“เท่าที่มัสจำได้ พ่อรักและให้เกียรติแม่จะตายไป”
จิรดามองหน้ามัสลินอย่างห่อเหี่ยวตอบกลับมัสลินด้วยน้ำเสียงประชดตัวเอง
“แกน่ะคิดไปเอง พ่อแกน่ะเหรอเคยรักฉันซะที่ไหน โน่นแม่บัวบงกชดาราไฮโซโน่นที่เขารักนักรักหนา เขารักกันมาตั้งแต่ก่อนจะมาแต่งกับฉันเสียอีก”
จิรดายิ่งพูดยิ่งเจ็บช้ำ หวนนึกถึงเรื่องในอดีตเมื่อ 25 ปีก่อน
วันนั้นจิรดานั่งกอดอกหน้าตูมอยู่ในห้องโถงที่บ้าน เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดในบ้าน บนโต๊ะด้านหน้ามีกระเป๋าใบถือใบเล็กใบหนึ่งกับหนังสือพิมพ์หน้าปกดาราฉบับหนึ่งวางอยู่ใกล้กัน
ภาษิตเดินเข้ามาเห็นจิรดานั่งอยู่ก็เอ่ยทัก
“ทานข้าวหรือยังเนี่ย นี่ดามานั่งรอผมเหรอ”
จิรดายังคงนั่งกอดอกอยู่ท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนตวัดตาไปที่ภาษิตเขียวปั๊ด ภาษิตชะงักรู้สึกไม่ค่อยดีแต่ก็เดินไปนั่งข้างๆ วางมือบนตัวจิรดา
“นี่ยังโกรธผมอยู่อีกเหรอ ผมว่าเมื่อคืนเราก็คุยเข้าใจกันแล้วนี่นา”
จิรดาปัดมือภาษิตออกแล้วลุกขึ้นหยิบกระเป๋าบนโต๊ะโยนไปที่ตักภาษิต
“กระเป๋าใบนี้ที่ซื้อมาง้อฉันคราวก่อนเอาไปทิ้งให้ไกลๆ ลูกกะตาฉันเลยนะ”
ภาษิตหยิบกระเป๋าขึ้นมาดูอย่างงงๆ
“อ้าวทำไมล่ะ ก็ตอนผมเอามาให้ดายังชมว่าผมซื้อมาถูกใจดาอยู่เลย อารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไรอีกเนี่ย”
จิรดาโยนหนังสือพิมพ์ดาราไปที่ตักภาษิต
“ก็นี่ไง แม่ดาราหน้าหวานสุดที่รักของคุณก็ถือใบนี้แบบนี้เหมือนกันเปี๊ยบ นี่คุณคิดอะไรของคุณถึงได้ซื้อแบบเดียวกันกับมันมาให้ฉัน นี่คุณไปเจอกับมันมาใช่ไหมถึงได้รู้ว่ามันหิ้วกระเป๋าแบบนี้”
ภาษิตงงหนักกว่าเดิมหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดูรูปแล้ววางลงส่ายหัว
“คุณนี่ท่าจะบ้าไปแล้วนะ ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาใช้กระเป๋าอะไรยังไง กระเป๋าในโลกนี้มันก็เหมือนๆ กันทั้งนั้นแหละดา คุณอย่ามาหาเรื่องผมเลย”
จิรดาตรงเข้าทุบตีภาษิต
“ฉันหาเรื่องคุณเหรอ เอะอะก็ว่าฉันหาเรื่องยอมรับมาสิว่าคุณไปเจอกับมันมา”
ภาษิตปัดป้องตัวเองจากมือจิรดาทนไม่ไหวผลักจิรดาออกไป
“ถ้าคุณจะยังอาละวาดแบบนี้คุณอยู่ไปคนเดียวละกัน ผมเหนื่อยกับการเอาใจคุณ ทำดีกับคุณแต่คุณก็ยังจะบ้าแบบนี้กับผมเรื่อยๆ”
พูดจบภาษิตหันหลังเดินออกจากบ้านทันที จิรดาถึงกับอึ้งพอเห็นภาษิตเดินออกจากบ้านก็กรี๊ดออกมา ขว้างกระเป๋าตามออกไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาขยำ ฉีก อาละวาดอยู่คนเดียวที่บ้าน
คืนต่อมาขณะที่จิรดานั่งดูทีวีอยู่ในห้องโถง จู่ๆ ก็มีเสียงเด็กร้องดังขึ้นที่ประตู จิรดาหันขวับไปทันที
จิรดาเห็นภาษิตยืนอยู่ที่ประตูวางสัมภาระเด็กอ่อนลงที่พื้น อีกมือหนึ่งมีเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขน จิรดาถามภาษิตด้วยน้ำเสียงงงๆ ถามไปก็มองออกไปที่ประตู
“นี่คุณอุ้มลูกใครมาน่ะ”
จิรดามองออกไปข้างหลังภาษิต หาเจ้าของเด็ก ภาษิตมองหน้าจิรดานิ่งๆ
“ดาต่อไปนี้เด็กคนนี้จะมาอยู่กับเรา อย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะท่าทางยัยหนูกำลังหิว”
ภาษิตพูดจบก็อุ้มเด็กผ่านหน้าจิรดาไป จิรดานิ่งงัน น้ำตารื้นขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าภาษิตจะทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนั้น เสียงมัสลินดังขึ้นมา
“แม่คะ แม่” จิรดาสะดุ้ง
“ทำไมเล่าๆ แล้วเงียบไปล่ะคะ มัสตอนเด็กเป็นยังไงเหรอคะแม่”
จิรดาสั่นหน้า
“ไม่มีอะไรหรอก ก็เป็นอย่างที่แกเป็นอยู่นี่แหละ!”
“แต่เด็กที่แม่เล่าถึงยังกับไม่ใช่ลูกแม่”
“โฮ้ย! เรื่องเยอะจริง ถ้าแกไม่ใช่ลูกฉันแล้วจะเป็นลูกใคร ฉันก็มีแกเป็นลูกอยู่คนเดียวนี่ละ นังเด็กโง่!”
