ในรอยรัก
ตอนที่ 25
คืนนั้นพอแยกจากเกวลิน ศิธาก็กลับมาที่บ้าน ฮัมเพลงขณะเดินเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี
“คิดถึงฉันมั้ย เวลาที่เธอ...” แต่แล้วเกย์แสบก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเสี่ยศักดายืนอยู่ที่หน้าต่าง หันหลังให้ เสี่ยศักดาค่อยๆ หันตัวกลับมาช้าๆ นัยน์ตาเยือกเย็น
“คิดถึงมาก”
“คุณพ่อ” ศิธาตกใจ
“ฉันกักบริเวณแกไว้ที่นี่ แกก็ต้องอยู่ในนี้ ไม่ใช่ออกไปตระเวนข้างนอก”
“โธ่ ผมอยู่อย่างนี้มาเป็นเดือนๆ แล้ว”
“แกออกไปข้างนอกทุกวัน”
“ผีเจาะปากใครให้มาฟ้องคุณพ่อ”
“ฉันจ้างนักสืบสะกดรอยตามแก”
ศิธาถึงกับสะดุ้ง
“โหย! ขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ใช่ เพราะความผิดที่แกทำนั้นเฉียดคุกเฉียดตารางชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ฉันถึงต้องควบคุมแกอย่างใกล้ชิด”
“งั้นคุณพ่อก็คงรู้ว่า ผมไม่ได้ออกไปก่อเรื่องที่ไหน”
“เขารายงานว่า แกชอบไปขลุกอยู่กับไอ้พีระพล แล้วก็สมคบกันวางแผนทำร้ายไอ้ดุสิต”
ศิธาส่ายหน้าเซ็งๆ “รายงานละเอียดยิบๆๆๆ”
“เพราะฉะนั้น ฉันจะกักบริเวณแกเพิ่มเป็น 3 เดือน”
“คุณพ่อ”
“ถ้าจะออกไปไหนก็ไปได้ แต่ต้องไปกับฉันเท่านั้น”
ศิธาหงายท้องทันที
“ให้จับเข้าคุกยังจะดีกว่าเลย”
เสี่ยศักดาเดินออกไปแล้วปิดประตู
เช้าวันต่อมาที่บ้านกานน ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินอาหารเช้า กานนกับกุเทพเหมือนกำลังตกอยู่ห้วงความคิด ส่วนเจ้าสัวดูจะอร่อยอยู่กับอาหารตรงหน้า
“เงียบยังกับป่าช้า” อุษยาบ่น
“ป่าช้าแกน่ะซิ นังอุษ ปากแกละอัปมงคลจริงๆ” เจ้าสัวต่อว่า
“ก็มันจริงนี่คะ เงียบยังกับเป่าสาก”
“ผมตัดสินใจแล้ว” กุเทพบอกขึ้นมา ทุกคนหันไปมองกุเทพเป็นตาเดียวกัน
“ตัดสินใจอะไรของแก”
“ตัดสินใจจะทำสิ่งที่ถูกต้อง”
“ขอแสดงความยินดี” กานนตบไหล่กุเทพ
“สิ่งที่ถูกต้องอะไร” อุษยาถามอย่างแปลกใจ
“ผมไปละครับ คุณทวด คุณย่า อาปลิว” กุเทพบอก แล้วหันไปพยักหน้ากับสาวใช้ “เราด้วย!” สาวใช้เหวอ
“เจ้าปลิว เจ้ากุมันจะไปทำอะไร” อุษยาหันไปถามกานน
“ไม่ทราบครับ”
“อ้าว!”
“แล้วดันพูดยังกับรู้ลึก รู้ดี รู้จริงแน่ะ”
“ก็ในเมื่อนายกุมันบอกว่าตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง มันก็ต้องแสดงความยินดีเป็นธรรมดาครับ”
“ฉันอยากจะจับหัวใจอาหลาน 2 คนนี่จุ่มลงชามข้าวต้มนัก” อุษยาบอก กานนหัวเราะ
“มันยอมแกก็ดีร้อก” เจ้าสัวว่า
ขณะนั้นมัสลินยังนอนหลับอยู่ในห้อง จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“คุณมัสขา ตื่นหรือยังคะ”
มัสลินขยับตัวเล็กน้อยแล้วหลับต่อ แป้นขยับจะเคาะอีกแต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันหลังจะเดินลงไป แต่ประตูห้องมัสลินเปิดออกซะก่อนพร้อมกับมัสลินเดินงัวเงียออกมา
“มีอะไรหรือแป้น”
“คุณกุเทพมาหาคุณมัสค่ะ”
“เดี๋ยวฉันล้างหน้าล้างตาแล้วจะลงไป”
“ค่ะ”
มัสลินปิดประตู ขณะแป้นเดินกลับลงไป
กุเทพนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอมัสลินอยู่ที่ห้องรับแขก จนกระทั่งมัสลินเดินเข้ามา
“ขอโทษด้วยค่ะ ที่ให้รอนาน” กุเทพรีบพับหนังสือพิมพ์รับไหว้มัสลิน
“ผมต่างหากต้องขอโทษที่มารบกวน เห็นแป้นบอกว่าเมื่อคืนกลับดึก”
“ค่ะ มาถึงบ้านตี 2 พี่กุมีอะไรหรือคะ”
“ผมถามเดียร์แล้ว เขายืนยันว่าไม่ได้ให้ข่าวเรื่องคุณเป็นมือที่ 3”
มัสลินยิ้มเยาะ “ช่างเถอะค่ะ มันไม่สำคัญอะไรหรอก”
“สำคัญซิมัส เรื่องของมัสสำคัญที่สุดสำหรับผมเสมอ”
มัสลินมีสีหน้าอ่อนลง
“ขอบคุณค่ะ แต่มัสไม่อยากให้พี่กุต้องมาทุกข์ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“มัส ผมจะสืบให้ได้ว่าใครทำอย่างนี้กับมัส แล้วก็คุณแม่ของมัส”
“ไม่เห็นจะยาก” เสียงจิรดาดังขึ้นกุเทพกับมัสลินหันมามอง
“ก็ว่าที่พ่อตา แม่ยายคุณไง” สีหน้าจิรดาทั้งเยาะทั้งเย้ย
เมื่อกุเทพกลับไปแล้วมัสลินจึงกลับขึ้นห้อง ขณะนั้นจิรดายืนเกาะอกคอยอยู่
“กลับไปแล้วเรอะ”
“แม่ก็แอบดูทางหน้าต่างอยู่แล้วนี่คะ”
“อย่ามาย้อนนะ”
“พี่กุเป็นคนดีแม่ไม่ควรไปว่าเขา”
“พูดให้ดีๆ นะยะ ฉันไปแตะต้องพ่อเทพบุตรสุดเสน่หาของหล่อนที่ไหน แค่แนะแหนว่าที่พ่อตาแม่ยายของเขาเท่านั้น ไม่รู้นี่ยะ ว่าแตะต้องไม่ได้”
มัสลินถอนหายใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะแม่”
“แล้วพวกมันทำจริงๆ ใช่ไหม นี่ฉันปกป้องแกนะ มัสลิน”
“มัสรู้ค่ะว่าแม่หวังดี แต่มัสก็อยากจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวมัสเอง มัสไม่อยากให้แม่ต้องมาเครียดไปด้วย”
“ใครว่าฉันเครียดล่ะ ไอ้เรื่องแบบนี้งานถนัดของฉันอยู่แล้ว อยากเขี่ยลูกมาเข้าบาทาฉันทำไม”
จิรดาเดินเชิดเข้าห้อง มัสลินมองตามพลางถอนใจ
กุเทพขับรถออกจากบ้านมัสลิน ระหว่างขับรถกุเทพพยายามกดโทรศัพท์หามธุริน แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ
“เดียร์ปิดโทรศัพท์ทำไม!” กุเทพบ่นอย่างนึกเป็นห่วง
ในที่สุด กุเทพตัดสินใจมาหามธุรินที่บ้าน หลังจากพยายามโทรหาเธอแล้วติดต่อไม่ได้
“ยัยเดียร์ย้ายออกไปอยู่คอนโด” บัวบงกชบอก
“อ้าว”
“มันก็คงหลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เขาคิดว่าอาไม่รักไม่สนใจเขา”
“ระยะหลังๆ มานี่ผมก็ไม่ได้พบเดียร์”
“เขาไม่ได้ไปพบคุณกานนหรอกหรือ”
“ไม่ครับ”
บัวบงกชน้ำตาชื้นขึ้นทันที
“เป็นความผิดของอาเอง” บัวบงกชส่ายหน้าอย่างอัดอั้นตันใจ “ไม่รู้ซิ ทำไมทุกอย่างมันถึงกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ อาไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจจริงๆ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “ขอโทษนะ” บัวบงกชหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“ฮัลโหล ฉันกำลังจะออกจากบ้านเดี๋ยวนี้แหละ” บัวบงกชปิดโทรศัพท์
“อาต้องไปอัดรายการแล้ว เอาไว้เราค่อยคุยกันใหม่”
“ครับ ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนคุณอา”
เมื่อออกจากบ้านบัวบงกช กุเทพจึงตรงไปหาพิณสุดาที่คอนโดเพื่อถามเรื่องมธุริน
“โอ๊ย! เรื่องมากจั๊ง แม่คนนี้ กุเทพอย่าไปให้ความสำคัญเลยค่ะ เขาก็แค่เรียกร้องความสนใจ”
“ผมไม่คิดอย่างนั้น”
พิณสุดามองกุเทพอย่างเพ่งพิศ
“คุณอยากพบเดียร์จริงๆ หรือคะ”
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา”
“บอกได้ไหมว่าเรื่องอะไร... ถ้าไม่มีความลับ” กุเทพนิ่งไป พิณสุดาหัวเราะฝืนๆ
“แสดงว่าเป็นความลับ แต่ไม่เป็นไร กิ๊บจะนัดเดียร์ให้”
“ขอบคุณมาก”
พิณสุดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหามธุริน
พิณสุดาคุยโทรศัพท์กับมธุรินจนรู้ว่าเธอพักอยู่ที่คอนโดไหน พิณสุดาจึงพากุเทพไปพบมธุรินที่คอนโดนั้นทันที
มธุรินเปิดประตูออกมาแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นกุเทพยืนอยู่กับพิณสุดา พิณสุดายักไหล่ แบมือบอกเป็นเชิงช่วยไม่ได้
“กุเทพเขาบอกว่ามีธุระสำคัญกับแก ฉันเลยต้องโกหก”
“ฉันไม่น่าบอกแกเลย ว่าฉันอยู่ไหน”
“ขอโทษจริงๆ คุณเพื่อน”
“อย่าโทษกิ๊บเลย”
“จะให้เขาเข้าไปได้หรือยังจ๊ะ”
มธุรินเบี่ยงตัวให้พิณสุดากับกุเทพเข้ามาในห้อง
“เชิญนั่งค่ะ”
พิณสุดาทรุดตัวลงนั่ง มธุรินเดินไปรินน้ำมาให้ กุเทพมองตาม พิณสุดามองสายตากุเทพที่มองมธุริน สีหน้าพิณสุดาบ่งบอกความริษยา... มธุรินเดินกลับมา พร้อมกับวางน้ำ สองแก้วบนโต๊ะ
“ขอโทษนะคะ ที่มีแต่น้ำธรรมดา”
“อ้าว! เดียร์เคยดื่มแต่น้ำแร่นี่”
“คนเราเปลี่ยนกันได้”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ กุเทพมีเรื่องคุยกับเดียร์ไม่ใช่หรือคะ”
“ใช่” กุเทพว่า
“แล้วทำไมไม่คุยล่ะ อ้อ! หรือว่ากิ๊บเป็นก้างขวางคอ” มธุรินกับกุเทพนิ่งกันไป
พิณสุดาขยับตัว ฝืนหัวเราะ “จริงๆ นั่นแหละ งั้นกิ๊บไปดีกว่า” พิณสุดาลุกขึ้น มธุรินขยับลุกตามไปส่งแต่พิณสุดาบอกขึ้น “ไม่ต้องฉันไปเองได้” มธุรินจึงนั่งลงตามเดิม
พิณสุดาเดินไปที่ประตูแล้วพูดยิ้มๆ “น้อยใจจริงๆ นะเนี่ย”
พิณสุดาเปิดประตูก้าวออกไปแล้วปิดประตูตามหลัง
พอออกมาจากห้อง สีหน้ายิ้มๆ ของพิณสุดาเปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งตึง
“ฝันไปเถอะ นังเดียร์ นังเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด กุเทพเป็นของฉัน ของแกน่ะนายกานน”
ภายในห้องขณะนั้นกุเทพคุยกับมธุรินเรื่องมัสลิน
“มัสลินไม่ได้แย่ง แล้วก็ไม่มีโอกาสจะแย่งอาปลิวจากคุณแน่นอน เราเป็นญาติสนิทกัน”
“นี่หรือคะ ธุระของคุณ”
“ผมอยากให้คุณบอกคุณพ่อคุณแม่ของคุณให้หยุดใช้อิทธิพลในวงการบันเทิงทำลาย และทำร้ายเขา”
“คุณกำลังกล่าวหาคุณพ่อคุณแม่ของเดียร์”
“แต่คุณก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นไปได้”
“เชิญกลับไปได้แล้ว”
“สำหรับเรื่องของเรา”
“ฉันบอกให้กลับไป”
“ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”
“ฉันไม่รู้เรื่องที่คุณพูด”
“ผมรู้ว่าคุณรู้ เพราะขนาดผมเมาๆ ผมยังรู้เลย”
“จะกลับไปดีๆ หรือจะให้ฉันเรียก รปภ.”
กุเทพมองมธุริน มธุรินมองสบตากลับด้วยสายตาเยือกเย็น
“แล้วก็กรุณาอย่าเข้าใจผิดว่า ฉันกลั่นแกล้งมัสลินให้เสียชื่อเสียงเพราะคุณ! เชิญคุณไปรักไปแต่งงานกับเขาให้สบายใจได้”
กุเทพนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอย่างห่วงใย
“ทำไมถึงต้องหนีออกจากบ้าน”
คำถามนี้ทำให้มธุรินอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ฉันไม่ได้หนี”
“คุณหนี”
“เอ๊ะ!”
“ไม่อย่างนั้น คุณพ่อคุณแม่ของคุณก็ต้องรู้ซิว่าคุณอยู่ที่ไหน”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
กุเทพยังคงนั่งเฉย มธุรินเดินไปหยิบโทรศัพท์ กุเทพจึงยอมลุกขึ้น
“โอ.เค กลับก็ได้” กุเทพเดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมา “วันนั้นผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลย ที่อุตส่าห์ไปช่วยผมวันนั้น แสดงว่าคุณก็เป็นห่วงผมเหมือนกัน”
กุเทพเปิดประตูออกไป มธุรินเบิกตากว้างโกรธๆ
มธุรินเปิดประตูออกมา แล้วตะโกนเรียกกุเทพที่กำลังจะเดินไป
“คุณกุเทพ”
กุเทพหยุดชะงัก ค่อยๆ หันกลับมา
“คุณย่าของคุณเป็นคนขอให้ฉันไปตาม ฉันไม่ได้เสนอหน้าไปเอง ขอให้รู้ไว้ด้วย”
มธุรินกลับเข้าห้องไป แล้วปิดประตูปัง
“แต่ก็ไปละวะ” กุเทพบอกตัวเองแล้วเดินออกไป
กุเทพเดินมาที่รถ ขณะกำลังเปิดประตูรถ เสียงพิณสุดาก็ดังขึ้น
“แหม! ใจคอจะทิ้งกิ๊บจริงๆ หรือคะ” กุเทพหันมามองอย่างแปลกใจ
“ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้ว”
“กิ๊บมากับคุณ ก็ต้องกลับกับคุณ ไม่มีทางนั่งแท็กซี่ หรือรถเมล์ รถไฟฟ้าใต้ดินกลับเองแน่นอน”
กุเทพพยักหน้า เปิดประตูรถขึ้นนั่ง พิณสุดาขึ้นไปนั่งคู่ กุเทพขับรถออกไป
ค่ำวันนั้นที่บ้านกานนขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารกันอยู่นั้น อุษยาก็พูดขึ้นมาว่า
“นานๆ กินเจทีก็ดีนะคะ เบาท้องแถมยังได้สร้างบุญสร้างกุศลด้วย”
“กินเจแล้วยังเที่ยวขวางคนโน้น แขวะคนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์”
เจ้าสัวต่อว่า กานนกับกุเทพอมยิ้ม
“แหม เลยรับประทานไม่ลงเลย”
“ไม่ลงก็อย่ากิน เออ พรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมม่านมุก ใครจะไปบ้าง” อุษยา กานน กุเทพนั่งกินกันเงียบๆ แต่ก็อดเหลือบมองเจ้าสัวไม่ได้ “เงียบกันไปหมด ไม่เป็นไร ฉันจะชวนจิรดาไป”
“เขาคงยอมไปด้วยล่ะค่ะ”
“ฉันจะบอกม่านมุกให้ชวนเขาไป และแกก็ต้องไปกับฉัน” เจ้าสัวทศออกคำสั่ง
“นี่มันเผด็จการนะคะคุณพ่อ”
“ก็ใช่น่ะซิ”
กานนกับกุเทพ หัวเราะในขณะที่อุษยาหน้างอ
หลังจากทานข้าวเสร็จ กุเทพยืนทอดอารมณ์ เหมือนจะทบทวนเรื่องราวต่างๆ กานนเดินเข้ามา หยุดมองกุเทพครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดถามขึ้นในที่สุด
“หมู่นี้เป็นอะไรไป ถ้าไม่เมาก็เอาแต่ซึม”
“มันเซ็งๆ น่ะครับ อาปลิว”
“เรื่องความรักล่ะซิ”
กุเทพนิ่งไป
“ฉันว่านายคงอ่านหนังสือพิมพ์เรื่องมัสลินแล้ว”
กุเทพเบือนกลับมามองกานนเขม็ง
“อาปลิวคิดว่าจริงหรือไม่จริงครับ”
“ไม่มีใครยืนยันได้ นอกจากคุณบัวบงกชกับคุณจิรดา แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันออกมาปฏิเสธ แล้วนายล่ะ คิดว่ายังไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน มันสับสนไปหมด คุณอาบงกชไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกับคุณแม่ของมัสได้”
“ในหนังสือพิมพ์เขาก็บอกไงว่า สามีคุณจิรดาเป็นคนรักเก่าของคุณบัวบงกช”
“แสดงว่าอาปลิวเชื่อ”
“เรื่องนี้เป็นดาบสองคม ถ้าไม่จริง นายก็แต่งงานกับมัสลินได้ แต่คนที่จะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากที่สุด ก็จะเป็นมัสลิน แล้วถ้าจริง นายก็แห้ว”
กุเทพยิ้มเยาะ “อาปลิวก็แห้วเหมือนกัน”
กานนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดช้าๆ แต่หนักแน่น
“ความรักของฉันไม่จำเป็นต้องได้ผู้หญิงคนนี้มาครอบครอง แต่ได้คอยช่วยเหลือ ดูแลและเป็นกำลังใจให้ ก็พอแล้ว”
“ยังมีความรักแบบนี้ด้วยหรือครับ”
“ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ตายตัวหรอก วันนี้เรารู้สึกอย่าง พรุ่งนี้อาจจะรู้สึกอีกอย่างก็ได้ นายลองเก็บไปคิดดูก็แล้วกัน ฉันไปนอนละ”
กานนเดินขึ้นข้างบนไป กุเทพเบือนหน้ากลับไปตามเดิม นัยน์ตาใคร่ครวญครุ่นคิด
คืนเดียวกันนั้นที่บ้านมัสลิน ขณะที่มัสลินกำลังนั่งท่องบทละคร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เปิดประตูซิ” เสียงจิรดาเรียก มัสลินวางบทลง แล้วเดินไปเปิดประตู
