ในรอยรัก
ตอนที่ 5
มัสลินขับรถหนีออกมา คิมซึ่งนั่งมาข้างๆ จึงบ่นอุบ
“หนีมาอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราเป็นโจรอย่างที่ตาแปะนั่นว่าน่ะสิ”
“แล้วที่คุณไปปีนรั้วบ้านเค้า มันต่างจากโจรซะที่ไหนล่ะ”
“ก็ตาแปะยั่วโมโหผมก่อน”
“จะอะไรก็แล้วแต่ เราก็ไม่ควรทำอย่างนั้น มัสขอให้คุณมาช่วย แต่กลายเป็นช่วยหาเรื่องดูสิ”
“หืม พูดอย่างนี้ ผมลงตรงนี้เลยดีกว่า” พลันมัสลินหยุดรถ คิมหน้าเสีย ยิ้มชืด “ผมล้อเล่น”
“แต่มัสไม่ได้ล้อเล่น” คิมทำหน้างง มัสลินยิ้มชืด “รถเสียค่ะ”
“ห๊า!!!”
มัสลินกับคิมยืนปรึกษากันอยู่ข้างรถเต่าที่เปิดประโปรงค้าง ควันเครื่องยนต์ลอยฉุย
“คุณพูดมาเลยว่าอยากได้รถอะไร ผมจัดให้เดี๋ยวนี้เลย”
“พูดอย่างนี้ดูถูกกันนี่ รถมัสไม่ดียังไง”
“ไม่รู้จริงๆ เหรอครับ”
“คุณคิม!” มัสลินทำเสียงดุ
+ + + + + + + + + + + +
กุเทพขับรถแล่นมาจอดที่หน้ารั้วบ้านมัสลิน กุเทพเปิดประตูก้าวลงมามองผ่านประตูรั้วเข้าไปที่ตัวบ้าน ก่อนจะกดกริ่งที่เสาเป็นเวลาเดียวกันกับที่แท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดใกล้ ๆ กุเทพเหลียวมอง เห็นมัสลินเปิดประตูลงมา สีหน้าประหลาดใจที่เห็นกุเทพ
“พี่กุ?”
กุเทพยิ้มดีใจที่เจอมัสลิน
“มัสหายไปไหนมา พี่เป็นห่วงมากรู้มั้ย”
มัสลินยังไม่ทันได้ตอบอะไร กุเทพหัไปนเจอคิมที่แท็กซี่ คิมกระเถิบตัว ลุกจากที่นั่งด้านหลังแท็กซี่พลางรับเงินทอนจากคนขับ กุเทพขมวดคิ้วมุ่น
“ทำไมมัสมากับไอ้นี่อีกแล้ว”
“พี่กุ!”
คิมก้าวเข้ามา ยิ้มให้กุเทพ
“สวัสดีครับ”
กุเทพเบือนสายตาหนี คุยกับมัสลิน
“พี่มีธุระจะคุยกับมัส...เอายังไงดี...” กุเทพเหล่อมองไปทางคิม
“คุณคิมเป็นเพื่อนมัส คุยได้ค่ะ เรื่องอะไรเหรอคะ”
คิมยิ้มให้กุเทพ กุเทพมองกลับอย่างเย้ย ๆ ขณะตอบมัสลินแต่สายตาจับจ้องที่คิม
“เรื่องข่าว ...ของมัสกับอาปลิว”
กุเทพกับคิมเข้ามานั่งประจันหน้ากันในห้องรับแขกบ้านมัสลิน สีหน้ากุเทพดูเย้ยหยันสะใจขณะพูดถึงข่าวกานนกับมัสลิน
“อาปลิวน่ะทั้งหล่อทั้งเก่ง ขยับตัวทำอะไรก็เป็นข่าวไปซะหมด”
มัสลินหน้าเจื่อน ขณะวางแก้วน้ำให้สองหนุ่ม คิมหันถามมัสลินหน้าตาเฉย
“ข่าวในหนังสือพิมพ์ที่คุณให้ผมดูน่ะเหรอ ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ ก็แค่รูปถ่ายธรรมดา ๆ”
กุเทพหุบยิ้มพลัน
“นี่มัสเล่าให้หมอนี่ฟังก่อนพี่เหรอ”
มัสลินพ้อหน้าจ๋อย
“พี่กุคะ... ก็บอกแล้วไงว่าคิมเค้าก็เป็นเพื่อนมัสคนนึง มีปัญหาอะไรมัสก็ปรึกษาเค้า ก็เหมือนกับที่มัสปรึกษาพี่กุ”
“เหมือนพี่!”
“ว้า พูดอะไรก็ผิดไปหมด ว่าแต่เรื่องข่าวเถอะค่ะ คุณกานน..เอ่อ..อาปลิวว่าไงบ้างคะ”
“ถามกันเอาเองก็แล้วกัน พี่กลับละ”
กุเทพลุกออกไปทันที
“อ้าวพี่กุ เดี๋ยวสิคะ”
“ถ้ามีนายคนนี้อยู่ ยังไงพี่ก็ไม่คุยกับมัส”
“ไม่คุยก็ไม่คุยค่ะ มัสแค่จะขอฝากคุณคิมออกไปหน้าปากซอยด้วยคน”
กุเทพหน้าร้อนผ่าว โกรธจัด
“มัส!”
คิมยิ้มให้กุเทพ อธิบายตรงไปตรงมา
“คือเราไปธุระด้วยกันมา แล้วรถคุณมัสเสีย ก็เลยต้องนั่งแท็กซี่”
“ใครถาม! ...ไม่ให้ไปเว้ย!”
กุเทพก้าวฉับออกไป คิมหันมองหน้ามัสลิน มัสลินยิ้มปลอบคิม
“เนี่ยนะ พี่ชายใจดีของคุณ”
+ + + + + + + + + + + +
ส่วนกานนคืนนั้นเมื่อกลับถึงบ้าน เดินออกจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูเช็ดใบหน้าที่พราวไปด้วยน้ำ เสื้อเชิร์ตที่สวมอยู่ถูกพับแขนขึ้นครึ่งหนึ่งทั้งสองข้าง เขาหยุดที่โต๊ะข้างเตียง เห็นรูปม่านมุก หนังสือประวัติตระกูลรัตนรัช และกองอัลบั้มรูปถ่ายหลายเล่มที่วางอยู่ กานนหยิบรูปม่านมุกขึ้นดู พูดกับรูปราวกับกำลังคุยอยู่กับคนในภาพ
“ผมจะเจอคุณย่าเล็กได้ยังไง... บอกผมทีได้มั้ยครับ...”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมธุรินกำลังขับรถไปพลางคุยมือถือกับพิณสุดา ใบหน้ามธุรินดูแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์
“บอกว่าไหวก็ไหวสิกิ๊บ ห่วงฉันนักทีหลังก็อย่าชวนออกมาเที่ยวอีก”
มธุรินนิ่งฟังพิณสุดา แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เอ่ยต่อด้วยสำเนียงเมา เหยียดหยันตัวเอง
“ฮะๆๆ ฉันเนี่ยนะอกหัก ฮะๆๆ อกหัก? อกหักกับใครล่ะ ยังไม่มีใครยอมเป็นแฟนกับฉันเลย แกจะบ้าเหรอ แค่นี้นะยะ”
มธุรินกดตัดสายทันที ขณะเดียวกันก็ชะลอรถหยุดที่หน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง ค่อย ๆเหลียวหน้ามองบ้านนั้นซึ่งคือบ้านกานน มธุรินมองที่บ้านรโหฐานของกานน เสียงมธุรินกับกานนเมื่อสิบกว่าปีก่อนดังแว่วในความรู้สึกมธุริน
“กานน? ชื่อกานนเนี่ยนะ”
“ครับ ผมชื่อกานน”
“ฮะๆๆ ตลกจัง”
ใบหน้ามธุรินที่อิงอยู่กับพวงมาลัยขณะทอดสายตาเข้าในบ้านนั้นยิ้มเศร้าสร้อย
“หึ..หึ..”
