ในรอยรัก
ตอนที่ 23
วันเดียวกันนั้น มธุรินแวะมาหากานนที่ออฟฟิศ...เธอเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่โต๊ะเลขาหน้าห้องกานน ไม่เห็นใครก็เหลียวมองหา เลขาเดินเข้ามาทักมธุรินจากด้านหลัง
“คุณมธุริน สวัสดีค่ะ คุณกานนไม่อยู่หรอกค่ะ” หน้ามธุรินผิดหวังลงทันที ถามทันทีว่า
“ไปไหนล่ะคะ” เลขายังไม่ทันตอบ เพราะหันไปเจอกุเทพเดินตรงเข้ามาจึงรีบยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณกุเทพ” กุเทพสบตากับมธุริน มธุรินตกใจ แต่ก็ตีหน้าเฉยได้แนบเนียน
“คุณกุมาหากานนเหมือนกันเหรอคะ” กุเทพพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มจางๆ
“คุณกานนไม่อยู่หรอกค่ะ มีนัดกับดีลเลอร์รถยนต์น่ะค่ะ”
“ซื้อรถเพิ่มอีกแล้วเหรอนี่เจ้านายคุณ”
“น่าจะอย่างนั้นค่ะ เห็นท่านเลือกแล้วเลือกอีกก็ยังไม่ถูกใจ หนักเข้าเลยไปดูด้วยตัวเองค่ะ”
กุเทพพยายามหาเรื่องคุยไม่ให้บรรยากาศอึดอัด พอสบโอกาสก็เอ่ยลา แต่แล้วพูดขึ้นพร้อมมธุริน
“อย่างนั้นเดียร์/ผม ขอตัวก่อนนะคะ/ครับ”
เลขามองทั้งคู่ยิ้มๆ แล้วค้อมตัวไปนั่งลงที่นั่งอย่างมีมารยาท กุเทพเลยคุยกับมธุรินต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
“คิวอาปลิวนี่ฮ็อตจริงๆ เราสองคนเลยกินแห้วทั้งคู่ ฮ่ะ ๆ” มธุรินฝืนยิ้ม กุเทพมองใบหน้าเศร้าหมองของมธุรินอย่างเป็นห่วง
“เห็นข่าวคุณแม่คุณกับ...มัสลิน” มธุรินก้มหน้าหลุบตาต่ำ
“ขอโทษทีครับ ผมนี่ปากไม่ดีเลย ชวนคุณเดียร์คุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้”
มธุรินสั่นหน้าทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“คุณเดียร์”
กุเทพตกใจที่เห็นมธุรินร้องจึงรีบประคองเดินออกไป มธุรินยอมเดินออกไปด้วยโดยดี พร้อมกับสะอื้นตัวโยน เลขามองตามสองคนออกไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ
กุเทพพามธุรินมาที่สวนสาธารณะและนั่งปลอบโยนเธอ ทั้งเรื่องข่าวและเรื่องกานน ...
“คุณเดียร์ตอนนี้กับคุณเดียร์คนเดิมที่ผมรู้จัก ยังกับไม่ใช่คนๆ เดียวกัน”
มธุรินมองเหม่อไปข้างหน้า พูดเสียงเรียบ ไร้ชีวิตชีวา
“เดียร์ก็อยากกลับไปเป็นคนเก่า คนที่ไม่เคยต้องแบกอะไร หนักหนาแบบนี้ ...ทั้งเรื่องข่าวคุณแม่ คดี คิม ลี ที่เค้าจะลุกมาเอาเรื่องเมื่อไรก็ไม่รู้ ...แล้วไหนจะเรื่อง...”
มธุรินเผลอปรายตาที่กุเทพเพียงแว่บหนึ่ง แล้วก้มหน้านิ่ง กุเทพมองท่าทีมธุรินปลงๆ
“ผมปลอบคุณไป คุณก็คงไม่เชื่อไอ้คนเอาตัวเองไม่รอดอย่างผม”
“คุณกุเทพ...”
“แต่คนสิ้นคิดอย่างผมอย่างน้อยก็มีทางออกด้วยการหนี”
“กานนบอกว่าคุณจะกลับอเมริกา”
“ครับ ฟังดูขี้ขลาดใช่มั้ยฮะ แต่ผมไม่มีความจำเป็นต้องอยู่เพื่อทนทุกข์นี่นะ”
มธุรินหันสบตากุเทพทันที
“เดียร์ไปด้วยสิคะ!”
“ห...หา??”
มธุรินคว้ามือกุเทพมากุม สีหน้ามีความหวัง
“เดียร์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้วเหมือนกันค่ะ” กุเทพค่อยๆ เผยยิ้ม มองหน้ามธุรินนิ่ง
“ทำไมเหรอคะ หน้าเดียร์เลอะหรือว่าอะไร”
“คุณเดียร์คนเดิมของผมกลับมาแล้ว” มธุริน ยิ้มเก้อๆ “อย่างน้อยคุณก็ยิ้มได้แล้ว ดีใจด้วยครับ”
“จริงด้วยสิ ตั้งแต่มีปัญหาโน่นนี่ เดียร์ไม่เคยรู้สึกปลดปล่อยเท่ากับฟังคุณกุพูดเมื่อกี้เลย”
“ผมยินดีรับฟังคุณนะ ...ทุกเรื่อง”
กุเทพสบตามธุรินจริงจัง มธุรินยิ้มเซียวๆ
“บางเรื่อง ขอเดียร์เก็บเอาไว้อย่างนี้คนเดียวดีกว่าค่ะ”
“ทั้งๆ ที่มีอีกคนรู้เรื่อง และเค้าพร้อมจะรับผิดชอบงั้นเหรอฮะ”
มธุรินก้มหน้านิ่งไปพัก
“จะแปลกอะไร ถ้าเดียร์ไม่ยอมรับซะอย่าง ...ปล่อยเดียร์ไปเถอะค่ะ เดียร์มันก็แค่ผู้หญิงโง่ ๆ แถมยังเห็นแก่ตัว...เรื่องคืนนั้น...” กุเทพจ้องมธุรินนิ่งงัน รอฟังจดจ่อ “ไม่มีอะไร... ไม่มีอะไร”
มธุรินส่ายหน้า กุเทพคว้าตัวมธุรินให้หันมาเผชิญหน้า
“มี มีแน่ๆ เรื่องคืนนั้นทำไมครับคุณเดียร์”
มธุรินก้มหน้างุด เอ่ยยอมรับออกมาแผ่วเบา
“เป็นเดียร์เอง!” กุเทพนิ่งสนิท
เมื่อแยกจากมธุริน กุเทพกลับเข้าออฟฟิศ...กุเทพเดินเข้ามาในห้อง แล้วทิ้งตัวลงนั่งกุมขมับ
กุเทพนั่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้น เดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด ในที่สุดกุเทพเดินไปหยุดที่หน้าต่างนึกถึงเหตุการณ์ก่อนแยกจากมธุริน...มธุรินจับมือกุเทพด้วยสีหน้าเว้าวอน
“นะคะคุณกุ เดียร์ขอร้อง อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร”
กุเทพหน้าชา
“คุณคิดว่าผมเป็นผู้ชายยังไงกัน คุณให้ผมรู้เรื่องทั้งหมดอย่างนี้ แล้วจะให้ทำเฉยๆ งั้นเหรอ ผมทำไม่ได้หรอก”
“แต่เดียร์ก็ให้ใครๆ รู้ไม่ได้ว่าเดียร์กับคุณ...”
“ผมอาจจะไม่ใช่ผู้ชายในฝันของคุณ แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกความเป็นคนของผม”
“คุณกุ”
“ผมตอบอะไรคุณตอนนี้ไม่ได้หรอก อย่าบังคับผม”
กุเทพเดินหนีมธุรินไป
“คุณกุ!”
อีกด้านหนึ่งที่บ้านม่านมุก ขณะนั้นม่านมุกกำลังเตรียมอบไก่อยู่กับปิ่น ซึ่งกำลังปอกกระเทียมโทน
“ใส่กระเทียมเยอะๆ นะ”
“ค่ะ คุณก็ไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวปิ่นจัดการเอง”
แป้นเดินเข้ามา ขณะที่ม่านมุกกำลังจะเดินออกไป
“ท่านเจ้าสัวมาค่ะ”
“มาทำไม”
ม่านมุกเดินออกไป แป้นรีบจัดการเปิดตู้เย็นจะหยิบน้ำ
“ไม่ใช่น้ำเย็น ต้องน้ำชาร้อนๆ” ปิ่นบอก
“ลืมไป มัวแต่ตื่นเต้น”
“ตื่นเต้นบ้าบออะไรกัน”
แป้นหัวเราะจัดการชงชา
เจ้าสัวทศกำลังยืนดูบริเวณที่ช่างซ่อมบ้านทำเอาไว้ ม่านมุกเดินเข้ามา
“อ้าว มาอยู่นี่เอง”
“ช่างนี่เขาใช้ได้เลยทีเดียวนะ”
“ค่ะ”
“แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่มาล่ะ”
“เค้าลาหยุดค่ะ เห็นว่าเมียต้องไปตัดมดลูก” เจ้าสัวพยักหน้า “เชิญเข้าในบ้านดีกว่าค่ะ เดี๋ยวยัยมัสก็มา”
“อ้าว หนูมัสมาด้วยเรอะ ขอโทรศัพท์หน่อยได้ไหม”
“โทรศัพท์บ้านนะคะ มือถงมือถือฉันไม่มี”
ม่านมุกกับเจ้าสัวพากันเดินเข้าบ้าน...เจ้าสัวโทรศัพท์บอกกานนเรื่องมัสลิน และกำชับให้รีบมาที่บ้านสวนของม่านมุก
“ดี มาเร็วๆ ด้วยนะ คุณย่าเล็กของแกเขากำลังจะทำกับข้าวเลี้ยง”
เจ้าสัววางโทรศัพท์แล้วหันกลับมา
“รู้ได้ยังไงค่ะว่าฉันจะทำกับข้าวเลี้ยง” ม่านมุกแกล้งถาม
แป้นซึ่งยกถาดน้ำชามาเสิร์ฟอมยิ้ม
“ก็มีแขกมา เจ้าของบ้านก็ต้องเลี้ยงอยู่แล้ว” แป้นเดินออกไป
“ที่ท่านทำน่ะ ฉันไม่เห็นด้วย” เจ้าสัวทำเป็นไม่ได้ยิน มีเสียงแตรรถดังขึ้น “ยัยมัสมาแล้ว แป้น! แป้น!”
“ได้ยินแล้วค่ะ” แป้นรีบออกไป
แป้นวิ่งมาเปิดประตูใหญ่ ให้มัสลินขับรถเข้ามา...มัสลินขับรถเข้ามาจอด หยิบถุงอาหาร 2-3 ถุงมา และถุงผลไม้อีก 1 ถุง แป้นปิดประตู แล้วเดินมารับถุงอาหารและถุงผลไม้จากมัสลิน
“คุณมัสซื้ออะไรมาคะ นี่คุณม่านมุกก็ทำไก่อบไว้”
“ราดหน้าจ้ะ ซื้อมาฝากปิ่นกับแป้นด้วย”
“อุ๊ย! ขอบคุณมากค่ะ”
มัสลินสีหน้าประหลาดแกมดีใจเมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้วเห็นเจ้าสัว ขณะที่แป้นเดินเข้าไปข้างในมัสลินเข้ามาคุกเข่ากราบที่ตักม่านมุก แล้วหันไปไหว้เจ้าสัว
“สวัสดีค่ะ คุณตา...มัสไม่ทราบว่าคุณตามาด้วย แต่พอดีมัสซื้อราดหน้าเผื่อๆ ไว้อีกชุดนึง”
“ชุดเดียวเองน่ะเรอะ”
ม่านยมุกกับมัสลินหันไปมองเจ้าสัว
“ถ้าคุณตาทานไม่พอ เอาของมัสไปก็ได้ค่ะ”
“ท่านล่ะก็...”