“โอเคค่าโอเค มัสไม่เซ้าซี้แม่ดีกว่า...แม่ไม่มีอะไรกับมัสแล้วใช่มั้ยคะ”
“ไม่มีย่ะ หน้าตาแกดูเหนื่อยๆ นะ ไป กลับห้องแกไปพักผ่อนได้แล้วเดี๋ยวจะโทรมเสียหมด ไม่มีใครเค้าจ้างไปถ่ายอะไรกันพอดี”
จิรดาพูดจบก็หมุนตัวกลับเข้าหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มัสลินมองจิรดายิ้มๆ แบบมีความสุขแล้วทำท่าจะลุก...จิรดาเหลือบมองมัสลินจากในกระจกแล้วก้มหน้าเปิดฝากระปุกครีมทาหน้าแต่ปากยังคงพูดต่อ
“แล้วก็...เรื่องความรักน่ะ ระวังๆ ยั้งๆ ใจตัวเองไว้บ้าง อย่าไปหวังอะไรมากกับเรื่องแบบนี้”
มัสลินชะงักไป สีหน้าแววตาสลดลงภาพของกานนกับมธุรินที่โรงแรมผุดขึ้นมาในความคิด...มัสลินสะบัดหน้าราวกับต้องการให้ภาพหายออกไปจากความคิดแล้วแสร้งยิ้มให้จิรดา
“มัสไม่ได้เป็นอะไรนะแม่”
“โกหกคนอื่นไปเถอะย่ะ ยังไงฉันก็เลี้ยงแกมา คิดเหรอว่าฉันไม่รู้ว่าแกรู้สึกอะไรยังไง ...นังมธุรินคุณหนูมหาประลัยนั่นน่ะมันต้องโดน ไหนจะเรื่องคลิป แล้วไหนจะเรื่อง...คุณกานน”
มัสลินสีหน้าอึกอัก หาทางแย้งจิรดา แต่ก็พูดไม่ออกเช่นกัน
กานนพามธุรินมาส่งบ้าน มธุรินพิงหมอนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงมีกานนนั่งอยู่ขอบเตียง
“นอนเถอะครับเดียร์พักผ่อนเยอะๆ ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว”
กานนลุกขึ้นไปพยุงมธุรินเอามือดึงหมอนออกมาจากหลังปรับให้นอนลง มธุรินยังฝืนตัวงอแงจับมือกานนไว้
“ถ้าเดียร์นอนกานนก็จะกลับไป เดียร์อยากจะลืมตาอยู่อย่างนี้ละค่ะ”
กานนยิ้มอ่อนโยน ค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกแล้วไปดึงผ้าห่มขึ้นมาจะห่มให้มธุริน
“อย่าดื้อนะครับคนดี”
สายตากานนไปชะงักอยู่ที่ขวดยาเล็กๆ ขวดหนึ่งที่โต๊ะข้างเตียงมธุริน กานนลุกไปหยิบขวดยามาอ่านที่ฉลากดู
“ไหนเดียร์บอกผมว่าไม่ได้กินแล้วไงครับ”
มธุรินก้มหน้างุดราวกับทำความผิด
“ยาคลายเครียด กินเยอะๆ มันไม่ดีเดียร์ก็รู้ ติดขึ้นมาจะแย่นะครับ”
“เลิกจ้องหน้าเดียร์ได้แล้วค่ะ เดียร์แค่แอบหยิบทานไปเม็ดเดียวเองก็มันนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้วนี่คะ”
กานนเปลี่ยนเป็นมองหน้ามธุรินอย่างสงสารจับใจ
“เอาเป็นว่าคืนนี้ผมสัญญาผมจะอยู่เป็นเพื่อน จนกว่าเดียร์จะหลับ โอเคไหมครับ”
มธุรินเริ่มยิ้มออกพยักหน้าเหมือนเด็กๆ แล้วก็เอนตัวนอนลง
“จริงนะ กานนอยู่กับเดียร์ก่อนจริงๆ นะคะ ต่อไปเดียร์จะพยายามไม่กินค่ะ”
กานนพยักหน้าขณะที่เอาขวดยาใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง
“เดียร์คงไม่มีโอกาสกินมันแล้วล่ะครับ เพราะผมจะเก็บไว้เอง กู๊ดไนท์ครับเดียร์ เชื่อผมนะครับเดี๋ยวอะไรๆ ก็ดีขึ้น”
มธุรินถอนหายใจน้อยๆ จับมือกานนไว้ ค่อยๆ หลับตาลงด้วยฤทธิ์ยากานนหนักใจมองหน้ามธุรินอย่างคิดไม่ตกว่าจะหาทางออกได้อย่างไร
กานนดึงประตูห้องมธุรินปิดลงอย่างเบาที่สุด หันหลังกลับเจอบัวบงกชยืนคอยอยู่หน้าห้อง
“คุณอา ...หลับไปแล้วละครับ น่าจะเพราะฤทธิ์ยาที่เดียร์แอบกินเข้าไป”
กานนพูดพลางล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบขวดยาคลายเครียดออกมาส่งให้บัวบงกช บัวบงกชรับขวดยาไว้แล้วก้มลงมองฉลากหน้าเครียดๆ
บัวบงกชพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงขอบคุณทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อแต่ไม่ทันกานน
“ดึกมากแล้ว คุณอาพักผ่อนเถอะครับ ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรหาผมได้ตลอดนะครับ”
กานนไหว้บัวบงกช และทำท่าจะเดินออกไป บัวบงกชรีบขยับตัวดักกานนไว้
“เดี๋ยวสิคะคุณกานน คุณก็รู้ดีว่าอาไม่ได้รอที่จะเจอคุณ เพียงเพื่อจะถามว่ายัยเดียร์หลับหรือยัง”
กานนฟังบัวบงกชอย่างเข้าใจดี ทั้งคู่มองหน้ากันหนักใจ
บัวบงกชพากานนมานั่งคุยในห้องรับแขกสาวใช้ยกแก้วน้ำให้กานนกับบัวบงกชแล้วค้อมตัวออกไป
บัวบงกชเปิดเรื่องกับกานนทันที
“อาว่าคุณคงรู้เรื่อง....ทั้งหมดแล้ว”
กานนหน้าเครียดพยักหน้าน้อยๆ อย่างหนักใจ
“ครับ เดียร์เล่าให้ผมฟัง แต่ผมยังคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะช่วยเค้ายังไงดี”
บัวบงกชมองหน้ากานนอย่างพยายามอ่านใจว่ากานนมีความคิดอย่างไร
“อาว่าอาจะคุยกับหนูมัสลินเพราะเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดยัยเดียร์คนเดียว ลำพังยัยเดียร์คงไม่คิดทำร้ายใครได้รุนแรงขนาดนี้ หนูมัสลินเป็นคนจิตใจดีคงเข้าใจ”
กานนไม่เห็นด้วยรีบห้ามบัวบงกช
“ผมว่าอย่าเพิ่งดีกว่าครับคุณอา ผมเห็นด้วยที่ว่ามัสลินเป็นคนจิตใจดี มัสลินอาจไม่เอาเรื่อง แต่คนที่รักและพร้อมเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมัสลินมีอีกหลายคน”
บัวบงกชนิ่งฟังกานนแล้วคิดตาม
“คุณหมายถึงจิรดา...แม่เขา”
บัวบงกชพูดออกไป นึกถึงจิรดาแล้วสะท้อนใจหยุดกึกอยู่แค่นั้น
“แล้วยังมีคุณเก๋ นายคิม หรือแม้กระทั่ง....นายกุ” กานนหน้าสลดไปเช่นกันเมื่อเอ่ยถึงกุเทพ
“ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะยอม”
“แล้วคุณคิดว่าพวกเขาจะสืบหาตัวคนทำไหม”
กานนนิ่งไปอย่างหนักใจ
“ผมคงตอบคุณอาไม่ได้ แต่ตอนนี้ทางที่ดีที่สุดเราคงต้องนิ่งแล้วดูเหตุการณ์”
มุมหนึ่งของห้อง สาวใช้ที่นำน้ำมาเสิร์ฟยังซุ่มฟังอย่างตั้งใจ แบบเตรียมตัวมาก่อนหน้าแล้ว บัวบงกชมีสีหน้าหนักใจกว่าเดิม เอื้อมมือไปจับมือกานน
“คุณกานน อาขอนะคะเรื่องคลิปมัสลินที่คุณรู้มาทั้งหมดอย่าแพร่งพรายให้ใครรู้อีก มันคงไม่เป็นการดีกับทั้งยัยเดียร์เองแล้วก็...มัสลิน”
กานนมีสีหน้าเป็นกังวลด้วยความไม่มั่นใจว่าเรื่องจะจบง่ายอย่างบัวบงกชคิด
“แต่จะว่ากันตามจริงแล้ว มันก็ไม่ยุติธรรมกับมัสลินเลย”
“อารู้อารู้ แต่...” บัวบงกชมีสีหน้ายุ่งยากใจ
“อาไม่ได้สบายใจ เรื่องนี้มันหนักสำหรับอา หนักเสียยิ่งกว่าหนัก”
บัวบงกชบอกเสียงเครือ จนกานนตกใจ
“ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดอะไรให้กระทบคุณอา”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ...คุณไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของอาหรอก ไม่มีใครสักคน...”
“คุณอา...”
