ในรอยรัก
ตอนที่ 11
ที่ร้านเครื่องประดับของกุเทพ
กุเทพเตรียมจะปิดร้านอยู่กับลูกน้องที่กำลังเช็คสต็อค
“เช็คของเสร็จก็ปิดประตูร้านได้เลยนะ วันนี้เลิกเร็วหน่อยแล้วช่วยกันปิดยอดของทั้งเดือนให้เสร็จคืนนี้นะ”
กุเทพพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือดู ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“สองสามวันนี้คุณกิ๊บเข้ามาบ้างรึเปล่า”
ลูกน้องมองหน้าถามกันและกัน แล้วต่างส่ายหัว
“ไม่เห็นเนอะ”
พิณสุดาพรวดพราดเข้ามา สีหน้าวิตกกังวล
“กุคะ”
พอกุเทพได้ยินเสียงพิณสุดา ก็สูดหายใจลึก ก่อนจะหันไป
“รู้ด้วยเหรอว่าผมกำลังตามหาตัวคุณอยู่น่ะ”
“กุรู้เรื่องยัยเดียร์แล้วเหรอ”
“เรื่องคุณเดียร์? คุณเดียร์ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
พิณสุดาทำท่าจะตอบ แต่แล้วเห็นลูกน้องจ้องฟังตาแป๋ว จึงดึงแขนกุเทพห่างออกไป
กุเทพดึงแขนกลับ “อะไรของคุณ”
“ยัยเดียร์หายตัวไป” กุเทพหัวเราะ
“ปัญญาอ่อนรึเปล่า ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็ฟังผมดีกว่า เรื่องคลิปมัสลินน่ะ ต้นสังกัดเค้ากำลังจะดำเนินคดีนะ”
“ก็เรื่องนี้นั่นละ ที่ทำให้ยัยเดียร์หายหน้าไปอย่างนี้ แล้วก็พูดว่าจะฆ่าตัวตาย”
กุเทพยิ้มสังเวชพิณสุดา อ้าปากจะพูด แต่พลันพิณสุดาเอานิ้วแตะริมฝีปากกุเทพไว้ พร้อมกับควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดข้อความเสียงของมธุริน
“กิ๊บทำไมเธอไม่รับสายฉัน ฉันทนไม่ไหวแล้วกิ๊บ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันทำอะไรลงไป ฉันจะมีหน้าอยู่ในสังคมนี้ต่อไปได้ยังไงถ้าคนเค้ารู้ว่า...ว่าเรื่องทั้งหมดมัน...”
สัญญาณสายตัดตึ้ด ๆ กุเทพชะงักไป พิณสุดาลดมือลงจากกุเทพ
“ทีนี้จะเชื่อได้รึยัง กิ๊บจะไปตามหายัยเดียร์ กุไปกับกิ๊บนะคะ”
“อย่าเล่นตลกอะไรกับผมนะ”
“โธ่กุคะ ก็ได้ยินอยู่เต็มสองรูหู”
กุเทพจ้องหน้าพิณสุดาอย่างชั่งใจ ก่อนจะก้าวออกไปด้วยความเป็นห่วงมธุริน
“อ้าว! แล้วนั่นกุจะไปไหนล่ะ กิ๊บยังคุยไม่จบนะ ...กุ!”
ทางด้านจิรดา เธอเชิดหน้า ชี้นิ้วที่อุษยา หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าสัวฟัง
“ที่ฉันเล่ามาเป็นความสัจจริงทุกอย่างฉันสาบานได้ว่าลูกสาวคุณน่ะด่าฉัน”
“ฉันไปด่าอะไรเธอ หน้าเธอฉันยังไม่เคยเห็น ต่อให้เห็นก็ไม่อยากจะแลให้เสียสายตา แล้วฉันจะไปด่าเธอได้ยังไง”
“ก็นี่ยังไงล่ะ แกกำลังด่าเค้าอยู่ ...ให้เค้าพูดให้จบ”
“พ่อจะไปฟังอะไร เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ หนูต่างหากที่พ่อต้องฟัง”
“ฉันบอกว่าให้เค้าพูดให้จบ!”
“ไม่ค่ะ หนูจะไม่ยอมให้แม่คนนี้มาออกฤทธิ์ออกเดชในบ้านเราแล้ว”
“อุษยา! นี่แกกำลังจะมีเรื่องกับฉันเพิ่มอีกคนนึงนะ” อุษยายอมนิ่งลง
“แล้วเท่าที่ฟังคุณคนนี้เค้าเล่ามา แกนั่นละที่เป็นฝ่ายผิด มีอย่างที่ไหนไปด่าลูกเค้าฉอดๆๆ แม่เค้าตามมาเอาเรื่องถึงบ้านมันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พ่อ!”
“เป็นแม่คนเค้าก็ต้องปกป้องลูกเค้าเป็นธรรมดา แกมันคนไม่มีลูกมีเต้าจะไปเข้าใจอะไร”
อุษยาร้อวกรี๊ดออกมาที่ได้ยินพ่อของตัวเองพูดจาเข้าข้างจิรดาที่เป็นคนอื่น
“พ่อ! นี่ใครเป็นลูกพ่อกันแน่คะเนี่ย หนูหรือแม่คนนี้ แทนที่พ่อจะเข้าข้างหนู แต่เปล่าเลย”
เจ้าสัวพิศมองใบหน้าจิรดาอย่างครุ่นคิด
“ผมต้องขอโทษแทนแม่อุษยาด้วยนะครับ”
จิรดาจ้องกลับ สู้สายตาเจ้าสัว ยังไม่ทันได้ตอบอะไร อุษยาที่มองทั้งสองคน ก็วี้ดขึ้นสติแตก
“เป็นบ้าไปกันหมดแล้ว ถูกหน้าถูกชะตากันนักไม่ชวนให้อยู่ด้วยกันซะเลยล่ะ อ๊าย!ฉันอยากจะบ้า!”
พูดจบอุษยาก็เดินสะบัด กระแทกเท้าจะออกไปแล้วพลันกรี๊ด เพราะเจอมัสลินยืนอยู่ตรงหน้า
“นี่พวกแก! เดี๋ยวนี้คิดจะเข้านอกออกในบ้านฉันก็ทำได้ตามอำเภอใจเลยใช่มั้ย! ว่าแล้วยังทำยืนเฉย หลีกไป๊!”
อุษยาเดินออกไป กระแทกไหล่มัสลิน จนมัสลินเซ
มัสลินมองทุกคนในห้องอย่างงุนงง ทันทีที่เห็นจิรดา ก็หน้าตาตื่นก้าวเข้าหา
“แม่!”