“ตาล้อเล่นน่ะลูก”
“ไปทานกันที่ศาลาดีไหม ร่มรื่นดี”
“ดีค่ะ งั้นมัสไปช่วยปิ่นกับแป้นเตรียมของนะค่ะ”
เจ้าสัวกับม่านมุกพยักหน้า มัสาลินจึงลุกเดินเข้าไปในครัว
“แน่ใจนะคะว่าคิดดีแล้ว” ม่านมุกถามย้ำเจ้าสัว เจ้าสัวชักลังเล
เจ้าสัวกับม่านมุกออกมานั่งที่ศาลา ปิ่นยกถาดวางน้ำตะไคร้และผลไม้จัดอย่างสวยงามในจาดแก้วมาวางให้
“ผลไม้นี่เอาไปแช่เย็นไว้ก่อน กินตอนนี้เดี๋ยวกินข้าวไม่ได้”
“ค่ะ... วันนี้อากาศดีจริงๆ นะคะ”
ปิ่นบอก ม่านมุกจ้องปิ่นเขม็งและทำเสียงแข็งใส่
“ขอประทานโทษค่ะ”
พอปิ่นเดินกลับไป เจ้าสัวจึงคุยกับม่านมุกต่อ
“ว่าไง เธอจะช่วยเกลี้ยกล่อมให้จิรดาไปอยู่ที่บ้านฉันได้ไหม ฉันอยากจะชดใช้เขาให้เต็มที่”
“ไอ้เกลี้ยกล่อมน่ะทำได้ค่ะ แต่บอกได้เลยว่าไม่สำเร็จ ขนาดฉันชวนมาอยู่ด้วยเขายังไม่ยอมเลย”
“แล้วจะทำยังไง”
“แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน!”
เจ้าสัวกระตือรือร้นทันที
“ทำยัง”
“ถ้ายัยมัสยอมไป จิรดาจะยอมไปด้วย แม่จิน่ะเห็นใจแข็งทำรังเกียจเดียดฉันท์ลูกยังงั้นเถอะ ความจริงแล้วเขารักยัยมัสมาก! มีกันแค่ 2 คนแม่ลูกนี่นา มัสเองก็พยายามหาเลี้ยงแม่ตัวเป็นเกลียว”
“ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกผิด” เจ้าสัวเอ่ย
“ผิดแล้วรู้จักขอโทษ รู้จักแก้ไขก็ยังดี เอาเป็นว่า ฉันจะลองเกลี้ยกล่อมยัยมัสให้” ม่านมุกบอก
กานนเดินเข้ามาในบ้าน มัสลินเดินออกมาหยิบของถึงกับชะงักเมื่อเห็นกานน กานนเองก็ชะงักเหมือนกัน
“ผมมารับคุณปู่...แต่ก็ดีใจที่พบคุณ” กานนบอก มัสลินมองอย่างเพ่งพิศแล้วเม้มปาก
“ทั้งหมดนี้เป็นแผนของคุณหลอกให้ฉันมาใช่ไหม”
“เปล่า”
“ต้องใช่แน่ๆ คุณบังคับให้ท่านเจ้าสัวกับคุณยายร่วมมือ”
“โอ๊ย คุณ! สองคนนั้นบังคับได้ที่ไหน คุณก็รู้”
“ฉันไม่รู้”
“งั้นผมก็ไม่รู้จะทำยังไง”
“แต่ฉันรู้... ฉันจะกลับ”
กานนชักน้อยใจ
“ถ้าคุณเกลียดขี้หน้าผมขนาดนั้น ผมเป็นฝ่ายกลับเองดีกว่า อาก๋งอยู่ที่ไหน”
“ในสวน”
กานนเดินออกไป มัสลินมองตามอย่างลังเล
แป้นและปิ่นช่วยกันยกอาหารมาเสิร์ฟให้เจ้าสัวและม่านมุก กานนเดินเข้ามา
“คุณกานนมาแล้ว”
เจ้าสัวหันไปมองแล้วชวนหลานชายนั่ง กานนทรุดตัวลงนั่งยกมือไหว้ม่านมุก ม่านมุกรับไหว้
“ไปจัดอาหารให้คุณกานนกับยัยมัสด้วย แป้นไปตามคุณมัสมา”
ม่านมุกหันไปสั่งปิ่นกับแป้น ทั้งคู่พากันเดินออกไป
“เจอหนูมัสหรือยัง” เจ้าสัวถามหลานชาย
“เจอแล้วครับ”
“นั่นไง ทำหน้าแบบนี้สงสัยเจอหนักด้วย” กานนยังคงนั่งเงียบๆ “อาก๋งกำลังให้คุณย่าเล็กหว่านล้อมหนูมัสกับจิรดาไปอยู่กับเราที่บ้าน”
“คงยากครับ”
“หน็อย! ทำมาเป็นรู้ดี”
ขณะที่กานนนั่งคุยอยู่กับเจ้าสัวและม่านมุก แป้นไปตามมัสลินตามที่ม่านมุกสั่ง แต่มัสลินไม่ยอมมานั่งกินข้าวกับเจ้าสัว ม่านมุกและกานน
“ไปเรียนคุณยายกับเจ้าสัวว่าฉันจะกินในบ้าน”
“โธ่ คุณมัสคะ”
“ไปซิ”
“ไปก็ไปค่ะ แต่คุณมัสจะไม่ลองคิดให้ดีอีกสักหน่อยหรือคะ”
“ฉันคิดร้อยตลบแล้ว”
“อ้อ...” แป้นไม่รู้จะพูดอะไรจึงต้องเดินออกไป
ปิ่นกำลังวางจานอาหารให้กานน ขณะที่แป้นรีบเดินเข้ามา
“คุณมัสเขาจะรับประทานในบ้านค่ะ”
“แม่คนนี้เขาดื้อเหมือนแม่เขาไม่มีผิด ฉันจะไปตามเอง”
“อย่าเลย เขาจะกินที่ไหนก็ตามใจ เด็กสมัยนี้ไปบังคับมากๆ ไม่ดี เรากินกัน 3 คนก็ได้ พอฉันกับเจ้าปลิวกลับไปแล้วอย่าลืมเกลี้ยกล่อมหนูมัสด้วยล่ะ”
“เกลี้ยกล่อมได้ค่ะ แต่ก็อย่างที่บอก ฉันไม่รับปากว่าจะสำเร็จนะคะ”
ขณะที่เจ้าสัวกับม่านมุกคุยกันกานนฟังเงียบๆ มีแต่แววตาเท่านั้นที่รู้สึกตื่นเต้น
เวลาผ่านไป...เมื่อเจ้าสัวทศกับกานนกลับไปแล้วม่านมุกจึงนั่งคุยกับมัสลิน
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าวันนี้ทำผิดอะไรบ้าง”
“เอ๊! มัสว่ามัสไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ”
“แหม! แม่คนนี้ ชนวนคือตาใสละก็ไม่มีใครเกิน”
มัสลินเลื่อนมือลงมากอดเอวยาย
“ก็มันจริงนี่คะ มัสไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
“เรื่องความผิดนี่เอาไว้ก่อน ...มัสจะว่ายังไงถ้าหากอาก๋งจะให้มัสกับแม่ไปอยู่ที่บ้านด้วย”
“แม่ไม่ไปหรอกค่ะ มัสรู้ และถ้าแม่ไม่ไป มัสก็ไม่ไป”
“ยายอยากให้ไป”
“คุณยายขา ถ้าจะย้ายบ้าน มัสขอย้ายมาอยู่กับคุณยายดีกว่า”
ม่านมุกถอนใจยาว
“ยัยมัส”
“แต่ไหนแต่ไรมา เราก็อยู่ของเรามาได้ ถึงบ้านจะไม่ได้ใหญ่โตหรูหราเหมือนบ้าน ‘รัตนรัช’ แต่ก็คุ้มหัวมัสมาตั้งแต่เกิด มัสคงทิ้งบ้านไปไม่ได้หรอกค่ะ แม่ก็คงเหมือนกัน”
มัสลินบอกด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ขณะที่ม่านมุกลูบผมหลานอย่างพอใจในคำตอบ
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่มัสลินกำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกภายในห้อง จู่ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณมัสขา คุณมัส เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
น้ำเสียงของพัดตกอกตกใจจนมัสลินต้องรีบเดินมาเปิดประตู
มัสลินรีบเดินนำพัดออกมาอย่างรีบร้อนหลังจากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นแป้นยืนเอามืออุดปากแน่น เบิกตากว้าง มองไปโดยรอบด้วยสีหน้าท่าท่างตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
“ไหน”
มัสลินถามเมื่อเดินนำพัดมาถึงบริเวณที่เธอจอดรถ แล้วต้องชะงักเบิกตากว้างเมื่อพบว่ารถของเธอหายไป
“เห็นกันอยู่หลัดๆ เมื่อคืนยังจอดเด่นเป็นสง่า เช้าขึ้นมาอันตรธานไปแล้ว”
“มันเข้ามาได้ยังไง ข้าวของในบ้านหายหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหายเลยค่ะ ดูๆแล้วเหมือนมันตั้งใจมาเอารถคุณมัสอย่างเดียวเลย”
“แปลก! รถก็เก๊า เก่า หรือว่าจะขโมยไปไว้พิพิธภัณฑ์ให้ลูกหลานดูสืบไป”
มัสลินเบือนหน้ามามอง แต่พัดกับแป้นก็ยังไม่รู้สึกตัว
“รถคุณดาใหม่กว่า ไม่ยักขโมย”
“ก็บอกแล้วว่าเอาไปไว้ในพิพิธภัณฑ์”
มัสลินกระแอม สองสาวหันมามอง
“วิจารณ์จบหรือยัง”
พัดยิ้มแห้งๆ
“จบพอดีเลยค่ะ”
“แยกย้ายไปถามเพื่อนบ้านใกล้ๆ ดูซิว่า มีใครเห็นหรือได้ยินอะไรผิดปกติบ้าง”
มัสลินรีบกลับเข้าบ้าน สองสาวเดินออกไป
จิรดาเดินออกมาจากห้องขณะที่มัสลินเดินจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เอะอะอะไรแต่เช้า”
“รถมัสหายค่ะ เดี๋ยวมัสขอยืมรถแม่ขับไปแจ้งความหน่อยนะคะ”
มัสลินบอกแล้วแยกเข้าห้อง จิรดาจึงเดินมาดูบริเวณที่จอดรถ
“ขโมยมันปัญญาอ่อนหรือเปล่าเนี่ย”
จิรดาบ่น ขณะนั้นมีรถสวยคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดแทนคันเก่าที่หายไปจิรดามองด้วยความประหลาดใจ ขณะคนขับก้าวลงมา
คนขับยกมือไหว้จิรดาพร้อมกับส่งกุญแจให้
“คุณกานนให้เอารถมาให้คุณมัสลินครับ” จิรดารับมาอย่างงงๆ “ผมลาละครับ”
คนขับเดินออกไป จิรดาก้มมองกุญแจแล้วมองตาม ยังงงต่อ พัดกับแป้นเดินเข้ามามองรถอย่างตื่นเต้น
“รถใครค่ะเนี่ย สวยจังเลย”
“สงสัยคุณโจรคงเอามาแลกกับรถคันเก่า”
จิรดาเดินเข้าบ้านไป ขณะที่สองสาวยังยืนชมรถคันใหม่กัน
มัสลินแต่งตัวเรียบร้อยเดินออกมา จิรดาซึ่งยืนรออยู่ ส่งกุญแจให้ มัสลินมองกุญแจรถที่แม่ส่งให้อย่างแปลกใจ
“นี่ไม่ใช่กุญแจรถแม่นี่คะ”
“ลองไปดูแล้วแกจะรู้” มัสลินมองแม่ งงๆ “ไปซิ”
มัสลินเดินลงไป จิรดาเดินตาม
มัสลินเดินออกมาบริเวณที่จอดรถแล้วชะงักเมื่อเห็นรถคันใหม่ที่จอดอยู่
“รถใครคะแม่”
“คนขับเขาบอกว่า คุณกานนให้เอามาให้”
“ต๊าย ใจดีจัง”