กานนมองบัวบงกชอย่างไม่เข้าใจ แววตาสาวใช้เป็นประกาย สีหน้าหมายมาด
หลังจากได้ยินเรื่องที่แอบฟังมา สาวใช้ก็ลุกลี้ลุกลนวิ่งตรงออกไปที่สวนหน้าบ้าน เหลียวซ้ายแลขวามั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นก็ควักโทรศัพท์มือถือที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมา
“เอาละเว้ย ข่าวใหญ่ล่ะทีนี้ยิ่งไม่อยากให้ใครรู้ก็ยิ่งต้องบอกน่ะสิวะ เจ้านายขา อย่าลืมค่าจ้างนังแจ๋วนะเจ้าคะ ฮิๆ ได้ตังค์มาแทงหวยแล้วเว้ยงวดนี้”
สาวใช้ก้มหน้าก้มตากดไล่รายชื่อในโทรศัพท์ หน้าจอมือถือหยุดอยู่ที่ชื่อ “คุณผู้ชาย” สาวใช้กระหยิ่มยิ้มย่องรีบกดโทรออกเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระวังตัวตลอดเวลา
“รับสิคะคุณผู้ชาย ฮะ ฮาโหล ค่ะคุณผู้ชาย ได้เรื่องแล้วนะคะ...”
สาวใช้รีบรายงานเรื่องที่ได้ยินมาให้เตชรู้
ส่วนที่บ้านมัสลิน จิรดาเห็นมัสลินยืนนิ่งไม่พูดอะไรจึงพูดต่อ
“ฉันจะจัดการมันนังคุณหนูมธุริน ให้มันเลิกยุ่งกับแกอย่างเด็ดขาด”
“อย่าไปยุ่งกับเค้าเลยแม่ ที่จริงมันก็ไม่ใช่ฝีมือเค้าซะทีเดียว”
“แกหมายความว่าไง”
“คือ... มัน... ไม่ใช่หรอกแม่ ไม่ใช่ธุรินหรอก แค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ”
“เข้าใจผิด ผิดยังไง”
มัสลินมองหน้าจิรดาก็รู้ว่าจิรดาจะไม่จบแน่ๆ จึงตัดบท
“แม่ ให้มันแล้วๆ กันไปเถอะนะ อย่าไปฟื้นฝอยหาอะไรอีกเลย มัสเหนื่อยเกินกว่าจะมีเรื่องอะไร ๆ อีกแล้ว มัสไปนอนนะแม่”
มัสลินออกไปอย่างรวดเร็ว จิรดามองตามหลังมัสลินไปอย่างไม่หายข้องใจ
“แกมันอ่อนนังมัส”
มัสลิยกลับเข้าห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ด้วยสีหน้าอ่อนระโหย
“จะให้มัสจัดการเค้าอย่างนั้นน่ะเหรอแม่ คนอย่างนั้น... มัสจะไปทำอะไรเค้าได้”
มัสลินครุ่นคิดถึงมธุรินด้วยสีหน้าอ่อนล้า โดยเฉพาะภาพที่โรงแรมทำให้มัสลิน ยิ้มปลอบใจตัวเองพลางทิ้งตัวพิงหัวเตียง
“จบ ๆไปซะทีเถอะ”
มัสลินหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกทางหางตา
แต่แล้วจู่ๆ มัสลินก็ลืมตาขึ้นพลันด้วยความรู้สึกเหมือนมีใครสักคนอยู่ข้างเตียง มัสลินค่อยๆ หันมองแล้วตกใจมาก
“....พ่อ....”
มัสลินเห็นภาพเบลอของภาษิตที่ก้าวมานั่งลงใกล้มัสลิน
“มัสลูกพ่อ”
ภาษิตลูบผมมัสลินอย่างอ่อนโยน มัสลินตะลึงงัน คว้ามือภาษิตมาสลับกับจ้องหน้าภาษิต
“นี่พ่อจริงๆด้วย!”
“ใช่ พ่อเอง” ภาษิตยิ้มมัสลินโผกอดภาษิต น้ำตาร่วงพรู
“พ่อ! มัสคิดถึงพ่อ”
มัสลินกอดภาษิตซุกหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ภาษิตกอดมัสลินลูบหัวอย่างรักใคร่
“พ่อจำไม่ได้ว่าลูกสาวพ่อกลายเป็นคนขี้แยไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
มัสลินเงยหน้ามองภาษิต ภาษิตป้ายน้ำตาออกให้มัสลิน
“ตั้งแต่ที่พ่อทิ้งมัสไป มันมีเรื่องราวมากมายหลายอย่างเกิดขึ้นกับมัส มัสเหนื่อยเหลือเกินค่ะพ่อ มัสไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้ยังไงพ่ออยู่กับมัสนะคะ อย่าทิ้งมัสไปอีก”
“พ่อก็นั่งอยู่นี่แล้วไง มัสมีอะไรอยากเล่าให้พ่อฟังไหมล่ะ”
มัสลินมองหน้าภาษิตแล้วพยักหน้าเหมือนเด็กๆ มัสลินคุยกับภาษิตยาวนาน ภาษิตปลอบโยนมัสลินจนมัสลินเริ่มมีรอยยิ้มและกลายเป็นหัวเราะ
“เห็นมั้ย หัวเราะออกแล้ว”
“จริงด้วยสิคะพ่อ นี่มัสหัวเราะได้ยังไง ในเมื่อมัสยังเศร้าอยู่เลย”
“ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจเราเองนะลูก ถ้าลูกคิดว่ามันเศร้า ตัวเองก็เศร้า ถ้าจะไม่เศร้าก็ต้องคิดให้ตัวเองสุข ...เท่านั้นเองจริง ๆ” มัสลินทำท่าจะแย้ง
“อย่าบอกเลยว่ายาก ถ้าลูกยังไม่ได้ลองทำ” ภาษิตจับไหล่ทั้งสองของมัสลิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ต่อแต่นี้ไปคิดแต่สิ่งดี ๆ นะลูกนะ มันจะทำให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนจากทุกคน อย่าติดบ่วงความคับแคบของการคิดร้าย คิดแง่ลบ ที่มันจะนำแต่ความทุกข์ใจมาให้ลูก ...แล้วที่สำคัญ ลูกต้องเข้มแข็งนะ รับปากพ่อสิ”
“ค่ะพ่อ” ภาษิตพยักหน้าพอใจ
“ม่านมัสลิน ...พ่อรักหนูนะลูก”
ภาษิตดึงมัสลินมากอด มัสลินหลับตาลง ยิ้มมีความสุข
“มัสก็รักพ่อค่ะ”
มัสลินลืมตาขึ้น กรอกตาไปรอบๆ แล้วร้องเรียกภาษิต
“พ่อ!”
ภายในห้องบัดนี้มีเพียงมัสลินนอนอยู่บนเตียงและพรวดพราดลุกขึ้น
“พ่อ!.....” มัสลินร้องไห้ พอรู้ว่าตัวเองฝันไป “พ่อทิ้งมัสไปอีกแล้ว ...พ่อ...”
มัสลินเอื้อมมือไปหยิบรูปภาษิตที่หัวเตียงมากอดร้องไห้อย่างน่าสงสาร เสียงภาษิตยังดังก้องอยู่ในความคิด
“ลูกต้องเข้มแข็งนะ ...รับปากพ่อสิ”
“ค่ะพ่อ...มัสจะเข้มแข็ง”
กุเทพมาส่งพินสุดาที่บ้าน พิณสุดาดันหลังกุเทพให้เดินเข้าไปที่ห้องโถงท่าทางรื่นเริงเกินปรกติ
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งกิ๊บถึงบ้าน กุใจดีอย่างนี้กิ๊บรู้สึกดีจริงๆ เลยค่ะ”
“ผมยังคุยกับคุณไม่จบก็แค่นั้น”
“กิ๊บรู้ค่ะ แต่ขอคิดเลยเถิดว่ากุตั้งใจจะทำดีกับกิ๊บ ...ได้มั้ยคะ”
พิณสุดาจับกุเทพนั่งลง ส่วนตัวเองก็ลงนั่งเสียชิด กุเทพขยับตัวออกห่างกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกพิณสุดาชิงพูดขึ้นซะก่อน
“ดื่มกาแฟกับกิ๊บก่อนละกันนะคะ แล้วอยากจะคุยจะซักอะไรก็เชิญตามสบาย”
พิณสุดาบอกแล้วลุกขึ้นไปจัดการทันที...พิณสุดาแอบหยิบซองอะไรออกมาจากกระเป๋ากางเกงกำไว้ที่มือยิ้มกับตัวเองอย่างมีเลศนัยแล้วชำเลืองหันหลังไปมองกุเทพที่นั่งหน้าตาไม่สบอารมณ์อยู่ที่โซฟา...
