เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 11
ชิงชัยและศรีไพรก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากัน ทั้งคู่สบสายตากันอย่างท้าทาย บุญช่วยเดินนำสไบ ชาริณีและแหว่ง ส่งเสียงวางอำนาจเข้ามา
“เอาเลยโว้ย ให้มันรู้ไปว่าใครจะแน่กว่าใคร จะใช้อาวุธประเภทไหนก็ได้ทั้งนั้นไม่ว่าไม้ หมัด ปืน หรือมีด”
มหาเฉื่อยรีบถลาเข้ามากั้นไว้ ดัดน้ำเสียงเนิบนาบอย่างผู้ทรงศีลแกล้งทำเป็นหูตึงเลียนแบบหลวงตา
“ไม้ขีดไฟอย่าใช้เลยโยม เดี๋ยวมันจะไหม้วัดวาพินาศ นี่มันงานบุญ จะสนุกกันก็ต้องอยู่ในขอบเขต อ้า...ท่านเศรษฐี”
“ทำไม มหาเฉื่อย” บุญช่วยถามเสียงแข็ง
“ถ้าญาติโยมอยากจะมีลุ้น ก็อย่าให้ถึงกับลงพนันขันต่อกันเลยวะ การพนันน่ะมันเป็นอบายมุข”
บุญช่วยจ้องหน้ามหาเฉื่อย
“มหาเฉื่อย...นี่มันไม่ใช่เรื่องของมหาเฉื่อยนะ”
“แต่นี่เป็นงานบุญ การใช้ความรุนแรงไม่ใช่ทางดับทุกข์ อยากจะรู้ว่าใครมีกำลังกว่าใครก็ไม่เห็นจะยาก เฮ้ย...ไอ้ทวน ไอ้เมิน ยกโต๊ะมาตั้งบนเวทีนี่”
“ครับลุงมหา”
ทวนกับเมินรีบยกโต๊ะ เก้าอี้มาตั้งกลางเวทีรำวงย้อนยุค
มหาเฉื่อย มองศรีไพรกับชิงชัย
“ไหน กำปั้น”
ศรีไพรและชิงชัย ชูกำปั้นมาตรงหน้า แววตาเหี้ยมจริงจัง
“งัดข้อโว้ย ใครงัดใครข้อมือถึงกระดาน ไอ้คนนั้น...แพ้ หนึ่ง...สอง...สาม...แก๊งส์”
ชิงชัยและศรีไพรเริ่มงัดข้อ ต่างผลัดกันเสียหลักแต่ก็กู้คืนได้ หลิมกับเลิศให้สัญญานบังคับชาวบ้านเชียร์ชิงชัย พวกของเมินและทวน พรและสด เนี้ยวเชียร์ศรีไพร
“คุณชิงชัยขา เอาเลย...จัดการมันเลย” สไบส่งเสียงเชียร์ออกหน้าออกตา
“เร็วๆ จบเกมส์เร็วๆ ฉันอยากเห็นไอ้ศรีไพรแก้ผ้า เร็วๆ พี่ชิงชัย...สู้ๆ” ชาริณีตะโกนเชียร์พี่ชาย
ศรีไพรเสียหลัก เสียงเชียร์เงียบกริบ ทวนกับเมินเริ่มร้อนใจมองหน้ากัน ทวนมองออกไป ตาโตไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นหลวงตาเดินนำหน้าทอกเข้ามา ทวนเปล่งเสียงดัง ยกมือไหว้
“สวัสดีครับหลวงตา”
ทุกคนหันไปมองหลวงตา ชิงชัยเผลอหันตามเลยเสียหลัก ศรีไพรกดแขนชิงชัยลงกับพื้นก่อนส่งเสียงเฮ
“พ่อ ไอ้ศรีไพรชนะแล้ว พ่อ...ลืมตาได้แล้ว น้องชนะแล้ว” ศรีแพรร้องขึ้นอย่างดีใจ
สดดีใจมาก
“ตาพร ไอ้ศรีไพรมันชนะแล้ว ไชโย ไม่ต้องแก้ผ้ารำวงแล้ว”
หลวงตาเดินเข้ามา
“ไหนวะ เอ็งตามข้ามาทำวะไอ้ทอก ใครแพ้ใครชนะ ใครแก้ปัญหาให้ใครวะ”
บุญช่วย สไบ ชาริณี แหว่ง หลิม เลิศเงียบเสียงกริบ ชิงชัยอึ้งงง
“เฮ้ย นี่มัน...มัน...”
ศรีไพรยิ้มเยาะ
“หลวงตามาพอดีเลย เอาเลย...แก้เลย สัญญาแล้วใช่มั้ยว่าใครแพ้ คนๆ นั้นต้องแก้ผ้ารำวง หลวงตาท่านจะได้ไปปลงอาบัติ”
ชิงชัยโกรธจัด ดึงปืนออกมายิงขึ้นฟ้า รัวหลายนัด ผู้คนวิ่งกันกระจัดกระวาย หายวับไปในพริบตา หลวงตากระโดดขึ้นขี่หลังทอกที่วิ่งออกไปทันที
ทอกวิ่งเข้ามาถึงศาลา ทวน เมินและมหาเฉื่อยวิ่งตามหลังหนีลูกปืนด้วยท่าทีเหน็ดเหนื่อย
“โอย นี่มันอะไรกันวะ ไอ้พวกนี้ เอ็งนิมนต์พระไปฉันลูกปืนหรือยังไง”
มหาเฉื่อยหอบเหนื่อย
“โอย วิ่งซะลานวัดราบเลยขอรับหลวงพ่อ วิ่งไม่รู้ใครเป็นใคร ชาวบ้านชาวช่องวิ่งกันหน้าตั้ง”
หมอกพนมมือตัวสั่นเทา ทวนมองอย่างสงสัย
“นั่นเอ็งทำอะไรวะไอ้หมอก”
“ฉันกำลังปลุกพระจ้ะพี่ทวน นี่ดีนะ ฉันแขวนหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้ง ตำบลไม่เหลียวหลัง ไม่ยังงั้นวิ่งหนีลูกปืนไม่ทันหรอก”
เมินชี้หน้าทวน
“เพราะแกคนเดียว เพราะแก...”
“ใครบอกว่าเพราะฉัน เพราะ...เพราะ...”
ทวนชะงักหันไป ทุกคนค่อยๆ หันไปมองหลวงตา
“เปล่า ไม่ใช่ข้า ข้าไปโปรดสัตว์ ถ้าข้าออกไปโปรดไม่ทันการละเอ็งเอ๊ย...รำวงย้อนยุค” หลวงตาทอดถอนหายใจ ทำเสียงปลง “มันจะกลายเป็น...จ้ำบ๊ะ”
ศรีแพร ศรีไพร สด พรและแสนวิ่งหนีลูกปืนกลับมาถึงบ้าน ต่างพากันหอบเหนื่อย ศรีไพรทิ้งตัวลงนั่งที่ขั้นบันไดเรือนไทย
“โอย พ่อ วิ่งซะหางจุกเลยจ้ะ”
พรหอบแห่กๆ
“หางจุกน่ะมันหมาโว้ย มันต้องลิ้นจุกอย่างข้านี่...ไอ้ชิงชัยนี่มันหน้าตัวเมียจริงๆ สัญญาไม่เป็นสัญญา มันคงอายเรื่องแพ้ผู้หญิง”
“ก็น่าให้มันอายหรอกแก ไอ้แก้ผ้ารำวงนี่ มันน่าดูเสียที่ไหน” สดบอก
ศรีแพรถอนใจโล่งอก
“โอย ค่อยโล่งอกหน่อย นึกว่าจะต้องเอาปี๊ปคลุมหน้าพ่อกับแม่ กับฉัน กับไอ้แสนซะแล้ว นี่ถ้าพี่ทวนเขาไม่ทำเสียงดังตอนหลวงตามา ไอ้ชิงชัยมันคงไม่เสียสมาธิจนเสียท่าเอ็งหรอก”
“พี่น่าจะขอบใจเขานะ” แสนแนะ
“แต่ว่า...”
