ในรอยรัก
ตอนที่ 26
ที่บ้านม่านมัสลิน ขณะที่จิรดากำลังนั่งดูทีวีอยู่กับแป้นและพัด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พัดรีบลุกขึ้นไปรับ แล้วยื่นสายกลับมาให้จิรดา
“โทรศัพท์คุณดาค่ะ”
“ใครโทรมาในนี้”
“คุณพ่อของคุณดาค่ะ” พัดหมายถึงเจ้าสัวทศ
จิรดาชะงัก รับโทรศัพท์ไร้สายมาแล้วเดินขึ้นไปข้างบน
“เก๋เหมือนกันนะอยู่ดีๆ มามีคุณพ่อตอนแก่” แป้นพูดกับพัดขำๆ
จิรดาเปิดประตูห้องเข้ามาขณะรับโทรศัพท์เจ้าสัว
“ท่านมีธุระอะไรหรือคะ”
“พ่อจะโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ พ่อจะโอนหุ้นแล้วก็เงินเข้าธนาคารให้”
“อ๋อ ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไร”
“แต่พ่อตั้งใจไว้นานแล้ว”
“หนูก็พอมีของหนูบ้าง ไม่ได้อดอยากอะไร มัสเขาจ้างให้หนูเป็นผู้จัดการ”
“เอาเงินที่พ่อให้ใช้เถอะ อย่าไปเอาของลูก”
“หนูเลี้ยงลูกหนูมาตั้งแต่ตัวเท่ากำปั้น ตอนนี้เขามีการมีงานทำก็ต้องเลี้ยงหนูตอบแทน พ่อแม่เลี้ยงลูก ลูกเลี้ยงพ่อแม่เป็นเรื่องธรรมดา”
“จิรดา ขอให้พ่อได้ชดใช้ให้ลูกให้หลานบ้าง พรุ่งนี้ พ่อจะให้เจ้าปลิวไปจัดการให้นะ พ่อโทรมาแค่นี้ละ ขอบใจที่อุตส่าห์ฟัง” เจ้าสัวทศวางหูโทรศัพท์
“แจ๋นเหมือนนังอุษจริงๆ” จิรดาพึมพำ
จิรดาถือโทรศัพท์เดินออกมาเพื่อเอาไปเก็บยังที่วาง ม่านมัสลินกลับมาจากถ่ายละครเดินขึ้นมาพอดี
“ใครโทรมาคะ”
“เจ้าสัว”
“คุณตาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” มัสลินถามอย่างแปลกใจ
“อุ๊ย! คุณตา เรียกได้เต็มปากเต็มคำเชียวนะยะ”
“ก็ท่านเป็นตาของมัส”
จิรดาทำหน้าเหมือนจะเยาะ
“ทำไมแม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น”
“หน้าฉันมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าแกอยากได้หน้าใหม่ๆ ก็ไปเป็นลูกแม่บัวบงกชซิ”
“แม่”
“ก็เห็นเขาอยากจะเป็นแม่แกนักไม่ใช่เรอะ”
ม่านมัสลินน้ำตาคลอขึ้นมาทันที
“มัสมีแม่เป็นแม่คนเดียว แล้วมัสก็รักแม่มาก ถึงแม่จะไม่เคยรักมัสเลยก็ตาม” จิรดาได้ฟังถึงกับอึ้ง
“แม่อย่าผลักไสมัสให้ไปเป็นลูกคนอื่นเลยนะคะ”
จิรดาหันกลับจะเข้าห้อง มัสลินมองตามด้วยความน้อยใจแล้วจะเข้าห้องบ้าง จิรดาหันกลับมา เหมือนนึกได้
“มัสลิน”
“คะ”
“พรุ่งนี้วางค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าวไว้ให้ด้วย”
“ค่ะ แม่จะออกไปช็อปปิ้งไหมคะ มัสจะได้ให้…”
มัสลินถามอย่างกระตือรือร้น
“แกจะให้ก็ให้ ไม่ต้องท่าโน้นท่านี้”
“ค่ะ”
จิรดาเดินเข้าห้อง มัสลินมองตามแล้วเข้าห้องบ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้นม่านมัสลินเดินลงบันไดเข้ามาภายในห้องรับแขก ขณะที่พัดเอาหนังสือพิมพ์มาวางให้
“คุณมัสจะไปทำงานแล้วหรือคะ พัดทำข้าวต้มไว้”
“มันเช้าเกินไป มัสยังไม่หิว ฝากนี่ไว้ให้แม่ด้วยนะจ๊ะ”
“ค่ะ” พัดรับซองสีน้ำตาลที่มัสลินส่งให้
ม่านมัสลินเดินออกไปขึ้นรถ ขณะนั้นแป้นกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ รีบเดินจะไปเปิดประตูให้ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นรถกานนจอดนิ่งอยู่เลยประตูออกไป
“คุณมัสคะ”
แป้นรีบเดินมาเคาะกระจกรถ ม่านมัสลินกดลดกระจกลง
“ทำไม”
“รถคุณกานนจอดอยู่ข้างนอกค่ะ”
“เขามาทำอะไรของเขาแต่เช้า”
มัสลินบ่นพลางเปิดประตูรถเดินตรงไปที่รถกานน โดยมีแป้นเดินตามไปชะเง้อดูห่างๆ กานนเปิดประตูรถก้าวลงมา
“คุณมาทำอะไรแต่เช้า” มัสลินถามขึ้นทันที
“อาก๋งสั่งให้ผมมารอรับคุณแม่คุณ ท่านจะโอนหุ้น โอนเงินให้”
มัลสินมีสีหน้าแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นมา”
“ก็คุณแม่คุณเป็นลูกของท่าน ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่”
“แล้วแม่ทราบหรือเปล่าคะ”
“เห็นอาก๋งบอกว่า ท่านโทรมามาตั้งแต่เมื่อคืน”
มัสลินนิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตอนเจอจิดราเดินถือโทรศัพท์ออกมาจากห้อง
“แม่ตื่นสาย เชิญคุณเข้าไปรอข้างในก่อนดีกว่า”
“แล้วคุณล่ะ”
“ฉันมีธุระกับพี่เก๋ แป้น ช่วยดูแลแขกด้วยนะ” มัสลินผินหน้าไปบอกแป้น
“ค่ะ”
“เชิญค่ะ”
แป้นเดินนำกานนเข้าไป ขณะที่มัสลินขึ้นรถขับออกไป กานนมองตาม
ม่านมัสลินมาที่ร้านเสื้อของเกวลิน ในขใณะที่กำลังลองเสื้ออยู่เธอก็ต้องชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน มองหน้าเกวลินเขม็ง
“อะไรนะพี่เก๋”
“ศิธาจ้ะ ศิธาเขาไปเยี่ยมคุณคิม”
“พี่เก๋”
“เปล่านะ พี่ไม่ได้บอก เขารู้เอง” เกวลินรีบออกตัว
“แล้วมัน” เกวลินหน้าตึงทันที “เอ๊ย! ขอโทษค่ะ แล้วเขารู้ได้ยังไง”
“แหม ก็คุณคิมเขาเป็นเซเล็บ”
“แต่คุณแม่เขาสั่งให้ปิดเป็นความลับ”
“โอ๊ยความลับมีที่ไหนในโลกนี้ ศิธาเขาอยากจะไปเยี่ยมเพื่อขอโทษ”
“อุ๊ย! อย่าเชียวนะคะ ห้ามไปเด็ดขาด มัสไม่ไว้ใจเขา” เกวลินหน้าเสีย มัสลินจึงบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“พี่เก๋ เรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องใหญ่ มีผลกระทบร้ายแรงกับหลายๆ คน พี่เก๋อาจจะให้อภัยได้ แต่มัสบอกตามตรงว่ามัสให้อภัยไม่ได้ แล้วครอบครัวของคุณคิมก็เหมือนกัน พี่เก๋คงจะเข้าใจนะคะ”
เกวลินนิ่งอึ้ง ขณะที่ม่านมัสลินมีสีหน้าแน่วแน่เด็ดขาด
พอออกจากร้านเสื้อเกวลิน ม่านมัสลินก็พยายามโทรหากานนแต่ติดต่อไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจไปหากานนที่ออฟฟิศ กานนรีบเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาเมื่อรู้ว่ามัสลินมานั่งรออยู่
“ขอโทษด้วย ตอนคุณโทรมา ผมปิดโทรศัพท์เพราะติดประชุม นี่ก็เพิ่งเลิก พอออกมา เลขารายงานว่าคุณมารอตั้งเกือบ 20 นาทีแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้มีถ่ายละคร 5 โมงเย็น ฉันเลยไม่ได้รีบไปไหน”
“คุณมีธุระสำคัญใช่ไหม ไม่อย่างนั้น คุณไม่มาถึงที่นี่หรอก”
“นายศิธากับนายโก้รู้ว่าคิมอยู่ที่ไหนค่ะ”
“ช่างเป็นไร”
“นายศิธายังไปถามเรื่องนี้กับพี่เก๋อีก คุณไม่คิดว่าเขาสนใจเรื่องนี้มากเกินไปหรือคะ”
“ก็อาจเป็นไปได้”
“คุณไม่สนใจก็ไม่เป็นไร” มัสลินลุกขึ้นหันหลังจะเดินออกไป กานนคว้าแขนม่านมัสลินไว้ “ปล่อย ฉันจะรีบไป”
“ไปไหน”
“ไปขอให้พี่กุช่วย”
“ไปขอให้แฟนเก่าช่วยเหลือแฟนใหม่ มันไม่ใจดำไปหน่อยหรือ” กานนประชด
“ฉันไม่ได้เป็นแฟนเก่าแฟนใหม่ใคร ฉันแค่ต้องการช่วยคิม”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อีกหน่อยเขาก็จะฟื้นแล้ว”
“แน่นอน! แล้วฉันก็จะแต่งงานกับเขา ดูแลเขาไปตลอดชีวิต”
กานนดึงแขนม่านมัสลินรั้งตัวมาใกล้
“คุณทำไม่ถูก ใช่! เขาเสี่ยงตายเพื่อคุณ คุณตอบแทนเขาอย่างอื่นก็ได้ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตไปไว้กับคนที่ไม่ได้รัก”
“คุณคิมรักมัส อยู่กับคนที่รักเราย่อมมีความสุขกว่าอยู่กับคนที่เรารัก”
“แล้วถ้าได้อยู่กับคนที่คุณรักและเขาก็รักคุณย่อมไม่ดีกว่าหรือ”
มัสลินสบตากานน
“มันไม่มีวันเป็นไปได้”
“ต้องได้ซิ” กานนบอกอย่างอ่อนโยน
“ความรักอย่างที่คุณพูด มันเป็นรักต้องห้าม”
กานนดึงมัสลินเข้ามากอด
“ไม่ใช่หรอกมัสลิน มันไม่ใช่รักต้องห้าม ขอเวลาผมสักนิด”
มัสลินดันตัวออกห่าง
“ต่อให้ใช้เวลาจนชั่วชีวิต มันก็เป็นไปไม่ได้”
“มัสลิน ถ้า...ถ้า...คุณเกิดไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณแม่คุณล่ะ”
คำถามนี้ทำให้ม่านมัสลินชะงัก เซไปข้างหลังดวงตามองกานนอย่างตระหนก
“คุณพูดอะไรน่ะ”
“มัส...”