มธุรินหลับตาลง ภาพในอดีตผุดขึ้นในใจมากมาย ...ใบหน้ามธุรินขณะยังอิงอยู่กับพวงมาลัย เห็นน้ำตารินจากหางตา มธุรินลืมตาขึ้นอย่างเลื่อนลอย
“เดียร์คิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียวใช่มั้ย...”
กานนเผลอหลับทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงาน เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น กานนลืมตาขึ้น เหลือบมองของใกล้ตัวอย่างจะทวนความจำ
“เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
เสียงโทรศัพท์ยังคงดังต่อเนื่อง กานนเพิ่งรู้สึกถึงเสียงนั้น จึงเหลือบมองนาฬิกาขณะคว้ามากดรับ
“ฮะโหลครับ? ...เดียร์?!”
กานนประหลาดใจมากที่เป็นมธุรินที่โทรมา มธุรินถือโทรศัพท์มือถือ รำพันคุยกับกานน สีหน้าน้ำเสียงดูเลื่อนลอย
“ตั้งแต่วันแรกที่เดียร์เจอคุณ คุณรู้มั้ย..เดียร์ก็ไม่เคยมองผู้ชายคนไหนอีกเลย คุณเป็นทั้งพี่ชาย ...เป็นเพื่อนสนิท...เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเดียร์”
กานนคุยตอบอย่างเป็นกังวล
“นี่คุณดื่มมาเหรอครับเดียร์ คุณอยู่ที่ไหน”
มธุรินคุยต่อเหมือนไม่ได้ยินที่กานนพูด
“เดียร์เคยสำคัญกับคุณบ้างมั้ยคะกานน ...คุณคิดกับเดียร์ยังไง”
กานนนิ่งงัน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย สีหน้าร้อนใจ
“คุณอยู่ที่ไหนคุณบอกผมมาก่อนเดียร์ ผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้” ปลายสายเงียบเสียงไป กานนเอ่ยเรียกชื่อมธุริน เป็นกังวลมากขึ้น ๆ “เดียร์! ฮะโหลเดียร์คุณฟังผมอยู่รึเปล่า ฮะโหล”
โทรศัพท์บนเบาะข้างคนขับซึ่งถูกวางทิ้งไว้ มีเสียงอู้อี้ของกานน เพราะมธุรินกำลังโค้งตัวออกนอกประตูรถซึ่งเปิดค้าง อาเจียนตัวโยน
กานนกดปุ่มโทรศัพท์มือถือโทรกลับมธุรินสีหน้าว้าวุ่น เมื่อรอฟังปลายสายแล้วไม่มีคนรับ กดตัดสายหน้าเครียด
“เอาไงดีเนี่ย ....อะไรของคุณนะเดียร์...”
กานนเดินวนไปมาอย่างว้าวุ่นใจ พลันมือถือกานนดังขึ้น กานนมีสีหน้าดีใจ แต่แล้วพอเห็นเบอร์คนโทรเข้ามา ก็ทำหน้าประหลาดใจ
“มัสลิน....”
กานนนึกถึงกุเทพขึ้นมา
“รึว่าไอ้กุ?...” กานนกดรับแล้วพูดทันที “แบตหมดอีกแล้วเหรอแก”
แต่แล้วเจื่อนไป เมื่อปลายสายเป็นมัสลิน
“มัสลิน...”
มัสลินคุยกับกานนอยู่ในห้องตามลำพัง
“ค่ะ ฉันเอง ...ไม่ทราบว่ารบกวนคุณรึเปล่าคะ”
กานนยังมีสีหน้าประหลาดใจไม่หาย
“เอ่อ...ไม่ครับ คุณมีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า”
มัสลินแปลกใจที่กานนไม่มีทีท่าว่าจะเดาได้ว่าเธอโทรมาเรื่องรูปคู่ที่หลุดออกสื่อ
“ฉันอยากจะคุยกับคุณเรื่อง... ข่าว”
กานนคิดแล้วรำพึงออกมา
“ข่าว..จริงสิ”
“คุณยังไม่เห็นเหรอคะ”
มัสลินงง ขณะที่กานนตอบเรียบๆ ตามความรู้สึกที่ไม่คิดอะไร
“เห็นแล้วครับ แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะมีอะไร”
มัสลินรู้สึกเสียฟอร์ม สีหน้าแววตามีแววเย่อหยิ่งขึ้นมาทันที
“ฉันก็ไม่ได้คิดแตกต่างไปจากคุณสักเท่าไหร่หรอก ถ้าแฟนคุณไม่หอบข่าวนั่นมาเอาเรื่องฉัน”
“มธุริน”สีหน้ามัสลินเจื่อนไปนิด เมื่อได้ยินกานนยอมรับว่ามธุรินเป็นแฟน
“ค่ะ แต่บังเอิญมีแม่ฉันอยู่ด้วย แฟนคุณก็เลยไม่ได้เล่นงานอะไรฉันมากมาย”
“เรียกเค้าว่ามธุรินหรือเดียร์ดีกว่าฮะ” มัสลินนิ่งฟัง ไม่เอ่ยอะไร
“อันที่จริงผมเองก็ยังไม่ได้คุยอะไรกับเดียร์ เพราะเห็นว่ามัน...เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
มัสลินหน้าร้อนผ่าว รู้สึกเสียหน้าอย่างไม่มีเหตุผล
“ยังไงก็แล้วแต่ ฉันอยากให้คุณพูดไปตามจริงว่าคุณบังเอิญมาธุระที่บ้านฉัน ส่วนเรื่องรูป ฉันไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ใครเป็นคนถ่าย คุณคงไม่คิดว่าฉัน...”
