ในรอยรัก
ตอนที่ 8
มัสลินเดินเอื่อยๆ อยู่ริมแม่น้ำ สายตาทอดยาวออกไปอย่างล่องลอยนึกไปถึงตอนที่คุยโทรศัพท์กับกานนภายในห้องพักเกวลินที่โรงพยาบาลซึ่งเกวลินพยายามทำท่าทางโบกไม้โบกมือห้ามไม่ให้มัสลินพูดจาต่อว่ากานน
“มัส!! ยายมัส!!”
มัสลินเหลือบมองไปที่เกวลินแต่ไม่ได้สนใจ มัสลินหนีบโทรศัพท์ด้วยไหล่ สองมือจัดแจงรินน้ำใส่แก้ววางไว้ให้เกวลินที่โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย
“ว่ายังไงล่ะ ทำไมเงียบ หรือกำลังคิดจะให้ฉันไปขอโทษแฟนกับว่าที่แม่ยายของคุณ หึๆ ลืมได้เลยนะคะ เรื่องวุ่นๆ ที่เกิด มันมีที่มาที่ไป ถ้าอยากรู้ คุณควรจะถามแฟนคุณดู”
มัสลินนิ่งรอฟังกานนตอบโต้ พอได้ยินหน้าเชิดรั้นนั้นก็ประหลาดใจ
“คุณว่าไงนะ”
เสียงกานนดังลอดจากมือถือมัสลิน
“ผมบอกว่าผมอยากเจอคุณ มัสลิน...ให้ผมไปเจอคุณนะ คุณอยู่ที่ไหน”
เกวลินเอียงหน้ามองอย่างสนใจรอฟัง มัสลินเหลือบมองเกวลินแล้วรีบตัดบทกับกานน
“คุณกับฉันมีธุระอะไรที่จะต้องเจอกันอีกเหรอคะ ยังสมควรที่จะเจอกันอีกเหรอคะ ฉันเคยบอกแล้วว่าเราต่างคนต่างอยู่ แค่นี้ชีวิตฉันก็ยุ่งยากมากพอแล้ว”
เกวลินฟังแล้วหงุดหงิด ยังคงพยายามทำท่าทำทาง ชี้นิ้วไปที่มือถือของมัสลิน เพื่อจะบอกมัสลินเรื่องข้อความที่กานนส่งเข้ามา
มัสลินหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย เอื้อมมือมาจับมือเกวลินไว้แล้วโบกมือบ๊ายบายเดินพุ่งออกนอกห้องไป
มัสลินยิ่งคิดก็ขมวดคิ้ว นึกเอะใจกับท่าทีแปลกๆ ของเกวลิน
“พี่เก๋...”
ภาพเกวลินผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้งมัสลินคิดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดู...หน้าจอโทรศัพท์ในมือมัสลิน เห็นเมนูข้อความเข้า มัสลินมีสีหน้างงงัน รำพึงเสียงแผ่ว
“กานน?...”
มัสลินรีบกดเข้าไปดูแล้วพึมพำอ่านข้อความนั้น
“เป็นกำลังใจให้เสมอ... ผม...” มัสลินมีสีหน้าตกตะลึง “...รักคุณ”
สายตามัสลินไพล่เห็นเท้าหนึ่งก้าวเข้ามา จึงค่อย ๆเงยหน้าขึ้นมองใครคนนั้น แล้วพลันหน้าเจื่อนไปทันที...กานนนั่นเอง ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามัสลิน
“ดีใจที่เจอคุณนะ”
กานนว่าพลางเหลือบมองมือถือในมือมัสลิน มัสลินมองลงตาม ก่อนจะตวัดสายตาใส่กานนขวับ
“คิดจะเล่นตลกอะไรกับฉันอีก”
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“ข้อความนี่”
“คุณได้รับใช่มั้ย!” กานนถามอย่างดีใจ
“ฉันไม่สนุกด้วยค่ะคุณกานน”
“แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณมารอผมที่นี่”
“ฉันเนี่ยนะมาคอยคุณ เฮ๊อะ! คนอย่างคุณนี่ทำฉันพูดไม่ออกจริงๆ เอาละ...ถ้าไม่มีฉันอยู่ตรงนี้แล้ว ทุกอย่างคงจบเอง”
มัสลินจะก้าวออกไป กานนรวบตัวมัสลินมากอดไว้ในอ้อมแขน แนบแน่น มัสลินประจันหน้ากับกานน
“ผมไม่มีเวลาล้อเล่นกับใคร ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ...ผมรักคุณ ได้ยินจากปากผมแล้วใช่มั้ยมัสลิน”
มัสลินนิ่งงัน ได้แต่จ้องลึกไปในดวงตากานน “คุณรอผมได้มั้ยมัสลิน ผมรู้ว่าคุณก็รักผม ...รอผมนะ ถ้าผมทำอะไร ไปในเวลานี้ มันก็เท่ากับว่าผมทำร้ายนายกุ
“...แล้วก็มธุริน”
กานนนิ่งไปทันที คำพูดมธุรินลอยเข้ามาในความคิด
“แค่ทำเหมือนว่าเรายังคบกันอยู่ ...นะคะกานน”
ท่าทีที่นิ่งไปของกานนหลังจากที่เธอเอ่ยถึงชื่อมธุรินทำให้มัสลินนึกหมั่นไส้ ผลักกานนและผละออกทันที
“ฉันจะถือว่าเราไม่ได้มาเจอกันที่นี่ ฉันไม่ได้ยินอะไรเลยสักนิด”
“คุณจะประชดประชันผมเพื่ออะไร ผมเลือกที่จะพูดความจริงทุกอย่างก็เพราะหวังว่าคุณจะเข้าใจ”
“เข้าใจสิคะ ใครบอกว่าฉันไม่เข้าใจ คุณเห็นใจพี่กุเทพกับมธุรินแฟนของคุณ คุณต้องการเวลาให้คนของคุณลงตัว แต่ถามหน่อยเถอะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับฝ่ายคุณฝ่ายเดียวงั้นเหรอ”
“จริงสินะ ผมเองก็ลืมคิดข้อนี้ไปเลย คุณกำลังจะบอกผมว่าคุณเองก็มีคนอื่นงั้นสิ ไหนล่ะ?... ไหน? ไหน?”
กานนยิ้มเยาะมัสลินหน้าร้อนผ่าว เสียฟอร์ม
“หยุดดูถูกฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“แล้วถ้าจะหมายถึงเจ้าตี๋ฮ่องกงคนนั้นละก็ ลืมไปได้เลย คุณไม่ได้ชอบเค้าสักนิด”
“แต่ฉันรักเค้า!”
กานนหุบยิ้ม มัสลินเหยียดปากสะใจ ประสานสายตากร้าวใส่กานน ก่อนจะก้าวออกไปทันที กานนส่งเสียงตามดุดัน
“กลับมานะมัสลิน ...มัสลิน!”
