ในรอยรัก
ตอนที่ 3
แฟชั่นโชว์ยังดำเนินต่อไป แต่นางแบบดูหลุกหลิก ไม่ค่อยมีสมาธิกันเท่าไร เดินผิดๆ ถูกๆ ทับคิวกันเอง เพราะขาดมัสลินไป ขณะเดียวกันนั้นบริเวณด้านหลังเวทีทีมงานคนหนึ่งกับเกวลินกำลังดูแลมัสลิน มีกระเป๋าเครื่องมือพยาบาลเบื้องต้นเปิดกางอยู่
“ไม่ไหวหรอกมัส เธอจะเดินต่อทั้งอย่างนี้ได้ยังไง”
มัสลินไม่ฟังเสียงเกวลิน พันผ้าพันแผลที่เท้าแน่นแล้วต้องเม้มปากเพราะโดนเข้ากับแผล เกวลินทนดูไม่ไหว ประคองตัวมัสลินขึ้น
“พี่ทนดูเธอเจ็บแบบนี้ไม่ได้หรอก ไปหาหมอ”
แต่มัสลินไม่ยอมไปหาหมอ เธอยืนยันที่จะเดินแฟชั่นต่อ
มัสลินก้าวเดินออกมายืนบนรันเวย์อย่างนางพญา หญิงสาวก้าวเดินอย่างมาดมั่น สายตาจับจ้องที่พิณสุดาและมธุรินที่นั่งชมอยู่ พิณสุดาอ้าปากค้าง
“ทำไมมันยังเดินได้ล่ะ” มธุรินมีสีหน้าโล่งอก
มัสลินเดินผ่านพินสุดาและมธุรินไปแล้วหยุดโพส สายตาจ้องเป๋งเอาเรื่องที่สองสาว แต่เริ่มเจ็บเท้า มัสลินเม้มปากแน่น...ขามัสลินที่พอยท์โพสอยู่สั่นระริก กานนมองท่าทีแปลกๆ ของมัสลิน
มัสลินกัดฟันก้าวเดินต่อ แล้วหยุดโพสนิ่งอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเองมัสลินก็เข่าอ่อน ทรุดลง กานนลุกพรึบ กุเทพแหงนหน้ามองงงๆ กานนก้มตัวลงบอกมธุริน
“คอยผมอยู่ตรงนี้นะ”
กุเทพเห็นมัสลินกองอยู่กับพื้น ผู้ชมอื่นๆ เริ่มลุกดูตาม
“มัส!” กุเทพผลุนผลันออกไป พิณสุดามีสีหน้างงงัน แล้วค่อยๆ หัวเราะออกมา
“เฮอะ ๆๆ นึกว่าจะรอด”
มธุรินหน้าเจื่อน รีบซักพิณสุดา
“เธอทำอะไรเค้ากิ๊บ” พิณสุดากลั้วหัวเราะ
“ก็บอกแล้วไง เวทีเลือด ไม่เห็นเหรอ ฮะๆ”
มธุรินเหลียวมองมัสลินด้วยความตกใจ มัสลินถูกคนประคองเข้าหลังเวที แฟชั่นโชว์เสื้อผ้าเซ็ทใหม่เข้าแทนที่
หลังเวทีมีแต่ความวุ่นวาย นักข่าวลอบเข้ามาถ่ายภาพเหตุการณ์ มัสลินเท้านองเลือด ผ้าพันแผลที่มัดเท้าไว้ชุ่มเลือด เกวลินหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
“โธ่เอ้ยมัส พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องออกไป เอ้าเร็วมาช่วยกันหน่อย”
เกวลินประคองร่างมัสลินขึ้นแต่ไม่ไหว เอวิ่งโร่เอากระเป๋าสะพายมัสลินเข้ามา
“กระเป๋าค่ะน้องมัสลิน ว้าย!” เอแกล้งสะดุดล้ม ทำของในกระเป๋ามัสลินเกลื่อนออกมา ในนั้นมีถุงเศษแก้วอยู่ด้วย “ตายแล้ว ทำไมในกระเป๋าน้องมัสลินมีของแบบนี้ล่ะคะ”
“นี่มันเศษแก้วที่อยู่ในรองเท้าน้องเค้าเมื่อกี้นี่”
มัสลินนิ่งงัน มองทุกคนกับถุงเศษแก้วงงๆ นักข่าวกดชัตเตอร์รัว กานนแหวกคนเข้ามาเห็นเหตุการณ์ นางแบบคนหนึ่งเอ่ยขึ้นโกรธ ๆ
“สร้างกระแสให้ตัวเองแบบนี้แย่มากเลยนะ เสียแรงอุตส่าห์ชมว่าทำงานดี”
กานนจ้องหน้ามัสลินแล้วตกใจ มัสลินหน้าซีดเพราะเสียเลือดมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พาเค้าไปหาหมอ!”
กานนบอกแล้วตรงไปหามัสลิน แต่กุเทพปราดเข้ามาแทรกและรับร่างมัสลินไปจากเกวลิน
“ผมเองฮะ”
มัสลินปรือตามองกานน กานนมองตามมัสลินที่ผ่านหน้าไป และห่างออกไปเรื่อยๆ กานนขยับจะตามไป แต่มธุรินเข้ามาเกาะแขนกานน เอามือปิดปากช็อกเมื่อเห็นเลือดที่พื้น
+ + + + + + + + + + + +
กานนขับรถไปส่งมธุริน ต่างฝ่ายต่างเงียบ มธุรินมีสีหน้าทุกข์ใจ
“มัสลินเค้าจะคิดว่าเดียร์เป็นคนทำรึเปล่าคะกานน ในเมื่อเดียร์กับเค้าเพิ่งจะมีเรื่องกัน”
กานนนิ่งไป ครุ่นคิดถึงสิ่งที่มธุรินเพิ่งเล่าให้ฟังว่ามีเรื่องตบตีกับมัสลิน
“ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจะคิดมากทำไมครับเดียร์ เลิกคิดเถอะครับ คนทำเค้ายังไม่คิดเลย”
“คุณรู้เหรอคะ”
“เดาครับ”
“เดียร์น่าจะบอกคุณหรือไม่ก็คุณกุเทพว่ามันจะเกิดเรื่อง”
“เดียร์ครับ...เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วนะครับ”
กานนปลอบมธุรินที่ดูขวัญเสียไม่เลิก
กานนขับรถมาส่งมธุรินที่บ้าน แต่หลังจากนั้นกานนก็ตัดสินใจเลี้ยวรถกลับไปที่โรงพยาบาลเพราะนึกเป็นห่วงมัสลิน
ขณะนั้นมัสลินถูกพาเข้าห้องฉุกเฉิน กุเทพกับเกวลินรอดูอาการมัสลินด้วยความเป็นห่วง
“นั่งก่อนเถอะกุ อีกเดี๋ยวหมอก็ออกมา”
“พี่เก๋แน่ใจนะฮะว่าเป็นคนของกิ๊บ”
“ก็ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอก แค่เห็นๆ เค้าคุยกันน่ะ พี่ว่าเราอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย” เกวลินลุกขึ้น
“เดี๋ยวพี่ไปหาน้ำกินหน่อย กุอยากได้อะไร” เกวลินเซ
“เฮ้ย!” กุเทพปราดเข้าประคองเกวลิน “เป็นอะไรกันไปหมดนี่ ไหวเปล่าเจ๊”
“แค่หน้ามืด ไม่ได้เป็นอะไร”
“นั่งเฉยๆ นะ เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำให้เอง”
กุเทพหันมองที่ประตูอย่างให้แน่ใจว่าหมอยังไม่ออกมา ก่อนจะรีบออกไป เกวลินเปิดกระเป๋าควานหายาดม คิมกับดุสิตเดินเข้ามาหา
“มัสลินเป็นไงบ้าง”
“อ้าวสิต แกมาไงเนี่ย รู้เรื่องได้ไง”
“เพื่อนฉันเห็นในข่าวด่วน” เกวลินค้อมศีรษะเล็กน้อยให้คิม “คิม ลี เพื่อนฉัน พูดไทยได้”
“อ๋อ จำได้ แกพูดถึงบ่อย อ้อ!นั่งก่อนค่ะ” เกวลินลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ แล้วมัสลินเป็นไงบ้างครับ”
ประตูห้องคนไข้เปิดหมอออกมาพร้อมกับพยาบาล คิมรุดไปที่หมอทันที
“คนไข้เสียเลือดมากนะครับ อันที่จริงเคสแบบนี้น่าจะรีบพามาหาหมอ ทำไมปล่อยให้คนไข้ทำงานต่ออีกล่ะครับ” เกวลินหน้าเจื่อน “การเสียเลือดจากบาดแผลไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะครับ”
“แล้วเค้าจะโอเคมั้ยครับ”
กุเทพเดินกลับมาเห็นคิมกำลังซักหมอ ก็มองว่าเป็นใคร
“หมอเย็บแผล แล้วก็ให้ยาฆ่าเชื้อกับยาคลายเครียดให้คนไข้ได้พักผ่อน”
“แล้วเค้าจะเดินได้เหมือนเดิมใช่มั้ยครับ”
“ถ้าดูแลแผลดี ไม่ติดเชื้อ แผลหายคนไข้ก็เดินได้ปรกติ อีกสักพักพยาบาลเค้าก็จะย้ายคนไข้ไปห้องพักฟื้นชั่วคราว หมอขอตัวนะครับ”
หมอแยกไป พยาบาลสอบถามคิม
“หมออนุญาตให้คนไข้กลับบ้านได้ แต่แนะนำว่าให้สังเกตอาการภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยเพราะคนไข้เสียเลือดมาก” เกวลินกับดุสิตพลอยฟังอย่างตั้งใจไปด้วย
“หรือถ้าญาติต้องการให้คนไข้พักดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนก็ทำได้ค่ะ”
พยาบาลบอกกับคิมเพราะเข้าใจยว่าเป็นญาติ
“หมายถึงนอนโรงพยาบาลใช่มั้ยครับ”
คิมถาม กุเทพจึงโพล่งขึ้นกลางปล้อง ทุกคนหันมอง
“ผมครับ ที่เป็นญาติคุณมัสลิน”
“อ้าว...”
คิมค้อมศีรษะให้ กุเทพตีหน้าเฉย คุยกับพยาบาลพลางเหล่คิมอย่างไม่เป็นมิตร
“คุณหมอว่าไงบ้างครับ”
ประตูเปิดกว้าง บุรุษพยาบาลเข็นมัสลินบนเตียงนอนออกมา ทุกคนเข้ารุมข้างเตียงรถเข็น มัสลินยิ้มเซียวให้ทุกคน
“มัสไม่เป็นไรแล้วค่ะ” มัสลินยกมือไหว้ทักทายคิมกับดุสิต
“ไม่ต้องครับไม่ต้อง ไม่เป็นไร”
คิมวางมือที่แขนมัสลิน ถามอย่างห่วงใย
“คุณเจ็บมากมั้ย”
กุเทพจับแขนมัสลินออกจากมือคิม
“พี่ว่าจะให้มัสพักที่นี่สักคืน มัสว่าไงครับ”
กานนก้าวเข้ามาที่มุมหนึ่ง มองทุกคนที่รุมกันอยู่หน้าประตู มัสลินราวกับรู้สึกได้ เหลือบตาไปที่กานน กานนสบตากับมัสลิน
“พี่อยู่เฝ้ามัสเอง”
เกวลินหารือกับกุเทพ
“มัสว่าไงครับ มัส?”