“ร้อนตัวไปใหญ่แล้ว ก็บอกแล้วไงมันเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมไม่คิดอะไรทั้งนั้น โอเคมั้ย”
สีหน้ามัสลินคลายลงบ้าง
“ฉันก็แค่ไม่ชอบการเข้าใจผิด”
“อันที่จริงผมควรเป็นฝ่ายโทรหาคุณ แต่พอดีผมวุ่นๆ อยู่กับเรื่องคุณปู่”
มัสลินหน้าเสีย
“คุณปู่คุณเป็นยังไงบ้างคะ”
“พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็ยังต้องอยู่โรงพยาบาล “
“ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ แล้วไม่ทำให้คุณเดือดร้อน ขอให้บอกนะคะ”
กานนเหลือบมองรูปม่านมุก
“คุณแน่ใจเหรอ”
“ฉันมีส่วนที่ทำให้คุณปู่คุณเป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ท่านยังไม่กลับมาเป็นปรกติ ฉันไม่มีวันสบายใจ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยผมตามหาคนๆ หนึ่งทีสิ” มัสลินนิ่งไปด้วยสีหน้าสงสัย แต่ไม่ได้ปฏิเสธ
“พรุ่งนี้ผมจะไปรับคุณแต่เช้านะ”
“เอ่อ...คือ...ที่ฉันพูดว่ายินดีจะช่วยน่ะ ไม่ได้หมายความว่าฉันกับคุณจะต้อง...”
“แต่เมื่อกี้คุณพูดเหมือนกับว่าคุณยินดีช่วยทุกเรื่อง”
“ใช่..ทุกเรื่องค่ะ แต่...เอ่อ...”
“งั้นผมถือว่าคุณรับปากนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
กานนกดวางสายทันที มัสลินร้องลั่น
“คุณกานน!” พอรู้ว่ากานนวางสายไปแล้ว มัสลินทิ้งมือข้างที่กำโทรศัพท์อยู่อย่างอ่อนแรง “หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ เลยมัสลิน”
มือถือมัสลินดังขึ้น มัสลินยกขึ้นรับทันที คิดว่าเป็นกานนเต็มที่
“ฮะโหลนี่คุณ!” มัสลินพลันนิ่งงันเมื่อพบว่าคนที่โทรมาไม่ใช่กานน “...ใช่...มัสลินพูด”
เสียงจากปลายสายดังรอดมือถือออกมา “นี่ฉันมธุรินนะ”
มัสลินก้าวฉับๆ ออกจากบ้านมาอย่างร้อนใจ สายตาจับจ้องออกไปนอกรั้วแล้วตกใจเมื่อเห็นรถเก๋งของมธุรินจอดอยู่ มัสลินปราดไปเปิดประตูเล็ก ตรงออกไปที่รถ
“มธุริน!”
มัสลินขับรถไปพลางเหลือบมองมธุรินที่เบาะข้าง
“คุณอย่าหลับนะมธุริน มธุริน ได้ยินฉันเรียกมั้ย”
มธุรินปรือตาขึ้น หมุบหมิบพูดกับมัสลิน
“ฉันไม่ได้หลับ จะพาฉันไปไหน”
“ก็กลับบ้านคุณน่ะสิ คุณเมามากรู้ตัวรึเปล่า”
“ใครบอกฉันเมา ถ้าเมาจะมาหาเธอถูกเหรอ อย่าคิดว่าทำอย่างนี้แล้วฉันจะไม่เคลียร์กับเธอนะ”
“ฉันคุยกับคุณได้ทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ดูสภาพคุณสิ อยากพักให้หายเมาก่อนเข้าบ้านมั้ย ฉันจะแวะร้านแถว ๆ นี้ให้”
“ไม่มีใครสนใจฉันหรอก”
“พ่อแม่คุณไง”
มธุรินหัวเราะ
“ฉันเคยหายไปญี่ปุ่นอาทิตย์นึง พ่อกับแม่ยังไม่รู้เรื่องเลย หึ..หึ..” มัสลินเหลือบมองมธุรินว่าพูดจริงหรือเล่น มธุรินพึมพำต่อ ตาปริบปรือแบบจะหลับอยู่มะรอมมะร่อ “สมเพชฉันละสิ”
มัสลินถอนหายใจปลง ๆ หันกลับมองถนนข้างหน้า
มัสลินหยุดรถที่หน้าบ้านมธุริน สายตามัสลินมองเข้าไปที่ตัวบ้าน แสงสว่างจ้าไปด้วยไฟที่รั้ว
“คุณจะโทรเรียกคนมาเปิดประตู หรือจะให้ฉันกดกริ่งเรียก”
มัสลินพูดโดยที่สายตายังมองเข้าในบ้าน โดยไม่รู้ว่ามธุรินหลับสนิทบนเบาะที่ปรับเอนเกือบราบ
“ว่าไงล่ะ ฉันก็ต้องกลับบ้านฉันเหมือนกันนะ”
มัสลินหันมองมธุริน แล้วงงงัน
“อ้าว... เฮ้อ... ยังไงล่ะที่นี้”
มัสลินกดกริ่งเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่กดไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่มีคนมาเปิด
“นอนกันหมดแล้วมั้งเนี่ย”
มัสลินตบยุงที่ขาพลางตรงกลับไปเปิดประตูฝั่งคนขับ โน้มตัวเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือมธุรินออกมา กดหาเบอร์โทรไปมั่วๆ
“แล้วฉันจะรู้มั้ยว่าไหนมันเบอร์บ้านเธอ ...มันเรื่องอะไรของฉันเนี่ย”
รถเก๋งหรูของเตชแล่นเข้ามาจอดข้างรถมธุริน เตชเป็นคนขับและกดกระจกเลื่อนลงมองเข้าในรถมธุริน พอเห็นมธุรินหลับคอตกก็ตกใจ
“เดียร์?” มัสลินหันเจอเตช ขณะที่เตชรีบเปิดประตูลงจากรถตัวเองไปเปิดประตูฝั่งมธุริน แต่แล้วเปิดไม่ออก “เดียร์! เดียร์!”
เตชตบกระจกรถเรียกมัสลินสะดุ้ง หันขวับตามเสียงอันดังของเตช เตชตาลุกวาวพอเห็นหน้ามัสลิน
มัสลินคุมสติ พูดกับเตชสีหน้าเรียบเฉย
“ลูกสาวคุณแค่หลับไป”
เตชแผดเสียงลั่น
“คนบ้าอะไรมันจะหลับคอตกแบบนี้ เธอทำอะไรลูกฉัน!”
“ถามลูกคุณดูเองเถอะ...ของมธุริน”
มัสลินยื่นมือถือของมธุรินให้ เตชปัดมือมัสลิน โทรศัพท์กระเด็นแตก เตชคว้าไหล่มัสลินมาบีบไว้แน่น
“เรื่องที่บริษัทฉันเมื่อวันก่อนฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอ แล้วนี่อะไร เธอกล้าดียังไงมายุ่งกับลูกสาวฉัน นังเด็กเมื่อวานซืน วันนี้แกได้เห็นฤทธิ์ฉันแน่”
มัสลินพยายามบิดตัวออกจากกำมือเตช สีหน้าเจ็บปวด
“คุณเป็นพ่อฉันรึไง ทำไมฉันต้องกลัวคุณ ปล่อยฉันนะ”
มัสลินก้มลงกัดแขนเตชเต็มแรง เตชผลักมัสลินออก
“โอ้ย!อีเด็กบ้า”
มัสลินล้มลงกับพื้น ทันใดนั้นเองมีเสียงแตรรถบีบดังลั่น พร้อมแสงไฟสาดเข้ามาที่เตชกับมัสลิน เตชเอามือป้องตามองฝ่าแสงนั้น บัวบงกชเปิดประตูผลุนผลันลงจากรถ มาประคองร่างมัสลิน พร้อมกับหันเล่นงานเตช
“ทำไมคุณทำอย่างนี้! คุณยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า!”