พรจะแย้ง สดขัดขึ้น
“นี่ ตาพร แกยังจงเกลียดจงชังไอ้ทวนมันอีกหรือ ไม่ได้มันป่านนี้ลูกสาวแกคงแก้ผ้าล่อนจ้อนอยู่บนเวทีรำวงย้อนยุคแล้วละ ฮึ”
สดสบัดหน้าขึ้นเรือน ศรีแพรและแสนมองหน้าพรก่อนเดินขึ้นเรือนตามสดไป พรกระอักกระอ่วน
“เอ้อ...พ่อว่า...”
ศรีไพรยกมือห้ามไม่ให้พูด
“ฉันรู้ว่าพ่อจะพูดอะไร เรื่องขอบใจเอาไว้ทีหลัง แต่ตอนนี้...” ศรีไพรแววตาขุ่นเคือง “ฉันมีเรื่องต้องคิดบัญชีไอ้ชิงชัย...”
วันต่อมา ชิงชัยยืนพิงต้นไม้ดู หลิมและเลิศที่ลงไปงมยาเสพย์ติดที่เอามาซ่อนไว้ในคลอง ครู่หนึ่งทั้งคู่โผล่ขึ้นมา
“ไม่มีครับคุณชิงชัย”
“เฮ้ย ไม่มีได้ยังไง ก็ฉันเป็นคนสั่งให้แกเอามาซ่อนไว้ใต้น้ำนี่ แกเอาหินถ่วงดีหรือเปล่า”
“ของมีน้ำหนัก ถึงไม่มีหินถ่วง มันไม่น่าลอยไปไกล” เลิศบอกอย่างแปลกใจ
“ดำลงไปอีกที”
หลิมกับเลิศดำน้ำลงไปอีกครั้ง ชิงชัยเริ่มกังวลมองไปรอบๆซึ่งเป็นบริเวณเปลี่ยว สักครู่หลิมกับเลิศโผล่ขึ้นมา
“เจอมั้ย”
เลิศส่ายหน้า
“ไม่มีครับ”
ชิงชัยหงุดหงิด
“ไอ้โง่เอ๊ย ก็ตอนเอาของลงไปซ่อน ฉันเป็นคนยืนสั่งแกที่นี่ ถ้าแกซ่อนมันอย่างดีมันก็ต้องมีซีวะ”
“แต่มันไม่มีจริงๆ ครับ” หลิมยืนยัน
ชิงชัยหน้าตื่น
“จริงเหรอ”
“ไม่เชื่อคุณชิงชัยลงมางมเองซีครับ” หลิมบอก
“ถ้าฉันงมเจอละก็ แกสองคนถูกกระทืบ”
ชิงชัยถอดรองเท้า ถอดเสื้อ ถอดกางเกงออก โยนกางเกงใน กองทับบนกองเสื้อผ้า ศรีไพรกับแสนค่อยๆ คลานเข้ามา ในมือมีคันเบ็ดพร้อมขอเกี่ยว
ชิงชัย หลิมและเลิศดำน้ำลงไปหาของที่ซ่อนไว้ ศรีไพรค่อยๆ ยื่นคันเบ็ดออกมาเกี่ยวเสื้อผ้าของชิงชัย
ทวน เมิน มหาเฉื่อย ทอก หมอก รุมล้อมกันเล่นหมากรุกกันอยู่ เนี้ยวเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ทวน ด้วยความรัก เจ๊กตงมองหน้าตาบึ้งตึง
“พี่ทวนจ๋า คอแห้งหรือยังจ๊ะ เนี้ยวจะชงข้าวแฝ่ให้จ้ะ”
“ไม่ต้อง อาทวนอียังม่ายมีออเลอร์ ไม่มีออเลอร์ไม่ต้องชง ชงแล้วอั๊วม่ายรู้จะไปเซ็กๆๆ เซ็กบิลล์กับใคร”
“โธ่ เตี่ย ท่านมหาเฉื่อยกับพี่ทวนพี่เมินเพิ่งจะมาเข้าร้านเรา เราต้องแสดงการต้อนรับหน่อยซีเตี่ย” เนี้ยวแย้ง
“ไม่ต้องรับ ถึงจะไม่มีผู้คุ้มครองแต่เตี่ยคุ้มครองลื้อล่าย ไป...ขึ้นเล่าเต๊ง”
“เตี่ย...”
เจ๊กตงส่งสายตาดุใส่ลูกสาว
“ยัง...ยังไม่ขึ้นเล่าเต๊งอีก ยัง...”
“ฮึ ขึ้นก็ได้ เตี่ยใจร้าย เตี่ยใจดำ เตี่ยไม่เข้าใจอั๊ว อั๊วจะผูกคอตาย”
เนี้ยวสะบัดหน้าเข้าหลังร้านไป
“เฮ้ย มีใครสงสัยบ้างมั้ยวะ ตั้งแต่เกิดเหตุที่วัดวันก่อน ไอ้ศรีไพรมันหายไปไหน” มหาเฉื่อยถามอย่างสงสัย
ทวนกับเมิน มองสบสายตากัน
“ไปไหนวะ” เมินถาม
ทวนส่ายหน้า
“ฉันจะไปรู้หรือ”
“แกน่าจะรู้ดีนะ เพราะแกคนเดียวที่ช่วยพวกเราชาวบ้านนา ถ้าแกไม่ช่วย ศรีไพรแพ้ แกเอ๊ย...”