สายตามัสลินยังอยู่ที่กานนจึงไม่ได้ฟังกุเทพ กุเทพหันมองตามสายตามัสลิน แต่ตรงที่กานนเคยอยู่บัดนี้ว่างเปล่า
มัสลินถูกย้ายเข้าห้องผู้ป่วย ครั้นเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นกุเทพนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตบนมือถือไปเรื่อยเปื่อย
“ไปไหนกันหมดแล้วล่ะคะ”
กุเทพยิ้มให้มัสลิน
“พี่เสียงดังทำมัสตื่นรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ มัสคงคอแห้งน่ะค่ะก็เลยตื่น”
กุเทพรินน้ำให้มัสลิน
“พี่เก๋กลับไปเอาเสื้อผ้ามาค้างกับมัส พี่ก็เลยอยู่เป็นเพื่อนมัสก่อน ส่วนเพื่อนมัสสองคนก็กลับไปพร้อมพี่เก๋”
“คุณคิมกับคุณดุสิต”
“ไอ้สองคนนั่นละ” มัสลินช้อนตาดุนิด ๆ “โทษทีจ้ะ ตรงไปใช่มะ”
มัสลินนึกถึงกานน
“อืม...มัสเห็นพี่กุมากับใครหลายคนเลยนี่คะ”
“อ๋อก็...อาปลิวคุณอาพี่ที่มัสเคยคุยโทรศัพท์ด้วยไง”
“ค่ะ...” มัสลินพยักหน้าแล้วรอฟังต่อ
“แล้วก็คุณเดียร์ ...แฟนอาปลิวเค้า”
ประโยคนี้ทำใหมัสลินรู้สึกแปลบจี๊ดในใจ เกวลินเข้ามาส่งเสียงทักมัสลิน มัสลินใจล่องลอยแทบไม่ได้ยินเกวลิน
“นี่นายกุ เธอกวนมัสจนเค้าตื่นใช่มั้ยเนี่ย”
แววตาดูมัสลินเหงาหงอยเมื่อกานนความสุขเดียวที่พอจะมีหลุดลอยไปในพริบตา
+ + + + + + + + + + + + +
คืนเดียวกันนั้นม่านมุกโทรตามจิรดาให้มาหาที่บ้าน จิรดามาหาม่านมุกในสภาพเมาเหล้า โยนกระเป๋าสะพาย แล้วทิ้งตัวลงนอนยาวบนตั่งไม้ ม่านมุกในชุดนอนเดินเข้ามาดูจิรดา แล้วดูนาฬิกา
“แกมาทำไมป่านนี้”
จิรดาแหงะหน้ามองม่านมุกแว่บหนึ่ง
“เอ๊ะแม่นี่ยังไงกันนะ มาก็ด่าไม่มาก็ด่า”
“ที่ฉันเรียกให้แกมาหา ไม่ได้บอกให้แกมาในสภาพนี้”
“แล้วหนูต้องห่มสไบ นั่งพับเพียบรอแม่มั้ยล่ะ ทีหลังจะเอางั้นก็บอก”
“ถ้าจะพูดจาอย่างนี้ ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับแกหรอกนะ เปล่าประโยชน์ แกกลับไปเถอะ หรือจะนอนที่นี่ ฉันจะให้ปิ่นจัดที่นอนให้”
“ไม่รบกวนหรอกค้า หนูกลับเดี๋ยวนี้ละ ไม่อยู่หนักพื้นกระดานบ้านแม่หรอก” จิรดายันตัวลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสะพาย “คิดว่าหนูไม่รู้เหรอว่าแม่เรียกหนูมาทำไม นังมัสมันฟ้องเรื่องมันโดนตบละสิ ก็มันอยากแส่หาเรื่องไม่เข้าท่า ดีสมน้ำหน้ามัน”
“ฉันไม่ได้รู้เรื่องจากมัสลิน ...บัวบงกชมาที่นี่”
จิรดาแทบสร่างเมา ชันตัวขึ้นตาขวางใส่ม่านมุก
“แล้วแม่ไปคุยกับมันทำไม! มันฟ้องอะไร มันพูดอะไร”
ม่านมุกถอนหายใจยาว เดินกลับขึ้นชั้นบน จิรดาแผดเสียงลั่น
“หนูถามว่านังบัวบงกชมันมาทำไม! แม่ไม่ได้ยินเหรอ! แม่!”
ม่านมุกทรุดตัวลงนั่งที่เตียงช้า ๆ เสียงจิรดายังดังโหวกเหวก
“ลงมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนนะแม่! แม่!” ม่านมุกกรีดน้ำตาที่ปลายตา “ใครบอกฉันจะกินกาแฟ... ไปเอาเหล้ามา!”
ม่านมุกรำพึงอย่างขมขื่น
“เพราะฉันคนเดียวที่ทำให้แกเป็นอย่างนี้ ...จิรดา”
+ + + + + + + + + + + +
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นทางด้านบัวบงกชเธอพยายามข่มตาหลับ แต่สิ่งที่พูดคุยกับม่านมุกเมื่อกลางวันยังรบกวนจิตใจเธอทำให้บัวบงกชถึงกับน้ำตาซึม
“สวัสดีค่ะ”
บัวบงกชยกมือไหว้ม่านมุก ม่านมุกรับไหว้อย่างตั้งรับ
“คุณน้าคงเคยทราบเรื่องหนูจากภาษิตแล้ว”
บัวบงกชพูดขึ้นอย่างเกรงๆ
“เรื่องม่านมัสลิน”
“ค่ะ ภาษิตเคยบอกว่าคนที่หนูจะปรึกษาเรื่องมัสลินได้หลังจากที่เค้าไม่อยู่แล้วก็คือคุณน้า”
“ฉันรู้แค่ว่าคุณคือแม่ที่แท้จริงของมัสลิน นอกนั้นแล้วภาษิตไม่ได้เล่าอะไรให้ฉันฟัง” ม่านมุกทวนสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากบัวบงกชสีหน้าขมขื่นแทนมัสลิน “คุณว่าคุณมีความจำเป็นต้องทิ้งมัสลินไว้กับภาษิต ทั้งที่เค้าเป็นแค่แฟนเก่างั้นเหรอ”
บัวบงกชร้องไห้
“เวลานั้นหนูไม่มีทางเลือกค่ะ ถ้าอนาคตในวงการบันเทิงดับลงก็เท่ากับว่าพ่อแม่กับน้องๆ หนูก็จะต้องลำบาก หนูเคยคิดจะทำลายมัสลิน”
ม่านมุกมองบัวบงกชอย่างชิงชัง แต่แล้วก็ทอดถอนใจฟังต่ออย่างทำใจ “ภาษิตขอร้องให้หนูเก็บมัสลินไว้ เค้าจะเลี้ยงมัสลินเอง”
“คุณก็เลยสบายตัว ไปแต่งงานซะใหญ่โตกับเศรษฐี”
“ช่วงที่หนูหายตัวไปตั้งท้องมัสลิน คุณเตชแอบยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้เงินทองพ่อกับแม่หนูใช้จนเลยเถิด หนูจำเป็นต้องแต่งงานกับเค้าค่ะ”
“ดูคุณจะไม่เคยมีทางเลือกเลยนะบัวบงกช”
“คุณน้าจะด่าว่าหนูยังไงก็ได้ ที่หนูมานี่หนูตั้งใจจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณน้าฟัง เพราะคุณน้าเป็นคนเดียวที่จะหยุดจิรดาได้”
“จิรดามาเกี่ยวอะไรด้วย”
“จิรดากำลังพามัสลินกลับไปเจอวังวนเดิมๆ ที่หนูเคยเจอ ...ช่วยมัสลินด้วยเถอะค่ะ คนที่จิรดาพยายามจะให้มัสลินร่วมงานด้วย คือคนที่เคยทำลายหนู”
+ + + + + + + + + + + +
ม่านมุกนึกถึงคำพูดของบัวบงกช ขณะมองดูจิรดาที่หลับสนิทคาแก้วเหล้าอยู่บนตั่งอันเดิม
“ให้เวรกรรมมันจบลงตรงนี้เถอะนะแม่ดา...”
ม่านมุกคลุมผ้าแพรห่มให้จิรดาอย่างห่วงใย
เช้าวันรุ่งขึ้นจิรดาซึ่งอยู่ในชุดนอนเดินกุมขมับมาหยิบแก้วน้ำส้มดื่มอั้กๆ อย่างกระหาย ก่อนจะนั่งลงทบทวนความจำ
“จำได้ว่าไปหาแม่ที่บ้านสวน...” จิรดากรอกตามองภายในบ้านตัวเอง ไล่เรียงความคิด
“แล้วฉันโผล่กลับมานี่ได้ไงวะ... นี่ฉันแก่ขนาดความจำเสื่อมแล้วเหรอ เนี่ย ดีนะที่เป็นบ้านตัวเอง ถ้าเป็นที่อื่นละก็ ฮึ้ย...”
จิรดายกแก้วน้ำส้มที่เหลือขึ้นดื่ม โทรศัพท์มือถือจิรดาดังขึ้น จิรดาเทน้ำส้มจากเหยือกเติมลงในแก้ว ไม่ใส่ใจโทรศัพท์ที่ดังไม่เลิก
“โฮ้ยจะโทรมาทำไมแต่เช้ายะ”
จิรดาคว้ามือถือมาดูเบอร์ พอเห็นเป็นเบอร์เตชก็แสยะยิ้มพลางกดรับสาย
“นึกว่าจะลบเบอร์ดาทิ้งไปซะแล้วคุณเตช”
+++++++++++++++++++++++++
ที่อาคารรัตนรัช ประตูห้องทำงานกานนเปิดออก เลขาฯ ยกแจกันดอกไม้เข้ามาพร้อมๆ กับแม่บ้านที่มีอุปกรณ์ทำความสะอาด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันยกเข้าไปเอง มีเจ้านายหล่อก็ต้องเอาใจกันหน่อยใช่มั้ยป้า ฮิๆ... ว้าย!!!!”
เลขาฯ ร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นกานนนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ แม่บ้านพูดเสียงอ่อยกับเลขาฯ
“ป้ากำลังจะบอกอยู่เชียวว่าคุณกานนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน”
เลขาฯค้อมศีรษะให้กานน และทำท่าจะรีบออกไป
“งั้นเดี๋ยวแนนเข้ามาใหม่ ขอโทษนะคะ”
กานนเอ่ยขึ้นขรึม ๆ
“เอาแฟ้มพวกนี้ออกไปด้วย ผมเซ็นให้หมดแล้ว”
เลขาฯ หาที่วางแจกันดอกไม้ และเข้าไปรับกองแฟ้มตามคำสั่งกานน กานนเหลือบเห็นแฟ้มบางๆแฟ้มหนึ่ง
“แล้วนี่อะไรเนี่ย”
“อ๋อชื่อผู้โดยสารที่คุณกานนให้แนนหาให้ไงคะ” เลขาฯ เปิดแฟ้มให้กานน “คนที่นั่งติดกับคุณกานนไฟลท์กลับจากนิวยอร์คเธอชื่อม่านมัสลินค่ะ” กานนนิ่งฟัง สีหน้าไร้ความรู้สึก “ม่านมัสลิน อลงกรณ์”
กานนเลื่อนแฟ้มให้เลขาฯ
“เอาออกไปได้เลย ผมไม่ต้องใช้แล้ว”
“อ้าว...”
เลขาฯ ค้อมหัวรับแล้วออกไป กานนเหม่อมองเบอร์โทรศัพท์บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นหมายเลขโทรศัพท์กับชื่อ ปิ่น...กานนนึกถึงเหตุการณ์ที่โรงทานตอนเรียกมัสลินว่า “ปิ่น”...กานนหลับตาลงปลง ๆ พลันมือถือกานนดังขึ้น ที่หน้าจอ เห็นเป็น “ปิ่น” ที่โทรเข้ามา กานนอึ้ง เอาแต่จ้องมองโทรศัพท์ ในที่สุดก็กดรับแบบสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก
“ฮะโหล ...สวัสดีครับ”
กุเทพเหลือบลงที่โทรศัพท์มือถือซึ่งแนบหูอยู่งง ๆ
“พูดซะเพราะเลย นี่ผมเองครับอาปลิว”
กานนหน้าผ่าววาบ
“เอ่อ อ้าวแกเองเหรอกุเทพ”
กุเทพหัวเราะร่วน
“ไม่น่าบอกเลย นานๆ จะได้ยินอาพูดกับผมสุภ้าพสุภาพซะที”
กานนไม่ขำด้วย อ้อมๆ ถามถึงมัสลินเจ้าของโทรศัพท์
“แล้วนี่แกใช้เบอร์ใครโทรมาล่ะ”
“เบอร์มัสเค้าน่ะฮะ โทรศัพท์ผมแบตหมดเกลี้ยงเลย อาเม็มเบอร์นี้ไว้ ด้วยละกันนะฮะ”
กานนรับคำกุเทพเครียด ๆ
“ฮื่อ เอ่อ...แล้ว..มัสลินเป็นยังไงบ้าง”
“วันนี้ก็กลับบ้านได้แล้วละครับ ผมคงอยู่กับเค้าถึงเย็นๆ โน่นเลย” มัสลินเขยกเท้าออกจากห้องน้ำ
“อาปลิวมีอะไรก็โทรเข้าเบอร์นี้นะฮะ”
มัสลินได้ยินแล้วมองปราดที่มือถือในมือกุเทพ
“นั่นมือถือมัสรึเปล่าคะ”
กุเทพรีบคุยให้จบ
“แค่นี้ก่อนนะครับอา” กุเทพตัดสายทันที “มัสจะออกมาทำไมไม่เรียกพี่”
กุเทพเข้าประคองมัสลิน มัสลินยังกังวลเรื่องมือถือ
“พี่กุโทรหาใครเหรอคะ”
“อ๋ออาปลิวน่ะ”
มัสลินหน้าเหวอ
“ใช้โทรศัพท์มัสโทรเนี่ยนะคะ”
“ใช่จ้ะ... มัสก็เป็นคนยื่นมือถือให้พี่ยืมเองนะ ก่อนเข้าห้องน้ำ”
มัสลินฝืนยิ้มเออออ
“อ๋อ...ค่ะ”
มัสลินรับมือถือคืน พยายามปรับสีหน้าเป็นปรกติ พลันกุเทพยื้อโทรศัพท์ไว้
“อ้อเดี๋ยวก่อน”
“คะ!”