พิณสุดาหายไปพักใหญ่กว่าจะเดินถือแก้วกาแฟกลับมา
“รอนานไหมคะ กิ๊บจำได้ว่ากุไม่ชอบกาแฟแบบสำเร็จรูป เลยเสียเวลาต้มนานหน่อย”
กุเทพอดทนต่อไปไม่ไหวลุกขึ้นยืน
“กิ๊บผมบอกแล้วไงว่าผมมานี่ไม่ได้จะมากินกาแฟอะไรของคุณ”
พิณสุดาทำเป็นไม่ได้ยินวางกาแฟลงที่โต๊ะแล้วเดินไปโอบเอวกุเทพ
“ใจเย็นก่อนสิคะกิ๊บก็แค่ดีใจที่วันนี้กุยอมเข้ามาที่บ้านกับกิ๊บ เราจะพูดดีๆ กันสักนิดไม่ได้เหรอคะ”
พิณสุดาเริ่มกระบวนการยั่วยวนดึงตัวกุเทพเข้ามากอดแล้วจับตัวกุเทพให้นั่งลงที่โซฟา กุเทพเหมือนยอมแต่โดยดีแต่แล้วก็แกะมือพินสุดาออก
“ผมอยากรู้เรื่องที่คุณพูดกับผมตั้งแต่ที่ร้าน ..เรื่องคลิปของมัส” พิณสุดาได้ยินชื่อมัสลินก็ชะงักไปนิดหนึ่ง พยายามสะกดอารมณ์ไว้
“คุณพูดถึงคุณเดียร์ ผมอยากรู้ว่ามันไปเกี่ยวอะไรกับคุณเดียร์ทำไมต้องถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย”
อารมณ์โกรธของพิณสุดาพุ่งพรวดขึ้นมา
“นังมัสลินมันรู้บ้างมั้ยคะว่ากุทำตัวเป็นไอ้โง่ พูดปาวๆๆใส่กิ๊บอยู่นี่ก็เพื่อมัน”
“พิณสุดา!”
“ทำไมคะ!”
“ได้ ในเมื่อคุณไม่บอกผมก็ไม่เป็นไร ผมจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”
กุเทพผุดลุกขึ้นทันทีทำท่าจะกลับ
“ป่วยการจะมาเอาเรื่องเอาความอะไรกับคนอย่างคุณจริงๆ”
พิณสุดาเห็นกุเทพลุกก็หน้าเสียเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนลง รีบกอดแขนแล้วซบไหล่กุเทพ
“กุอย่าไปนะ เอาละ ๆ เดี๋ยวกิ๊บจะเล่าให้ฟังให้หมดเลยค่ะ กุนั่งลงก่อนนะ นะคะ”
กุเทพมองหน้าพินสุดาอย่างไม่ไว้ใจนัก แต่เมื่อพิณสุดาบอกจะเล่ากุเทพจึงยอมนั่งลงแต่โดยดี พิณสุดาเอาใจยกแก้วกาแฟจากโต๊ะยื่นให้กุเทพแทบจะป้อนให้ถึงปาก
“กิ๊บอุตส่าห์ต้มกาแฟมาให้ ดื่มซะก่อนนะคะแล้วเดี๋ยวเรามานั่งคุยกัน”
กุเทพผลักแก้วกาแฟออกห่าง
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพยายามจะทำอะไรแต่ถ้าเจตนาคุณจะดึงเวลาไปเรื่อยๆ ผมไม่มีเวลานั้นให้คุณ”
พิณสุดาทนสะกดอารมณ์ไว้ไม่ไหวส่งเสียงดังใส่กุเทพ
“นี่กิ๊บอดทนมากแล้วนะกุ กะอีแค่กุทำดีกับกิ๊บแค่สักนาทีเดียวมันจะตายรึยังไง”
กุเทพส่ายหน้าระอาพิณสุดา ยันตัวลุกขึ้นจังหวะเดียวกับที่พินสุดาก็พรวดลุกขึ้นตามทำให้กาแฟที่อยู่ในมือพินสุดาหกกระฉอกเปรอะเสื้อกุเทพ
“ว้าย! ร้อนมั้ยคะกุ!”
พิณสุดาคว้ากระดาษทิชชูมาเช็ด
“กิ๊บไม่ได้ตั้งใจ ถอดเสื้อออกก่อนนะคะ”
“ปล่อยผม”
“ไม่ค่ะ กิ๊บไม่ปล่อยกุกลับไปอย่างนี้หรอก ไปล้างก่อนนะคะ”
พิณสุดาคว้าแขนกุเทพตรงไปทางหนึ่ง กุเทพก้มมองสภาพตัวเองอย่างหัวเสีย
พิณสุดาพากุเทพเข้ามาในห้องน้ำแล้วจัดแจงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเช็ดให้อย่างลนลาน และพยายามจะปลดกระดุมเสื้อกุเทพ
“ดีนะคะที่กาแฟไม่ได้ร้อนมาก”
กุเทพปัดมือพินสุดาบอกให้พอ
“พอเถอะกิ๊บ ช่างมัน ผมจะกลับแล้ว”
พิณสุดารีบลนลานเช็ดให้จนเสื้อกุเทพเปียกชุ่มด้วยน้ำ
“เปียกไปหมดแล้ว รอแป๊บนะคะ เดี๋ยวกิ๊บไปเอาเสื้อตาโก้มาให้กุเปลี่ยนดีกว่าค่ะ”
พิณสุดาไม่รอคำตอบจากกุเทพผลุนผลันออกจากห้องน้ำ
พิณสุดาถือเสื้อเชิ้ตออกมาตัวหนึ่งจากห้องของพีระพลอย่างรีบร้อน ด้วยความกลัวว่ากุเทพจะหนีกลับออกไปก่อน ทันใดนั้นเองศิธาก็เดินเข้ามาอย่างหัวเสีย
“ไปไหนกันหมดเนี่ย อ้าวพี่กิ๊บ ทำไมผมโทรมาไม่มีคนรับสายเลยล่ะ”
พิณสุดาหน้าเหวอเมื่อเห็นศิธา รีบพุ่งใส่ศิธาเอามือไปปิดปาก แล้วทำสัญญาณว่าให้เงียบไปก่อน
“ชู่ว์ หุบปากของเธอไว้ก่อนเลยนะ”
ศิธาไม่เฉลียวดึงมือพินสุดาที่ปิดปากตัวเองไว้ออกแล้วโวยวายต่อ
“อะไรของพี่เนี่ย รู้บ้างไหมว่าที่สตูฯ ผมมันวุ่นวายแค่ไหน ลูกน้องผมมันบอกมาว่ามีคนบุกเข้าไปค้นเทปให้วุ่น”
กุเทพก้าวออกมาจากห้องน้ำ มองตามเสียงเอะอะแล้วหยุดเท้าพลัน พิณสุดาพูดเสียงเบาพยายามบอกให้ศิธาลดเสียงลง
“นี่เธอเลิกโวยวายได้มั้ย”
พิณสุดาเหลือบไปทางห้องน้ำ หน้าห้องน้ำตรงที่กุเทพเคยยืนอยู่ตอนนี้ว่างเปล่าเพราะกุเทพ
หลบไปซ่อนตัวลอบฟังพิณสุดากับศิธาอย่างตั้งใจ ศิธายังคงไม่เข้าใจที่พินสุดาพูดโวยวายต่อเสียงดัง
“นี่มันเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ ไม่เกี่ยวกับผมเลย บอกไว้ก่อนเลยนะพี่กิ๊บถ้าเรื่องคลิปมันแดงขึ้นมาพี่กับโก้จะต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด ผมไม่เอาด้วยแล้วนะ ยิ่งถ้ารู้ถึงหูป๊าผมขึ้นมาผมตายแน่”
กุเทพเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ จึงก้าวเข้ามา
“ฉันว่าแล้วว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับพวกแก”
พิณสุดปราดไปที่กุเทพ
“เอ่อ กุคะ นี่ไง!กิ๊บเอาเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยนแล้ว เมื่อกี้บอกอยากกลับไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวกุเปลี่ยนเสื้อแล้วกลับก่อนก็ได้นะ”
กุเทพดันพิณสุดาออก แล้วชี้หน้าศิธา
“ทำร้ายผู้หญิงได้ขนาดนี้ มัสลินไปทำอะไรให้แก เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่าวะ”
ศิธาโดนกุเทพด่าเข้าก็โมโหจะปรี่เข้าเล่นงานกุเทพ พิณสุดารีบเข้าไปจับตัวศิธาไว้พร้อมหันหากุเทพ
“กุกลับไปก่อนนะคะ”
กุเทพจ้องหน้าศิธาอย่างเอาเรื่อง
“จำไว้นะเรื่องแกทำคลิปมัสลินน่ะฉันไม่ปล่อยไว้เฉย ๆ แน่”
กุเทพพูดจบก็หันหลังกลับไป ศิธาสะบัดหลุดจากพินสุดาก็สาวเท้าเข้าไปกระชากไหล่กุเทพ
“ฉันก็ไม่ปล่อยให้แกด่าฉันฟรีๆ เหมือนกัน!”