พัดร้องอย่างตื่นเต้นแต่แววตามัสลินเป็นประกายด้วยความโกรธจัด เปิดประตูรถขึ้นไปทันที
“คุณมัสลินดีใจน่าดู รีบขับไปเลย”
“คงรีบไปขอบคุณคุณกานน”
จิรดายิ้มนิดๆ ในหน้าเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
มัสลินขับรถสปอร์ตคันใหม่ป้ายแดงมาที่ออฟฟิศของกานน มัสลินขับรถปาดหน้ารถกานนแล้วเบรคเอี๊ยดจอดขวางกลางลำมัสลินเดินลงจากรถไปเคาะกระจกรถกานน
“นี่คุณลงมานี่เดี๋ยวนี้เลย” กานนใส่แว่นกันแดดเลื่อนกระจกลงมองมัสลินยิ้ม ๆลงมานี่เดี๋ยวนี้”
กานนเลื่อนกระจกปิดแล้วเปิดประตูรถเดินลงมา กานนมองรถสปอร์ตมัสลินที่จอดขวางหน้าไว้อยู่ยิ้มอย่างพอใจ
“รถสวยนี่ ป้ายแดงเชียว”
มัสลินมองหน้ากานนจะเอาเรื่องให้ได้
“เมื่อไหร่จะเลิกบ้าอำนาจวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตฉันซะที จะคุกคามชีวิตฉันไปถึงไหน” กานนยิ้มขำ ตั้งท่าจะพูด มัสลินดักอย่างรู้ทัน “คุณปู่สั่งให้ทำ เป็นความต้องการของคุณปู่ คุณปู่ๆๆๆ”
“ฉลาดมากน้องสาวผม”
กานนยิ่งยียวน มัสลินยิ่งปรี๊ดแตก
“ฉันไม่ตลก พอซะที เลิกเล่นเกมบ้า ๆของคุณได้แล้ว บอกฉันมานะว่าคุณเอารถเต่าฉันไปไว้ไหน คุณรู้ไหมว่ามันมีความหมายกับฉันมาก”
กานนทำหน้ามึน แกล้งครุ่นคิด ๆ
“อืม...รถคันเดิมคุณ เอ...หายไปไหนดีน๊า อ๋อ ผมเอาไปให้เค้าถอดหลังคา ปลูกสะระแหน่แล้ว”
มัสลินอ้าปากหวอตาโต
“บ้าที่สุด คุณมันใจร้ายที่สุด”
มัสลินต่อว่าด้วยความโกรธจัด กานนหัวเราะก๊ากรีบพูดก่อนที่จะโดนมัสลินเอาเรื่อง
“พูดเล่น ไม่ได้เอาไปไหนเลย”
“เมื่อกี้คุณว่าถอดหลังคารถฉัน”
“ก็เอาเข้าอู่ ไปให้ช่างเขาซ่อมบำรุงให้ มันก็ต้องถอดชิ้นส่วนบ้างอะไรบ้าง อูวคุณนี่รักรถชะมัดเลยนะเนี่ย ดูสิแค่นี้ก็จะร้องไห้” มัสลินหันหนีไปกระพริบตาถี่ ๆไล่น้ำตา กานนหยุดหัวเราะ จับมือมัสลินมาอย่างอ่อนโยน “ที่ผมต้องเจ้ากี้เจ้าการกับคุณเพราะผมเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณ ช่วงนี้ใช้คันนี้ไปพลาง ๆ ก่อน คงไม่เป็นไรนะ”
มัสลินได้ยินกานนพูดดีก็เริ่มคลายความโมโหลงหันไปมองที่รถสปอร์ต กานนเห็นมัสลินเริ่มสงบก็พูดต่อ
“ส่วนเรื่องงาน ผมไม่อยากให้คุณต้องเหนื่อยแบบเดิม ชีวิตไม่ได้เดือดร้อนเหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานอาทิตย์-จันทร์ ผมอยากให้คุณพักบ้าง”
ขณะพูดกานนแตะศอกมัสลินให้เดินเข้าข้างในออฟฟิศ โดยมัสลินซึ่งซึ้งใจในคำพูด เดินตามเข้าไปทันที
กานนเปิดประตูห้องทำงานเบี่ยงตัวให้มัสลินเข้ามาแล้วตัวเองตาม
“นั่งซิ” มัสลินนั่งลง สีหน้าแววตาดูจะซึ้งใจ “ทานอะไรมาหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“รอเดี๋ยว” กานนยกโทรศัพท์ภายในขึ้นจะสั่ง
“ฉันยังไม่หิวค่ะ ไม่หิวจริงๆ ยังเช้าเกินไป”
กานนวางโทรศัพท์ลง
“ งั้นผมจะพาไปทานข้างนอก พอขับรถไปถึง คุณก็หิวพอดี”
“ฉันมาพูดเรื่องรถ ไม่ได้มาพูดเรื่องกิน” มัสลินชักเริ่มขึ้นเสียง
“จริงซิ อาก๋งรถให้คุณแม่คุณอีกคัน พร้อมคนขับ ไปไหนมาไหนจะได้สะดวก”
“คันเดียวพอแล้วค่ะ” มัสลินบอกเสียงเด็ดขาด
“มัส...”
“ถ้าจะให้ 2 คัน ฉันจะคืนที้งหมดเลย”
“พูดอย่างนี้คุณแม่จะเสียใจนะ”
“ไม่หรอกค่ะ”
“แล้วคุณไม่ห่วงคุณแม่หรือไง”
“ฉันจะเอารถใหม่ให้แม่ แล้วใช้รถแม่แทน”
“มัสลิน”
“เราพบกันคนละครึ่งทางดีกว่าค่ะ”
กานนมองมัสลินเหมือนอับจนถ้อยคำ
กานนโทรรายงานเรื่องนี้กับเจ้าสัว เจ้าสัวเจ้าสัววางโทรศัพท์ลง เบือนหน้ากลับมา ขณะนั้นอุษยายืนกอดอกมองอยู่
“นายปลิวหรือค่ะ”
เจ้าสัวพยักหน้ารับ
“โทร มารายงาน”
“คงตื่นเต้นยินดีปรีดาปราโมทย์กันใหญ่น่ะซิ” อุษยาบอกอย่างประชด
“ที่แรก หนูมัสลินไม่ยอมรับ”
“แต่แล้วก็รับ หนูเห็นแบบนี้มาเยอะ”
เจ้าสัวมองอุษยาลอดแว่น
“ รับเพราะเจ้าปลิวมันบอกว่าเป็นคำสั้งของฉัน” อุษยาแค่นหัวเราะ “แต่เขาขอรับคันเดียว แล้วยกให้แม่ใช้ ส่วนตัวเองใช้คันเดิม”
อุษยานิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วยิ้ม
“คุณพ่อลองบังคับอีกซิค่ะ รับรองว่ารับแน่ๆ”
“เจ้าปลิวมันบอกไปแล้ว เขาบอกว่าถ้าบังคับมากๆ เขาจะคืนหมดทั้ง 2 คันเลย”
“ให้มันจริงเถ้อะ”
“เลิกประชดประชัน กระทบกระแทก แดกดันหลานฉันเสียที ถ้ามัสลินตื่นความรวยจริงล่ะก็ ป่านนี้ยกโขยงกันมานั่งกิน นอนกินที่บ้านนี้แล้วล่ะ” อุษยานั่งคอแข็ง
อุษยายังไม่ละความพยายาม ในการหาแนวร่วม โทรหามธุรินเพื่อคุยถึงเรื่องนี้
“เขาก็ดีนะคะ” มธุรินบอกเสียงเรียบ
“ดีอะไรได้... มารยาน่ะซิ ทำไมหมู่นี่ไม่มาที่นี่เลย”
“พอดีหนูยุ่งๆ น่ะค่ะ”
“งั้นเสาร์อาทิตย์นี้ก็ได้ มาทานข้าวกับอา”
“หนู...”
“ห้ามปฏิเสธ”
“ค่ะ”
“เท่านี้นะจ๊ะ อย่าลืมล่ะ”
“สวัสดีค่ะ”
มธุรินวางโทรศัพท์ลงถอนหายใจอย่างอัดอั้น
ทางด้านมัสลินเมื่อออกจากออฟฟิศกานน เธอก็ตรงมาที่กองถ่าย ขณะที่กำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้า ช่างทำผมเติมแต่งสวยเพื่อเข้าฉากอยู่นั้น ช่างแต่งหน้า ขาเม้าท์ก็คุยกับมัสลินถึงเรื่องข่าวของเธอ
“แปล๊ก แปลกนะคะ อยู่ดีๆ ก็มีข่าวว่าน้องมัสเป็นลูกดาราเก่า” มัสลินยิ้มนิดๆ
“เป็นพี่ พี่จะตรวจ DNA ให้มันรู้แล้วรู้แรดกันไปเลย”
พอดีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ มัสลินหยิบขึ้นมาดู เห็นว่าดุสิตเป็นคนโทรเข้ามาจึงกดรับทันที
“สวัสดีค่ะ”
“คุณมัส ทราบหรือเปล่าว่า คุณเก๋กลับไปติดต่อกับไอ้ศิธาอีก”
“ไม่จริงหรอกค่ะ”
“จริง ผมเห็นมากับตา”
“เอาอย่างนี้นะคะ ตอนนี้มัสกำลังจะเข้าฉาก เสร็จแล้วมัสจะลองไปคุยเรื่องนี้กับพี่เก๋”
“เตือนเธอด้วยก็แล้วกันว่า คนอย่างนั้นมันกลับเนื้อกลับตัวไม่ได้หรอก...ขอบคุณมากครับ”
มัสลินปิดโทรศัพท์ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
เมื่อเสร็จงานที่กองถ่าย มัสลินจึงตรงไปหาเกวลินที่ร้าน...มัสลินเดินเข้ามาในร้าน ลูกค้าของเกวลินต่างทักทายมัสลินอย่างตื่นต้น
“ตัวจริงสวยกว่าในทีวีอีกค่ะ”
“ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ”
มัสลินถ่ายรูปกับลูกค้าอย่างยินดี ลูกค้าขอบคุณในความไม่ถือตัวของเธอ
“ยินดีค่ะ... พี่เก๋ล่ะคะ” มัสลินหันไปถามพนักงาน
“อยู่ข้างบนค่ะ” มัสลินยิ้ม แล้วเดินขึ้นไป ลูกค้าต่างพาชื่นชมในความเป็นกันเองต่อ
เกวลินที่อยู่ภายในห้อง ยังมีอาการไอ จามเพราะไข้หวัด...เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“พี่เก๋คะ มัสเอง”
เกวลินเอาผ้ามาปิดปาก “เข้ามาซิจ๊ะ”
มัสลินเปิดประตูเข้ามาแล้วปิดเบาๆ
“สวัสดีค่ะ โห ขนาดต้องปิดปากปิดจมูกเลยหรือคะ”
“ก็กลัวเธอติดไง แล้วนี่ไปไหนมาจ๊ะ”
“ถ่ายละครเสร็จก็มาหาพี่เก๋นี่แหละค่ะ จะมาชวนไปทานข้าวเย็น”
“พี่ไม่ค่อยสบาย กินอะไรไม่อร่อยหรอก”
“แล้วไปหาหมอหรือยังเนี่ย มัสเห็นพี่เป็นมาหลายวันแล้วนะ ซื้อยากินเองไม่เหรอก”
“ศิธาเขาซื้อมาให้”
“ยาพิษหรือเปล่าก็ไม่รู้ นายคนนี้ไว้ใจได้ที่ไหน”
“ไม่หรอกศิธาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร” เกวลินบอกเสียงอ่อย
“เฮ้อ! ความรักนี่ทำให้คนตาบอด หูหนวกจริงๆ”
“มัสรู้มั้ยว่านายดุสิต ต่อยศิธาต่อหน้าต่อตาพี่” เกวลินรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ถ้ามัสเป็นดุสิต มัสก็ต่อย” เกวลินอึ้งไป “พี่เก๋ นายศิธาเป็นคนไม่ดีนะคะ มันทำกับพี่เก๋สารพัด ยังไม่เข็ดอีกหรือคะ”
“เขาสัญญากับพี่แล้วว่าจะกลับตัว ตอนนี้เขาก็ดีกับพี่มาก”
“ทำไมพี่เก๋เชื่อง่ายจัง”
“พี่รักเขา...”