“คุณใจร้าย ใจร้ายที่สุด คุณพูดออกมาได้ยังไง”
ม่านมัสลินหันหลังเดินแกมวิ่งออกไป กานนมองตามด้วยความรู้สึกตกใจ เสียใจ แล้วตามออกไป
ม่านมัสลินเดินแกมวิ่งออกมาทั้งน้ำตา ท่ามกลางสายตาแปลกใจของพนักงานกานนรีบเดินตามออกมา
“มัสลิน”
ม่านมัสลินรีบก้าวเร็วๆ ไปยังที่จอดรถ โดยมีกานนก้าวยาวๆ ตามมา กานนก้าวตามจนทันแล้วดึงแขนม่านมัสลินไปที่รถตัวเอง ทุกคนมองตามอย่างสนใจ บ้างก็ซุบซิบ
“ขึ้นรถเร็ว เขามองกันใหญ่แล้ว”
ม่านมัสลินเหลือบมอง แล้วยอมก้าวขึ้นรถซึ่งกานนเปิดให้ กานนอ้อมไปนั่งที่คนขับ แล้วขับออกไป
กานนขับรถออกจากออฟฟิศพร้อมกับเหลือบมองม่านมัสลินแว่บหนึ่ง
“คุณจะไปไหน” มัสลินนั่งนิ่ง เบือนหน้าออกไปนอกรถ ไม่ยอมตอบ
“ผมขอโทษ ที่พูดจาเพ้อเจ้อออกไปเมื่อกี้”
“ฉันไม่อยากได้ยินอะไรแบบนั้นอีก”
“ผมสัญญาว่าจะไม่พูดแล้ว คุณจะไปไหน”
“ไปเยี่ยมคุณคิม” มัสลินเอ่ยขึ้น กานนพยักหน้ารับทราบ
กานนพาม่านมัสลินมาที่สถานพักฟื้นผู้ป่วยตามต้องการ ขณะนั้นดุสิตกำลังช่วยทำกายภาพให้คิม ลี กานนกับม่านมัสลินก้าวเดินเข้ามา มีแจกันดอกไม้มาเปลี่ยนให้เหมือนทุกวัน
“อ้าว!” ม่านมัสลินมองสำรวจ คิม ลี ขณะถามขึ้น
“คุณคิมเป็นยังไงบ้างคะ”
“เหมือนเดิมครับ นอกจากขยับมือเท้าบ้าง ลืมตาบ้าง ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ดุสิตบอก
กานนพยักหน้ากับดุสิต
“ออกไปคุยข้างนอกกันหน่อย”
ดุสิตเดินตามกานนออกไป ขณะที่ม่านมัสลินยังคงมองคิมอย่างสำรวจตรวจตรา
กานนกับดุสิตเดินคุยกันออกมาข้างนอก กานนบอกดุสิตเรื่องศิธา
“ศิธามันรู้แล้วว่าคิมอยู่ที่นี่”
“มันรู้ได้ยังไง”
“อย่าลืมซิว่า พวกมันหูตาเป็นสับปะรด แถมคุณเก๋ยังช่วยขยายรายละเอียดอีก”
ดุสิตหยุดชะงัก เมื่อกานนเอ่ยชื่อเกวลิน
“ผมขอโทษ” กานนรู้สึกตัว
“ไม่เป็นไร... เมื่อไหร่เขาจะเลิกปิดหูปิดตาตัวเองเสียที”
“คงต้องถูกมันทรยศอีกครั้งละมั้ง”
ดุสิตมีสีหน้าเจ็บปวด
ภายในห้องขณะนั้นม่านมัสลินขยับแจกันดอกไม้ให้คิม ลี ดู
“วันนี้แจกันดอกไม้สวยจังค่ะ มัสสั่งดอกกุหลาบขาวไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ทางร้านเขาก็อุตส่าห์หาดอกโตๆ กลีบแข็งๆ มาให้จนได้ แถมยังกลิ่นหอ0มอีกด้วย คุณคิมรู้สึกตัวเร็วๆนะคะ จะได้เห็นความสวยงามของดอกไม้” คิมค่อยๆ ลืมตาขึ้น ม่านมัสลินดีใจมาก
“คุณคิม คุณคิมรู้สึกตัวแล้วใช่ไหมคะ”
คิม ลี ทำท่าทางเหมือนกำลังพยายามจะคิด หรือจะพูด บางอย่าง แต่แล้วก็หลับตาลงใหม่ ม่านมัสลินสอดมือใต้อุ้งมือคนป่วย
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณคิมยังไม่พร้อม มัสก็จะหาเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาเล่าให้คุณคิมฟังบ่อยๆ มัสยังไม่ได้เล่าให้คุณฟังใช่ไหมคะว่า เดี๋ยวนี้แม่ของมัสกลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ ไปแล้ว เพราะคุณตาโอนหุ้นและเงินเข้าบัญชีให้ คนเรานี่ก็แปลก แม่เคยร่ำร้องอยากจะมีอยากจะรวยเหมือนคนอื่น แต่พอรวยเข้าจริงๆ แม่กลับไม่สนใจ ยังคงรีดไถมัสเป็นประจำ ชอบอยู่กับบ้านมากว่าออกไปเที่ยวอย่างเมื่อก่อน แล้วก็ไม่ยอมไปบ้านคุณตา คนแก่นี่ทิฐิแรงจังนะคะ”
ม่านมัสลินเล่าเรื่องราวชีวิต ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือเสยผมให้คิมอย่างอ่อนโยน
ระหว่างนั้นดุสิตยังคุยอยู่กับกานน
“เท่าที่ผมดูๆ ที่นี่เขามีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดพอสมควร”
กานนพยักหน้าขณะมองไปโดยรอบ
“นั่นซิ มัสคงสบายใจมากขึ้น”
“ผมไม่อยากให้มัสลินโทษตัวเองที่คิมต้องเป็นอย่างนี้”
“มัสจะแต่งงานกับคุณคิมทันทีที่ฟื้น”
“ผมไม่เห็นด้วยและคิมก็คงไม่เห็นด้วยเหมือนกัน”
“เรายังไม่รู้หรอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
“นั่นซิ กลับเข้าข้างในกันเถอะ”
กานนกับดุสิตเดินเข้ามาในขณะที่ม่านมัสลินยังคงพูดกับ คิม ลี อยู่
“ทุกวันนี้ ใครต่อใครเกือบจะลืมเรื่องของมัสสนิทแล้ว หนังสือพิมพ์ก็ไม่เขียนถึง งานของมัสก็มีเข้ามาเรื่อยๆ ละครเรื่องนี้ใกล้จะปิดกล้องเรื่องใหม่ก็ติดต่อเข้ามา ชีวิตมัสกำลังจะเข้ารูปเข้ารอย แต่มัสยินดีแลกทั้งหมดนี้เพื่อให้คุณคิมกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง”
ดุสิตกระแอมเบาๆ ม่านมัสลินหันมามอง
“คุณเป็นผู้หญิงที่จิตใจงดงามไม่แพ้รูปร่างหน้าตาเลย” ดุสิตชมอย่างจริงใจ
กานนมองม่านมัสลินด้วยสีหน้าอ่อนโยน จนม่านมัสลินรู้สึกเขินกับแววตานั้น
กานนพาม่านมัสลินกลับ ระหว่างอยู่ในรถกานนเหลือบมองม่านมัสลินซึ่งสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“กำลังคิดอะไรอยู่”
“ฉันอยากมาเฝ้าคุณคิม” ม่านมัสลินบอกขึ้นเชิงปรึกษา
กานนสะดุ้งจนรถเป๋ไป
“เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว และผมอุตส่าห์ไปพูดกับคุณดุสิต อีกอย่าง คุณเป็นผู้หญิง”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ คุณคิมไม่รู้สึกตัวสักหน่อย อีกอย่างคุณดุสิตจะได้กลับไปสะสางงานบ้าง”
“อ้อ พอเขาชมเข้าหน่อยว่าจิตใจงดงาม เลยยิ่งจะให้งามขึ้นไปใหญ่”
“คุณหาว่าฉันบ้าบอเรอะ” ม่านมัสลินฉุน
“ก็หรือไม่ใช่ล่ะ” กานนไม่ลดรา
“จอดรถเดี๋ยวนี้เลย”
“ทำไม”
“บอกให้จอด”
กานนขับรถเข้าจอดริมทาง ยังไม่ทันจะจอดดี มัสลินรีบเปิดประตูก้าวออกไปจากรถ
“เดี๋ยว”
มัสลินรีบโบกเรียกแท็กซี่ทันที แล้วขึ้นรถแท็กซี่ไป
“อะไรอีกล่ะ” กานนบ่นอย่างหงุดหงิดแล้วขึ้นรถขับออกไป
กานนกลับมาถึงออฟฟิศแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาม่านมัสลิน
“จะโทรมาทำไมอีกล่ะ”
มัสลินบ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นชื่อกานนโทรเข้ามาและไม่ยอมรับสายปล่อยให้สายหลุดไป แต่ก็มีสัญญาณโทรขึ้นมาใหม่ มัสลินลังเลครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจกดรับสาย
“ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับคุณ”
“ก็ไม่เห็นต้องทะเลาะกันนี่ ผมหาคนไปเปลี่ยนกับดุสิตให้แล้ว”
“ใครคะ”
“พนักงานที่ office ผมเอง” มัสลินนิ่งไป “ตกลงนะ มัสลิน” กานนต่อรอง
“คุณนี่ไม่มียอมแพ้เลยนะ”
“ผมหวังดีกับคุณ ไม่ได้คิดจะเอาชนะ คุณตั้งใจก็จริง แต่คุณก็ห้ามความคิดของคนอื่นไม่ได้ ข่าวเรื่องคลิป เรื่องมือที่สาม เพิ่งจะผ่านไปไม่ทันไร นี่จะมีข่าวคุณมานอนเฝ้าไข้คุณคิมอีกแล้ว และก็เป็นรื่องจริงเสียด้วย” กานนอธิบายเหตุผล
“ที่จริงแล้ว ฉันไม่แคร์เลย ฉันบริสุทธิ์ใจ” ม่านมัสลินยังคงรั้น
“จะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่มองเห็น และชื่นชมความบริสุทธ์ใจของคนอื่น ผมเห็นส่วนใหญ่มีแต่ซ้ำเติมทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่มีอาชีพอย่างคุณ ชื่อเสียงกับชื่อเสียอยู่ใกล้กันแค่มี ง-งู กั้นเท่านั้น”
“งั้นฉันก็คงต้องพูดว่า ‘ขอบคุณค่ะ’…”
“ไม่พูดก็ไม่เป็นไร ผมทำเพื่ออาก๋งกับคุณย่าเล็ก ท่านทั้ง 2 คงเสียใจมากถ้ามีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับคุณอีก”
ม่านมัสลินวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าน้อยใจ กานนเองก็มีสีหน้าน้อยใจเช่นกันที่ม่านมัสลินปิดโทรศัพท์เหมือนไม่สนใจใยดี
ที่ออฟฟิศเตช ขณะนั้นเตชเดินโอบไหล่มธุรินเข้ามาในออฟฟิศ ถามลูกสาวสุดที่รักขึ้นอย่างห่วงใย
“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาไม่ค่อยสบายเลยนี่”
“คุณพ่อขา เดียร์ขอมาทำงานด้วยได้ไหมคะ เดียร์เหงา ตั้งแต่ขายหุ้นร้านเพชรไป ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี”
“เอาซิ! ลูกจะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ”
“พรุ่งนี้ได้มั้ยค่ะ”