กานนรีบพูดปลอบใจมัสลิน
“ไม่ได้มีอะไรรุนแรงอย่างที่คุณคิดหรอกมัสลิน”
“มีฉันอยู่ทั้งคน ไม่มีใครทำอะไรคุณแม่หนูได้หรอก”
มัสลินยกมือไหว้เจ้าสัว ทั้งที่ยังงุนงง
“สวัสดีค่ะ”
“จริงอย่างที่คุณเค้าว่านั่นละ กลับกันเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว...ฉันลาละนะคะ”
จิรดาบอกกานนกับเจ้าสัว
“คุณจิรดาคุยสนุกดี ว่างก็เชิญที่บ้านอีกนะครับ”
กานนสะดุ้งกึกกับคำชมประหลาดของเจ้าสัว
“เห็นทีจะไม่ละค่ะ ขอบคุณที่เมตตานะคะ”
มัสลินกับกานนมองหน้ากันงง ๆ กานนยักไหล่แบบจนปัญญาจะเข้าใจเช่นกัน
ส่วนกุเทพเขาผลุนผลันออกมาที่รถ พอขึ้นรถกุเทพก็สตาร์ทเครื่องยนต์ทันที พลันพิณสุดาเปิดประตูขึ้นนั่งด้านข้าง
“อะไรของคุณอีก นี่ไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่นกันนะ ลงไปซะ”
พิณสุดาคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาด ไม่ยินดียินร้ายกับท่าทีรังเกียจของกุเทพ
“ถ้ากิ๊บลงแล้วกุรู้เหรอคะว่าจะไปตามยัยเดียร์ได้ที่ไหน”
กุเทพชะงักไปแล้วหันมองหน้าพิณสุดาอย่างขัดใจ
“แล้วคุณรู้เหรอว่าคุณเดียร์อยู่ที่ไหน”
พิณสุดาหันหน้ากลับแล้วตอบกุเทพด้วยน้ำเสียงปกติ
“กิ๊บว่ากุคงรู้ว่าในโลกยัยเดียร์คบใครเป็นเพื่อนบ้าง ก็แล้วแต่นะคะ กิ๊บลงก็ได้ถ้ามันจะทำให้กุสบายใจขึ้น”
กุเทพต้องข่มอารมณ์อย่างหนัก
“งั้นเธอก็บอกมาแล้วค่อยลงไป”
พิณสุดาหันขวับกลับมาที่กุเทพ
“มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอกุ ถ้าเล่นแง่กันถึงขนาดนี้ก็ไม่ต้องรู้อะไรมันหรอก”
พิณสุดาทำเป็นจะไปเปิดประตูรถลง กุเทพกดล็อคประตู พินสุดาง้างที่เปิดประตูค้าง
“จะไปก็ไป บอกทางมา”
พิณสุดาปรายตาที่กุเทพ เหยียดปากอย่างหมั่นไส้
ทางด้านมัสลินกับจิรดา หลังออกจากบ้านเจ้าสัว มัสลินก็ขับรถพาจิรดามาหาม่านมุกที่บ้านสวน...ถุงแกงในมือจิรดาถูกวางลงบนโต๊ะ จิรดายิ้มกริ่ม มองถุงแกงอย่างสะใจ
“แกงชาววัง อร่อยนะ แม่กินสิ”
ม่านมุกมองถุงแกงสลับกับท่าทีแปลกๆ ของจิรดาแล้วเอ่ยขึ้น
“นึกยังไงวันนี้ซื้อกับข้าวมาให้แม่”
“กินๆ ไปเหอะน่า อย่าถามมาก วันนี้หนูอารมณ์ดีนะจะบอกให้”
“ไม่ต้องถึงกับบังคับกันหรอก ที่แม่ถามน่ะก็เพราะดีใจ นานๆ จะเห็นแม่ดาซื้ออะไรมาให้แม่ซะที ขอบใจนะลูก แกงนี่น่ะเค้าเรียกแกงทวายชาววัง หาทานยากนะ ... ถ้าแม่ดาน่ารักอย่างนี้ทุกวันแม่คงสบายใจ ขอบใจนะลูกนะ”
จิรดายิ้มเก้อๆ เริ่มทำตัวไม่ถูก เลยเปิดปากเล่าความจริงให้ม่านมุกฟัง
“ขอบอกขอบใจอะไรกันนักหนาแม่ อ้ะหนูจะบอกความจริงให้ก็ได้ว่าจริงๆ แล้วน่ะหนูก็แค่เอาแกงมาบังหน้าเล่นงานคนเท่านั้นแหละแม่ จัดการเสร็จจะทิ้งไว้ให้กิน ก็เสียดายของดีๆ เลยสั่งยัยมัสให้หยิบออกมาด้วย เออ..ว่าแต่ยัยมัสทำไมยังไม่เข้ามาอีก ทำอะไรอยู่ในรถนักหนานะ”
จิรดาทำท่าจะก้าวไปดู ม่านมุกตกใจ คว้าแขนจิรดาไว้
“เมื่อกี้แม่ดาว่ายังไงนะ ไปเล่นงานใคร? เรื่องอะไร? เกี่ยวกับยัยมัสอีกแล้วงั้นเหรอ”
“ไม่ต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นหรอกแม่ ...อาคุณกานนน่ะแม่ เรื่องมันยาว เอาเป็นว่าหนูเข้าไปเล่นงานมันเรื่องที่มันด่านังมัส แล้วก็ไม่ได้นึกว่าจะเจอทั้งคุณกานนทั้งเจ้าสัวพ่อเค้าด้วย”
ม่านมุกได้ยินก็ตกใจหนักเข้าไปอีก
“เจ้าสัว...ทศ...”