“เหมือนมัสจะเม็มเบอร์คนผิดนะ”
“คะ?”
“ก็พอพี่กดเบอร์อาปลิว เครื่องมัสมันขึ้นชื่อ “คนส่งดอกไม้” ตอนแรกก็คิดว่าพี่คงกดผิด แต่กดใหม่ก็ขึ้นชื่อ “คนส่งดอกไม้”อีก” มัสลินหน้าร้อนผ่าว อึกอัก “ร้านดอกไม้เหรอจ๊ะ”
“เอ่อ...ค่ะ”
“อะไรจะบังเอิญ ...รีบแก้เบอร์เลยนะ โทรไปติดเครื่องอาปลิวไม่รู้ด้วย”
กุเทพวางโทรศัพท์ใส่มือมัสลิน มัสลินแทบจะคว้าโทรศัพท์ไว้ในทันที กุเทพหันมองที่ประตู แล้วพูดเรื่อยเปื่อยถึงเกวลิน
“ทำไมยัยพี่เก๋ยังไม่ขึ้นมาล่ะเนี่ย ซื้อของอะไรนานจัง”
มัสลินมองที่โทรศัพท์ในมืออย่างอ่อนแรง
อีกด้านหนึ่งกานนเลื่อนโทรศัพท์มือถือออกห่าง กุมหน้าผากอย่างเครียดๆ
+ + + + + + + + + + + +
สนามไดรฟ์กอล์ฟ
จิรดาเท้าคางเบื่อๆ ดูเตชตีกอล์ฟลูกแล้วลูกเล่า
“นี่ใจคอจะเรียกดามาดูคุณตีกอล์ฟแค่นี้เนี่ยนะ”
เตชหวดลูกกอล์ฟ และมองตามอย่างพอใจ ก่อนจะเดินมานั่ง แคดดี้ส่งผ้าขนหนูและเสิร์ฟน้ำให้เตช
“ตกลงเธอจะพูดกับลูกสาวเธอเรื่องเล่นหนังให้ฉันมั้ยล่ะ”
“ก็บอกแล้วไงคะว่าถ้าคุณไม่ได้มีเรื่องตบตียัยมัส ดาก็พอจะพูดให้ได้ ...แต่นี่...เฮ้อ...”
“ถ้าฉันรู้ว่าเด็กนั่นคือมัสลิน ฉันก็อาจจะยั้งมือ”
“นางเอกสวยๆ มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเจาะจงเป็นมัสลินด้วย”
“ถ้าเป็นหนังของฉันคนเดียว ฉันไม่มีทางสนนังลูกสาวตัวแสบของเธอหรอก แต่นี่มันเป็นหนังร่วมทุนสามประเทศ แล้วหุ้นส่วนใหญ่ที่ฮ่องกงเค้าเสป็คมาว่าต้องเป็นแม่มัสลิน”
“แล้วหุ้นส่วนฮ่องกงของคุณไปรู้จักยัยมัสจากที่ไหนกัน” จิรดาถามอย่างแปลกใจ
“ที่ฉันเล่าให้ฟังเนี่ยไม่ได้อยากให้เธอมาซักฉันนะ ตกลงว่าไง ฉันจะได้คำตอบเมื่อไหร่”
“ก็ขึ้นอยู่กับค่าเปิดปากดานั่นละ หกหลักอัพ ต่ำกว่านั้นไม่ต้องคุยกัน”
เตชมองจิรดาเหยียด ๆ
“ร้ายกาจพอกันทั้งแม่ทั้งลูก”
“ดาถือเป็นคำชมนะคะ”
จิรดายิ้มรับ...
มธุรินไม่สบายใจกับสิ่งที่พิณสุดาทำกับมัสลินเธอจึงเล่าเรื่องนี้ให้บัวบงกชฟัง บัวบงกชจึงพามธุรินมาที่โรงพยาบาล...มธุรินกับบัวบงกชตรงไปที่เคาน์เตอร์ฝ่ายทะเบียน
“เดียร์ไม่คิดว่ากิ๊บเค้าจะทำรุนแรงขนาดนี้”
“ทีนี้เดียร์รู้แล้วใช่มั้ยว่าทำไมแม่ถึงไม่ให้เดียร์ไปเรียนอเมริกากับแม่กิ๊บน่ะ”
“ค่ะคุณแม่”
กุเทพเข็นรถเข็นที่มีมัสลินนั่งอยู่ผ่านไปพร้อมกับเกวลิน โดยไม่เห็นมธุรินกับบัวบงกช บัวบงกชถามเจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์
“ไม่ทราบว่าคนไข้ที่ชื่อคุณม่านมัสลิน...”
มธุรินรออย่างร้อนใจ พลันหันไปเห็นมัสลิน กุเทพ เกวลิน
“คุณแม่คะ...”
บัวบงกชหันไปมองและรีบเดินไปหามัสลิน บัวบงกชย่อตัวลงจับเท้ามัสลินอย่างแสนห่วงใย
“โธ่หนูมัส หนูเจ็บมากมั้ย”
มัสลินงงงัน เช่นเดียวกับมธุรินที่ประหลาดใจเมื่อเห็นแม่ห่วงใยมัสลินเสียมากมาย กุเทพพูดขึ้นอย่างไกล่เกลี่ย
“พอดีพวกเรากำลังจะกลับกันน่ะฮะ ที่จริงคุณเดียร์ให้อาปลิวโทรบอกผมก็ได้”
มธุรินสบตามัสลิน แต่แล้วต้องหลบตา
“หายไวๆ นะ”
มัสลินผงกหัวรับเบา ๆ
“เดียร์เค้าตกใจมากนะจ๊ะ”
บัวบงกชยอก เกวลินพูดแทรกขึ้นอย่างหงุดหงิด
“แต่มัสลินเค้าเจ็บตัวค่ะ เส้นเอ็นเท้าหวิดขาดไปนิดเดียว ดิฉันว่าลูกสาวคุณกับเพื่อนเล่นแรงไปหน่อยนะคะ”
“พี่เก๋...” มัสลินปรามมเกวลินแล้วหันไปพูดกับบัวบงกช “ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
มัสลินพยักหน้าให้กุเทพ กุเทพไหว้ลาบัวบงกชและพามัสลินออกไปพร้อมเกวลิน บัวบงกชมองตามมัสลินอย่างแสนอาลัย มธุรินมองบัวบงกชอย่างไม่สบายใจ ตีความหมายไปอีกอย่าง
“เดียร์ขอโทษที่ทำให้คุณแม่ถูกเค้าว่ากระทบ”
บัวบงกชกอดมธุรินไว้ “อย่าคิดอย่างนั้นลูก แม่ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น...”
+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมากานนเดินลงจากชั้นบน โดยมีคนขับรถถือกระเป๋าเอกสารกับเสื้อสูทตามมา กุเทพรี่เข้ามาหากานน
“อาปลิวไปไหนฮะ”
“ทำงาน”
“เหรอฮะ งั้นไม่เป็นไร”
“ดูท่าทางแกรีบร้อนพิกล มีอะไรรึเปล่า”
“พี่เก๋รู้ตัวคนทำมัสแล้วนะฮะ นี่ผมก็เลยจะรีบไปหามัส”
สีหน้ากานนเปลี่ยนเป็นสนใจกุเทพขึ้นมาทันที
“อ้อเหรอ งั้นก็...ติดรถฉันไปสิ”
“ไม่เป็นไรฮะ อาไปทำงานเหอะ ที่จริงผมก็ยังติดต่อมัสไม่ได้เลยด้วยละ ที่บ้านก็ไม่อยู่ มือถือก็ไม่รับ เดี๋ยวผมลองสุ่มไปรอเจอเค้าที่บ้านดู”
กุเทพผละจากกานนไปทางหนึ่ง กานนรีบเรียกไว้
“อ้าวแล้วแกขับเองถูกเหรอ”
กุเทพส่งเสียงกลับมาโดยไม่หันมองกานน
“พอมั่วได้ครับ”
กานนครุ่นคิด รู้ว่าจะหามัสได้ที่ไหน ขณะเหลือบที่นาฬิกาผนัง นาฬิกาข้างฝาบอกเวลาเที่ยงเศษ
ขณะนั้นมัสลินอยู่ที่โรงทานริมน้ำ มัสลินตักอาหารฟรีให้คนเข้าคิว อาสาสมัครรุ่นพ่อที่เป็นเพื่อนพ่อชวนมัสลินคุยทึ่ง ๆ
“ขาเจ็บอย่างนี้ไม่ต้องมาก็ได้หนูมัส”
“ไม่ได้หรอกค่ะลุงเหลิม พ่อได้ดุมัสแย่เลย”
“ดุก็มาฟ้องลุงเลย จะได้ขอหวย ฮ่ะๆๆๆๆ”
มัสลินยิ้มขำไปด้วย แต่แล้วรอยยิ้มหายวับ เมื่อเห็นกานนเดินเข้ามา
“เท้าคุณยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ” มัสลินกลายเป็นเงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก กานนแย่งที่ตักอาหารไปตักให้คนในคิวแทนอย่างคล่องแคล่ว “ทานให้อร่อยนะครับ”
มัสลินทำท่าจะแย่งที่ตักอาหารคืน กานนใช้ศอกกันมัสลินไว้
“ฮึ้ยคุณ นี่มันงานของฉันนะ”
“นั่งลง”
มัสลินทำท่าจะเถียง กานนกดไหล่มัสลินให้นั่งลงที่เก้าอี้ และหันไปตักอาหารต่ออย่างไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย มัสลินหมุบหมิบ ไม่มีเสียง
“อะไรของเค้า...”
เมื่อคนที่มาเข้าคิวหมดแล้วกานนจึงหลบมานั่งกินข้าวที่ริมแม่น้ำ กานนนั่งทานข้าวราดแกงอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีมัสลินนั่งอยู่ข้างๆเหลือบมองกานนด้วยสีหน้ากังวลสงสัย พอทำท่าจะพูดขึ้น กานนก็ชิงพูดก่อน
“เท้าคุณเป็นไงบ้าง”
“ก็...ไม่เป็นไรแล้วละค่ะ”
“คุณต้องล้างแผลทุกวันจนกว่ามันจะแห้งนะ”
“พยาบาลก็บอกอย่างนั้น เอ่อคุณ...”