ศิธาชกเข้าที่หน้าของกุเทพ กุเทพจับที่มุมปากมีเลือดไหลซิบๆ ตั้งหลักได้ก็หันกลับไปซัดศิธากลับทันที พิณสุดาทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตะโกนห้ามกุเทพทีศิธาที
“ศิธา กุ พอได้แล้ว ว้าย!”
กุเทพและศิธาชกต่อยกันอุตลุด พีระพลเดินเข้ามาโดยที่ไม่มีใครสังเกต เห็นกุเทพกับศิธากำลังตะลุมบอนกันก็ตกใจ
“ว้าย นี่มันอะไรกัน หยุดนะ!”
ศิธาเสียทีกุเทพล้มลง กุเทพเงื้อมือชกศิธาไม่ยั้ง พลันพิณสุดาร้องลั่น
“กรี๊ดดด ตาโก้อย่า กุระวัง”
กุเทพหันหลังไปตามเสียงพิณสุดาร้อง พีระพลฟาดแจกันเข้าที่หัวกุเทพ กุเทพเซล้มลง เฟอร์นิเจอร์ในห้องล้มระเนระนาด มีเลือดไหลจากหางคิ้วกุเทพ พิณสุดาปรี่เข้าไปหากุเทพทันที
“กุ! เลือด! กุเลือดออกนะคะ” กุเทพเอามือกุมที่หัวคิ้วตัวเองจ้องไปที่ศิธากับพีระพล ชันตัวขึ้นจะเอาเรื่องอีก พิณสุดาโอบกุเทพไว้
“พอเถอะค่ะ กิ๊บขอร้องนะคะ กุต้องไปโรงพยาบาล”
กุเทพเริ่มมึนหัว พูดไม่ออก พิณสุดาพยุงกุเทพแล้วหันไปต่อว่าพีระพลที่ทรุดตัวลงดูอาการศิธาที่ยับเยินใบหน้าบวมปูด
“ไอ้โก้นี่แกทำอย่างนี้กับกุได้ยังไง เดี๋ยวนะฉันจะกลับมาจัดการกับพวกแก”
พิณสุดาค่อยๆ พยุงกุเทพออกไปจากห้อง พีระพลไม่สนใจ ส่งเสียงตกใจไปกับอาการศิธา
“ศิธา อย่าเป็นอะไรนะ โก้อยู่ตรงนี้แล้วนะ”
ศิธาจ้องกุเทพที่ออกไปจากห้องด้วยความเคียดแค้น
“ฉันจะฆ่ามัน!”
อ่านต่อหน้า 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 12 (ต่อ)
พิณสุดาพยุงกุเทพออกมาจนถึงรั้วหน้าบ้าน
“เลือดออกเยอะมากเลยกุ เดี๋ยวกิ๊บขับเองนะคะ ไปโรงพยาบาลกันค่ะ ไหนคะกุญแจ”
พิณสุดาคลำตามกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงกุเทพเพื่อหากุญแจรถ กุเทพมองหน้าพิณสุดาอย่างเกลียดชัง สะบัดตัวจากพิณสุดาแล้วฝืนประคองตัวเองเดินไปที่รถ พิณสุดาเดินตามเข้าไปประชิดแต่ถูกกุเทพตวาดกลับมา
“เลิกยุ่งกับผมซะที กลับไปอยู่กับพวกเลวๆ ของคุณเถอะ ไป!”
กุเทพโซซัดโซเซเปิดประตูรถตัวเอง พิณสุดาตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น
“ถ้าเปลี่ยนจากกิ๊บเป็นนังมัสลินกุคงไม่ไล่เหมือนหมูเหมือนหมาอย่างนี้สินะคะ กุรักมันมากขนาดยอมเจ็บตัวเพื่อมันขนาดนี้เลยเหรอ”
กุเทพชะงัก มือยังคงกุมแผลที่หัวคิ้ว
“ผมคงไม่เลวพอที่จะทนดูผู้หญิงคนหนึ่งถูกผู้ชายรุมรังแกหรอก ไม่ใช่แค่มัสลินนะที่ผมจะช่วย แต่เป็นผู้หญิงทั้งโลก ยกเว้นคุณ”
พิณสุดายืนสั่นไปทั้งตัว แววตาทั้งเจ็บแค้นทั้งเจ็บปวด
“รวมถึงนังเดียร์...นังคุณหนูปัญญาอ่อนนั่นด้วยใช่ไหม”
“คุณเดียร์เป็นเพื่อนคุณแท้ๆนะ กิ๊บ... คุณนี่มัน...”
“หึ...กิ๊บรู้แล้วละที่คุณทำนี่ ถ้าไม่ใช่เพื่อมัสลินก็ต้องนังเดียร์ บอกมาสิว่าไม่ใช่!”
กุเทพมองหน้าพิณสุดาอย่างเกลียดชังก่อนจะทิ้งประโยคสุดท้ายแล้วยันตัวเองขึ้นรถ
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด”
กุเทพปิดประตูรถดังปังแล้วสตาร์ทรถ พิณสุดาร้องกรี๊ดออกมา วิ่งตามตะปบฝากระโปรงท้ายรถกุเทพ
“หยุดนะกุ อย่าไปนะ กุ!”
รถกุเทพออกตัวไป พิณสุดาเสียหลักล้มลงกับพื้น เธอจึงส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บแค้น
กุเทพในสภาพมีผ้าปิดแผลแปะอยู่ที่หัวคิ้ว เสื้อผ้าเปรอะเปรื้อนทั้งคราบกาแฟและเลือดเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องกานน กุเทพยกแขนเอาศอกยันหน้าประตูห้องกานนไว้ อีกมือหนึ่งตบที่ประตูดังปังๆ กุเทพถอยตัวออกมาตอนได้ยินเสียงกุกกักที่ลูกบิดประตู
กานนถึงกับผงะเมื่อเห็นสภาพกุเทพที่หน้าห้อง
“นายกุ นี่แกไปโดนอะไรมา”
กุเทพยกมือขึ้นห้ามกานนเมื่อเห็นกานนจะอ้าปากพูดแล้วพาตัวเองเดินเข้าห้องกานน
“อย่าเพิ่งถามนะอาปลิว ขอผมเข้าไปข้างในก่อนเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
กานนพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง ประตูห้องกานนปิดลง
กุเทพกับกานนนั่งอยู่ที่ชุดโซฟารับแขกในห้องส่วนตัวของกานน หน้าตาเคร่งเครียดทั้งคู่
“แล้วแกรู้ไหมว่าไอ้ศิธามันหมายถึงใครที่ว่าบุกไปรื้อสตูฯ แล้วถูกจับได้น่ะ”
กุเทพส่ายหน้าอย่างรู้สึกผิดนิดๆ ถึงความวู่วามของตัวเอง
“ผมมันใจร้อนไปเอง ถ้าอดทนฟังมันได้อีกสักนิดคงรู้”
กานนครุ่นคิดสับสน
“คนที่จะยอมเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น เพื่อมัสลิน...”