“นี่คุณกำลังด่าผมต่อหน้านังเด็กนี่นะบัว”
มัสลินลุกขึ้น สะบัดจากบัวบงกช
“เพราะมีพ่อกับแม่อย่างคุณสองคนนี่ยังไงล่ะ ลูกคุณถึงได้เมาไม่รู้เรื่องแบบนั้น”
บัวบงกชหันมองมธุริน ตกใจ
“ยัยเดียร์”
มธุรินยังคงหลับไม่รู้เรื่องเช่นเดิม มัสลินจ้องเขม็งที่บัวบงกชกับเตชแบบเคียดแค้น
“บอกลูกสาวคุณด้วยว่าเลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว กานนไม่เคยอยู่ในสายตาฉัน” มัสลินชี้หน้าเตช “แล้วจำไว้ด้วยนะว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะทำฉันได้ฝ่ายเดียว”
“หยุดนะมัสลิน เธอไม่มีสิทธิ์พูดกับคุณเตชแบบนี้”
“คุณคงอยู่กับการออกคำสั่งเสียจนชิน ขอโทษนะ คุณไม่ใช่แม่ฉัน เก็บคำสั่งสอนไว้ใช้กับลูกสาวขี้เมาของคุณเหอะ”
บัวบงกชสะดุดกึกกับคำพูดแทงใจดำนั้นมัสลินผละไปทันที บัวบงกชส่งเสียงตามอย่างแสนเสียใจ และวิ่งตามไป
“มัสลิน!”
เตชส่งเสียงดุดัน
“หยุดนะบัว ยัยเดียร์จะเป็นจะตายอยู่ตรงนี้ทั้งคนคุณไม่เห็นรึไง” เตชส่งเสียงดังลั่นบัวบงกชหยุดเท้า น้ำตาร่วงอาบสองแก้ม “อีกแล้วเหรอ นี่คุณร้องไห้เพราะนังเด็กนี่อีกแล้วงั้นเหรอ”
บัวบงกชหันรีหันขวาง มองตามมัสลินสลับกับมธุรินอย่างพะว้าพะวง
“คุณพายัยเดียร์เข้าบ้านทีนะ ฉันปล่อยให้มัสลินไปคนเดียวดึก ๆ อย่างนี้ไม่ได้”
บัวบงกชว่าแล้วผละไป พลันเตชส่งเสียงกร้าว ฝืนพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“เพราะมันเป็นลูกไอ้ภาษิต อลงกรณ์ใช่มั้ย!”
บัวบงกชชะงักงัน ประหลาดใจกับคำพูดเตช
+++++++++++++++++++++++++++
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่มัสลินยังนอนหลับอยู่บนเตียง เสียงเคาะประตูดังขึ้น มัสลินงัวเงียลืมตาตื่น หันมองนาฬิกาเป็นสิ่งแรก
“แปดโมงแล้วเหรอเนี่ย”
เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่อง พร้อมเสียงแป้นดังรอดเข้ามา
“คุณมัสคะ แป้นเองค่า”
มัสลินตกใจ รีบลุกไปที่ประตู
“ตื่นแล้วจ้ะตื่นแล้ว”
มัสลินเปิดประตู เจอแป้นยิ้มให้
“นี่ถ้ายังไม่เปิดแป้นคิดว่าคุณมัสไม่อยู่นะคะเนี่ย เห็นคุณมัสออกไปตอนดึก”
มัสลินตกใจเล็กน้อย
“เสียงดังอย่างนั้นเลยเหรอ”
“คุณมัสน่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่เพื่อนคุณมัสที่เมา ๆ นั่นน่ะสิคะ เสียงดังลั่น แป้นยังคิดว่าเดี๋ยวคุณดาตื่นคงได้เป็นเรื่อง ดีนะคะที่คุณมัสพาออกไปซะก่อน ไม่ยักรู้ว่าคุณมัสมีเพื่อนแบบนี้ด้วย”
“เค้าไม่ใช่เพื่อนมัสหรอก ว่าแต่แป้นมาหามัสมีเรื่องอะไรเหรอ”
“ว้ายตายจริง ลืมไปเลย มีคนมาหาคุณมัสค่ะ”
มัสลินทำหน้าประหลาดใจ แต่แล้วนึกถึงกานนขึ้นมาก็หน้าเหวอ
“อย่าบอกนะว่า...”
+ + + + + + + + + + + +
มัสลินจ้องกานนที่ขับรถไปอย่างอารมณ์ดี
“จะจ้องหน้าผมอีกนานมั้ย”
“ถ้าไม่ติดว่าแม่ฉันอยู่ที่บ้านละก็ ฉันไม่ออกมากับคุณหรอกนะ”
“อ้าว แล้วที่เราตกลงกันไว้ล่ะ”
“คุณทึกทักไปคนเดียวสิไม่ว่า ที่ฉันบอกว่าจะช่วยเหลือคุณน่ะไม่ใช่...”
“คุณจะพูดให้เหนื่อยไปทำไม ยังไงตอนนี้คุณก็อยู่กับผมแล้ว และสิ่งที่ผมขอให้คุณช่วยมันก็ทำให้คุณปู่ผมอาการดีขึ้นแน่ ๆ หรือคุณไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น”
มัสลินสีหน้าอ่อนลง เมื่อนึกถึงเจ้าสัวทศ
“งั้นก็ขับเร็วเข้า ฉันเองก็อยากออกนอกเมืองเต็มที”
“เอ๊ะคุณนี่ยังไงนะ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตามไม่ถูกเลยแฮะ”
“ถึงแล้วปลุกฉันก็แล้วกัน”
มัสลินพลิกตัวหนีไปทางหน้าต่าง หลับตาลง กานนเหลือบมองอย่างสงสัย
“เมื่อคืนอดนอนเหรอ”
มัสลินลืมตาปิ๊ง นึกถึงมธุริน เตช บัวบงกช ครอบครัวเจ้าปัญหา
“ก็จะใครที่ไหนล่ะ แฟนคุณนั่นละ”
“แฟนผม?”