“วันนี้คนเยอะกว่าเดิมนะ เอ..ถ้าผมจะเอาอาหารมาร่วมด้วยนี่ได้มั้ยครับ”
“ก็ได้นี่คะ”
“งั้นดีเลย คุณต้องช่วยผมคิดเมนูด้วยนะ” มัสลินอ้ำอึ้ง กานนพูดต่อ “อืม...ผมว่าถ้ากรุงเทพฯมีโรงทานแบบนี้เยอะๆ ก็คงดีนะ เปิดอีกหลายๆ สาขาดีมั้ย”
“ใครเค้าเรียกเป็นสาขากันคะ”
“อ้าว ไม่ได้เหรอ”
มัสลินเผลอขำความคิดกานน กานนจ้องมองมัสลินนิ่งเมื่อฉุกคิดขึ้นมาว่ามัสลินเป็นใคร มัสลินกลายเป็นนิ่งไปด้วย
“ผมต้องไปแล้วละ คุณ...ดูแลตัวเองนะ”
กานนลุกขึ้นทันที มัสลินลุกตาม
“เดี๋ยวสิ” กานนทำทีเป็นไม่ได้ยิน มัสลินโพล่งไล่หลัง “คุณไม่ควรมาที่นี่อีก”
กานนหยุดเท้า หันกลับมา
“ทำไม”
“คุณก็รู้แล้วว่าฉันเป็นใคร แล้วฉันเองก็รู้แล้วว่าคุณเป็นใคร”
“แล้วไง คุณคือม่านมัสลินไม่ใช่ปิ่น ผม..คือนายกานน แล้วไง...เราจะรู้จักกัน ต่อไม่ได้งั้นสิ?”
“แต่ฉันเคยมีเรื่องกับแฟนคุณ...”
“แฟนผม?”
“มธุริน” กานนไหล่ตกสีหน้าอึดอัด พยายามคิดหาคำพูด แต่ไม่ทันมัสลิน “ฉันไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว”
“ผมว่าคนที่คุณกลัวว่าจะไม่เข้าใจคุณคือนายกุมากกว่า”
มัสลินตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ค่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายให้พี่กุเข้าใจเลย ว่าคุณกับฉันบังเอิญรู้จักกัน”
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมตั้งใจที่จะรู้จักคุณ!”
มัสลินนิ่งงัน แต่แล้วก็เถียงออกมา
“แต่สำหรับฉันมันแค่เรื่องบังเอิญค่ะ! ...ให้มันจบลงแค่นี้นะคะ อย่ามาที่นี่อีก”
มัสลินบอกแล้วเดินหนีไปเลย
“จะบ้าเหรอมัสลิน ในเมื่อผมรู้จักคุณ แล้วคุณจะมาบังคับให้ผมเห็นคุณเป็นคนแปลกหน้าได้ยังไง”
กานนบอกตามหลัง มัสลินจึงรำพึงกับตัวเองอย่างโกรธๆ
“ก็เพราะฉันมันดันรู้สึกดีกับคุณไง”
กานนนิ่งอยู่ที่เดิม มองตามมัสลินอย่างสับสน
+ + + + + + + + + + + +
วันเดียวกันนั้นเกวลินกับดุสิตตีสควอชอยู่ด้วยกันที่ฟิตเนส เกวลินไมท่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไหร่จึงตีพลาดอยู่หลายครั้ง
“ทำไมอ่อนอย่างนี้วะ”
“ไม่ค่อยอยากเล่นอ่ะ”
“อ้าวๆ นี่แกเป็นคนโทรชวนฉันเองนะ”
“ซอรี่ว่ะ ไว้วันหลังแก้ตัวใหม่นะ หาน้ำกินกันเหอะ”
ดุสิตเดินตามแต่บ่นไปด้วย
“นี่ถ้าไม่ใช่คบกันมานานฉันได้ด่าแกแล้วนะยัยเก๋ วัยทองรึไงวะแก”
เกวลินหันมาค้อนขวับ
เกวลินกับดุสิตเดินมาด้วยกัน มือยังมีไม้สควอช ผ้าขนหนู
“ฉันเครียดหลายเรื่องน่ะ” เกวลินบอก
“เครียดทำไมให้เสียเวลาวะ เดี๋ยวป๋าปลอบด้วยไวน์แจ๋วๆ แกก็ลุกขึ้นเต้นแล้ว”
“ไอ้สิตไอ้บ้า เห็นความทุกข์ของเพื่อนเป็นเรื่องสนุก”
เกวลินหัวเราะพิณสุดาเดินสวนมาทางหนึ่ง ยิ้มเยาะเกวลิน
“สวัสดีค่าพี่เก๋”
ดุสิตกระซิบถามเกวลินอย่างดี๊ด๊า
“ใครวะ น่ารักเป็นบ้า”
“น่ารักกับผีน่ะสิ แก่แล้วตาถั่วเหรอแก”
เกวลินมองพิณสุดาอย่างตั้งรับ
“ไม่คิดว่าจะเจอพี่เก๋ที่นี่นะคะเนี่ย คิดว่าจะอยู่โรงพยาบาลเฝ้าไข้แม่นางแบบชะตาขาดซะอีก ไงคะ ถึงขนาดเท้ากุดทำมาหากินไม่ได้ไปตลอดชีวิตรึเปล่าคะ ฮ่ะๆๆๆ”
พิณสุดาคุยกับเกวลินอย่างเย้ย ๆ
“นี่เธอยังมีหน้ามาพูดกับฉันอย่างนี้เหรอกิ๊บ”
“แล้วทำไมฉันต้องไม่กล้าพูดกับเธอด้วย”
“ทำปากดีไปเหอะ รู้ไว้ด้วยว่าสิ่งที่เธอทำน่ะมันถึงตำรวจแน่ แล้วรับรองสาวไม่นานหรอก พยานเพียบ กล้องวงจรปิดก็มี เตรียมตัวถูกตำรวจเชิญไปโรงพักได้เลย”
เกวลินเหยียดปากใส่พิณสุดา และเดินเลี่ยงไป ดุสิตก้าวตาม ส่งยิ้มทำมือบ๊ายบายพิณสุดา
พิณสุดาหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ “ก่อนที่จะยุ่งเรื่องชาวบ้านน่ะ ดูแลเรื่องตัวเองให้ดีซะก่อนเหอะ”
เกวลินหันขวับกลับมา “อะไรของเธออีก”
พิณสุดาเหล่ดุสิต
“ควงโคแก่วัยเดียวกันเนี่ยเพราะศิธาทิ้งไปเที่ยวเมืองนอกละสิ หึ ๆ”
ดุสิตเหลียวรอบตัว ว่าพิณสุดาหมายถึงใคร พิณสุดาทิ้งระเบิดแล้วแกล้งเดินหนีไป
“เธอพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
พิณสุดาหันกลับมา เหยียดยิ้มสะใจ
“ไม่รู้เลยละสิว่าศิธาไม่อยู่เมืองไทย”
ดุสิตชักไม่พอใจพิณสุดา
“ทำไมเก๋เค้าจะไม่รู้ครับว่าแฟนเค้าไปฮ่องกง คุณมีปัญหาอะไรกับเพื่อนผมกันแน่ครับ”
“ฮ่องกง? ฮะๆๆๆโฮ้ยอยากหัวเราะให้ฟันหลุด ศิธาน่ะเค้าพาแฟนตัวจริงเค้าไปยุโรปย่ะ”
“อ้าวไงเนี่ยเก๋”
ดุสิตถามเกวลิน เกวลินกำมือแน่นจนสั่น พิณสุดาใส่ต่อทันที
“ตัวเองยังจะเอาไม่รอด แล้วยังจะแส่เรื่องนังมัสลิน”
เกวลินก้าวหนีไป สีหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“เก๋!” ดุสิตทำท่าจะตามเก๋ไป แต่หันกลับมาเล่นงานพิณสุดาทิ้งท้าย
“ผมเสียดายหน้าสวยๆ ของคุณจริง ๆ”
พิณสุดายิ้มยียวนให้ดุสิตอย่างไม่ยี่หระต่อคำด่า
อ่านต่อหน้า 2
ตอนที่ 3 (ต่อ)
มัสลินเปิดประตูรั้วเดินเข้ามาในสภาพเหม่อๆ เสียงกานนยังดังอยู่ในความคิด
“ในเมื่อผมรู้จักคุณ แล้วคุณจะมาบังคับให้ผมเห็นคุณเป็นคนแปลกหน้าได้ยังไง”
มัสลินเดินเรื่อยมานั่งลงที่เก้าอี้ ใกล้บ่อบัว มัสลินเอานิ้วละน้ำในบ่อบัวหงอยๆ มองเงาตัวเองในน้ำ
“เดี๋ยวก็ลืม...”
เสียงเปิดประตูรั้วดังขึ้น มัสลินหันมองจึงเห็นรถเก๋งของจิรดาแล่นเข้ามา
“แม่เอารถใครมาขับ...”
มัสลินทำหน้าแปลกใจก่อนจะลุกเดินกลับเข้าบ้าน
จิรดานั่งดูข้าวของที่เพิ่งช้อปปิ้งมาหลายสิบถุงและส่งให้มัสลินถุงหนึ่ง
“นี่ของแก”
มัสลินหยิบเสื้อในถุงออกมาดู
“แม่เก็บไว้ใส่เองเถอะค่ะ มัสไม่ค่อยได้ไปไหนหรอก”
“แต่อีกหน่อยแกก็ต้องใช้ นางเอกหนังจะมาแต่งตัวซอมซ่อได้ยังไง”
“บอกแล้วไงคะแม่ว่ามัสไม่เล่นหนังของนายเตชนั่นหรอกค่ะ”
“เค้าก็ขอโทษมาแล้ว เรื่องตบตีกันมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด แกจะเอายังไงอีก รึต้องให้ผู้ใหญ่มากราบเท้าเด็กอย่างแก แกถึงจะยอม”
“อย่างนายนั่นไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ถึงเค้ายอมทำมัสก็ไม่สนใจหรอก ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงที่เค้าเคยตบหน้ามัส แต่มัสไม่อยากให้เราไปยุ่งกับครอบครัวนั้นอีก แม่เลิกติดต่อกับนายเตชได้มั้ยคะ”
“เหอะๆ นังมัสลิน ดูท่าแกจะสติเสียไปซะละ ...ฉันเป็นแม่แกนะ!” จิรดาแผดเสียงจนมัสลินสะดุ้งเฮือก “ไม่ต้องมาสะเออะสั่งสอนฉัน แล้วฉันขอสั่งให้แกเล่นหนังของคุณเตช ฉันเป็นแม่แก ฉันให้ทำอะไรแกก็ต้องทำ”
มัสลินจ้องหน้าจิรดาอย่างสุดแสนน้อยใจ ก่อนจะลุกขโยกเขยกออกไปเงียบๆ จิรดามองเท้ามัสลิน
“แล้วนั่นเท้าแกไปโดนอะไรมา” มัสลินนิ่งไปนิด แล้วก้าวเดินต่อไป “ฉันถามว่าเท้าแกเป็นอะไร นังมัสนี่แกอย่ามาทำหยิ่งกับฉันนะ”
“บอกไปแล้วแม่จะเชื่อมัสเหรอคะว่านี่แหละฝีมือลูกสาวนายเตชกับเพื่อนเค้า”
“หนูมธุรินน่ะนะ”
“มัสรู้อยู่แล้วละค่ะว่าแม่ต้องไม่เชื่อ”
“ที่แกหายหัวไปทั้งคืนวันนั้นน่ะเหรอ ฉันก็คิดว่าแกไปค้างกับใครที่ไหน”
มัสลินเม้มปากที่สั่นระริกด้วยความเจ็บปวดใจในคำพูดของผู้เป็นแม่
“มัสขอตัวนะคะ”
“หายไวๆ ล่ะ” มัสลินมีสีหน้ารู้สึกดีขึ้นบ้าง “ให้ทันหนังคุณเตชเค้าเปิดกล้อง”
จิรดาหันกลับไปสนใจข้าวของในถุงอย่างมีความสุข มัสลินมองแม่อย่างขมขื่นและรีบเดินหนีไป
+ + + + + + + + + + + +
ดุสิตกับเกวลินยังอยู่ที่ฟิตเนส ทั้งคู่เข้ามาในในร้านกาแฟ เกวลินเอ่ยเครียดๆ ขณะรับแก้วน้ำผลไม้จากดุสิต
“ตอนฉันทำโทอยู่ที่โน่นก็ไม่เคยมีปัญหากับยัยกิ๊บนะ เจอกันก็ทักทายตามประสานักเรียนไทย จนกุมาสนิทกับมัสลินก็เลยเป็นเรื่อง”
“แกเลยโดนหางเลขไปด้วย”
“กิ๊บห้ามไม่ให้ฉันให้งานมัส แต่จะให้ฉันทำอย่างนั้นได้ยังไง เด็กคนนี้เป็นเด็กดี เค้ามีภาระที่จำเป็นต้องใช้เงิน”
“เรื่องงานน่ะไม่ต้องห่วง บอกมัสลินว่าทำให้ไหวเหอะ งานน่ะมีเพียบ”
“ขอบใจแกมากนะ”
“ว่าแต่เรื่องแกดีกว่า ตกลงไอ้แฟนเด็กแกนี่มันยังไงวะ หลอกแกว่าไปฮ่องกง แต่ดันไปโผล่อยู่ยุโรป”
เกวลินกำลังจะยกแก้วน้ำดื่มก็วางลง น้ำในแก้วกระฉอกเลอะมือเกวลิน ดุสิตหยิบทิชชูเช็ดให้อย่างห่วง ๆ
“ไอ้เก๋เอ๊ย มาตกม้าตายตอนแก่ หน้าตามันเป็นไงวะไอ้เด็กเนี่ย หล่อสู้ฉันตอนหนุ่มๆ ได้มั้ย”
เกวลินน้ำตาคลอบอกเสียงเครือ
“แกขำฉันได้ลงคอเหรอวะไอ้สิต”
เกวลินร้องไห้ออกมา
“อ้าวเฮ้ย ฉันไม่ได้ขำแก๊ ที่ฉันพูดเนี่ย..เฮ้ยอย่าร้องสิวะ คนมองใหญ่แล้ว” เกวลินไม่สนใจ ร้องไห้ออกมาอย่างช้ำใจ “เอา!อยากร้องก็ร้อง ร้องซะให้พอ พร้อมจะเล่าเมื่อไรก็ว่ามาละกัน”
ดุสิตดึงทิชชูเป็นปึกส่งให้เพื่อน
วันต่อมามัสลินเข้ามาที่ออฟฟิศของดุสิต คิมรู้เรื่องที่จิรดาจะให้มัสลินเล่นหนังของเตชจึงจับมือมัสลินขึ้นมากุม
“เฮ้ คุณจะเล่นหนังของคุณเตชกับเสี่ยศักดาไม่ได้นะ” มัสลินเหล่มองที่มือคิม คิมรีบปล่อยมือมัสลิน “อ้อ ขอโทษทีผมตกใจไปหน่อย”
“มัสรู้ค่ะ มัสเองก็ปฏิเสธแม่ไปแล้ว แต่แม่ไม่ฟังมัสเลย คนเคยมีเรื่องกันจะให้ร่วมงานกันได้ยังไง”
“ต่อให้คุณจะไม่เคยมีเรื่องกับคุณเตช คุณก็ไม่ควรเล่นหนังของพวกเค้าอยู่ดี แม่ผมกำลังจะถอนหุ้นออกจากโปรเจ็คต์หนังสามชาตินี่ เพราะคนของแม่สืบรู้มาว่าเสี่ยศักดายักยอกเงินทุนไปลงโปรเจ็คต์หนังโป๊”
“หนังโป๊?”