“ก็มีแต่ผมนี่ละฮะ เห็นๆ อยู่นี่”
“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะเจ้ากุ คนๆ นั้นอาจจะ...”
“ตาย”
“อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ...ฉันนึกถึงนายคิมนะ”
“คิม? คิม ลี อะไรนั่นน่ะเหรอฮะ”
กานนพยักหน้าช้าๆ อย่างทบทวนความจำ กานนมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“มัสลินบอกว่าคิม ลี ไม่ว่าง ...เท่าที่ฉันรู้มา นายคิมไม่น่าจะมีคำว่าไม่ว่างสำหรับมัสลิน”
กุเทพฟังกานนอย่างไม่เข้าใจนัก
“อาปลิวกำลังจะบอกว่าคนที่ไอ้ศิธามันพูดถึงคือนายคิมนี่น่ะเหรอฮะ”
กานนพยักหน้าอย่างวิตก
ขณะนั้นดุสิตยังอยู่ที่ออฟฟิศ ดุสิตนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานของตัวเองอย่างไม่เป็นสุข ดุสิตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นอูอย่างใช้ความคิด ขณะเดียวกันสายตาก็จ้องที่โทรศัพท์มือถือเหมือนรอใครสักคนติดต่อมา
“ป่านนี้ทำไมยังไม่ถึงอีกวะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ดุสิตชะงัก ชันตัวขึ้นดูอย่างคาดหวังว่าจะให้เป็นคิม...
ประตูลูกน้องของดุสิตเดินค้อมตัวเข้ามา ในมือถือซองกระดาษนูนโป่งเพราะข้างในใส่เทปเบต้า
“มีคนเอาของมาให้นายครับ”
ดุสิตทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้อย่างหัวเสีย
“เอาวางๆ ไว้เหอะ แล้วอย่าให้ใครเข้ามากวนใจฉันอีก อ้อ ถ้านายคิมกลับมาให้เข้ามาบอกฉันด่วนเลย”
“ของนี่มาจากนายคิมน่ะแหละครับ”
“แกว่าไงนะ!” ดุสิตทำหน้างงแล้วยิ้มออกมา
“นายคิมกลับมาแล้วเหรอ!”
“ไม่ใช่ครับ มีแท็กซี่เอาซองนี่มาให้ แล้วฝากบอกนายว่ามาจากนายคิม เอาของให้ผมเสร็จก็รีบขับรถออกไปเลย”
“แกะออกดู!”
ลูกน้องทำตามคำสั่งดุสิต ดุสิตคว้าเทปไปพลิกๆ ดู “เอาลงซีดี เดี๋ยวนี้เลย!”
“ครับๆ นาย”
“เอาเลขทะเบียนแท็กซี่ให้ฉันด้วย”
“ไม่ได้จดไว้ครับ”
“วะ! ให้มันได้อย่างนี้สิ”
ลูกน้องอีกคนสีหน้าไม่สู้ดีเปิดประตูเข้ามา
“ไม่ได้เรื่องนายคิมเลยครับนาย สัญญาณโทรศัพท์จับได้ครั้งสุดท้ายก็ที่สตูดิโอที่นายบอกนั่นละครับ”
ดุสิตหน้าเสีย ลูกน้องสองคนรอรับคำสั่ง
“เอาซีดีมาให้ฉัน ...เดี๋ยวนี้เลย!”
ลูกน้องรับคำแล้วผลุนผลันออกไป สวนเข้ากับเกวลินที่มีถุงอาหารถือมาด้วย
“ยุ่งกันอยู่เหรอเนี่ย”
ดุสิตหันมองเกวลิน ประหลาดใจมาก
“ยัยเก๋ นี่มาได้ไงเนี่ย!”
เกวลินยืนทำหน้างอนอยู่ข้างรถตัวเอง ดุสิตยกมือไหว้ท่วมหัวขอโทษเกวลิน
“อย่าโกรธเลยน่ะ เอ้า ไหว้เลยแม่คู๊ณ ดีใจที่เพื่อนออกจากโรงพยาบาลก็จริง แต่ฉันมีเรื่องด่วนจัดๆต้องจัดการ แกกลับไปก่อน นะ...นะ “
เกวลินหัวเราะอารมณ์ดีขำในท่าทีของดุสิต
“ฮ่า ฮ่า เออ เอาเถอะๆ ไม่เป็นไร ฉันก็แค่ดีใจที่ได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที ก็เลยจะมาเซอร์ไพรส์แก อืม...งั้นฉันกลับก่อนละกัน แล้วอย่าลืมกินข้าวที่ฉันอุตส่าห์ถ่อสังขารไปซื้อมาเซอร์ไพรส์ล่ะ”
เกวลินก้าวกระเผลกอ้อมไปที่ประตูฝั่งคนขับ ดุสิตมองตามอย่างรู้สึกผิด
“โฮ้ย!ฉันปล่อยแกไปอย่างนี้ก็ไม่ใช่เพื่อนกันละ มานี่ๆ ฉันไปส่งแกที่บ้านเอง เดี๋ยวค่อยกลับมาจัดการเรื่องที่ออฟฟิศก็ได้”
เกวลินมองดุสิตขำๆ แล้วปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรฉันมาเองได้ก็กลับเองได้”
ดุสิตคว้าข้อมือเกวลินตรงไปที่รถทันที
“อย่ามาดื้อเอาตอนแก่น่ะ เอากุญแจรถมานี่”
ดุสิตคว้ามือเกวลิน แล้วแย่งกุญแจรถมา เกวลินแกะมือตัวเองออกจากดุสิต
“เดี๋ยว...ไอ้สิต ไม่ต้องมามีน้ำใจตอนนี้ ฉันยังไม่ได้จะกลับบ้าน” ดุสิตทำหน้างง เกวลินทำหน้ากระหยิ่มแล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบตอบดุสิตให้หายงง
“ฉันว่าจะแวะเข้าไปเซอร์ไพร้ส์ศิธาอีกคน”
พอได้ยินชื่อศิธา ดุสิตก็ตาลุกโพลงรีบห้ามเกวลิน
“ไม่ได้ไม่ให้ไป กลับบ้านเท่านั้น ไป เดี๋ยวฉันไปส่ง”
ดุสิตพูดพลางคว้าข้อมือเกวลินมาดึงให้เดินตามตัวเองออกไป เกวลินสะบัดมือออกอีกครั้ง
“อะไรของแกวะ ก็บอกแล้วยังไม่กลับบ้านตอนนี้ วันนี้แกดูแปลกๆ ไปนะสิตมีอะไรให้เล่ามาเดี๋ยวนี้เลย” เกวลินเหลือบตามองเข้าไปในออฟฟิศ
“รึว่ามีอะไรเกี่ยวกับฉัน”
“ไม่มีโว้ย” ดุสิตกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“แน่นะ โอเค งั้นฉันไปละ ไปหาศิธาดีกว่า”
พูดจบเกวลินก็ก้าวกระเผลกไป ดุสิตโพล่งตามหลังเกวลินไปทันที
“ไอ้เก๋...เลิกโง่ได้แล้ว ก็ที่แกเดินกระเผลกอยู่อย่างนี้ก็ฝีมือไอ้ศิธานั่นแหละ”
เกวลินชะงักเท้ากึกก่อนจะค่อยๆ หันกลับมาหาดุสิต
แกว่าไงนะ”
ดุสิตมีสีหน้าว้าวุ่น มองเกวลินนิ่ง จริงจัง เกวลินก้าวกลับมาหาดุสิต
“เมื่อกี้แกบอกว่า ที่ฉันเป็นแบบนี้เพราะ...ศิธา”
ดุสิตประจันหน้ากับเกวลิน ใจหนึ่งอยากบอกๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไป อีกใจหนึ่งก็กลัวเกวลินจะรับไม่ได้ ...สุดท้ายยกมือขึ้นตบปากตัวเองเพี้ยะ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉัน...โกหกน่ะ ฉันไม่อยากให้แกไป ฉันเลยพูดๆ มั่วๆ เรื่อยเปื่อย”
เกวลินจ้องหน้าดุสิต
“แกไม่ได้โกหก”
“ฉันโกหก”
เกวลินเสียงเครือ น้ำตาคลอ
“แกพูดถึงศิธาทำนองนี้มาสองครั้งแล้วนะสิต”
ดุสิตมีสีหน้าหนักใจพูดไม่ออกเกวลินยังคงจ้องหน้าดุสิตอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบ
“ศิธาไม่เคยมาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลเลยสักครั้งเดียว บอกแต่ว่าอยู่เมืองนอก” เกวลินน้ำตาไหล ดุสิตจับแขนเกวลินแน่น ทั้งเห็นใจเพื่อนและรู้สึกผิด
“สิต...ถ้าแกคิดว่าแกเป็นเพื่อนฉัน เล่าความจริงทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้เลย”
ดุสิตมีสีหน้าลังเล
ทางด้านพิณสุดา เธอเดินกลับเข้าบ้านหายใจแรงยืนนิ่งเรียกสติตัวเองกลับมาครู่หนึ่งก็พุ่งไปหาพีระพล
“พวกแกทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างมั้ย กุเลือดอาบขนาดนั้น แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอโก้ ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน”
“แล้วที่ไอ้พี่กุมันทำศิธาล่ะ หน้าศิธาดูได้ที่ไหนพี่กิ๊บแหกตาดูซิ!”