“ช่างเหอะ ฉันหลับดีกว่า”
มัสลินหลับตาไม่พอ ยังคว้าเฮทโฟนของเครื่องเล่นเพลงมาเสียบหู กานนเหล่ตามองงง ๆ ก่อนจะเร่งเครื่องยนต์
+ + + + + + + + + + + +
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านเตช สามคนพ่อแม่ลูกนั่งกินอาหารเช้ากันอย่างเงียบๆ สาวใช้ที่ยืนคอยท่ารับใช้มองหน้ากันงงๆ กับเจ้านายทั้งสามซึ่งเงียบผิดปรกติ มธุรินตักอาหารเข้าปากแล้วต้องรีบวางช้อนลง เพราะอาการเมาค้าง ยกแก้วน้ำดื่มแล้วลุกขึ้น
“เดียร์ขอตัวก่อนนะคะ วันนี้ที่ร้านมีงานยุ่งค่ะ” บัวบงกชเหลือบตามองเคืองๆ
“คงไม่ลืมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกับแม่นะ”
“เดียร์ก็แค่ไปเที่ยวกับเพื่อนนิดหน่อย” มธุรินเถียงบัวบงกชเสียงอ่อย
“นิดหน่อยเหรอ การที่ลูกหลับไม่ได้สติ กลับบ้านเองยังไม่ได้เรียกว่านิดหน่อยงั้นเหรอ แล้วอย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะว่าคนที่ลูกไปด้วยก็คือยัยกิ๊บ”
มธุรินหน้าเจื่อน เหลือบมองเตชอย่างเกรงๆ ว่าจะถูกรุม เตชรวบช้อน ดื่มน้ำแล้วลุกไป บัวบงกชเรียกไว้ทันที
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเหมือนกันนะคะเตช”
“ผมมีประชุม” เตชตอบอย่างเย็นชา
“คุยแค่สั้นๆ คงไม่เสียเวลามากมายมังคะ”
มธุรินอาศัยจังหวะนั้น เผ่นแผลวออกไปทันที บัวบงกชลุกขึ้นส่งเสียงตาม
“ยัยเดียร์!”
สาวใช้ทั้งสองรีบยกสำรับของมธุรินกับเตชออกไปตามหน้าที่ บัวเหลือบตาตามสาวใช้จนแน่ใจว่าเหลือเพียงตนกับเตชจึงพูดขึ้น
“ฉันขอให้เรื่องเมื่อคืนเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะทำร้ายหรือยุ่งเกี่ยวกับม่านมัสลิน”
เตชยิ้มหยัน
“คุณน่าจะเฉลยสักนิดนะว่าตกลงมันคือลูกของไอ้ภาษิต ผมจะได้รู้ๆ ไปซะทีว่าที่คุณห่วงใยนังตัวแสบนั่นนักหนาก็เพราะมันเป็นลูกของแฟนเก่า”
บัวบงกชถามอย่างจะหยั่งเชิง
“คุณเชื่ออย่างนั้นเหรอคะ”
“แล้วคุณคิดว่าผมเดาเรื่อยเปื่อยรึไง”
“เปล่าค่ะ... ดีซะอีกที่คุณรู้ซะทีว่าม่านมัสลินเป็นลูกของภาษิต”
“แล้วนั่นมันก็เป็นเหตุผลที่คุณปกป้องลูกมันมากกว่าลูกของตัวเอง”
“ยังไงภาษิตเค้าก็ตายไปแล้ว ให้เกียรติคนตายเถอะค่ะ ...ฉันมีนัดสัมภาษณ์ ต้องไปแล้วเหมือนกัน ...คงไม่ลืมที่ฉันขอนะคะ”
บัวบงกชออกไป เตชอ้ำอึ้งนั่งลงที่เก้าอี้ ทุบโต๊ะเบา ๆ อย่างคับแค้นใจ
บัวบงกชออกจากห้องอาหารมาด้วยสีหน้าที่ดูสบายใจขึ้น คล้อยหลังบัวบงกช มธุรินก้าวออกจากมุมหนึ่งที่ไม่ห่างจากประตูห้อง มธุรินมองตามบัวบงกชไปอย่างสงสัย เสียงพิณสุดาดังเข้ามาในความคิด
“แม่แกกับภาษิต อลงกรณ์เคยเป็นแฟนกัน”
+ + + + + + + + + + + +
กานนพามัสลินมาที่ตลาดเก่า จังหวัดฉะเชิงเทรา ทั้งคู่เดินอยู่ในตลาดมัสลินดูตื่นตาตื่นใจกับสภาพบ้านเรือนที่คงเอกลักษณ์ตลาดโบราณ
“ผมเนี่ยนะความจำดี”
กานนย้อนถามแล้วหัวเราะ
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันยังจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเล่าให้คุณฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าครอบครัวฉันเคยอยู่ที่นี่ตอนเด็กๆ”
“คุณไม่อยากจะจำมากกว่า”
“ทำไมฉันต้องเป็นแบบนั้นด้วย”
“ไม่รู้ เห็นคุณไม่ค่อยอยากจะยุ่งสุงสิงกับผมนี่”
“รู้ตัวก็ดีแล้วค่ะ ว่าธุระของคุณมาเถอะ ฉันต้องทำอะไรบ้าง คุณย่าเล็กของคุณหน้าตาท่าทางเป็นยังไง ฉันจะได้ช่วยถามให้ถูก”
“ขอบคุณนะครับที่ยังไม่ลืมว่าคุณมาช่วยผม”
มัสลินค้อนขวับ
เวลาผ่านไป...สองคนเดินคุยกันท่าทางจริงจัง
“หลังจากที่ออกจากบ้านคุณปู่ คุณย่าเล็กก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ นี่คือข้อมูลเดียวที่ผมรู้”
“หา?...”
กานนพยักหน้าย้ำ แบบรู้เท่านั้นจริงๆ มัสลินทอดถอนใจแล้วส่ายหน้า
“คุณรู้มั้ยว่าอันที่จริงเราไม่ต้องมาไกลถึงที่นี่ มีคนนึงที่จะช่วยคุณได้”
“ใครครับ”
“ก็คุณยายฉันน่ะสิ เผลอๆ น่ะอาจจะรู้จักคุณย่าของคุณซะด้วยซ้ำ เฮ้อ เสียเวลาจริง ๆเลย”
กานนพยักหน้าช้าๆ คิดตามแล้วเห็นด้วย
“จริงสิ! ผมลืมนึกถึงคุณยายไปเลย งั้นเรารีบไปบ้านสวนคุณยายคุณกัน” มัสลินส่ายหน้าดิก
“ทำไมล่ะ”
“ฉันหิว”
“ขอโทษทีครับ ผมยังไม่ได้พาคุณทานอะไรเลย”
“ให้อภัยค่ะ นอกเขตกรุงเทพฯ จะถือว่าเราเป็นมิตรกันหนึ่งวัน ...อีกอย่างแถวนี้น่ะถิ่นฉัน เดี๋ยวฉันพาคุณทานเอง ตรงโน้นมีร้านก๋วยเตี๋ยวหมูโบราณรสเด็ด” มัสลินดูอารมณ์ดี เดินนำกานนไป ปากก็แจกแจงอวดบ้านเก่า ราวกับเป็นไกด์นำเที่ยว “ทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วจะพาไปกินไอติมกะทิสดต่อ รับรองคุณต้อง
ชอบ”
มัสลินกับกานนเดินเที่ยวตลาด มัสลินชี้ชวนกานนดูโน่นนี่ เสียงสอนคนคุยกันดังประกอบไปตลอด
“คุณว่ายน้ำเป็นใช่มั้ย”
“อย่าบอกนะว่าคุณจะชวนผมลงแม่น้ำน่ะ”
“เปล่า แต่จะชวนลงเรือไปดูสวนกัน อ้าวไม่แน่น้า เราอาจจะเจอบ้านเก่าของคุณย่าเล็กของคุณก็ได้”
+ + + + + + + + + + + +
ที่กรุงเทพฯ ขณะนั้นกุเทพกำลังเตรียมงานเปิดร้านเครื่องประดับของตังเอง กุเทพเดินวุ่นอยู่กับทีมงาน ภายในร้านถูกตกแต่งสวยงาม มธุรินเดินเซ็งเข้ามา กุเทพเห็นเข้าก็รีบตรงไปหา
“ในร้านเรียบร้อยเกือบหมดแล้วนะฮะ เหลือแต่เรื่องนักข่าว ตกลงว่าไงครับ”
“นักข่าว”
“ใช่ครับ ก็คุณเดียร์เสนอว่าจะดูแลส่วนนี้”
“ตายจริง เดียร์ลืมซะสนิทเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ยังพอมีเวลา เดี๋ยวผมให้คนที่บริษัทคุณย่าจัดการให้ ...นี่คุณเดียร์ไม่สบายรึเปล่าครับ”
กุเทพมองมธุรินอย่างเป็นห่วง มธุรินถอนใจเบื่อหน่ายตัวเอง
มธุรินนั่งคุยกับกุเทพ ด้วยสีหน้าขรึมเศร้า
“เดียร์สงสัยมาตลอดว่าทำไมคุณแม่ถึงสนใจมัสลินนัก ที่แท้ก็เป็นลูก ของแฟนเก่าคุณแม่นี่เอง”
กุเทพดูประหลาดใจไม่แพ้มธุริน
“แต่ผมกลับสงสัยว่าทำไมมัสลินเค้าถึงขับรถไปส่งคุณเดียร์ที่บ้านได้ล่ะครับ”
มธุรินตอบเหมือนเด็กทำความผิด
“เดียร์เมาน่ะสิคะ”
“หา?”