“วันนี้ยังได้เลย เดี๋ยวพ่อจะให้เขาจัดห้องให้” เตชกดโทรศัพท์ภายในเรียกเลขา “ทิพย์ เข้ามาในนี้หน่อย”
“คุณพ่อไม่ลำบากใจแน่นะคะ”
“พ่อดีใจเสียอีก...อยู่ฝ่ายต่างประเทศดีมั้ย”
“ได้ค่ะ”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ทิพย์เดินเข้ามารับคำสั่ง
“ทิพย์ ช่วยจัดห้องทำงานให้ลูกสาวผมหน่อย”
ทิพย์หันมายิ้มกับมธุรินพลางถาม “น้องเดียร์จะมาทำงานที่นี่หรือคะ”
“ค่ะ”มธุรินยิ้มอ่อนโยน
“เอาเป็นห้องติดริมแม่น้ำ ที่นายใช้เป็นห้องรับรองดีไหมคะ”
“ดี! ไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย” เตชสำทับ
“ค่ะ... น้องเดียร์จะเริ่มงานเมื่อไหรคะ” ทิพย์หันมาถามมธุริน
“คิดว่าจะป็นพรุ่งนี้ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ทิพย์”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีต้อนรับน้องใหม่นะคะ”
ทิพย์เดินออกไป มธุรินลุกมากราบเตชและ กอดอย่างดีใจสุดซึ้ง
“ขอบคุณมากค่ะพ่อ”
“อยากได้อะไรก็บอก เดียร์เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ พ่อให้เดียร์ได้ทุกอย่าง ขอให้บอกพ่อเท่านั้น”
มธุรินน้ำตาคลออย่างซาบซึ้งใจ
เมื่อออกมาจากออฟฟิศผู้เป็นพ่อ พิณสุดาโทรศัพท์หามธุรินพอดี และนัดเจอที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“มีธุระอะไรหรือเปล่า นอกจากนัดมากินข้าวเฉยๆ”
“แกกลับมาเป็นหุ้นส่วนร้านเพชรอีกได้ไหม กุเทพเขาขายหุ้นให้เพื่อนเขาแล้ว”
“ไม่ละ ฉันจะเริ่มทำงานกับคุณพ่อพรุ่งนี้”
“เฮ้ย! งั้นขอทำด้วยคนซิ”
“อ้าว แล้วร้านเพชรล่ะ”
“ไม่เป็นไร วิไลรัตน์ไว้ใจได้ ดีไม่ดีฉันจะขายหุ้นให้เพื่อนกุเทพ”
“อย่าเพิ่งเลย ฉันเกรงใจคุณพ่อ นี่ก็เพิ่งยัดเยียดฉันเข้าไป”
“เกรงใจทำไม คุณพ่อท่านเป็นหุ้นใหญ่ จะเอาใครเข้าทำงานก็ไม่เห็นแปลก แต่ถ้าแกไม่เต็มใจ ฉันจะขอให้เสี่ยศักดาฝากให้ทำก็ได้ โก้สนิทกับลูกชายเขา” มธุรินนิ่งไป เริ่มจะกินข้าวไม่อร่อย
“ทำไม แกไม่อยากให้ฉันทำงานด้วยเรอะ” พิณสุดาถามเสียงขุ่น
“เปล่า” มธุรินอึกอัก
“งั้นดีเลย เราจะได้สนิทกัน ไปไหนมาไหนกันเหมือนเดิม”
พิณสุดามีท่าทางร่าเริงกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ผิดกับมธุรินที่ทำท่าจะกินไม่ลง
เมื่อแยกจากมธุริน พิณสุดากลับมาบ้านและขอให้ศิธาช่วยให้เธอได้เข้าทำงานที่บริษัทของเตช
“ตอนนี้ผมยังเอาตัวไม่รอดเลย คงช่วยพี่กิ๊บลำบาก” ศิธาบอก
“ฉันเป็นพี่แฟนแกนะ”
“เห็นใจผมเถอะพี่กิ๊บ เตี่ยเขากำลังเหม็นหน้าผม”
“ไอ้โก้” พิณสุดาให้พีระพลช่วยพูด
“ถ้าช่วยได้ ศิธาเขาก็ช่วยแล้วละ”
“อือ” ศิธาพยักเพยิด
“งั้นฉันจะประจานแก 2 คนว่าไม่แมน”
“ขู่อีกและ” พีระพลพูดแบบเซ็งๆ
“ไม่ขู่ ฉันทำจริง”
“สุดแต่พี่กิ๊บเถอะ เพราะผมก็จะแฉเหมือนกันว่า พี่กิ๊บเป็นคนวางแผนเรื่องทำคลิปมัสลิน” ศิธาพูดขึ้น แต่พิณสุดาก็ไม่เกรง โต้กลับ
“แกแฉ ฉันก็แฉ”
“แล้วพวกเราก็จะเข้าไปอยู่ตะรางนิเวศน์ด้วยกัน สบายแฮไปเลย” พีระพลเตือนสติพี่สาว พิณสุดาเม้มปากแน่น
พอเห็นว่าอาการของพี่สาวเย็นลงแล้ว พีระพลก็เริ่มประจบ “ใจเย็นน่าพี่กิ๊บ เป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านเพชรก็ดีอยู่แล้ว เรายังมีเรื่องที่ต้องช่วยกันทำอีกแยะ เช่น การออกคลิปมัสลิน 2 แล้วคลิป 3 จะตามมาติดๆ”
“ว้าว” พิณสุดาตาโตขึ้นมาทันที
“ถูกใจล่ะซี แต่ต้องรออีกนิด เพราะไอ้คนที่ทำมันยังปอดแหกแตกกระจายอยู่ อีกอย่าง คราวนี้ต้องหานางเอกรูปร่างเป็นมัสลินเป๊ะ คราวที่แล้ว พลาดเรื่องนี้ไปหน่อย”
“เรา 2 คนทำเพื่อพี่กิ๊บ แล้วก็เพื่อแก้แค้นนังมัสด้วย” ศิธาเข้าผสมโรง
“แถมนังเดียร์ด้วยได้มั้ย” พิณสุดาขอพ่วงคู่กรณี เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด
“เฮ้ย” พีระพลกับศิธาร้องออกมาพร้อมกัน
“ขืนทำเตี่ยเอาตาย ลูกสาวหุ้นส่วนใหญ่เชียวนะค้า” ศิธา
“เจ๊! เรา 2 คน มีเรื่องให้เจ๊ช่วย” พีระพลสบโอกาสหาตัวช่วยในแผนชั่ว
“เรื่องอะไร”
พิณสุดาถามขึ้นอย่างงงๆ
อ่านต่อหน้า 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 26 (ต่อ)
วันต่อมา...พิณสุดาปลอมตัวเป็นคนแก่ เพื่อมาสืบอาการของคืม ลี ตามแผนการของ ศิธา กับพีระพล เธอเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของสถานพักฟื้น
“สวัสดีค่ะ คุณป้าจะมาเยี่ยมใครหรือคะ” พนักงานยกมือไหว้ สอบถามพิณสุดาในร่างหญิงชรา
“หลานชายค่ะ ไม่รู้ว่าอาการเป็นยังไงบ้าง นี่ป้าก็เพิ่งมาจากฮ่องกง เพิ่งจะรู้เรื่องไม่เท่าไหร่นี่เอง”
“หลานชายคุณป้าชื่อ”
“คิม ลี ค่ะ แม่เขาชื่อแม็กกี้ ป้าชื่อโรซ่า ตระกูลซอสเหมือนกัน”
“คุณป้าอารมณ์ดีจัง” พนักงานยิ้มขันๆ เวลานั้นพี่เลี้ยงคนหนึ่งเดินมา “จิ๋ว มาพอดีเลย ช่วยพาคุณป้าโรซ่าไปเยี่ยมคุณคิม ลี หน่อย”
“ได้ค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ ขอให้สุขภาพดี อย่าเจ็บอย่าไข้”
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
“เชิญคุณป้าทางนี้ค่ะ”
พิณสุดาเดินไปกับจิ๋ว ระหว่างทางพิณสุดาเดินทำเป็นดูโน่นดูนี่ ครู่หนึ่ง แล้วทำตัวก้าวพลาดเกือบล้มร้องขึ้น
“โอ๊ย”
จิ๋วรีบประคอง “คุณป้าเป็นอะไรคะ”
“หัวเข่า หัวเข่าป้ามันดังกร๊อบ ป้าเดินไม่ไหว”
“งั้นนั่งพักก่อนนะคะ”
จิ๋วประคองพิณสุดาซึ่งทำตัวโขยกเขยกโอดโอยมาทรุดตัวลงนั่ง
“โอ๊ย ป้าโรซ่าคงเดินไม่ไหวแล้วละ หนูช่วยเล่าอาการหลานคิมให้ป้าฟังตรงนี้ได้ไหม ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปนะ”
“ได้ค่ะ น่าเสียดายที่คุณป้าเดินไม่ไหว วันนี้คนเฝ้าคุณคิม ลี กลับบ้านเสียด้วย”
“คนเฝ้ากลับบ้าน” พิณสุดาถามอย่างลืมตัว จิ๋วมองอย่างแปลกใจ พิณสุดารู้สึกตัวจึงรีบเปลี่ยนท่าที “โถ พ่อคุณ งั้นป้าคงต้องไปดูให้เห็นกับตา”
“แล้วคุณป้าจะเดินไหวหรือคะ”
“ถึงไม่ไหวก็ต้องกระเสือกกระสนไป ความรักความสงสารหลานมันทำให้เกิดพลังน่ะลูก”
พิณสุดาทำเป็นค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น
“ระวังนะคะคุณป้า” จิ๋วช่วยประคองพิณสุดาซึ่งกระโผลกกระเผลกเดินไป
ที่ห้องพักผู้ป่วย ขณะนั้นคิม ลี นอนลืมตามองเพดานด้วยอาการเหม่อลอย เสียงลูกบิดขยับ คิม ลี ค่อยๆ หลับตาลง จิ๋วประคองกิ๊บเข้ามา
“โถ พ่อคุณของป้า เห็นแล้วน้ำตาจะไหล”
“อาการคุณคิมดีขึ้นมากแล้วละค่ะ มีขยับมือขยับเท้าได้ บางครั้งก็ลืมตาได้”
จิ๋วบอก พิณสุดามองคิมอย่างเพ่งพิศ
“แล้วพูดล่ะ พูดได้หรือเปล่า”
“ยังค่ะ เห็นคุณหมอบอกว่าถึงจะลืมตาได้ก็จริง แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัว หนูก็จำไม่ได้ ถ้าคุณป้าอยู่รอพบคุณดุสิตก็คงจะทราบค่ะ เดี๋ยวก็คงจะมา” พิณสุดาสะดุ้งเล็กน้อย
“งั้นป้ากลับก่อนดีกว่า”
“อ้าว”
“ป้ามีนัดกับหมอกระดูกน่ะลูก ฝากดูแลคิมด้วยนะ”
“ค่ะ” พิณสุดาลุกขึ้น ทำโอดโอยเช่นเดิม จิ๋วประคองออกไป
จิ๋วประคองพิณสุดามาขึ้นรถ ถามอย่างห่วงใย
“จะขับไหวหรือคะคุณป้า”
“ป้าไม่ต้องใช้ขาข้างเจ็บนี่ ขอบใจมากนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ คุณป้า”
“จ้า”
จิ๋วเดินกลับเข้าไปข้างใน พิณสุดารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“อาการตอนนี้ยังไม่น่าเป็นห่วงหรอก แต่ต่อไปไม่แน่”
ขณะนั้นดุสิตขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆ แล้วก้าวลงมาพร้อมพนักงานของกานน ซึ่งมีกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย พิณสุดาตกใจรีบหดตัวลงไปโดยอัตโนมัติ
“เฮ้ย! ไอ้ดุสิตมาแล้ว พาใครไม่รู้มาด้วยอีกคน ท่าทางจะมาเฝ้าไอ้คิมแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยไปคุยที่บ้านต่อ” พิณสุดาปิดโทรศัพท์ ขับรถออกไป