“เสี่ยศักดาน่ะ เบื้องหลังเค้าคือผู้ผลิตหนังโป๊รายใหญ่เลยละ วงในเค้ารู้กันหมด”
“อย่าบอกนะว่าหนังที่เค้าจะจ้างมัสเล่น...?”
“อีโรติคสามชาติ”
“สกปรกที่สุด ...แล้วทำไมต้องเป็นมัสด้วย”
“ผมกำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ...ต้องมีคนคิดไม่ดีกับคุณ ...คุณจำนายศิธาคู่กรณีคุณได้มั้ย”
“จำได้แม่น ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ปากจัดชะมัด”
คิมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่ศิธาแวะมาหาเขาที่ออฟฟิศและลูกน้องคิมเห็นศิธาหยิบแฟ้มที่มีรูปมัสลินออกไป มัสลินฟังคิมเล่าเรื่องวันนั้นแล้วทำหน้างงๆ
“นายศิธาจะเอารูปมัสไปทำอะไร”
“ตอนแรกผมก็งงๆ เหมือนคุณนั่นละ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว”
“คะ”
“นายศิธาเป็นลูกชายของเสี่ยศักดา”
“คุณกำลังจะพูดว่าคนที่เสนอให้มัสเล่นหนังโป๊ของนายเตชกับเสี่ยศักดาก็คือนายศิธา”
“ถึงจะยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าเป็นไปได้สูง”
“แต่มัสไม่เคยมีเรื่องกับนายศิธา นอกจากวันนั้นที่ร้านกาแฟ”
“นั่นน่ะสิ ถ้าแค่ทำกาแฟหกใส่แล้วถึงกับแค้นฝังหุ่นกันขนาดนี้ ผมว่ามันแปลกๆ มันต้องมีเรื่องอะไรมากกว่านั้น”
ดุสิตเดินเข้ามา
“ตกลงได้คำตอบยัง”
“สวัสดีค่ะคุณดุสิต”
“คำตอบไรวะ”
คิมหันไปถามดุสิตอย่างแปลกใจ
“อ้าวเห็นคุยกันหน้าเครียดไม่ใช่เรื่องงานหรอกเหรอ” คิมสั่นหัว “เฮ้ยฉันต้องขายลูกค้าพรุ่งนี้แล้วนะ ไม่ได้แคสใครไว้ด้วย กะขายคุณมัสคนเดียว จริงๆ ว้าคิม แกนี่ไม่ได้เรื่องเลย นี่ครับคุณมัส”
ดุสิตเปิดโปรไฟล์งานโฆษณาชิ้นหนึ่งให้มัสลินดูในโน๊ตบุ้ค มัสลินพยักหน้ารับฟังอย่างสนใจ คิมมองมัสลินแล้วยิ้มมีความสุข
+ + + + + + + + + + + +
พิณสุดาเดินเรื่อยเปื่อยมองดูโน่นนี่ภายในออฟฟิศเตช ที่มีพนักงานเดินขวักไขว่ และไปหยุดที่ทิพย์ พนักงานคนหนึ่งที่กำลังง่วนอยู่กับกองหนังสือพิมพ์
“เหนื่อยมั้ยคะพี่ทิพย์”
“อ้าวคุณกิ๊บ มาหาคุณเดียร์เหรอคะ”
“มาหาพี่ทิพย์นั่นละ คิดถึง”
“แหมปากหวาน นี่ถ้าเป็นหนุ่มๆ ละก็พี่ทิพย์มีเคลิ้มนะคะเนี่ย”
“ข่าวเยอะเลยเหรอคะ เรื่องหนังของมัสลินไปถึงไหนแล้ว”
“มัสลินยังไม่ได้ตกลงเล่นหนังเรานี่คะ พี่โปรยข่าวพีอาร์ไปงั้นแหละ”
พิณสุดาตาวาวด้วยความโกรธ ก่อนจะหลบไปโทรศัพท์ฉะศิธา
“ศิธาเธอรีบกลับมาจัดการด่วนเลยนะ ไหนบอกว่าเธอทำให้นังมัสลินมันกลายเป็นว่าที่นางเอกหนังโป๊เรียบร้อยแล้วไง แล้วนี่อะไร นังมัสลินมันยังไม่ตกลงเล่นหนังพ่อเธอเลย”
“พี่เก๋จะบ้าเหรอ นี่ผมอยู่ฝรั่งเศสนะไม่ใช่อยู่สามย่านจะได้บินกลับไปแก้ปัญหาให้พี่ได้เดี๋ยวนี้เลยน่ะ”
“พูดอย่างนี้อยากให้เรื่องของเธอกับนังเก๋รู้ถึงหูน้องฉันใช่มั้ย...ดีมาก งั้นก็รีบกลับมาทั้งคู่เลย”
พิณสุดาหมุนตัวไปเจอบัวบงกช รีบกดวางสาย
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
มธุรินตามบัวบงกชเข้ามา
“ไปที่โต๊ะอาหารเลยดีกว่าค่ะคุณแม่ เดียร์หิวจังเลย...กิ๊บ...”
“หายไปไหนมาทั้งวันเลยจ๊ะเดียร์”
มธุรินคว้ามือพินสุดาหมับ
“แกมานี่เลย”
บัวบงกชมองมธุรินดุๆ
“ลืมที่คุยกับแม่ไปแล้วเหรอยัยเดียร์”
“เดียร์ไม่ลืมค่ะ คุณแม่ทานไปก่อนเลยนะคะ”
มธุรินลากมือพินสุดาออกไป ไม่รอฟังเสียงบัวบงกช
“ยัยเดียร์!”
มธุรินลากพิณสุดาออกมาคุยกันตามลำพัง พิณสุดาตกใจมากเมื่อรู้ว่ามธุรินกับบัวบงกชไปเยี่ยมมัสลิน
“แกไปเยี่ยมมันทำไม”
“มัสลินไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิด เค้าไม่ระรานฉันกับแม่แม้แต่คำพูด มันเลยทำให้ฉันยิ่งรู้สึกผิดแล้วก็เป็นห่วงแก”
“ทำไม พวกนั้นมันจะเล่นงานฉันงั้นสิ”
“มันก็อาจจะเป็นไปได้ อย่างน้อยก็เพื่อนเค้าละที่ฉันเห็นเป็นเดือดเป็นแค้นแทนมัสลินเอามาก ๆ”
“นังเกวลิน”
“แกวางมือจากมัสลินซะเถอะ ต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด วันนั้นแกทำเค้าเส้นเอ็นเท้าเกือบขาด วันข้างหน้ามันมิยิ่งรุนแรงขึ้นเหรอ ไม่ใช่มัสลินคนเดียวนะที่เดือดร้อน แต่แกเองนั่นละที่จะเดือดร้อนไปด้วย”
“ขอบใจนะที่เตือน แต่ฉันว่าครอบครัวแกนั่นละที่กำลังจะเดือดร้อนเพราะนังมัสลิน”
มธุรินขมวดคิ้วมุ่น ฟังพินสุดาอย่างไม่เข้าใจ
“นังมัสลินมันเสนอตัวเป็นนางเอกหนังให้พ่อแก นี่น่ะเหรอที่มันบอก แกว่ามันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวแกอีก ตอแหลชัดๆ ถ้าแกคิดว่าฉันโกหกก็ถามพ่อแกดูสิ”
+ + + + + + + + + + + +
คืนนั้นกุเทพกับกานนพากันมาเที่ยวที่คลับแห่งหนึ่ง กุเทพทั้งตื่นเต้นและดี่ใจที่ยืมเงินกานนมาลงทุนได้สำเร็จ
“อาปลิวไม่ได้ล้อผมเล่นใช่มั้ยฮะ อาพูดแล้วนะว่าจะให้ผมยืมยี่สิบล้าน”
กานนซึ่งดูเครียดๆ ตอบกุเทพเรียบ ๆ
“ใช่ ฉันจะให้แกยืม แต่แกต้องแจงรายละเอียดมาให้หมดว่าแกจะเอาไปทำอะไรเมื่อไรยังไง และจะคืนฉันเมื่อไรยังไง”
“ก็อย่างที่บอกไงฮะ ผมจะเอาไปลงทุนทำ...”