“น่าจะใช่นะ หนูไม่รู้จักชื่อเค้าหรอก แม่รู้จักเค้าด้วยเหรอ”
“เปล่าหรอก ก็แค่รู้จักชื่อ ...แล้วนี่เราไม่ถูกรุมเอาเหรอพ่อเค้าก็อยู่ด้วย โธ่...แม่ดานะแม่ดา”
จิรดายิ้มอย่างสะใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่บ้านเจ้าสัว
“คนละเรื่องกับที่แม่คิดเลยละ หนูก็งงเหมือนกันนะนึกว่าเขาโผล่มาแล้วจะสับหนูเละ ที่ไหนได้ คุณเจ้าสัวนั่นกลับมาเข้าข้างคนอื่นอย่างหนูซะนี่ เล่นเอายัยอาหญิงอะไรนั่นสะบัดก้นออกไปไม่ทันเลยสมน้ำหน้า”
“แปลกๆ อยู่นะ ...อืม..ท่านคงจะเป็นคนที่ยุติธรรมพอสมควรทีเดียว”
“โฮ้ยยัยลูกสาวโกรธพ่อเป็นฟืนเป็นไฟ ถามพ่อตัวเองว่าหนูหรือเค้าที่เป็นลูกเจ้าสัวกันแน่ ฮ่ะๆๆ”
ม่านมุกสีหน้ากระตุกไป
“ลองได้เป็นถึงลูกสาวเจ้าสัวน่ะเรอะ หนูไม่มีทางเสียเวลาแส่เรื่องชาวบ้านเหมือนแม่นั่นหรอก สู้เอาเวลาไปเสริมสวย ช็อปปิ้งเมืองนอกดีกว่า ไม่รู้คิดอะไรอยู่นะแม่นะคนรวยนี่ สงสัยว่างจัด”
ม่านมุกฟังแล้วมีสีหน้าไม่สบายใจ
มัสลินยกจานอาหารลงตั้ง ม่านมุกยังคงสีหน้าขรึม ครุ่นคิดเรื่องคำพูดของจิรดา
“โฮ้ยยัยลูกสาวโกรธพ่อเป็นฟืนเป็นไฟ ถามพ่อตัวเองว่าหนูหรือเค้าที่เป็นลูกเจ้าสัวกันแน่ ฮ่ะๆๆ”
มัสลินไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าม่านมุก ชวนคุยเรื่อยเปื่อย
“น่าทานนะคะยาย แกงทวายชาววัง...มัสเคยได้ยินแต่ชื่อ ถ้าอร่อยจะได้ให้ปิ่นทำให้ทานบ่อยๆ ... คุณยายคะ?”
ม่านมุกรีบปรับสีหน้าเป็นปรกติ “อ้อ ว่าไงลูก”
“คุณยายทำหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายใจเรื่องที่มัสกับแม่ไป...”
“ก็ทำนองนั้น บอกแม่เค้านะ มีเรื่องมีราวก็หัดปล่อยๆ มันไปซะบ้าง ไปบุกบ้านคนอื่นเขาแบบนี้มันอันตราย ดีไม่ดีเค้าแจ้งข้อหาบุกรุกได้นะ”
จิรดายกจานอาหารเข้ามาสมทบ
“แจ้งมาก็แจ้งไปสิ ด่าเราฉอดๆ หลักฐานก็มี”
“เอาตำแหน่งบอดี้การ์ดไปอีกตำแหน่งดีมั้ยแม่”
“ก็เอาดิ๊ เพิ่มเงินก็เอาอยู่แล้ว”
มัสลินหัวเราะขำแม่
“พอกันเลยแม่ลูก ไม่เอานะยัยมัส อย่าทำตัวนักเลงแบบนี้ ไม่น่ารักเลย”
“อ้าว แม่พูดงี้ก็ว่าหนูน่ะสิ ว่ากันต่อหน้ายัยมัสอย่างนี้ ลูกที่ไหนมันจะเคารพแม่กันล่ะ”
“คนเราจะเคารพหรือไม่เคารพกันมันไม่ได้อยู่ที่คำพูดของคนอื่น แต่อยู่ที่การกระทำ”
“ซ้าธุ...”
จิรดายกมือไหว้ท่วมหัวมัสลินหัวเราะขำจิรดา รู้สึกมีความสุขที่เห็นจิรดาดูสดใส ปิ่นเข้ามา หน้าซีดเผือด
“คุณท่านคะ โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าตาย้งอาการทรุดหนักค่ะ”
ม่านมุกงงงัน แก้วน้ำที่กำลังจะยกดื่มหลุดมือ หล่นแตกเพล้ง จิรดากับปิ่นร้องตกใจ มัสลินปราดเข้าประคองม่านมุกไว้
ที่บ้านกานนแม่บ้านช่วยกันยกเครื่องโทรศัพท์บ้านเข้ามาคนละเครื่อง ทั้งหมดช่วยกันเปลี่ยนโทรศัพท์นั้นกับโทรศัพท์ลวดลายสวยงาม รูปแบบคลาสสิคตามแต่ละจุด อุษยาสะพายกระเป๋าแบบเตรียมจะออกจากบ้านเข้ามาเห็นเข้าก็ตาลุก
“นี่มันอะไรกัน จะเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์กันทำไม รู้มั้ยแต่ละเครื่องเนี่ยฉันซื้อมาจากยุโรปนะ มันก็ยังใช้การได้ เปลี่ยนทำไม ใครบอกให้เปลี่ยน”
เจ้าสัวเดินเข้ามา ส่งเสียงตอบเนือยๆ
“ฉันเอง มีอะไรมั้ย”
“ใครจะกล้าล่ะคะ อยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย ก็นี่มันบ้านพ่อนี่ แต่ถามหน่อยเถอะ โทรศัพท์เก่ามันเป็นยังไงเหรอ ทำไมต้องเปลี่ยนกันยกชุดด้วย”
“ทำไมฉันต้องตอบแกด้วย”
“พ่อ!”
“โว้ยจะไปไหนก็ไป ฉันรำคาญเสียงแหลมๆ ของแกเต็มที”
กานนได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินเข้ามา “อะไรกันอีกแล้วครับ”
“ตาดูหูฟังไว้เลยนะตาปลิว ถ้าวันนึงอาจะออกจากที่นี่ไปก็ไม่ต้องงง!”