ดุสิตเดินเข้ามาในสถานพักฟื้นตามด้วยพนักงานกานนทั้งคู่เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์
“อ้าว คุณดุสิต เมื่อกี้สวนกับคุณป้าโรซ่าหรือเปล่าครับ”
“คุณป้าโรซ่าไหนครับ” ดุสิตถามอย่างงงๆ
ข้อมูลที่พนักงานสถานพักฟื้นบอก ทำให้ดุสิตแปลกใจจนต้องโทรหากานนและพากันมาหาม่านมัสลินที่กองถ่าย พอได้ฟังม่านมัสลินมีสีหน้าพยายามทบทวนชื่อที่ดุสิตพูดถึง
“ไม่น่าจะมีนะคะ มัสไม่เคยได้ยินคุณคิมพูดคุณป้าโรซ่าเลย”
“ไม่เคยได้ยินก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี”
“ถ้ามี คุณคิมก็ต้องเล่าให้ฟังซิ”
“อย่าเพิ่งมั่นใจว่าเขาเล่าให้คุณฟังหมดทุกอย่าง”
กานนขัดคอ มัสลินสบตากานนอย่างดื้อรั้น
“ฉันมั่นใจ ขนาดคุณดุสิตเขาเป็นเพื่อนสนิทคุณคิม ยังไม่เคยได้ยินเลย...ใช่มั้ยคะ” ม่านมัสลินหันไปถามดุสิต
“ครับ”
“คุณสนิทกับเขามาก คุณน่าจะรู้จักนะ” กานนหันมาทางซักดุสิต
“ตระกูล ลี เป็นตระกูลใหญ่ ผมไม่แน่ใจว่า จะรู้จักหมดทุกคน”
ม่านมัสลินได้ทีสบตากานนอย่างมีชัย
“ได้ยินหรือยังคะ”
“ได้ยิน”
“หยุด! เอาอย่างนี้ ผมจะไปถามคุณแม็กกี้”
“แต่คุณแม็กกี้อาจจะเสียสมาธิได้”
“อันนี้ผมเห็นด้วยกับคุณ”
“ไม่จำเป็น”
“ขอทีเถอะครับ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ตอนนี้เรื่องคุณป้าโรซ่าสำคัญที่สุด ผมจะโทรไปถามคุณพ่อคิม ที่ฮ่องกง”
“ดี / ดีค่ะ” กานนและมัสลินบอกออกมาพร้อมกัน
“ได้เรื่องแล้วผมจะติดต่อมา” พูดจบดุสิตก็ก้าวเดินออกไป
“แล้วคุณล่ะ จะไม่กลับไปหรือค่ะ” มัสลินหันไปถามกานน
“ผมไม่มีรถ เมื่อกี้มากับคุณดุสิต”
“งั้นก็กลับไปกับเขาซิ”
“คุณเหลืออีกกี่ฉาก”
“สามค่ะ”
“งั้นผมจะรอให้คุณไปส่ง”
“อาจจะนานนะคะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมซื้อหนังสือพิมพ์แถวๆ นี้มานั่งอ่านรอ”
กานนเดินออกไป มัสลินทำท่าจะเรียก แต่ก็ไม่ทัน เพราะกานนเดินไปอย่างรวดเร็ว
“มัสลินเชิญค่ะ” ผู้กำกับเรียก ม่านมัสลินเดินไปที่กองถ่าย
ทางด้านพิณสุดาเมื่อกลับมาบ้าน พิณสุดาจึงปรึกษาเรื่องคิมกับศิธาและพีระพล
“ถ้าจะจัดการไอ้คิม ก็ต้องรีบลงมือ”
“ลงไม้ลงมืออะไรกันล่ะ ป่านนี้มันควานหาตัวป้าโรซ่ากันวุ่นวายแล้ว”
“อ้าว ก็แกบอกให้ฉันไปสืบนี่ ถ้าไม่ปลอมตัว แล้วแกจะให้ฉันเดินเทิ่งๆ เข้าไปยังงี้เรอะ”
“ปลอมน่ะได้ แต่ให้เข้าไปเฉยๆ ไม่ต้องไปคุยจ๊ะจ๋าบ้าบอกับเขา”
“โอ๊ย เรื่องมาก ทีหลังก็ช่วยจาระไนให้ระเอียดด้วยก็แล้วกันย่ะ”
พิณสุดาบ่นอย่างหงุดหงิด
ส่วนที่กองถ่าย เมื่อเสร็จงานถ่ายทำ ม่านมัสลินยกมือไหว้ลาทุกๆ คน
“สวัสดีค่ะ มัสไปก่อนละนะคะ”
ทุกคนรับไหว้โบกไม้โบกมือลากัน แล้วมัสลินเดินมาที่รถ ม่านมัสลินเหลือบมองไปโดยรอบราวกับจะหาใครซักคน แต่เมื่อไม่เห็นจึงมีสีหน้าผิดหวัง
“ไหนว่าจะให้ไปส่ง ที่แท้ก็รอไม่ได้”
ม่านมัสลินบ่นพลาง เปิดท้ายรถเก็บของแล้วปิด มัสลินหันกลับมาแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นกานนยืนอยู่ สีหน้ากานนที่มองมาอ่อนโยน
“ผมบอกว่ารอก็ต้องรอซิ” ม่านมัสลินมีสีหน้าเก้อเขิน กานนยื่นมือออกมาขอกุญแจรถ บอกว่าจะขับเอง แต่ถูกปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ”
“เป็นไรซิ คุณเพิ่งถ่ายละครเสร็จ นั่งเป็นคุณนายสบายกว่า”
ม่านมัสลินเปิดกระเป๋าหยิบกุญแจส่งให้ กานนแตะไหล่เธอเบาๆ ให้เดินมาที่ประตูด้านข้างคนขับแล้วเปิดให้เข้าไปนั่ง ม่านมัสลินพึมพำขอบคุณ แล้วเข้าไปนั่ง กานนอ้อมไปนั่งด้านคนขับ
“รถมัสเก่านั่งไม่สบายเหมือนรถคุณหรอกนะคะ” ม่านมัสลินออกตัว
“บอกแล้วให้เปลี่ยนใหม่ก็ไม่เอา”
“ฉันชอบพึ่งตัวเองมากกว่าค่ะ”
“อาก๋งใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน”
“นั่นแหละค่ะ มัสหาเงินเองได้แล้ว ถ้าจะซื้อใหม่ มัสจะซื้อเอง”
“ก็ตามใจ”
กานนขับรถออกไป ระหว่างนั้นชายคนหนึ่งที่แอบอยู่รัวชัตเตอร์กล้อง ถ่ายภาพกานนกับม่านมัสลินเป็นชุด
กานนขับรถพาม่านมัสลินมาที่บ้านเจ้าสัวทศ ม่านมัสลินนิ่วหน้าเล็กน้อย
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“นี่ก็บ้านของคุณเหมือนกัน”
“ไม่ใช่ค่ะ”
“เอาน่า นึกว่ามาให้กำลังใจอาก๋งก็แล้วกัน”
กานนและม่านมัสลินลงจากรถเดินเข้าบ้าน ยกมือไหว้เจ้าสัวทศ
“มากันแล้ว นั่งซิลูก”
“ขอบคุณค่ะ”
ม่านมัสลินนั่งลง สาวใช้ยกถาดวางน้ำทับทิมมาเสิร์ฟให้
“ดื่มน้ำทับทิมซะ ตาให้เขาเตรียมไว้ พอหนูมาถึง จะได้เสิร์ฟทันที”
“เอ๊า ท่าน...เอ้อ คุณตาทราบได้ยังไงคะ ว่ามัสจะมา”
“ก็เจ้าปลิวนั่นแหละ เขาโทรมาบอกว่าเดี๋ยวจะพาหนูมา ทานข้าวเย็นด้วย”
มัสลินหันขวับไปมองกานนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“นังย่าอุษเขาลงมือทำมัสหมั่นไก่เองเลย” เจ้าสัวทศบอก
“ยังกับอยากทำนักนี่” เสียงอุษยาลอยมา มัสลินหันกลับไปมอง เห็นอุษยายืนหน้าบึ้งอยู่
“แหม นังอุษ” เจ้าสัวทศเอ็ดลูกสาวคนเล็กไปตามระเบียบ
มัสลินพยายามสะกดกลั้นความไม่พอใจ ขณะยกมือไหว้อุษยา
“สวัสดีค่ะ” อุษยายังคงรับไหว้แค่อก
“อาหญิงทำอะไรบ้างครับ มา ผมช่วย”
กานนรีบเดินมาพาอุษยากลับเข้าครัว
พอเข้ามาในครัวอุษยาก็สะบัดแขนกานนออก
“ปล่อย ไม่ต้องมาลากมาจูง เหมือนฉันป็นวัวเป็นควายหรอก ฉันเดินเองได้”
“อาหญิงอย่าทำลายบรรยากาศซิครับ อาก๋งท่านกำลังสบายอกสบายใจที่ผมพาหลานสาวมาทานข้าวด้วย”
“พวกเต้นกินรำกิน” อุษยาตั้งแง่
“แต่ก็เป็นอาชีพสุจริตนะครับ มิหนำซ้ำ ยังรวยด้วย”
“พวกเศรษฐีใหม่”
“อาหญิง”
“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ อยากจะช่วยไม่ใช่เรอะ นั่นล้างผักไป” กานนอมยิ้ม พับแขนเสื้อ “เมื่อกี้ฉันโทรไปหาหนูเดียร์กับหนูกิ๊บ”
กานนชะงักรอยยิ้มหายไปทันที
“ทำไมล่ะครับ”
“ไม่ทำไมหรอก แค่อยากจะเชิญ มีอะไรมั้ย”
กานนมีสีหน้าหนักใจ ขณะเริ่มล้างผัก
“แม่ดาเขาว่ายังไงบ้างล่ะ ที่ตาให้เจ้าปลิวทำเป็นโอนหุ้น โอนเงินให้น่ะ”
เจ้าสัวทศถามขณะนั่งคุยอยู่กับม่านมัสลิน
“ไม่ทราบค่ะ มัสยังไม่ได้กลับบ้าน”
“ตาเสียใจที่หูเบาในครั้งนั้น เสียใจจริงๆ”
“คุณตาอย่าคิดมากเลยค่ะ แม่ไม่ได้คิดอะไรหรอก อีกอย่างเราก็ไม่ถึงกับยากจนอะไร”
“ตารู้ แต่มันก็อดคิดมากไม่ได้ คุณยายม่านมุกเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“มัสสังเกตดูคุณยายก็มีความสุขมากขึ้นนะคะ”
ระหว่างนั้นก็มีเสียงแตรรถดังขึ้น
“ใครมาอีกล่ะ” เจ้าสัวหันไปมอง
อุษยาซึ่งอยู่ในครัวได้ยินเสียงแตรรถจึงมีสีหน้ายิ้มแย้มออกมาทันที
“มากันแล้ว อานัดหนูกิ๊บมาให้ปรับความเข้าใจกับกุเทพ ส่วนปลิวก็ปรับความเข้าใจกับหนูเดียร์ สองคู่ชูชื่นพอดีเลย”
“ออกไปก่อน” กานนหันไปบอกสาวใช้
“ค่ะ” สาวใช้จะออกไป
“เดี๋ยว เอาน้ำทับทิมไปให้คุณเดียร์กับคุณกิ๊บด้วย” อุษยาสั่งสาวใช้
สาวใช้เดินมารินน้ำทับทิมใส่แก้วจัดใส่ถาดยกออกไป
“อาหญิงครับ ผมกับเดียร์ไม่ได้คบกันแล้ว” กานนบอกหลังจากสาวใช้ออกไปแล้ว
“แล้วแกคบกับแม่มัสลินน่ะเรอะ เขาเป็นญาติสนิทนะ เดี๋ยวลูกได้ปัญญาอ่อนหรอก”
กานนถอนใจเฮือก ล้างผักต่อ
ที่ห้องรับแขก สาวใช้ทรุดตัวลงนั่งหยิบแก้วเครื่องดื่มเลื่อนให้พิณสุดากับมธุริน
“ขอบใจนะจ๊ะ คุณอาหญิงยังอยู่ในครัวเหรอ” พิณสุดาถามอย่างคุ้นเคย
“ค่ะ คุณปลิวก็อยู่”
“ตายจริง งั้นเดียร์ไปช่วยคุณกานนไป๊” พิณสุดาหันไปทางมธุริน ที่มีท่าทางเหมือนอึดอัด
“ไปเถอะน่า ไม่ต้องเขิน กิ๊บจะพาไปส่ง” พิณสุดาฉุดมธุรินลุกขึ้น แล้วหันไปขออนุญาตเจ้าสัวทศ “กิ๊บขออนุญาตินะคะคุณปู่” เจ้าสัวพยักหน้า หน้าตาฉายแววรำคาญ
“เดี๋ยวมานะมัสลิน ขอพายัยเดียร์ไปส่งให้คุณกานนก่อน”
ม่านมัสลินฝืนยิ้ม ขณะที่พิณสุดาดึงแขนมธุรินออกไป
“สมัยตา ผู้หญิงแบบนี้เขาเรียกว่าแม่รี่แม่แรด!”