“เขียนเป็นรายงานมาให้ฉัน”
“โหอาอ่ะ ทำไมต้องทำให้มันวุ่นวายด้วย”
“แกรู้มั้ยว่าถ้าแกไปกู้แบงค์เอกสารแกต้องหนาขนาดไหนถึงจะได้ยี่สิบล้านเนี่ย”
“คร้าบๆๆ ผมก็แค่อยากตั้งหน้าตั้งตาทำงานเสียที เหลือสอบอีกไม่กี่วิชาก็จบแล้ว ผมก็เลยคิดว่าจะไม่กลับไปอเมริกา”
กานนฟังโครงการชีวิตกุเทพแล้วสีหน้าคลายลง
“ก็ดีนี่”
“ผมอยากอยู่ดูแลมัสลิน” สีหน้ากานนเปลี่ยนเป็นเครียดกว่าเดิม “ที่มัสถูกรังแกเพราะคนทำมันคิดว่ามัสไม่มีใคร ผมจะไม่ปล่อยให้มัสตัวคนเดียวอีกต่อไป...พอทุกอย่างลงตัว ผมก็จะขอมัสแต่งงานภายในปีหน้า” กานนสำลักเครื่องดื่ม กุเทพรีบหยิบทิชชูส่งให้ “อาโอเคเปล่าครับ”
กานนพยักหน้า ซับทิชชูให้ตัวเองลอย ๆ
ส่วนที่บ้านบัวบงกช เตชกลับจากทำงานเจอมธุรินนั่งสัปหงกคอยอยู่ ทีวีถูกเปิดทิ้งไว้
“อ้าวยัยเดียร์ ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะลูก”
“คุณพ่อกลับมาแล้วเหรอคะ”
“อย่าบอกนะว่าคอยพ่อ”
“ค่ะ เดียร์มีเรื่องอยากจะถามคุณพ่อ”
“ว่าไงจ๊ะ”
มธุรินชะงักไปนิด นึกถึงเรื่องที่คุยกับพินสุดาเมื่อกลางวัน เตชกดรีโหมดปิดทีวี พลางถามมธุริน
“อ้าวว่าไงลูก จะถามอะไรพ่อ”
“เอ่อ...มัสลินจะเล่นหนังให้บริษัทคุณพ่อเหรอคะ”
เตชงงเล็กน้อยก่อนตอบมธุรินซื่อ ๆ
“ม่านมัสลิน”
“ค่ะ”
“ใช่ เค้าจะมาเป็นนางเอกหนังของบริษัท”
มธุรินฟังแล้วเผลอกัดปากตัวเอง นึกเจ็บใจที่เคยเห็นใจมัสลิน
วันต่อมามัสลินมาถ่ายโฆษณาให้กับบริษัทของคิมกับดุสิต โฆษณาชิ้นนี้เป็นโลชั่นบำรุงผิว มัสลินทำท่าลูบไล้โลชั่นที่แขน
“ง่ายๆ ใต้แสงแดด “ซันออฟ”พกติดตัวไว้ค่ะ”
มัสลินหย่อนหลอดโลชั่นลงกระเป๋าสะพาย ผู้กำกับสั่งคัท ทีมงานเสื้อผ้า หน้าผม ตรงมาหามัสลิน
เกวลิน ดุสิต คิมยืนเมาท์มัสลินอยู่ด้วยกัน
“ไงล่ะเด็กสร้างฉัน”
“ขอบใจเว้ยเพื่อน ลูกค้าชมไม่หยุดปาก”
“มัสลินบอร์นทูบีจริงๆ นี่ถ้าอยู่ฮ่องกงรวยอื้อซ่า”
“อยู่เมืองไทยก็รวยได้ค่ะ ถ้าดูแลตัวเองดีๆ อ่อนน้อมถ่อมตัว รับรองอยู่ในวงการได้ยันแก่”
ขณะนั้นกุเทพเดินตรงมาหาเกวลิน
“มัสเสร็จงานรึยังครับพี่เก๋”
“นี่ๆ พ่อคุณใจคอจะไม่ทักทายกันเลยรึ เคยเจอกันแล้วนี่”
เกวลินบอก กุเทพมองคิมกับดุสิตแล้วค้อมหัวนิดๆ แบบฝืนๆ มัสลินเสร็จงานเดินมาหาพอดี
“อ้าวพี่กุ มากับเค้าด้วยเหรอคะ หืม..กำลังใจเพียบ ดีจังเลยค่ะ”
“ซ้อมไว้ไงครับ อีกหน่อยมีแฟนคลับตามไปที่โน่นที่นี่จะได้ชิน” คิมบอก
“คุณว่าใครตามมัสลิน”
กุเทพถามคิมอย่างไม่พอใจ คิมหน้าเหวอ
“อะไรของเธอเนี่ย มาแล้วรมณ์เสียมาทำไมยะ”
เกวลินต่อว่ากุเทพ
“พี่กุมีธุระอะไรกับมัสรึเปล่าคะ”
“มัสทำงานเถอะ เสร็จงานแล้วไปกับพี่หน่อย พี่มีเซอร์ไพรส์”
มัสลินทำหน้างง คิมอ้าปากจะพูดอีก ดุสิตรีบปิดปากคิม
“พอเลยคุณน่ะ ไปเทคแคร์ลูกค้ากับผมดีกว่าไปๆ”
ดุสิตแยกคิมออกไป กุเทพแยกเขี้ยวไล่หลัง เกวลินยิ้มอย่างอ่อนใจ มัสลินถามกุเทพตาแป๋วแบบอยากรู้จริง ๆ
“เมื่อกี้พี่กุบอกว่ามีเซอร์ไพรส์ อืม...วันนี้วันอะไรอ่ะคะ ...วันเกิดพี่เก๋”
มัสลินหันไปถามเกวลิน เกวลินสั่นหัว
“ยังจ้ะยัง”
“งั้นเซอร์ไพรส์อะไรอ่ะคะ”
กุเทพยิ้มกริ่มมีเลศนัย ไม่ตอบอะไรมัสลิน
ที่บ้านของกานนขณะนั้นแม่บ้านกำลังช่วยกันจัดเตรียมชุดทานอาหาร จาน ช้อน ส้อม แก้วน้ำ แก้วไวน์ เต็มเซ็ท
“ร้อยวันพันปีฉันไม่เคยเห็นคุณกุเทพจะเชิญแขกมาบ้านเลย”
“ก็คงจะแฟนนั่นล้ะ อาหารที่สั่งนะ รสจัด ๆ แนวผู้หญิงชอบทั้งนั้นเลย”
กานนผ่านเข้ามาแล้วเหลียวมอง แม่บ้านสองคนรีบหุบปาก หน้าเจื่อน ค้อมหัวให้กานน
“คุณกานนมีอะไรจะสั่งเพิ่มเติมมั้ยคะ”
เจ้าสัวเดินใช้ไม้เท้าค้ำเข้ามาช้า ๆ
“ใครกันเหรอที่ไอ้กุมันจะพามากินข้าวกับฉันน่ะ”
“คุณปู่”
กานนรีบเข้าประคองแขนเจ้าสัว อุษยาล้งเล้งตามเข้ามาอีกคน
“ก็จะใคร้ แม่กิ๊บแฟนเค้านั่นละ”
เจ้าสัวเปรยกับกานนลอย ๆ
“เสียงแมงหวี่ที่ไหนวะเจ้าปลิว พูดอะไรช่างไม่ใช้สมองคิดมั่งเลย”
“เอ๊ะเตี่ยนี่ หนูออกความเห็นดีๆ ทำไมต้องแขวะกันด้วย”
“ก็มีอย่างที่ไหน คิดได้ไงว่าไอ้กุมันจะเชิญแม่ผู้หญิงคนนั้นมาร่วมโต๊ะกับฉันให้เสียเวลา ตาน่ะหัดใช้” เจ้าสัวชี้นิ้วเกือบจิ้มตาอุษยา
“ว้ายคุณพ่อ”
“ไม่สังเกตมั่งเลยรึไงว่าหลานชายเธอมันขยะแขยงแม่คนนั้นซะยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือ”
“แล้วใครกันล่ะตาปลิวที่ตากุเชิญมาทานข้าวกับพวกเราน่ะ”
กานนนิ่งไปทั้งที่รู้ดีว่ากุเทพจะพาใครมากินข้าวที่บ้าน
กานนเดินเรื่อยเปื่อยมานั่งมองที่สนามหญ้าที่เคยเล่นกับกุเทพตอนเด็ก ๆ เสียงเด็กชายหัวเราะเอิ้กอ้ากดังเข้ามา
“ฮ่ะๆๆๆๆ อาปลิวคอยด้วยสิ ฮ่ะๆๆๆๆ”
กานนมองที่สนามหญ้า ภาพในอดีตค่อยๆ ย้อนกลับมา กานนในวัยเด็กนั่งซึมมือปาดน้ำตาอยู่ตามลำพัง “พี่ปอง...ทำไมต้องทิ้งผมไปด้วย”
อุษยาอุ้มกุเทพวัย 3 ขวบร้องไห้จ้าเข้ามา “จะหาพ่อ จะหาแม่”
“ปลิว เล่นกับตากุไปก่อน อาต้องไปรับแขกหน้าบ้าน”
อุษยาบอกพร้อมกับปล่อยกุเทพลง กุเทพโผหาอ้อมแขนกานน กานนปลอบหลานแต่ตัวเองก็ปาดน้ำตาป้อย
“ไม่ร้องนะกุ”
“เย็นนี้อาก็ต้องวุ่นเรื่องงานศพพี่ปองพี่นวลเค้านะ ปลิวโตแล้วต้องดูแลหลานเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับอาหญิง”
กุเทพถามหาพ่อกับแม่อย่างไร้เดียงสา
“อาปลิว พ่อกับแม่กุไปไหนอ่ะครับ”
ภาพในอดีตค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงสนามหญ้าว่างเปล่า กานนทอดถอนใจ เมื่อนึกถึงกุเทพในปัจจุบัน
“ไอ้ตัวเล็กเอ๊ย...แกโตพอที่จะพาสาวมากินข้าวบ้านแล้วเหรอวะ”
เสียงแตรรถกุเทพลั่นเข้ามา กานนหันมองแล้วสูดหายใจลึก สักพักแม่บ้านเข้ามาหากานน
“คุณกุเทพกับแขกมาถึงแล้วค่ะ”
กานนพยักหน้าเรียบ ๆ
กุเทพเดินนำมัสลินเข้ามาที่ห้องโถง มีโต๊ะอาหารเล็ก ๆ จัดวางอาหารว่างไว้อย่างน่ากิน พร้อมดอกไม้ดูสดชื่นไปทั้งห้อง
“อะไรกันคะเนี่ยพี่กุ แล้วที่นี่...”