“งั้นก็จบเลย”
เกวลินวางมือลงบนแขนมัสลิน
“พี่อยากให้โอกาสเขาจ้ะ ถ้าพลาดอีก มัสหรือใครๆ จะสมน้ำหน้าว่าพี่โง่ พี่ก็จะยอมรับ”
มัสลินยิ้มให้เกวลินอย่างอ่อนโยน
“มัสไม่มีวันจะสมน้ำหน้าพี่เก๋เด็ดขาด”
เกวลินมองมัสลินด้วยความตื้นตัน
มัสลินเดินออกมาหน้าร้านเสื้อเกวลินแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นศิธาเดินหิ้วถุงตรงมา ศิธาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้มัสลิน
“Hi มัสลิน” มัสลินมีสีหน้าจริงจังเด็ดขาด
“อย่าทำกับพี่เก๋อย่างเดิมเด็ดขาด”
ศิธาเลิกคิ้วยิ้มๆ “แล้วทำมากว่าเดิมได้มั้ยล่ะ”
“คอยดูฉันบ้างก็แล้วกัน”
“แหม...ล้อเล่นแค่นี้ก็โกรธ ฉันน่ะรักพี่เก๋ของหล่อนจะตาย”
ศิธาหัวเราะระรื่น แล้วเดินพลิ้วเข้าร้านไป มัสลินมองตามอย่างเอาเรื่อง
ศิธาเปิดประตูห้องเกวลินเดินเข้ามาอย่างถือวิสาสะ ขณะนั้นเกวลินกำลังนั่งพิงพนักเก้าอี้ หลับตาอยู่ ศิธาวางของลง โดยไม่ได้สนว่าเกวลินมีอาการเหมือนไม่สบาย
“เมื่อกี้เจอน้องสาวคุณ”
“อ๋อ! มัสเขามาเยี่ยม”
“ฮึ มาเยี่ยมเก๋ แต่จะฆ่าศิธา พอเห็นหน้าก็ใส่เอาๆ จนผมพูดไม่ทัน”
เกวลิน ลุกไปรินน้ำมาให้
“นี่ค่ะ..มัสเขากลัวเก๋โดนหลอกน่ะ ศิธาไม่ได้หลอกเก๋ใช่ไหม”
ศิธาจับมือเกวลินมาจูบ
“รักจะตาย หลอกได้ยังไง” ศิธาปล่อยมือเกวลิน แล้วทิ้งตัวลงนั่ง ถอนใจยาว หลับตาลง อาการกลุ้มๆ
“ถ้าน้องคุณเอาเรื่องจริงๆ ผมอาจจะติดคุกยาว” เกวลินนิ่งไป
“แต่ก็โทษใครไม่ได้ ผมมันผิด มันเลว มันชั่วจริงๆ”
ศิธาลืมตามองเกวลินเศร้าๆ “ถ้าหากผมติดคุก คุณจะไปเยี่ยมผมหรือเปล่า”
เกวลินยังคงก้มหน้า แต่ตัวสั่นนิดๆ ศิธาเลื่อนตัวลงมาคุกเข่าข้างหน้าเกวลิน แตะคางให้เงยขึ้น
เกวลินร้องไห้ออกมา
“อย่าร้องไห้ คนผิดก็ต้องรับโทษ”
“ไม่ เก๋จะขอร้องมัสเอง”
ศิธาเบิกตากว้าง ตื่นเต้นดีใจ แต่รีบปรับหน้าเศร้าอีก
“ผมไม่ยอมให้คุณทำอย่างนั้น”
“เก๋จะทำ เก๋ตั้งใจแล้วว่าเก๋จะทำ” ศิธาอ้าปากจะพูด เกวลินเอามือแตะปากศิธาไว้ “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
ศิธาดึงเกวลินเข้ามากอด ราวกับซาบซึ่งหนักหนา
“โง่ซ้ำซาก” ศิธาพึมพำออกมาเบาๆ
เย็นวันนั้นเกวลินตัดสินใจโทรศัพท์หามัสลิน มัสลินพูดโทรศัพท์ด้วยความผิดหวังอย่างยิ่ง
“พี่ขอร้องเถอะมัส อย่าเอาเรื่องเขาเลย”
“มันใช้พี่เก๋”
“เปล่า ศิธาขอร้องด้วยซ้ำไม่ให้พี่ทำอย่างนี้ พี่เองเป็นคนยืนยันที่จะขอร้องมัส เห็นกับพี่เถอะนะจ๊ะ เลิกแล้วต่อกัน พี่จะให้เขาไปขอโทษมัส”
“โอ๊ย ไม่ต้องค่ะ มัสไม่อยากเห็นหน้ามัน เอ๊ย! เขา”
“นะจ๊ะมัสน้องรัก นึกว่าคุณพี่ขอร้อง”
“โธ่เอ๊ย” มัสลินทั้งขำทั้งโมโห
“เห็นแก่พี่เถอะนะมัส” มัสลินถอนใจยาว
หลังวางหูจากเกวลิน มัสลินเดินกลับเข้าห้องด้วยสีหน้าหนักใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกวลินขอร้อง
“โอ๊ย! ทำไมเป็นอย่างนี้นะ”
มัสลินเดินกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง แล้วทำสีหน้าเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
ขณะนั้นดุสิตยังอยู่ที่ออฟฟิศ กำลังปิดคอม แล้วบิดตัวไปมาก่อนจะเก็บงานบนโต๊ะ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดุสิตก้มมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“คุณมัสลิน สวัสดีครับ...คุณมัส”
“คุณดุสิต มัสมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือครับ”
“ก็เรื่องนายศิธากับคลิปนั่นแหละค่ะ”
ดุสิตนั่งคิดครู่หนึ่ง
“ประมาณ 4-5 โมงเย็นได้ไหมครับ”
“ดีเลยค่ะ มัสจะได้ทำธุระอื่นก่อน”
“โอ.เค ครับ พรุ่งนี้พบกัน”
มัสลินวางโทรศัพท์ลง สีหน้าโล่งใจขึ้นบ้าง
ดุสิตเก็บของออกจากออฟฟิศแล้วตัดสินใจโทรหากานน
“คุณกานนครับ นี่ผมเอง ดุสิต จำได้ใช่ไหมครับ”
กานนแปลกใจที่ดุสิตโทรหา
“คุณดุสิต จำได้ซิครับ”
“เมื่อกี้คุณมัสลินโทรมาหาผม บอกว่าจะปรึกษาเรื่องนายศิธากับคลิป”
กานนสีหน้าขรึมลงเหมือนไม่พอใจ แต่ยังรักษาน้ำเสียงเป็นปรกติ
“มัสเขามีอะไรเพิ่มเติมอีกล่ะ”
“ผมก็ยังไม่ทราบ แต่เสียงเธอค่อนข้างกังวล ถ้าคิมยังเป็นปกติ ผมก็จะชวนไปด้วย แต่นี่เขานอนไม่รู้เรื่อง อยู่โรงพยาบาล ผมก็เลยจะชวนคุณ”
“คงไม่เหมาะกระมังครับ เขาไม่ได้ชวนผม”
“คุณสนิทกับเธอมาก แล้วคุณก็รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ส่วนคุณมัสลินก็จริงจังกับเรื่องนี้ ผมถึงอยากให้คุณไปด้วยกัน บางที อาจจะได้ช่วยให้คำปรึกษากับเธอได้”
กานนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลง
อ่านต่อหน้า 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 23 (ต่อ)
วันต่อมามัสลินมาเยี่ยม คิม ลี ที่โรงพยาบาลตามปกติ ในห้องผู้ป่วยมัสลินจับมือคิม พูดเป็นเชิงปรับทุกข์
“มัสไม่รู้จะทำยังไงค่ะ คุณคิม มัสพยายามรวบรวมหลักฐานต่างๆ แต่พี่เก๋กลับขอร้องมัสไม่ให้เอาเรื่องมัน” คิมยังคงนอนไม่ได้สติ
“ความรักนี่ก็แปลกนะคะ พี่เก๋เคยเด็ดขาดกลับอ่อนยวบไปเลย”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มัสลินค่อยๆ วางมือคิมลง แล้วเดินห่างออกไปหยิบมือถือขึ้นมาดู พอเห็นว่ากานนเป็นคนโทรเข้ามามัสลินจึงรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเฉยเมย
“มีธุระอะไรหรือคะ”
“คุณอยู่ที่ไหน”
“อยู่ในประเทศไทย”
“กวนแต่เช้าเชียวนะ อาก๋งต้องการพบคุณ”
“เรื่อง...”