“เอ้อ มัสว่าคุณตามีเพื่อนทานข้าวหลายคนแล้ว มัสกลับไปทานกลับแม่ดีกว่านะคะ”
“ดีเหมือนกัน ตาจะไปด้วย คนเยอะเรื่องก็เยอะ รำคาญ”
“อุ๊ย! งั้นทานกันที่นี่ก็ได้ค่ะ”
“ถ้ารำคาญก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกกันดีไหม” เจ้าสัวทศออกไอเดีย
“ค่ะ”
มธุรินกับเจ้าสัวขยับลุกขึ้น พิณสุดาส่งเสียงแจ๋นขณะเดินเข้ามา
“จะไปไหนกันคะ กิ๊บไปด้วยคน”
เจ้าสัวนั่งลงใหม่
“เปลี่ยนใจแล้ว ลงนั่งที่นี่แหละ”
เสียงแตรรถจากหน้าบ้านดังขึ้น
“กุเทพกลับมาแล้ว กิ๊บจำเสียงแตรได้ ขอตัวไปรับก่อนนะคะ”
“จะไปไหนก็ไป” เจ้าสัวทศบอก
พิณสุดารีบเดินออกไป เจ้าสัวลุกขึ้น
“นั่งรออยู่นี่ก่อนนะ ตาขอไปจัดการเรื่องนี้ก่อน”
“เรื่องไหนคะคุณตา”
“เอาเถอะน่า”
เจ้าสัวเดินเข้าไปในครัว ขณะนั้นอุษยากำลังไล่สาวใช้ที่ช่วยงานอยู่เพื่อเปิดโอกาสให้มธุริน
“ แกจะไปทำอะไรก็ทำ ให้คุณเดียร์กับคุณปลิวเขาแสดงฝีมือเอง”
กานนมีท่าทางอึดอัด สาวใช้เดินออกไป ขณะเจ้าสัวเดินเข้ามา
“เจ้าปลิว ช่วยไปส่งหนูมัสหน่อย เขาไม่ค่อยสบาย”
“อะไรกันคะ เมื่อกี้ยังเห็นสบายดีอยู่เลย”
“ก็ตอนนี้มันไม่สบายแล้วนี่ เจ้าปลิว แกพาเขามาก็ต้องพาไปส่ง”
“ให้คนรถไปส่งก็ได้”
“นังอุษ มัสลินเป็นหลานสาวฉัน”
“ก็ใครไปว่าอะไรละคะ”
อุษยาบอกอย่างไม่พอใจ ขณะที่กานนรีบออกมาที่ห้องรับแขก และพยักหน้าให้ม่านมัสลินออกไปกับเขา มธุรินมองตาม น้ำตาปริ่มจะไหล
กานนพาม่านมัสลินออกไปในขณะที่กุทพกับพิณสุดาเดินเข้ามา กุเทพมองม่านมัสลิน นัยน์ตาเป็นประกายแว่บหนึ่ง ส่วนพิณสุดามองตามอย่างแปลกใจ
“อ้าว! จะไปไหนกันคะ”
เจ้าสัวตามออกมาจึงตอบแทน
“มัสลินไม่ค่อยสบาย ฉันเลยให้เจ้าปลิวเขาไปส่ง”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่ามัส” กุเทพถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ค่ะแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
“ว้า เลยหมดสนุกเลย”
“ขอตัวนะครับ ไปมัส”
กานนกับม่านมัสลินเดินออกไป กุเทพมองตามเศร้าๆ ขณะที่พิณสุดาไม่พอใจ
บัวบงกชนั่งทำงานอยู่ภายในห้อง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ สักครู่มธุรินเดินเข้ามา บัวบงกชหันมามองแว่บหนึ่ง
“กลับเร็วนี่ลูก แม่นึกว่าจะกลับซัก 3-4 ทุ่ม”
“นี่ก็ 2 ทุ่มครึ่งแล้วนะคะ”
“สนุกไหมจ๊ะ” มธุรินยืนนิ่ง บัวบงกชหันมามองอีกทีแล้วลุกเดินมาหาถามย้ำ “เป็นไง สนุกไหม”
“ก็งั้นๆ แหละค่ะ”
“อะไรกัน งั้นๆ เห็นกิ๊บบอกว่ากานนก็อยู่ด้วย เขากับลูกไม่ได้ปรับความเข้าใจกันหรือ...เรื่องม่านมัสลินก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว เพราะเขากลายเป็นญาติสนิทของกานน”
“เขาเกิดไม่สบายขึ้นมาน่ะค่ะ อาก๋งก็เลยให้กานนไปส่งบ้าน”
บัวบงกชนิ่งไปครู่หนึ่ง
“แล้วกิ๊บมาส่งหนูหรือ”
“กุเทพค่ะ เดียร์ไปอาบน้ำละนะคะ”
บัวบงกชพยักหน้าแล้วมองตามมธุรินซึ่งเดินออกไปด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
มธุรินกลับเข้าห้องตัวเอง แล้วนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่กุเทพขับรถมาส่งเธอที่บ้าน
“ผิดหวังหรือเปล่าที่อาปลิวยังไม่กลับ ผมเลยต้องมาส่งแทน”
กุเทพถามขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบกันมาตลอดทาง
“เฉยๆ ค่ะ” มธุรินตอบเสียงเรียบ
“ผมรู้ว่าคุณผิดหวัง”
“คุณก็คงผิดหวังเหมือนกันที่ไม่ได้ไปส่งมัสลิน” มธุรินประชด
“ผมคงมีความรู้สึกอย่างนั้นกับญาติสนิทไม่ได้” มธุรินนิ่งไป เบือนหน้ามองออกไปราวกับจะสนใจทิวทัศน์ข้างทางหนักหนา “คุณตัดสินใจเรื่องของเราหรือยัง”
จู่ๆ กุเทพก็ถามขึ้นมา
“ไม่เห็นจะต้องตัดสินใจอะไรนี่คะ”
“อย่าหลบเลี่ยงอีกต่อไปเลยคุณ เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงกัน”
“ความจริงก็คือ ฉันไม่เข้าใจว่า คุณพูดเรื่องอะไร”
“ก็...” กุเทพอ้ำอึ้ง มธุธินเป็นฝ่ายพูดต่อ
“และฉันก็ไม่สนใจด้วย คุณเคยเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทฉัน ต่อให้เลิกลากันไปแล้ว ฉันก็ไม่สมควรจะยุ่งกับคุณ” กุเทพอึ้งนิ่งไป
มธุรินถอนหายใจยาว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มธุรินหยิบมารับ
“ว่าไง กิ๊บ”
“ถึงบ้านแล้วเหรอ”
“เพิ่งมาถึงได้สักประมาณ 15 นาทีมั้ง”
“แล้วกุเทพเขาพูดถึงฉันบ้างไหม”
“เรานั่งกันมาเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรกันเลย”
“จริงอ้ะ”
“มันไม่มีอะไรให้ต้องพูดนี่ ฉันรู้จักเขา เพราะเขาเป็นหลานกานน ก็เท่านั้น”
“เดียร์ต้องช่วยให้กิ๊บคืนดีกับเขาให้ได้นะ แล้วกิ๊บก็จะช่วยเดียร์เรื่องกานน”
“ไม่เป็นไรหรอกกิ๊บ ฉันเริ่มจะปลงแล้ว ถ้ามันจะใช่ก็ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็ต้องแยกจากกันไป” มธุรินน้ำตาคลอขึ้นมา และพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
“เท่านี้นะ” มธุรินวางหูจากพิณสุดา
กานนนขับรถมาส่งมัสลินที่บ้าน กานนบีบแตรแป้นเดินแกมวิ่งออกมาเปิดประตู
กานนขับเข้าไปจอด
“เข้าไปรอข้างในก่อนเถอะค่ะ ฉันจะโทรเรียกแท็กซี่ให้”
ม่านมัสลินบอก กานนพยักหน้า ทั้งสองคนเดินเข้ามาภายในบ้าน
“แป้น ช่วยโทรเรียกแท็กซี่ให้คุณกานนหน่อยนะ” มัสลินสั่งแป้น
“ค่ะ”
“แม่ล่ะ” ม่านมัสลินถามถึงจิรดา
“ออกไปซื้อของที่ปากซอยค่ะ เดินออกไปด้วย เห็นบอกว่าจะออกกำลัง”
“คุณจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงผม เดี๋ยวแท็กซี่ก็มาแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณก่อน”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่คุณเป็นห่วงผมก็ซาบซึ้งมากแล้ว”
“ใครบอกว่าฉันเป็นห่วง”
แป้นกำลังถือหูโทรศัพท์หันกลับมา
“สายยังไม่ว่างเลยค่ะ รอเดี๋ยวนะคะคุณกานน”
“งั้นแป้นก็อยู่เป็นเพื่อนคุณกานนก็แล้วกัน”
มัสลินเดินขึ้นชั้นบน กานนมองตามด้วยสีหน้าแววตาอ่อนโยน
ระหว่างนั้นจิรดาหิ้วถุงโจ๊กและผลไม้ ก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จิรดาส่งเงินให้มอเตอร์ไซค์ ขณะกำลังเดินเข้าประตูซึ่งเปิดอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น จิรดาหยิบขึ้นมาดูแล้วยิ้มนิดๆ
“มีอะไรกับฉันหรือคะ คุณบัวบงกช” จิรดาทักทายน้ำเสียงประชด
“อยากพูดกับคุณให้แน่ใจ”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
“เรื่องม่านมัสลิน แกไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณใช่ไหม” บัวบงกชพูดธุระ
“นึกยังไงขึ้นมาถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”
“เพราะตั้งแต่คุยกับคุณคราวก่อน ฉันไม่มีสมาธิจะทำอะไรเลย จะโทรหาคุณหลายครั้งแล้ว แต่ก็กลัวๆ กล้าๆ”
จิรดาหัวเราะคำพูด ก่อนจะเหน็บต่อทันที
“แสดงว่าตอนนี้กล้ามากว่ากลัว”
พูดถึงตรงนี้จิรดาเดินเลยไปในมุมเงียบๆ ค่อนข้างมืด ห่างจากตัวบ้าน ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน
เวลาเดียวกันนั้นภายในห้องรับแขกของบ้าน แป้นวางโทรศัพท์ลงแล้วหันมาทางกานน
“ยังโทรไม่ได้เลยค่ะ”
“ฉันออกไปเรียกข้างนอกดีกว่า” กานนออกความเห็น
“ให้คุณมัสขับรถออกไปส่งมั้ยคะ”
“ไม่ต้อง แค่นี้เอง ไปละนะ”
กานนออกมาจากภายในบ้าน กำลังจะเดินไปที่ประตู แต่แล้วต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดของจิรดา
“มัสลินไม่ใช่ลูกฉัน”
กานนเบือนหน้าไปมองจึงเห็นจิรดากำลังพูดโทรศัพท์ โดยหันด้านหลังให้ กานนค่อยๆ ลัดเลาะเข้าไป พอให้ฟังได้ถนัดขึ้น
“อ๊ะ! ผิดหวังล่ะซิ เพราะลูกสาวคุณที่ว่าแบเบอร์ ก็กลับมีคู่แข่งเหมือนเดิม”
“หมายความว่า มัสลินเป็นลูกของฉันใช่ไหม”
“ใช่หรือไม่ใช่ก็ลองฟังดู... สามีฉันเคยมีคนรัก รักกันมาก แต่ทำไม่ก็ไม่รู้ ผู้หญิงคนนั้นหนีไปแต่งงานฉันก็เลยงงเต็ก ไม่รู้เขาหอบเด็กที่ไหนมาให้ บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจท้องกับสามีฉันก็ได้”
จิรดาบอกด้วยน้ำเสียงขมขื่น กานนฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่จริง” บัวบงกชร้องไห้ออกมา จิรดาสะใจเต็มที่
“ทำไม รู้ล่ะ ตอบไม่ได้ใช่ไหม ฉันจะเรียบเรียงให้ฟังก็ได้ เธอคือคนรักเก่าของผัวฉัน เผลอๆเธอนั่นแหละเป็นแม่ของเด็กที่ผัวฉันอุ้มมาให้ฉันเลี้ยง เธอเป็นชู้กับผัวฉัน บัวบงกช! แล้วนังเด็กมัสลินก็คือมารหัวขนของเธอ เธอถึงได้ใยดีมันนัก นึกว่าฉันไม่รู้หรือไง”
จิรดาปิดมือถือ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสะใจ
ด้านบัวบงกชเปิดประตูห้องทำงานออกมา น้ำตาไหลพราก แววเดินผ่านมามองด้วยความตกใจ
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรคะ”
บัวบงกชไม่ตอบ เดินแกมวิ่งขึ้นบันไดไป
จิรดาจะเดินเข้าบ้านแต่ต้องชะงักเมื่อมองเห็นใครบางคน
“นั่นใคร” กานนเดินออกมาจากเงามืด จิรดาตกใจ “คุณกานน เอ้อ..:คุณมาทำไมที่นี่”
“ผมมาส่งมัสลิน”
“แต่ฉันไม่เห็นรถคุณ”
“ผมไม่ได้เอารถมา”
“เมื่อกี้...คุณได้ยินหรือเปล่า”
“เรื่องนี้ผมรู้แล้ว เพียงแต่ไม่ละเอียดเท่าเมื่อกี้ เอาเถอะ การที่คุณยังสงเคราะห์เลี้ยงดู ‘มารหัวขน’ คนนั้น ก็เท่าว่าคุณยังมีคุณธรรมอยู่บ้าง มัสลินรักคุณ คุณก็รู้ เขาห่วงคุณทุกลมหายใจ ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำตลอดมาก็เพื่อคุณ อย่างนี้แล้วคุณจะยังคิดทำร้ายจิตใจเขาอีกหรือ” กานนเตือนสติถึงสิ่งที่จิรดา ทำกับท่านมัสลิน
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ ดีใจละซี้ที่รู้แน่ว่านังมัสไม่ใช่ญาติ คุณรักมัสนี่ ทั้งอาทั้งหลาน ต่างก็หลงรักมันทั้งคู่”
“ผู้หญิงดีๆ ใครบ้างจะไม่รัก แต่มันไม่ใช่ประเด็น ผมอยากให้คุณคิดให้ดี คุณได้ความสะใจที่ได้แก้แค้นคุณบัวบงกช แล้วมัสลินล่ะ เขาอาจทนความใจร้ายใจดำของคุณได้ แต่เขาจะทนรับสภาพ ‘มารหัวขน’ ที่ไม่มีใครต้องการได้หรือ เพราะฉะนั้น อย่าใช้มัสลินเป็นเครื่องมือแก้แค้น ผมขอร้องละ”
พูดจบเพียงเท่านั้น กานนก็เดินออกไป จิรดามองตาม
ขณะนั้นพัดกับแป้นนั่งดูทีวีอยู่ เห็นจิรดาเดินเข้ามา สีหน้าท่าทางยังเหมือนมึนๆ หยุดยืนกลางห้อง สองสาวผลัดกันเรียก
“คุณผู้หญิงคะ” พัดเรียก แต่จิรดายังยืนเฉย
“คุณผู้หญิง” คราวนี้เป็นแป้น
“หือ” จิรดาตอบไม่เต็มคำ
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรคะ” พัดถามอีก
“เปล่า”จิรดาเดินถือโจ๊กและผลไม้ไปที่บันได
“พัดเอาไปใส่ชามให้ก่อนมั้ยคะ”
“อะไร”จิรดาถามอย่างแปลกใจ
“โจ๊กน่ะค่ะ” จิรดาส่งให้ทั้งหมด
“ฉันให้ เอาไปกินกับแป้นไป”
“ขอบคุณค่ะ”
จิรดาเดินขึ้นบันไดไปอย่างลอยๆ แป้นเดินมาสมทบมองตาม
“คุณผู้หญิงดูเบลอๆ พิกลนะ”
“ถ้าไม่เบลอ เราจะได้กินโจ๊กเรอะ! ไป!”