มัสลินถามยิ้มๆ
“บ้านพี่เองจ้ะ” มัสลินหน้าเจื่อน เพราะนึกถึงกานน “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ บ้านพี่ครอบครัวเล็ก ไม่มีใครมาก ก็แค่คุณก๋ง คุณย่า แล้วก็...อาปลิว ที่มัสเคยเจอแล้วไง”
มัสลินหน้าซีด ติงกุเทพอ้อม ๆ เพราะกลัวจะเสียน้ำใจ
“ความจริง พี่กุน่าจะบอกมัสก่อน”
“บอกแล้วจะเรียกเซอร์ไพรส์เหรอจ๊ะ พี่อยากให้มัสรู้จักกับครอบครัวพี่ มัสจะได้ไม่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียว” กุเทพจับมือมัสลินมากุม “ต่อไปนี้มัสมีที่นี่เป็นบ้านอีกหลังนะ” กานนเข้ามา เห็นกุเทพกำลังกุมมือมัสลิน
“อ้าว...อาปลิวมาแล้ว” มัสลินนิ่งค้าง หันหลังให้กานนอยู่อย่างนั้น กุเทพต้องเอ่ยอีกครั้ง “มัสครับ นี่อาปลิว”
กานนก้าวเข้าไปอย่างฝืนใจเช่นกัน จังหวะเดียวกับที่มัสลินค่อยๆ หันหากานน ทั้งคู่สบตากันนิ่งงัน
+ + + + + + + + + + + +
ภายในบ้านบัวบงกชขณะนั้นมธุรินเตรียมจะออกไปนอก แต่ต้องชะงักเมื่อเดินลงบันไดมาเจอพิณสุดา
“ทำไมเธอไม่รับสายฉัน”
“โทรศัพท์ฉันหายไปไหนก็ไม่รู้ ฉันหาไม่เจอ” พลันเสียงมือถือมธุรินดังขึ้นในกระเป๋าสะพาย พิณสุดาจ้องมธุรินโกรธๆ มธุรินสารภาพเสียงอ่อย “แม่ฉันบอกให้แกกับฉันห่างๆ กันสักพัก ให้เรื่องมัสลินเงียบลงซะก่อน เพราะไม่รู้ว่าพวกนั้นจะแจ้งความจริงๆ หรือแค่ขู่”
“แกกลัวติดร่างแหไปด้วยงั้นสิ”
เสียงโทรศัพท์ดังไม่เลิก มธุรินรับตัดบท
“ฉันมีธุระต้องรีบไป ขอตัวก่อนนะ”
“ไปไหนเหรอ”
“ธุระน่ะ”
แม่บ้านถือโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายเข้ามาส่งให้มธุริน
“จากคุณกุเทพค่ะ”
มธุรินรับมาอย่างอ่อนใจ พิณสุดาตาลุกวาว
กุเทพนัดมธุรินมาทานข้าวที่บ้านเพราะต้องการให้มธุรินยอมรับมัสลิน เมื่อกุเทพโทรมาตามตอนพิณสุดาอยู่ด้วย พิณสุดาจึงตามมธุรินไปบ้านกุเทพด้วย
ส่วนที่บ้านกานนขณะนั้นมัสลินนั่งคู่กับกุเทพ ถัดจากกุเทพเป็นกานน กุเทพคุยจ้อหลังจากที่แนะนำให้กานนกับมัสลินรู้จักกัน
“นี่ละฮะม่านมัสลินที่ผมอยากให้อารู้จัก...อาปลิวหล่อกว่าเสียงในโทรศัพท์มั้ยมัส”
มัสลินพยักหน้าเงอะงะ หันพูดเสียงเบากับกุเทพ
“เอ่อ..พี่กุคะ คือวันนี้มัสไม่ค่อยสะดวกจริงๆ น่ะค่ะ พี่กุจะว่าอะไรมั้ยถ้ามัสจะขอตัวกลับก่อน”
กานนมองท่าทีอึดอัดของมัสลินอย่างไม่สบายใจ
“อยู่ทานข้าวกันก่อนเถอะครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว วันนี้คุณปฏิเสธนายกุ วันหน้าคุณก็ต้องมาอยู่ดี”
“ต้องอย่างนี้สิครับอา เยี่ยมเลย พูดตรงใจผมเปี้ยบ นะครับมัส อยู่ทานข้าวกับคุณก๋ง คุณย่าอีกแป๊บเดียว” กุเทพบอกแล้วลุกขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “งั้นผมไปเชิญคุณก๋งคุณย่าเลยดีกว่านะฮะ ฝากอาปลิวดูแลมัสลินแป๊บนึงนะครับ” มัสลินตาลุก ทำท่าจะลุกตามกุเทพไปด้วย
“เดี๋ยวสิคะพี่กุ” กุเทพเดินออกไป มัสลินรีบเบี่ยงตัว หันข้างให้กานน
“คุณกลัวผมขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใครบอกฉันกลัวคุณ”
“อ้าวถ้าไม่กลัว แล้วทำไมไม่หันมาคุยกันดีๆ คุยกันแบบสบตา เหมือนแต่ก่อนไง”
“คุณกานน”
“อาปลิว”
“ฉันจะเรียกคุณว่าอะไรมันก็เรื่องของฉัน แต่คุณเลิกพูดอะไรเลอะเทอะได้แล้ว”
“การที่คุณเคยรู้จักกับผมมาก่อนมันเป็นเรื่องเสียหายนักรึไง”
“รึว่าคุณกล้าบอกใครๆ ว่าคุณกับฉันเคยรู้จักกันล่ะ”
กานนนิ่งไป มัสลินเหยียดปากนิด ๆ
“ทำไมผมจะไม่กล้า นายกุ!” กานนส่งเสียงดัง
“คุณกานน!”
มัสลินตาลุก โผเข้าห้ามกานน แต่แล้วกลายเป็นเสียหลักเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนกานน กุเทพกับเจ้าสัวเข้ามาเห็นภาพนั้นพร้อมกัน
กานนกับมัสลินเองก็ตกใจ กานนจึงรีบหาข้อแก้ตัวด้วยการโกหก...เจ้าสัวหัวเราะร่วน
“ผู้หญิงกับจิ้งจกเป็นเรื่องปรกติ อย่าว่าแต่คุณเลย ผมเห็นก็ตกใจเหมือนกัน”
“จิ้งจกเนี่ยนะฮะโผล่มาตรงเท้ามัส”
กานนเหลือบตามองมัสลิน มัสลินอ้อมแอ้มตอบ เพราะไม่อยากโกหก
“ค่ะ...”
กุเทพฟังผ่านๆ แล้วตักอาหารให้เจ้าสัวกับมัสลิน
“คุณก๋งทานเยอะๆ ครับ”
กานนกระหยิ่มขำมัสลิน มัสลินเบิกตาโกรธกานนมาก เจ้าสัวชวนมัสลินคุยอย่างเป็นมิตร
“นี่คุณรู้มั้ยว่าถ้าไม่ใช่เพราะคุณผมไม่มีทางได้ทานข้าวเย็นพร้อมนายกุเทพหรอกนะ”
มัสลินยิ้มรับบาง ๆ กุเทพคุยโว
“ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณก๋งจะเป็นไปด้วยกับคุณย่าซะแล้ว”
“ฉันน่ะหัวสมัยใหม่พอเว้ย อะไรที่พิสูจน์ยังไม่ได้ฉันไม่ตัดสินเด็ดขาด” เจ้าสัวบอกแล้วหันไปพูดกับมัสลิน “ ...ผมน่ะเคยตัดสินใจพลาดมาครั้งใหญ่ในชีวิตครั้งนึงแล้ว จะไม่ให้เกิดกับลูกหลานตัวเองเป็นเด็ดขาด”
“เข้าช่วงตำนานอีกแล้วครับท่านผู้ชม... รอบที่เท่าไรแล้วครับอาปลิว”
“มันเป็นความสุขของฉัน รึแกทนฟังไม่ได้”
“โอ๊ะ ปะ..เปล่านะครับ”
“คุณมัสลินเค้ายังไม่เห็นบ่นอะไรเลย อืม...ชื่อม่านมัสลินของคุณเนี่ยมันทำให้ผมคิดถึงใครบางคน เค้าชื่อแปลกพอ ๆกับคุณ ใครตั้งชื่อให้คุณหรือ”
“คุณยายค่ะ ท่านตั้งชื่อดิฉันว่าม่านมัสลิน เพื่อให้คล้องกับชื่อของท่านน่ะค่ะ”
“แหม…ฟังแล้วชักอยากรู้ชื่อคุณยายของคุณซะแล้วสิ บอกได้มั้ย”
“ได้สิคะ คุณยายดิฉันชื่อม่าน...”
มัสลินยังพูดไม่จบเพราะอุษยาเดินเข้ามาเห็นมัสลินเสียก่อน จึงแผดเสียงลั่น
“ม่านมัสลิน! ใครอนุญาตให้เธอมาเหยียบที่นี่!”
ขณะที่อุษยากำลังแผดเสียงอยู่ในบ้าน มธุรินขับรถเข้ามาจอดที่โรงรถบ้านกานนพอดี มธุรินเหลือบมองพินสุดาอย่างไม่สบายใจเพราะไม่อยากให้พินสุดาเจอกับมัสลิน
“จ้องหน้าฉันอยู่นั่นละ จะลงกันได้รึยัง”
“เอาไว้ฉันใช้โทรศัพท์คุยกับคุณกุเทพก็ได้ ไปกันเหอะ” พินสุดาคว้ากุญแจดับเครื่องรถและดึงไป
“ทำอะไรของแกกิ๊บ!”
“แกมีอะไรปิดบังฉัน”
“ฉันรักแกนะ แกเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี ฉันหวังดีกับแกจริงๆ อย่าเข้าไปเลยนะ”
“แกยิ่งพูดอย่างนี้ฉันยิ่งต้องเข้าไป”
พินสุดาก้าวลงจากรถไป มธุรินส่งเสียงตามหน้าเสีย
“กิ๊บ!!!!”
ภายในบ้านกานน กุเทพ มัสลินยังนั่งอยู่เช่นเดิมด้วยความเกรงใจเจ้าสัว มีเพียงอุษยาที่ยืนเต้นเป็นเจ้าเข้า
“อธิบายมานะตากุ แกพาผู้หญิงแบบนี้เข้าบ้านได้ยังไง”
กุเทพ กานน ต่างเหลือบมองเจ้าสัวอย่างหวั่นๆ ขณะที่มัสลินก้มหน้านิ่ง เจ้าสัววางช้อนส้อมลงอย่างใจเย็น
“เฮ้ยๆ ให้มันน้อยๆ หน่อยเว้ยนังอุษยา ที่นั่งอยู่นี่มันหัวหลักหัวตอรึยังไง”
“เตี่ยไม่เห็นเหรอว่านังนี่มันเป็นใคร หนูตังหากที่กลายเป็นหัวหลักหัวตอ... กุจะทำอะไรไม่ต้องเห็นหัวย่าแล้วใช่มั้ย”
“ไปกันใหญ่แล้วครับคุณย่า”
กานนหน้านิ่ง กระซิบกับกุเทพ
“แกพามัสลินออกไปก่อนเถอะ”
กุเทพลุกขึ้นผงกหัวให้เจ้าสัว
“ขอโทษนะครับคุณก๋ง”
มัสลินพลอยลุกตาม ไหว้ลาเจ้าสัว จังหวะนั้นพินสุดาก้าวเข้ามาพอดี เห็นมัสลินเข้าก็เดือดดาล
“นังมัสลิน” กานนเห็นพินสุดาแล้วเบือนหน้าหนีอย่างเตรียมรับเหตุการณ์ที่ต้องแย่ลงกว่าเดิม “คิดแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”
อุษยารีบเข้าไปดึงพินสุดาไว้
“กิ๊บมาหาย่าใช่มั้ย ไปๆ เราไปคุยกันทางโน้น” อุษยาเบิกตาไล่กุเทพ “รีบไปซะซี่”
กุเทพกำมือมัสลิน พินสุดากระชากแขนมัสลินไว้ ง้างมือจะตบ กานนลุกขึ้น เสียงดังใส่พินสุดา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” กานนก้าวเข้าดึงมัสลินจากพินสุดา “กลับไปซะพินสุดา”
“นี่อาปลิวไล่กิ๊บเหรอคะ”
“ใช่ ผมไล่คุณ คุณจะเข้านอกออกในที่นี่เหมือนแต่ก่อนผมไม่ว่า แต่ไม่ใช่มาทำกิริยาก้าวร้าวแบบนี้ ผู้ใหญ่อยู่ตั้งเยอะแยะ คุณไม่เกรงใจกันเลยงั้นเหรอ”
“แต่นังมัสลินกับกุ...”
“ผมบอกให้คุณกลับไป”
กานนบอกด้วยสีหน้าดุดัน พินสุดาจำยอมก้าวถอยไปแต่จ้องหน้ามัสลินอย่างเคียดแค้น ...มือพินสุดาที่ไพล่อยู่บนโต๊ะค่อยๆ คืบไปหยิบมีด มธุรินเข้ามาเห็นพอดี เธอตาเบิกโพลงเมื่อเห็นพินสุดากำลังจะกำมีดบนโต๊ะ จึงส่งเสียงเตือนมัสลิน
“ระวัง!”
มธุรินเข้าแย่งมีดจากมือพินสุดา
“ปล่อยฉัน!”
กุเทพเข้าช่วย บิดข้อมือพินสุดาจนมีดหล่น กุเทพเตะมีดไปไกล ก่อนจะผลักพินสุดาจนเซล้ม
“เธอมันบ้าไปแล้วกิ๊บ”
กานนรีบดึงมัสลินไป มัสลินเงอะงะทำอะไรไม่ถูก
“จะอยู่ให้เค้าฆ่ารึยังไง”
มัสลินยอมตามกานนไป มธุรินกุมแขนตัวเองแล้วเพิ่งเห็นว่ามีเลือดซึมจากรอยมีดกรีด อุษยาร้องตกใจ พินสุดารีบปฏิเสธ
“ฉันไม่ได้ทำนะ”
“หลีกไป”
กุเทพดันพินสุดาจากมธุรินและรีบคว้าผ้ามากดห้ามเลือดเจ้าสัวกุมศีรษะ ขมวดคิ้วด้วยอาการปวดหัวรุนแรง ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะ อุษยาร้องลั่น
“เตี่ย!”