ทอกยิ้มขำ
“ชาวบ้านนาคงนัยน์ตาเป็นกุ้งยิงไปตามๆ กันว่ะ ก็ลุงมหา...คิดออกมาได้ยังไงให้ผู้หญิงกับผู้ชายแข่งงัดข้อ”
“แต่ไอ้ชิงชัยล้มกระดาน ไม่ยอมแก้ผ้ารำวงตามสัญญานี่ซี ลุงมหาเฉื่อยคิดว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้มั้ย” หมอกถามอย่างกังวลใจ
ทุกคนมองหน้ากัน ทวนครุ่นคิดอย่างสงสัย
ชิงชัย หลิมและเลิศโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ชิงชัยยื่นมือขึ้นมายึดรากไม้บนตลิ่งเพื่อโหนตัวขึ้นมาจากน้ำ
“ทำไมไม่มีวะ ก็ข้าจำได้นี่นาว่าให้เอ็งเอาของถ่วงน้ำไว้ตรงนี้ เอ็งถ่วงดีหรือเปล่าไอ้หลิม”
“มัดแน่นเลยครับคุณชิงชัย” หลิมยืนยัน
เลิศคิดๆ
“จะว่ามันไหลตามน้ำ น้ำในคลองนี่มันก็ไม่แรง แถมใต้น้ำมีแต่ตอ มันจะหายไปไหน”
ชิงชัยโหนตัวขึ้นมา ชะงักมองไปรอบๆ ไม่พบเสื้อผ้า
“เฮ้ย เสื้อผ้า...เสื้อผ้าของข้าล่ะ”
หลิมมองตามไปก็ตกใจ
“ของผมด้วย”
เลิศมองอย่างแปลกใจ
“ของผม...ก็เมื่อกี้ถอดไว้ริมตลิ่งนี่ เฮ้ย...แล้วมันหายไปไหนล่ะ”
ชิงชัยหน้าเสียหันไปสั่งลูกน้อง
“เอ็งขึ้นไปหาซี”
เลิศหน้าจ๋อยๆ
“อ้า ผมกลัวเป็นหวัด”
ชิงชัยโมโห
“โธ่โว้ย ไม่มีเสื้อผ้าข้าจะขึ้นไปยังไงวะ ไอ้หลิม...ขึ้นไป”
หลิมขึ้นฝั่ง
“ว่าไง เจอมั้ย” ชิงชัยถามอย่างร้อนใจ
“ไม่มีครับ”
ชิงชัยนิ่งคิดอย่างสงสัย
“เอ๊ะ มันยังไงกันนี่ แถวนี้มีลิงหรือเปล่าวะ”
ศรีไพรกับแสนซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ยื่นคันเบ็ดที่มีเสื้อผ้าชองชิงชัย หลิมและเลิศออกไป ชิงชัยเห็นก็ดีใจ
“นั่นไง อยู่นั่น เอามาให้ข้าเร็ว”
หลิมวิ่งไปคว้า แต่เสื้อผ้ากลับลอยหนี
“มันหนีมือครับคุณชิงชัย”
“หนีมือ หนียังไงวะ” ชิงชัยถามงงๆ
ศรีไพรกับแสนโผล่ออกมา ยิ้มเย้ยหยัน
“ก็หนียังงี้ไงล่ะ”
“ไอ้ศรีไพร”
หลิมหันมาเห็นศรีไพรกับแสนก็ ตกใจ อายรีบกระโดดกลับลงไปในคลอง ชิงชัยแค้นมาก
“ไอ้...ไอ้ศรีไพร นี่แกเล่นบ้าๆ อะไรน่ะ เอาเสื้อผ้าของฉันคืนมาเดี๋ยวนี้ไม่ยังงั้นฉันจะขึ้นไปเล่นงานแก”
ศรีไพรกวักมือเรียกอย่างท้าทาย
“ก็ขึ้นมาซี อยากได้เสื้อผ้าต้องขึ้นมาเอาเอง แกเป็นคนตั้งกติกาเองว่าใครแพ้ต้องแก้ผ้ารำวง แต่พอแกแพ้ แกกลับล้มกระดาน ไม่ยอมแก้...”
“ไอ้...ไอ้ศรีไพร ไอ้...”
“ไปโว้ยไอ้แสน” ศรีไพรตะโกน “ใครอยากได้เสื้อผ้าตามมาเร้วววว”
ศรีไพรกับแสน วิ่งถือคันเบ็ดกวัดแกว่งเสื้อผ้ายั่วโมโห ชิงชัยหันมาสบตาหลิมและเลิศ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ไอ้หลิม ไอ้เลิศ ทำไงดีวะ”
มหาเฉื่อย เมิน ทวน ทอกและหมอกนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ เจ๊กตงหน้าบึ้งตึงอยู่หลังหม้อกาแฟ
“นั่งตั้งแต่เช้ายันบ่าย ไม่มีใครสั่งอะไร โอยั๊วก็ไม่สั่ง กาแฟสดก็ไม่สั่ง คาปูชิโนมี ไม่ยักสั่ง รู้ยังงี้อั๊วไม่อัพเกรดสินค้าให้เสียเงินลงทุนหรอก”
ทันใดนั้นเสียงชิงชัย หลิม เลิศโต้เถียงกันมาแต่ไกล
“ทำไม...กุญแจรถต้องติดอยู่ในกระเป๋ากางเกงฉัน แล้วไอ้ถนนสายนี้ทำไมมันต้องผ่านหน้าร้านเจ๊กตงด้วยวะ ทำไมไม่มีถนนสายอื่น ทำไมไม่มีทางด่วน ทำไมไม่มีรถไฟฟ้า...” ชิงชัยบ่นอุบ
“มันจะไปมีอะไรได้ยังไงล่ะครับคุณชิงชัย ก็ในบ้านนานี่อะไรๆ ก็ท่านเศรษฐีบุญช่วยได้ประมูลมาทำทั้งนั้น ชาวบ้านเขาเลิกถามว่าทำไมๆๆๆ นานแล้วละ ครับ” หลิมบอกปลงๆ
ทวนหันไปมองตามเสียง
“เฮ้ย นั่นมันพวกไอ้ชิงชัยนี่”
เมินมองตามอย่างแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น ไอ้พวกนั้นมันถึงได้เอาใบตองมานุ่ง”
ชิงชัย หลิมและเลิศนุ่งใบตอง เดินปิดอวัยวะ ทำท่าเหนียมๆ ทั้งโกรธและอับอาย เจ๊กตงตะลึงตาโต
“ไอ้หย๋า คุณชิงชัย...”