อุษยาสะบัดหน้าเดินออกไป
“สงสารอาหญิงนะครับคุณปู่” กานนหันมาพูดกับเจ้าสัว
“สงสารมันทำไม แค่นี้ยังน้อย ถ้าเทียบกับสิ่งที่มันกับแม่มันทำ”
“เรื่องคุณย่าเล็กอีกแล้ว ไม่เอาครับปู่ วันนี้มีแต่เรื่องยุ่ง ๆ อย่าคิดเรื่องเครียดเลยนะครับ”
“ไม่คิดไม่ได้หรอก คุณจิรดาอะไรนั่นเหมือนเหลือเกิน ...คนเราบุคลิกท่าทางมันจะเหมือนกันได้ขนาดนี้เชียวหรือ”
แม่บ้านเข้ามารายงาน
“เปลี่ยนหมดแล้วทุกเครื่องนะคะคุณท่าน”
“จัดเวรมาเฝ้าโทรศัพท์ด้วย”
“ค่ะ” แม่บ้านรับคำ แล้วทั้งหมดออกไป กานนงงงัน
“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของไข้อาย้งถึงไม่โทรหาฉันบ้าง”
“อ้อ เรื่องนี้นี่เอง อืม...ผมว่าถึงเค้าจะไม่โทรก็ไม่เป็นไร เราเขียนจดหมายฝากพยาบาลไว้ให้เค้า ว่าเราเป็นใคร ต้องการติดต่อเค้าเรื่องอะไร ดีมั้ยครับ”
“มันจะได้ผลเหรอว้า ฉันละมองไม่เห็นวี่แววเลย”
“ต้องได้ผลสิครับ ปู่อย่าลืมนะครับว่าเราได้เจออาย้งแล้ว ที่เหลือก็ต้องฉลุย เรากำลังจะได้รู้แล้วว่าตอนนี้ย่าเล็กอยู่ที่ไหน”
คำพูดของกานนทำให้เจ้าสัวพยักหน้าหงึกหงัก อย่างมีความหวัง
“ก็ใช่... ฉันถึงได้ตั้งตารออยู่นี่ไง”
มัสลิน ม่านมุก จิรดารีบมาที่โรงพยาบาล เมื่อมาถึงทั้งสามคนรีบใส่เสื้อคลุมฆ่าเชื้อเข้ามาหาอาย้งในห้องไอซียู...พอเห็นหน้าม่านมุก อาย้งพยายามจะพูด
“ผม...ขอ...โทษ”
อาย้งมือกระดิก สั่นระริก อยากจะยกมือขึ้นไหว้ ม่านมุกกุมมืออาย้งไว้ กลั้นน้ำตา
“ไม่ต้องพูดอะไรอาย้ง ฉันไม่อยากฟัง คิดแต่เรื่องดีๆ นะ แกต้องหาย ได้ยินมั้ย แกต้องหาย แล้วค่อยไปคุยกับฉันที่บ้านสวน”
จิรดามองท่าทีและความสัมพันธ์ของอาย้งกับม่านมุกอย่างประหลาดใจ ระคนสงสัย มัสลินน้ำตารื้นขึ้นมาอีกคน ขณะประคองม่านมุกไว้อย่างห่วงใย อาย้งจ้องหน้าม่านมุกนิ่ง ปากขยับไปมาแบบอยากจะพูด
“แกเหนื่อยแล้วอาย้ง ยังไม่ต้องคุยนะ ทำใจให้สบาย ฉันจะอยู่ตรงนี้ จะไม่ไปไหน”
“เจ้า...สัว”
ม่านมุกสะดุดคำพูดของอาย้ง
“เจ้า...เจ้า...สัว ...ตามหาคุณ...นาย” มัสลินพลอยประหลาดใจกับคำพูดอาย้ง
“ผมเจอ...เจ้าสัว”
ม่านมุกนิ่งงัน
“พูดอะไรของแก ...อาย้ง”
อาย้งหอบหายใจแรงขึ้นๆ พยาบาลเช็คค่าเครื่องวัดต่างๆ ในจอมอร์นิเตอร์ แล้วหันมาพูดกับพวกมัสลินเร่งรีบ
“ญาติเชิญข้างนอกก่อนนะคะ” พยาบาลว่าแล้ว ปราดวุ่นไปกดอินเตอร์คอมพ์ “ไอซียู01 Vital Sign disorder”
เพียงครู่เดียว นายแพทย์กับพยาบาลอีกชุดเข้ามาอย่างเร่งรีบ มัสลินโอบไหล่ม่านมุกออกไป พร้อมกับจิรดา ม่านมุกเหลียวกลับมองอาย้ง ร้องไห้
มัสลิน ม่านมุก จิรดายังคงคอยฟังอาการอาย้งอยู่ที่หน้าห้องไอซียู ม่านมุกยืนอยู่กับมัสลิน
ส่วนจิรดานั่งเอนหลังพิงผนังอยู่ที่ม้านั่งยาว
ครู่เดียว นายแพทย์คนเดิมก็ออกมาจากห้อง ไอซียูพร้อมพยาบาล คุยกับมัสลินและม่านมุก
“คนไข้สิ้นลมแล้วนะครับ ผมเสียใจด้วย”
ม่านมุกนิ่งงัน มัสลินเข้าประคองแขนม่านมุกไว้
“อาย้ง!”
แพทย์ค้อมหัวให้ม่านมุก พยาบาลคุยกับมัสลิน
“สักครู่จะมีเจ้าหน้าที่มาแนะนำเรื่องการเก็บคนไข้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” มัสลินโอบม่านมุกให้นั่งลง พยาบาลค้อมศีรษะให้แล้วออกไป
“อาย้งไปดีแล้วนะคะคุณยาย”
ม่านมุกซับน้ำตา จิรดาลุกมาหาม่านมุก ถามมัสลินซื่อ ๆ
“ตกลงเสียแล้วเหรอ” มัสลินส่งสัญญาณสายตาให้จิรดานิ่งไว้ก่อน กลัวจะตอกย้ำม่านมุก “อะไร ถามแค่นี้ต้องทำหน้าเหมือนฉันทำอะไรผิดด้วย”
ม่านมุกซับน้ำตาด้วยความเสียใจ
อ่านต่อหน้าที่ 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 11 (ต่อ)
กุเทพชะลอรถก่อนเลี้ยวที่ทางเข้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง แล้วหันมองพิณสุดาที่เบาะข้างๆ
“คุณแน่ใจนะว่าคุณเดียร์อยู่ที่นี่”
พินสุดายื่นหน้าเข้าไปใกล้กุเทพ วางมือบนตักกุเทพตอบอย่างยียวน
“กิ๊บจะโกหกกุไปทำไมล่ะคะหรือว่ากลัว...กิ๊บจะหลอกพากุเข้าโรงแรม”
กุเทพเบี่ยงหน้าหนี จับมือพิณสุดาออกจากตักตัวเอง
“นี่ไม่ใช่เวลาจะมากวนประสาทกัน คุณเดียร์น่าเป็นห่วงนะ ตกลงยังไง”
พิณสุดาเห็นกุเทพเริ่มขึ้นเสียงไม่สบอารมณ์ก็หน้าบึ้ง ตอบกุเทพแบบห้วนๆ กลับไป
“ก็ตามที่บอกนั่นละ กิ๊บมาซื้อสมาชิกที่นี่พร้อมกับยัยเดียร์ ทั้งสปา ฟิสเนส แล้วก็ห้องพัก”
กุเทพฟังพินสุดาอย่างอึดอัด
“คนอย่างยัยเดียร์จะมีปัญญาไปไหนไกล มันก็มีแต่ที่นี่น่ะแหละ”
“คุณนี่พูดถึงเพื่อนดีจังเลยนะ ตกลงรักเพื่อนรึเปล่าเนี่ย”
กุเทพหักพวงมาลัย เลี้ยวเข้าโรงแรมแบบกระชากดังเอี๊ยด พินสุดาตัวโยน ร้องเอะอะ
ที่บ้านของเตช
บัวบงกชเปิดประตูห้องมธุรินเข้ามา แล้วหยุดยืนมองไปที่เตียงนอนของมธุรินที่ถูกจัดเก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับไม่ได้ถูกคลี่ใช้งานมาหลายวัน...บัวบงกชเดินไปนั่งลงที่เตียงน้ำตาไหลนึกย้อนกลับไปถึงครั้งหนึ่งตอนมธุรินยังเป็นเด็ก ขณะหยิบกรอบรูปมธุรินตอนอยู่มัธยมขึ้นดู
เวลาผ่านไป...บัวบงกชหลับทั้งน้ำตาอยู่บนเตียงมธุริน ในมือยังถือกรอบรูป
เสียงเปิดประตูดัง บัวบงกชลืมตาโพลงผุดลุดขึ้น เพราะคิดว่าเป็นมธุริน แต่คนที่เปิดประตูเข้ามาคือเตช บัวบงกชหน้าเจื่อนลงทันทีใช้มือเช็ดน้ำตา พอตั้งสติได้ก็รีบถามเตชถึงมธุริน
“ลูกล่ะ!”