“คุณต้องถามท่านเอง”
“ฉันไปเองได้ คุณไม่ต้องมารับ”
กานนหัวเราะ “ผมก็ยังไม่ทันบอกว่าจะไปรับคุณสักหน่อย”
เจ้าสัวที่ฟังอยู่ข้างๆ ดึงโทรศัพท์มาจากกานน อย่างรำคาญ
“เอามานี่ หนูมัส มาเร็วๆ นะลูก” มัสลินรับคำ
“เท่านี้แหละ” เจ้าสัวปิดโทรศัพท์แล้วส่งคืนกานน
“แกมันไม่มีเสน่ห์เล้ย เจ้าปลิวฉันพูดประโยคเดียว หนูมัสรับปากทันที แกพูดตั้งนาน”
“อ้าว! ก็เขาเกรงใจอาก๋งนี่ครับ”
“ก็แล้วทำไมแกไม่ทำให้เขาเกรงใจบ้างล่ะ”
“พูดอีกก็ถูกอีก”
“อะไรๆ มันก็ต้องฉันทั้งนั้น” เจ้าสัวบ่นแล้วลุกเดินออกไป กานนมองตามส่ายหน้าขำๆ
เวลาผ่านไป...มัสลินขับรถเข้ามาจอดที่บ้านกานน ขณะนั้นกุเทพอยู่หน้าบ้านพอดีจึง
รีบเดินมารับมัสลินด้วยสีหน้าดีใจ
“มาหาทวดหรือครับ”
“ค่ะ วันนี้พี่กุไม่ไปไหนหรือคะ”
“เดี๋ยวจะพาเพื่อนไปที่ร้าน... ผมจะขายหุ้นให้เขา”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“ขี้เกียจ ทวดให้ไปช่วยอาปลิวเต็มตัวด้วย”
“โลกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ 2 คนหรอกนะ” เสียงกานนดังขึ้น
กุเทพกับมัสลินหันไปมองจึงเห็นกานนยืนอยู่ สีหน้าและแววตาที่มองมาไม่บอกความรู้สึก กุเทพแตะข้อศอกมัสลินเบาๆพาเดินไป
“ได้คุยกับคนที่ถูกใจ มันก็เหมือนโลกนี้มีกัน 2 คน จริงๆ ครับ” กุเทพบอกกับกานนยิ้มๆ
“นั่นซิคะ คนที่อยู่ใกล้ๆ เลยกลายเป็นส่วนเกินไป”
มัสลินช่วยพูดเสริมอีกคนทำให้กานนถึงกับหน้าตึง
“ไป.. มัส” กุเทพพามัสลินเดินเข้าบ้านไป กานนมองตามฉุนๆ
ขณะนั้นเจ้าสัวกำลังนั่งคุยอยู่กับอุษยาเมื่อกุเทพ กานน และมัสลิน เดินเข้ามา อุษยาเห็นมัสลินจึงอดพูดกระแนะกระแหนขึ้นไม่ได้
“มาถึงก็มีองครักษ์ขนาบข้างมาเชียวนะ”
มัสลินไหว้เจ้าสัวและอุษยาด้วยสีหน้าปกติ อุษยารับไหว้แค่อก
“นั่งซิ หนูมัส”
“ขอบคุณค่ะ”
มีสลินนั่งลง กุเทพกับกานนนั่งตาม
“นายปลิว นายกุ รู้ตัวหรือเปล่าว่าเรา 2 คนตกกระป๋องแล้วนะ” อุษยาบอก
“ใครว่าสอง....สามต่างหาก” เจ้าสัวแย้ง
“คุณพ่อ”
“ใครหงุดหงิดก็ออกไป ฉันจะคุยกับหลานสาวคนใหม่ของฉันให้สบายใจหน่อย”
อุษยาลุกขึ้นเดินคอแข็งออกไป กุเทพหัวเราะ เจ้าสัวหันมามองกานน
“แกล่ะ เจ้าปลิว”
“ทำไมหรือครับ” กานนทำหน้างง
“มานั่งหน้าตูมอยู่ทำไม ตามอาแกออกไปซิ ที่นี่ต้องการคนอารมณ์ดี”
“เหมือนผมใช่ไหมครับ” กุเทพถาม
“แกด้วย ไปกันให้หมด”
“อ้าว!”
กานนมองกุเทพด้วยสีหน้าสะใจ แล้วลุกขึ้น
“ไป นายกุ” กุเทพจำใจเดินออกไปกับกานน
พอเดินออกมาจากห้อง อุษยามองกานนกับกุเทพสลับกัน
“มีใครรู้บ้างว่าพ่อฉันเชิญแม่นั่นมาทำไม” กานนกับกุเทพส่ายหน้าพร้อมกันราวกับนัด
“แก 2คนนี่พึ่งอะไรไม่ได้เลย” อุษยาโวย
กานนกับกุเทพสบตากันแล้วเดินเลยออกไปเงียบๆ อุษยามองตามอย่างหงุดหงิด สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วเดินย่องๆ ย้อนกลับไปแอบฟัง
อุษยาค่อยๆ ย่องมาแอบฟังบริเวณประตูจึงเห็นมัสลินเลื่อนตัวลงมากราบเจ้าสัว
“มัสกราบขอประทานโทษคุณตาด้วยค่ะ แต่มัสคงมาอยู่ไม่ได้จริงๆ แม่ก็เหมือนกัน”
“ม่านมุกไม่ได้พูดอะไรกับเจ้าหรอกเรอะ”
“พูดค่ะ แต่มัสบอกเหตุผลคุณยายไปแล้ว คุณยายก็เห็นด้วยค่ะ”
เจ้าสัวถอนใจยาว เบือนหน้าจากมัสลิน มองไปข้างหน้าเหมือนไร้จุดหมาย
“บ้านช่องใหญ่โต แต่ไร้ผู้คน มันก็เหมือนสุสาน”
อุษยาเบิกตากว้างอย่างไม่พอใจขณะที่มัสลินบอกเสียงอ่อนโยน
“คุณกานนก็อยู่ พี่กุก็อยู่ แล้วยังมีคุณอุษยา”
เจ้าสัวเลื่อนสายตากลับมามองมัสลิน
“เขาจะอยู่กันก็ตอนเลิกงาน แถมกลับมาแล้วยังแยกย้ายไปอยู่ห้องตัวเองอีก แต่ก็นั่นแหละ ใครจะอยากอยู่กับคนแก่”
“มัสไงคะ มัสชอบคุยกับคุณยาย แต่ตอนนี้แทบไม่มีเวลาไปหาท่านเลย บ้านก็มีไว้นอนอย่างเดียว บางวันก็แทบไม่ได้นอน มัสทำงานหนักมากค่ะ”
“ไม่ต้องสาธยายหรอก ตาเข้าใจ ลองเจ้าไม่มา แม่ของเจ้าก็คงไม่มาเหมือนกัน ตาก็ได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่ง บ้านนี้คงจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของลูกๆ หลานๆ”
อุษยาค่อยๆ ย่องออกไป กดโทรศัพท์หามธุรินแต่ติดต่อไม่ได้จึงโทรหาพิณสุดาแทน
“คุณอามีธุระอะไรจะใช้กิ๊บหรือคะกิ๊บว่างค่ะ วันนี้ขี้เกียจไปร้าน”
“อาโทรหาหนูเดียร์ แต่มือถือเขาปิด เลยโทร มาระบายกับหนูแทน”
“ระบายมาเลยค่ะ คุณอาขา กิ๊บยินดีรับฟัง ทุกข์ของคุณอาก็เหมือนทุกข์ของกิ๊บ”
“ก็คุณพ่อของอาน่ะซิ พยายามชวนแม่ม่านแม่มุ้งนั่นมาอยู่ด้วย”
“ว้าย ตายแล้ว คงรีบขนข้าวขนของมาเลยซิคะ”
“มันปฏิเสธ”
“แสดงว่ามันแผนสูง ตอนนี้ไม่มา เดี๋ยวพอคุณทวดอ้อนวอนหนักๆ เข้า ก็ต้องมา”
“อาก็คิดอย่างนั้นแหละ มันน่าน้อยใจมั้ยล่ะ ไอ้เราปรนนิบัติรับใช้มาแทบตาย กลับไม่เห็นหัว ซ้ำยังไปชื่นชมรักใคร่คนมาใหม่ที่ไม่ได้ทำอะไรให้ซักนิด สองแม่ลูกนั่นก็ทำเป็นเล่นตัว ส่งรถไปให้ใช้ รถอาตั้ง 5-6 ปีที่แล้ว ยังไม่ได้เปลี่ยนเลย”
“ใจเย็นๆ ค่ะ คุณอาขา ยังไงคุณอาก็ยังมีกิ๊บอยู่นะคะ เดี๋ยวกิ๊บจะไปรับคุณอาออกมาช็อปปิ้ง คุณอารอเดี๋ยวนะคะ”
พิณสุดาปิดโทรศัพท์ สีหน้าแววตาริษยา
“นังมัส! แกจะมาได้ดีกว่าฉันได้ยังไง”
ประตูห้องของกานนกับกุเทพเปิดออกมาพร้อมๆ กัน กานนกับกุเทพก้าวออกมา ท่าทางเหมือนต่างรู้ทันกัน
“อ้าว! ไหนว่าจะไปข้างนอกไง”
“แล้วอาปลิวล่ะครับ วันนี้ไม่ออกไปหาคุณเดียร์หรือไง”
“ฉันก็อยากอยู่บ้านบ้างซิ”
“ระวังคุณเดียร์จะน้อยใจนะครับ” กุเทพบอกเหมือนประชด
“นายจะมาฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไม คุณเดียร์กับฉันเข้าใจกันแล้ว”
“อาปลิว เข้าใจฝ่ายเดียวมั้ง ผมเห็นคุณเดียร์ยังอาลัยอาวรณ์อาปลิวอยู่เลย”
“พูดยังกับนายอยู่กับเขาตลอดเวลางั้นแหละ”
กุเทพมีท่าทีพิรุธแว่บหนึ่ง กานนเดินลงไป กุเทพรีบเดินตาม
สองหนุ่มลงมาที่ห้องรับแขกที่พบเจ้าสัวนั่งจิบน้ำชาอยู่คนเดียว
“มัสล่ะครับ”
กานนกับกุเทพถามออกมาพร้อมกัน เจ้าสัวหันมามอง วางถ้วยน้ำชาลง
“ใจตรงกันจริงนะ อาหลาน 2 คนนี่” กานนกับกุเทพอึ้งไป สีหน้าต่างคนต่างผิดปกติแว่บหนึ่ง
เจ้าสัวชราเบือนหน้ากลับไปพลางถอนใจยาว พึมพำ “ม่านมัสลินไม่ยอมมาอยู่ที่นี่”
“ขนาดคุณทวดชวนเนี่ยนะครับ”
“ขนาดยายของเขาหว่านล้อมแล้ว”
“ใจแข็ง” กานนบ่นออกมาเบาๆ
เย็นวันนั้นมัสลินมาหาดุสิตที่ออฟฟิศตามที่นัดกันไว้...มัสลินทรุดตัวลงนั่ง ดุสิตนั่งตาม
“ขอบคุณมากๆ ค่ะที่กรุณาสละเวลาให้มัส”
“คุณมัสเป็นเพื่อนคิมก็เท่ากับเป็นเพื่อนผม”
“เรื่องนี้ เฮ้อ..เกี่ยวกับพี่เก๋ด้วย”
“คุณเก๋ทำไมหรือครับ” มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ทั้งสองหันไปมอง “เชิญครับ”
ประตูเปิดออก กานนเดินเข้ามา มัสลินหันขวับมามองหน้าดุสิตทันที
“คุณดุสิต” ดุสิตยิ้มแห้งๆ กานนเดินเข้ามา ทรุดตัวลงนั่ง
“อย่าโทษคุณดุสิตเลยที่ชวนผมมา ก็เพราะมัสบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษา ซึ่งหลายหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว” มัสลินยังดูหงุดหงิด
“คุณมัส เก๋เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้”
แววตาดุสิตดูร้อนใจเป็นกังวล มัสลินเห็นอย่างนี้จึงแววตาอ่อนลงด้วยความเห็นใจ
ขณะนั้นที่บ้านมัสลิน พัดกับแป้นนั่งดูทีวีกันอยู่ จนกระทั่งมีเสียงแตรรถดังขึ้น
“คุณดากลับมาแล้ว ไปเปิดประตูซิ” แป้นลุกเดินออกไป ส่วนพัดเดินเข้าไปในครัว
จิรดาเดินเข้ามา โดยมีแป้นช่วยถือของ ในขณะที่พัดถือถาดแก้วน้ำมาให้ จิรดารับน้ำมาดื่ม
“มัสลินยังไม่กลับอีกเหรอ”
“เห็นโทรมาว่าจะกลับค่ำหน่อยค่ะ”
“ก็มีถ่ายแบบถึงบ่าย 3 โมงเองนี่ แล้วทำไมต้องกลับค่ำ”
“ไม่ทราบค่ะ”
“ฉันไม่ได้พูดกับแก”
“อ้าว!”