ชิงชัยถลึงตาใส่
“มองอะไรวะ ไอ้เจ๊กตง อยากตายรึยังไง” ชิงชัยหันไปสั่งสมุน “ส่งปืนมาให้ข้า ข้าจะยิงลูกกะตาเจ๊กตง”
หลิมส่ายหน้า
“ไม่มีครับ ปืนอยู่ในกระเป๋ากางเกง”
มหาเฉื่อยมองอย่างสังเวช
“อนุโมทนาบุญพ่อมหาจำเริญ ไปทำเวรทำกรรมกับใครไว้ล่ะ ถึงได้เหลือแต่ตัวล่อนจ้อนยังกับเปรต”
ชิงชัยโมโห
“เก็บปากเอาไว้อาราธนาศีลเถอะมหาเฉื่อย อย่ายุ่ง”
เมินมองหน้าชิงชัย
“ก็ว่าจะไม่ยุ่งแต่มันอดสงสัยไม่ได้ว่ะ ไปทำอะไรมาถึงได้เหลือแต่ตัว เอ๊ะ...หรือว่า...เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแข่งงัดข้อวันก่อนเอ็งแพ้ เลยแสดงความเป็นลูกผู้ชายด้วยการ...แก้ผ้า”
“มันต้องรำด้วยโว้ย มันถึงจะ...ลูกผู้ชายตัวจริง” ทอกเย้ยหยัน
ชิงชัยแค้นสุดๆ
“ไอ้ศรีไพร มึ้งงงง”
“นี่แสดงว่า...ถูกยายมู่ทู่ตามเช็คบิล”
ทวนพึมพำออกมา
อ่านต่อวันพรุ่งนี้
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 11 (ต่อ)
บุญช่วยก้วยเดินอย่างรวดเร็ว ลงจากบันได เมื่อเห็นศรีไพรและแสน ถือคันเบ็ดที่มีเสื้อผ้าเข้ามาในบริเวณบ้าน สไบ ชาริณีและแหว่งรีบตามลงมาเป็นพรวน
“ไอ้ศรีไพร เอ็งเข้ามาทำไมในเขตบ้านของข้า”
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่ไม่ต้อนรับแก” ชาริณีไล่
“มาก็ดีแล้ว พี่สาวแกเคยฝากตบมาให้คุณชิงชัย ฉันจะฝากตบนังศรีแพรไปกับแก”
สไบเงื้อมือ แหว่งหลบ กลัวเจ็บตัว ศรีไพรยกมือขึ้นจับมือของสไบไว้ บิดอย่างแรง
“ไม่รับฝาก ที่มานี่ไม่ได้อยากมาเหยียบบ้านใครหรอก แต่มาเพราะความจำเป็น”
ชาริณีมองเหยียด
“แก จำเป็นเรื่องอะไร หรือว่าทนไมไหว เพราะชาวบ้านไม่คบหาสมาคมกับพวกแก แกก็เลยยอมแพ้ มาเจรจาสันติกับพ่อของฉัน”
บุญช่วยยิ้มเยาะ
“ยอมแพ้เสียได้ก็ดี ยากไร้นักก็แบ่งที่นาขายให้ข้า จะช่วยรับซื้อไว้ในราคาถูกๆ เอ็งจะสู้กับคนมีเงินอย่างข้าน่ะ เอ็งไม่มีวันชนะหรอก มีใครชนะเงินบ้าง”
แหว่งมองเห็นเสื้อผ้าก็จำได้
“เอ๊ะ คุณสไบของบ่าวขา นั่น...นั่นมันเสื้อผ้าของไอ้หลิม ไอ้เลิศ กับของคุณชิงชัยนี่คะ”
สไบตกใจ
“ต๊าย จริงๆ ด้วย นี่มันเสื้อผ้าของคุณชิงชัยนี่ฉันจำได้”
ศรีไพรยิ้มเย้ย
“ก็กำลังจะบอกว่าที่มานี่ไม่ได้มาเพราะความยากไร้หรอก แต่จะเอาเสื้อผ้ามาคืน ตอนนี้ลูกชายท่านเศรษฐีกำลังยากลำบากอยู่นะ อย่ามัวแต่สงสารคนอื่นเลย สังเวชตัวเองให้มากๆ นะ...ท่านเศรษฐี ไปโว้ย ไอ้แสนกลับ”
ศรีไพรโยนเสื้อผ้ากองกับพื้น กอดคอแสนเดินกลับออกไป สไบคว้าเสื้อผ้าของชิงชัยมาหน้าตาตื่นตระหนก
“คุณชิงชัย เสื้อผ้าอยู่นี่ แล้วตัวคุณชิงชัยล่ะ...อยู่ไหน”
ทันใดนั้นเสียงชิงชัยก็ดังขึ้น
“อยู่นี่...”
ทุกคนหันไป เห็นมือของชิงชัย หลิมและเลิศค่อยๆ ยกขึ้น ก่อนจะโผล่ออกมานุ่งเพียงใบตองคนละผืน
“ไอ้ศรีไพร” บุญช่วยแผดเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ
วันต่อมา ขณะที่ศรีไพรอาบน้ำให้ควายอยู่ในหนองน้ำ ทวนแอบมองกิริยาอ่อนโยนของศรีไพรมีต่อไฉไลเฉิด
“โคลนนี่ใช้ทารักษาผิวแทนโลชั่น ป้องกันแสงยูวีดับเบิ้ลยูเอ็กซ์วาย...วะ...แซ่ดดด ไม่ต้องใช้ครีมกันแดด ไม่ต้องใช้ครีมหน้าเด้ง ก็เป็นไฉไลเฉิดที่งามนอก...งามใน...งามไปโม้ดดดด พอพอกครีมเสร็จ ก็แช่ในอ่างน้ำโคลน มีปลาตอดดุ๊บๆ กระตุ้นเซลล์ผิว น้ำแร่น้ำนมมันจะมาสู้น้ำธรรมชาติได้ยังไง จริงมั้ย ไฉไลเฉิดจ๋า...”
ทวนหัวเราะขบขัน ศรีไพรชะงัก ทำหน้าเหยียดๆ
“รู้เลยว่าใคร”
“รู้ได้ยังไงคะ” ทวนดัดเสียง
“กลิ่น”
ทวนก้าวออกมา
“โห นี่ขนาดอาบน้ำฟอกสบู่ ทาน้ำยากันเน่าแล้วเชียว ยังได้กลิ่นอีก”
ศรีไพรจ้องหน้าอย่างสงสัย
“นายมาทำอะไรแถวนี้ ฉันบอกแล้วไง ถึงตอนฉีดสารสะเดาจะให้ไอ้แสนไปตาม”
“ผมก็มาทวงบุญคุณน่ะซี คนอุตส่าห์ช่วยไม่ให้ขายหน้าคนทั้งบ้านนาแล้ว ยังไม่สำนึกอีกแน่ะ ขอถาม...พ่อแม่เลี้ยงด้วยนมอะไร ทำไมถึงได้กตัญญูต่ำนัก”
ศรีไพรฉุนกึก
“นี่นายถึงกับทวงบุญคุณเชียวหรือ นายนี่...คงไม่เคยทำอะไรให้ใครโดยไม่หวังผลตอบแทนเลยซีนะ”
ทวนยิ้มกวนๆ
“กับคนอื่นน่ะไม่หวัง แต่งานนี้ไม่ได้ ต้องหวัง...”
“อะไร”
“อย่างน้อยก็...อาหารหวานคาวฝีมือศรีแพร ช่วยบอกศรีแพรด้วยนะพี่ทวนเป็นคนง่ายๆ ใช้ชีวิตโสด...เอ๊ย...สันโดษ อยู่กินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็ไม่ต้องมาก กุ้งแม่น้ำกับน้ำจิ้มถ้วยเดียวก็พอ อ้อ...เผากึ่งสุกกึ่งดิบนะ เอาแบบ...อมเปรี้ยวอมหวาน...กำลังดี”
ศรีไพรพยักหน้ารับอย่างเจ้าเล่ห์
“ได้ เอาแบบอมเปรี้ยวอมหวานกำลังดีนะ”
เช้าวันใหม่ ทวนบรรจงหวีผมอยู่กระจกเก่าๆ แล้วเสกแป้งมหาเสน่ห์ประลงบนใบหน้า
“โอม จะเสกคาถามหาระรวย พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วย โอม...หญิงใดสบตารัก...แม่ยายยกมือกวัก...พ่อตาเอ่ยปากทัก พี่ป้าน้าอายิ้มพยัก...กวักเข้า...กวักเข้า...เพี๊ยงงงง”
ทวนโบกมือไล่ลมใส่ตนเอง หลังว่าคาถามหาเสน่ห์ ก่อนจะสำรวจความหล่อในกระจกเงาเป็นครั้งสุดท้าย
ทวนนุ่งกางเกงสีเขียว เสื้อสีแดง ผ้าพันคอสีเหลือง เดินวางมาดผ่านหน้าเมิน ทอกและหมอกซึ่งมองตามไปอย่างงุนงง
“โห ตั้งแต่กลับมาบ้านนา ฉันเห็นวันนี้แหละที่พี่ทวนเขาหล่อยังกับแท่งคอนกรีตอัดแรงดัน” ทอกพูดขึ้นอย่างตะลึง
“นั่นน่ะซี ไหนจะเสกแป้ง ไหนจะเจิมลิ้น ไหนจะลง ณ หน้าเสน่ห์ที่หน้าผาก เมื่อคืนนี้ฉันยังเห็นพี่ทวนทำปากขมุบขมิบเหมือน...เหมือน...”
หมอกชะงักไป เมินรีบถาม
“เหมือนอะไรวะ”
“เหมือนท่องคาถามหาเสน่ห์”
“เฮ่ย ไม่ใช่หรอก เขาซ้อมร้องเพลงน่ะ” ทอกแย้ง
“ร้องเพลงหรือ...” เมินขมวดคิ้วสงสัย “ร้องเพลงอะไร”
ทวนค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมาส่งเสียงร้องเพลงเกี้ยว ศรีแพรโผล่หน้าต่างยิ้มให้
“พี่ทวนมาแล้ว ขึ้นมาบนเรือนก่อนซีจ๊ะพี่ทวน ข้าวปลาอาหารกำลังปรุงอยู่ พ่อแม่ไปวัดกับไอ้แสน ขึ้นมาเร๊ววว”
ทวนตาโตไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อรู้ว่าพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน
“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่อยู่บ้าน เจ้าแสนจอมกันท่าก็ไปด้วย ช่างเหมาะเจาะอะไรยังงี้นะ ว่าแต่...เอ ข้าวปลาอาหารกำลังปรุงอยู่ในครัวแต่ทำไมศรีแพรไม่อยู่ในครัวล่ะ กุ้งเผา...กุ้งแม่น้ำตัวโตกล้ามใหญ่ กับน้ำจิ้มรสอมเปรี้ยวอมหวาน โอ…”
ทวนรีบขึ้นเรือน มองเห็นเสื่อปูอยู่ที่ชานเรือน เหลียวซ้ายแลขวาก่อนพนมมือหลับตาท่องคาถามหาเสน่ห์
“โอม จะเสกคาถามหาระรวย พ่อแก้วแม่แก้วช่วยด้วย โอม...หญิงใดสบตารักแม่ยายยกมือกวัก...พ่อตาเอ่ยปากทัก พี่ป้าน้าอายิ้มพยัก...กวักเข้า...กวักเข้า...เพี๊ยงงงง”
ทวนโบกมือไล่ลม ก่อนดึงหวีออกมาหวีผม แล้วนั่งขัดสมาธิบนเสื่อ เตรียมจีบศรีแพร ขณะเดียวกันนั้น ศรีไพรยกสำรับออกมาวางลงเสียงดังโครม ทวนสะดุ้ง มองเข้าไปในเรือน
“เอ้อ...อ้า...ศรีแพรล่ะ”
“ถามทำไม นายจะให้ฉันตอบแทนบุญคุณของนาย ที่นายช่วยไม่ให้ฉันอายคนบ้านนา ก็นี่ไง...อาหารหวานคาวที่นายต้องการ”
“อาหารหวานคาว...”
“ใช่ กุ้งแม่น้ำ...”
ศรีไพรเปิดฝาครอบ กุ้งฝอยกระโดดอยู่ในชาม ทวนสะดุ้งสุดตัว ถอยห่าง
“ลงไปช้อนในคลองเมื่อเช้านี้เอง ไง...เอาซี กุ้งแม่น้ำพร้อมน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวานกำลังดี กินซะ...บุญคุณที่ติดค้างจะได้...หายกัน”
ทวนจ้องมองกุ้ง
“กุ้งแม่น้ำ”
“ใช่ กุ้งแม่น้ำ ไม่ได้บอกนี่ว่ากุ้งก้ามกรามมัดกล้ามใหญ่ปึ่กๆ นี่กุ้งฝอย...ก็กุ้งแม่น้ำเหมือนกัน วิธีกินไม่ยาก เอาน้ำจิ้มนี่ราดลงไป กุ้งมันแสบตาเต้นเหย่าๆ กระย่องกระแย่ง ร้องห่มร้องไห้สำนึกผิด...แม่จ๋า...หนูไม่ควรหนีแม่มาเที่ยวเธคเลย เพราะหนูไม่เขื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ หนูถึงได้ถูกไอ้คนใจบาปมันจับมากิน ไอ้คนใจบาปมันตักหนูเข้าปาก เคี้ยวๆๆๆ รสชาติหวานอมเปรี้ยว...ครบมั้ย”
ทวนมองศรีไพรด้วยความแค้นใจ
จ่าสินหันไปมองหน้าชิงชัยอย่างกังวลใจ เมื่อรู้ว่าของที่ซ่อนไว้ใต้น้ำหายไป
“หายหรือ มันหายไปไหน ก็คุณเป็นคนบอกผมเองว่าของล็อคนี้คุณซ่อนในที่ที่ไม่มีใครเห็น”
“ผมเอาไปซ่อนไว้ใต้น้ำ แต่พอย้อนกลับไปงมมันก็ไม่มี”
บุญช่วยครุ่นคิดอย่างหนักใจ
“พักนี้ของหายบ่อยๆ ยาที่สั่งมาส่งให้เอเย่นท์ก็ต้นทุนสูงขึ้นทุกวัน หาวิธีผลิตเองเถอะ สั่งสารเริ่มต้นมาตุนไว้ แล้วไปซื้อตัวคนปรุงมา”
“แต่มันเสี่ยงนะท่านเศรษฐี ชาวบ้านต้องรู้ว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน” จ่าสินแย้ง“ก็หาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของชาวบ้าน ให้มันสนใจแต่เรื่องของมันเอง มันจะได้ไม่สนใจเรื่องของเรา”
“ทำยังไงดีล่ะ พ่อ” ชิงชัยถามอย่างสงสัย
บุญช่วยยิ้ม
“ทำให้ลูกหลานมันติดยา”
บุญช่วยพูดด้วยน้ำเสียงเคร่ง สีหน้าแววตาดูโหดเหี้ยม
ศรีไพรหาบสัมภาระ เดินนำหน้าศรีแพรและแสนเพื่อไปท้องนา ผ่านหน้าบ้านของกล่ำและช้อย เสียงของผัวเมียทะเลาะกันดังลั่นออกมาจากบ้าน ศรีไพรชะงักก้าว
“หายอีกแล้ว เงินที่ซ่อนไว้ในตู้หายไปไหน เอ็งเอาเงินไปใช่มั้ย เอาไปทำอะไร วันก่อนก็หาย วันนี้ยังหายอีก เงินนี่ข้าไปกู้เศรษฐีบุญช่วยมานะ” ช้อยโวยวาย
“ข้าก็มีเรื่องจำเป็นของข้าบ้างซีวะ ไม่ใช้เงินเอ็งจะให้ข้าทำอะไร นาก็จ้างไถจ้างหว่าน จ้างฉีดยาจ้างเขาใส่ปุ๋ย มีเวลาข้าก็ไปสังคม”
“สังคมบ้าบออะไรของเอ็ง ทำไมต้องใช้เงินทุกวัน แล้วไอ้ยาที่กินเข้าไปน่ะ ยาอะไร”
“ทำไมต้องถามวะ ไม่รู้สักเรื่องได้มั้ย อีนี้ เดี๋ยวพัด...”
“ทำไม เอ็งจะทำอะไรข้า...”