เตชทำหน้าประหลาดใจที่บัวบงกชถาม
“ผมมานี่ก็เพื่อจะถามคุณ ลูกอยู่ไหน”
บัวบงกชหน้าเสียเดินเข้าไปหาเตช
“ฉันเข้าใจว่าลูกตามคุณไป”
“เปล่า ...ผมขับรถออกไปได้สักพัก ก็โทรเข้าเครื่องยัยเดียร์ แต่ปิดเครื่องตลอด ผมเลยย้อนกลับมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ฉันไม่รู้”
“บัว! คุณตอบอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า คุณเป็นแม่นะ มัวทำอะไรลูกหายไปทั้งคนกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
บัวบงกชบีบขมับ พยุงตัวเองนั่งลงบนเตียง เตชรู้สึกผิด เข้าไปนั่งข้างๆ น้ำเสียงอ่อนลง
“เข้าใจผมบ้างเถอะบัว ผมเองก็รักลูกพอๆ กับที่คุณรัก”
ทั้งสองคนสบตากันอย่างพยายามคิดหาทางออก
เตชล้วงกระเป๋ากางเกงควักโทรศัพท์มือถือออกมา
“คุณจะโทรหาใคร”
“ผมจะแจ้งตำรวจให้ตำรวจช่วยตามหา แล้วเดี๋ยวจะโทรสั่งลูกน้องให้ช่วยกันตามอีกแรง”
บัวบงกชถอนหายใจเอื้อมมือไปจับมือเตชไว้เป็นเชิงห้าม
“อย่าเพิ่งเลยค่ะ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ลูกอาจไม่ได้ไปไหนไกล ขอฉันโทรหากานนก่อนเผื่อเค้าจะรู้เรื่องอะไรบ้าง”
เตชมองบัวบงกชสายตาผิดหวัง
“ไอ้กานนมันจะไปรู้เรื่องได้ยังไง ผมบอกแล้วไงว่าเพราะมันนั่นละลูกเราถึงเป็นอย่างนี้ ในเมื่อก่อนหน้านี้มันไม่ได้ใส่ใจอะไรยัยเดียร์ เดี๋ยวนี้มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เปล่าประโยชน์ โทรไปก็เสียเวลา”
บัวบงกชมองเตชอย่างเสียใจในสิ่งที่เตชพูดออกมา
“คุณจะคิดยังไงก็สุดแล้วแต่คุณเถอะค่ะ ยังไงยัยเดียร์ก็ลูกฉันทั้งคน ขอฉันจัดการในวิธีของฉันก่อน ถ้ามันไม่ได้เรื่องคุณจะทำยังไงฉันจะไม่ขัด”
เตชนิ่งไปไม่ตอบอะไร
คืนนั้นมัสลินพาจิรดากลับมาส่งบ้าน พอถึงบ้านมัสลินลงจากรถมาพร้อมกับจิรดา
“แม่ขึ้นข้างบนเถอะค่ะ เดี๋ยวมัสเข้าไปเอาเอกสารในห้อง แล้วก็จะออกไปเลย”
“โรงพยาบาลเค้าว่าไปพรุ่งนี้ก็ได้นี่ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วแกน่ะ”
“พรุ่งนี้มัสมีงานทั้งวัน คงปลีกตัวไปจัดการค่าใช้จ่ายอาย้งแทนยายไม่ได้ แม่เป็นห่วงมัสเหรอ”
จิรดาเสมองเข้าไปในบ้าน ทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นว่ามัสลินรู้ทัน
“ก็ฉันเป็นผู้จัดการแก ตอนนี้แกจะไปไหนทำอะไร ฉันก็ต้องเป็นห่วงสิตัวฉันเหนียวไปหมด ฉันไปอาบน้ำก่อนละนะ แกขับรถดีๆ ละกัน เสร็จแล้วก็รีบๆ กลับมาพักผ่อน”
เสียงรถอีกคันดังมาจอดอยู่หน้าบ้าน จิรดาหยุดกึก หันมองที่ประตูรั้วซึ่งยังเปิดอยู่
“อ้าว มายังไงอีกล่ะนั่น หรือจะตามมาเอาเรื่อง”
กานนลงจากรถ เดินตรงมายกมือไหว้จิรดา
“สวัสดีครับ...คุณน้า”
“อย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อกลางวันยังไม่จบ คุณตามมาเอาเรื่องฉันแทนอาของคุณงั้นเรอะ”
มัสลินปรามจิรดาให้เบาๆ เสียง
“แม่...” พร้อมกับหันไปถามกานน
“คุณมีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า ฉันกำลังรีบ”
กานนพูดกับจิรดาด้วยท่าทางจริงจัง
“เรื่องที่เกิดขึ้น มันเร็วจนผมงงไปหมด เลยอาจจะไม่ได้ดูแลคุณน้ากับมัสลิน ผมตั้งใจมาขอโทษครับ”
กานนยกมือไหว้จิรดาอีกครั้งจิรดาโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“ขอโทษขอโพยอะไรกัน เกี่ยวอะไรกับคุณ”
“แม่!”
“อ้าว ก็มันจริงนี่ คุณกานนเค้าเกี่ยวอะไรด้วย แม่อาหญิงนั่นต่างหากที่ควรขอโทษเรา รึว่าฉันพูดผิด?”