+ + + + + + + + + + + +
กานนขับรถไปเงียบๆ เช่นเดียวกับมัสลินที่สายตาจับจ้องไปนอกหน้าต่างเหม่อ ๆ
“คุณอยากกลับบ้านเลยรึเปล่า”
“ค่ะ แต่คุณส่งฉันที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้านั่นก็ได้”
กานนเห็นป้ายรถเมล์อยู่ข้างหน้า มัสลินกระชับกระเป๋าสะพายเตรียมจะลง แต่กานนขับรถผ่านป้ายรถเมล์นั้นไป มัสลินมองตามป้ายรถเมล์
“อ้าวทำไมไม่จอดล่ะคะ”
“คุณเห็นผมเป็นไอ้ผู้ชายนิสัยห่วยที่ทิ้งผู้หญิงให้นั่งรถเมล์กลับบ้านเองตอนดึกๆ อย่างนี้เนี่ยนะ”
“ฉันแค่ไม่อยากสร้างปัญหาให้ใครอีก คุณควรจะรีบกลับไปดูคุณมธุริน เสียงเอะอะที่ได้ยินตอนคุณกับฉันออกมาอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอก็ได้”
“ถ้ามีอะไรป่านนี้เจ้ากุโทรมาแล้วละ”
มัสลินนิ่งไปอย่างเห็นด้วย แต่แล้วโทรศัพท์มือถือของกานนดังขึ้น กานนกับมัสลินมองหน้ากัน กานนกดรับทันที
“ว่าไงกุ”
กานนฟังแล้วนิ่งไป ขณะที่มือก็เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว และหักพวงมาลัยเลี้ยวไปทางหนึ่ง
“คุณปู่ผมป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล”
กานนบอก มัสลินตกใจมาก รู้สึกผิด
“ฉันไม่น่าไปที่บ้านคุณเลย...”
“คุณไปกับผมก่อนได้มั้ย ผมปล่อยให้คุณกลับเองไม่ได้จริง ๆ”
มัสลินพยักหน้าเครียด ๆ
+ + + + + + + + + + + +
ที่โรงพยาบาล
กุเทพยืนคุยกับหมอ สักพักหมอแยกเข้าห้องฉุกเฉินไป อุษยารุดเข้ามาเรียกหมอไว้ แต่ไม่ทัน
“หมอคะ!... หมอว่าไงตากุ”
“หมอต้องผ่าตัดคุณก๋งด่วน”
อุษยาเอามือปิดปาก ช็อก
“เตี่ย... ไม่น่าเกิดเรื่องวุ่นวายเลย”
อุษยาร้องไห้โฮออกมา
“ผมขอโทษครับคุณย่า”
กุเทพกอดอุษยา กานนเข้ามา
“ตาปลิว... คุณปู่แย่แล้วลูก”
“คุณปู่อยู่ห้องผ่าตัดแล้วใช่มั้ยฮะ”
“ครับอาปลิว หมอบอกว่าเส้นโลหิตในสมองแตกถ้าไม่ผ่าตัดเร็วที่สุด คุณก๋งอาจจะ...”
อุษยาร้องไห้โฮ ซบไหล่กานน แล้วเหลือบเห็นมัสลินซุ่มมองอยู่มุมหนึ่ง มัสลินมองพวกกานนอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างเป็นกังวล อุษยามองมัสลินอย่างเต็มตาแล้วโวยลั่น
“แกมาทำไมอีก”
กานนกับกุเทพหันมองตามอุษยา
“มัส”
อุษยารุดจะเข้าเล่นงานมัสลิน
“ออกไปนะ ออกไป๊”
กานนจับอุษยาไว้
“อย่าครับอาหญิง ผมเป็นคนพามัสลินมาเอง”
อุษยาแหงนจ้องหน้ากานนอย่างไม่เชื่อหู
“นี่เราเป็นอะไรกันไปหมด นังนี่มันเป็นแม่มดรึยังไง ทั้งอาทั้งหลานถึงได้หลงมันหัวปักหัวปำ คิดอะไรกันอยู่!”
อุษยาตะคอกถามกุเทพรีบพามัสลินออกไป...กุเทพพามัสลินหลบมานั่งที่เก้าอี้
“มัสไม่น่าไปบ้านพี่กุเลย”
“ไม่ใช่ความผิดของมัสนะ พี่เองก็ไม่คิดว่ามันจะออกมาแบบนี้ คนละเรื่องกับที่คิดไว้เลย ยังไงพี่จะอธิบายให้คุณย่าฟังนะ”
“ไม่สำคัญหรอกค่ะ พี่กุรีบกลับขึ้นไปดูแลคุณย่ากับคุณก๋งดีกว่า ไม่ต้องห่วงมัสหรอก”
“แล้วมัสจะกลับยังไง ดึกป่านนี้แล้ว”
“พี่เก๋กำลังมาค่ะ มัสโทรบอกเค้าให้มารับ” มัสลินหลบตากุเทพเพราะโกหก
“งั้นก็ดีเลย ถ้ามัสกลับเองแล้วเกิดเรื่องขึ้นอีกคนพี่คงบ้าพอดี งั้นพี่ไปนะ”
มัสลินพยักหน้าให้ ยิ้มบางๆ กุเทพออกไป มัสลินพิงพนักเก้าอี้ มองขึ้นท้องฟ้าอย่างอ่อนล้า
มัสลินเดินเอื่อยๆ ออกมาหน้าโรงพยาบาล รถคันหนึ่งแล่นออกจากโรงพยาบาล ผ่านมัสลินไปแล้วหยุดกะทันหัน เจ้าของรถคือมธุริน เธอเหลียวมองมัสลิน...มธุรินกดปุ่มสัญญาณไฟฉุกเฉิน และจอดรถนิ่ง มองมัสลินจากกระจกส่องข้าง
มัสลินเดินมาถึงข้างรถมธุริน มธุรินเปิดประตูก้าวลงไปหา มัสลินตกใจ
“คุณ...”
“ขึ้นรถสิ ฉันไปส่ง” มัสลินยังคงนิ่ง เพราะงงว่ามธุรินโผล่มาได้ไง “ฉันมาดูอาการคุณปู่ แต่ท่านยังอยู่ในห้องผ่าตัด ฉันก็เลยกลับก่อน”
มธุรินยกมือปัดผมที่ปลิวตามแรงลมมาปะทะหน้า มัสลินเห็นผ้าผันแผลที่แขนมธุริน
“แขนคุณโดนอะไร”
“ก็...ยัยกิ๊บนั่นละ”
มัสลินขมวดคิ้ว ทั้งรู้สึกผิดและโกรธตัวเอง
“ฉันขอโทษนะ”
“ขอโทษอะไร เธอไม่ได้เป็นคนทำฉันซะหน่อย ขึ้นรถเถอะ”
มัสลินมองมธุรินอย่างชั่งใจ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถขึ้นนั่ง ขณะอยู่บนรถมธุรินพูดกับมัสลินด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เธอสนิทกับกานนเหรอ” มัสลินตกใจ “คุณย่าบอกว่ากานนเป็นคนพาเธอมาที่โรงพยาบาล”
มัสลินตั้งสติตอบ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คุณกานนกำลังจะไปส่งฉันที่บ้าน หลังจากที่พาฉันออกมาตอนมีเรื่อง แต่พี่กุโทรมาบอกว่าคุณก๋งป่วยหนัก คุณกานนเลยต้องรีบไปที่โรงพยาบาล”
“แล้วทำไมเธอไม่กลับซะตั้งแต่ตอนนั้น ไปที่โรงพยาบาลทำไม”
“ถ้าคุณรับฉันมาเพราะอยากจะซักฉันเรื่องคุณกานน ฉันบอกได้เลยว่าฉันกับคุณกานน หรือแม้แต่คุณกุเทพ ไม่ได้มีอะไรเกินเลย ช่วยจอดข้างหน้านี้ด้วย”
“ฉันแค่อยากคุยกับเธอ ฉันทั้งอึดอัดทั้งงงที่ทุกคนรอบตัวฉันดูจะเกี่ยวข้องกับเธอไปซะหมด ยัยกิ๊บ... กานน... พ่อฉัน... หรือแม้กระทั่งแม่ฉัน”
“แม่คุณ? ...ฉันไม่เกี่ยวอะไรกับแม่คุณ”
“แม่ฉันร้องไห้ตอนไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล เธอจำไม่ได้เหรอ” มัสลินเงียบไป ภาพบัวบงกชที่ย่อตัวลงจับเท้ามัสลิน น้ำตาคลอ ผุดขึ้นมาในความคิดมัสลิน
“ไม่ว่ายัยกิ๊บจะโกรธแค้นเธอยังไง ฉันไม่เคยเห็นเธอเป็นศัตรู ฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฉันพูดกับเธอตรงขนาดนี้แล้ว ฉันขอร้องอะไรเธอสักอย่างได้มั้ย”
มัสลินรอฟัง ไม่ตอบอะไร มธุรินพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด และหันสบตามัสลิน
“อย่ายุ่งกับกานน”
มัสลินนิ่งงัน
มธุรินขับรถมาส่งมัสลินที่บ้าน แต่พอมัสลินก้าวเข้าบ้านเธอก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงแก้วแตกเพล้ง...จิรดาเมาอาละวาดอยู่ในบ้านและแหงนหน้าตะโกนเรียกมัสลิน
“อีมัส ฉันบอกให้แกลงมาหาฉันไง รึอยากจะให้ฉันไปจิกแกออกจากห้องห๊า”
มัสลินก้าวเข้ามาเห็นสภาพเละเทะของบ้าน
“มัสอยู่นี่ค่ะแม่”
จิรดาหันขวับ พอเห็นมัสลินก็แผดเสียงใส่
“ดึกป่านนี้เพิ่งโผล่หัวกลับมาเนี่ยนะ หนอยมานี่เลย”
จิรดาบิดต้นแขนมัสลินและลากมา
“โอ้ยแม่มัสเจ็บนะคะ”
มัสลินดึงมือจิรดาออก
“แกสู้ฉันเหรอ สู้ฉันเหรอ”
จิรดาเงื้อมือจะตบ มัสลินหลบออกห่าง
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะแม่ ทำไมแม่ต้องเมามากอย่างนี้ด้วย”
“อีลูกไม่รักดีแกยังมีหน้ามาถามฉันเหรอ วันนี้แกให้สัมภาษณ์นักข่าวใช่มั้ยว่าไม่รับเล่นหนังคุณเตช”
“ค่ะ ที่กองโฆษณาพอดีมีนักข่าวตามไปด้วย มัสก็พูดไปตามจริง”
จิรดาเข้าทุบตีมัสลิน
“หืม...ให้มันได้อย่างนี้สิอีมัส อี...ฉันจะด่าแกยังไงดีนะ มันถึงจะสมกับความโง่ๆๆ ของแก”
มัสลินน้ำตาคลอ เอามือปัดป้องจิรดา
“แม่รู้มั่งมั้ยว่าหนังที่นายเตชจะให้มัสเล่นมันเป็นหนังอะไร”
“หนังอะไรแกก็ต้องเล่น ฉันรับตังค์ค่าตัวแกมาแล้ว ไม่แหกตาดูข้าวของที่ฉันซื้อให้แกโครม ๆ เหรอ”
“มัสบอกแล้วมัสไม่อยากได้ แม่ต่างหากที่อยากได้ของพวกนั้น”
“พูดอย่างนี้แกอยากเห็นฉันอาละวาดบ้านพังใช่มั้ย ได้...คืนนี้ไม่ต้องนอนกัน” จิรดาปัดแก้วแตกอีก แต่แล้วพลันส่งเสียงหวีดร้อง “โอ้ยยย”
มัสลินจับมือจิรดามาดู เห็นเลือดไหลจากนิ้วเพราะถูกเศษแก้วบาด
“ขึ้นไปทำแผลเถอะค่ะแม่ พอได้แล้ว มัสยอมแล้ว”
มัสลินบอกพร้อมกับร้องไห้ออกมา จิรดายิ้ม
“แกจะเล่นหนังให้คุณเตชใช่มั้ย”
“ไม่ค่ะ แต่มัสจะหาเงินไปใช้เค้าทุกบาทที่แม่เอาของเค้ามา”
จิรดาใช้มือที่เจ็บตบหน้ามัสอย่างแรง เลือดเลอะใบหน้ามัสลิน มัสลินกุมใบหน้าอย่างเจ็บปวดใจ
“สมควรแล้วที่แกมันไม่ใช่ลูกฉัน!”
มัสลินนิ่งงัน มือจับใบหน้าค่อยๆ รูดลงอย่างอ่อนแรง รอยเลือดเป็นทางตามมือมัสลิน
(จบตอนที่ 3)