สองสาวพากันเดินเข้าไปในครัว
จิรดาขึ้นห้องปิดประตู แล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่ง พร้อมกับหวนคิดถึงคำพูดของกานนเมื่อสักครู่นี้...
จิรดาฟุบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเองครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาช้ำ แดงก่ำ
“ภาษิต ทุกอย่างเป็นความผิดของคุณคนเดียว ถ้าคุณรักฉันสักนิดทุกอย่างคงไม่ลงเอยแบบนี้”
จิรดาเอนตัวลงนอน สีหน้าแววตาดูชอกช้ำ
ขณะนั้นม่านมัสลินกำลังซ้อมบทละครอยู่ในห้อง เธอวางบทในมือลงแล้วถอนใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกที่จำบทได้หมดแล้ว
“ค่อยยังชั่ว จำได้หมดแล้ว”
ม่านมัสลินเดินออกไปจากห้อง ตั้งใจจะเดินไปข้างล่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เดินมาเคาะประตูห้องจิรดา “แม่คะ...แม่”
จิรดาเดินมาเปิดประตู ม่านมัสลินเดินเข้ามาในห้อง จิรดาเดินมานั่งหันหลังให้
“แม่ไปซื้ออะไรหน้าปากซอยคะ มัสไม่ยักเห็น”
“โจ๊ก”
“แล้วแม่ทานหรือยัง”
“แม่คู้น! แกจะมาซักไซ้ฉันหาอะไรยะ”
จิรดาหันกลับมาอย่างลืมตัว มัสลินมองแม่อย่างแปลกใจ
“นั่นแม่ร้องไห้หรือคะ ใครทำอะไรแม่ บอกมาเลยมัสจะไปจัดการให้”
“ใครที่ไหนเขาจะทำอะไรฉัน”
“แล้วแม่ร้องไห้ทำไม”
“โอ๊ย! ลูกอีช่างซัก ซักจริ๊ง ไม่รู้จะซักไปหาอะไร”
“ก็มัสเป็นห่วงแม่”
มัสลินบอกเสียงอ่อย จิรดาอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ฉันเป็นหวัด” มัสลินอ้าปากจะถาม แต่จิรดาดักคอก่อนขึ้นอย่างรู้ทัน
“ฉันกินยาแล้ว และกำลังจะนอน เชิญแกออกไปได้แล้ว”
“ค่ะ ถ้าแม่ปวดหัวตัวร้อนขึ้นมาก็เรียกมัสได้เลยนะคะ มัสจะพาไปหาหมอ”
“เออ!”
มัสลินเปิดประตูเดินออกไป
วันต่อมาที่ออฟฟิศของเตช...เตชเปิดประตูห้องพามธุรินเข้ามา ติดตามด้วยทิพย์
“เป็นไงลูก ชอบไหม” เตชถามความเห็นมธุรินเรื่องห้องทำงาน
“ชอบมากที่สุดเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่ทิพย์”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณเดียร์ต้องการอะไรอีกก็บอกได้นะคะ”
เตชพยักหน้าให้ทิพย์เป็นเชิงให้ออกไปได้ ทิพย์เดินออกไป
“ไหนเมื่อกี้ลูกบอกว่ามีอะไรจะพูดกับพ่อ”
มธุรินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“แววบอกว่า เมื่อคืนคุณแม่วิ่งร้องไห้ขึ้นไปข้างบนค่ะ”
“เป็นอะไรล่ะ”
“เดียร์ก็ไม่ทราบ เมื่อเช้าตอนเดียร์ลงมา คุณแม่ก็ไปทำงานแล้ว” เตชรับฟังเงียบๆ “คุณพ่อคะ กลับบ้านเราเถอะค่ะ” มธุรินอ้อนวอนผู้เป็นพ่อ
“พ่อว่า พ่ออยู่ข้างนอกดีกว่า แม่เขาก็ไม่ต้องเครียด”
“ไม่จริงค่ะ เดียร์แอบสังเกตเวลาคุณแม่เผลอตัว ตั้งแต่คุณพ่อแยกออกไปอยู่ต่างหาก คุณแม่เศร้าๆ นะคะ”
“ลูกเข้าใจผิดแล้ว”
“นึกว่าเห็นแก่เดียร์เถอะนะคะ เดียร์อยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก”
เตชมองลูกสาวแล้วถอนหายใจยาว
ยังไม่จบตอน
โปรดติดตามอ่านต่อหน้า 3
ในรอยรัก
ตอนที่ 26 (ต่อ)
บัวบงกชนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตานิ่ง อยู่ในห้องทำงานที่สตูดิโอ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกบัวบงกชให้ลืมตาตื่น เธอกระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้น้ำตาไหลลงไป เห็นชื่อว่าเป็นมธุรินก็กดรับ
“ว่าไงลูก” บัวบงกชถาม ปรับน้ำเสียงให้เป็นปรกติ
มธุริน ซึ่งเวลานั้นยังอยู่ในห้องทำงานใหม่ของเธอ มองสบตาเตชผู้เป็นพ่อแว่บหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
“เย็นนี้เดียร์จะแวะไปรับคุณแม่กลับบ้านนะคะ”
“เอาไว้วันอื่นได้ไหม เย็นนี้แม่ต้องพาลูกค้าไปทานข้าว”
“ว้า! เลื่อนไปวันอื่นไม่ได้หรือคะ
“ไม่ได้จ้ะ แค่นี้นะลูก แม่ต้องทำงาน”
“ค่ะ” มธุรินเก็บโทรศัพท์ หันมาบอกพ่อเซ็งๆ
“คุณแม่ไม่ว่างค่ะ”
“ไม่เป็นไรนี่ เอาไว้วันหลังก็ฉลองกันได้” เตชปลอบลูกสาว
“แต่วันนี้พ่อต้องกลับบ้านนะคะ”
แทนคำตอบเตชโยกหัวมธุรินอย่างเอ็นดู
ที่บ้านของม่านมัสลิน พัดกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดบ้าน ขณะที่จิรดาเดินเข้ามาในมือถือโทรศัพท์มือถือด้วย
“หายหัวไปไหนกันหมด”
“คุณมัสไปถ่ายละคร แป้นซักผ้า พัดถูบ้าน และคุณดาเพิ่งลงมาค่ะ” พัดรีบรายงาน
“แกนี่ล้นตั้งแต่สาวยันแก่” จิรดาแขวะพัดก่อนเดินมาทรุดตัวลงนั่ง พลางถาม
“มีอะไรกินบ้าง”
“กรุณารอเดี๋ยวนะคะ”
พัดเดินหายเข้าครัวไป ครู่เดียวก็เดินกลับออกมาพร้อมขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก และกาแฟ วางเสิร์ฟลงตรงหน้าจิรดา
“มาแล้วค่ะ... วันนี้คุณดาจะออกไปไหนไหมคะ”
“แกเป็นแม่ฉันเรอะ ถึงจะต้องรายงานทุกฝีก้าว”
“ใช่ค่ะ” พัดบอกหน้าตาเฉย
“นังพัด” จิรดาเรียกแทบเป็นตะโกน พัดรีบต่อให้จบประโยค
“ก็แม่บ้านไงคะ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นคั่นจังหวะ จิรดาหยิบมารับ เห็นชื่อก็กดรับ
“สวัสดีค่ะ คุณบัวบงกช”
“คุณจิรดา วันนี้มัสลินไปถ่ายละครหรือเปล่าคะ” ปลายสายบัวบงกชถามถึงม่านมัสลิน
“โอ๊ย! ไปตั้งแต่เช้าแน่ะค่ะ กว่าจะกลับก็ดึก ดีไม่ดีก็เป็นรุ่งเช้าอีกวัน ก็คนต้องทำมาหากินนี่คะ ไม่ได้คาบช้อนเงิน ช้อนทองมาตั้งแต่เกิด ก็ลำบากอย่างนี้แหละค่ะ” จิรดาประชดอย่างสะใจ
บัวบงกชถอนหายใจพูดต่อ “แต่ตอนนี้คุณก็มีฐานะ มีเงินมีทอง ไม่จำเป็นต้องให้มัสลินทำงานหนัก”
“นังมัสเป็นลูกกาฝากของฉันนะคุณ ฉันจะให้มันทำงานหนักแค่ไหนก็ได้ ฉันไม่ได้เลี้ยงมันให้เป็นคุณหนูอย่างลูกสาวคุณนี่”
บัวบงกชนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น “ทราบมั้ยคะว่า แกไปถ่ายละครที่ไหน”
“ทำไมจะไม่ทราบล่ะคะ ก็ฉันเป็นผู้จัดการ คอยจัดคิวให้นี่ ถามทำไม หรือว่าอยากจะไปดู”
“ค่ะ ฉันอยากเห็นหน้าแกจริงๆ” บัวบงกชพูดน้ำตาคลอๆ ส่วนจิรดายิ้มเยาะอย่างสะใจ
มธุรินเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน ทรุดตัวลงนั่งหยิบหนังสือพิมพ์บันเทิง ซึ่งเลขา เอามาวางให้ขึ้นมาดู มธุรินชะงักกับภาพข่าวตรงหน้า เป็นภาพของม่านมัสลินกับกานน ระหว่างที่กานนไปรอม่านมัสลินในกองถ่ายละคร
มธุรินเม้มปาก น้ำตาคลอขึ้นมาอีก
“บ้าจัง ไม่เห็นจะต้องร้องไห้เลย เขาเป็นญาติกัน” มธุรินปลอบตัวเอง ทว่าภาพกานนในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่กำลังก้มลงมองม่านมัสลินด้วยแววตาอ่อนโยนรักใคร่ ขณะที่มัสลินมีท่าทางเขินๆ ทำให้มธุรินอดคิดเป็นอื่นไปไม่ได้
“แล้วทำไมญาติกันถึงต้องมองกันอย่างนี้”
มธุรินวางหนังสือพิมพ์ลงอย่างหงุดหงิด
ที่กองถ่ายทำละครเรื่อง “รอยแค้น” รถตู้คันหนึ่งแล่นมาจอด บัวบงกชซึ่งนั่งอยู่ภายในรถบัวขยับม่านเปิด มองภาพข้างนอกระหว่างนั้นม่านมัสลินกำลังเข้าฉากทะเลาะกับนางร้าย มองเห็นอยู่ไกลๆ บัวบงกชมองภาพนั้นอยู่ห่างๆ ด้วยความรู้สึกชื่นชม แกมด้วยความรัก และเป็นห่วง
จากเหตุการณ์ที่มีหญิงชราชื่อโรซ่าไปถามอาการ คิม ลี ที่สถานพักฟื้น ทำให้ดุสิต เกิดความไม่ไว้วางใจ เขาตัดสินใจขับรถอยู่มุมหนึ่ง บริเวณหน้าคอนโด ของพิณสุดา
หลังจากอดทนรออยู่พักใหญ่ ดุสิตก็เห็น ศิธาขับออกมา โดยมีพีระพลเปิดประตูให้ ดุสิตรีบลู่ตัวหลบลงเพื่อไม่ให้ทั้ง 2 คนนั้นเห็น ศิธาจอดรถ พีระพลขึ้นนั่งคู่ แล้วขับพากันออกไป ดุสิตมองตาม แล้วขับตามออกไป
ที่ร้านเสื้อเกวลิน วันนี้ลูกค้ามากมายตามปกติ ส่วนภายในห้อง เกวลินจ้องมองดุสิตที่แวะมาหาอย่างหงุดหงิด
“แกนี่ขี้อิจฉาเหมือนผู้หญิง” เกวลินสวดเพื่อนซี้
“ขี้อิจฉานั่นมันนายศิธา ไม่ใช่ฉัน ฉันเป็นเพื่อนแก หวังดีกับแก อย่าปิดหูปิดตาโกหกตัวเองนักเลย ยอมรับความจริงบ้าง” ดุสิตเตือนเกวลินน้ำเสียงจริงจัง แต่ไม่เป็นผล
“เลิกยุ่งกับฉันเสียทีได้ไหม ฉันจะเป็นยังไงก็ช่าง จะถูกจะผิดก็ชีวิตของฉัน ฉันเลือกทางเดินของฉันเอง แล้วถ้าพลาด ต่อให้แกหัวเราะเยาะ ฉันก็ไม่โกรธ”
“เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะเก๋” น้ำเสียงดุสิตอ่อนลง