กานนเจื่อนไป
“เอาละค่ะ ขอบคุณที่คุณมา ฉันต้องไปแล้ว... แม่เข้าบ้านนะคะ”
มัสลินจับแขนจิรดา กึ่งบังคับให้เข้าบ้านไปด้วยกัน
มัสลินออกมาอีกทีพร้อมซองเอกสาร แล้วพลันตกใจ ที่กานนยังยืนอยู่ที่เดิม
“อ้าว ทำไมยังอยู่ตรงนี้ล่ะคะ”
“โดนทิ้ง”
“ฉันไม่มีเวลามาล้อเล่น”
“ผมก็ไม่มีเวลา แต่มันไม่สบายใจ ...ดูเหมือนคุณแม่คุณจะโกรธผมมาก”
“ไปเอาอะไรกับแม่คะ ไม่มีอะไรหรอก”
“คุณจะไปไหน ให้ผมไปส่งนะ”
“หาเรื่องให้ฉันทั้งวันยังไม่พอใช่มั้ยคะ” มัสลินถามยิ้มๆ
“โอย...พูดอย่างนี้ผมตายไปเลยดีกว่า ...นะ..ได้โปรด”
มัสลินมีสีหน้าลังเล กานนไม่พูดพล่ามทำเพลง คว้ามือมัสลินไปที่รถตัวเอง
“นี่..คุณ...!”
คล้อยหลังมัสลินกับกานน จิรดาก้าวออกมายืนมองดูห่วง ๆ
“ความรักมันก็มากับความเจ็บปวดอย่างนี้ละ ...นังมัส”
ระหว่างกำลังขับรถ กานนหันมาที่มัสลิน ร้องขึ้นอย่างตกใจ เมื่อฟังมัสลินเล่าจบ
“ญาติคุณเสีย? ใช่คนที่คุณไปเยี่ยม แล้วเราบังเอิญเจอกันวันนั้นรึเปล่า”
“ค่ะ ฉันต้องมาจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้จบ เพราะพรุ่งนี้มีงานทั้งวัน”
“ผมเสียใจด้วย อืม...อันที่จริงให้ผมจัดการแทนก็ได้นะ คุณแค่เอาเอกสารให้ผม”
“ได้ยังไงกันคะ ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณยายโกรธตายเลย”
“เป็นญาติฝ่ายคุณยายสินะครับ”
“ค่ะ สนิทกับคุณยายมาก ท่านเป็น...”
ก่อนที่มัสลินจะได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของกานนก็ดังขึ้น มัสลินหยุดการสนทนาอย่างมีมารยาท กานนดูชื่อคนโทรเข้าแล้วกดรับสาย พลางชำเลืองที่มัสลิน
“สวัสดีครับคุณอา”
บัวบงกชที่โทรเข้ามาน้ำเสียงเครียด
“ค่ะคุณกานน คุณได้คุยกับยัยเดียร์บ้างไหมคะ”
“เดียร์ไม่ได้โทรหาผมเลย”
มัสลินพยายามปรับสีหน้าเป็นปรกติ หันมองออกไปนอกหน้าต่างเรื่อยเปื่อย
“ยัยเดียร์หายตัวไปค่ะ ติดต่อไม่ได้เลย”
กานนหน้าเสีย
“คงไม่ใช่อย่างที่คุณอาคิดหรอกครับ อย่าเพิ่งคิดมากนะครับ ยังไงผมจะพยายามติดต่อเดียร์ แล้วจะรีบโทรกลับหาคุณอานะครับ ครับ ๆ สวัสดีครับ”
กานนกดวางสาย แล้วหันพูดกับมัสลินอย่างตรงไปตรงมา
“คุณแม่เดียร์เค้าโทรมาบอกว่าเดียร์หายตัวไป อยากให้ผมช่วยตามหาว่าเดียร์อยู่ที่ไหน”
มัสลินเหลียวกลับมา อึ้งๆ ไป
“คงไม่เกิดเรื่องร้ายๆ หรอกค่ะ งั้นมัสลงเรียกแท็กซี่ไปเองดีกว่า คุณจะได้ไปทำธุระของคุณ”
“มันด่วนก็จริง แต่ยังไงผมก็ต้องส่งคุณที่โรงพยาบาลก่อน”
“อย่าเลยค่ะ เสียเวลาคุณเปล่าๆ” ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันต่อ โทรศัพท์มือถือกานนดังขึ้นอีก
มัสลินยิ่งรู้สึกเกรงใจ “จอดเถอะค่ะ”
“นายกุ” กานนกดรับสาย
“เอ้อว่าไงกุ อืม...คุณแม่เค้าโทรมาบอกฉันแล้วละ กำลังว่าจะโทรไปหาแกอยู่เหมือนกัน อ้าว...แกเจอตัวคุณเดียร์แล้วเหรอ”
มัสลินหันมอง อย่างตั้งใจฟัง
“ว่าไงนะ เดียร์เนี่ยนะจะฆ่าตัวตาย!” กานนถามอย่างตกใจทำให้มัสลินตกใจไปด้วยข
กานนน้ำเสียงร้อนรน พูดโทรศัพท์ต่อ “แกอยู่ที่ไหน”
กานนรีบมาหากุเทพที่โรงแรม พอมาถึงโรงแรมมัสลินจึงเอ่ยลากานน
“คุณรีบไปเถอะ มัสไปก่อนนะคะ”
กานนสับสนกังวล จับแขนมัสลินไว้
“คุณรอผมที่ล็อบบี้นี่ก่อนได้ไหม เดี๋ยวผมจะขึ้นไปดูว่าข้างบนเป็นยังไงแล้วจะรีบลงมา”
“อย่าเลยค่ะ มัสจะทำให้คุณยุ่งยากเปล่าๆ คนที่คุณต้องห่วงคือมธุริน”
กานนไม่สนที่มัสลินพูดดึงมัสลินมากอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“รอผมอยู่นี่นะมัส ผมขอร้องเข้าใจผมนะ เดี๋ยวผมลงมาแล้วจะไปกับคุณที่โรงพยาบาล”
กานนไม่รอฟังคำตอบทิ้งให้มัสลินยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม...กานนก้าวเร็วๆ ออกไปแล้ว
มัสลินทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาอย่างเหนื่อยล้า
ภายในห้องพักของมธุริน พิณสุดายกแก้วเครื่องดื่มเย็นๆ สองแก้วเข้ามาให้กุเทพซึ่งเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้องที่เป็นห้องนอน
“จินโทนิคเย็นๆ ค่ะ”
กุเทพมองแก้วในมือพิณสุดาอย่างหัวเสีย
“คุณยังมีแก่ใจกินเหล้าได้ลงคองั้นเหรอ”
“ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ เรียกเท่าไหร่ยัยเดียร์ก็ไม่เปิดประตู รู้ว่าอยู่ในนั้น ยังไม่ตายก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ กุนะกุ ไม่เข้าใจกิ๊บสักนิดเลย เอาแต่ว่าๆๆ”
พิณสุดาวางแก้วของกุเทพลง นั่งไขว่ห้าง ยกแก้วตัวเองขึ้นดื่มไม่ยินดียินร้าย
กุเทพเคาะรัวที่ประตูห้องนอนอีกครั้ง
“คุณเดียร์ คุณไม่ออกมาไม่เป็นไร แต่ส่งเสียงตอบผมหน่อยได้มั้ย... คุณเดียร์”
พิณสุดามองเหยียดอย่างหมั่นไส้
“ยัยเดียร์นี่โชคดีนะคะ มีแต่คนรุมรักรุมสนใจ ทั้งกุ... แล้วก็อาปลิว”
กุเทพสะดุดชื่อกานนกึก หันขวับใส่พิณสุดา
“หยุดความคิดสกปรกของคุณเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“สกปรก? กิ๊บพูดอะไรไม่ดีตรงไหน ความรักเป็นสิ่งสวยงาม กุจะรักกับยัยเดียร์ก็ดีแล้ว กิ๊บก็แค่พูดถึงอาปลิวที่เป็นแฟนยัยเดียร์ ทำไมคะ ได้ยินชื่ออาแท้ๆ ตัวเองถึงกับทนฟังไม่ได้?”