จิรดาเดินขึ้นบ้านไป
จิรดาเดินเข้ามาในห้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหามัสลินแต่มัสลินปิดเครื่องจิรดาจึงวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดด้วยความเป็นห่วง
“หายหัวไปไหน”
ขณะนั้นมัสลินยังอยู่ที่ออฟฟิศของดุสิต ดุสิตถอนใจยาวด้วยสีหน้าเจ็บปวดหลังจากรู้เรื่องที่เกวลินโทรศัพท์มาขอร้องมัสลิน
“ขอโทษค่ะ มัสไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็รู้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าเก๋เขาจะรักนายศิธาถึงขนาดนี้”
“เขาเรียกว่าหลงค่ะ ไม่ใช่รักหรอก”
“รู้ดี” กานนบอกอย่างขวางๆ แต่มัสลินทำเป็นไม่ได้ยิน
“มัสไม่อยากปล่อยมันไป คุณคิมอุตส่าห์แลกมันมาด้วยชีวิต... มัสอยากจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด”
“ผมเคยบอกแล้วว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างคุณจะเอาอะไรไปสู้เจ้าพ่ออิทธิพลอย่างเสี่ยศักดาได้ยังไง เขาต้องป้องกันลูกเขาจนสุดความสามารถ จะผิดหรือจะถูกมันก็คือลูก”
กานนบอก มัสลินหันขวับมามองกานน
“แล้วคุณจะให้ฉันนั่งงอมืองอเท้าหรือไง จริงซิ! เสี่ยศักดาเขาเป็นหุ้นส่วนกับนายเตช พ่อแฟนคุณนี่”
“เหลวไหล อย่าเอาแต่โมโหจนขาดสติซิ เทปที่คุณคิมขโมยมาน่ะใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะถ้าเอาเรื่องจริงๆ ทางโน้นเขาปฏิเสธว่าใครๆ ก็มีหนังโป๊แบบนี้ แล้วคุณจะว่ายังไง”
“จริงของคุณกานน”
“งั้นทั้งหมดที่คิมทำก็เสียเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มัสพยายามรวบรวมหลักฐาน ศึกษากฏหมายแต่มันกลับไม่มีความหมายเลย”
“ถึงผมจะเจ็บปวดที่คุณเก๋ขอร้องไม่ให้คุณเอาเรื่องไอ้ศิธา แต่ผมก็เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะเหตุผลของเก๋ แต่เป็นเพราะเหตุผลของคุณกานน ความจริงผมนึกว่า คุณเลิกล้มความตั้งใจนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ ขนาดคุณคิมลูกชายหุ้นส่วนยังโดนขนาดนี้ แล้วคุณจะไปเหลืออะไร”
มัสลินมีสีหน้าแววตาสับสน ลังเล
ทั้งสามคนเดินออกมาที่รถของตัวเอง มัสลินกล่าวขอบคุณดุสิต
“ผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณเลย ขัดใจคุณเสียด้วยซ้ำ”
“เป็นเพราะคุณหวังดีกับมัส ขอบคุณอีกครั้งนึงค่ะ”
มัสลินยกมือไหว้ ดุสิตรับไหว้แล้วแยกไปขึ้นรถขับออกไป มัสลินกับกานน มองตามรถดุสิตที่ขับออกไป
“ผมขับรถไปส่งไหม” กานนหันมาถามมัสลิน
“ไม่ต้องค่ะ”
“งั้นขับรถผมเองตามไปก็ได้ เอ้า! เรียกว่า ตามห่างๆ อย่างห่วงๆไง”
“ก็ไม่ต้องอีกนั่นแหละค่ะ”
มัสลินบอกแล้วเดินไปขึ้นรถ กานนเอื้อมมือมาแตะมือมัสลินที่กำลังจะเปิดประตูอย่างอ่อนโยน
“โกรธผมใช่ไหม ที่ไม่สนับสนุนคุณตั้งแต่ต้น”
มัสลินก้มหน้าครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากานน น้ำตาชื้นขึ้นมา
“ถึงโกรธก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพี่เก๋อ้อนวอนไม่ให้มัสเอาเรื่องมัน ...ความจริงฉันไม่คิดว่าจะหยุด แต่อย่างน้อย ถ้าเป็นข่าวขึ้นมา คนอื่นๆจะได้ระวังตัว เพราะคนพวกนี้มีหลักฐานต้นทุนทางสังคมสูง แต่จิตใจต่ำ สกปรก ฉันอยากฉักหน้ากากพวกมันให้สังคมรับรู้ ดีกว่าปล่อยเลยตามเลย ...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
“ใจเย็นๆ ก่อน กลับไปนอนพักให้สบาย แล้วคิดถึงพรุ่งนี้ มีงานสำคัญอะไรบ้างที่จะต้องทำ ชีวิตเราไม่ได้หยุดลงตรงนี้นะ” กานนยังคงจับมือมัสลิน
มัสลินก้าวขึ้นไปนั่ง กานนปิดประตูรถให้ มัสลินขับออกไป กานนขึ้นรถของตัวเองแล้วขับตามไป
มัสลินขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน กานนขับมาตามมาติดๆ จอดรถแล้วก้าวลงมา มัสลินกดกระจกลง
“ขอบคุณมากค่ะ” มัสลินยกมือไหว้ขอบคุณกานน
“ไม่เป็นไรครับ อาก๋งสั่งให้ดูแลคุณอย่างดีที่สุด ท่านเป็นห่วงคุณมากนะ”
มัสลินมีสีหน้าน้อยใจแว่บขึ้นมา ตรงประโยค "อาก๋ง"
“ฝากเรียนท่านด้วยว่า ขอบคุณมาก”
มัสลินบอกด้วยน้ำเสียงห่างเหินแล้วปิดกระจก กดแตร แป้นเดินออกมาเปิดประตู กานนมองจนมัสลินขับรถเข้าไปจอดในบ้าน แล้วจึงขึ้นรถขับออกไป
มัสลินเดินเข้ามาในบ้าน แป้นทำหน้าทำตากับพัด
“คุณกานนมาส่งคุณมัสด้วย”
“ว้าว ว้าว ว้าว ว้าว!”
พัดชะงัก หน้าจ๋อยลง เมื่อเห็นมัสลินมองเขม็งก่อนจะเดินขึ้นบ้านไป
เมื่อขึ้นมาชั้นบนมัสลินก็ต้องชะงักเมื่อเห็นจิรดายืนกอดอกพิงประตูมองมา
“ยังไม่นอนอีกหรือคะแม่”
“ถ้านอนแล้วฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้มั๊ย หายหัวไปไหนมา”
“ไปธุระค่ะ แม่ทานยาตรงเวลาหรือเปล่าคะ”
“หายปวดแล้ว จะต้องไปกินทำไม”
“ก็เพื่อจะได้ไม่ดื้อยาน่ะซิคะ แม่ต้องดูแลตัวเองบ้าง มัสเป็นห่วงแม่”
“นึกว่าแกอยากให้ฉันตาย”
“แม่ตาย แล้วใครจะทะเลาะกับมัสล่ะคะ”
“ใครมาส่ง” มัสลินซึ่งกำลังจะหันกลับไปชะงัก “ฉันเห็นรถอีกคันตามมา แต่ไม่ได้ดูตลอด”
“คุณกานนค่ะ”
“ระวังคนจะนินทา”
“มัสโดนนินทาตลอดน่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ก็หาว่าแย่งแฟนคนอื่นเขา ตอนนี้ก็ว่าไม่สมควรเพราะเป็นญาติกัน"
“อ้อ รู้เหมือนกัน”
“มัสได้ได้ตาบอด หูหนวกนี่คะ มัสไปอาบน้ำก่อนนะคะแม่ เหนียวตัวจัง”
“เชิญเถอะย่ะ”
มัสลินเดินเข้าห้อง จิรดายืนอยู่นั่นครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าห้องไป
เช้าวันต่อมามัสลินแต่งตัวเรียบร้อยเดินลงมา พัดกับแป้นซึ่งยืนอ่านหนังสือพิมพ์บันเทิง ซุบซิบๆ กัน รีบหยุดทันที
“มีรูปคุณมัสอีกแล้วค่ะ” มัสลินพยักหน้ารับอย่างไม่สนใจ
“อย่าลืมบอกให้แม่กินยาให้หมดด้วยนะ”
“กับ...คุณกานนค่ะ” แป้นรีบบอกที่พูดค้างไว้ มัสลินถึงกับชะงัก
มัสลินขอดู พัดรีบเดินมาส่งหนังสือพิมพ์ให้ ภาพในหนังสือพิมพ์เป็นภาพมัสลินกำลังยืนคุยกับกานนตอนกลางคืน มัสลินนิ่วหน้านิดๆ แล้วเดินออกไป
ขณะนั้นมธุรินกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่คอนโด แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มธุรินรับโทรศัพท์อย่างเนื่อยๆ
“ว่าไงกิ๊บ”
“เห็นหนังสือพิมพ์หรือเปล่า”
“ไม่”
“งั้นก็เปิดดูซะ”
“ฉันไม่อยากดูอะไรทั้งนั้น”
“พูดเหมือนอกหักแฮะ รูปที่ฉันพูกก็คือ รูปนังมัสลินกับคุณกานนแฟนแก”
“คุณกานนไม่ใช่แฟนฉันแล้ว”
“โธ่ เอ๊ย! เดียร์ แกอย่าหมดอาลัยตายอยากยังงั้นซิ คุณกานนกับนัง...เขากลายเป็นพี่น้องกันแล้วพี่น้องใกล้ชิดกันขนาดนั้นแต่งงานกันได้ที่ไหน ฉันจะไปหาแกที่บ้านนะ”
“ไม่ต้อง ฉันจะไปหาแกเอง”
“เออ...ดี ไปหากาแฟกินกันดีกว่า อีกครึ่งชั่วโมงพบกัน”
มธุรินมาพบกับพิณสุดาที่ร้านกาแฟตามที่นัดกันไว้...มธุรินมีสีหน้าท่าทางเหมือนเซ็งๆ ในขณะที่พิณสุดาใส่เต็มที่
“แกต้องสู้นะเดียร์ คุณกานนเขาเป็นแฟนแกมาก่อน”
“ฉันทำไม่ได้ ฉันมีศักด์ศรีพอ เขารักม่านมัสลิน”
“เฮ้ย! เขาเป็นพี่น้องกัน นังมุ้งฉอดนั่นหมดสิทธิ์ไปแล้ว”
มธุรินสบตาพิณสุดาอย่างจริงจัง
“ไหนแกอุตส่าห์สืบจนได้ไงว่า เขาเป็นลูกแม่ฉัน”
พิณสุดาอึ้งไปนิดหนึ่ง
“อาจจะไม่ใช่ก็ได้”
“จะเอายังไงกันแน่ เดี๋ยวใช่เดี๋ยวไม่ใช่”
“คืองี้ ตราบใดที่ไม่มีการตรวจ DNA มันก็พิสูจน์ไม่ได้ แกจะเอาอะไรกับหลักฐานข้อมูลซึ่งใครอาจจะ make ขึ้นมาก็ได้ เพื่อทำลายชื่อเสียงแม่แก”
“งั้นหรือ” แววตามธุรินเป็นประกายขึ้นมาทันที พิณสุดาหน้าเสีย “แล้วใครคนนั้นน่าจะเป็นแกใช่มั้ยล่ะ”
“เฮ้ย! เปล่านะ” พิณสุดาปฏิเสธทันควัน
“แกเป็นคนกระตือรือร้นเรื่องนี้มากที่สุด กระตือรือร้นถึงกับหอบหนังสือพิมพ์ไปบอกทางโน้นทางนี้ที”
“ก็...”