มัสลินเม้มปากเครียด สูดหายใจเข้าออกแรง ขณะเดินจากไปไม่เหลียวหลังหากานน ...มัสลินก้าวห่างจากกานนไป ปวดร้าวทั้งคู่
วันต่อมาที่ออฟฟิศของดุสิต คิมกำลังหันรีหันขวางดูวุ่นวายกับการหยิบจับเอกสารแผ่นนู้นนี้ขึ้นดู
“ไงวะ กลับมาก็ดูยุ่งวุ่นวายเชียวนะแก”
ดุสิตเดินเข้ามาในห้องมองคิมขำๆ แล้วนั่งลงที่โซฟาคิมวางเอกสารที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะทันทีที่เห็นดุสิตเดินเข้ามาในห้อง
“แกนี่เยี่ยมจริงๆ ฉันแค่คิดถึงแกก็โผล่หน้ามาให้เห็น ทันใจดีชะมัด”
“รุ่นนี้ละไม่ต้องจุดธูปเชิญฉันก็รู้ได้”
ดุสิตหัวเราะที่ทำคิมหน้าเหรอหราไม่เข้าใจที่ดุสิตพูด
“จุดธูปอะไรนะ”
“ก็...ช่างมันเหอะ ฉันขี้เกียจอธิบาย ว่ามาคิดถึงฉันเรื่องอะไร เพิ่งไปสวีทด้วยกันที่ฮ่องกงมายังไม่พอเหรอจ๊ะที่รัก”
ดุสิตแกล้งเอาหน้ายื่นเข้าไปใกล้คิมที่เพิ่งเดินมานั่งลงที่โซฟาอีกตัว คิมเอามือดันหน้าดุสิตออกไปทำหน้าเหยเก
“ไอ้บ้า ฉันซีเรียส มีเรื่องจะคุยกับแก” ดุสิตหยุดกึกเปลี่ยนเป็นทำหน้าสงสัย
“อยากจะฝากๆ แกช่วยดูงานที่ค้างไว้ก็เท่านั้น จริงๆ ฉันก็เคลียร์ไปได้บ้างละส่วนนึง”
คิมวางมือที่แฟ้มต่างๆ
“แกนี่ยิ่งพูดฉันยิ่งงง อย่างกะจะไม่เข้าออฟฟิศแล้วงั้นแหละ”
คิมหัวเราะรีบขยายความให้เพื่อนฟังก่อนที่ดุสิตจะงงหนักขึ้นไปกว่าเก่า
“ฉันก็แค่เผื่อไว้ ถ้าฉันไม่ได้เข้ามาทำงานคนอื่นจะได้ตามเรื่องได้ถูก ฉันว่าช่วงนี้ฉันจะไปสืบเรื่องคลิปมัสลินซะหน่อย”
ดุสิตผุดชันตัวตรง ขมวดคิ้วจ้องหน้าคิม
“แกนี่ท่าจะบ้า เรื่องมันจบไปแล้ว แกจะไปสืบเสาะหาความจริงอะไรอีก ตอนนี้ทั้งประเทศก็รับรู้แล้วว่าคนในคลิปไม่ใช่มัสลิน”
“ฉันไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องเลวๆ เรื่องสุดท้ายที่เป็นฝีมือศิธา”
“ทำไมแกถึงมั่นใจนักว่าเป็นมัน”
“ฉันคุ้นฉากในคลิปเอามากๆ เหมือนเคยเห็นในหนังเอวีที่สตูเจ้าศิธา แล้วอีกอย่างศิธามันเพิ่งจะมีเรื่องระหองระแหงกับเจ้าโก้น้องชายยัยกิ๊บเรื่องคุณเก๋”
“สองพี่น้องมหาประลัยสั่งให้ทำอะไรเลยได้หมด” คิมพยักหน้าเครียดๆ
“พูดถึงยัยเก๋ กว่าฉันจะประชุมหนังแชมพูสระผมตัวใหม่เสร็จก็บ่ายโน่น ไปเยี่ยมเจ๊แกเอาป่านนี้มีหวังโดนมันกัดเหวอะแหง แกก็เหลือเกินตอนเกิดเรื่องจะโทรทางไกลบอกฉันหน่อยก็ไม่ได้”
“วุ่นยังกะหนังบู๊ฮ่องกง รอดมาได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“เอาวะ จะเริ่มยังไงตรงไหนว่ามาเลย ยังไงเรื่องนี้ฉันต้องเอาด้วยอยู่แล้ว” ดุสิตตบไหล่คิม “ยัยเก๋จะได้ตาสว่างสักที ริจะมีผัวเด็ก ดั๊นไปคว้าเอาเกย์ ยัยเก๋เอ๊ยยัยเก๋”
คิมยิ้มบาง ๆ สีหน้าหนักแน่น เอาจริง
ดุสิตมาเยี่ยมเกวลินที่โรงพยาบาลและเข็นรถเข็นพาเกวลินออกมารับลมที่สวนหย่อมโรงพยาบาล
“หน้าตาแกดูสดชื่นดีกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยนะ อย่างนี้สงสัยอีกไม่กี่วันก็คงลุกมากระโดดได้แล้วล่ะ”
เกวลินหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ก็ว่าอย่างนั้นนะ จริงๆ อยู่โรงพยาบาลก็ดีเหมือนกัน เหมือนได้หยุดทุกอย่าง หยุดคิด หยุดงาน หยุดมันให้หมด ...สบาย”
“อย่าหยุดหายใจก็แล้วกัน”
“ไอ้บ้า”
เกวลินหัวเราะ
“ฉันขอโทษนะเว้ย เพิ่งจะโผล่มาเยี่ยมแกเอาตอนนี้”
“เข้าใจ มัวแต่ป้อเด็กอยู่อะดิ”
“ใช่ เย้ย!ไม่ใช่เว้ย ฉันไปทำงาน! ถ่ายหนังอยู่ฮ่องกง-มาเลย์โน่น”
“เออๆๆๆล้อเล่น ไม่ต้องสาธยาย”
“แต่แกสบายใจได้นะ ฉันไม่มีวันปล่อยไอ้ศิธาไปแน่ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ามันจะกล้าทำกับแกถึงขนาดนี้”
สีหน้าเกวลินเปลี่ยนเป็นแปลกใจเงยหน้าขึ้นพูดกับดุสิต
“ศิธา ศิธาทำอะไรฉัน”
ดุสิตงงงันที่ดูเหมือนว่าเกวลินจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ได้
“อะไรกัน นี่แกไม่รู้เลยเหรอว่าไอ้ที่แกต้องมานั่งรถเข็นอยู่แบบนี้นี่มันเพราะใคร”
เกวลินงงหนักเข้าไปใหญ่ขมวดคิ้วนึกไม่ออกว่าศิธาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เธอถูกทำร้ายได้อย่างไร
“แกจะบอกว่าที่ฉันเป็นแบบนี้เพราะศิธาทำงั้นเหรอ” ทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วขณะหน้าตาใช้ความคิดทั้งคู่สักพักเกวลินก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“หรือแกจะหมายถึงที่เขาดูแลฉันไม่ดีจนฉันต้องมานอนโรงพยาบาลนี่ แต่เอ๊ะแกรู้จักกับศิธาด้วยเหรอ ฉันไม่เคยพาเค้าไปเจอแกนี่”
ดุสิตอ้าปากจะตอบเกวลินแต่ก็เปลี่ยนใจเป็นนิ่งแทน นึกถึงตอนที่คุยกับคิมในออฟฟิศซึ่งดุสิตตกใจมากหลังจากฟังเรื่องเกวลินจากคิม
“ยัยเก๋เนี่ยนะ จำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่ทำร้ายคือไอ้ศิธา”
คิมพยักหน้าเครียด
“เรื่องแจ้งความเลยต้องพับไป ตอนนี้มัสลินกับฉันก็กำลังคิดๆ กันอยู่ว่าจะเอายังไงดี”
“ฉันนี่ละ จะฟื้นความจำยัยเก๋เอง”
“เดี๋ยวเห็นสภาพคุณเก๋ แกก็จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์หรอก”
ดุสิตมองเกวลินด้วยแววตาที่ทั้งสงสารและทั้งแค้นศิธาที่ทำร้ายเกวลินได้ลงคอ คิดในใจว่ายังไงต้องหาทางเปิดโปงศิธาให้ได้
“แล้ววันนึงแกก็จะรู้”
“ไอ้บ้าสิต พูดยังกับฉันเป็นยัยแก่สติเสื่อมงั้นละ รู้อะไร๊ห๊า!...พูดมา”
“ช่างฉันเหอะ”
“บอกว่าให้พูดมา จะพูดไม่พูด”
“ไม่พูดเว้ย โฮ้ยหงุดหงิด อยากชกหน้าคน”
ผู้คนแถวนั้นเหลียวมองดุสิต ดุสิตรีบเข็นรถเข็นพาเกวลินออกไปจากตรงนั้น
“วัยทองไม่ได้มีแต่ผู้หญิงจริงๆ แฮะ”
“แกว่าไร!”