“แม่ไปไหนมาคะ”
“นี่ฉันจะต้องรายงานให้แกรู้ทุกเรื่องเลยเรอะ”
“เปล่าค่ะ มัสเห็นแม่กลับดึก”
“กลับดึกแล้วไง ทีแกกลับดึกล่ะ”
“มัสไปทำงานนี่ค่ะ”
“ฉันก็ไปทำโน่นทำนี่ของฉันเหมือนกัน วันนี้แม่บัวบนหิ้งเขาโทรไปหาแกหรือเปล่า”
“แล้วแม่ให้เบอร์มัสไปทำไมล่ะคะ”
“ฉันอยากรู้ว่า เขามีธุระอะไรกับแก”
“ก็แค่ชวนมัสไปออกรายการธรรมะของเขาน่ะค่ะ”
“เฮอะ! มือถือสาก ปากถือศีล ถ้าผู้คนเขารู้ว่าเบื้องหลังของมันเหลวแหลกเละเทะไม่มีชิ้นดี เขาจะว่ายังไง”
“เขาเป็นแฟนเก่าของพ่อจริงๆ หรือคะ”
“เมียเก่าไม่ใช่แฟนเก่า เพราะมันนั่นแหละ พ่อแกถึงไม่ได้รักฉันเลย” เมื่อพูดเรื่องนี้จิรดาน้ำตา
คลอ เพราะความแค้น
“ไม่เคยนึกถึงจิตใจฉันว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน” มัสลินเม้มปาก เพราะรู้สึกโกรธไปกับแม่
“มันแย่งพ่อแกไปคนเดียวไม่พอ ยังจะวางแผนแย่งแกไปอีก อย่าหลงเชื่อมันเชียวนะมัสลิน”
“ไม่มีวันค่ะ”
“ดีแล้ว ฉันรู้ว่ามันวางแผน ‘ลูกใครหว่า’ มาให้แกสับสน เพื่อที่จะกลั่นแกล้งฉัน แล้วก็แกล้งแกด้วยมันพยายามทำลายความสุขของครอบครัวเรามาตลอดเวลา ใครไม่รู้ความจริงก็เชื่อมัน เพราะมันพยายามวางตัวให้สูงส่งกว่าฉัน”
มัสลินเข้าไปกอดแม่
“ยกเว้นมัสค่ะ มัสรักแม่ มัสเชื่อแม่คนเดียว”
จิรดไม่ได้กอดตอบ แต่เพียงตัวออกจากลูก
“ฉันจะไปอาบน้ำนอนละ”
จิรดาเดินออกไป มัสลินมองตามเหมือนน้อยใจนิดๆ
วันต่อมาขณะที่บัวบงกชกำลังแต่งตัว แววก็มาเคาะประตูเรียก
“คุณผู้หญิงขา มีแขกมาขอพบค่ะ”
บัวบงกชเดินไปเปิดประตู
“ใคร” บัวบงกชถามอย่างแปลกใจ
จิรดานั่นเองที่เป็นคนมาขอพบบัวบงกช ระหว่างรออยู่ในห้องรับแขก นั้นเธอนั่งไขว้ห้างอย่างสบายอารมณ์ จิรดามองด้วยสายตาเยาะๆ เมื่อเห็นบังบงกชเดินเข้ามา
“บ้านสวยดีนี่”
“มาบ้านฉันถูกได้ยังไง”
“บ้านคุณไม่ได้อยู่ในเมืองลับแลนี่ จะได้หาทางเข้าไม่ได้” จิรดามอบไปรอบๆ
“บ้านใหญ่โตโอ่อ่า แต่อยู่คนเดียว คงเปล่าเปลี่ยวหนาวเย็นพิลึก”
“ต้องการอะไร” บัวบงกชเข้าเรื่อง
“ต้องการมาบอกด้วยความหวังดีว่า นังมัสลินน่ะมันโง่ดักดาน ขนาดฉันกลั่นแกล้งทรมานทรกรรมมันยังกับอะไร มันยังอุตส่าห์เชื่อว่าฉันเป็นแม่แท้ๆ สมัยเด็กๆ ก็กินอยู่อย่างอดๆ อยากๆ โดนทุบโดนตี วันไหนนึกครึ้มๆ ขึ้นมาฉันก็เอาไปขังห้อง พอโตเป็นสาว มันยังพยายามทำมาหากินงกๆ หาเลี้ยงฉัน”
“พอที”
“ฟังอีกหน่อยน่า มันหาเงินมาได้ ฉันก็เอาไปละลายในบ่อน บ้านก็เอาไปจำนอง มันก็ยังหาเงินมาไถ่ แบบนี้ไม่เรียกว่าโง่ แล้วจะเรียกว่าอะไร”
“เรียกว่ากตัญญูรู้คุณ มัสลินเป็นเด็กดี แกรักคุณเหมือนแม่บังเกิดเกล้า คุณก็ควรจะรักและเมตตาแก” บัวบงกชพูดทั้งน้ำตา จิรดาสวนขึ้นทันควัน
“เสียใจ ในเมื่อแม่แท้ๆ ของมันยังใจดำอำมหิตทอดทิ้งมันไปได้ ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำดีกับมัน อันที่จริงแม่ของมันน่าจะเลวเสียยิ่งกว่าเลวอีก แม่ทิ้งลูกน่ะมีที่ไหน คุณว่าหมาแมวมันยังรักเลี้ยงดูปกป้องลูก แต่แม่ของนังมัสกลับทิ้งไป ให้ตายเถอะนังนั่นน่าจะได้เป็นแม่เลวเด่นเสียจริงๆ”
บัวบงกชสะเทือนใจสุดๆ ซวนเซล้มลงหมดสติ “ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมา ไม่ต้องทำเป็นลม ลุกขึ้นมาฟังต่อ” บัวบงกชยังคงนอนนิ่ง
“คุณบัวบูชา เฮ้ย ง่วงนอนก็ไม่บอก”
จิรดาทรุดตัวลงมอง ขณะที่แววเข้ามา
“คุณผู้หญิงคะ คุณผู้หญิงเป็นอะไร” แววถามอย่างตกใจ
“เป็นลมมั้ง ไปเอายาดมมาซิ”
แววรีบลุกขึ้นออกไป จิรดายิ้มเยาะ
“ขวัญอ่อนเหลือเกิ๊น”
แววรีบโทรศัพท์บอกเตช เตชรับโทรศัพท์อย่างตกใจเมื่อรู้ว่าบัวบงกชไม่สบาย
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เตชเดินออกจากห้องทำงานพลางกดโทรศัพท์หามธุริน “เดียร์รีบไปบ้านนะลูก คุณแม่ไม่ค่อยสบาย”
จิรดาไม่รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้บัวบงกชเป็นลม พอออกจากบ้านบัวบงกช จิรดาก็แวะมาหาม่านมุกที่บ้านสวน
“อ้าว จะมาทำไมไม่โทรมาบอกก่อน”
“หนูไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอกค่ะ” จิรดาบอกพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่ง
“คุณดาขับรถคันใหม่ ซ้วย สวยค่ะ” ปิ่นบอก
“ไปเบียดเบียนลูกมาอีกล่ะซิ” ม่านมุกว่า
“แหม มองหนูในแง่ดีบ้างซิคะ รถท่านเจ้าสัวส่งมาให้ใช้ต่างหาก”
ม่านมุกพยักหน้าช้าๆ
“มีอะไรกินมั่ง ปิ่น” หันไปถามสาวใช้
“รอเดี๋ยวนะคะ” ปิ่นเดินเข้าไปในครัว
ทางด้านบัวบงกชเมื่อฟื้นขึ้นมาเธอหันไปพยักหน้ากับแวว
“ไปทำงานต่อเถอะ ฉันค่อยยังชั่วแล้ว”
“ค่ะ” แววเดินออกไป เตชซึ่งรู้เรื่องก็รีบมาพร้อมมธุริน เตชถามน้ำเสียงขุ่นๆ
“ผู้หญิงคนนั้นมันทำอะไรคุณ” บัวบงกชหลับตาลง ไม่ตอบ “มันทำอะไรคุณ”
“คุณแม่ บอกคุณพ่อซิคะ” มธุรินคะยั้นคะยอขึ้นอีกคน
บัวบงกชลุกขึ้นไม่ยอมตอบสองคนพ่อลูก เตชเข้าประคอง แต่บัวบงกชสะบัดเตชออกเหมือนรังเกียจทำให้เตชนึกน้อยใจ
“ผมจะแจ้งความ มันจะไม่ได้กล้ามารับกวนคุณอีก”
“แจ้งให้เขาประจานคุณน่ะหรือคะ ถ้าหากเขาบอกว่ามาตามคุณ คุณจะแก้ตัวว่ายังไง”
“บัว” / “คุณแม่”
“ถ้าไม่อับอายขายหน้าก็เอาเลย คุณเคยแต่ประจานคนอื่น ลองเป็นคนถูกประจานบ้างจะเป็นไรไป”
บัวบงกชบอกแล้วเดินขึ้นข้างบน เตชทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง มธุรินเม้มปากน้ำตาคลอ
“คุณพ่อไม่น่าไปยุ่งกับพวกนั้นเลย ไม่ควรจริงๆ”
เตชเงยหน้ามอง มธุรินเดินตามแม่ขึ้นไป
มธุรินค่อยๆ เปิดประตูห้องบัวบงกชเข้ามา บัวบงกชเบือนหน้ามามองแว่บหนึ่ง
“แม่คะ” มธุรินเดินมานั่งข้างๆ แม่
“ไม่ต้องเป็นห่วงแม่หรอก แม่อยู่ได้”
“เดียร์จะกลับมาอยู่กับแม่ค่ะ”
“ไม่เป็นไร”
“เป็นไรสิค่ะ เดียร์ควรจะอยู่ปกป้องแม่ ไม่ใช่เอาตัวรอดแบบนี้”
บัวบงกชยิ้มให้มธุรินอย่างอ่อนโยน
“ขอบใจลูก แต่แม่ไม่เป็นไรจริงๆ”
“เราต่างคนก็ต่างมีปัญหา แล้วเราก็ยังอุตส่าห์สร้างมันขึ้นมาอีก เดียร์เลยคิดว่าเราน่าจะอยู่ด้วยกันดีกว่าค่ะ”
“เดียร์” บัวบงกชซาบซึ้ง สองแม่ลูกกอดกันน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ
บัวบงกชกับมธุรินเดินจูงมือกันลงมา
“คุณพ่อคะ” มธุรินเรียกหาพ่อ แต่ต้องชะงักเมื่อไม่เห็นเตช “แวว แวว”
“ขา!” แววรีบเข้ามา
“คุณพ่อล่ะ”
“กลับไปแล้วค่ะ พอคุณผู้หญิงกับคุณเดียร์ขึ้นไปข้างบนได้ครู่หนึ่งคุณผู้ชายก็ไปค่ะ”
มธุรินพยักหน้า แววเดินออกไป มธุรินเดินมาหยิบโทรศัพท์
“นั่นจะทำอะไรลูก” บัวบงกชถาม
“โทรตามคุณพ่อค่ะ”
“ไม่ต้อง”
“คุณแม่คะ”
“หนูก็เห็นแล้วว่าเขาไม่อยากอยู่...แม่มีหนูคนเดียวก็พอแล้ว”
มธุรินมองแม่อย่างสงสาร
ที่บ้านสวนของม่านมุก ขณะนั้นจิรดากำลังนั่งกินกล้วยเชื่อมอยู่ โทรศัพท์จิรดาดังขึ้น จิรดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วลุกเดินออกไป...