เสียงกล่ำตบตีช้อยดังออกมา ศรีแพรเขม้นมองด้วยความหวั่นกลัว
“ศรีไพร ทำไงดีล่ะ น้ากล่ำคงตีน้าช้อย ผัวเมียคู่นี้รักกันมาไม่เคยทะเลาะกันเลยนะ เดี๋ยวนี้ถึงกับลงไม้ลงมือกันเชียวหรือ”
ศรีไพรโยนของลง วิ่งขึ้นไปบนบ้านของกล่ำและช้อย
+ + + + + + + + + + +
กล่ำกำลังตบช้อย นัยน์ตาของกล่ำขุ่นขวางเพราะเมายาบ้า ศรีไพรวิ่งขึ้นกระชากตัวช้อยออกมา แล้วผลักกล่ำออกไป
“น้า นี่มันอะไรกันนี่ ตีน้าช้อยทำไม น้าช่อยเป็นเมียของน้านะ”
“อย่ายุ่งกับเรื่องของข้านะ ไอ้ศรีไพร นี่มันเรื่องของผัวกับเมียโว้ย”
“ฉันจะยุ่ง ฉันทนเห็นน้าทำกับผู้หญิงยังงี้ไม่ได้ น้าช้อยเป็นแม่ของลูกน้านะ ผีห่าซาตานตัวไหนมันทำให้น้าเป็นคนยังงี้ หา”
“มัน...มันติดยา มันเอาเงินไปเสพยา” ช้อยโพล่งออกมา
ศรีไพรตะลึงงัน
“จริงหรือ”
“ถอยไป...เอาเงินมาให้กู” กล่ำตวาดลั่น
“น้า ฉันขอร้องละ พอเถอะ” ศรีไพรพยายามห้าม
“อย่ายุ่ง”
“ถ้าน้าไม่หยุด ฉันจะแจ้งตำรวจ”
ศรีไพรบอกอย่างจริงจัง
อ่านต่อวันพรุ่งนี้
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 11 (ต่อ)
ศรีไพรพาช้อยมาแจ้งความที่สถานีตำรวจ จ่าสินกวาดสายตา มองพลางยิ้มเยาะหยันศรีไพร ช้อยนั่งก้มหน้าร้องไห้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของจ่าสิน
“เอาอะไรมาพิสูจน์ว่าไอ้กล่ำมันติดยา นี่มันเรื่องของเอ็ง หรือว่าเรื่องของนังช้อยกันแน่ ไหน...ว่ามาซิ จะแจ้งความเรื่องอะไร”
“เรื่องทำร้ายร่างกาย ถึงจะเป็นผัวเมียกันตามกฏหมาย ผู้ชายก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายผู้หญิง” ศรีไพรบอกเสียงแข็ง
จ่าสินหันไปจ้องหน้าศรีไพร
“นี่ ไม่ได้ถาม ไม่ต้องยุ่ง กำลังถามเจ้าทุกขอ์อยู่นี่ ไง” จ่าสินหันไปหาช้อย “จะแจ้งความเอาผัวเข้าคุกมั้ย”
ช้อยอึกอัก
“เอ้อ...”
“น้า พูดความจริงไปซี ตำรวจเขาจะได้หาตัวต้นตอที่มันขายยาอุบาทว์ให้น้ากล่ำ”
ช้อยอ้ำอึ้ง
“อ้า...”
จ่าสินจ้องหน้าศรีไพรแล้วถามเสียงเข้ม
“เป็นใคร”
ศรีไพรอึ้งไป
“เอ้อ...”
“ยุยงให้ผัวเมียเขาทะเลาะกันแล้วมันได้ประโยชน์อะไร ผัวเมียมันก็ตีกันยังงี้แหละ ก็เห็นมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ถ้าจะหวังดีกับชาวบ้าน หวังดีให้มันถูกทิศหน่อยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
ช้อยผลุนผลันวิ่งร้องไห้ออกไป ศรีไพรรีบวิ่งตามออกไป จ่าสินมองตาม ยิ้มเยาะ
เนี้ยว ยิ้มหวานยกกาแฟเย็น มาตั้งให้ทวนที่กำลังเล่นหมากรุกกับมหาเฉื่อย ขณะที่เมิน ทอกและหมอกนั่งดูอยู่
“ม่วยเนี้ยว อาทวนอียังไม่มีออเลอร์ ลื้อทำมาทำไม แล้วจะไปเซ็กบิลล์ที่ใคร” เจ๊กตงถามอย่างไม่พอใจ
“ที่อั๊วก็ได้จ้ะเตี่ย”
“แหม ฝนตกไม่ทั่วฟ้าเลยนะ ม่วยเนี้ยว ท่านมหาเฉื่อยนั่งเล่นหมากรุกตั้งแต่เช้า คอแห้ง คอเป็นผง เสมหะติดคอ งองูงอแง” มหาเฉื่อยส่งเสียงแซว
เจ๊กตงฉุนกึก
“งองู...งูบนหัวลื้อน่ะซี หนอย...แก่จนป่านนี้แล้วยังริอ่านทำฟาร์มงูบนหัว อาม่วยเนี้ยว...ขึ้นเล่าเต๊ง”
เนี้ยวจ๋อยไป
“เตี่ย...”
ขณะเดียวกันนั้น ช้อยวิ่งร้องไห้ผ่านหน้าร้านเจ๊กตง ศรีไพรวิ่งตามมาดึงตัวช้อยไว้ ช้อยสะบัด
“ปล่อย...ปล่อยข้า อย่ามายุ่งเรื่องของข้า”
“น้า...น้าต้องบอกฉัน น้ากล่ำไปซื้อยานั่นมาจากไหน”
เมินกับทวน เลิกเล่นหมากรุก หันไปสนใจเรื่องยา
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง...” ช้อยตวาด
“มันเป็นเรื่องของเราทุกคนในบ้านนานี่แหละ เราต้องอยู่ด้วยกัน ต้องช่วยกันกำจัดยาอุบาทว์นี่ บอกฉันเถอะ ไปซื้อมาจากไหน”
“ปล่อยข้านะ...ปล่อย”
ช้อยสะบัดหลุด วิ่งออกไป
“น้า...”
ศรีไพรมองตาม พลางถอนใจ
ค่ำคืนนั้น ทวนและเมินต่างก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากมุมของตนเองที่หลบอยู่ มองไปยังหลิมกับเลิศและสมุนที่กำลังช่วยกันขนถังใบใหญ่ และอุปกรณ์ผลิตยาบ้าออกจากโรงนา เมินกับทวนหันมาจ๊ะเอ๋กันด้วยความแปลกใจ
“แก...”