“งั้นก็อย่าล้ำเส้นซิ เพื่อนไม่ใช่พ่อ แล้วก็ไม่ใช่แฟนของฉันด้วย”
ดุสิตถอนหายใจ รู้ดีว่าเวลานี้ศิธาได้กลืนกินหัวใจเกวลินไปจนหมดสิ้น พร้อมกันนั้นดุสิตก็ก้าวออกมาจากร้าน แล้วหยุดถอนหายใจ เดินช้าๆ ใบหน้าเศร้าๆ กลับไปที่รถ
เกวลินนั่งนิ่งครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
เวลาเดียวกัน ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ขณะนั้นศิธากำลังคุยกับโก้อย่างมีความสุข หยิบโทรศัพท์ซึ่งดังขึ้นมาดู
“ใครอ่ะ” พีระพลถามขึ้น
“ยัยแก่เก๋” ศิธาบอก พีระพลวีนใส่เมื่อรู้ว่าเป็นเกวลิน
“โอ๊ย! จะโทรมาทำไมอีกล่ะ”
“No! ไม่ได้ เพราะเราต้องใช้เงินเขาอยู่” ศิธาปรามคู่ขา ก่อนกดรับสาย “ฮัลโหล ฮันนี่”
“ศิธาอยู่ไหนจ๊ะ” เกวลินถาม
“ออกมาติดต่องานกับอาเตี่ยจ๊ะ” ศิธาโกหก
“โกหกหรือเปล่า”
“โธ่เอ๊ย! จนป่านนี้แล้ว เก๋ยังไม่เชื่อใจผมอีกเหรอ”
“มีคนมาบอกเก๋ว่า ศิธาอยู่กับโก้”
“ใครบอก ใครที่มันชอบยุแยงให้ผัวเมียเขาแยกกัน”
ได้ยินคำหวานเกวลินก็น้ำเสียงดีขึ้นมาหน่อยบอกว่า “บอกไม่ได้”
ศิธาโกหกต่อว่าเสี่ยศักดากำลังออกมาแล้ว ตนต้องวางสาย หยอดทิ้งท้ายว่าเย็นนี้จะไปหา
เกวลินวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าสดชื่น ต่างกันกับศิธา ที่ทำท่าเหมือนอยากจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง
ศิธาสบถ “ยายแก่เอ๊ย” พีระพลหัวเราะขบขันชอบอกชอบใจ
ระหว่างนั้นดุสิตรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องทำงานของเขา ดุสิตกำลังพยายามอธิบายเรื่องราว
“เดี๋ยวก่อน ฟังผมก่อน ผมไม่ได้โกหก” พูดได้แค่นั้นสัญญาณหายไป ดุสิตถอนใจเฮือกใหญ่
ไม่นานต่อมาศิธา กับพีระพลก็เดินออกมาจากร้านกาแฟด้วยสีหน้าแจ่มใส
“แยกกันตรงนี้นะ ศิธาจะไปซื้อดอกไม้ให้ยายแก่” ศิธาบอก
“ไหนว่าจะไปตอนเย็น” พีระพลงอแงหน้าคว่ำ
“มันจะได้เซอร์ไพรส์วี้ดว้ายกระตู้วู้ไง แล้วศิธาก็ถือโอกาสไถเงินมันอีก weekend นี้อยากไปเที่ยวหัวหิน”
“โก้ไปด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“งั้นโก้ช่วยไปเลือกดอกไม้”
ศิธาพยักหน้า แล้วทั้ง 2 คนก็เดินไปด้วยกัน
ศิธากับพีระพลเดินเข้าร้านดอกไม้ โดยไม่ทันเห็นและรู้ว่า “นก” พนักงานร้านเกวลิน ก็มาเลือกซื้อดอกไม้ตามคำสั่งเกวลินเช่นเดียวกัน กำลังเลือกซื้อดอกกุหลาบ และพูดคุยโทรศัพท์อยู่กับเกวลิน
“เอาดอกกุหลาบอย่างเดียวนะคะพี่เก๋ ค่ะ ค่ะ” นกเก็บโทรศัพท์ หันมาทางคนขายดอกไม้แล้วพูดขึ้นว่า
“แค่นี้ละค่ะ ไม่ต้องจัด จะเอาไปปักแจกัน”
ขณะที่คนขายดอกไม้กำลังคิดเงิน ศิธา กับพีระพลก็เดินเข้ามา
“มีดอกอุตพิดก็ดี จะได้เอาให้ยัยเก๋ของศิธา” พีระพลพูดน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“ใจเย็นๆ จะหลอกสาวแก่ต้องใจเย็นๆ”
นกได้ฟังถึงกับนิ่วหน้า แล้วค่อยๆ เบือนหน้าไปมอง เห็นเต็มตาว่าเป็น พีระพล และศิธากำลังหัวเราะชอบใจ ระหว่างช่วยกันเลือกแจกัน
“นางชอบดอกกุหลาบ” ศิธาบอก
ลูกน้องเกวลินรับเงินทอนแล้วค่อยๆ เลี่ยงออกไป โดยหวังไม่ให้ทั้ง 2 คนเห็น ส่วนศิธาและพีระพลยังสาละวนอยู่กับการเลือกดอกกุหลาบกันต่อไป
เมื่อกลับมาถึงร้าน นกก็เอาดอกกุหลาบไปให้เกวลิน และรายงานสิ่งที่เห็น และได้ยินเมื่อครู่
“จำผิดมั้งนก” เกวลินไม่เชื่อ
“ไม่ผิดแน่ๆ ค่ะ พี่เก๋ ไม่เชื่อเดี๋ยวพี่เก๋คอยดูซิคะ เดี๋ยวคุณศิธาต้องซื้อดอกกุหลาบมาฝากพี่เก๋
เกวลินฝืนพูดขึ้น “ก็ดีแล้วนี่” ก่อนจะถือกุหลาบเดินเข้าไปข้างใน
ระหว่างทางไปร้านเกวลิน ศิธาแวะซื้ออาหารเจไปฝากเกวลิน พีระพลแย้งว่าเขาเลิกกินเจกันไปแล้วศิธาบอกติดตลกว่า เป็นการสร้างภาพให้ดูดี พีระพลหัวเราะชอบใจ
ระหว่างนั้นลูกน้องศิธาที่สตูฯ ก็โทรมารายงานว่าคลิปม่านมัสลินชุด 2 เสร็จแล้ว ศิธาบอกตอนเย็นจะตบรางวัลให้ แล้วหันมาบอกข่าวดีกับคู่ขา ชวนไปดูคืนนั้น
”คลิปมัสลิน 2 จะเสร็จแล้ว เดี๋ยวคืนนี้ไปดูกัน
“พี่กิ๊บต้องดีใจแน่เลย” พูดจบพีระพลก็ขับรถออกไป
เวลาต่อมาในร้านเสื้อเกวลิน ซึ่งเกวลินกำลังพูดคุยกับลูกค้า
“เลื่อนไม่ได้จริงๆ ค่ะ พี่เก๋มีชุดแต่งงานที่ต้องทำให้เสร็จอาทิตย์หน้า อย่าโกรธพี่เก๋เลยนะคะ
เห็นลูกค้าทำหน้าผิดหวังเกวลินรีบ “เอางี้มั้ยคะ คุณน้องลองเลือกชุดสำเร็จรูปดู มีอย่างละชุดเท่านั้นค่ะ ไม่มีซ้ำกับใครเด็ดขาด หุ่นดีๆอย่างคุณน้องรับรองว่าใส่สวยทุกชุด”
“ก็ได้ค่ะ” ลูกค้าเห็นด้วยกับคำพูดจูงใจ เกวลินเรียกลูกน้องชื่อแป๋วให้มาบริการต่อ เมื่อลูกค้าลุกตามแป๋วไป นกก็เดินมากระซิบเกวลิน
“พี่เก๋ค่ะ ดูข้างนอกโน่น”
เมื่อเกวลินมองตามไปก็เห็น ศิธาเดินถือแจกันดอกกุหลาบ และถุงอาหารมาอีกหลายถุง
นกย้ำ “เห็นมั้ยคะ” เกวลินเม้มปากแน่น นัยน์ตาเป็นประกาย แล้วเดินเข้าข้างใน
ไม่นาน ศิธาก็เดินเข้ามา ทักทายพนักงานในร้านอย่างสนิทสนม
“เอ้า นก แป๋ว ผมซื้ออาหารเจมาฝาก เก๋ล่ะ”
นกมีท่าทีหมางเมินบอกไปว่าเกวลินอยู่ข้างใน
ศิธาวางของให้ 2 สาว แล้วเดินถือที่เหลือเข้าข้างใน
เวลาต่อมา ศิธาเดินเข้ามาหาเกวลิน พร้อมๆ กับที่แจกันถูกปามาทันที ศิธาไม่ทันตั้งตัวร้องลั่น แต่หลบได้ทันอย่างหวุดหวิด ร้องถามอย่างงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อะไรน่ะเก๋”
“ไปให้พ้น ออกไป ไอ้คนหลอกลวง” เกวลินตะโกนไล่ส่ง
“ใครหลอกใคร เก๋โกรธใครจ๊ะ” ศิธาเอาคำหวานเข้าลูบ
เกวลินยิ่งโมโหชี้หน้า “โกรธแกน่ะซิ ไอ้กร๊วก”
ศิธาสะดุ้ง หน้าตึงด้วยความโกรธที่ถูกด่า แต่ก็พยายามระงับอารมณ์
“เก๋โกรธอะไรผม พูดกันให้เข้าใจก่อน” ทั้งคู่โต้เถียงกันไปมา
“แกกลับไปคบกับไอ้โก้อีกใช่ไหม”
“โก้เป็นเพื่อนผม
“เพื่อนนอนน่ะซิ”
“พูดอะไรน่ะเก๋”
“เมื่อเช้านกเห็นเขาเห็นแกไปซื้อดอกกุหลาบพวกนั้นกับไอ้โก้”
ศิธาพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ดีเสมอ “ก็จริง ผมไม่ได้ปฏิเสธ โก้เขามาส่งผมด้วย เขาอยากจะเข้ามากราบ ขอโทษเก๋ แต่ผมห้ามไว้”
เกวลินเริ่มมีน้ำเสียงอ่อนลง “รู้แล้วยังจะไปคบกับมันทำไม”
“เขาจะไปบวชล้างบาป” ศิธาบอกจริงจัง
เห็นเกวลินอึ้ง ศิธาต่อทันที “เขาเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถึงแม้มันจะลบล้างสิ่งที่ทำไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็จะได้อุทิศผลบุญทั้งหมดให้กับคนที่เขาเคยล่วงเกินมาทั้ง กาย วาจา ใจ”
เกวลินทรุดตัวลงนั่ง ศิธาวางของลง แล้วเดินมาคุกเข่าตรงหน้า จับมือเกวลินแนบแก้ม ออดอ้อน
“เก๋ไม่โกรธศิธาแล้วใช่ไหม”
เกวลินยังคงวางท่าที แต่ก็อ่อนลงมาก
พิณสุดาร้องลั่นตื่นเต้นดีใจสุดๆ เมื่อได้รู้เรื่องคลิปเหมือนม่านมัสลินชุด 2 พีระพลบอกอยู่ข้างๆ อีกว่า
คลิป 3 กำลังจะตามมา พิณสุดากระโดดอย่างดีใจ
“แกนี่ชั่วสุดๆ ชั่วได้ใจพี่จริงๆ โก้เฝ้าบ้าน” ว่าพลางคว้ากระเป๋าถือ พีระพลถามว่าจะไปไหน
“ฉันจะไปแจ้งข่าวยัยเดียร์” พร้อมกับเดินออกไปอย่างมีความสุข
เสี่ยศักดา โทรมารายงานให้เตชฟังว่าลูกน้องของตนไปทำข่าวที่กองถ่ายละคร “รอยแค้น” แล้วเจอเข้ากับบัวบงกช เตชพูดโทรศัพท์หน้านิ่วคิ้วขมวด ถามย้ำ
“เมียผมไปที่ไหนนะ”
“กองถ่ายละคร ‘รอยแค้น’ เตชชะงัก
“นางเอกก็ม่านมัสลินไง คนที่เคยมีข่าวเป็นลูกเป็นแม่กันน่ะ ระวังเขาจะเอาข่าวมาเล่นกันใหม่...แค่นี้แหละ”
เตชกล่าวขอบคุณ วางโทรศัพท์ลง สีหน้าหงุดหงิดพุ่งพล่าน
พิณสุดาพุ่งตรงมาหามธุริน มาถึงก็รีบเข้าไปในห้องทำงานมธุรินรายงานเรื่องคลิป แต่พอมองสีหน้าลำบากใจของมธุรินก็เลยงงๆ ถามทันทีว่า
“ทำไม แกไม่ดีใจหรอกเหรอเดียร์”
“ฉันไม่อยากยุ่งด้วย”
“ไม่ยุ่งไม่ได้ พวกเราร่วมหัวจมท้ายมาตั้งแต่ต้น แล้วที่ฉันให้ไอ้โก้มันทำคลิป 2 กับคลิป 3 ออกมา ก็เพราะอยากจะช่วยให้แกสมหวัง” พิณสุดาโน้มน้าว ยกเหตุผลมาอ้าง
“กานนเขาไม่ได้รักฉัน ต่อให้นังมัสลินตาย เขาก็คงไม่รักฉันอยู่ดี เรื่องของเราไม่มีทางเป็นไปได้”