จิรดาออกมาพร้อมกับรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล”
“เธอไปทำอะไรที่บ้านฉัน” เตชถามอย่างไม่พอใจ
“อ้อ เมียคุณฟ้องเหรอ”
“ฉันถาม เธอตอบ เธอทำอะไรเมียฉัน”
“ทำไมไม่ถามเมียคุณเองล่ะ”
“ฉันถามเธอ”
“ไม่รู้ซิ ฉันพูดตั้งหลายอย่าง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับแม่ๆ ลูกๆ ประมาณนี้แหละ แล้วเมียคุณก็เป็นลม สงสัยคำพูดฉันคงไปแทงใจดำมั้ง”
“อย่ามาระรานเมียฉันเด็ดขาด”
“อ้าว! แล้วทีคุณระรานฉันกับลูกล่ะ ช่วยไม่ได้ อยากยุ่งกับพวกฉันก่อน”
“ฉันบอกว่าอย่ามายุ่งกับลูกเมียฉัน ถ้าไม่เชื่อ เธอจะรู้ว่าฉันทำอะไรได้อีกหลายอย่างที่เธอไม่คาดคิด”
จิรดาปิดโทรศัพท์เดินเข้าบ้านโดยไม่สนใจคำขู่ของเตช
วันเดียวกันนั้นกานนและมัสลินแวะมาเยี่ยม คิม ลี ที่โรงพยาบาล มัสลินจับมือคิมขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“คุณคิม คุณกานนมาเยี่ยมค่ะ”
“คุณมัสลินครับ”
มือคิมในอุ้งมือมัสลิน กระตุกนิดๆ
“เห็นมั้ยคะ คุณคิมรู้สึกตัวแล้ว คุณคิมคะ” มัสลินบอกอย่างดีใจ แต่คิมยังนอนนิ่งตามเดิม
“คุณคิม” มัสลินผิดหวัง
“อย่าเพิ่งไปเร่งรัดอะไรเลย เพียงแค่นี้ก็เป็นสัญญาณที่ดีแล้ว” กานนบอก
“มัสอยากมาค้างที่นี่ อยากเป็นคนแรกที่เห็นคุณคิมฟื้น” มัสลินพูดกับคืมต่อ
“เหลวไหล” กานนว่าเอา มัสลินหันขวับมามอง
“คุณเป็นดารานะ มิหนำซ้ำยังมีข่าวลือไม่เคยดีมากมาย ถึงจะแก้ข่าวได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อ ถ้าขืนคุณมานอนเฝ้าคุณคิม มิลือกันไปใหญ่เรอะ”
“ช่างเป็นไร มัสไม่แคร์หรอก”
“คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกนะ คุณมีแม่ที่จะต้องมาเลี้ยง มีคุณยายซึ่งรักคุณมาก แล้วไหนยังจะพวกเราทุกคน ก็รับรู้แล้วว่าเป็นครอบครัวใหม่ของคุณ”
“อ้อ คุณกลัวแค่นี้เองเรอะ กลัวเสียชื่อเสียง ฉันไม่ได้อยากจะเป็นญาติกับพวกคุณนักหรอก”
“ฟังให้จบก่อนซิ เมื่อไหร่จะเลิกคิดเอง พูดเอง เออเองเสียที ผมก็ไม่ได้สนเรื่องชื่อเสียงอะไรหรอก แต่คุณไม่ห่วงคุณตาของคุณบ้างเรอะ ท่านรักและภูมิใจในตัวคุณมาก”
“ฉันคิดว่า ท่านก็ไม่แคร์เหมือนกัน”
“งั้นก็เอาเล้ย กลับไปขนเสื้อผ้ามาเฝ้าเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ต้องท้า ฉันจะกลับไปขนข้าวขนของมาเดี๋ยวนี้”
“อย่าลืมไปบอกงดพยาบาลพิเศษด้วยล่ะ” กานนประชด
“อ๋อ แน่นอนอยู่แล้ว”
มัสลินพูดพร้อมกับเปิดประตูออกไปอย่างหงุดหงิด กานนตามออกไปจึงไม่เห็นคิมลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างเลื่อนลอย
มัสลินกลับมาบ้าน จิรดาท้าวสะเอวอย่างไม่พอใจเมื่อรู้ว่ามัสลินจะไปค้างที่โรงพยาบาล
“แกว่าอะไรนะ” จิรดาถามย้ำ
“มัสจะไปนอนเฝ้าคุณคิม”
“ไม่ได้”
เสียงแตรรถดังขึ้น
“มีแขกมาค่ะ” พัดบอก จิรดากับมัสลินจึงตวาดออกมาพร้อมกัน
“ไปบอกว่าไม่มีใครอยู่” พัดกับแป้นพยักหน้าพากันเดินออกไป
พัดกับแป้นโบกไม้โบกมือบอกกานนที่อยู่ในรถยนต์
“ไม่มีใครอยู่ค่ะ” แป้นบอกกานนเปิดประตูรถลงมา
“ไม่มีใครอยู่ แล้วทำไมรถอยู่” กานนแย้ง
“อ๋อ อยู่แต่รถค่ะ คนไม่อยู่” พัดยืนยัน แป้นผสมโรงรีบพยักพเยิด
“ฉันได้ยินเสียงทะเลาะกันในบ้าน หรือจะบอกว่าเป็นเสียงผี”
ทั้งสองสาวยิ้มแห้งๆ ที่กานนรู้ทัน
อ่านต่อหน้า 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 25 (ต่อ)
มัสลินกลับมาบ้าน เจอจิรดาท้าวสะเอวอย่างไม่พอใจ เมื่อรู้เรื่องว่ามัสลินยืนยันที่จะไปนอนค้างที่โรงพยาบาล เพื่อนนอนเฝ้าไข้ คิม ลี
“แกว่าอะไรนะ” จิรดาถามย้ำ
“มัสจะไปนอนเฝ้าคุณคิม”
“ไม่ได้”
เสียงแตรรถดังขึ้น
“มีแขกมาค่ะ” พัดบอก จิรดากับมัสลินจึงตวาดออกมาพร้อมกัน
“ไปบอกว่าไม่มีใครอยู่” พัดกับแป้นพยักหน้าพากันเดินออกไป
พัดกับแป้นโบกไม้โบกมือบอกกานนที่อยู่ในรถยนต์
“ไม่มีใครอยู่ค่ะ” แป้นบอกกานนเปิดประตูรถลงมา
“ไม่มีใครอยู่ แล้วทำไมรถอยู่” กานนแย้ง
“อ๋อ อยู่แต่รถค่ะ คนไม่อยู่” พัดยืนยัน แป้นผสมโรงรีบพยักพเยิด
“ฉันได้ยินเสียงทะเลาะกันในบ้าน หรือจะบอกว่าเป็นเสียงผี”
สองสาวยิ้มแห้งๆ
ขณะเดียวกันนั้นเหตุการณ์ภายในบ้าน มัสลินกำลังบอกเหตุผลกับจิรดาถึงสาเหตุที่ต้องไปเฝ้าคิมที่โรงพยาบาล
“แต่เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อมัสนะแม่”
“แล้วฉันล่ะ แกจะปล่อยให้ความหวัง ความฝันทั้งของฉันและของแกพังทลายหมดเลยเรอะ”
“คุณแม่ของคุณพูดถูก” เสียงกานนดังขึ้น มัสลินหันขวับมามอง
“ตามมาทำไม”
“ตามมาเพื่อเตือนสติคุณ”
“เตือนมันมากๆ หน่อย ฉันน่ะเตือนจนปากจะฉีกถึงหูแล้ว”
จิรดาเดินกลับขึ้นข้างบน พัดกับแป้นกลับเข้าข้างใน มัสลินมองตามแล้วหันมาทางกานน
“นี่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ”
“ผมรู้ ว่าคุณชอบปฏิเสธความหวังดีของคนอื่น” มัสลินอ้าปากจะเถียง แต่กานนขัดขึ้นก่อน
“ถ้าคุณหมดทางทำมาหากิน ทั้งคุณทั้งคุณแม่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากอาก๋งไหม”
“ไม่!” มัสลินปฏิเสธทันที
“งั้นก็ปล่อยให้เรื่องคุณคิมเป็นเรื่องของผม คุณทำงานคุณไป”
“คุณจะทำยังไง”
“ผมมีวิธีก็แล้วกัน”
สีหน้ากานนดูมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
กานนมาหาดุสิตที่ออฟฟิศเพื่อปรึกษาเรื่อง คิม ลี โดยเขาจะขอย้ายคิมออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ไปพักฟื้นที่อื่น เพื่อมัสลินจะได้ไม่ต้องมาเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาล และตกเป็นเป้าของนักข่าวหรือคนที่หวังร้าย
“ตกลง! ถ้าที่นั่นเขาอนุญาต...” ดุสิตบอก
“ผมจะขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ คิมถูกทำร้ายโดยที่ยังจับตัวคนทำไม่ได้ คุณเป็นเพื่อนสนิทของเขาจำเป็นต้องมาอยู่ดูแลด้วย”
“แล้วใครจะรับรอง”
“คุณแม่ของคิมไง” กานนบอก
“ตอนนี้คุณแม็กกี้ไปถือศีล แต่ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าอยู่ที่ไหน”
“งั้นก็จัดการตามนี้เลย”
กานนมีสีหน้าสบายใจ
วันต่อมาที่ออฟฟิศของศิธา ศิธาชงกาแฟมาวางให้พีระพล
“ค่อยยังชั่วที่อาเตี่ยอนุญาติให้มาออฟฟิศได้”
“ได้ข่าวไอ้คิมบ้างหรือยัง”
“ป่านนี้กลายเป็นผักเน่าไปแล้วมั้ง” พีระพลประเมินอาการ
“ผิดถนัด มันกำลังกลายเป็นผักสด แล้วมีโอกาสจะฟื้นขึ้นเป็นคนด้วย”
“หา! ซวยล่ะซิ”
“มันยิ่งกว่าซวยอีก เพราะทีนี้มันจะเป็นพยานเอาเราเข้าคุก”
“งั้นต้องรีบกำจัดมันก่อน ตอนนี้มันยังอยู่ในโรงพยาบาลใช่ไหม”
“อยู่สถานพักฟื้นของพวกคนมีเงิน”
“งั้นคงต้องไปเยี่ยมมันหน่อยแล้ว”
ศิธาบอกด้วยสีหน้ามาดหมาย
ที่สถานพักฟื้น ศิธาเดินเข้ามา โดยมองไปทั่วๆ ราวกับสำรวจทางหนีทีไล่อย่างพอใจ ศิธาเดินมาที่เคาน์เตอร์
“ผมต้องการสอบถามเกี่ยวกับระเบียบการที่จะพาคุณพ่อมาไว้ที่นี่ครับ”
“ค่ะ เรามีห้องซึ่งอำนวยความสะดวกสบายทุกอย่าง อาหาร 3 มื้อพร้อมอาหารว่าง และพี่เลี้ยงคอยดูแลช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ”
“แล้วคุณหมอที่ดูแลอาการ...”
“อ๋อ คุณหมอเฉพาะทางมาตรวจทุกวันค่ะ”
“น่าสนใจ ค่าบริการผมไม่เกี่ยงอยู่แล้ว เพราะผมต้องการทุกอย่างที่ดีที่สุดสำหรับคุณพ่อผมเหลือท่านเพียงคนเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นก็เหมาะเลยค่ะ คุณจะลองเดินดูก่อนไหมคะ”
“แหม ดีเลยครับ”
“กรุณารอเดี๋ยวนะคะ” เจ้าหน้าที่ประจำเค้าน์เตอร์หยิบโทรศัพท์ภายในขึ้นกดเรียกพนักงานอีกคน
“ธิดารัตน์ ช่วยมาพาแขกเดินชมสถานที่หน่อย” พอวางโทรศัพท์ลง ก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานกับศิธา
บริเวณสถานพักฟื้น พี่เลี้ยงเข็นรถผู้ป่วยออกมารับลมภายนอก ธิดารัตน์พาศิธาเดินชมสถานที่ ศิธาทำทีเป็นสนใจอย่างยิ่ง
“เงียบ สวย และร่มรื่นดีเหลือเกินครับ”
“ค่ะ ค่าบริการอาจจะแพงสักนิด แต่รับรองว่าคุ้มค่าทีเดียวค่ะ”
“นั่นซิครับ ผมคงหมดห่วง ถ้าคุณพ่อมาอยู่ที่นี่ ความจริง เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งก็มาพักรักษาตัวเหมือนกัน คุณแม่เขาพามาน่ะครับ คิมโชคร้าย ถูกพวกโจรกระหน่ำเสียจนนอนโคม่ามาเป็นเดือนแล้ว”
“อ๋อ คุณคิม ลี อายุยังน้อย หน้าตาก็ดี น่าเสียดายมากเลยค่ะแต่ตอนนี้เริ่มขยับได้บ้างแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยพาผมไปเยี่ยมหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้เลยค่ะ รู้สึกจะมีญาติมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย”
ศิธาชะงักทันที
ขณะนั้นพีระพลยืนรออยู่ที่รถจนกระทั่งศิธาเดินกลับมา
“มันมีคนมาเฝ้า”
“ใคร”
“ไอ้ดุสิต”
“ไอ้นี่อีกแล้ว คืนนั้นมันไม่น่ารอดเล้ย”
“มันก็รอดไปแล้วละน่า”
พีระพลมองไปรอบๆ
“เมื่อกี้ฉันเดินๆ ดู มันมีเวรยามแน่นหนาเสียด้วย”
“เศรษฐีทั้งนั้นนี่” ศิธาเปิดประตูขึ้นนั่งรถ พีระพลก้าวตาม
“ถ้าเป็นดุสิต ศิธารู้แล้วว่าจะให้ใครสืบต่อ” พีระพลหันมา
ศิธายักคิ้ว “ ก็ยัยเก๋ไง้!”
วันเดียวกันนั้นศิธาจึงแวะมาหาเกวลินที่ร้าน แล้วแกล้งถามความคืบหน้าอาการของ คิม ลี
“เก๋รู้แล้วละค่ะ เมื่อวานมัสโทรมาบอก มัสตื่นเต้นใหญ่เลยว่าขยับมือ ขยับเท้าได้แล้ว ลืมตาก็ได้”
“ตาย” ศิธาหลุดปาก เกวลินชะงัก มองศิธาอย่างแปลกใจ
ศิธารู้ตัวจึงรีบพูดต่อ “ตายจริง”
เกวลินสีหน้าขรึมลง “ศิธาอยากให้คุณคิมตายหรือคะ”
“เปล่า ผมกำลังจะพูดต่อว่า ตายจริง คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง” เกวลินยังทำหน้านิ่ง
“ทำไมต้องทำหน้ายังกับจะฆ่าผม” เกวลินถอนใจเฮือก สีหน้าท่าทางเหมือนมีใครมาสะกิดบาดแผลเก่า
“เรื่องที่แล้วก็ขอให้มันแล้วไปเถอะน่า หรือถ้าเก๋ยังโกรธยังแค้น ก็ไปบอกตำรวจให้มาจับผมไปเลย จะได้ชดใช้เวรกรรมให้มันจบสิ้นเสียที”
เกวลินมองศิธาอย่างเพ่งพิศ
“คุณเสียใจจริงๆ หรือเปล่า”
“พูดไป เก๋ก็ไม่เชื่อ ผมจะกลับล่ะ” ศิธาลุกขึ้น เกวลินรีบจับแขนไว้
“เดี๋ยวค่ะ เก๋ขอโทษ” ศิธายืนนิ่ง
“พรุ่งนี้เก๋จะไปเยี่ยมเขาศิธาจะไปด้วยมั้ย”
ศิธายังคงยืนนิ่ง แต่นัยน์ตาเริ่มออกแววเจ้าเล่ห์
พอศิธาแยกจากเกวลิน ก็ตรงมาหาเสี่ยศักดาที่ออฟฟิศพร้อมกับพีระพล
“ฉันบอกแล้วว่าให้เลิกคบไอ้โก้ จริงๆ นะ ให้แกไปได้ไก่แก่แม่ปลาช่อนยังจะดีกว่าไอ้คนนี้อีก”
เสี่ยศักดาบอกอย่างฉุนเฉียว พีระพลหน้าตึง แต่พยายามเงียบ
“โธ่ ไก่แก่หนังเหนียวนะอาเตี่ย”
“ยังจะมาย้อนอีก”
“ผมแค่แวะมาบอกว่า ไอ้คิม ลี มันฟื้นแล้ว”
“หา!” เสี่ยศักดาสะดุ้งเฮือก
“ใช่ ผมกับโก้ก็เลยแว๊บไปหามันมา เตี่ยเอ๊ย อีกไม่นานมันได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นฉอดๆ เป็นฉากๆแน่” ศิธาบอก
“ฉันบอกแล้วว่าคบเพื่อนชั่วๆ แล้วเป็นไง”
พีระพลหมดความอดทน เพราะรู้ดีว่าคนพูดหมายถึงใคร
“มันก็ชั่วกันหมดทั้ง 2 คนแหละเตี่ย คนดีๆ ที่ไหนเขาจะคบคนชั่ว”
“ไอ้โก้” เสี่ยศักดาโมโห
“โอ๊ย พอที” ศิธาตัดบทเสียงดังก่อนทั้งคู่จะทะเลาะใหญ่โต เสี่ยศักดากับพีระพลสะดุ้ง
“ฟังนะเตี่ย ถ้าเตี่ยไม่ช่วยเรา 2 คนปิดปากไอ้คิม ลี ละก็ เตี่ยได้ไปเยี่ยมพวกเราในคุกแน่”
“แล้วคิดหรือว่าฉันจะไป”
“ก็ตามใจเตี่ย เตี่ยทนดูลูกติดคุกได้ก็ตามใจ”
เสี่ยศักดาอึดอัด พลุ่งพล่าน ทั้งรักทั้งแค้นลูกจอมเกเร
เมื่อแยกจากศิธาแล้ว พีระพลก็กลับมาที่คอนโดของพิณสุดา พีระพลทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด
“นี่ถ้าไม่ใช่พ่อศิธา ผมตบกะโหลกแตกไปนานแล้ว”
“อะไรอีกล่ะ” พี่สาวจอมวางแผนถาม
“พี่กิ๊บรู้หรือยังว่า ไอ้คิมมันเริ่มจะฟื้นแล้ว”
“เฮ้ย” พิณสุดาตกใจ
“จริง”
“แล้วจะเอาไง”
“ก็เนี่ยละ ถึงได้ถูกเตี่ยศิธามันด่าเช็ด”
“เฮ้ย นี่มันซีเรียสนะ”
“ผมยิ่งซีฯมากว่าพี่กิ๊บอีก”
“แล้วเขาจะช่วยไหม”
“ช่วย แต่กว่าจะช่วยได้ ด่าเสียผมไปไม่เป็นเลย”
“ด่าแล้วช่วยก็ยังดี แต่คราวนี้ต้องอย่าให้มันฟื้นขึ้นมาได้อีกเลย เพี้ยง”
“ก็ช่วยกันภาวนาไว้เถอะ” น้ำเสียงพิณสุดาเป็นกังวล
ที่บ้านมัสลิน จิรดากำลังนั่งดูทีวีอยู่กับพัดและแป้น
“ไม่เห็นสนุกเลย จะรอดูละครยัยมัส ก็ยังไม่ On ซักที”
“แล้วจะได้ On มั้ยคะ”
“ได้ซิยะ แล้วรับรองว่าต้องดังแน่ พระเอกหล่อ นางเอกสวย Phoduction เริด เรื่องสนุก”
เสียงกดกริ่งดังขึ้น ขณะที่ 2 สาวฟังจิรดาเม้าท์อย่างตั้งอกตั้งใจ
“ใครมา กำลังฟังเพลินเลย” แป้นพูดขึ้นแล้วเดินออกไปดู
“ต่อเลยค่ะ คุณดา” พัดกำลังติดลม
“จะบ้าเรอะยะ นังพัด”
แป้นเดินออกมาดูหน้าบ้าน ขณะที่คนรถยืนกดกริ่งอยู่หน้าประตู
“มาหาใครคะ”
“คุณจิรดาอยู่มั้ยครับ”
“อยู่ค่ะ” แป้นบอกไปตามจริง
คนรถเดินกลับไปที่รถรายงาน กระจกด้านหลังถูกกดลงเห็นใบหน้าผู้มาเยือนว่าเป็นเตช
“อยู่ครับ”
ประตูรถยนต์เปิด ในขณะที่ร่างของเตชก้าวออกมา
“แกรออยู่นี่แหละ” เตชเดินไปที่ประตูบ้านบอกเสียงเรียบ “ฉันมาพบจิรดา”
แป้นเปิดประตูให้เตช เตชเดินเข้ามา ติดตามด้วยแป้น
จิรดาชะงักเมื่อเห็นเตช “คุณเตช”
“ลูกสาวปากเก่งของเธอไม่อยู่เรอะ”
“ไปถ่ายละคร...จะไปไหนก็ไป” จิรดาหันไปบอกแป้นกับพัด
สองสาวยังรีๆ รอๆ ด้วยความเป็นห่วงจิรดา เตชจึงหันมามองตาขุ่น
“ฉันเหมือนผู้ร้ายรึไง”
แป้นกับพัดรีบผลุบเข้าไปข้างใน
จิรดาทรุดตัวลงนั่ง ขณะที่เตชยังยืนวางท่าอยู่
“ฉันคิดว่าเราพูดกันรู้เรื่องเสียแล้วอีก”
“ฉันไม่ได้มาเรื่องนั้น”
“แล้วเรื่องไหนอีกล่ะ”
“เธอเป็นคนเดียวที่จะทำให้ฉันหมดความทุกข์ทรมานใจได้”
จิรดามองเตชนิ่งๆ ครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะออกมา
“แทบไม่เชื่อหูเลยนะเนี่ย จะมาไม้ไหนอีกล่ะ หวังว่าคงจะไม่ได้มาขอความรักฉันนะ”
“เลิกเพ้อเจ้อเสียที ฉันอยากรู้ว่า มัสลินเป็นลูกเธอหรือเปล่า” จิรดาทำตาโต แล้วหัวเราะ เตชพยายามระงับอารมณ์เต็มที่
“ว่าไง ฉันจะเซ็นเช็คให้เธอเดี๋ยวนี้ 5 แสนทันทีที่เธอตอบความจริง”
“รู้ได้ยังไงว่าไอ้ที่ฉันจะตอบน่ะ มันจริงหรือไม่จริง”
“ก็ฉันขอร้องอยู่นี่ไง”
“กลัวเมียจะมีลูกกับชู้” เตชกำมือแน่น พยายามข่มใจเต็มที่
จิรดามีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้น จ้องหน้าเตชเขม็ง
“ฉันไม่ต้องการเงินของคุณ”
“อ้อ ลืมไป เธอกลายเป็นลูกเศรษฐีแล้วนี่”
“ฉันก็ไม่ต้องการเงินเจ้าสัวเหมือนกัน ลูกฉันหาเงินเลี้ยงฉันได้”
“หมายความว่ามัสลินเป็นลูกเธอ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าใช่...” เตชขบกรามเมื่อไม่ได้ฟังสิ่งที่อยากได้ยิน
“...แล้วก็ไม่ได้บอกว่าไม่ใช่” จิรดาเล่นลิ้น
“จิรดา ขอร้องเถอะ เธอไม่รู้หรอกว่าไอ้ความสงสัยไม่แน่ใจน่ะมันทรมานฉันแค่ไหน”
“คุณหรือใครจะทุกข์ทรมานใจ ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน รู้จักคำว่า ‘กรรม’ มั้ย กรรมคือการกระทำ ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลแห่งการกระทำนั้น ฉันบอกคุณได้แต่ว่า มัสลินเป็นลูกของภาษิต ส่วนใครจะเป็นแม่ก็กลับไปคิดเอาเอง”
สีหน้าของเตชเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด หงุดหงิด
เตชเดินกลับมาที่รถด้วยสีหน้าเครียดหนัก คนรถเปิดประตูให้เตชขึ้นไปนั่ง แล้วตนเองเข้านั่งที่คนขับ
“ขับไปเรื่อยๆ ก่อน” คนรถขับรถรับคำ ขับรถแล่นออกไปตามคำสั่งนาย
หลังจากเตชกลับไปแล้วจิรดาเอนหลังพิงพนักด้วยสีหน้าสะใจ
“สมน้ำหน้า สมน้ำหน้าทั้งผัวทั้งเมีย สะใจ”
พัดกับแป้นค่อยๆ ย่องออกมา มองซ้ายมองขวา
“ไปแล้วหรือคะ”
“ท่าทางจะ...”
จิรดาลุกขึ้นเดินขึ้นข้างบน สองสาวมองตามงงๆ
รถของเตชขับขึ้นมาบนสะพาน เตชสั่งคนขับรถให้จอด
“จอดตรงนี้แหละ”
คนขับชะลอแล้วจอดตามสั่งเจ้านาย เตชเปิดประตูก้าวลงเดินไปเรื่อยๆ
เตชวางมือท้าวราวสะพาน มองไปเบื้องหน้าพร้อมถอนใจยาวแล้วหลับตาลง นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่คุยกับบัวบงกชเรื่องม่านมัสลิน
“บัว ทำไมเราต้องโกรธกันเพราะคนอื่น ใครจะเป็นยังไงก็ช่าง คุณไม่ต้องไปห่วง ไปเดือนร้อนกับชีวิตเขาเลย”
“ถ้าคุณหมายถึงเด็กคนนั้นล่ะก็ ฉันไม่วางมือเด็ดขาด”
“มันจะขึ้นเขาลงห้วยก็เรื่องของมัน ช่างหัวมันเป็นไร ไม่ใช่ลูกของเราซักหน่อย”
บัวบงกชเสียงสั่นเครือ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสะเทือนใจ
“ต้องเป็นลูกเราหรือคุณถึงจะใส่ใจ ทำไมไม่คิดว่า พ่อแม่คนไหนก็ต้องรักลูกทั้งนั้น ยัยเดียร์น่ะโชคดีที่มีเราคอยคุ้มครองป้องกัน แต่มัสลิน....”
บัวบงกชน้ำตาไหลทำให้เตชยิ่งหงุดหงิด
“ทำไมคุณถึงห่วงมันนัก มันแย่งกานนจากลูกเดียร์ เพราะฉะนั้นจะขึ้นสวรรค์ลงนรก ช่างหัวมันเป็นไร”
“อยากจะรู้นักว่า...”
“ว่าอะไร” เตชคาดคั้น
บัวบงกชไม่ตอบ เดินกลับเข้าข้างใน...เตชถอนใจเฮือกด้วยความเครียดหนัก
ทางด้านจิรดาเมื่อกลับขึ้นห้อง เธอนั่งนิ่งมองรูปภาษิตด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“ภาษิต! คุณเรียนผูก คุณก็ต้องเรียนแก้ เรื่องมันยุ่งตรงที่คุณดันตายไปเสียก่อน เลยแก้ไม่ได้ เหลือแต่นังบัวบงกชสุดที่รักของคุณ ซึ่งมันก็แก้ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ! สมน้ำหน้า!”
ภาพภาษิตมองตอบมาเหมือนเศร้าๆ จิรดามองอย่างสะใจ
“ดี! ให้มันวุ่นวายขายปลาช่อนอย่างนี้แหละดี จิรดาจัดหนัก จัดเต็ม จัดเข้มอยู่แล้ว!”
เช้าวันใหม่ที่บ้านของกานน เจ้าสัวทศ อุษยา และ กานนนั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน
“อ้าว เจ้ากุล่ะ” เจ้าสัวทศถามขึ้นเพราะแปลกใจที่สมาชิก "รัตนรัช" หายไปหนึ่ง
“ไปทำงานตั้งแต่เช้าค่ะ” อุษยาตอบ
“งานไหน งานประจำ หรือว่างานร้านเพชร ร้านพลอยอะไรนั่น”
“งานประจำมั้งคะ เห็นบอกว่า จะขายหุ้นร้านเพชรแล้ว”
กานนซึ่งนั่งฟังอยู่เงยหน้ามองอุษยา พลางถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะครับ”
เจ้าสัวทศตอบแทน “จะทำไมอีกล่ะ นอกจากจับจด ฉันไม่เคยเห็นมันทำอะไรได้นานๆเลย งานประจำก็ไปมั่งไม่ไปมั่ง ดีนะที่เป็นกิจการของครอบครัว”
“คุณพ่อทราบได้ยังไงค่ะว่าตากุไปมั่งไม่ไปมั่ง” อุษยาแก้ต่าง
“ฉันไม่ได้หูหนวก ตาบอดนะ นังอุษ” เจ้าสัวทศบอกฉุนๆ อุษยาเบือนหน้ามามองกานนเขม็ง เจ้าใจว่ากานนเป็นคนมาฟ้อง
“ผมเปล่านะครับอาหญิง ผมไม่มีนิสัยอย่างนั้น”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย” ทั้งสามคนกินข้าวกันต่อเงียบๆ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย กานนประคองเจ้าสัวไปนั่งอีกมุมหนึ่งของบ้าน
“ขอบใจ”
“อาก๋งต้องการอะไรอีกมั้ยครับ”
“ฉันอยากให้แกช่วยหน่อย” เจ้าสัวทศเอ่ย
กานนลงนั่งพลางถาม “อาก๋งจะให้ผมทำอะไรครับ”
“ช่วยดูเจ้ากุมันหน่อยว่าเป็นอะไร” ที่แท้เจ้าสัวเป็นห่วงกุเทพ
“ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ครับ”
“เป็นซิ ระยะหลังๆ มานี่ มันดูซึมๆ พิลึก” ชายชราว่า กานนได้ฟังแล้วนิ่งไป
“แฟนเก่ามันก็มาป้วนเปี้ยนบ่อยๆ”
“เขาเลิกกันเด็ดขาดแล้วครับ”
“มันคงจะตัดใจจากหนูมัสไม่ได้”
กานนยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น เจ้าสัวมองกานนอย่างครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้น
“ดูฉันเป็นตัวอย่างนะเจ้าปลิว” กานนมีสีหน้าจริงจัง มองเจ้าสัวอย่างแปลกใจ
“ถ้าพบคนที่แกรัก แล้วเขาก็รักแกแล้ว จงอย่าปล่อยให้ทิฐิหรือความไม่เข้าใจมาแยกแกกับเขาอย่างเด็ดขาด อย่าให้ทุกอย่างมันสายเกินไป ฉันยังโชคดีที่มีโอกาสได้พบกับม่านมุกอีกครั้ง แต่แกอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่แกรักอีกเลย” เจ้าสัวทศสอนหลานชายโดยใช้บทเรียนจากชีวิตที่ผิดพลาดของตัวเอง กานนนิ่งฟังมองสบตาปู่
เจ้าสัวตบไหล่เบาๆ อย่างเมตตา ก่อนจะบอกว่า
“ไปทำงานได้แล้ว”
กานนก้มกราบ “ขอบคุณมากครับอาก๋ง”
กานนลุกเดินจากไปแล้ว เจ้าสัวทศมองตามพลางถอนใจยาวด้วยความลังเล
เมื่อมาถึงออฟฟิศกานน โทรศัพท์หามธุริน ซึ่งขณะนั้นเธออยู่ที่บ้าน เดียร์มองโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจที่เห็นชื่อว่ากานนเป็นคนโทรเข้า ก่อนจะกดรับสายน้ำเสียงเคร่งขรึม
“คะ กานน”
“ผมทราบว่าคุณขายหุ้นร้านเพชรไปแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ ทำไมหรือคะ”
“ผมอยากรู้ว่ามีอะไรหรือเปล่า เพราะนายกุมันก็จะขายเหมือนกัน”
“อะไรนะคะ กุเทพน่ะหรือจะขายหุ้น” มธุรินถามย้ำด้วยความประหลาดใจ
หลังคุยโทรศัพท์จบ ทั้งกานน และมธุรินต่างก็สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
มธุรินร้อนใจ จึงนัดเจอกับกุเทพที่ร้านอาหาร แห่งหนึ่ง คล้อยหลังบริกรที่นำอาหารว่างมาเสิร์ฟ แล้วเดินออกไป มธุรินถามกุเทพขึ้นทันที
“ทำไมคุณถึงจะขายหุ้นคะ”
กุเทพยักไหล่นิดๆ ตามสไตล์ พร้อมบอกเหตุผลว่า “ขี้เกียจทำต่อ”
“ไม่เห็นคุณต้องทำอะไรเลย กิ๊บเขาทำทุกอย่าง แล้วก็ทำได้ดีด้วย”
เหมือนว่ากุเทพไม่สนใจฟังสิ่งที่มธุรินพูด เขาใช้หลอดคนกาแฟเย็นในแก้วจิตใจเลื่อนลอย มธุรินมองอย่างเพ่งพิศ
“คุณมีอะไรไม่สบายใจหรือคะ” มธุรินถามอย่างห่วงใย
“ผมพยายามจะอยู่ห่างๆ กิ๊บ” กุเทพบอก
“กิ๊บยังรักคุณ” มธุรินแย้ง
“มันเป็นไปไม่ได้แล้วละ เป็นไปไม่ได้พอๆ กับเรื่องคุณกับอาปลิว” กุเทพเตือนสติ
มธุรินเป็นฝ่ายนิ่งบ้าง กุเทพจึงพูดต่อ
“ผมกับกิ๊บ เลยเวลาที่จะคืนดีกันแล้ว ถึงแต่งงานกัน มันก็ไปไม่รอดหรอก”
ถึงตอนนี้มธุรินน้ำตาคลอก่อนจะเอ่ยขึ้น “กานนก็คงรู้สึกเหมือนคุณ”
“เดียร์ ผมไม่เคยลืมเรื่องวันนั้น ผมยินดีรับผิดชอบ”
มธุรินพยายามที่ข่มความอับอายเมื่อนึกถึงคืนนั้น เธอสบสายตากุเทพแน่วแน่จริงจัง
“คุณพูดเรื่องอะไร เดียร์ไม่รู้เรื่อง”
พอได้ฟังอย่างนั้นกุเทพชักหงุดหงิด “ไม่จริง คุณรู้เรื่อง”
อีกมุมหนึ่งของร้านอาหารแห่งนั้น ศิธาสะกิดโบ้ยให้พีระพลดูเหตุการณ์ที่โต๊ะของกุเทพกับมธุริน
“นั่นไง พี่เขยโก้”
“ทำไมมากับยัยเดียร์” พีระพลแปลกใจ
“ท่าทางยังกับแง่งอนกันแน่ะ” ศิธาวิพากย์
ระหว่างนั้น มธุรินก็หยิบกระเป๋าเตรียมจะลุกเดินออกไป กุเทพจับแขนไว้
“อย่าเพิ่งไป ช่วยกันกินให้หมดก่อน เสียดายเงิน” กุเทพพูดน้ำเสียงประชด
“เดียร์เลี้ยงก็ได้”
“ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลี้ยง แต่เกี่ยวกับของที่สั่งมาแล้วไม่ได้กิน ในขณะที่คนอีกตั้งเป็นล้านเขาไม่มีจะกิน” กุเทพเริ่มพาล มธุรินยกมือเรียกบริกร พลางบอก
“น้องช่วยห่ออาหารกลับบ้านให้คุณคนนี้หน่อย แล้วเช็คบิลด้วย” บริกรรับคำพร้อมกับยกจานอาหารเดินไป มธุรินควักธนบัตรใบละพันบาทวางบนโต๊ะ
“ทีนี้ฉันคงไปได้แล้วนะคะ”
มธุรินก้าวเดินออกไปอย่างหงุดหงิด ขณะที่กุเทพก็มองตามอย่างหงุดหงิดไม่แพ้กัน
ขณะที่พิณสุดากำลังเดินจะออกจากบ้าน และกำลังล็อคประตู เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พิณสุดาหยิบขึ้นมารับ
“ไงยะ นายโก้”
“พี่กิ๊บ คุณกุเทพเขาพาเพื่อนรักของพี่กิ๊บ มาจู๋จี๋กินข้าวกัน” เสียงปลายสายของพีระพลรายงานข่าวที่เพิ่งเห็นด้วยสองตา
“ยัยเดียร์น่ะเรอะ”
“จะใครเสียอีกล่ะ โอ๊ย happy สุดๆ” รายงานข่าวจากน้องชายทำให้พิณสุดาปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“นังเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด”