“แกมาทำอะไรที่นี่” เมินถามอย่างสงสัย
“แกล่ะ แกมาทำไมที่นี่” ทวนย้อน
เมินอึกอัก
“เอ้อ...ฉัน...ฉันก็อยากรู้น่ะซีว่าทำไมคนบ้านนาถึงได้เป็นบ้าเป็นบอกันไปหมดหรือว่าแกไม่อยากรู้”
“ฉันก็อยากรู้ว่าในโรงนาของเศรษฐีบุญช่วยมีอะไร”
“งั้นเราเข้าไปพร้อมๆ กัน”
“ตอนนี้น่ะหรือ ฉันว่าแกตามไอ้พวกนั้นไป ฉันจะเข้าไปดูในโรงนา”
“เอายังงั้นหรือ”
“เอายังงี้แหละ”
ทั้งสองแยกย้ายกันออกไป ทวนคลานมุ่งไปที่โรงนา เมินแยกไปอีกทาง ขณะเดียวกันนั้น คนเร่รอนที่มาซุ่มดูอยู่โผล่มามอง
ทางด้านเมิน มองไปยังกระท่อมร้างกลางป่า หลิมกับเลิศและสมุนขนเครื่องมือผลิตยาบ้า มาซ่อนไว้ในกระท่อมร้าง
“นี่หมายความว่าเศรษฐีบุญช่วยไม่ได้เป็นแค่ผู้ค้า แต่เป็นผู้ผลิตหรือนี่” เมินเครียดไม่น้อยกับสิ่งที่ได้รู้
ทวนคลานเข้ามาหลบอยู่ในมุมมืด หลิมปิดประตูโรงนาหลังขนของออกไปแล้ว ทวนลอบเข้ามาในโรงนา กวาดสายตามองไปรอบๆ
“ไม่มีอะไร มันขนไปเกลี้ยงเลย มันคงจงใจทำลายหลักฐานนี่เอง”
ทันใดนั้น สไบผลักชิงชัยเข้ามาในโรงนา ทวนรีบหลบวูบ
“นี่เธอจะบ้าหรือสไบ พ่อฉันยังไม่นอนนะ”
“คุณเป็นอะไรคุณชิงชัย นี่คุณกำลังเบื่อฉันหรือ ระยะหลังๆ นี่คุณไม่เคยสนใจฉันเลยนะ”
“ก็ไม่เห็นหรือ ตอนนี้กำลังยุ่งๆ ใครจะไปมีอารมณ์”
“คุณไม่รักฉันแล้วเหรอ ก็ไหนคุณบอกว่าคุณต้องการฉันยังไงล่ะ ที่ฉันยอมทำทุกอย่างแม้แต่หาคนมาปรุงยา ก็เพราะคุณนะ ท่านเศรษฐีตายเมื่อไหร่ เราจะได้อยู่ด้วยกัน”
ชิงชัยมองสไบอย่างเบื่อหน่าย
“นี่ เอาไว้ทีหลังได้มั้ย เธอก็รู้ว่าคืนนี้ฉัน...เอ้อ...ฉัน...”
สไบไม่ยอม
“ไม่ได้ คุณต้องทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันยังมีค่ากับคุณ ไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณหลอกใช้”
ชิงชัยอึ้งไป
“สไบ...”
“มานี่...ถ้าคุณพิสูจน์ไม่ได้ ฉันจะพิสูจน์เอง”
สไบผลักร่างของชิงชัยหงายหลังลงกับพื้น ก่อนโถมทับลงไป ทวนค่อยๆ เอียงหน้าออกมาแอบมอง สะดุ้งสุดตัวเมื่อคนเร่รอนมาจับที่ไหล่จากด้านหลัง
ทวนเดินตามคนเร่ร่อนออกมาด้านนอกอย่างสงสัย
“ลุงเข้าไปทำอะไรในนั้น เข้าไปขโมยของ หรือแอบเข้าไปนอนในโรงนาของเศรษฐีบุญช่วย ไม่ตอบ...ถามอะไรก็ไม่ตอบสักอย่าง มันต้องมีคำตอบซี ไม่ยังงั้นลุงจะเข้าไปทำไม อย่า...อย่าบอกว่าเข้าไป...ไป...ไปดูคนเล่นจ้ำจี้มะเขือเปราะกันนะ”
คนเร่ร่อนไม่ตอบ เมื่อมาถึงที่พักในป่าก็นั่งลงเปิดย่ามค้นหาของกิน ทวนมองอย่างสงสัย ก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า
“ถามหน่อย ลุงเข้ามาในบ้านนาทำไม”
เช้าวันใหม่ ศรีไพร ศรีแพร และ แสน ถือขันตักบาตรมารอตักบาตรหลวงตา ศรีไพรเคร่งเครียด เพราะรู้ว่าคนในบ้านนาตกเป็นทาสของยาเสพติด
“เราจะทำอะไรได้ในเมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ไปเป็นพวกเศรษฐีบุญช่วย ใครจะฟังคำขอร้องของใคร ในเมื่อลูกยังไม่ฟังพ่อแม่เลย” ศรีแพรบอกอย่างหนักใจ
“แต่เราจะปล่อยให้บ้านนาเป็นยังงี้ไม่ได้นะ พี่ศรีแพร เราต้องช่วยให้ชาวบ้าน เขารู้ถึงพิษภัยของมัน มันกำลังทำลายชุมชนของเรา”
“ใครไม่รู้ล่ะว่าพิษภัยของมันร้ายแรงแค่ไหน วิธีที่จะแก้ได้ ต้องปราบกับบำบัดไปพร้อมๆ กัน แกมีกำลังพอที่จะทำได้ทั้งสองอย่างหรือ”
“พี่ พระมาแล้ว” แสนพูดขึ้น
ทวน เมิน ทอกและหมอกเดินหิ้วปิ่นโตตามหลวงตาออกมารับบาตร ต่างชะเง้อมองมายังศรีแพร ศรีไพรมองตาขวางขุ่น กันท่าทั้งสอง
“เศษเนื้อข้างเขียงเมื่อวานอร่อยมาก ขออนุโมทนา เกิดชาติหน้าแล้วพี่จะตามไปเกิดด้วยนะ ศรีแพรจ๋า” เมินกระซิบบอก
ศรีแพรยิ้มเขิน
“ไม่รู้ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า แต่ถ้าพี่จะไปเกิดด้วย ฉันจะรอจ้ะ พี่เมิน”
“พี่ตีตั๋วสำรองที่นั่งไว้ เป็นตั๋ววีไอพี มีที่จำกัดสำหรับศรีแพรคนเดียว ถ้าจะไปกับพี่รอที่เดิมนะจ๊ะ” ทวนกระซิบบ้าง
ศรีไพรรีบตอบแทนพี่สาว
“แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นะ”
ศรีไพรทำตาขุ่นเขียวใส่ทั้งสอง หลวงตาชำเลืองมองอย่างเบื่อๆเดินเลยไป ศรีแพรหน้าเหวอ
“อ้าว หลวงตา วันนี้ไม่ให้พร...”
แสนเกาหัวงงๆ
“สงสัยหลวงตาท่านจะรีบไปโปรดสัตว์น่ะ”
“ใช่”
ศรีไพรหันมาจ้องหน้าเมินและทวน กระแทกเสียงประชด
“สัตว์ผู้ยาก...”
สไบเปิดประตูโรงนา ปัดเศษหญ้าออกจากผมและแผ่นหลัง เหลียวซ้ายแลขวาก่อนที่จะเดินกลับไปที่บ้าน แหว่งยืนกระวนกระวายรอสไบอยู่ที่บันได ชะเง้อชะแง้มองไปยังโรงนา อย่างรู้ว่าสไบและชิงชัย มีความสัมพันธ์กัน สไบกำลังจะเดินขึ้นเรือนอย่างรีบเร่ง แหว่งรีบพุ่งเข้าไปหา
“คุณสไบของบ่าวขา ทำไมถึงได้...”