“ผมไม่ปล่อยมันไว้แน่ พี่กิ๊บไม่ต้องพูดให้เสียเวลา”
“เธอกับเค้ามันเจ๊ากัน เธอเจ็บเค้าก็เจ็บ ถ้าเธอตามราวีกุเทพ เธอกับฉันได้มีเรื่องกันแน่ศิธา อะไร ๆที่เธอไม่ให้ฉันบอกป๊าเธอฉันจะบอกให้หมด”
“พาลใหญ่แล้วพี่กิ๊บ”
“แล้วอะไรๆ ที่เธอไม่ให้ฉันบอกนายโก้ฉันก็จะบอกให้หมด”
“ห...หา ว่าไงนะ ศิธามีอะไรปิดโก้อีกงั้นเหรอ”
ศิธาถุยสำลีอมเลือดในปากทิ้งอย่างหัวเสีย
“โธ่โว้ย! หลีกไปผมจะกลับบ้าน!”
ศิธาดันพีระพลออก
“เธอยังกลับไม่ได้ ....เกิดอะไรขึ้นที่สตูฯ”
“สภาพศิธาเป็นอย่างนี้พี่กิ๊บยังมีกะใจจะซักเค้าอีกเหรอ”
“สมองโง่ๆของแกไม่คิดมั่งเลยเหรอว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาหาแก” พินสุดาจิ้มนิ้วที่หัวพีระพล
“ไอ้คนที่เข้าไปค้นเทปในสตูฯมันคือใครฮึศิธา”
“ไอ้คิม”
“คิม?”
“คิม ลี หุ้นส่วนฝั่งฮ่องกงของป๊าศิธา มันควงอยู่กับนังมัสลิน ก็คงเป็นเดือดเป็นแค้นแทนกันนั่นละ ลูกน้องศิธาเลยจัดการซะ”
“จัดการ จัดการยังไงล่ะ เล่าๆ มาให้หมดได้มั้ย”
“ก็อย่างที่รู้ๆ กัน”
“พวกแกอย่าบอกนะ...”
ศิธาพยักหน้า
“ผมกับโก้อยู่โซล กลับมาก็ไม่ทันแล้ว”
“พวกแก ...เป็นบ้าไปแล้ว...”
พิณสุดาหน้าซีดเผือด เมื่อรู้ว่ามีเรื่องความเป็นความตายมาเกี่ยวข้อง
เช้าวันรุ่งขึ้นมัสลินกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดมาเพราะเสียงกดออดรัวติดๆ กัน
“ใครมาแต่เช้าเนี่ย กดออดซะรัวเลยเดี๋ยวแม่ได้ตื่นกันพอดี”
“มัส ยัยมัส อ้าว อยู่นี่พอดี”
เกวลินพรวดเข้ามาในบ้าน มัสลินมองเกวลินอย่างประหลาดใจ
“พี่เก๋! มาได้ยังไงเนี่ย”
มัสลินจับเนื้อตัวเกวลินอย่างห่วงใย “หนีหมอมารึเปล่า”
“จะบ้าเหรอ พี่หายแล้วย่ะ”
“แล้วทำไมไม่บอก มัสจะได้ไปรับ”
“เอาเถอะๆ ยังไงพี่ก็ยืนอยู่นี่แล้ว ถ้ารู้ว่าพี่มานี่เรื่องอะไรมัสจะพูดไม่ออก”
“เกิดเรื่องอะไร”
“ล่าสุดเธอได้เจอหรือได้คุยกับคุณคิมเค้าเมื่อไหร่”
“คุณคิมเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเค้า”
“เรื่องมันยาวมัส ทั้งเรื่องตัวพี่เอง เรื่องของมัส แล้วก็เรื่องคุณคิม มัสฟังพี่ดี ๆ นะ”
เกวลินนั่งคุยกับมัสลินที่โซฟา
“นี่คุณดุสิตเล่าเรื่องนายศิธาให้พี่เก๋ฟังหมดเลย” เกวลินพยักหน้าอย่างกล้ำกลืน
“มัสเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ ..คือ..มัส”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ...พี่เข้าใจ เป็นใครก็พูดไม่ออก แต่ตอนนี้เรื่องศิธายังไม่ใช่ประเด็นหรอก ...พี่ห่วงคุณคิม”
“คะ?”
“ตอนที่พี่ไปหาเจ้าสิตเมื่อคืน สิตมันกำลังวุ่นเรื่องคุณคิมหายตัวไป”
“อะไรนะคะ”
มือถือเกวลินดังขึ้น เกวลินกดรับทันที
“เอ้อ...สิตว่าไง นี่ฉันอยู่บ้านยัยมัส มาคุยกับเค้าเรื่องคุณคิมนั่นละ” เกวลินหน้าถอดสีทันที
“แก..แกไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่มั้ย” มัสลินจ้องเกวลินเขม็ง พยายามเดาสิ่งที่เกวลินคุยสาย
“เออ...เออ... ฉันจะพามัสลินไปเดี๋ยวนี้” เกวลินลดมือถือลงอย่างโรยแรง
“พี่เก๋คะ?”
“สิตโทรมา” มัสลินพยักหน้ารับฟังอย่างร้อนใจ “ให้ไป...”