“พอเรื่องทำท่าจะเป็นจริงเป็นจัง มัสลินกับคุณกานนจะลงเอยกันได้ ทีนี้ เหลือแต่คุณกุเทพกับฉันให้แกระแวง เรื่องก็เลยต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ จริงไหม กิ๊บ!”
“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว”
มธุรินเปิดกระเป๋าหยิบเงินมาวาง “ฉันไม่อยากฟังเรื่องแกอีกแล้ว”
“ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง” น้ำเสียงพิณสุดาจริงจังขึ้นจนมธุรินชะงัก
เมื่อแยกจากพิณสุดา มธุรินมาหาเตชที่ออฟฟิศ...เตชลุกขึ้นมาโอบไหล่ลูกซึ่งยืนน้ำตาซึมอยู่ที่หน้าต่าง
“เดียร์สับสนไปหมดแล้วค่ะพ่อ”
“ลูกยังรักกานนอยู่หรือเปล่า” มธุรินเม้มปาก “ผู้หญิงกร้านโลกคนนั้นไม่มีอะไรเทียบกับลูกของพ่อได้เลย”
“เดียร์ไม่แน่ใจแล้วละค่ะ ถ้าไม่มีอะไรดี แล้วทำไมแทบทุกคนถึงได้พากันรุมรักมัน แม้แต่คุณแม่ ปากก็บอกว่ามันไม่ใช่ลูก แต่ก็คอยปกป้องมันตลอด”
เตชโอบลูกไว้
เตชกลับมาบ้านเพื่อคุยเรื่องนี้กับบัวบงกช
“คุณไม่รู้หรอกว่า ลูกเดียร์ทุกข์แค่ไหน ต้องสูญเสียทั้งแฟนทั้งแม่ให้นังคนนั้น” บัวบงกชก้มหน้าลง สีหน้าเจ็บปวดสุดๆ “ไหนคุณว่ามันไม่ใช่ลูกของคุณไง”
บัวบงกชพยายามกล้ำกลืนความเจ็บปวดลงไป
“ ค่ะ ไม่ใช่”
เตชมองบัวบงกชนิ่งๆ ครู่หนึ่ง
“ คุณคงต้องพิจารณาตัวเองแล้วละ มีผัว ผัวก็ขอแยกไปอยู่ต่างหาก มีลูก ลูกก็ไม่อยากอยู่ด้วย ช่างเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบเหลือเกิน” เตชเยาะเย้ยถากถางเต็มที่)
“พอที”
“ถ้าไม่อยากเสียยัยเดียร์ไปตลอดชีวิตละก็ ตัดสินใจซะว่าจะทำยังไงต่อไป”
เตชเดินออกไป บัวบงกชค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ทุ่มหน้ากับหัวเข่า แววตกใจมากเมื่อเดินออกมาเห็น
“คุณผู้หญิงขา คุณผู้หญิงเป็นอะไรคะ”
บัวบงกชเงยหน้าขึ้นมา
“เปล่า แววไปทำงานเถอะ”
บัวบงกชค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น โดยแววคอยระวังกลัวบัวบงกชล้ม บัวบงกชค่อยๆ เดินไปที่บันได
“ค่อยๆ เดินนะคะคุณผู้หญิง”
บัวบงกชเปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วเดินมาเอนตัวนอนบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“ภาษิต ทำไมถึงได้จากไปเร็วนัก ถ้าคุณยังอยู่ ฉันคงไม่ทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ จะปรึกษากับใครก็ไม่ได้เลย” บัวบงกชพึมพำออกมาอย่างเจ็บปวด
พิณสุดาเดินหน้าหงิกกลับเข้าบ้าน ขณะนั้นพีระพลกำลังบิดตัวเกียจคร้าน ขณะนอนอย่างสบายบนโซฟา
“ไปเดินสายที่ไหนมาล่ะ”
พีระพลถาม พิณสุดาทิ้งทั้งตัวลงนั่ง
“เดินสายบ้าบออะไร ฉันไปเจอยัยเดียร์มา”
“อยากได้แฟนเขา มันก็ต้องหมั่นพยายามยุแยงตะแคงรั่วหน่อย”
“โก้...”
“อะไรจ๊ะ”
“ฉันวางแผนผิดไป”
“อะไร คนอย่างพี่กิ๊บน่ะเรอะ วางแผนผิด”
“เออ ฉันยังไม่ควรเปิดเผยข้อมูลเลยว่านังมุ้งลวดเป็นลูกยัยบัวบงกช”
“อ๋อ! รู้แล้ว พอเปิดปั๊บ คุณกานนเขาก็จะจับคู่กับนังมุ้งลวดมัสลินต่อ แล้วทีนี้ยัยเดียร์เพื่อนรักของพี่กิ๊บ ก็กลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดมารับคู่กับนายกุแทน”
“ก็เออนะซิ”
“งั้นก็ปิดเรื่องกลับไปใหม่ ซึ่งก็ไม่เห็นน่าจะยาก เพราะโก้เห็นผู้เกี่ยวข้องแต่ละคน ออกมาปฏิเสธหมดแล้ว”
“แต่ฉันดูๆ ว่า ยัยเดียร์ยังไม่แน่ใจ”
“พี่กิ๊บก็หมั่นเป่าหูเข้าซิ ถนัดอยู่แล้วนี่ เรื่องปั้นน้ำเป็นตัวละขอให้บอก”
“ไอ้โก้!”
“โก้ไปละ มีนัดกับศิธา”
พีระพลเดินตัวปลิวออกไป พิณสุดาตะโกนไล่หลัง
“ระวังติดเอดส์แล้วจะหาว่าไม่เตือน”
ศิธาขับรถมาจอดบริเวณห่างจากหน้าร้านเกวลินประมาณหนึ่ง
“รอเดี๋ยว จะไปไถเงินนังเก๋ก่อน” ศิธาหันมาบอกพีระพล
“ห้ามยุ่งกับมันนะ โก้ไม่ยอมด้วย”
“ยังกับอยากยุ่งนักนี่” ว่าแล้วศิธาก็เปิดประตูรถลงไป
ศิธาเดินเข้ามาในร้าน ระหว่างนั้นเกวลินกำลังคุยกับลูกค้าเบิกตากว้างอย่างดีใจ
“ศิธา จะมาก็ไม่โทรมาบอกก่อน”
ศิธาก้มลงจูบผมเกวลิน แล้วลอบทำหน้าเบ้เล็กๆ
“ก็อยากจะเซอร์ไพรส์นี่ฮะ”
เกวลินหันมาบอกลูกค้า
“พี่เก๋ขอตัวก่อนนะคะ... จิ๊บช่วยดูแลคุณนุชแทนพี่หน่อย”
“ค่ะ”
เกวลินจูงศิธาเข้าไปชั้นบน
“มิน่า คุณเก๋ถึงได้ happy จนอวบขึ้นมาตั้งเยอะ ได้ยาดีนี่เอง”
“ดีมากๆ ด้วยค่ะ” ลูกค้ากับพนักงานพูดแซวไล่ตามหลัง
เกวลินพาศิธาขึ้นมาบนห้อง พอปิดประตูเธอก็โผเข้ากอดศิธาทันที
“คิดถึงจัง”
ศิธาจับต้นแขนเกวลิน ดันออก
“วันนี้ศิธาต้องรีบกลับ เตี่ยชักจะสงสัยแล้ว”
เกวลินหน้าเสียนิดหนึ่งแล้วฝืนยิ้ม
“อุตส่าห์มาให้เก๋เห็นหน้านิดหนึ่งก็ยังดี”
ศิธาดึงเกวลินเข้ามากอด
“ศิธาคิดถึงเก๋มากรู้มั้ย ขอให้ผมกล้ากว่านี้อีกนิด แล้วจะบอกเตี่ยเรื่องของเรา”
“ศิธา! นี่..นี่ ศิธาจริงจังกับเก๋ขนาดนี้เลยหรือ”
“ศิธารักเก๋” เกวลินได้ยินคำหวานน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจครู่หนึ่ง แล้วนึกได้
“ศิธา มีเงินใช้หรือเปล่าคะ” ศิธาทำเป็นนิ่งอึ้ง “ศิธา” เกวลินคาดคั้น เกย์ดาวไถทำอ้ำอึ้ง
เกวลินเดินไปเปิดกระเป๋าหยิบเช็คส่งให้
“เก๋ ศิธารับไม่ได้ เก๋อย่าทำอย่างนี้เลย ศิธาละอายใจ”
“รับไปเถอะค่ะ เก๋เตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เมื่อวานขายหุ้นได้กำไร 2 แสน เลยแบ่งให้ศิธาแสนนึง”
“อย่าทำอย่างนี้เลยเก๋”
“ถ้าไม่รับ ก็แสดงว่าศิธาไม่รักเก๋” ศิธาทำท่าทางอึดอัดใจสุดๆ
ศิธาเดินหน้ายิ้มกริ่มออกมาแล้วชะงัก เมื่อเห็นดุสิตเดินถือถุงขนมตรงมา พีระพลซึ่งเลื่อนตัวลงไปหลบดุสิต ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาตามเดิม ศิธายิ้มให้ดุสิตทันที
“มาหายัยแก่เรอะ ฝากบอกมันให้เจียมกะลาหัวหน่อยนะ คนโง่เท่านั้นแหละที่จะรักมัน”
ดุสิตสะอึกจะเข้าเล่นงาน แต่ แต่ศิธากระโดดหลบทันที
“พนันกันมั้ยล่ะ ต่อให้แกพยายามเตือนยังไง ยัยเก๋แก่ก็ไม่เชื่อ ไปล่ะ ขอให้แกจงโชคร้าย พ่ายรักต่อไป”
ศิธาเดินแกมวิ่งหัวเราะอย่างสดชื่นไปที่รถ พีระพลเปิดประตูให้ ขณะที่ดุสิตตามมาทุบรถ
“เฮ้ย เดี๋ยวรถพัง”
ศิธาขับรถออกไป พีระพลเหลียวหลังไปชี้ไม้ชี้มือตะโกนด่าก่อนจะเบือนหน้ากลับมาหาศิธา
“โก้อยากจะเอาน้ำกรดสาดหน้ามันนัก”
“คิดเหมือนกัน งานนี้เห็นทีจะต้องจัดหนักให้ซักที” ศิธาบอกด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด
ดุสิตเข้ามาหาเกวลินและพยายามเตือนเกวลินเรื่องสิธา แต่เกวลินกับมองหน้าดุสิตแล้วถอนใจออกมา
“เก๋รู้ว่าคุณหวังดี แต่เก๋ดูแลตัวเองได้”
“แต่คุณกำลังรักกำลังหลง คุณมองไม่เห็นความเลวของมันหรอก”
เกวลินหน้าตึง
“นี่จะพูดว่าฉันโง่ใช่ไหม”
“คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างคุณ ไม่โง่ก็เหมือนโง่”
เกวลินโกรธจัดจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
“ไปเลย ไปให้พ้น ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ ไปแล้วไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้าอีก”
“ก่อนไป ผมอยากให้คุณลองทบทวนดู อย่าเข้าข้างตัวเอง อย่าเข้าข้างไอ้ศิธา แล้วคุณจะรู้ตัวว่าถูกมันหลอกมันต้มจนยุ่ยไปแล้ว”
ดุสิตเดินออกไปทันทีหลังจากพูดจบ เกวลินหยิบถุงขนมขว้างตาม
“เอาไอ้ขนมบ้าๆ พวกนี้คืนไปด้วย”
เกวลินทรุดตัวลงนั่ง หายใจหอบอย่างโกรธจัด
ค่ำวันเดียวกันนั้นที่บ้านกาน อุษยานั่งดูทีวี อยู่คนเดียวจนกระทั่งกานนเดินเข้ามา
“กลับมาแล้วเหรอยะ”
“ครับ”
“แล้วนายกุล่ะ”
“อ้าว! แล้วผมจะไปทราบได้ยังไงล่ะครับ วันนี้ก็ไม่ได้เข้า office”