พิณสุดาหรี่ตาลง “ที่พูดยังงี้ก็เพราะมีคนใหม่แล้วใช่ไหม”
“ไม่! ฉันยังไม่มี แล้วก็ไม่อยากมีใครทั้งนั้น”
“งั้นถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องแฟน ก็เกี่ยวกับเรื่องแม่”
“กิ๊บ ขอโทษจริงๆนะ ฉันเพิ่งเริ่มงานใหม่ อยากจะโฟกัสกับงานเพียงอย่างเดียว”
“แกไล่ฉันล่ะซิ”
“เปล่า แกยังเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอ”
“แกหนีพวกเราไปไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกันอยู่ดี” พิณสุดาว่า
มธุรินพยายามระงับความไม่พอใจ ขณะที่พิณสุดาหยิบน้ำดื่มทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ตอนเย็นวันนั้น เตชกับมธุริน กลับจากออฟฟิศ เดินเข้ามาในบ้านพร้อมๆ กัน แววรีบเอาน้ำมาเสิร์ฟ
“คุณแม่อยู่ที่ไหนจ๊ะ แวว”
“อยู่ในห้องค่ะ”
“พ่อจะไปคุยกับแม่เขาหน่อย” เตชบอกลูกสาว
มธุรินยิ้มแย้มพูดล้อๆ “คุณพ่อจะง้อคุณแม่หรือค่ะ”
เตชไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ แล้วเดินขึ้นไป
ขณะนั้นบัวบงกชอยู่ในห้องและนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ บัวบงกชรู้สึกตัว ลุกขึ้น ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เดียร์หรือลูก เข้ามาซิ”
ประตูเปิดออก เตชเดินเข้ามาแล้วปิดประตูตามหลัง
“คุณมีธุระอะไร”
“ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามคุณว่าคุณมีธุระอะไรกับกองถ่ายละครของนังเด็กมัสลิน”
คำถามนี้ทำให้บัวบงกชถึงกับสะดุ้ง
“รู้ได้ยังไง”
“รู้ก็แล้วกัน”
“บังเอิญฉันผ่านไปแถวนั้น เห็นเขาถ่ายละครกันก็เลยแวะเข้าไปดู”
“ผมไม่ได้โง่นะบัว” บัวบงกชเหยียดยิ้มมุมปากเหมือนจะเยาะๆ “เลิกยิ้มเยาะผมเสียที” บัวบงกชกอดอก เดินมาจัดของบนโต๊ะเครื่องแป้งราวกับเตชไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนั้นด้วย แววตาเตชเป็นประกายกร้าวขึ้นมาทันที
“คุณเป็นอะไรน่ะบัว คุณทำเหมือนไม่แยแสผม ไม่สนใจ จืดชืดเป็นน้ำชาเย็น ใครๆ เขาก็นึกว่าครอบครัวเรามีความสุข เพอร์เฟ็คท์ทุกอย่าง แต่ใครจะรู้ว่าแม้แต่ตัว คุณก็ไม่ยอมให้นอนด้วย พอผมไปหาเศษหาเลย ก็ถูกทุกคนประณาม ส่วนคุณกลายเป็นเทพธิดาผู้แสนดี แสนบริสุทธ์ แสนน่าสงสาร คุณพยายามทำทุกอย่างให้ผมไม่มีความสุข ทั้งหมดนี้เพื่อแก้แค้นที่ผม พรากคุณมาจากไอ้ภาษิต คู่รักหน้าโง่ ของคุณใช่ไหม”
บัวบงกชหันขวับมาทันที
“คุณว่าภาษิตหน้าโง่ คุณก็โง่ไม่แพ้เขาหรอก” บัวบงกชพูดอย่างเยือกเย็น
“คุณไม่เคยลืมเรื่องนั้นเลย คุณจะแก้แค้นผม คุณเจตนาจะทำให้ผมไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต”
“ใช่ ฉันไม่เคยลืมเรื่องนั้น ใช่ฉันจะแก้แค้นคุณ และใช่ฉันเจตนาจะทำให้คุณไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต”
เตชถึงกับผงะในถ้อยความอันโหดเหี้ยมนั้น บัวบงกชกล่าวต่อ
“นับตั้งแต่วันแรกที่คุณข่มขืนฉันด้วยความช่วยเหลือของไอ้เสี่ยศักดาหุ้นส่วนคุณ ฉันก็สาบานกับตัวเองว่าฉันต้องแก้แค้นคุณให้ได้ คุณหยามเกียรติลูกผู้หญิง ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงที่ไม่มีศักดิ์ศรี แต่คุณก็จะได้รับการตอบแทนที่สาสม กรรมที่คุณก่อกับฉัน กรรมนั้นก็ได้สนองคุณอยู่ทุกเมื่อ เพื่อให้ฉันได้สะใจ”
“คุณเยือกเย็นมาก” เตชสวนคำพูดออกมา
“ก็ยังน้อยกว่าคุณ ฉันเคยคิดว่าจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะความแค้นมันฝังลึกเหลือเกิน หลายครั้งที่ฉันเข้าวัดเพื่อให้พระธรรมกล่อมเกลาจิตใจ แต่มันก็รุ่มร้อนจนต้องเตลิดออกมา ตราบใดที่ฉันยังไม่พอใจ คุณก็ยังจะเป็นศตรูของฉัน ไม่ใช่สามีอย่างที่คนอื่นคิด”
เตชข่มกราบแน่น แล้วเดินออกไปเงียบๆ บัวบงกชมองตาม สีหน้ายังคงเยือกเย็น
มธุรินกำลังจะเดินขึ้นชั้นบน แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเตชที่เดินสวนลงมาด้วยใบหน้าเครียดๆ
“อ้าว คุณพ่อ”
“พ่อกลับก่อนนะลูก”
“ทำไมล่ะคะ เดียร์อุตส่าห์ให้แววเตรียมกับข้าวของโปรดของคุณพ่อ คุณแม่”
“เอาไว้วันหลังดีกว่า”
“คุณพ่อทะเลาะกับคุณแม่”
“พ่อไปก่อนนะ พรุ่งนี้พบกัน”
เตชก้มลงจูบหัวมธุรินแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว มธุรินมองตามด้วยความผิดหวัง ที่แผนปรองดองของเธอพังไม่เป็นท่า
ครู่ต่อมาขณะที่บัวบงกชบัวกำลังเช็ดครีมออกจากใบหน้า เป็นเวลาเดียวกับที่มธุรินเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด
“คุณแม่ทะเลาะกับคุณพ่อ เดียร์อุตส่าห์ชวนคุณพ่อมาทานข้าวด้วยกัน หวังว่าจะให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มต้นใหม่ แต่คุณแม่ก็ทำเสียแผนหมด ทำไมคะ ทำไมคุณแม่ชอบทะเลาะกับคุณพ่อ คุณแม่เกลียดคุณพ่อของเดียร์มากนักหรือคะ”
บัวบงกชลุกขึ้นหันมามองที่ลูกสาว “ลูกเดียร์”
“ถ้าเกลียดขนาดนั้น แล้วคุณแม่แต่งงานกับคุณพ่อทำไม เดียร์ไม่เข้าใจ” มธุรินระบายอย่างอัดอั้น
“เรื่องพ่อแม่ ไม่เกี่ยวกับลูก เราทั้ง 2 คนอาจจะไม่ใช่พ่อแม่ที่ดีที่สุด แต่เราก็รักลูกมาก ลูกไม่เกี่ยวกับความขัดแย้งของเรา”
มธุรินน้ำตาไหล ย้อนผู้เป็นแม่
“เกี่ยวซิคะ เกี่ยวมากที่สุดด้วย ความสุขของลูกทุกคนเริ่มจากความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว แต่ถ้าพ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน ต่อให้พูดแทบตายว่ารักลูก ก็ไม่มีลูกหน้าโง่ที่ไหนหรอกค่ะที่จะเชื่อ”
พูดจบมธุรินก็เดินออกไปอย่างโกรธๆ บัวบงกชทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง น้ำตาไหลพราก
“นี่ฉันจะต้องเสียลูกทั้ง 2 คนไปเลยหรือ”
บัวบงกชร้องไห้ด้วยความรันทดหดหู่
ค่ำวันเดียวกันนั้นที่ออฟฟิศของศักดา ศิธา พีระพล และพิณสุดา กำลัง ดูคลิปม่านมัสลินชุด 2
“ว่าไงพี่กิ๊บ เหมือนมั้ย” พีระพลถามความเห็นพี่สาว
“ผอมไปว่ะ” พิณสุดาวิจารณ์ตรงๆ
“โอ๊ย คราวแรกก็อ้วนไป คราวนี้ก็ผอมไป” พีระพลโวยวายความเรื่องมากของพิณสุดา
“แต่มันสำคัญนะโก้ ดูคราวก่อนซิ พอนังมุ้งลวดมันแก้ผ้าโชว์ ก็หงายหลังกันหมด”
ศิธาที่ฟังอยู่ออกความเห็น “หมายความว่าเจ๊จะให้เขาหาให้เป๊ะกว่านี้เรอะ”
“อึ๋มอีกนิดเดียว ใช้ได้เลย” พิณสุดาว่า
“แล้วคลิปนี่ล่ะ” ศิธาเริ่มหงุดหงิด
“พวกแกก็เอาไว้ขายซิ เซ่อไปได้” พิณสุดาบอก ขณะท่พีระพลกับ ศิธา พากันบ่นพึมพำ
พิณสุดาควักเงินส่งให้ 5,000 บาท บอกเป็นค่าเสียเวลา พีระพลต่อรองขอเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นบาท
“จะเอามั้ย ถ้าไม่เอาก็คืนมา”
“ก็ได้” คู่ขาแสบตอบพร้อมกัน
ขณะที่พิณสุดาลุกขึ้น ศิธามองสำรวจรูปร่างพิณสุดาหัวจรดเท้า “ความจริงหุ่นเจ๊ใกล้เคียงนะ”
พิณสุดาเอากระเป๋าฟาดตะโกนด่าศิธา “ไอ้บ้า” พร้อมกับเดินออกไป
ส่วนคู่ขาเกย์ หัวเราะกันชอบอกชอบใจ
ที่ร้านอาหารเกวลินนัดดุสิตออกมาพบเพื่อเคลียร์เรื่องศิธาอีกครั้ง หลังจากบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ แล้วเดินออกไปเกวลินก็เอ่ยขึ้นว่า “มื้อนี้ฉันเลี้ยงเองนะ” ดุสิตจะไม่ยอม เกวลินบอกเหตุผล “ไม่ต้อง ฉันเป็นคนชวนแกมา”
“นั่นซิ แกชวนฉันมาทำไม” ดุสิตถาม
“เพื่อจะบอกว่า แกเข้าใจศิธากับโก้ผิด”
ฟังแค่นั้นดุสิตก็ถอนใจเฮือกใหญ่วางช้อนส้อมลงบนจาน “เลยกินข้าวไม่ลงเลย”
เกวลินว่าต่อ “โก้กับศิธาเขากลับมาเป็นเพื่อนกันใหม่ แล้วตอนนี้โก้เขาก็เตรียมตัวบวชแล้ว พรุ่งนี้เช้าเขาจะมาขอขมาแล้วก็ขออโหสิกรรมฉัน”ดุสิตว่าแดกดัน “ช่างเลิศเลออะไรเช่นนี้”
“ไม่เอาน่า อย่าอิจฉาเขาซิ” สาวเปรี้ยวผู้อ่อนต่อรักบอก
“ฉันไม่ได้อิจฉาหรอก แต่อยากให้มันติดคุกตลอดชีวิต”
“จะมากไปแล้ว ถ้าแกยังขืนกระแนะกระแหน 2 คนนั้นอีกฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เกวลินเริ่มไม่พอใจมาก
ดุสิตเห็นดังนั้นจึงก้มลงกินข้าวต่อเงียบๆ เกวลินมองอย่างพึงพอใจแล้วกินต่อ
จบตอนที่ 26
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป