xs
xsm
sm
md
lg

ในรอยรัก ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในรอยรัก
ตอนที่ 9

เจ้าสัวนั่งอยู่หน้าห้องตรวจด้วยสีหน้าครุ่นคิดระหว่างรอผลตรวจของตัวเอง พยาบาลสาวคนหนึ่งเข้ามาค้อมตัวพูดกับเจ้าสัวอย่างสุภาพ
“คอยผลตรวจสักครู่นะคะท่าน”
เจ้าสัวพยักหน้ารับ
“ขอบใจมาก”
กานนตรงมาจากอีกทางหนึ่ง ยิ้มให้พยาบาลที่เดินสวนไป ก่อนจะลงนั่งข้างๆเจ้าสัว เจ้าสัวหันขวับ ถามกานนอย่างร้อนใจ
“ว่าไง”
“อีกสักพักคงได้น่ะฮะ เอ๊ะ เมื่อกี้พยาบาลไม่ได้เข้ามาบอกคุณปู่หรอกเหรอฮะ”
เจ้าสัวขมวดคิ้วหันมองหน้ากานนอย่างไม่สบอารมณ์
“ฉันไม่ได้สนใจผลตรวจอะไรนั่น ฉันอยากรู้ที่ฉันให้แกไปถามเกี่ยวกับคนไข้คนเมื่อกี้ต่างหาก ตกลงมันใช่ไอ้ย้งมั้ย”
“อ้อ ผมลืมไปแล้วนะเนี่ย ลุงคนนั้นเค้าชื่อ... ยงยุทธครับ”
“เป็นไปได้ยังไง ทำไมมันเหมือนไอ้ย้งนักล่ะ แล้วนามสกุลอะไร”
“แซ่ตั้งครับ”
“แซ่ตั้ง? งั้นก็เข้าเค้าอยู่นะ” เจ้าสัวขมวดคิ้วพยายามนึกชื่อจริงของอาย้งแต่ก็นึกไม่ออก
“ย้ง... ยงยุทธ มันก็ใกล้เคียงอยู่นะ ปลิว ช่วยปู่หน่อย หาข้อมูลต่อทีว่าเจ้าของไข้หรือญาติๆ นายยงยุทธนี่เป็นใครมาจากไหนกัน”

กานนมองหน้าเจ้าสัวอย่างสงสัย
“ทำไมคุณปู่ถึงต้องอยากรู้เรื่องคุณลุงคนนั้นจังครับ หรือคุณปู่รู้จัก แต่ถ้าคุณปู่รู้จักทำไมไม่เข้าไปหาเขาเลยล่ะครับ”
“เฮ่ย ไปแน่อยู่แล้ว ขอให้รู้ก่อนเถอะว่าใช่ไอ้ย้ง... คนที่ทำให้ฉันต้องพรากจากคนที่ฉันรัก”
“หา... คุณปู่หมายถึงอาย้งที่คุณปู่เคยเล่าว่า”
“คุณย่าใหญ่ของแกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับย่าเล็ก” กานนนิ่งไป คิดไม่ถึงว่าลุงแก่ๆ คนนั้นอาจจะเป็นคนสำคัญสำหรับเจ้าสัว “ถ้าใช่อาย้งคนเดียวกัน นั่นก็หมายความว่าฉันก็พอมีหวังจะได้พบย่าเล็กของแก”
เจ้าสัวพูดด้วยความหวังเลื่อนลอย

กุเทพเดินคู่กับมัสลินไปที่รถตัวเอง ระหว่างที่กดรีโมทเปิดล็อคประตูก็หันถามมัสลิน
“มัสแน่ใจนะว่าไม่ต้องพาคุณยายไปโรงพยาบาลน่ะ พี่พาไปส่งได้นะ”
มัสลินตอบกุเทพยิ้มๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มัสดูแลยายได้สบายมากเดี๋ยวจัดยาให้ทานแล้วก็ให้ท่านเอนหลังสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”
กุเทพยังดูลังเลไม่อยากกลับเพราะที่จริงแล้วยังอยากอยู่กับมัสลินต่ออีกหน่อย
“มัสแน่ใจนะ พี่ว่าคุณยายดูอาการไม่ดีเลย”
มัสลินดุนหลังกุเทพให้ขึ้นรถยิ้มส่ายหัวย้ำคำตอบเดิม
“แน่ใจค่ะ”
“พี่ไม่ล้อเล่นนะ แม่บ้านของคุณยายยังพูดเลยว่าคุณยายไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน เห็นว่าพอรู้ว่าคนที่มาหน้าบ้านเป็นใครก็ถึงกับหน้ามืด”
“ปิ่นว่าอย่างนั้นเหรอคะ มัสไม่ยักรู้”
“ก็ใช่น่ะสิ ตกลงเค้าเป็นใครเหรอ”
มัสลินมีพิรุธ แต่รีบกลบเกลื่อน
“เอ่อ มัสว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันนะคะ อาจจะเป็นเพราะข้างนอกมันร้อนมากกว่า ไปเถอะค่ะ มัสจะได้กลับเข้าไปดูยายข้างใน”

กุเทพตั้งท่าจะหาเรื่องมาพูด แต่มัสลินเอียงหน้าปราม กุเทพจึงยิ้มแหะๆ ก่อนจะยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี
มัสลินปิดประตูรถให้...รถกุเทพค่อยๆ เคลื่อนออกไป มัสลินหันหลังเดินกลับเข้าบ้านในใจก็นึกสงสัยเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับยายของเธอ
“เห็นนายกานนแล้วถึงกับหน้ามืดเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง ...รึว่าท่านเจ้าสัว?”
มัสลินกลับมาดูม่านมุกมัสลินเข้าไปนั่งข้างๆ ยายดึงมือยายไปนวด
“ไม่จริงเลยใช่มั้ยคะยาย จะเป็นไปได้ยังไง ที่ยายจะถึงกับหน้ามืด แค่เห็นหน้าคุณปู่ของคุณกานน”
ม่านมุกจับมือมัสลินไว้ มือนั้นสั่นระริก
“เค้าชื่ออะไร แล้วเค้ามาทำไม”
“คุณกานนเขากำลังช่วยคุณปู่เขาตามหาย่าเล็กของเขาน่ะค่ะ บ้านเดิมเขาอยู่ฉะเชิงเทราแถวๆ ที่เราเคยอยู่พอดี มัสก็เลยบอกเขาไปว่ายายมัสน่ะดังมากแถวๆ นั้น ดีไม่ดียายอาจจะรู้จักย่าเล็กเขาก็ได้”
ม่านมุกหน้าซีดเผือด ทวนคำถามตัวเองอีกครั้ง
“เค้าชื่ออะไร” มัสลินนิ่งทำท่าคิด

“คุณย่าเล็กนี่...มัสจำไม่ได้น่ะค่ะ แต่คุณปู่รู้สึกจะชื่อสั้นๆ ว่าทศ ...คุณทศ รัตนรัช ยายรู้จักมั้ยคะ”
ม่านมุกสูดหายใจแรง อาการมึนงงวูบเข้ามาอีก จึงคว้ายาดมแบบโบราณใกล้ตัวขึ้นดม
“แย่ลงอีกแล้วเหรอคะยาย โอ..มัสไม่น่าหาเรื่องให้ยายต้องใช้ความคิดเลย ไม่เป็นไรนะคะ เรื่องคุณปู่คุณกานนเอาไว้ก่อนก็ได้ค่ะยาย”
“ไม่เป็นไร เพราะยังไง... ยายก็ไม่ได้รู้จักเค้าหรอก ...ทศ รัตนรัช... ยายไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้สกุลนี้เลย”
“อ้าว ... อย่างนั้นหรอกเหรอคะ”
“แล้วทำไมมัสไม่พาคุณกานนกับคุณปู่เค้าเข้ามาล่ะ คุณกุเทพก็อยู่นี่”
“ก็เพราะพี่กุอยู่น่ะแหละค่ะ มัสถึงไม่อยากให้เป็นเรื่องก็เลยบอกเขาไปตามตรงว่าพี่กุอยู่ด้านใน ซึ่งทั้งปู่ทั้งอาก็เข้าใจหลานชายเค้าดี เลยยอมที่จะไม่เข้ามาบ้านเรา”
ม่านมุกเริ่มเข้าใจถึงสถานการณ์ของหลานสาว

“ฟังดูเสียมารยาทยังไงก็ไม่รู้สินะ อืม..เอาอย่างนี้เอาไว้พาคุณกานนกับคุณปู่เขามาอีกทีนะลูก ถ้าได้คุยกันยายคงจะพอช่วยเหลือเค้าได้”
มัสลินทำหน้าดีใจกอดประจบม่านมุกทันที
“มัสว่าแล้วว่ายายของมัสน่ะใจดี คุณปู่ท่านแก่มากแล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยจะดี การที่ท่านจะได้พบคนรักที่พลัดพรากกัน น่าจะทำให้ท่านมีความสุขมากขึ้นทีเดียวละค่ะ”
ม่านมุกฟังแล้วน้ำตารื้น ครุ่นคิดถึงเจ้าสัวทศสามีคนเดียวของเธอเช่นกัน
“ยายเข้าใจ…”
มัสลินคว้ามือม่านมุกมานวดต่อพลางคุยไปเรื่อยเปื่อย
“คงคล้ายกับเรื่องคุณตาของมัสนะคะยาย”
มัสลินเพิ่งฉุกคิด หันขวับเห็นตาแดงรื้นน้ำตาของม่านมุก จึงรู้สึกผิดถึงกับเคาะหัว ตามด้วยตีปากตัวเอง

คืนนั้นเมื่อมัสลินกลับมาจากบ้านสวนพอเจอพัดกับแป้นจึงถามเรื่องเตช
“แม่เป็นไงบ้างน้าพัด”
“ผิดปรกติค่ะ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง เหล้ายาไม่เรียกหา”
“จนตอนนี้ก็ยังไม่ออกมาเลยค่ะ เงียบ สงบ แบบไม่น่าเชื่อเลยละค่ะคุณมัส”
มัสลินนึกเป็นห่วงแม่
“ร้ายก็น่าห่วง ดีก็ยิ่งน่าห่วง เฮ้อ..คุณดานะคุณดา เมื่อไรจะทำให้คุณมัสสบายใจกับเค้าบ้าง”
พัดบอกจิรดาเดินเข้ามา ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแป้นหลบวูบข้างหลังพัด มัสลินมองหน้าแม่อย่างตกใจ
“ตาแม่ทำไมบวมอย่างนั้นคะ”
“แล้วมันเรื่องอะไรของแก” จิรดาหันขวับไปที่พัดกับแป้น “แกสองคนด้วย!” พัดกับแป้นซึ่งพลอยเพ่งมองดวงตาจิรดาสะดุ้งเฮือก “จุ้นจ้านดีนัก จะไปไหนก็ไปเลย”
“ได้ยินอย่างนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อย... คุณดาเธอปรกติดีแล้วละค่ะ”
“แกพูดอะไรของแกนังพัด” พัดลอยหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เดินหนีเข้าในบ้านไป ตามด้วยแป้น เหลือแค่จิรดากับมัสลิน
“อยากกินอะไร จะหาให้”
“ผู้ชายคนนั้นทำให้แม่ร้องไห้เหรอคะ”

“เลิกพูดถึงเค้า ต่อไปไม่ว่าใครหน้าไหนก็เข้ามาวุ่นวายที่นี่ไม่ได้ ฉันรับรอง”
จิรดาพูดแบบไม่มองหน้ามัสลิน มัสลินดีใจขยับเข้าหาจิรดา คว้าแขนจิรดามาเขย่า
“แม่พูดจริงเหรอคะ แม่หมายความว่ายังไงคะ”
จิรดายอมให้มัสลินกอดแขน แต่ยังคงตอบแบบสะบัดๆ
“ฮื่อ ฉันว่าฉันจะเลิกยุ่งกับเขาสักทีดูสิว่าชีวิตมันจะหายวุ่นวายลงไปบ้างไหม ฉันเริ่มเหนื่อย”
“จริงนะคะแม่! มัสดีใจจังเลยค่ะ!”
“โอเวอร์”
“งั้นถ้ามัสหาอะไรให้แม่ทำ แม่จะทำไหมคะ”
จิรดาหันขวับมองหน้ามัสลิน
“ทำอะไร แล้วฉันจะได้เงินไหม”
“ได้สิแม่ มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้มัสไง เวลามีงานเรียกเข้ามาแม่ก็รับงานให้มัสจัดการเรื่องค่าตัว จัดตารางวันเวลาให้มัสแล้วแม่หักสตางค์ไปดีไหมคะ”
พอพูดถึงเงินจิรดาก็ตาเป็นประกายตื่นเต้น

“เหรอ แล้วตอนนี้งานแกเยอะไหมล่ะ”
“เยอะสิแม่ เนี่ยยิ่งถ้าแม่มาช่วยมัสนะอะไรๆ เป็นระบบระเบียบขึ้นมัสก็รับงานเพิ่มได้อีก เราจะได้ได้เงินเยอะขึ้น”
“เออฟังดูดีนะ อย่างนี้ก็แปลว่าถ้าฉันอยากได้รถ ฉันก็จะได้รถ ฉันอยากได้แหวนเพชรสักวง ฉันก็จะได้ใช่ไหม ไม่ต้องไปนั่งให้เมื่อยก้นที่บ่อน”
“แน่ซะยิ่งกว่าแน่ค่ะแม่ มัสซื้อให้แม่เองค่ะ แม่ทำงานได้เท่าไหร่แม่ก็เก็บของแม่ไว้”
“ทำให้ได้อย่างนั้นจริง ๆนะยะ”
มัสลินหัวเราะ เริ่มมีความหวังกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจิรดาอีกครั้ง ทันใดนั้นเองโทรศัพท์มือถือของมัสลินดังขึ้น มัสลินกดรับสาย
“มัสลินพูดค่ะ ...ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นเจ้าของไข้คุณยงยุทธ ห้ะ? ย้ายไปห้อง ICU เหรอคะ แล้วทำไมมาแจ้งดิฉันเอาป่านนี้ล่ะ ติดต่อไม่ได้? โทรศัพท์ฉันเนี่ยนะคะติดต่อไม่ได้ อ้าวแล้วที่คุณคุยกับดิฉันอยู่นี่ล่ะ
...โอเค ๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
“บอกยายแกด้วยนะว่าเลิกหาเรื่องวุ่นวายมาให้แกรับผิดชอบได้แล้ว อะไรยะ...ญาติก็ไม่ใช่ ดูแลกันอยู่นั่นอาย้งอายี้อะไรนี่”
มัสลินลุกขึ้นคว้ากระเป๋าถือ
“มัสไปดูเค้าก่อนนะคะแม่ ไม่อยากให้รู้ถึงยาย”

มัสลินรีบมาที่โรงพยาบาลขณะนั้เนกานนกำลังคุยต่อรองกับพยาบาลขอเข้าไปเยี่ยมอาการอาย้ง
“ไม่ได้จริงๆ ค่ะ มันเลยเวลาเยี่ยมแล้วคุณกลับมาใหม่พรุ่งนี้นะคะ”
“สัก 5 นาทีก็ไม่ได้เหรอครับ”
พยาบาลส่ายหน้าแล้วค้อมตัวเดินออกไปกานนได้แต่ยืนมองที่หน้าประตูห้อง ICU อย่างผิดหวังนึกถึงเรื่องเล่าจากเจ้าสัว
“ย่าเล็กของแกถูกคุณย่าใหญ่แกไล่ออกจากบ้านตอนที่ฉันไม่อยู่”

กานนก้าวช้า ๆ ครุ่นคิดเรื่องเล่าของเจ้าสัว ขณะตรงไปที่หน้าลิฟท์
“ไอ้ย้งมันแค่จะให้ปู่หยุดย่าเล็กไว้ไม่ให้ไป แต่ปู่ก็ไม่ฟังมัน นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ปู่เห็นหน้ามัน ...กับย่าเล็ก”
กานนเอื้อมมือไปกดปุ่มเรียกลิฟต์ พลางบ่นกับตัวเองอย่างเซ็งๆ
“เฮ้อ เสียเที่ยวจริงๆ เลย ขอให้เป็นอาย้งคนเดียวกันทีเถ๊อะ”
ลิฟท์อีกตัวเปิดออกกานนเหลือบสายตาไปเพียงผ่าน ๆ แต่แล้วต้องหันกลับไป เพราะคนที่พรวดพราดออกมาคือมัสลินมัสลินไม่ทันได้สนใจรอบตัวเวลานั้น หากแต่เพียงหยุดยืนมองซ้ายขวาหาป้าย ICU พอเจอแล้วก็ก้าวเข้าไปทันที กานนได้แต่มองตามมัสลินอย่างประหลาดใจ

มัสลินเดินเอื่อยออกมาจากลิฟท์กดโทรศัพท์มือถือโทรออก
“ปลอดภัยแล้วจ้ะ แต่ยังคงต้องอยู่ไอซียูดูอาการสักพักน่ะ อ่อ เดี๋ยวถ้าคุณยายถามถึงก็ไม่ต้องบอกอะไรมากแค่ว่าปลอดภัยก็พอ” มัสลินคุยไปเริ่มรู้สึกตัวไปว่าเหมือนมีคนกำลังเดินตาม แต่พอเหลียวไปกลับไม่เจอใคร มัสลินสีหน้าหวั่น ๆ “แค่นี้ก่อนละกันนะ เดี๋ยวมีอะไรอีกมัสจะรีบโทรไปบอก”
มัสลินซุกมือลงกระเป๋าสะพาย กำงบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือ แต่พอเหลียวซ้ายแลขวาไป ก็ไม่เจอใครเช่นเดิม พอหมุนตัวกลับจะก้าวเดินหน้าต่อ กลับเจอกานนยืนยิ้มให้อยู่
“คุณ!! มาได้ยังไงเนี่ย ตามฉันมาเหรอ”
“เปล่า ผมมาทำธุระที่นี่ กำลังจะกลับ”
มัสลินจ้องตากานนอย่างไม่วางใจ
“งั้นฉันไปนะคะ”
กานนพยักหน้าให้ แต่ก็ก้าวตามมัสลินไปอีก มัสลินหยุด กานนก็หยุด มัสลินจึงหันมาปรี้ดใส่กานน
“เอ๊ะคุณนี่ยังไงกันนะ!”
“รถผมจอดทางนี้เหมือนกัน เดินตามก็ผิดอีก?”

กานนกดรีโมทปลดล็อคประตูรถตัวเองซึ่งอยู่ไม่ห่าง มัสลินก้าวไปอย่างหัวเสีย พอถึงรถเก่าๆ ของตัวเองก็รีบไขกุญแจขึ้นนั่งทันที
มัสลินขึ้นนั่งในรถ เหล่กลับมองกานนอย่างหัวเสีย
“เพี้ยงขอให้รถสตาร์ทไม่ติด เสียๆๆๆๆ”
ว่าแล้วมัสลินก็บิดกุญแจสตาร์ทรถตัวเอง แล้วพลันเครื่องเกิดกระตุก เหมือนจะติด แต่แล้วก็ดับไป
“เฮ้ย ฉันหมายถึงรถนายกานน ไม่ใช่เรา”
มัสลินบิดกุญแจ สูดหายใจลึก สตาร์ทเครื่องรถ ในที่สุดก็ติด
“ฮ่ะฮ่า ต้องอย่างนี้สิลูกแม่”

มัสลินตบพวงมาลัย แล้วเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด ก่อนจะหมุนพวงมาลัยเคลื่อนรถออกจากซองที่จอด และไม่วายหันแสยะปากใส่กานน
“ยี้!”
ทันทีที่เห็นกานน มัสลินถึงกับหน้าเสีย
“อ้าว...”
กานนดันฝากระโปรงรถคันหรูของตัวเองขึ้นอย่างทุลักทุเล ขณะเดียวกันก็ใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์มือถือคุยกับศูนย์ดูแลรถยนต์ไปด้วย
“อ้อ การที่รถผมใช้น้อย แบตเสื่อม นี่เป็นความผิดของผมงั้นเหรอครับ แล้วที่ผมเพิ่งให้คนของผมเอารถเข้าศูนย์คุณไปเมื่อวานมันจะมีประโยชน์อะไร”
รถมัสลินแล่นวนผ่านมาชะลอแล้วหยุด มัสลินหมุนกระจกลงเอ่ยถามกานน
“รถเสียเหรอคุณ”
กานนเพียงพยักหน้า แล้ววีนใส่โทรศัพท์ต่ออีก
“เมื่อวานเองนะครับ ไม่ใช่ปีที่แล้ว เอางี้ดีกว่าคุณบอกมาจะให้ผมทำยังไง ...ทิ้งรถไว้ที่นี่!? โฮะ ๆ นี่ผมหูฝาดใช่มั้ย”

มัสลินโผล่มายืนกอดอกอยู่ข้างหลังกานน เอานิ้วจิ้มหลังกานน เป็นเวลาเดียวกับที่กานนกดวางสายมือถืออย่างหัวเสีย
“ว่าไงครับ”
กานนถามมัสลิน
“จะติดรถไปกับฉันมั้ยล่ะ”
“คุณคิดดูนะ รถผมเพิ่งส่งเข้าศูนย์เมื่อวาน เมื่อวานแท้ๆ เลย แต่ดูสภาพตอนนี้สิ”
“ฉันถามว่าจะติดรถฉันไปมั้ย ถ้าไม่ไปก็บอก จะยืนทะเลาะกับลมอยู่ตรงนี้ก็ตามใจ”
มัสลินก้าวกลับขึ้นรถ

มัสลินขับรถไปพลางเหลือบมองที่เบาะข้างอย่างเอือมๆ กานนยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้มัสลิน
“รถคุณนี่นั่งสบายนะครับ”
“ถ้าจะโกหก หาเรื่องอื่นให้มันเนียนกว่านี้หน่อยเหอะค่ะ”
“คุณมาทำอะไรที่โรงพยาบาล”
“เยี่ยมญาติ”
“เหมือนกันเลย ผมก็มาเยี่ยมญาติ”
“ใครถามไม่ทราบ”
“เค้าเรียกประโยคติดพัน ไม่อยากฟังก็ขอโทษ”
“จะบอกฉันได้รึยังว่าคุณจะลงที่ไหน”
“ร้านอาหาร ตรงไหนอะไรก็ได้ ผมหิว กินข้าวกันนะ”
“ไม่ ฉันกำลังรีบ แล้วฉันก็ไม่ได้หิว”

พลันเสียงท้องมัสลินร้องโครก มัสลินหน้าแดงซ่าน ยกมือกุมท้องป้องเสียง...กานนรีบกุมท้อง ตีท้องตัวเองเพี้ยะ
“เจ้าท้องไม่รักดี มาร้องอะไรตอนนี้ เค้ารู้หมดว่าหิว”
“คุณนี่ยียวนกวน....”
มัสลินยังไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงท้องร้องโครกของตัวเองดังขึ้นอีก กานนตีหน้าเฉย ไม่หัวเราะสักแอะ
“ทานข้าวกันนะครับ”
มัสลินเม้มปากอย่างแค้นใจทั้งกานนและท้องไม่รักดีของตัวเอง

มัสลินนั่งมองกานนกินแซนด์วิชที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ เผลอกลืนน้ำลาย กานนกำลังเคี้ยวแซนด์วิชในปากชำเลืองมาเห็นมัสลินมองอยู่
“คุณนี่ดื้อใช้ได้เลยนะ จะอะไรนักหนาหิวก็หาอะไรกินจะมาฝืนอยู่ได้ ฟอร์มเยอะจังแม่คุณ จะว่ากลัวอ้วนก็ไม่น่าใช่หุ่นอย่างคุณกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนหรอก”
พูดจบกานนก็อ้าปากกัดแซนด์วิชยั่วมัสลินซะคำใหญ่ มัสลินค้อนขวับ
“นี่ฉันอุตส่าห์ใจดีให้ติดรถมาด้วย แถมเสียเวลารอคุณกินอาหารอีก ยังจะกล้ามาว่าฉันอีกเหรอ”
“ผมไม่ได้ว่า หวังดีต่างหากล่ะครับ คุณนี่คิดอะไรลบไปหมดเลยรู้ตัวมั่งเปล่า”
มัสลินสะบัดหน้าหันหลังแกล้งทำเป็นจะเดินหนีออกจากตรงนั้น แต่แล้วเจอเด็กชายมอมแมมคนหนึ่งหอบกุหลาบในอ้อมแขนมาขาย
“พี่คนสวยคร้าบ ช่วยซื้อดอกไม้หน่อยได้มั้ยคร้าบ”
มัสลินจับๆ ตามกระเป๋าเสื้อ กางเกง
“เอ่อ...พี่ไม่มีตังค์อ่ะจ้ะ แหะ ๆ อยากช่วยซื้อน๊า แต่...”
“เอามาหมดนั่นละไอ้หนู” เด็กดีใจ ผละจากมัสลินไปหากานนในทันที “เท่าไหร่”
กานนให้ธนบัตรกับเด็ก แล้วรับดอกไม้มาทั้งหมดไว้ในอ้อมแขน เด็กวิ่งจู้ดไป มัสลินมองอย่างหมั่นไส้
“อวดรวย ชึ!”
พลันกานนลุกขึ้นพร้อมดอกไม้นั้น ยื่นให้มัสลิน
“ของคุณ”

มัสลินยืนนิ่งงันอยู่กับที่ กานนบรรจงวางดอกไม้ทั้งหมดไว้ในอ้อมแขนมัสลิน มัสลินเขินทำหน้าไม่ถูก กานนประคองใบหน้ามัสลินให้เงยขึ้น ทั้งคู่ประสานสายตากัน กานนก้มลงจูบมัสลินที่หน้าผาก
เวลาผ่านไป... ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปเงียบ ๆ จนถึงรถมัสลิน
“เดี๋ยวคุณขับกลับบ้านเลย ผมจะนั่งไปเป็นเพื่อน”
“อ้าว แล้วคุณล่ะ”
“ผมดูแลตัวเองได้”
“ดูแลตัวเองได้ แล้วให้ฉันขับมา? เอ้ะ?.. นี่ฉันงงไปหมดแล้วนะคะเนี่ย”
“ขึ้นรถเถอะ หรือจะให้ผมขับ”
“ก็ไม่เลวนะ รถฉันพวงมาลัยหนักเป็นบ้า”
มัสลินยื่นพวงกุญแจให้กานน แต่แล้วพลันเด็กขายดอกไม้คนเดิม โผล่มาเอานิ้วจิ้มหลังกานน ในมือเด็กมีพวงมาลัย กานนหน้าเหวอ
“อ้าว ว่าไง ไอ้หนู”
“ไม่ว่าไง ไหนพี่บอกจะให้ค่าจ้างพิเศษยังไง ผมขายพวงมาลัยอยู่ดีๆ” เด็กชูพวงมาลัย “ใช้ไปซื้อดอกไม้ปากคลองซะงั้น ...ค่าจ้างด้วยครับ”
เด็กแบมือมัสลินเหล่มองกานนแบบเอาเรื่อง กานนยิ้มชืด หยิบธนบัตรส่งให้เด็ก เด็กวิ่งไป
“สนุกมั้ย...หลอกฉัน”
“หลอก? หลอกอะไร้ ขึ้นรถเหอะไป ๆ”
มัสลินจะก้าวขึ้นรถแล้วนึกขึ้นได้อีกเรื่อง
“รถคุณไม่ได้เสียใช่มั้ย”
“อันนั้นเรื่องจริงแท้แน่นอน ผมจะแกล้งรถเสียเพื่อที่จะได้มากับคุณเนี่ยนะ”
มัสลินชี้หน้าคาดโทษ ก่อนจะยอมขึ้นรถ กานนยิ้ม มองตาม
“ก็ถ้าไม่หลอก จะได้อยู่ใกล้คุณแบบนี้มั้ยล่ะ”
หลังจากขึ้นนั่งในรถแล้วมัสลินก็แอบอมยิ้ม รู้สึกดีกับกานนเช่นเดียวกัน

กานนขับรถมาจอดหน้าบ้านมัสลิน มัสลินหันยิ้มบาง ๆให้กานน
“ให้ฉันขับย้อนออกไปส่งคุณเรียกแท็กซี่นะคะ”
“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ คุณขับรถเข้าบ้านนะ ผมจะยืนดูจนคุณปิดประตูรั้วเรียบร้อย แล้วก็จะไป”
มัสลินสบตากานน แววตากลายเป็นเศร้าหม่น หลุบมองลงที่พื้น
“คุณจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”
กานนมีสีหน้าผิดหวัง ทั้งที่ตั้งรับอยู่แล้วว่าอาจจะเจอคำพูดแบบนี้จากมัสลิน
“อย่าหาเหตุผลเลยมัสลิน เรื่องของเรามันไม่มีเหตุผล ...แต่มันเป็นความรัก”
มัสลินหันหน้าหนี ทำท่าจะเอ่ยขึ้น แต่กานนดักไว้
“อย่าพูดอะไรเชือดเฉือนผมอีกเลยมัสลิน ยังไงคุณก็เปลี่ยนใจผมไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่คุณเลย ใครหน้าไหนในโลกนี้ก็เปลี่ยนใจผมให้เลิกรักคุณไม่ได้”
มัสลินเหลียวกลับหากานนด้วยสีหน้าเรียบเฉย สบตากานนนิ่ง ๆ
“แล้วฉันจะคอยดู” กานนยิ้มออก “อย่าเข้าใจอะไรผิด ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมในการที่คุณจะนอกใจมธุริน ฉันแค่เป็นผู้ชม”
“คร้าบๆๆ โอยเล่นกันตัวเองไว้ทุกประตู ไม่มีศาลไหนตัดสินเอาโทษคุณได้หรอกครับคุณมัสลิน คุณนี่เอาตัวรอดเป็นที่หนึ่งเลยนะรู้ตัวรึเปล่า”
“ปากกัดตีนถีบอย่างฉัน ได้แค่นี้ถือว่าน้อยไป ...คุณลงไปได้แล้ว อ้อแล้วอย่าลืมเรียนคุณปู่คุณเรื่องคุณยายฉันด้วยล่ะ”
“ไม่ลืมครับ คุณเองก็เหมือนกัน อย่าลืมว่าคุณมีผมเป็นผู้ช่วยในการสืบหาคุณตาคุณเป็นการตอบแทน โอเคมั้ย”
กานนยื่นมือให้มัสลินเชคแฮนด์ มัสลินยื่นมือตอบ จังหวะนั้นเองกานนดึงมัสลินมากอดไว้แนบอก มัสลินแหงนหน้าขึ้นมองกานน ทั้งสองประสานสายตากัน กานนก้มลงจูบมัสลิน เนิ่นนาน พอถอนปากออกกานนก็กระซิบข้างหูมัสลิน
“คุณเป็นผู้ชมอย่างเดียวไม่ได้หรอกมัสลิน เพราะคุณมีส่วนในชีวิตผม” มัสลินขมวดคิ้ว ไล่ความรู้สึกสับสน
“ผมรักคุณ”
มัสลินหายใจแรงวินาทีนั้นรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้าง

มัสลินนั่งอยู่ขอบเตียงในชุดนอนตาลอยมือหนึ่งถือผ้าเช็ดตัวเช็ดผมตัวเอง เวลาผ่านไป...
มัสลินยังคงตาลอยมือหนึ่งที่ถือผ้าเช็ดผมยังยกค้างไว้ ภาพที่มัสลินถูกกานนดึงมาจูบยังคงลอยอยู่ในความคิด
มัสลินสะบัดหัวเรียกสติ เอามือข้างที่เช็ดผมลงถอนหายใจ แล้วเม้มปากราวกับรสสัมผัสของริมฝีปากกานนนั้นยังคงอยู่
กานนมีอาการไม่ต่างจากมัสลินเพราะเขาเดินตาลอยเข้ามาในบ้าน ผ่านห้องโถงซึ่งเจ้าสัวนั่งอ่านหนังสือ จิบน้ำชาอยู่มุมหนึ่ง เจ้าสัวหันมาเห็นกานนจึงรีบเอ่ยถามถึงเรื่องของอาย้ง
“ไงเจ้าปลิว หายไปหลายชั่วโมง ได้เรื่องอะไรมาบ้าง ตกลงไอ้ย้งกับนายยงยุทธนั่นมันใช่...”

กานนเดินผ่านไปเหม่อๆ เหมือนกับไม่ได้ยินเสียงอะไรเจ้าสัวมองตามประหลาดใจ จึงตะโกนซ้ำ เสียงดังกว่าเดิม
“ปลิว ปู่ถามแก ไม่ได้ยินเหรอวะ”
กานนเดินขึ้นบันไดไป เหมือนว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เจ้าสัวก้าวออกจากที่นั่งไปเงยคอมองตามขึ้นไป
“อะไรของมันวะ ฉันทั้งคนนั่งทนโท่ ไม่เห็นไม่ได้ยิน เป็นไปได้ยังไง ตกลงแกหรือฉันกันแน่วะที่แก่จนตาพร่าหูหนวก เจ้าปลิว เฮ้อ”
เจ้าสัวส่ายหัว ก้าวช้าๆ กลับที่เดิม พอจะหย่อนก้นนั่งลงพลันตกใจ เมื่อกานนพรวดพราดกลับเข้ามาอีกครั้ง
“คุณปู่ครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษา!”
“เฮ้ย!” เจ้าสัวหอบหายใจแรง กานนเข้าประคองเจ้าสัวให้นั่งลง “อะไรของแกวะ เมื่อกี้เข้ามาก็ทำท่ายังกับผีดิบ ปู่พูดอะไรด้วยก็ไม่ได้ยิน”
“ก็ถึงได้กลับลงมาหาคุณปู่นี่ไงฮะ”
“เรื่องยัยหนูมัสลินละสิท่า”
“ครับ”
“ว่ามา”
“ผมบังเอิญเจอมัสลินที่โรงพยาบาล แล้วผม...เอ่อ...” มือกานนไล้ไปมาที่ริมฝีปากตัวเอง
“เอ่อ...”
“แกหมายถึง” เจ้าสัววางนิ้วชี้ที่ริมฝีปากตัวเอง
“ครับ”
“ห๊ะ! แกว่าไงนะ! หาเรื่องแล้วเจ้าปลิว!”
เสียงเจ้าสัวตะโกนลั่น...
อ่านต่อหน้า 2







ในรอยรัก
ตอนที่ 9 (ต่อ)

เช้าวันรุ่งขึ้น มัสลินนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กำลังเก็บจานช้อนใช้แล้วส่งให้แป้น พัดถือจานผลไม้หลังอาหารกำลังจะเดินเอามาวางที่โต๊ะให้มัสลิน พลันจิรดาที่ในมือถือสมุดคิวงาน ปากกาพร้อมเข้ามาฉวยจานผลไม้จากพัดวางให้มัสลิน
“ทานผลไม้ซะหน่อยสิ”
พัดเคืองๆ จิรดา แต่ก็เผลอยิ้มมุมปาก ดีใจที่จิรดาเปลี่ยนไป มัสลินยิ้มให้จิรดา มีความสุขมาก
“ขอบคุณค่ะแม่”
“ผลไม้มีวิตามินเยอะ ผิวจะได้สวยๆ เหมือนดารา มีออร่ากะเค้ามั่ง ไม่ใช่ตัวเขลอะเป็นเหนี่ยงอย่างนี้” จิรดาเปิดสมุด ขึงขัง “ฉันจะบอกคิวงานแกวันนี้ให้”
“ว่าเลยค่ะคุณผู้จัดการ”
มัสลินพูดทั้งที่ยังมีผลไม้เคี้ยวอยู่ในปาก แววตายิ้มมีความสุข จิรดากระแอม แต่แล้วมองตัวหนังสือไม่เห็นเพราะสายตายาว
“คราวหน้าต้องเขียนตัวโตหน่อยแล้ว”
พัดเข้าไปขยับสมุดออกห่างสายตาจิรดา
“เออ ทำไมเห็นแล้วล่ะ”
“สายตายาว ภาวะผู้สูงวัยค่ะ”
แป้นเช็ดโต๊ะอยู่ หัวเราะฮาแบบลืมตัว
“หนอยๆๆ นังพวกนี้ เห็นฉันดีด้วยนะลามปามหัวเราะเยาะฉันเรอะ”
แป้นหุบปาก หยุดหัวเราะ ก้มหน้าก้มตาทำงานไปกับพัด จิรดาวางสมุดคิวให้มัสลิน
“อ่านเองไปก่อนละกันวันนี้ พรุ่งนี้จะเขียนตัวโตๆ ให้”
“ให้มัสพาแม่ไปตัดแว่นสายตานะคะ”
“ไปเชื่ออะไรกับนัดพัดมัน มันอิจฉาฉันที่แก่กว่ามัน แต่ดันสวยแล้วก็สาวกว่ามันน่ะสิ”
“คิดเองเออเองเสร็จสรรพ เฮ้อ...”
“นังพัด!”

พัดทำทีไม่รู้ไม่ชี้ สั่งงานแป้นฉอดๆ มัสลินหัวเราะขำไม้เบื่อไม้เมาอย่างจิรดากับพัด จิรดาหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างผนังบ้าน
“ฉันว่าแกไปได้แล้วมั๊ง เผื่อเวลาไว้เดี๋ยวรถติดอีกมีวินัยไว้เขาจะได้ให้งานเราเรื่อยๆ”
มัสลินก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วหันไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างๆ
“ดีเหมือนกันค่ะแม่ รถติดแน่ๆ แถวนั้น”
จิรดาช่วยถือถุงสัมภาระของมัสลิน
“มานี่ฉันช่วยถือไปส่งที่รถให้”
“ขอบคุณค่า... มัสไปนะน้าพัด แป้น”
จิรดากับมัสลินออกไปปั๊บ แป้นเมาท์ปุ๊บ
“ดูคุณมัสเธอมีความสุขเนอะน้าพัดเนอะ”
“ฉันก็ได้แต่หวังอย่าให้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นอีกเลย อยากให้มันดีอย่างนี้ไปได้นานๆ จริงๆ”
พัดตอบด้วยใจที่ยังหวั่นว่าเรื่องวุ่นๆ ไม่น่าจะสงบลงโดยง่าย..มัสลินเดินตามจิรดาที่หอบหิ้วของให้ ผมเผ้าไม่ได้เซ็ทสวยเหมือนอย่างเคย
สีหน้าแววตามัสลินที่มองตามหลังจิรดาเต็มไปด้วยความรู้สึกรัก

มัสลินดึงประตูปิด พลางโบกมือบ๊ายบายจิรดาที่ยืนส่งอยู่ไม่ไกล พอจิรดาหมุนตัวกลับเข้าบ้านไป เสียงโทรศัพท์มือถือมัสลินดังขึ้นมัสลินหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเห็นหน้าจอแล้วยิ้มดีใจ
“คุณคิม! มัสกำลังนึกถึงอยู่พอดี ว่าจะถามเรื่องนัดที่คุณบอกจะพามัสกลับไปที่บ้านเก่าคุณยายน่ะ คุณจำได้ไหมคะ”
“จำได้สิครับ”
“มัสอยากรู้เรื่องคุณตา เร็วได้เท่าไรยิ่งดี มัสอยากเห็นแม่มีความสุข”
มัสลินฟังคิมโต้ตอบ แล้วหน้าเจื่อนลงอย่างผิดหวัง
“งานยุ่งมากเลยเหรอคะ อืม...จริงสิคุณหายไปไหนมาตั้งหลายอาทิตย์”
ขณะนั้นคิมนั่งอยู่ในห้องทำงาน มีดุสิตนั่งจ้องอยู่ข้างหน้า ฟังคิมคุยโทรศัพท์อย่างไม่สนว่าเสียมารยาท
“กลับไปเคลียร์งานที่ฮ่องกงเหมือนเดิมๆ นั่นละฮะ กลับมาก็มีเรื่องสำคัญมากๆ ที่ต้องทำ ผมอาจจะไม่ได้โผล่ไปกวนใจคุณนักช่วงนี้ แต่รับปากว่าจัดการเรื่องคุณตาของคุณต่อแน่นอน”
คิมกดวางสาย หน้าม่อย
“ไงวะ มัสลินโกรธเหรอ”
“ไม่หรอก มัสลินไม่ใช่คนโกรธอะไรง่ายขนาดนั้น แต่ฉันเองนี่ละที่โกรธตัวเอง ...เซ็งว่ะ ไม่ชอบทำให้เค้าผิดหวัง”
“เอาน่ายังไงๆ เรื่องที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้มั้นก็เรื่องมัสลินอยู่ดี ถ้าเค้ารู้ยังไงเค้าก็ไม่ผิดหวัง เฮ้อ ทำไมฉันไม่เกิดมาเป็นผู้หญิงทีวะ จะจับแกทำพ่อพันธุ์ซะให้เข็ด ทำไมเป็นคนดีเยี่ยงนี้ หืมมม”
“พูดอะไร ฟังยากชะมัด”
“เอาละ! เรามาว่ากันเรื่องแกจะเข้าไปในสตูฯ ไอ้ศิธายังไงที่พวกมันจะไม่สงสัยดีกว่า”
“แกอย่าลืมว่ายังไงฉันก็หุ้นส่วนคนหนึ่งในสตูฯ นั่น”
“ไซเลนพาร์ทเนอร์ แกไม่ได้ออกหน้าออกตาบริหารที่นั่นอย่างไอ้ศิธาไอ้โก้ซะหน่อย แน่ใจเหรอว่าทุกคนที่นั่นรู้จักหน้าแก”
“บางคนรู้ บางคนไม่รู้”
“นั่นละที่จะเป็นปัญหา ว่าแกเสนอหน้าเข้าไปทำไม ร้อยวันพันปีไม่ยักเคยเห็น คิดเผื่อไว้หลายๆทาง”
คิมพยักหน้าช้าๆ คิดตามคำพูดดุสิตอย่างเห็นด้วย
“ฉันคิดถูกจริงๆ ที่เอาเรื่องนี้มาปรึกษาแก ขอบใจแกมากว่ะ”
“ขอบใจอะไรวะ เรื่องของแกก็เหมือนเรื่องของฉัน มัสลินจะพูดไปก็เหมือนเป็นเพื่อนกันไปแล้ว ที่สำคัญที่สุด ฉันอยากจัดการไอ้สารเลวศิธา”
“ไม่รู้โชคอะไรเข้าข้างมัน เล่นงานคุณเก๋ซะสะบักสบอม สุดท้ายคุณเก๋จำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
“ยัยเก๋เป็นยิ่งกว่าเพื่อนรักของฉัน ไม่ว่าปัญหาจะหนักจะเบา มันคอยเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนฉันเสมอ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว งานนี้ฉันปล่อยยัยเก๋เจ็บตัวฟรีไม่ได้แน่นอน ถ้าไม่ได้ทำอะไรสัก
อย่างกับไอ้ศิธาไอ้โก้ ไม่ใช่ฉันแล้วละ”
ดุสิตยิ่งพูดยิ่งแค้นแทนเพื่อน

ที่บ้านของเตช
ขณะนั้นเตชกอดมธุรินไว้แล้วพูดปลอบ สีหน้ามธุรินยังคงเต็มไปด้วยแววหวาดหวั่น
“ถ้าลูกบอกพ่อเร็วกว่านี้ลูกก็ไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจ อย่าว่าแต่นังเด็กวานซืนอย่างมัสลินหรือว่าใครหน้าไหนเลย พ่อจัดการได้หมดลูกก็รู้”
มธุรินถามสวนอย่างร้อนใจ
“เค้าบอกคุณพ่อมั้ยคะ ว่าเค้ามีปัญหาอะไรกับเดียร์”
“อย่างมันน่ะนะจะเปิดปากว่ามันทำผิดกับเรา ไม่มีท้าง! แล้วพ่อก็ไม่สนหรอกว่ามันจะยอมรับหรือเปล่า ขอแค่อย่าให้มันใจกล้าหน้าทนมายุ่งกับเดียร์หรือกานนก็พอแล้ว” มธุรินทิ้งตัวพิงพนักที่นั่ง อ่อนแรง สีหน้าว้าวุ่น “ทำไมยังทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ลูกไม่ได้รู้สึกดีขึ้นบ้างเลยเหรอ หรือว่ากานน...”
มธุรินสั่นหัวดิก ผุดลุกขึ้นคว้ามือเตช
“คุณพ่อกลับมาอยู่กับเดียร์ได้มั้ยคะ! เดียร์ไม่เหลือใครแล้ว เดียร์มีคุณพ่ออยู่คนเดียว คุณพ่อกลับมาอยู่กับเดียร์นะคะ”
เตชมองท่าทีแปลกๆ ของมธุริน อย่างสงสัย
“ลูกมีปัญหากับคุณแม่ใช่มั้ย”
มธุรินน้ำตาเอ่อ สั่นหัว
“พ่อจะคุยกับแม่เค้าให้ จำไว้นะเดียร์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่เค้ารักลูกมากนะ ลูกห้ามคิดเองเออเอง มีอะไรก็คุยกับแม่ หรือเล่าให้พ่อฟังก็ได้ ...อยากจะพูดอะไรมั้ย” มธุรินน้ำตาร่วง
“เดียร์...!”
“คุณแม่... คุณแม่ไม่ฟังเดียร์แล้วค่ะ เค้าอยากให้เดียร์ทำสิ่งที่เดียร์ไม่อยากจะทำ นับวันเดียร์ก็ยิ่งไม่เข้าใจคุณแม่ บางครั้ง เดียร์สงสัยด้วยซ้ำว่าคุณแม่รักเดียร์รึเปล่า”
“หยุดนะยัยเดียร์ อย่าพูดถึงแม่อย่างนี้ พ่อเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าแม่เค้ารักเรามาก เค้าอุ้มท้องเค้าคลอดเรามา มีรึเค้าจะไม่รักเรา ฟังพ่อนะ..แม่ของลูกเป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลก เท่าที่พ่อเคยเห็น”
“แม่ดี แล้วทำไมพ่อต้องแยกไปอยู่ที่อื่นล่ะคะ”
“นั่นมันเป็นปัญหาระหว่างพ่อกับแม่ ลูกอย่าเอามาปนกัน”
“แต่มันทำให้เดียร์ต้องอยู่ห่างคุณพ่อ กลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิมนะคะคุณพ่อ หรือไม่คุณพ่อก็เอาเดียร์ไปด้วย เดียร์ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

บัวบงกชก้าวเข้ามาช้าๆ ใบหน้าหม่นเศร้า บัวบงกชก้าวมาหยุดยืนต่อหน้าสองพ่อลูก คำพูดของมธุรินชัดเจนพอที่จะทำให้บัวบงกชมองมธุรินนิ่งด้วยความเสียใจ มธุรินหน้าซีดเผือด เลี่ยงมองไปทางอื่น เตชเห็นสีหน้าเจ็บปวดของบัวบงกชแล้วแสนเห็นใจ ลุกขึ้นพูดกับบัวบงกช
“แล้วผมจะคุยกับลูกให้ ผมไปนะ”
มธุรินส่งเสียงครางแผ่ว
“คุณพ่อ...”
เตชจับมธุรินขึ้นมากอดแนบแน่น
“พ่อไปก่อน”

บัวบงกชมองภาพสองพ่อลูก แววตาขมขื่น ราวกับตัวเองถูกกันออกเป็นคนนอก
“คุณกลับมาอยู่บ้านเราเถอะ”
เตชค่อยๆ ละจากมธุริน หันหาบัวบงกช สีหน้าประหลาดใจ มธุรินรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ
บัวบงกชเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“ลูกต้องการคุณ”
แววตามีความหวังหายวับจากเตชในทันที
“ถ้าด้วยเหตุผลนั้นก็ช่างเถอะ ลูกมีผมเสมอ ผมไม่มีวันจากลูกไปไหนไม่เกี่ยวว่าผมจะอยู่ที่ไหน”
บัวบงกชพูดไม่ออก มธุรินเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด
“ไม่ใช่แค่เดียร์ที่ต้องการคุณพ่อ... คุณแม่บอกคุณพ่อไปสิคะ ว่าคุณแม่ก็อยากให้คุณพ่อกลับมา บอกสิคะ บอกคุณพ่อ!”
บัวบงกชยังคงนิ่งงัน ปากหนักทั้งที่ใจก็คิดไม่ต่างจากคำพูดของมธุรินเลยเตชพยักหน้าหงึกหงัก ฝืนยิ้มให้มธุริน
“พ่อต้องไปแล้วลูก”
เตชวางมือที่ศีรษะมธุริน แล้วก้าวออกไปทันที พร้อม ๆกับน้ำตาที่ร่วงรินแต่ไม่มี่ใครเห็นมธุรินวิ่งตามเตชไป
“ไม่นะ พ่อคะ!”
บัวบงกชเหมือนถูกสาปให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ น้ำตาร่วงพรู กอดตัวเองตัวสั่นระริก

บริเวณหน้าออฟฟิศของดุสิต
คิมกับดุสิตยืนอยู่ข้างรถสปอร์ตหรูของคิม คิมยื่นกุญแจรถให้ดุสิต
“ถ้าฉันไม่ได้กลับมาใช้ แกก็เอาไปเลย”
“ไอ้บ้าพูดอะไรอย่างนั้น คนไทยเค้าถือนะเว้ย”
“I’m not Thai.”
“เออ ปากดีไปเหอะ เฮ้ยรึจะเปลี่ยนใจดีวะ หาวิธีอื่น”
“ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ ที่แกชอบพูดไง จำได้เปล่า”
“จำได้อยู่แล้ว แต่กลัวว่าจะเข้าไปเป็นอาหารให้ลูกเสือซะน่ะซี เฮ้อไหนๆ ก็ไหนๆ นะ ถามจริงเหอะ ถ้าไม่ใช่มัสลิน แกจะลงทุนเสี่ยงตายแบบนี้มั้ย”
“ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าฉันรู้ว่าเค้าถูกกลั่นแกล้ง แล้วฉันมีความพร้อมที่ช่วยเค้าได้ ฉันก็จะทำ”
ดุสิตตบไหล่คิม
“ดีใจที่มีเพื่อนอย่างแกว่ะ”
“อย่าเสียเวลาเลย ทุกอย่างตามที่คุยกันไว้นะ”
“ฮื่อ ตามแผน”
มัสลินโผล่มา ทักทายเสียงใส
“จะหนีงานไปไหนกันเหรอคะ” คิมกับดุสิตหน้าเสีย ไม่มีใครทักมัสลิน มัสลินเจื่อนไป “ขอโทษค่ะ คุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่ใช่มั้ยคะ งั้น...มัสขอตัวก่อนก็ได้ค่ะ”
“เฮ้ยไม่ใช่ครับ ไม่ใช่!”
คิมกับดุสิตบอกออกมาพร้อมกัน
“มาทำงานเหรอครับ”
“ค่ะ มัสมีแคสต์หนัง”
“อ้อ...จริงสิ เห็นเด็กๆ มันพูดถึงคุณมัสอยู่เหมือนกัน”
“งั้นเชิญเถอะครับ รีบๆ ไปเลย”
มัสลินหน้าเสีย
“เฮ้ย อย่างนั้นมันไล่เค้า” ดุสิตต่อว่าเพื่อน
“อ้าวเหรอ... ผมหมายถึงกลัวคุณจะไปทำงานสายน่ะ”
มัสลินจ้องหน้าคิม

“คุณดูแปลกๆ”
“แปลกยังไงครับ”
คิมฉีกยิ้มฝืดทันใดนั้นเองมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว พุ่งตรงมาที่คิมที่ยืนอยู่
“เฮ้ยยยย”
ดุสิตร้องตกใจ เข้าคว้าตัวคิม แล้วล้มกลิ้งไปด้วยกัน มัสลินงงงัน สองหนุ่มลุกขึ้น
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เมสเซนเจอร์บริษัทอะไรวะ มันรู้มั้ยเนี่ยว่าเกือบชนเจ้าของที่นี่ เดี๋ยวฉันจะให้คนเช็คว่ามาจากไหน ไม่ให้มันเข้ามาเหยียบที่นี่อีก”
“ช่างมันเหอะ เราก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ คุณมัส”
มัสลินซึ่งจ้องคิมค้าง กระตุกไป
“ค...คะ”
“ทำหน้ายังกับเห็นผมตายอย่างนั้นแหละ”
“เฮ้ยเจ้าคิม แกนี่ทำไมวันนี้พูดจาไม่เป็นมงคลอย่างนี้วะ”
“อ้าว...ผิดอีก”
“มัสเห็นมอร์เตอร์ไซค์คันนั้นชนคุณคิม ชนแรงด้วย”
คิมหัวเราะ
“อ๋อ เลยทำหน้าเหวอ ว่าผมลุกขึ้นมาคุยต่อได้ยังไง แบร่”
คิมทำท่าผีใส่มัสลินแล้วหัวเราะสนุก
“แกนี่ก็ไปล้อคุณมัสเค้า... เป็นเพราะมุมที่คุณมัสยืนมากกว่าครับ เลยทำให้เห็นภาพอย่างที่คุณมัสว่า ผมลากมันเข้ามากับมือ รับรองได้ เจ้าคิมยังอาการครบถ้วนเกิน32ด้วยซ้ำ มันไม่ได้ถูกรถชนครับ”
มัสลินไม่ยิ้มด้วย แต่กลับมองคิมอย่างไม่สบายใจ คิมหัวเราะร่วน

ที่สตูดิโอของศิธา
ประตูลิฟต์เปิดออก เห็นคิมอยู่ในนั้น คิมยังไม่ออกมาในทันที แต่กลับมองซ้ายขวา ก่อนจะก้าวออกมา...คิมเดินอยู่ลำพังในทางเดินตามห้องต่างๆ เขาแหงนหน้าขึ้นมองกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งถี่ยิบตามจุดต่างๆ การ์ดหน้าดุคนหนึ่งผ่านมา คิมจ้องเขม็ง คิดหาทางหนีทีไล่ แต่แล้วการ์ดคนนั้นก็ทักทายคิมอย่างคุ้นเคย
“สวัสดีครับนาย”
“อ้อ สวัสดี”
“นัดเสี่ยน้อยไว้เหรอครับ”
“เอ่อใช่”
“จำผมไม่ได้เหรอครับ ที่นายเคยสอนภาษาจีนแลกกับที่ผมสอนภาษาไทยให้ตอนนายมาเมืองไทยใหม่ๆ ไง”
“อ...อ๋อจำได้สิจำได้”

การ์ดแยกไปคิมยกมือซับเหงื่อที่ขยับ ก่อนจะตรงไปที่ประตูกระจกซึ่งแยกไปอีกส่วนหนึ่ง เขากดรหัส แล้วผลักประตูเข้าไปอย่างง่ายดาย มือถือคิมสั่น เป็นดุสิตที่โทรเข้ามา
“ตกใจหมดดุสิต โทรมาทำไม”
“เพราะเป็นห่วงสิวะ ถึงไหนแล้ว”
“เข้ามาข้างในสุด จะถึงห้องตัดต่อแล้ว แกโทรมาก็ดี ฉันกำลังจะโทรไปบอกเลยว่าฉันให้แท็กซี่รออยู่ข้างนอก ไม่ว่าฉันจะออกไปได้หรือไม่ แท็กซี่จะกลับไปหาแกที่ออฟฟิศ อะไรที่แท็กซี่ให้ แกรับไว้ให้หมด เข้าใจมั้ย”
“อะไรจะขนาดนั้น ไม่เอาละ แกรีบๆ หาแล้วรีบๆ กลับออกมาเลย ไม่เจออะไรก็ช่างมัน”
“ฉันมั่นใจว่าจะเจอ”
คิมเดินคุยโทรศัพท์กับดุสิตจนมาถึงห้องตัดต่อภายในห้องเรียงรายด้วยชั้นเก็บกล่องเทปเบต้า กล่องซีดี เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ตัดต่อทันสมัยครบเซ็ท
“ฉันถึงห้องสำคัญละ แค่นี้ก่อนนะ ฉันต้องเช็คเทปเกือบทั้งห้อง”
คิมกดวางมือถือ มองไปรอบห้องสลับกับดูนาฬิกาข้อมือ สีหน้ามุ่งมั่น

ออฟฟิศของกานน
ประตูห้องทำงานกานนถูกเปิดออก ขณะนั้นกานนก้มหน้าก้มตาจัดเตรียมเอกสารเตรียมการประชุมอยู่ปากก็พูดสั่งงานเลขาที่ยืนอยู่ข้างหน้า
“เอาล่ะ พวกเอกสารน่าจะเรียบร้อยละเดี๋ยวเพื่อความชัวร์คุณลองรีเช็ค presentation ดูอีกสักทีละกัน”
“ได้ค่ะ” เลขารับคำกานนแล้วหันหลังจะเดินออกเจอเจ้าสัวยืนอยู่ก็ยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะเจ้าสัว”
กานนได้ยินเสียงเลขาทักทายเจ้าสัวก็เงยหน้าขึ้นมอง
“อ้าว คุณปู่ทำไมมาเงียบ ๆ ครับ”
“ก็ไม่เงียบนะ แกต่างหากล่ะที่ดูยุ่งๆ จนไม่ได้ยินฉัน”
“อ๋อเหรอฮะ ...เดี๋ยวผมมี present ลูกค้ายุโรปบ่ายนี้ครับ”
เจ้าสัวเดินเข้าไปยืนหน้าโต๊ะทำงานกานนเลียบๆ เคียงๆ ถามเรื่องอาย้ง
“แกยุ่งอย่างนี้ลืมเรื่องไอ้ย้งไปหรือยัง ตกลงเมื่อคืนที่บอกว่ากลับไปที่โรงพยาบาล ได้เรื่องอะไรเพิ่มเติมมั้ย”
“จริงสิ ผมก็มัวแต่ชวนคุณปู่คุยเรื่องมัสลิน”
“เข้าใจเว้ยเข้าใจ ฉันเคยเป็นหนุ่มมาก่อน เอ้าว่ามา ได้เรื่องอะไรเพิ่มเติม”
“ไม่มีครับ”
“อุวะ! แล้วก็ให้รอฟัง”
“เดี๋ยวหลังบ่ายนี้ผมว่าผมจะเข้าไปอีกทีครับ” โทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น “แป๊บนึงนะครับปู่” กานนรับโทรศัพท์
“ว่าไง เอกสารการตลาด ผมให้คุณไปแล้ว นี่เรากำลังจะประชุมอยู่นาทีนี้คุณยังรวบรวมเอกสารไม่ครบเนี่ยนะ”
กานนหมุนเก้าอี้ หยิบๆ จับๆแฟ้มเอกสาร หาสิ่งที่หายไป พอหมุนเก้าอี้กลับมา ไม่เห็นเจ้าสัวแล้ว
“อ้าวหายไปไหนแล้วล่ะ วัยรุ่นใจร้อนจริง ๆ ...ขอโทษทำไม ผมไม่ได้พูดถึงคุณ! จัดการให้เรียบร้อยด้วย”
กานนวางสาย แล้วคว้ามือถือมากดโทรออกหาอุษยา
“อาหญิงครับ ผมมีเรื่องจะรบกวน ...ก็เรื่องคุณปู่นั่นละครับ”

เจ้าสัวเดินถือโทรศัพท์มือถือหน้าตาไม่สบอารมณ์กำลังจะเดินเข้าไปห้องหนึ่ง
“ก็เออ ห้องไอซียู แล้วมันทำไมวะ” อุษยาโวยลั่นที่ปลายสาย
เจ้าสัวต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างอย่างรำคาญไปแว่บหนึ่ง
“ฉันก็แค่มาเยี่ยมคนป่วย มันจะอะไรกันนักหนา ฉันไม่ได้ป่วยได้ยินมั้ยไม่ได้ป่วยเว้ย! เฮ้อ... ยัยอุษยา แกไม่ใช่แม่ฉันนะ ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน ฝากบอกเจ้าปลิวมันกลับไปด้วยนะทีตอนให้ยุ่งล่ะไม่ยุ่ง ไอ้ตอนที่พวกแกไม่ควรยุ่งก็ยุ่งกันจริง แค่นี้นะ”
พยาบาลตรงมาค้อมหัว ยิ้มให้อย่างคุ้นเคย
“เชิญท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าทางนี้เลยค่ะ”
“อืม...จริงสิ จะเยี่ยมคนป่วยไอซียูเค้าต้องเปลี่ยนเสื้อ ฮ่ะๆๆเกือบเดินเทิ่งๆ เข้าไปแล้วผม โทษทีๆ”
เจ้าสัวเดินเคียงไปกับพยาบาล สีหน้ามีความหวัง
“คุณยงยุทธเค้ายังไม่ได้ย้ายจากไอซียูใช่มั้ยหนู”
“ยังค่ะ คนไข้ยังอยู่ในห้องค่ะ”
เจ้าสัวยิ้มอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม
เจ้าสัวในชุดคลุมฆ่าเชื้อ ก้าวตามพยาบาลไปในทางเดินระหว่างเตียงผู้ป่วยหน้าเจ้าสัวดูจริงจัง และตื่นเต้น กระทั่งพยาบาลหยุดยืนอยู่ที่หน้าเตียงคนไข้รายหนึ่งผายมือให้เจ้าสัว
“คุณยงยุทธค่ะ”

เจ้าสัวก้าวเข้าไปหยุดอยู่ปลายเตียงคนไข้เห็นชายชรานอนอยู่บนเตียงสายระโยงระยาง เสียงหายใจครืดคราดเจ้าสัวก้าวเข้าใกล้ยิ่งขึ้น พิศดูอย่างถนัดตาแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างตกใจ รำพึงกับตัวเองออกมาเบา
“อาย้ง... แกจริงๆ ด้วย”
อาย้งยังคงหลับสนิท ไม่รับรู้ใดๆ เจ้าสัววางมือเบาๆ ที่แขนอาย้ง เสียงสั่นเครือ
“นี่ฉันเองนะ ...เจ้าสัวท้ง”
ใบหน้าอาย้ง มีอาการกระตุกๆ ที่เปลือกตา ก่อนจะค่อยๆ ปรือขึ้นริบหรี่ ส่วนปากก็ขยับ หากแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเจ้าสัวตาลุกด้วยความดีใจ
“แกได้ยินฉันใช่มั้ย ...อาย้ง”

จบตอนที่ 9
(อ่านต่อตอนที่ 10 วันพรุ่งนี้)





กำลังโหลดความคิดเห็น