ชาริณีเดินลงมาจากบันได จ้องมองสไบ เห็นเศษหญ้าติดผมสไบ
“ไปทำอะไรมา เมื่อคืนนอนบนเรือนหรือเปล่า ทำไมฉันเรียกไม่ขานรับ”
“หมดเวลารับใช้แล้ว อยากได้อะไรก็ช่วยตัวเองบ้างซี” สไบพูดเสียงแข็งใส่
ชาริณีมองเหยียด
“ฉันจะช่วยตัวเองทำไม ในเมื่อบ้านนี้มีขี้ข้าให้ใช้”
“ถ้าหมายถึงนังแหว่งละก็...ใช่ แต่ถ้าหมายถึงฉัน เปลี่ยนความคิดเสียใหม่นะ”
ชาริณีโกรธ
“นังสไบ ยังไงแกก็เป็นขี้ข้า แล้วนั่น...เอ๊ะ ทำไมเผ้าผมแกมีเศษหญ้าติดล่ะ”
สไบหน้าตาท่าทางส่อพิรุธ แหว่งรีบปกป้องนาย
“ก็ลมมันแรง มันก็พัดเอาเศษหญ้ามาติดผมคุณสไบของบ่าวขาซีคะ”
ชาริณีถลึงตาใส่แหว่ง
“ฉันไมได้ถามแกไม่ต้องสะเออะ ฉันถามนังสไบว่าไปทำอะไรมา ถึงได้มีเศษหญ้าติดตามเสื้อผ้าตามเผ้าผม หรือว่า...แกลงไปนอนหลังคลุกกับดิน เสื้อแกถึงได้เปรอะไปทั้งตัวยังงั้น สัญชาติไก่น่ะ...มันต้องจิกดินเป็นอาหารมันถึงจะอยู่รอดได้”
สไบโกรธที่โดนเหน็บแนม
“แก...”
ชาริณีจ้องหน้า
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกสวมเขาให้พ่อฉัน ไม่ยังงั้นฉันจะ...”
ชาริณียังพูดไม่จบ สไบสวนขึ้นทันควัน
“ฉันก็จะฟ้องพ่อคุณ เรื่องที่คุณ...”
สไบหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ชาริณี หน้าตาส่อพิรุธทันที สไบสบสาบตาของชาริณี ยิ้ยเย้ยหยันก่อนที่จะเดินชึ้นบันไดไป แหว่งมองหน้า ชาริณีเงื้อมือจะตบ
“ว๊าย คุณสไบของบ่าวขา ช่วยด้วย...”
แหว่งรีบวิ่งตามสไบขึ้นเรือนไป ชาริณีมองตามอย่างชิงชัง
มหาเฉื่อย เก็บสำรับเมื่อหลวงตาฉันเรียบร้อยแล้ว ส่งให้เมินและทวนที่ปรนนิบัติหลวงตาอยู่
“พักนี้ชาวบ้านนาเราไม่ทำบุญตักบาตร เหตุอะไรรึ ท่านมหาเฉื่อย” หลวงตาถามอย่างแปลกใจ
“คนมันยากจนขอรับหลวงพ่อ พอจนแล้วก็เครียดเอาแต่ทะเลาะกันในครัวเรือน เลยไม่มีใครมีอารมณ์จะตักบาตรทำบุญครับ”
“เมื่อไหร่หลวงตาจะปลูกกุฎิหลังใหม่เสียทีล่ะครับ” เมินถาม
“ผมกับไอ้พวกนี้จะไปตัดไม้ในป่าช้า มาช่วยกันลงแรงกันสี่ห้าวันคงจะเสร็จ” ทวนเสนอ
หลวงตาถอนใจ
“ไปรบกวนผีเปล่าๆ เป็นผีเดี๋ยวนี้ก็ใช่ว่าจะนอนสบายนะ ไม่รู้จะถูกความเจริญมาเบียดบังเมื่อไหร่” หลวงตาหันมองไป “เออ...นั่นใครล่ะ”
ชาวบ้านผัวเมียวัยชรา กระชากลากถูลูกชายเข้ามาจะให้บวช ลูกชายมีอาการตาขวางขุ่น เนื้อตัวสั่นเพราะติดยาเสพติด
“ข้าเองละหลวงพ่อ ข้าเอาไอ้ขวัญลูกชายมาบวช เอาแบบโกนหัวเข้าวัดเลยจะได้ไม่เปลือง”
เมียกราบหลวงตา
“ช่วยบวชให้มันทีเถอะ นี่ก็ทั้งอ้อนวอน ทั้งปลอบทั้งขู่ เอามันไม่ไหวแล้วถึงได้ลากมันมาบวช ช่วยด้วยเถอะหลวงพ่อ บวชให้มันที”
ทวนกับเมินมองหน้ากันด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ เมื่อเห็นผัวเมียแก่ชราร้องไห้
“มันพร้อมใจบวชหรือเปล่าล่ะ ลากกันมายังงี้เหมือนมันยังไม่พร้อมเลยนะ” มหาเฉื่อยถามเสียงเครียด
“พร้อมหรือไม่พร้อมก็ต้องบวช พ่อแม่เอามันไม่อยู่แล้ว ขืนให้มันอยู่บ้านมีหวังหมดไม่มีเหลือ มันขโมยเอาไปขายซื้อยา ช่วยด้วยเถอะ หลวงพ่อ” พ่อพยายามขอร้อง
“บวชให้มันทีเถอะ คิดว่าเห็นแก่ข้า” แม่อ้อนวอนหลวงตา
หลวงตาถอนใจอย่างหนักใจ
“ผ้าเหลืองน่ะโยม ห่มให้คนเลิกยาไม่ได้หรอก โยมมาผิดที่เสียแล้วละ อย่างลูกของโยมน่ะมันต้องไปสถานบำบัด วัดเอาไม่อยู่หรอกมันต้องหมอ พามันไปหาหมอเถอะ”
แม่น้ำตาไหลพราก
“หลวงพ่อ ช่วยด้วยเถิด”
“เดี๋ยวนี้เขาก็มีกฎใหม่ออกมา ผู้ที่จะบวชต้องผ่านการตรวจจากแพทย์เสียก่อนว่าไม่ติดยาเสพติด ถึงจะอนุญาตให้บวชได้ บวชน่ะมันต้องพร้อมนะ ใช่สักแต่ว่าใช้วัดเป็นที่หลบภัย”
หลวงตาถอนหายใจ เศร้าหมอง สังเวชกับสภาพสังคมที่ถูกทำลายโดยยาเสพติด
ค่ำคืนนั้น ทวนและเมิน เปิดประตูให้หลวงตาเข้ามาในโบสถ์ หลวงตาจุดเทียนหน้าพระประธานก่อนกราบลง สายตาของหลวงตาจับจ้องอยู่ที่พระพักตร์ขององค์พระประธาน ขณะที่ทวนและเมินคลานเข้ามานั่งพับเพียบเงียบๆ หลวงตาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“ลำบากใจเหลือเกินขอรับ หลวงพ่อ คนเรานี่ก็แปลก...ลูกดีๆ ไม่ยอมยกให้เป็นศิษย์ตถาคต แต่ลูกเลวๆ กลับส่งมาบวช แล้วยังงี้จะให้ศาสนารุ่งเรืองได้ยังไงขอรับ มีวิธีไหนบ้างที่วัดกับบ้านจะอยู่ร่วมกัน ดูแลช่วยเหลือกันในยามที่มารมาแรง มีคาถาบทไหนบ้างขอรับที่ต้านมันอยู่ มารตัวนี้มันชื่อว่า...ยาเสพติด”
ทวนและเมินหันมาสบสายตากัน ต่างก็รู้สึกเศร้าใจ กับสิ่งที่หลวงตาพูด
อ่านต่อตอนที่ 12 วันพรุ่งนี้ อาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554