“อะไรคะพี่เก๋ ไปไหน คุณดุสิตโทรมาบอกว่าอะไร”
“ให้ไปดูศพคุณคิม...ที่โรงพยาบาล”
มัสลินงงงัน อ้าปากค้าง ไม่มีเสียงเล็ดลอดจากปาก
มัสลินรีบมาที่โรงพยาบาลตำรวจ ดุสิตกับมัสลินก้าวตามเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาในห้องดับจิต ใบหน้ามัสลินซีดเผือด ดุสิตวางมือที่ไหล่มัสลิน
“คุณไหวรึเปล่า”
มัสลินพยักหน้าเพียงเบาๆ ทั้งคู่ก้าวต่อไปหยุดที่กลางห้อง ซึ่งมีศพคลุมด้วยผ้าขาวตลอดทั้งร่าง
เจ้าหน้าที่ห้องดับจิตคุยอะไรสองสามคำกับตำรวจ ตำรวจหันพูดกับดุสิต
“รูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงกับเพื่อนของคุณ ยืนยันที่จะดูมั้ยครับ”
ดุสิตกับมัสลินมองหน้ากันแล้วพยักหน้า ตำรวจหันพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ห้องดับจิต
เจ้าหน้าที่เปิดผ้าคลุมศพ เผยให้เห็นใบหน้าศพนั้น มัสลินถึงกับคว้าแขนดุสิตไว้แน่น กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ตาจ้องแข็งค้างที่ศพ เช่นเดียวกับดุสิตที่ตกใจมากเมื่อเห็นหน้าศพ ตำรวจสอบถามทั้งคู่
“สภาพศพถูกแทงด้วยของมีคมสี่สิบกว่าแผล ศีรษะถูกทุบด้วยของหนักและของมีคม กะโหลกฉีกหายไปส่วนหนึ่ง” มัสลินเบือนหน้าหนีไปทางหนึ่ง ดุสิตสูดหายใจแรง เรียกกำลังที่อ่อนล้าเต็มที
“เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะพลิกศพให้ดูรอยสักกับรอยแผลเป็นที่ส่วนหลัง”
“รอยสักเหรอครับ”
“เจ้าหน้าที่ลงรายละเอียดไว้ว่าศพมีรอยสักลักษณะอักขระขอมอยู่ทั่วทั้งหลัง แบบเดียวกับที่แขนนี่”
ตำรวจว่าพลางชี้ให้ดูที่แขนทั้งสองของศพ ดุสิตทอดหายใจแรงคว้าตัวมัสลินมากอดไว้
“ไม่ใช่คุณคิมใช่มั้ย!”
ดุสิตหลับตา สั่นหัว กลั้นน้ำตาไว้ มัสลินถึงกับร้องไห้ออกมา กอดดุสิตแน่น
มัสลินออกจากโรงพยาบาลกำลังจะตรงไปที่ลานจอดรถพร้อมกับเกวลินและดุสิต
“โล่งใจไปทีนะที่ไม่ใช่คุณคิม พี่ละลุ้นใจระทึกเลยอยู่หน้าห้อง”
“ฉันสิจะหัวใจวายตายไปก่อนใคร เฮ้อ...เจ้าคิม แกอยู่ไหนของแกวะ”
“ถ้าคุณคิมต้องมาเป็นอะไรไปเพราะมัส มัสจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
“คิดอะไรอย่างนั้นมัส คุณคิมจะต้องไม่เป็นไรสิ”
มัสลินมีสีหน้าทุกข์ใจ
“จริงอย่างยัยเก๋ว่าแหละ เจ้าคิมมันไม่เป็นอะไรไปง่าย ๆหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคิมอยู่ไหนล่ะ”
ทั้งดุสิตกับเกวลินต่างเงียบไป
“มัสเองก็อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าคุณคิมไม่ได้เป็นอะไร แต่มัสทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ปรกติ นี่เราควรทำยังไงกันดี”
มัสลินเสียงสั่นจะร้องไห้ รถกานนแล่นเข้ามาจอดใกล้กับพวกมัสลิน กานนก้าวลงจากรถมาหามัสลินอย่างรวดเร็ว
“เป็นยังไงบ้างครับ น้าพัดกับแป้นบอกว่าคุณมา...ดูศพที่นี่ ผมเลยรีบตามมา”
เกวลินเห็นมัสลินยังคงยืนนิ่งจึงหันตอบกานนแทน
“ไม่ใช่คุณคิมค่ะ”
กานนทำท่าโล่งใจออกมา มัสลินสะบัดตามองหน้ากานนอย่างจับผิด
“ฉันไม่เคยเห็นคุณจะเคยใส่ใจในความเป็นไปของคุณคิม อะไรทำให้คุณต้องถึงขั้นตามมาที่นี่”
มัสลินจ้องหน้ากานนเขม็ง กานนอึกอักเริ่มทำตัวไม่ถูก ดุสิตกับเกวลินเริ่มจ้องหน้ากานน
“หรือคุณไปรู้อะไรมา”
กานนเอ่ยเสียงขรึมกับมัสลิน
“ขอเวลาผมสักครู่ได้มั้ย”
กานนบอกแล้วคว้าแขนมัสลินก้าวออกไป เกวลินทำท่าจะก้าวตามแต่ดุสิตดึงไว้
“ดึงฉันไว้ทำไมเล๊า แบบนี้มันไม่สวยนะ มายื้อมายุดไรกันยะ เมื่อคืนเพิ่งควงแฟนเฉิบๆ ทิ้งยัยมัสไปแท้ ๆ”
“ชกมันเลยมะ” ดุสิตตั้งท่าจะไปจริง
“เฮ้ยจะบ้าเหรอ!”
เกวลินว่าพลางชะเง้อชะแง้มองตามกานนกับมัสลิน
พอห่างจากพวกเกวลิน มัสลินก็แกะมือกานนออก
“ไม่ต้องดึงฉันออกมาห่างขนาดนี้ก็ได้ ฉันไม่ใช่คนเสแสร้งกับใคร เรื่องจริงเป็นยังไงก็ให้รู้ๆ กันไปอย่างนั้น”
“คุณไม่แคร์ แต่เดียร์เค้าแคร์”
มัสลินจ้องกานนอย่างกล้ำกลืน
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ที่จะพูดก็เรื่องมธุรินแฟนของคุณสินะ ถ้างั้นก็อย่าเสียเวลาเลยค่ะ”
“ฟังผมอธิบายก่อนได้มั้ยมัสลิน”
“คุณจะอธิบายอะไรอีก ในเมื่อคุณก็พูดอยู่โต้งๆ แล้วว่าที่คุณฉุดกระชากฉันมานี่ก็เพื่อปกป้องแฟนคุณที่ไม่เคยสนว่าใครจะเดือดร้อน ใครจะหมดอนาคต ใครจะต้องตากหน้าถอดเสื้อผ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองทั้งที่ไม่เคยทำอะไรชั่วๆ ตามคลิปนรกที่แฟนคุณทำขึ้น!”
มัสลินพูดรัวเร็วอย่างอัดอั้น กานนเอ่ยออกมาอย่างอึ้ง ๆ
“มัสลิน...”
มัสลินเริ่มรู้สึกตัว สีหน้าสลดลง
“ฉัน...ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดมันออกมา ก็แค่พูดไปตามอารมณ์ แฟนคุณไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ฉันพูด คือฉัน...”
“ผมรู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ว” มัสลินจ้องตากานนอย่างประหลาดใจ
“คุณพูดถูกแล้วละว่าที่ผมมานี่ก็เพื่อจะปกป้องมธุริน”
“ถึงแม้ว่าเรื่องที่แฟนคุณทำมันจะเลยเถิดไปถึงชีวิตของคุณคิมอย่างนั้นเหรอ”
“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น เดียร์ทำลงไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผม...”
มัสลินสวนขึ้นทันควัน
“ฉันจะเอาเรื่องมธุรินให้ถึงที่สุด! ไม่ว่าฉันจะตามหาคุณคิมพบหรือไม่พบฎ
“โธ่มัสลิน” กานนคว้าไหล่ทั้งสองมัสลิน “คุณฟังผมบ้างได้มั้ย ฟังผม! มองหน้าผม! รู้ซะทีได้มั้ยว่าผมรักคุณ คนที่ผมรักคือคุณ แล้วผมก็แค่กำลังทำทุกอย่างให้มันลงตัวกับทุกฝ่าย”
มัสลินนิ่งไปพักหนึ่งราวจะคล้อยตามกานน แต่ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น
“มุกบอกรักของคุณมันใช้ไม่ได้ผลซะแล้วละค่ะ เสียใจด้วยนะ”
มัสลินปลดมือกานนออก แล้วเดินลิ่วไป
อ่านต่อวันพรุ่งนี้