“เมื่อคืนเดียร์ไปดื่มกับยัยกิ๊บ ก็ไม่ได้มากอะไร แต่มารู้ตัวอีกทีก็จอดรถอยู่ที่หน้าบ้านคุณ ...แล้วก็โทรหากานน”
“นี่ถ้าไม่ได้ยินจากปากคุณเดียร์ผมจะไม่อยากเชื่อเลยนะฮะ แต่เอ๊ะแล้วมันไปจบตรงที่มัสขับรถไปส่งคุณได้ยังไงล่ะ”
“แย่ตรงที่เดียร์จำอะไรไม่ได้เลยน่ะสิคะ”
“คุณเดียร์....”
กุเทพครางอย่างอ่อนใจ มธุรินหน้าเจื่อน คว้ามือกุเทพมากุมไว้หมับ
“สัญญากับเดียร์ได้มั้ยคะว่าจะไม่บอกใคร ได้มั้ยคะ”
กุเทพตอบด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“สบายใจเถอะครับ”
“แม้แต่กานนก็บอกไม่ได้นะคะ”
มธุรินขอร้องด้วยน้ำเสียงสีหน้าวิงวอน กระชับมือกุเทพแน่น กุเทพพยักหน้ารับ ตาเหลือบลงที่มือมธุรินอย่างกระอักกระอ่วน
อีกด้านหนึ่งมัสลินยื่นมือให้กานนจับ ขณะขึ้นจากท่าเรือ หลังจากที่นั่งเรือเที่ยว
“นี่คุณไม่เคยนั่งเรือแบบนี้จริงๆ เหรอ”
“ไม่เคย”
“งั้นก็ต้องขอบคุณฉันสินะ”
“ถ้าคุณปล่อยมือผมก่อน”
มัสลินตกใจ มองมือตัวเองที่กุมมือกานนไว้ มัสลินรีบดึงมือออกจากมือกานน กานนหัวเราะ มัสลินค้อนใส่แล้วเดินหนีไป กานนก้าวตามอารมณ์ดี มัสลินเหลือบมองอย่างรู้สึกผิด
“ตกลงเรายังไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคุณย่าเล็กของคุณเลย”
“ไม่เป็นไร ได้ทำอะไรสนุกๆ ตั้งเยอะแยะ”
กานนยิ้ม มัสลินพลอยยิ้มไปด้วย
“ยังไงฉันจะคุยกับคุณยายให้นะคะ”
“บอกชื่อคุณย่าเล็กก็น่าจะรู้ครับ”
“ถ้าฉันไม่ลืมซะก่อนนะ ที่จริงคุณน่าจะจดให้ฉันนะคะ”
“จดสิครับยิ่งจะทำให้คุณลืม เพราะไม่ยอมจำ ตอนอยู่ในเรือคุณยังถามหาคุณย่าจ้อยๆ กับคนเรือได้อยู่เลย”
“โอเคค่ะโอเค จำก็จำ คุณย่าคุณชื่อ...อามู่”
กานนยิ้มพลางพยักหน้าพอใจ
“...คุณย่ามู่... อามู่... อามู่... ไม่มีชื่อไทยเหรอคะ”
มัสลินแหงนหน้าขึ้นสบตากานนอย่างรอฟังคำตอบ
“มีครับ”
มัสลินรอฟังอย่างสนใจ
+ + + + + + + + + + + +
ทางด้านบัวบงกชวันนี้เธอมีถ่ายทำรายการที่สตูดิโอ ทันทีที่ผูกำกับสั่งคั้ทบัวบงกชกับแขกรับเชิญยกมือไหว้ขอบคุณกัน
“เยี่ยมไปเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
ผู้ช่วยเข้ามาถอดไวร์เลสส์ รับสคริปต์คืน
“ชีวิตชีวา…รอสัมภาษณ์อยู่ห้องเล็กนะคะ”
ผู้ช่วยบอกบัวบงกช บัวบงกชสีหน้าเหนื่อยหน่าย อ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมมาก่อนเวลาล่ะ กำลังจะให้โทรเลื่อนเลย วันนี้ฉันเหนื่อยจริง ๆ นะ”
“เห็นเค้าว่าพอดีมีประเด็นสัมภาษณ์เพิ่มน่ะค่ะ”
“ประเด็นอะไร”
“ก็เรื่องที่คุณบัวได้รับรางวัล “แม่แห่งปี” ของมูลนิธิสายใยรักไงคะ ทางชีวีชีวาเค้าเพิ่งได้รับข่าว ก็เลยขอเข้าสัมภาษณ์เร็วขึ้น”
บัวบงกชมองไปทางทีมงานเหล่านั้นด้วยสีหน้าหนักใจ
เวลาผ่านไป...บัวบงกชนั่งอยู่กับทีมงานนิตยสารชีวิตชีวาที่ถือไมโครโฟนแปะโลโก้หนังสือจ่อสัมภาษณ์บัวบงกชคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งบันทึกวิดีโอการสัมภาษณ์
“ในฐานะเจ้าของรางวัล”แม่แห่งปี” อยากให้คุณบัวบงกชพูดถึงรางวัลที่ได้รับสักนิดค่ะ”
บัวบงกชพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน ยินดี
“แน่นอนว่าต้องรู้สึกเป็นเกียรตินะคะ ถึงจะไม่ใช่รางวัลแรกที่ได้รับในแขนงนี้ และคงต้องยกเครดิตให้กับคุณมธุรินลูกสาวด้วย ที่ช่วยงานการกุศลมาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดิฉันได้รับรางวัลนี้เพราะมีลูกดี”
“เรียกได้ว่ามีคุณแม่เป็นแม่แบบจะได้มั้ยคะ”
“ต้องถามเจ้าตัวเค้าเองค่ะ เผื่อไม่ใช่ขึ้นมา ดิฉันหน้าแตกแย่เลย” บัวบงกชบอกยิ้มๆ
“เลี้ยงลูกได้มีคุณภาพอย่างนี้ เคยมีคนทักคุณบัวบงกชมั้ยคะว่ามีลูกคนเดียวน้อยไป”
รอยยิ้มบัวบงกชหายวับ แวบนึกถึงมัสลินขึ้นมาแบบอัตโนมัติ ทีมงานชีวิตชีวายิ้มค้างรอคำตอบ แต่
พอเห็นบัวบงกชนิ่งไปจึงอธิบายคำถาม เข้าใจว่าบัวบงกชไม่ได้ยิน
“คือหมายถึงน่าเสียดายที่คุณบัวบงกชมีลูกคนเดียวคือคุณมธุรินน่ะค่ะ”
บัวบงกชข่มใจ ฝืนยิ้มจางๆ พยักหน้ารับ
เมื่อสัมภาษณ์เสร็จบัวบงกชเดินมาขึ้นรถ แล้วทิ้งศีรษะลงพนักเครียดๆ รำพึงออกมาเบา อย่างเศร้าสร้อย