กานนบอกแล้วเดินขึ้นไปข้างบน
“ไม่ได้เข้า office แล้วไปไหน หรือว่าอยู่กับแม่มัสลิน”
ว่าพลางอุษยาลุกขึ้นเดินไปหยิบโทรศัพท์มากดหาหลานชายตัวดีทันที
ขณะนั้นกุเทพนั่งกินเหล้าอยู่ท ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กุเทพปล่อยให้ดังจนหยุด แล้วดังอีก 2-3 ครั้งจึงรับ
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“จะบ้าเรอะ นายกุ ฉันไม่ได้โทรมาลาไปนอนนะยะ จะได้มาบอกราตรีสวัสดิ์” อุษยาต่อว่า
“งั้นก็สวัสดี”
“นั่นเมาใช่ไหม”
“ไม่เมาเหล้าแล้ว แต่ยังเมารัก”
“นั่นแกอยู่ที่ไหน”
“อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล คราวนี้ราตรีสวัสดิ์จริงๆ นะครับ” กุเทพปิดโทรศัพท์
“กุ นายกุ! อุ๊! ปิดโทรศัพท์แล้ว”
อุษยานึกเป็นห่วงกุเทพจึงเดินมาเคาะประตูห้องกานน
“ปลิว นายปลิว”
ประตูเปิดออก
“มีอะไรหรือครับ อาหญิง”
“นายกุมันกินเหล้า”
“โธ่ เอ๊ย! ช่างหัวมันเถอะครับ ไม่ใช่เด็กๆแล้ว”
“ฉันรู้ แต่สถานที่อโคจรแบบนั้น ใครจะรับรองความปลอดภัยได้”
“คงไม่มีอะไรหรอกครับ อาหญิง”
“ปลิว ไปตามหลานกลับมาหน่อยซิ”
“โอ๊ย! มันได้ด่าผมตาย”
“งั้นรู้มั๊ยว่า นายกุกินเหล้าที่ไหน”
“อย่าบอกนะครับว่า อาหญิงจะไปตาม”
“เออน่า”
กานนบอกชื่อร้านที่กุเทพน่าจะไปนั่งกินเหล้ากับอุษยา อุษยาจึงโทรหามธุริน
“อ๋อ รู้จักค่ะ กุเขาเคยไปบ่อยๆ
“งั้นก็แล้วไป ไอ้อาน่ะพอได้ยินเสียงนายกุมึนๆ เลยไม่สบายใจ คงเป็นเพราะหลานไม่เคยเมาให้เห็นมั้ง”
“ไม่มีอันตรายอะไรหรอกค่ะ คุณอาสบายใจได้”
“งั้นก็ขอบใจหนูเดียร์นะลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
อุษยาวางโทรศัพท์ลง สีหน้าดีขึ้น อีกด้านหนึ่งมธุรินวางโทรศัพท์ลงช้าๆ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
มธุรินเดินกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจหยิบกระเป๋าเดินออกไป
ขณะนั้นกุเทพยังอยู่ที่ร้านเหล้า กุเทพเซน้อยๆ ชนเก้าอี้ไปโต๊ะข้างๆ ซึ่งกำลังเมาได้ที่เหมือนกัน
“เฮ้ย! หาเรื่องหรือวะ”
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษได้ไงวะ ขอโทษไม่หายเว้ย!”
“เฮ้ย! ช่างมันเถอะน่า”
เพื่อนในกลุ่มบอกแต่อีกสองคนยังจะเอาเรื่องให้ได้ แต่เพื่อนเบรคเอาไว้
“ขอบคุณครับ ผมจะไปห้องน้ำ เดี๋ยวมาใหม่”
กุเทพเดินเซออกไป...กุเทพหายไปพักก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ สั่งเหล้ามากินต่อ มธุรินเดินเข้ามาในร้านมองไปโดยรอบ แล้วมาหยุดที่กุเทพ มธุรินรีบเดินตรงมาหา
“คุณกุเทพ กลับเถอะค่ะ”
“อะเอ้า! นี่ผมตาฝาดหรือเปล่าเนี่ย นางฟ้ามธุรินเสด็จมาหาผม”
“คุณเมาแล้ว ไปกันเถอะนะคะ เดียร์จะขับรถไปส่ง”
“ไปส่งแล้วอยู่ด้วยเลยเหมือนวันนั้นหรือเปล่า”
“คุณเมามาก”
“เมาที่หนาย! เมาก็ต้องจำคุณไม่ได้ซิ แต่นี่จำได้หมดทุกอย่าง จะให้บรรยายมั้ยล่ะ นั่งลงก่อน”
กุเทพดึงแขนมธุรินให้นั่งลง แต่มธุรินสะบัดแขนออกแล้วเดินออกไป
มธุรินเดินออกจากร้านเหล้าแล้วโทรศัพท์หากานนพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
“เปล่าค่ะ เดียร์ไม่ได้เป็นอะไร แต่เดียร์อยากให้กานนมาช่วยดูคุณกุเทพ”
กานนมีสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้ากุ? ..เจ้ากุมันเป็นอะไร”
มธุรินอึกอัก พูดไม่ถูก
“คุณกุเค้า... คือเค้า... เมาน่ะค่ะ กานนรีบมานะคะ”
กานนยิ่งฟังยิ่งงง
“ไอ้กุมันก็ดื่มเป็นปรกติอยู่แล้ว คุณหมายถึงมันเมามาก รึว่าอะไร เดียร์คุณพูดเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น ...โอเคๆ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
มธุรินวางสายจากกานนแล้วเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าร้านเหล้าอย่างร้อนใจ สายตาจับจ้องไปที่ทางออก จนกระทั่งกุเทพเดินสะเปะสะปะออกมานอกร้าน มธุรินดีใจที่กุเทพไม่เป็นอะไร
“คุณกุเทพ!”
มธุรินกำลังจะก้าวไปหากุเทพ แต่ทันใดนั้นเอง ชายสามคนก็เข้ามาข้างหลัง ชกเข้าที่ท้ายทอยกุเทพ
“ซ่านักเหรอมึง”
“เอาแม่งให้กลับบ้านไม่ถูกเลย!”
ทั้งหมดรุมกระทืบกุเทพ มธุรินกรีดร้องด้วยความตกใจ
“ช่วยด้วย ช่วยเค้าด้วยสิคะ”
คนออกมารุมดู แต่ไม่มีใครกล้าเข้าช่วย
กานนเคลื่อนรถช้าๆ เพื่อหาที่จอด แต่แล้วสายตาไปหยุดที่ไทยมุง
“เมาแล้วก็ตีกัน ไอ้กุนะไอ้กุ มาเที่ยวที่แบบนี้ได้ไงวะ”
กานนขับรถต่อ ทันใดนั้นเองก็เห็นมธุริน กานน เห็นมธุรินยืนร้องไห้ เอะอะ อยู่ใกล้ไทยมุง
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยเค้าด้วย ช่วยเพื่อนฉันที”
กานนหน้าเสีย “ไอ้กุ!”
กานนทิ้งรถทันที วิ่งลงจากรถไปอย่างร้อนรน
กุเทพถูกรุมทำร้ายอยู่กับพื้น ทำได้แค่เอามือป้องหน้า กานนวิ่งเข้ามา “เฮ้ย หยุดนะ!”
ชายคนหนึ่งในสามคนหันหากานน “มึงไม่เกี่ยวอย่าเสือก”
กานนคว้าขวดเหล้าเป็นอาวุธ และเข้าเล่นงานชายสามคนแบบสามรุมหนึ่ง พวกชายสามคนพยายามจะเล่นงานกานน แต่พลาดท่า อาวุธที่จะทำร้ายกานนกลับพลาดโดนกันเอง ยามเข้ามาช่วยพร้อมอาวุธ ชายสามคนหนีกระเจิง
กานนลากกุเทพออกไป มธุรินเห็นสภาพกุเทพแล้วร้องไห้เจียนขาดใจ รู้ดีว่าเป็นความผิดตัวเอง
กุเทพเมาไม่รู้ตัว เอาแต่ขอโทษกานน ขณะนั่งบนเบาะข้างคนขับที่ปรับเอนราบหลัง
“ผมรักอาปลิวนะครับ” กานนขับรถไปพลางหันมองกุเทพ สีหน้าเครียด
“แกหลับไป ไม่ต้องพูดอะไรแล้วไอ้กุ”
“ผมมันหลานชั่ว ผมขอโทษครับอา...ผมทำไม่ดี ผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษ”
กุเทพร้องไห้ กานนชักสงสัย
“ขอโทษฉันเรื่องอะไร แกทำอะไรมาหืม”
“คุณเดียร์...” กานนตั้งใจฟัง
“อะไรของแกวะ”
“ผมกับคุณเดียร์ ผม... ผมรัก...” กานนตาลุก ตกใจคิดว่ากุเทพจะบอกว่ารักมธุริน
“ผมรักอานะ... ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่ได้ตั้งใจ ฮือ... คุณเดียร์...”
กานนพยายามปะติดปะต่อคำพูดกุเทพ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“เดียร์ทำไม”
กุเทพหลับไปแล้ว กานนทอดถอนใจ ขับรถต่อ พยายามจับต้นชนปลายว่าเกิดอะไรขึ้นกับกุเทพกันแน่
ทางด้านมธุรินเมื อกลีบถึงคอนโด เธอทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง มธุรินนึกถึงกุเทพแล้วน้ำตาซึมออกมาอีก มธุรินตัดสินใจกดโทรศัพท์หาเตช
“คุณพ่อขา”
“ลูกร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“ขอเดียร์ไปนอนที่คอนโดคุณพ่อได้ด้วยมั้ยคะ”
“ได้ซิลูก ได้เลย ให้พ่อไปรับเดี๋ยวนี้ไหม ลูกอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ไม่ต้องมารับหรอกค่ะ เดี๋ยวเดียร์ไปเอง”
มธุรินลุกเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำก่อนจะไปหาเตช
ส่วนกานนหลังจากพากุเทพกลับถึงบ้าน อุษยาก็เดินเข้ามาถามอย่างหงุดหงิด
“พ่อหลานชายเป็นยังไงล่ะ”
“หลับไปแล้วครับ”
“เป็นอย่างนี้บ่อยๆ ไม่ไหว คงต้องหาเมียให้แล้วมั้ง”
“โอ๊ย! อาหญิง อย่าไปยุ่งกับมันเลย”
“เธอว่ายัยกิ๊บเป็นยังไง”
“เขาเลิกกันไปตั้งนานแล้วครับ”
สีหน้าแววตาอุษยามีแววมาดหมายบางอย่าง
“แล้วเธอล่ะ เลิกกับหนูเดียร์แล้วหรือยัง”
“อาหญิง เชื่อผมเถอะ ปล่อยให้เขาเลือกเองดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นจะได้มาโทษอาหญิงไม่ได้ อีกอย่างสมัยนี้ เขาเลิกคลุมถุงชนแล้วครับ ผมไปอาบน้ำนอนละ”
กานนเดินขึ้นชั้นบนไป อุษยามองตาม สีหน้าไม่ได้เชื่อคำพูดกานนเลย
อ่านต่อตอนที่ 24