แยกจากกุเทพ มธุรินก็กลับเข้าบ้าน ตะโกนเรียกหาสาวใช้ แววสาวใช้เดินออกมาขานรับ
“คุณแม่ออกไปนานแล้วเหรอ” มธุรินถามถึงบัวบงกช
“ออกไปสักครู่ใหญ่ๆ แล้วค่ะ สั่งให้บอกคุณเดียร์ว่าเย็นนี้จะมารับไปทานข้าวข้างนอก”
ฟังแววรายงานจบ มธุรินก็พยักหน้ารับรู้ กำลังจะเดินขึ้นไปข้างบน แต่มีเสียงบีบแตรรถจากหน้าบ้านดังแว่วเข้ามา มธุรินชะงัก แต่ตัดสินใจเดินขึ้นห้องบนบ้าน
เมื่อเข้ามาในห้องมธุรินเดินไปที่หน้าต่าง ชะโงกมองออกไปบริเวณหน้าบ้าน เห็นกุเทพเดินหิ้วถุงอาหาร เข้ามาในบ้าน ขณะที่คนสวนกำลังปิดประตู
“จะหอบมาทำไมอีกล่ะ” มธุรินประหลาดใจ เดินกลับมานั่ง พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“คุณเดียร์คะ คุณกุเทพมาค่ะ” แววรายงาน มธุรินหน้างอหงิก
ระหว่างนั้นกุเทพนั่งรอ อยู่ภายในห้องรับแขกโดยมีถุงกับข้าววางอยู่บนโต๊ะ มธุรินก้าวเดินเข้ามา
“ก็บอกว่าฉันเลี้ยงคุณ แล้วจะเอามาทำไมอีก” มธุรินเอ่ยขึ้นเคืองๆ
“เอามาให้คุณ” กุเทพบอก
“เอ๊ะ คุณนี่พูดไม่เข้าใจ”
“คุณนั่นแหละ พูดไม่เข้าใจ คุณโทรนัดผมมาคุย แล้วอยู่ดีๆ ก็งอนกลับบ้าน”
มธุรินได้ฟังถึงกับเบิกตากว้างปฏิเสธพัลวัน “ฉันเนี่ยนะงอน”
“ใช่”
“จะบอกให้ ฉันเป็นผู้หญิงที่ห่างไกลคำว่างอนมากที่สุดเลย”
“งั้นคุณหนีผมมาทำไม” กุเทพไม่ลดละ มธุรินอ้าปากจะปฏิเสธ กุเทพก็แย่งพูดขึ้น
“อย่าปฏิเสธ”
ขณะนั้นเองเสียงแตรรถหน้าบ้านก็ดังขึ้นอีก
มธุรินยังอยู่ในโหมดอารมณ์หงุดหงิด “จะอะไรนักหนา”
“ผมว่าเสียงแตรฟังคุ้นๆ นะ” กุเทพบอก
ไม่ทันขาดคำ พิณสุดาก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าระรื่น ทักทายกุเทพขึ้น
“กุ ไม่นึกเลยว่าจะได้พบกันที่นี่”
“ทำไมล่ะ”
“อ้าว ก็คุณเป็นแขกประจำบ้านยัยเดียร์เสียเมื่อไหร่ เออ ถ้าเป็นอาปลิวของคุณก็ไปอย่าง” พิณสุดาประชด แต่กุเทพทำหน้าตาย
“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก เพราะเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นแขกประจำบ้านเดียร์ไปแล้ว
เจอคำพูดนี้แบบนี้เข้าไป พิณสุดาถึงกับอึ้ง แต่แกล้งเสหัวเราะ “ต๊าย ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย จริงหรือเปล่าจ๊ะเดียร์” มธุรินอ้าปากจะพูด แต่กุเทพรีบพูดแทรกขึ้นก่อน
“คุณเล่นถามตรงๆ ใครจะกล้าพูด จริงไหมจ๊ะ เดียร์”
มธุรินอึกอักวางหน้าไม่ถูก
สักครู่หนึ่งมธุรินก็เดินออกมาส่งกุเทพที่รถด้วยสีหน้าโกรธจัด ขณะที่กุเทพสีหน้าท่าทางดูผ่อนคลายลง
“ขอบคุณมากครับ ที่อุตส่าห์มาส่ง”
“คุณทำให้กิ๊บเข้าใจผิดทำไม” น้ำเสียงมธุรินฉุนๆ
“ผมทำให้เขา เข้าใจคุณต่างหาก เรื่องของเขากับผมมันจบลงแล้วจริงๆ ขอบคุณที่ช่วยเหลือ”
“ฉันไปช่วยอะไรคุณ”
“ก็ช่วยเหลือให้กิ๊บเข้าใจถูกไง” ว่าแล้วกุเทพก็เปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่ง แล้วขับออกไปมธุรินมองตาม พูดกับตัวเอง “หาเรื่องให้ฉันแล้วมั้ยล่ะ” ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีพิณสุดานั่งไขว่ห้างมองเขม็ง มธุรินวางตัวไม่ถูก และไม่รู้จะพูดอะไร
“หิวมั้ยกิ๊บ”
“ฉันไม่เหมือนแก ที่ชอบกินของเหลือเดนคนอื่น” พิณสุดาจัดเต็ม! มธุรินได้ฟังถึงกับสะอึก “แรงไปหรือเปล่า”
“ไม่แรงเลยถ้าเทียบกับการกระทำของแก ความจริง แกแย่งแฟนเพื่อนได้ลงคอได้ไง แกก็รู้อยู่แก่ใจว่าฉันรักกุเทพ มีอะไรฉันก็เล่าให้แกฟังหมด แกมันเพื่อนทรยศ ใจดำแถมยังหน้าด้าน” คราวนี้จัดชุดใหญ่
“จะมากไปแล้ว อยู่ดีๆ แกก็มาด่าฉัน” มธุรินทนไม่ไหว
“แกทำร้ายจิตใจฉันได้ลงคอ” พิณสุดาตอกย้ำ
“ฉันไม่ได้มีอะไรกับคุณกุเทพ” มธุรินยืนยันหนักแน่น
“ฉันไม่เชื่อ” พิณสุดาแกล้งบีบน้ำตา
“กิ๊บ เราเป็นเพื่อนกันมานาน ถึงบางอย่างที่แกทำ ฉันจะไม่เห็นด้วยแต่ฉันไม่เคยทรยศเอาไปเล่าให้ใครฟัง อย่างเรื่องของมัสลิน”
“ฉันรู้ ฉันรู้ แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อเขากับฉัน ยังมีความสัมพันธ์กันอยู่” พิณสุดาพูดให้มธุรินเขว
ซึ่งได้ผล มธุรินชะงัก “กิ๊บ”
“เขามาค้างกับฉัน และฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉันรักเขา เขาคงเบื่อฉันแล้วถึงได้มาหาแก” ว่าพลางพิณสุดาเดินเข้ามากอดมธุริน พูดขึ้น
“ขอบใจมากนะเดียร์ที่ไม่ทรยศเพื่อน” มธุรินฝืนยิ้มขณะกอดตอบหลวมๆ
เย็นวันเดียวกันนั้นอุษยากำลังนั่งอ่านนิตยสาร ขณะที่กุเทพเดินเข้ามาหน้าตาดูสดใส
“โอ๊ย ออกไปทำงานแต่เช้า” อุษยาทักทายหลานที่ทำตัวแปลกๆ
“แต่ผมก็กลับมาให้คุณย่าเห็นหน้าเร็วๆ ไงครับ เพิ่งจะ 5 โมงเอง ผมก็ถึงบ้านแล้ว” กุเทพว่า
“คุณทวดเข้ามาถามความคืบหน้า เรื่องจัดงานต้อนรับครอบครัวม่านมุกว่าไปถึงไหนแล้ว”
“สมัยนี้จัดงานง่ายจะตาย มีเงินเสียอย่างก็จ้างพวกจัดงานอีเว้นท์มาทำให้ได้ เราแค่เตรียมสถานที่กับนัดวันเวลาเท่านั้น” กุเทพ
“งั้นแกก็ไปติดต่อได้เลย ฉันขี้เกียจฟังคุณพ่อบ่นเต็มทีแล้ว”
“แล้วคุณย่าเล็กกำหนดวันมาหรือยังล่ะครับ” กุเทพหมายถึงม่านมุก อุษยานึกขึ้นได้ว่าลืมเรื่องนี้เสียสนิท
“เออ จริง
สองสามวันต่อมาที่บ้านของม่านมุก อุษยา กุเทพ เจ้าสัวทศ ม่านมุก พร้อมด้วย ปิ่น อยู่กันพร้อมหน้า ทุกคนนั่งประชุมกัน
“ตกลงหรือยังว่าจะจัดงานวันไหนแน่” เจ้าสัวทศถามขึ้น
“ความจริงก็ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบออกการออกงาน” ม่านมุกยังคงยืนกรานไม่อยากให้จัดงานนี้
“แต่คุณปู่ท่านตั้งใจจริงๆ นะครับ ท่านอยากประกาศให้ลูกหลานทุกคนรู้ว่าท่านยังมีทายาทอีก” กุเทพเอ่ยขึ้น
“อยากประกาศ แต่ทายาทเขาอยากหรือเปล่าก็ไม่รู้” อุษยาเริ่มแขวะ
“แหม นังอุษ ฉันไม่น่าชวนแกมาเลย” เจ้าสัวทศอารมณ์เสีย
“นะครับ คุณย่าเล็ก บ้านเราไม่ได้จัดงานใหญ่ๆ มานานแล้ว”
ม่านมุกตัดบท “เอาอย่างนี้ ให้ฉันถามแม่ดากับยัยมัสดูก่อนก็แล้วกัน เขาว่ายังไงฉันก็ว่ายังงั้น”
“เป็นอันว่าตกลง”
เจ้าสัวทศกล่าวปิดประชุม ขณะที่อุษยาแอบลอบค้อนขวางๆ
จบตอนที่ 25
โปรดติดตามอ่านต่อตอน 26 วันพรุ่งนี้