“คุณกำลังจะบอกว่าผมแย่งแฟนอาตัวเอง”
“ตรงไหนคะที่กิ๊บพูดอย่างนั้น ถ้ากุไม่ได้คิดแย่งแฟนอาปลิวจริงก็อย่าร้อนตัวสิคะกุ”
กานนผลุนผลันเข้ามา
“นายกุ คุณเดียร์ล่ะ”
กุเทพพอเห็นหน้ากานนเข้าเลยกลายเป็นอึกอัก
“เอ่อ... ในห้องครับ”
พิณสุดามองกุเทพด้วยแววตาชิงชัง
ขณะนั้นมธุรินนั่งซึมเศร้าอยู่บนเตียง เหม่อมองออกไปทางนอกหน้าต่าง เสียงเคาะประตูดังขึ้น มธุรินยังคงนั่งเหม่อเหมือนไม่ได้ยินเสียงใดๆ
“เดียร์ นี่ผมนะเปิดประตูให้ผมเข้าไปคุยหน่อย เดียร์”
มธุรินชะงักหันขวับไปที่ประตูอย่างไม่เชื่อหูตัวเองแล้วก็ปล่อยโฮออกมาทันที
“กานน...”
กานนเอาหูแนบฟังเสียงภายในห้อง
“แกแน่ใจนะว่าเดียร์อยู่ในนั้น”
กานนหันมาถามกุเทพ
“ครับ ประตูถูกล็อคจากข้างใน”
“แม่บ้านก็ยืนยันว่าเห็นยัยเดียร์อยู่ในห้องนะคะ”
“ขอบคุณนะครับกิ๊บ นี่ถ้าไม่ได้กิ๊บช่วย เราคงตามหาเดียร์กันอีกนาน”
“เดียร์ก็แค่ทำหน้าที่เพื่อนค่ะ”
“ดีครับ อืม..เราคงต้องจัดการอะไรสักอย่างแล้วละ ...โทรแจ้งให้เค้างัดประตู ไม่ต้องรอแล้ว”
“ครับอา”
กุเทพตอบรับ แต่แล้วทั้งหมดก็ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูห้องดัง ประตูแง้มออก กานนรีบผลักประตูเข้าไป แล้วนิ่งงันกับภาพที่เห็น
“เดียร์...”
กานนเดินตรงเข้าไปหามธุรินในห้องซึ่งเธอยังนั่งซึมอยู่ปลายเตียง
“เดียร์...”
มธุรินอ้าแขนสวมกอดกานน ร้องไห้โฮ กานนกอดมธุรินไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“คุณเป็นอะไรเดียร์ เกิดอะไรขึ้น หรือว่ามีปัญหากับคุณพ่อคุณแม่อีกแล้วครับ” มธุรินสะอื้น สั่นหัวดิก ใบหน้าก้มงุดซุกอยู่กับอกกานน
“ไม่มีอะไร แล้วทำไมคุณเป็นอย่างนี้”
กานนพยายามประคองใบหน้ามธุรินให้เงยขึ้น พร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ มธุรินหลบตา
“ครับเดียร์? เล่าให้ผมฟังนะ”
“เดียร์กลัวค่ะกานน เดียร์ทำผิด คุณแม่ก็ไม่เข้าใจไม่มีใครเข้าใจเดียร์ ในโลกนี้เดียร์จะไม่มีใครเข้าใจเดียร์อีกแล้วใช่ไหมคะกานน เดียร์คงจะไปเจอหน้าใครไม่ได้อีกแล้ว”
มธุรินฟูมฟาย กานนตะล่อมถามมธุรินเหมือนเด็กๆ
“ในโลกนี้ไม่มีปัญหาอะไรที่ไม่มีทางแก้หรอกครับ ที่สำคัญปัญหาจริง ๆ น่ะไม่มีหรอก เราคิดไปเองทั้งนั้น อยากให้ผมฟังแล้วก็ช่วยคุณคิดมั้ย”
มธุรินมองหน้ากานนอย่างชั่งใจ
“กานนสัญญากับเดียร์ได้ไหมคะว่าจะเข้าใจและจะไม่โกรธเดียร์...เหมือนคุณแม่”
กานนพยักหน้า “แน่นอนที่สุดครับ”
มธุรินก้มหน้า เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงประหม่า
“เรื่อง...คลิป...มัสลิน...เดียร์ เดียร์เป็นคนทำเอง” กานนนิ่งงัน
“เดียร์ไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเรื่องบังเอิญ” มธุรินเงยหน้าสบตากานน
“กานนเชื่อเดียร์นะคะ ...กานน?” มธุรินตกใจกับท่าทีของกานน
“กานนโกรธเดียร์ใช่มั้ยคะ ...กานนก็เหมือนคุณแม่ เหมือนทุกคนทั้งโลก”
มธุรินลุกหนี กานนคว้ามธุรินไว้ มธุรินพยายามผลักไส
“คุณใจเย็นๆ สิครับเดียร์ เรื่องแบบนี้คุณคิดเองเออเองไม่ได้ เข้าใจมั้ยครับ ผมแค่กำลังตั้งสติ ว่าจะทำยังไง”
“ไม่ต้องทำยังไงค่ะ ไม่มีใครช่วยเดียร์ได้ เดียร์กำลังจะถูกตำรวจจับ พ่อแม่เดียร์ก็จะเสียชื่อ เดียร์เป็นลูกที่เลว เลวที่สุด” มธุรินร้องไห้ออกมา
“ไม่จริงหรอก คุณไม่ได้เป็นอย่างนั้น คุณใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าให้ผมฟัง”
มธุรินซุกหน้ากับอกกานน กานนมีสีหน้าวุ่นวายสับสน
ขณะนั้นบัวบงกชนั่งหน้าเครียดอยู่ในบ้าน เตชเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ
“ตกลงจะยังไง ป่านนี้แล้วยังไม่ได้ข่าวอะไร ผมจะแจ้งความให้ตำรวจช่วยคุณห้าม จะเรียกลูกน้องออกตามคุณก็ว่าอย่า ตกลงผมต้องทำตามที่คุณบอกทุกอย่างเลยอย่างนั้นเหรอ”
บัวบงกชเงยหน้ามองเตช
“ฉันมั่นใจว่าลูกไม่เป็นอะไร ยัยเดียร์แค่ขวัญเสียแล้วก็....กลัว”
เตชหันขวับมองหน้าบัวบงกช เสียงโทรศัพท์มือถือบัวบงกชดัง เตชรีบหันไปทางโทรศัพท์ บัวบงกชรีบคว้ามากดรับ
“คุณกุเทพ ยัยเดียร์เป็นไงมั่งคะ”
“ปลอดภัยครับ อยู่ที่โรงแรมจริงๆ ตอนนี้มีผมกับอาปลิวอยู่ด้วยคุณอาไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
บัวบงกชเริ่มยิ้มออกมองหน้าเตช
“ขอบใจพวกคุณมาก ขออาพูดสายกับคุณกานนหน่อยได้มั้ยคะ”
ประตูห้องถูกเปิดค้างไว้ กานนคุยมือถือ มีกุเทพยืนอยู่ด้วย
“เรียบร้อยแล้วครับเดี๋ยวอีกสักพักผมจะพาเดียร์ไปส่งให้ที่บ้าน ครับ ครับ คุณอาไม่ต้องห่วงนะครับ”
“ยัยเดียร์บอกมั้ยคะว่ามีปัญหาอะไร”
“อืม...เรื่องนี้ผมว่าเราอย่าเพิ่งคาดคั้นเดียร์ดีกว่าครับ คุณอาทำใจให้สบายนะครับ ครับสวัสดีครับ”
กานนกดปุ่มวางสายแล้วยื่นกลับคืนให้กุเทพ กุเทพมองเข้าไปในห้อง
“ล้างหน้าล้างตาอยู่ในห้องน้ำ คงอีกสักพัก แกจะกลับก่อนมั้ย”
“ไหวแน่นะครับ”
“ไหวสิวะ”
“แล้วตกลงมันเรื่องอะไร”
กานนหุบยิ้ม
“ก็..ไม่รู้ชัดเจนว่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน แกไปเหอะ”
กานนปิดประตู ก้าวไปยืนเครียดๆ ที่ริมหน้าต่าง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดหามัสลิน
ขณะนั้นมัสลินยังอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม มัสลินรีบคว้าโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ามากดรับ
“มัสพูดค่ะ คุณเป็นไงบ้าง”
“นี่คุณอยู่ที่ไหน”
“ยังไม่เรียบร้อยใช่มั้ยคะ”
“ก็...เอ่อ..”
มัสลินฝืนยิ้ม
“มัสอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วค่ะ แล้วค่อยคุยกันนะคะ”
มัสลินกดตัดสาย หลับตาลงอย่างจะปรับความรู้สึกให้เป็นปรกติ
กานนส่งเสียงเรียกมัสลินในโทรศัพท์มือถือ
“ฮะโหลมัสลิน..มัสลิน!”
กานนกดโทรออกซ้ำอีกครั้ง แต่แล้วมธุรินออกจากห้องน้ำมาในสภาพอิดโรย กานนเก็บมือถือแล้วตรงหามธุริน มธุรินนั่งลงเงียบเชียบ สีหน้าแววตายังเหม่อลอย
“เดียร์ไม่กลับได้มั้ยคะ เดียร์ยังไม่อยากเจอใคร”
“คุณหนีปัญหาไม่ได้นะครับเดียร์ คนเดียวที่จะช่วยคุณได้คือ...เอ่อ...”
“คะ?”
“มัสลิน”
มธุรินตาเบิกโพลง หน้าตื่น
“อย่านะคะ! อย่าพูดชื่อนี้ให้เดียร์ได้ยินอีก! ไม่เอ๊า เดียร์ไม่อยากได้ยิน เพราะผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้เดียร์เป็นอย่างนี้ ...อย่าพูด...ได้โปรด ฮือ”
มธุรินร้องไห้อย่างน่าสงสาร กานนกอดมธุรินไว้
“โอเคครับโอเค ๆ ๆ”
มัสลินกระชับกระเป๋าสะพาย ลุกขึ้นอย่างทำใจ หลังจากตัดสินใจว่าจะไม่คอยกานนอีกต่อไป
อีกมุมหนึ่ง บริเวณลิฟต์ เห็นไฟที่หัวลิฟท์กระพริบ และประตูลิฟท์เปิดออก กานนประคองมธุรินออกมามัสลินก้าวไปที่ทางออก แล้วชะงักเท้ากึกเหลียวไปที่ลิฟต์ จึงเห็นมธุรินซึ่งกอดกานนแน่น ทั้งสองเดินไปด้วยกัน
มัสลินยืนนิ่ง มองกานนกับมธุรินผ่านหน้าไป ทั้งคู่ไม่มีใครเห็นมัสลิน มธุรินเงยหน้าขึ้นยิ้มเซียวให้กานน
“กานนอย่าทิ้งเดียร์นะ”
“คิดมาก...ผมอยู่ตรงนี้แล้วไง”
“ขอบคุณนะคะ”
กานนประคองศีรษะมธุรินอ่อนโยน มัสลินนิ่งงันตัวชา มองกานนกับมธุริน กานนมองไปรอบล็อบบี้ทั้งที่เชื่อว่ามัสลินไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว กานนกับมธุรินจะพ้นออกไปอยู่แล้ว
พลันมธุรินรู้สึกผิดสังเกตอะไรบางอย่างจึงหันมองมัสลินแล้วนิ่งงัน เกาะกานนแน่น จนกานนรู้สึกเจ็บ
“เป็นอะไรครับเดียร์”
กานนมองหน้ามธุรินที่ซีดเผือด แล้วมองตามสายตามธุริน กานนหน้าเสีย
“มัสลิน...”
มัสลินนิ่งงัน ประสานสายตากับกานน
อ่านต่อวันพรุ่งนี้