เกวลินหัวเราะ ดุสิตลอบมองเพื่อนเศร้า ๆ
ที่ร้านเครื่องประดับของกุเทพ
กุเทพกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสคุยกับลูกค้าที่กำลังเลือกเครื่องประดับอย่างมีความสุข ที่มุมหนึ่งภายในร้านมธุรินกำลังนั่งซึมเหม่อลอยกุเทพทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออกขึ้นมาจึงขอตัวกับลูกค้าที่อยู่ข้างหน้า
“เชิญตามสบายนะครับ”
กุเทพหันไปส่งสัญญาณให้พนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันเป็นเชิงให้เข้ามาดูแลลูกค้าต่อจากตน
มธุรินยังคงนั่งเหม่อไม่รู้สึกตัวว่ากุเทพมายืนอยู่ข้างหลังได้สักพักหนึ่งแล้ว ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องคลิปมัสลิน...
มธุรินสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกว่ามีมือเย็นๆ มือหนึ่งมาจับอยู่ที่ต้นแขนเธอเผลออุทานออกมาเสียงดัง
“เปล่านะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
กุเทพตกใจชักมือกลับทันที มธุรินหน้าซีดเผือดตกใจที่เห็นกุเทพยืนอยู่ข้างหน้า
“คุณเดียร์ ขอโทษครับ ผมไม่ตั้งใจจะทำให้ตกใจ”
มธุรินหายใจแรง หอบ จ้องหน้ากุเทพพยายามเรียกสติตัวเองกลับคืน
“คะ คุณกุ เอ่อ เดียร์....”
กุเทพมองหน้ามธุรินทั้งแปลกใจทั้งห่วงใย
“คุณเดียร์หน้าซีดมากเลย กลับไปพักก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวอีกสักพักผมก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”
มธุรินยังคงนั่งนิ่งราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่กุเทพพูดออกมากุเทพดูท่าทางของมธุรินแล้วตัดสินใจหยิบกระเป๋าถือของมธุรินขึ้นสะพายบ่าตัวเอง อีกมือจับที่ข้อศอกมธุรินไว้
“ผมว่าคุณเดียร์คงไม่ไหวแล้วล่ะครับ กลับเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งเองผมนัดทานมื้อเย็นกับมัสแถวบ้านคุณเดียร์พอดี”
มธุรินสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินชื่อมัสลิน คว้ากระเป๋าถือของตัวเองจากบ่าของกุเทพมาถือไว้เอง พยายามฝืนพูดกับกุเทพ
“เดียร์ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ งั้นเดียร์ไปนะคะ”
มธุรินว่าแล้วก้าวออกจากห้องไป กุเทพยืนงงกับอาการของมธุรินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลิกแขนเสื้อตัวเองดูนาฬิกายิ้มออกมาราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันหลังกลับเดินไปทางประตู
มธุรินนั่งอยู่ที่นั่งคนขับ 2 มือกุมพวงมาลัยแน่นสีหน้าดูกังวลเคร่งเครียด เสียงมือถือดังออกมาจากกระเป๋าถือของมธุรินที่วางอยู่เบาะด้านข้างคนขับ หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าถือมาวางบนตัก ดวงตายังคงเหม่อลอยไปเบื้องหน้า ขณะล้วงหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า
พอเห็นว่าเป็นเบอร์เตช มธุรินเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมา รีบกดรับโทรศัพท์ทันที
“พ่อ.....พ่อขา”
มธุรินถือโทรศัพท์ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น เมื่อเสียงปลายสายเป็นเสียงจากบุคคลที่เธอสามารถพึ่งพาได้คนเดียวในโลกในเวลานี้
“เดียร์! เป็นอะไรลูก!”
“เดียร์กลัวค่ะพ่อ เดียร์กลัว”
มธุรินร้องไห้ ท่ามกลางเสียงเอะอะตกใจของเตชที่ดังจากปลายสาย
บัวบงกชนั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียวบนโซฟา ครุ่นคิดถึงเรื่องความขัดแย้งของมัสลินกับมธุรินสองพี่น้อง บัวบงกชหลับตาลงหายใจเข้าเฮือกใหญ่พิงหลังลงกับพนักโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน น้ำตาไหลจากหางตาเสียงรถเบรคเอี๊ยดจากหน้าประตูทางเข้าห้องโถงตามด้วยเสียงกระแทกปิดประตูรถดังปัง
“นี่คุณเลี้ยงลูกยังไงของคุณ”
เตชเดินกระแทกเท้าเข้ามาส่งเสียงดังอย่างหาเรื่อง บัวบงกชลืมตาโพลงผุดลุกขึ้นมีท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“คุณเตช”
แต่แล้วสีหน้าบัวบงกชก็พลันเจื่อนลงเมื่อได้ยินประโยคถัดไป
“ถ้าผมรู้ว่าคุณจะไม่ได้เรื่องขนาดนี้ผมไม่มีทางทิ้งให้ยัยเดียร์อยู่กับคุณเลย”
บัวบงกชหน้าเหวอลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเตชไม่เข้าใจสิ่งที่เตชพูด
“คุณคงทำกับลูกเหมือนที่คุณทำกับผม ไม่เคยรักไม่เคยใส่ใจ ลูกถึงต้องไปยึดเอาไอ้กานนเป็นที่พึ่ง แล้วก็ต้องมานั่งฟูมฟายเสียอกเสียใจแบบนี้”
“เกิดอะไรขึ้นกับยัยเดียร์”
“ก็จะอะไรก็คงโดนไอ้กานนมันหลอกเอาน่ะสิ ถึงร้องห่มร้องไห้เสียใจซะขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้เรื่อง”
บัวบงกชเริ่มจับใจความเรื่องราวได้จึงสวนเตชกลับไปทันควัน
“เสียใจ ยัยเดียร์เนี่ยนะเสียใจ คุณเตช คุณเองน่ะแหละที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรไม่เคยสนใจว่าลูกคบใครไปทำอะไรผิดๆ มาบ้าง”
เตชหัวเสียที่โดนตอกกลับแต่ก็อ้าปากตอบโต้บัวบงกชไม่ทัน
“ฉันจะช่วยให้คุณตาสว่างขึ้นซักนิดนะ กานนน่ะคงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ยัยเดียร์ต้องร้องห่มร้องไห้อะไรอย่างที่คุณว่าหรอก ที่ร้องน่ะคงร้องเพราะเรื่องอื่นมากกว่า”
เตชสงสัยหันขวับมาถามบัวบงกชต่อทันที
“เรื่องอื่น....เรื่องอะไร”
แทนคำตอบบัวบงกชหันหลังท่าทางจะเดินหนี เตชสาวเท้าตามบัวบงกชทันที
“บัว! ตลอดเวลาที่ผ่านมากับเรื่องของเรา คุณหันหลังให้ผมมาตลอด ผมฝืนใจยอม แต่นี่เรื่องของลูก...ยัยเดียร์ก็ลูกผมเหมือนกัน คุณจะเดินหนีผมอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้กานน แล้วมันจะมีเรื่องอะไรอีก ทำไมยัยเดียร์ร้องไห้เสียมากมายอย่างนั้น”
บัวบงกชชะงักออกอาการลังเลเล็กน้อยเหมือนจะหันหลังกลับ
“ผมเป็นพ่อนะบัว”
บัวบงกชแปลบไปทั้งหัวใจ เมื่อนึกถึงทั้งมัสลินและมธุรินซึ่งเป็นลูกของเตช
“ใช่... คุณเป็นพ่อ”
เตชได้ยินเพียงลางๆ ขยับจะเข้าใกล้ สีหน้ามีความหวัง
“คุณว่าไงนะ” บัวบงกชมีสีหน้าว้าวุ่น สุดท้ายตัดสินใจก้าวหนีความจริงไปอีกครั้ง “บัว!”
เตชส่งเสียงตามบัวบงกชอย่างปวดร้าว กำหมัดแน่นอย่างอัดอั้น
มัสลินเดินลงบันไดมาด้วยหน้าตาเบิกบานในชุดพร้อมออกข้างนอก พัดถือน้ำส้มเดินมาวางไว้ให้
มัสลินที่โต๊ะ และมองมัสลินอย่างชื่นชม
“น้ำส้มค่ะคุณมัส ดื่มซะก่อนจะออกจากบ้านนะคะ”
“ขอบคุณจ้ะน้าพัด”
มัสลินนั่งลงส่งยิ้มหวานขอบคุณ บรรยากาศดูชื่นมื่น แต่ครั้นมัสลินยกแก้วน้ำส้มขึ้นมายังไม่ทันได้ถึงปากก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงแป้นโหวกเหวกมาจากทางหน้าบ้าน
“คุณนี่ฟังไม่รู้เรื่องหรือไงบอกแล้วว่าไม่ให้เข้า ไม่ให้เข้า”
มัสลินกับพัดตกใจมองกันงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่หน้าบ้าน
ยังไม่ทันจะคิดต่อเตชก็โผล่พรวดเข้ามาที่ห้อง ตามด้วยแป้นที่ถลาตามเข้ามาติดๆ
“น้าพัดโทรเรียกตำรวจเลย คุณมัสหลบไปค่ะ!”
เตชตวัดสายตาไปทางมัสลินแล้วชี้หน้ามัสลินทันที
“ฉันเคยเตือนเธอแล้วใช่มั้ยนังตัวดีว่าอย่ามายุ่งกับลูกสาวฉันอีก”
มัสลินตกใจที่จู่ๆ เตชก็บุกเข้ามาอาละวาดที่บ้านแต่ก็ยังฝืนทำใจดีสู้เสือ
“ฉันก็เคยบอกคุณไปแล้วเหมือนกันว่าฉันไม่เคยคิดจะยุ่งกับลูกสาวคุณ มีก็แต่ลูกสาวคุณที่ขยันมายุ่งกับฉันเอง”
พัดเพ่งสังเกตใบหน้าเตชอย่างจำได้ จึงเบิกตาเป็นเชิงให้แป้นขึ้นไปบอกจิรดาที่ชั้นบน พลางก้าวไปประกบมัสลินเกรงมัสลินจะถูกทำร้าย แป้นบ้าจี้เบิกตากลับ ว่าพัดนั่นละที่ควรจะไปบอกจิรดา พัดถลึงตาเขียวใส่ แป้นจึงวิ่งจู๊ดขึ้นบันไดไป
“ไปตามมันมาเลย นังแม่เธอน่ะ เธอมันก็เหมือนแม่เธอนั่นละ อย่างลูกสาวฉันหรือกานนแฟนเค้าก็เหอะ ไม่มีทางลดตัวมายุ่งกับเธอแน่นอน นอกซะจากว่าเธอจะใช้วิชาเดียวกับแม่ เที่ยวแถไปหาผู้ชาย
ก่อน”
มัสลินหน้าแดงโกรธจัดที่เตชลามไปถึงแม่เธอ
“ท่าทางคุณจะอ่านอะไรๆ ออกไปซะหมด ขอโทษเถอะค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะชอบแถเหมือนๆ กันรึเปล่าคะ โดยเฉพาะตอนนี้ที่แถมาหาเรื่องฉันถึงบ้าน แบบไม่กลัวจะถูกลากเข้าตาราง!”
ท้ายประโยคมัสลินเสียงกราดเกรี้ยว ตาคมขวาง อย่างไม่เกรงกลัวเตช
“นังเด็กเมื่อวานซืน นี่แกด่าฉันเหรอ หนอย เอาตารางมาขู่ รู้บ้างรึเปล่าบ้านเท่ารูหนูของแกหลังเนี้ยะ ถ้าฉันจะทำให้มันหายไปทั้งหลังเดี๋ยวนี้ก็ยังได้ รับปากมา!ว่าแกจะเลิกยุ่งกับกานน”
“เก็บคำพูดของคุณ ไปบอกลูกสาวคุณให้ระวังว่าที่เจ้าบ่าวให้ดีกว่านี้เถอะ เชิญคุณออกจากบ้านฉันไปได้แล้ว”
“ยอมรับออกมาแล้วละสิ ว่าเสนอหน้าไปยุ่งกับกานนจริงๆ หน้าตาก็ดีๆ ไม่น่าหาผู้ชายไม่ได้เลยนะ”
“ไม่ต้องหาก็มีต่างหากล่ะ แต่คนที่ต้องการก็ต้องไขว่คว้ากันหน่อย สมัยนี้ ใครดีใครได้ คุณก็รู้นี่”
เตชหัวเราะเสียงกังวาน มองมัสลินอย่างดูถูก
“ตรงดีนี่ แล้วรู้มั้ยว่าพฤติกรรมอย่างเธอทำน่ะเค้าเรียกอะไร”
“ก็หน้าด้านน่ะสิ! ไม่แปลกที่คนระดับอย่างฉันจะกลายเป็นคนหน้าด้าน แต่พวกผู้ดีอย่างคุณ ใช้วิชามารต่ำๆ ทำลายคนอื่น จะเรียกว่าอะไรดี ถึงจะสาสมกับความต่ำช้าสารเลวที่ทำเอาไว้”
เตชตาลุกวาว “อะไรของเธอ”
จิรดาก้าวฉับเข้ามาพร้อมแป้น
“ปล่อยมัสลินไปค่ะคุณเตช”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ มัสแค่บอกคุณคนนี้เรื่องความเลวที่คนระดับผู้ดีเค้าชอบทำกันไงคะแม่... อยากรู้กลับไปถามลูกสาวดูหน่อยเป็นไร”
เสียงแตรรถดังขึ้น จิรดาได้ทีรีบตัดบท
“คุณอะไรนั่นคงมารับแกแล้ว รีบไปเถอะ”
เตชยิ้มหยัน คาดว่าเป็นกานนเต็มที่
“ช่างเหมาะเจาะดีแท้ ที่ฉันมาทันได้เห็นคาหนังคาเขา”
เตชเหลียวไปที่ประตู แล้วประหลาดใจ...กุเทพก้าวเข้ามาเห็นเหตุการณ์ งุนงงที่เจอเตชที่บ้านมัสลิน แต่ก็มีสติพอที่จะยกมือไหว้ทั้งเตชและจิรดา
“สวัสดีครับ เอ้อ...คุณอา”
เตชมองกุเทพอย่างงงงัน
“คุณกุเทพหรอกเหรอ”
“ครับ ผมกุเทพ หลานชายของอากานน เคยเจอคุณอาตอน...”
มัสลินยิ้มหยัน รุกใส่เตชทันที
“รู้จักกันแล้วสินะ ดี ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำ”
“จะไปก็รีบไปซะซี่ปัดโธ่เรานี่ก็”
จิรดาดุใส่มัสลินด้วยความห่วง ไม่อยากให้มัสลินโดนเล่นงานเหมือนอย่างที่ตัวเองเคยโดนมาแล้ว
“ถามเค้าหน่อยก็แล้วกันว่าด่ามัสจบรึยัง เรื่องที่ไปแย่งคู่รักลูกสาวเค้าน่ะ”
กุเทพพอเดาๆ เหตุการณ์ออก รีบลากมือมัสลินออกไป
มัสลินเหลียวกลับมาจ้องเขม็งที่เตช แววตาแข็งกร้าวอาฆาต เตชมองตามสองคนจนหายออกไปด้วยกัน
“คุณกุเทพ ...หึ ฉันละเชื่อเลย ที่แท้ก็เหมือนแม่เชื้อไม่ทิ้งแถว เปลี่ยนผู้ชายเป็นว่าเล่น”
จิรดาเม้มปากแน่นจนสั่นระริก
“เอาเห้อะ อย่าได้คิดยุ่งกับกานนแล้วก็ลูกสาวฉันอีกแล้วกัน ไม่งั้นอะไรที่ฉันพูดไว้...มันเกิดขึ้นแน่ๆ”
เตชพูดจบก็ผลุนผลันจะออกจากห้อง แต่แล้วเหลียวกลับมา
“วันนี้มาแปลกนี่ ไม่ออกฤทธิ์ออกเดชหยาบคายเหมือนเคยๆ ผีเหล้าผีพนันออกจากร่างชั่วคราวเหรอ หึ ๆ”
จิรดาสูดหายใจแรงเชิดหน้าพยายามไม่ให้น้ำตาที่เอ่อออกมาไหลหยดลงมา
กุเทพขับรถพามัสลินออกจากบ้าน มือหนึ่งจับพวงมาลัยขับรถอีกมือดึงกระดาษทิชชูจากกล่องส่งให้มัสลิน มัสลินซึ่งหันหน้ามองออกนอกหน้าต่างกำลังร้องไห้ รับกระดาษทิชชูมาจากกุเทพ
“พี่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณเตชจะถึงขั้นบุกเข้าไปที่บ้านมัสอย่างนี้”
มัสลินขบกรามแน่น ทั้งที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
“พี่กุลากมัสออกมาทำไม มัสอยากจะฆ่ามันนัก มันด่าแม่มัส”
“พูดอย่างนี้ไม่ใช่มัสเลย ฟังแล้วแปร่งๆ มัสของพี่ไม่ใช่คนก้าวร้าว ไม่เอาน่ะ”
“มัสมีแม่คนเดียวค่ะ”
“เฮ้อ..โอเคๆ พี่เข้าใจ”
“ด่ามัสคนเดียวมัสทนได้ แต่นี่นี่.....แม่.... มัสไม่อยากให้แม่เสียใจ ...แม่มัสกับนายคนนั้น...”
มัสลินฝืนพูดออกมาอย่างกล้ำกลืนถึงสัมพันธ์ของจิรดากับเตช
“ไม่ต้องพูดแล้ว พอเถอะ พี่ขอโทษที่พี่พูดเหมือนไม่เข้าใจมัส”
กุเทพคว้ามือมัสลินมากุมแนบอก มัสลินมองตามมือตัวเองแล้วค่อยๆ ดึงกลับอย่างรักษาน้ำใจ ทำเสมองออกไปทางหน้าต่าง กุเทพแก้เก้อชวนมัสลินเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอางี้ไหนๆ วันนี้เราเจอเรื่องหนักๆ มาแล้วมัสอยากไปไหน ทำอะไรพี่กุคนนี้จะตามใจพามัสไปทุกที่เลย ดีไหม”
มัสลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ตอบกุเทพกลับไปแทบไม่ต้องคิด
“ที่ๆ มัสอยากไป...บ้านสวนค่ะ” กุเทพฟังอย่างสนใจ “บ้านสวนของคุณยายเป็นอีกโลกนึง โลกที่สะอาด ไม่มีเรื่องสกปรกไปแปดเปื้อน มัสคงสบายใจ ถ้าได้ไปที่นั่น”
“ได้เลย”
“พี่กุเทพจะได้เจอคุณยายมัสด้วย”
กุเทพยิ้มสดใสรับมัสลิน
หลังจากเตชกลับไปแล้ว แป้นเปิดตู้โน้นตู้นี้ ท่าทางเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างพัดเดินเข้ามามองตามงงๆ เมื่อเห็นแป้นหยิบขวดเหล้าออกมาจากซอกหลืบตู้โน้นตู้นี้
“นั่นแกทำอะไรน่ะ”
แป้นหันหลังกลับมามองพัดขณะที่มือก็ยังคงสาละวนหยิบจับขวดโน้นขวดนี้
“อ้าว ก็เตรียมการให้ทันคุณดาเธอเรียกหาน่ะสิ เนี่ยแล้วยิ่งมีเรื่องแบบนี้ถ้าขวดเหล้าไม่ลอยไปถึงมือทันใจคุณเค้า แก้วอะไรสักแก้วมันต้องลอยมาหาฉันหัวแบะก่อนแน่ๆ”
แป้นพูดไปทำท่าทางขนหัวลุกไป พัดส่ายหน้า
“เอาไปเก็บ”
แป้นมองหน้าพัดแว่บหนึ่งก่อนจะหันไปหยิบแก้วเหล้ามาวางในถาดต่อไปราวกับไม่ได้ยินที่พัดพูด
“เฮอะเชื่อก็บ้า ฉันยังไม่อยากหัวแบะ”
“งั้นก็ตามใจ เพราะเดี๋ยวแกก็ต้องเก็บเข้าตู้อย่างเดิมอยู่ดี คุณดาแกเข้าห้องนอนปิดประตูเงียบไปตั้งนานแล้ว แล้วก็ไม่ร้องหาเหล้าสักกะแอะด้วย”
พัดพูดจบก็หันหลังกลับเดินออกจากครัว พลางส่ายหัวห่วงใยจิรดาเป็นครั้งแรก
แป้นยืนอยู่กับที่ ในมือยังถือแก้วเหล้าค้างไว้หน้าตาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“เอาจริงเหรอวะ”
ส่วนจิรดาเมื่อกลับเข้าห้อง เธอนั่งนิ่งอยู่บนเตียง นึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น จิรดายิ่งคิดสีหน้ายิ่งเจ็บปวด เสียใจ มองไปที่โต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ในห้องนอนแล้วนึกถึงภาษิต จิรดาน้ำตาไหล
“ฉันมันงี่เง่าเอง ทำทุกอย่างประชดชีวิต คิดแต่จะเอาชนะคุณ ชนะบัวบงกช จนไม่เคยนึกถึงคุณหรือ....มัสลิน ที่ถูกนายเตชด่ามันก็สมแล้วละ”
จิรดาร้องไห้ออกมาอย่างสำนึกผิด
“ให้อภัยฉันนะคะ ...ภาษิต...”
ที่บ้านของกานน ขณะนั้นกานนนั่งดื่มชาอยู่กับเจ้าสัวอย่างอารมณ์ดี
“เออ แกนี่มันก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย หึ หึ” กานนเอียงหน้ามองเจ้าสัวอย่างไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร “ก็เรื่องที่ยัยหนูมัสลินจัดแถลงข่าวไง ฉันรู้มาจากคุณนายแต้วว่าเป็นความคิดแกเองไม่ใช่เรอะ ฝากฝังเค้าเสียเสร็จสรรพ” กานนพยักหน้าซึม ๆ “จะเสียอยู่นิดเดียวก็ตรงที่ว่ามันดันไปเข้าตำรา “ปิดทองหลังพระ”นี่สิวะ หึ ๆ”
“อย่าแซวกันเองสิครับคุณปู่...”
“ยุคนี้สมัยนี้มันต้องเอาหน้าเอาตากันบ้าง ไม่ต้องถึงกับประเจิดประเจ้อขี้อวดขี้ฟ้อง แต่ให้นางเอกเค้าได้รู้บ้างก็ได้ว่าเราทำอะไรให้เค้า”
“หน้าผมมัสลินเค้ายังไม่อยากจะมองเลยครับปู่”
“ลองถ้าเค้าได้รู้ว่าแกเป็นคนช่วยเค้าเรื่องแถลงข่าวสิ มีรึจะไม่มอง ขี้คร้านจะกระโดดจูบสิไม่ว่า”
กานนส่ายหน้า ยิ้มขำคารมเจ้าสัว
“นี่ก็เพราะเค้าไม่รู้ ...เฮ้อ...เจ้าปลิวเอ้ย ระวังนา มันจะเข้าอีหรอบเดียวกับปู่ พูดอีกก็ซ้ำเรื่องเดิมอีก เฮ้อ...”
กานนยกกาน้ำชาขึ้นรินให้เจ้าสัว พลางเอ่ยขึ้น
“เรื่องคุณย่าเล็กน่ะเหรอครับ”
“ก็เออสิวะ เออ!ว่าแต่มีอะไรคืบหน้าบ้างมั้ย”
กานนฉุกนึกถึงสิ่งที่มัสลินบอกกับเขาในวันที่ไปฉะเชิงเทรากันจึงเผลอรำพึงออกมา
“คุณยาย เราน่าจะไปหาคุณยาย”
“ยายอะไรของแก ฉันให้แกไปตามหาย่าเล็กนี่แกจะหายายที่ไหน อุวะ อัลไซเมอร์ซะแล้วเจ้าปลิว”
“คุณยายของมัสลินน่ะครับ ตอนเด็กๆ ครอบครัวเขามาจากแถวนั้น มัสลินเขาว่าคุณยายเขาก็คนเก่าแก่ละแวกหมู่บ้านตลาดโบราณ ดีไม่ดีอาจจะรู้จักกับคุณย่า ผมก็เลยว่าจะไปถามจากคุณยายของมัส
เขา แต่ยังหาโอกาสไม่ได้ซะที”
เจ้าสัวมีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ก็วันนี้ไงล่ะ”
“ได้ไงล่ะครับ มัสลินไม่ยอมคุยกับผมแบบนี้ ผมจะทะเร่อทะร่าไปได้ยังไง”
“ไม่เป็นไร อ้างชื่อฉันเข้า คนจิตใจดีอย่างยัยหนูมัสลินมีหรือจะไม่ยอมลงให้ จำไม่ได้เหรอตอนฉันป่วยหนัก มัสลินก็ออกจะเป็นห่วงเป็นใยฉัน”
“จริงสิ ผมลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย”
“ให้คนเอารถออกเดี๋ยวนี้เลย”
“ห...หา ใจเย็นสิครับคุณปู่ ให้ผมตั้งตัวนิด เฮ้อ...”
กานนส่ายหน้ายิ้มๆ กับเจ้าสัว ทั้งสองดูมีความหวัง
มัสลินพากุเทพมาบ้านสวน กุเทพก้มลงถอดรองเท้าโดยมีมัสลินยืนอยู่ข้างๆ ม่านมุกเดินออกมาต้อนรับมีปิ่นยืนดูแลอยู่ด้านหลัง มัสลินก้าวไปยืนข้างๆ กอดเอวม่านมุกอย่างเอาใจ
“คุณยายมัสค่ะพี่กุเทพ... พี่กุเทพเพื่อนมัสค่ะยาย มัสคิดถึงยายจังเลย”
ม่านมุกยิ้ม รับไหว้กุเทพแล้วก็ทำหน้าเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอมัสลินรู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือที่กระเป๋าหลังกางเกง จึงหยิบขึ้นมาดูกเห็นชื่อกานน
มัสลินหันข้างๆ เหลือบตาที่กุเทพแล้วตัดสินใจกดสายทิ้ง
“คุณกุเทพ เอ..หน้าตาเหมือนคุ้นเคย แต่ชื่อ..ยายกลับไม่คุ้น เอ...”
มัสลินเฉลยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“คุณกุเทพเป็นหลานคุณกานนค่ะ หน้าตาเลยอาจดูคล้ายกัน”
“คล้ายกันเหรอครับ แหม ผมหลงคิดมาตลอดว่าผมหล่อกว่า น่าอิจฉาอาปลิวนะฮะ ได้มาเที่ยวที่นี่ก่อนผมซะอีก”
“คุณเค้าบังเอิญเจอยายที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ”
“ผมล้อเล่นไปอย่างนั้นเองน่ะครับคุณยาย มัสเค้าเคยเล่าให้ผมฟังแล้วละครับ”
“อ้าว... แล้วก็ปล่อยให้คนแก่งง” ทั้ง 3 คนหัวเราะออกมาพร้อมกัน บรรยากาศดูสดชื่น “ไป เข้าไปนั่งในบ้านกันเถอะค่ะ เดี๋ยวให้ปิ่นไปหาน้ำสมุนไพรเย็นๆ มาให้ดื่ม”
มัสลินโอบเอวม่านมุกกำลังจะเดินเข้าบ้านมือถือก็สั่นขึ้นอีก มัสลินตะปบที่กระเป๋าหลัง ชักหงุดหงิด...มัสลินปล่อยให้กุเทพคุยจ้อขณะประคองแขนม่านมุกไป ส่วนตัวเองก้าวเอื่อยๆ หน้าหงิกอยู่กับโทรศัพท์มือถือ...หน้าจอโทรศัพท์เห็นเป็นชื่อกานน มัสลินกดปุ่มตัดสายทิ้งอีก
ปิ่นยกถาดที่มีเหยือกน้ำดอกอัญชัญพร้อมแก้วเปล่าเข้ามาวางให้มัสลิน กุเทพ และม่านมุกซึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน
“น้ำดอกอัญชัญหวานๆ หอมๆ ค่ะ”
มัสลินยิ้มแต้ คว้าแก้วมาเตรียมจะริน
“ภูมิใจนำเสนอจริงๆ ค่ะ พี่กุต้องติดใจ”
ยังไม่ทันได้รินน้ำ โทรศัพท์มือถือมัสลินสั่นขึ้นอีก กุเทพมองอย่างรู้ดี
“รับสายเค้าเถอะ โทรมาตั้งหลายครั้งแล้วนี่”
“ใครเหรอคะ!ไม่มี๊ พวกขายของทางมือถือต่างหากล่ะคะ มัสไม่อยากรับ”
กุเทพหันยิ้มกับม่านมุก
“เชื่อดีมั้ยครับคุณยาย”
มือถือมัสลินสั่นอีก มัสลินยิ้มเจื่อน ปิ่นรู้งาน รีบรินน้ำให้กุเทพ
“ดื่มตอนเย็นเจี๊ยบนี่เลยดีกว่านะคะ เดี๋ยวน้ำแข็งละลายจะไม่อร่อย”
มัสลินหยิบมือถือขึ้นดูจึงเห็นข้อความจากกานน
“ผมต้องการความช่วยเหลือเรื่องคุณย่าเล็ก”
มัสลินเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ กุเทพกำลังยกแก้วน้ำขึ้นชิม แล้วชมเปาะกับม่านมุกและปิ่น
“อร่อยมากเลยครับ ไม่น่าเชื่อ ดอกอัญชัญมีรสชาติกับเค้าได้ด้วยเหรอฮะ”
“พูดแล้วจะหาว่าคุยค่ะ นี่น่ะสูตรลับของบ้านสวนเราเลยนะคะ”
มัสลินเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“พี่กุคุยกับคุณยายกับปิ่นไปก่อนนะคะ มัสขอตัวแป้บค่ะ”
“อ้าว”
ปิ่นรีบต้อนไว้ กระเถิบขวางสายตากุเทพ กุเทพเอียงซ้ายปิ่นก็บังซ้าย กุเทพเอียงขวางปิ่นก็บังขวา
“มันเริ่มต้นตั้งแต่การเก็บดอกอัญชัญเชียวนะคะคุณขา เราต้อง...”
มัสลินก้าวห่างออกมาพร้อมโทรศัพท์มือถือในมือ และกดโทรออกหากานน
ขณะนั้นกานนกำลังขับรถมีเจ้าสัวนั่งอยู่ข้างๆ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น กานนรีบหยิบขึ้นมาดูแล้วกดรับสายทันที
“มัสลิน ขอบคุณมากที่โทรกลับมา ผมมีเรื่องต้องรบกวนคุณ”
มัสลินปรายสายตาไปที่กุเทพที่อยู่ห่างๆ
“ฉันกำลังยุ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่ช่วยคุณเรื่องคุณย่าเล็กของคุณ คนอย่างฉันรับปากอะไรแล้ว ไม่มีไม่ทำ”
“ผมทราบ ผมถึงได้กล้ากระหน่ำโทรหาคุณไง นี่ผมกำลังจะถึงบ้านสวนของคุณยายคุณนะ”
“อะไรกัน นี่คุณคิดจะทำอะไรคุณก็ทำตามอำเภอใจอย่างนี้น่ะเหรอ”
“คนที่ขอร้องผมคือคุณปู่ แล้วตอนนี้ท่านก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ”
“นี่คุณปู่คุณมาด้วยเหรอ”
“พอคุณปู่ทราบว่าคุณยายคุณเป็นคนเก่าแก่ที่หมู่บ้านตลาดโบราณ ท่านก็เลยใจร้อน ขอให้ผมพามาพบคุณยายคุณ”
“ฉันเข้าใจ แต่...เอ่อ...เดี๋ยวฉันโทรกลับได้มั้ยคะ”
มัสลินสีหน้าว้าวุ่น หันรีหันขวางไปที่กุเทพซึ่งยังคงคุยออกรสอยู่กับม่านมุกและปิ่น
มัสลินวางหูจากกานน ขณะนั้นกานนมาถึงบ้านสวนพอดี เจ้าสัวเปิดประตูรถลงมายืนมองหน้าบ้านนิ่งงัน กานนมายืนข้างๆ เห็นเจ้าสัวนิ่งไปตาจับจ้องอยู่กับพุ่มเฟื่องฟ้าที่ขึ้นหนาครึ้มหน้าบ้าน
“บ้านนี้ล่ะครับคุณก๋ง”
เจ้าสัวยังคงยืนนิ่งราวกับโดนสะกด เสียงของม่านมุกในอดีตดังลอยเข้ามาในความคิด
“ดิฉันชอบเฟื่องฟ้าค่ะ เฟื่องฟ้าเป็นไม้ที่ไม่ต้องการการดูแล มันเติบโตเองได้ด้วยตัวมันเองในทุกสถานการณ์และทุกสภาวะ ไม่ว่าจะร้อน จะฝน หรือหนาว”
กานนเงยหน้ามองเฟื่องฟ้าตามสายตาเจ้าสัว
“คุณปู่ครับ”
“อ...อ้อ ...ว่าไง เค้าอยู่ใช่มั้ย”
“ผมยังไม่ได้กดกริ่งเลยน่ะครับ”
“อ้าวแล้วรออะไรล่ะ มานี่ฉันเอง ไหน...ตรงไหนล่ะ”
เจ้าสัวตัวชาวาบ ทันทีที่เห็นกระดิ่งใบย่อม แขวนไว้ริมรั้ว เสียงม่านมุกในอดีตดังเข้ามาอีกครั้ง
“กระดิ่งโบราณแบบนี้ละค่ะ เสียงเพราะ ดีกว่าออดไฟฟ้าเป็นไหนๆ”
กานนมองเจ้าสัวงงๆ อีกครั้ง
“อย่าบอกนะครับว่าใช้ของโบราณแบบนี้ไม่เป็น ผมเองครับ”
กานนสั่นกระดิ่งดังใสกังวาน ขณะที่เจ้าสัวยังคงนิ่งงัน เหลือบสายตาไปที่พุ่มเฟื่องฟ้าอีกครั้ง
มัสลินมีสีหน้าครุ่นคิดสับสน ก้าวกลับไปที่กุเทพ พลันสะดุ้งเฮือกกับเสียงกระดิ่ง ขณะที่ม่านมุกรู้สึกเอะใจขึ้นมาอย่างประหลาดหันหน้ามองออกไปที่รั้วประตู
ปิ่นซึ่งกำลังยกอาหารเข้ามาพอดี รีบวางถาดลงเตรียมจะไปเปิดประตู
“รอแป๊บเดียวนะคะ ขอปิ่นไปดูหน้ารั้วก่อน เดี๋ยวกลับมาเสิร์ฟข้าวเกรียบปากหม้อร้อนๆ ค่ะ”
มัสลินขยับตัวทันที สีหน้ามีพิรุธ
“เดี๋ยวมัสไปดูเอง”
มัสลินเดินออกมาที่ประตูและเปิดประตูออกมาเพียงลำพังยกมือไหว้เจ้าสัวอย่างอ่อนสุภาพ
“สวัสดีค่ะท่าน”
เจ้าสัวยิ้มรับไหว้ กานนประหลาดใจที่เห็นมัสลิน
“อ้าว... คุณอยู่ที่นี่เองหรอกเหรอ แล้วก็ปล่อยให้ผมถามอยู่ตั้งนาน”
“ไม่ใช่เวลาที่จะคอมเพลนกันค่ะ” มัสลินก้าวเข้าไปข้างกานนแล้วเอียงหน้ากระซิบ
“ฉันกำลังจะหาทางบอกคุณ ...พี่กุอยู่ในบ้าน”
กานนหน้าอึ้งไป เหลือบมองไปทางเจ้าสัว
“รบกวนหน่อยนะหนูมัสลิน เจ้าปลิวคงอธิบายให้หนูฟังหมดแล้วใช่มั้ย”
“เอ่อ...ค่ะ มัสยินดีที่จะช่วยสืบเรื่องคุณย่าเล็กเต็มที่ค่ะ แต่...”
“เอ่อ คุณปู่ครับผมว่าวันนี้คงไม่เหมาะจะเข้าไปพบคุณยายของมัสครับ”
เจ้าสัวแลดูผิดหวังลงไปนิดหนึ่ง
“ต้องขอโทษหนูมัสที่เรามาแบบไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า ขอโทษที่เสียมารยาทนะ”
มัสลินทำหน้าไม่ถูกรีบปฏิเสธ
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”
กานนรีบชิงพูด
“เจ้ากุอยู่ข้างในครับคุณก๋ง บอกไปเถอะคุณ คุณก๋งผมน่ะสมัยใหม่ท่านเข้าใจ”
มัสลินยิ้มหน้าแหยๆ “มัสเกรงว่าพี่กุจะ...”
มัสลินพูดค้างไว้แค่นั้นแต่บุ้ยหน้าไปทางกานนเจ้าสัวมองหน้ากานนแล้วก็มองลอดช่องประตูเข้าไปในบ้านแล้วพยักหน้าช้าๆ อย่างเข้าใจ
“อืม ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ...วันนี้ผมเองก็ใจร้อนไปหน่อยเหมือนกัน หวังว่าคราวหน้าคงมีโอกาสได้คุยกับคุณยายหนูมัสลิน”
เจ้าสัวพยักหน้ากับกานนเป็นสัญญาณว่าให้กลับ กานนหันลามัสลิน
“งั้นผมไปนะ”
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“ความผิดของคุณซะที่ไหนล่ะ แต่รับปากแล้วนะ ทำตามที่พูดด้วย”
กานนยิ้มมีความสุขที่จะได้มีเรื่องให้เกี่ยวข้องกับมัสลินอีก มัสลินค้อนขวับ
“แน่นอนอยู่แล้ว คนอย่างฉันไม่กลืนน้ำลายตัวเองเหมือนใครบางคน”
กานนยักไหล่ ไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะหันไปเปิดประตูรถค้างไว้
“ไปกันเถอะครับคุณปู่”
“มัสรับรองค่ะว่าคุณท่านต้องได้พบกับคุณยายของมัส เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ขอบใจมาก หนูเข้าไปบ้านเถอะเดี๋ยวไอ้กุมันจะสงสัยว่าหนูออกมานาน ผมไปละ”
เจ้าสัวไม่วายเหลียวไปที่พุ่มเฟื่องฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังก้าวไปที่รถพร้อมกานน
มัสลินหมุนตัวกลับเข้าที่ประตูเล็ก แล้วชะงักงัน
“คุณยาย...”
มัสลินเห็นม่านมุกก้าวตรงมาไม่ไกล ในฝั่งเขตบ้าน มัสลินก้าวไปหาม่านมุก ขณะที่ม่านมุกก้าวมาใกล้รั้ว
“ใครมาเหรอลูก ทำไมไม่ให้เขาเข้ามาในบ้านล่ะ”
มัสลินปิดประตูเล็กลง ทั้งที่สายตาม่านมุกยังพยายามจะมองออกไป
“อ๋อ เดี๋ยวมัสเล่าให้ยายฟังแน่ค่ะ แต่ต้องรอพี่กุกลับก่อน”
ม่านมุกเหมือนไม่ได้ยินที่มัสลินพูด เพราะสายตากลับมองลอดออกไปที่หน้ารั้ว ม่านมุกเห็นเจ้าสัวจากด้านหลัง หยุดยืนอยู่ข้างรถเก๋งของกานน มีกานนประคอง
ม่านมุกตาแข็งค้างถึงกับนิ่งงันไป มัสลินแตะแขนคุณยาย
“ยายคะ ว้ายทำไมตัวเย็นอย่างนี้ล่ะคะ”
ม่านมุกหน้ามืดเซไปเกาะแขนมัสลิน
“ยาย!” มัสลินโอบประคองร่างม่านมุกไว้อย่างตกใจ
ขณะนั้นเจ้าสัวยังยืนนิ่งไม่ยอมขึ้นรถจนกานนต้องหันมามองอย่างประหลาดใจ
“คุณปู่ชอบเฟื่องฟ้าเหรอครับ บ้านเราก็มีออกเต็ม”
“อ้อ..เปล่าหรอก ขึ้นรถเถอะ”
กานนจัดแจงให้เจ้าสัวขึ้นรถ แล้วอ้อมก้าวขึ้นฝั่งคนขับ รถกานนค่อยๆ เคลื่อนออกไป กระจกฝั่งเจ้าสัวทศถูกลดลง เจ้าสัวเหลียวกลับไปมองที่หน้าบ้านม่านมุก พร้อมๆ กับภาพมัสลินประคองม่านมุกตรงไปที่ตัวบ้าน
พอออกจากบ้านสวนกานนพาเจ้าสัวมาโรงพยาบาล...
“เออ เจ้าปลิว ฉันชอบบ้านหลังนั้นนะ”
เจ้าสัวบอกกานน กานนหันมายิ้มให้เจ้าสัว
“ชอบแต่ผมว่าคุณยายของคุณมัสคงไม่ขายให้หรอกครับ”
“ไอ้บ้า ฉันบอกแกเรอะว่าฉันอยากจะซื้อ แปลก...ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นเคยกับบ้านหลังนั้นเสียเหลือเกิน”
“บ้านสวนของคุณยายมัสลินสวยครึ้ม ผมเองยังชอบ มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้”
“ต้นเฟื่องฟ้า”
ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันต่อ บุรุษพยาบาลกับพยาบาลก็กรูกันไปที่ห้องหนึ่งที่อยู่ด้านหน้ากานนและเจ้าสัว
ประตูห้องเปิดออกกว้างเห็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเข็นเตียงผู้ป่วยออกมาอย่างเร่งรีบ...เจ้าสัวและกานนเบี่ยงตัวหลบให้เตียงผู้ป่วยนั้นผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าสัวมองตามคนป่วยบนเตียงด้วยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของอาย้ง หลับไม่ได้สติเจ้าสัวชะงักนิ่งงันไปทันที
“ไอ้ย้ง...”
อ่านตอนที่ 9 ต่อในวันพรุ่งนี้