“ถ้าแม่ทำได้ แม่จะบอกให้ทั้งโลกรู้ว่าหนูคือลูกแม่ ....มัสลิน”
บัวบงกชมองเหม่อที่เพดานรถอย่างครุ่นคิด
+ + + + + + + + + + + ++++++++++
กานนกับมัสลินพากันเดินกลับมาที่รถ มัสลินฟังกานนคุยอย่างสนใจ
“คุณปู่เล่าให้ฟังว่าคุณย่าเล็กถึงจะเป็นไทยแท้ แต่ก็ใช้ชื่อจีนที่คุณปู่เป็นคนตั้งให้มาตลอด ชื่อไทยที่มีอยู่เดิมก็เลยไม่มีใครเรียก”
มัสลินพยักหน้าเบา ๆ พลางคิดตาม
“แต่ยังไงรู้ไว้ทั้งชื่อไทยชื่อจีนก็ดีกว่า เมืองเล็กๆ แค่นี้ ฉันว่าคุณยายฉันน่าจะรู้จักคุณย่าเล็กของคุณนะคะ ตกลงคุณย่าเล็กของคุณมีชื่อไทยว่าอะไรคะ”
มัสลินสบตากานนอย่างรอคอย กานนยิ้มอารมณ์ดี
“นี่คุณอยากรู้ขนาดนี้เชียวเหรอ”
มัสลินนึกอาย แต่เสทำเป็นเคืองใส่
“ไม่อยากรู้แล้วก็ได้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย”
“ก็แค่สงสัย คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าผมซะอีก”
มัสลินหน้าขรึมลง
“บอกไปคุณคงไม่เชื่อ ฉันเองก็กำลังสืบหาคุณตาของฉันอยู่”
กานนจ้องหน้ามัสลินนิ่งๆ แล้วหลุดหัวเราะขำ
“ผมต้องเชื่อมั้ยเนี่ย” กานนหัวเราะ
“นั่นยังไงล่ะ คิดอยู่แล้วว่าคุณต้องมองฉันเป็นตัวตลก เสียเวลาคุยด้วยจริงๆ เลย”
มัสลินงอนขึ้นรถไป
“อ้าวเดี๋ยวสิคุณ ไม่ได้ล้อเล่นเหรอ”
กานนถามพร้อมกับหัวเราะ...
+ + + + + + + + + + + +
เตชนัดกินข้าวกับจิรดา จิรดาถือช้อนตักอาหารกำลังจะเข้าปากแต่พลันชะงักไว้ ทำหน้าฉงนกับคำถามของเตช
“สามีเก่าฉันนามสกุลอะไรงั้นเหรอ”
เตชซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม พยักหน้าขรึม ๆ
“ฮื่อ ไอ้ภาษิตนั่นละ มันนามสกุลอะไร”
จิรดาหัวเราะร่วน วางช้อนลง
“ต๊ายนี่หวงฉันจนแอบไปสืบประวัติกันเชียวหรือคะ รู้ชื่อภาษิตซะด้วย”
“ไอ้ภาษิต อลงกรณ์... ฉันพูดถูกมั้ย มันชื่อภาษิต นามสกุลอลงกรณ์”
เตชพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน จ้องเขม็งที่ดวงตาจิรดา จิรดาชักงง ตอบเสียงแผ่ว
“ค่ะ...ว้าย!”
ไม่ขาดคำ จิรดาโชกไปด้วยน้ำจากแก้วในมือเตช เตชวางแก้วปังลงโต๊ะ และลุกขึ้น กราดเสียงใส่จิรดา
“เธอรู้มั้ยว่ามันคือศัตรูหัวใจฉันมาตลอดชีวิต ฉันกับมันต้องไม่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน!”
จิรดาปาดน้ำออกจากใบหน้า ด้วยความโกรธจัด
“แล้วคิดว่าภาษิตเค้าอยากอยู่ร่วมโลกกับคุณนักเหรอ เค้าตายไปชาตินึงแล้ว!”
เตชชะงักไปนิดหนึ่ง ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าภาษิตตายไปแล้วจากบัวบงกช
“จะยังไงก็แล้วแต่ ต่อจากนี้เธอกับนังมัสลินห้ามเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตฉันอีก!”
เตชตบโต๊ะปัง ทำหน้าถมึงทึงขู่จิรดาก่อนก้าวอาดๆ ออกไป จิรดาลุกขึ้นมองตามอย่างเคียดแค้น แล้วพลับเหลือบเห็นคนทั้งร้านกำลังมองเธอเป็นตาเดียว จิรดาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คว้ากระเป๋าสะพายก้าวฉับออกไป
อ่านต่อหน้าที่ 2
ในรอยรัก
ตอนที่ 5 (ต่อ)
เตชเดินกลับมาขึ้นรถ คนขับรถเหลียวมาถามเตชที่นั่งอยู่เบาะหลัง
“ออกรถเลยมั้ยครับนาย”
เตชทำท่าจะสั่งคนขับ แต่ทันใดนั้นจิรดาก็เปิดประตูรถพรวดเข้ามานั่งข้างเตช และสั่งคนขับรถอย่างคุ้นเคย
“ออกรถเลยจ้ะนายยอด”
เตชอึ้งตะลึงงันจ้องหน้าจิรดา ขณะที่คนขับออกรถไป เตชเรียกคนขับพลางยื่นมือออกไป
“ไอ้ยอด!”
จิรดาจับแขนเตชลงอย่างนุ่มนวล ใจเย็น
“ดามีเรื่องคุยกับคุณนิ๊ดดเดียว เสร็จธุระแล้วดาลงจากรถคุณแน่ค่ะ”
จิรดาว่าพลางควานมือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นจากกระเป๋าสะพาย
“ฉันไม่มีธุระกับเธอ ลงจากรถฉันไปเดี๋ยวนี้ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
จิรดากดปุ่มเพียงเล็กน้อยแล้วยื่นโทรศัพท์ให้เตชดูหน้าจอ
“จำคลิปพวกนี้ได้ใช่มั้ยคะ”
ที่จอมือถือ เห็นคลิปวิดีโอที่มีเตชกับจิรดา หลายๆ คลิป เลื่อนสลับกันไป จิรดามองเตชอย่างเป็นต่อ และเอาเรื่อง
“ตอนที่ถ่าย ดาก็คิดว่าจะเก็บไว้ดูคนเดียว แก้คิดถึงคุณ แต่ตอนนี้...”
เตชระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“คิดจะแบล็กเมล์ฉันงั้นสิ ...ยัยโง่เอ้ย!” เตชจิ้มหน้าผากจิรดา จิรดาเอี้ยวตัวหลบ “บัวเค้าไม่รู้สึกอะไรหรอก เรื่องเธอกับฉันน่ะเค้ารู้ไปไหนถึงไหนแล้ว” จิรดายิ้มเยาะ
“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าคนที่ฉันจะให้ดูคือบัวบงกช” เตชจ้องหน้าจิรดา แล้วคิดตาม นึกถึงมธุรินก็ตาลุกวาว จิรดายิ้มเหยียด พยักหน้าอย่างยั่วโทสะ “ใช่แล้วค่ะ แม่หนูเดียร์จะได้เห็นทุกคลิป ทุกช็อทในนี้ ถ้าคุณทิ้งฉัน”
“ขืนเธอยุ่งกับลูกสาวฉัน ฉันเอาเธอตายแน่!”
“คนอย่างจิรดาไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว แถมไม่กลัวตายซะด้วยสิ”
“เธอต้องการอะไร”
“ถามได้ ก็ตัวคุณไง” เตชขมวดคิ้วมุ่น งงว่าจิรดามาไม้ไหน จิรดาพูดต่ออย่างไม่กลัวเกรงเตช “อะไรที่เป็นของบัวบงกช ฉันช้อบชอบคุณไม่รู้หรือ ถ้าอยากจะเสียลูกสาวไปก็ลองทิ้งฉันดู นายยอด จอดรถ”
จิรดาลงจากรถไปลิ้วแต่เตชยังขบกรามแน่นด้วยความโกรธจัด
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมามัสลินต้องทรุดตัวลงนั่งอย่างเดิม พลางบีบต้นขา
“ไม่น่าใส่ส้นสูงไปเลย...โอย”
มัสลินบ่นพลางเหลือบเห็นตั้กแตนสานเสียบไม้ปักรวมอยู่ในแจกันดอกไม้แห้ง เธอหยิบมันมา แล้วนึกถึงกานนที่ซื้อให้เธอ...มัสลินมองตั๊กแตนในมือยิ้มๆ ก่อนจะเสียบคืนแจกันดอกไม้แห้งอย่างเดิม
“คนบ้า...”
มัสลินส่ายหน้า พลางเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือมากดดูตารางธุระประจำวัน
“จ่ายดอกเบี้ย... วันนี้แล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง เพิ่งจะจ่ายไปหยกๆ เฮ้อ” ทันใดนั้นเองมือถือของมัสลินดังขึ้น มัสลินหยิบมาดูเบอร์ และกดรับอย่างอารมณ์ดี “ว่าไงคะคุณคิม หายเงียบไปเลยคิดว่าเข็ดขยาดกับมัสซะแล้ว”
คิมคุยโทรศัพท์กับมัส ในมือมีซองใสใส่โฉนดที่ดินถืออยู่
“อย่างคิมลีไม่มีเข็ดอยู่แล้วครับ แล้วที่โทรมาเนี่ย ก็อยากเจอคุณ”
“เหรอคะ เสียดายจัง วันนี้มัสเอี้ยดทั้งวันเลย นี่กำลังจะออกไปจ่ายค่าบ้าน แล้วก็เลยไปถ่ายงานแถวฝั่งธนฯโน่นแน่ะ”
“เดี๋ยวฮะเดี๋ยว เมื่อกี้คุณบอกว่ากำลังจะไปจ่ายค่าบ้าน ค่าบ้านอะไรเหรอครับ”
มัสลินเจื่อนอายเล็กน้อย แต่ก็ฝืนพูดพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ
“ก็ค่าบ้าน...ที่แม่เอาไปจำนองไว้ มัสเคยเล่าให้คุณฟังแล้วนี่”
“โอ้ว ถ้างั้นคุณต้องรอผมเลย ห้ามไปเด็ดขาดเลยนะมัสลิน”
“ทำไมล่ะคะ”
คิมยกโฉนดขึ้น แล้วตอบอย่างอึกอัก
“เอ่อ..คือ..เอาเป็นว่าคุณไม่ต้องไปหรอก คอยผมก่อน ตอนนี้คุณอยู่ที่บ้านใช่มั้ย”
“ค่ะ ตอนนี้ยังอยู่ที่บ้าน แต่อีกเดี๋ยวก็จะออกไปแล้ว”
“ไม่ได้นะ”
“หืม??”
ทันใดนั้นเองจิรดาเปิดประตูเข้ามา สีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“ต้องอย่างนี้สิยัยมัส ไหนโฉนดอยู่ไหน เอามาสิ”
จิรดาแบมือร้อนรน มัสลินส่ายหน้างงๆ
“โฉนดอะไรคะ”
จิรดาหุบยิ้ม แหวใส่มัสลินทันที
“อ้อ นี่แกคิดจะฮุบไว้เป็นสมบัติแกละสิ เอาโฉนดบ้านมาให้ชั้น!”
มัสลินงงงัน พลันเสียงคิมก็ดังลอดโทรศัพท์ขึ้นอีก เสียงคิมฟังดูตื่นตระหนก
“ฮะโหล ฮะโหล มัสลิน ฮะโหล!”
มัสลินรีบยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูด
“แค่นี้ก่อนนะคะ...” มัสลินกดตัดสายแล้วหันมาพูดกับจิรดา “โฉนดบ้านจะมาอยู่กับมัสได้ยังไงคะ แม่พูดอะไร มัสงงไปหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไร แกไม่ให้ฉันไม่เป็นไร แต่รู้ไว้ซะด้วยว่าต่อให้แกไถ่โฉนดออกมาแล้ว บ้านนี้มันก็ยังไม่เป็นของแกอยู่ดี เพราะวันนี้ฉันไปเอาเงินเค้ามา แกต้องเอากลับไปคืนให้เสี่ยเค้าวันนี้! เดี๋ยวนี้!”
“นี่แม่ไปบ่อนมาอีกแล้วเหรอคะ”
“มันเรื่องของฉัน แกรีบไสหัวเอาโฉนดไปให้เค้าเลย ไปสิ!”
มัสลินมองตามจิรดาที่เดินออกไป ด้วยสีหน้างงงัน
มัสลินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงมาที่บ่อนแต่ถูกนักเลงเดินคุมเชิงออกมา
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่มีๆ ฉันจะเอาโฉนดบ้านที่ไหนให้พวกคุณ มันไม่ได้อยู่กับฉัน”
“แล้วเงินที่แม่เธอเอาไปล่ะ”
มัสลินเม้มปาก คับแค้นใจในตัวจิรดาอย่างบอกไม่ถูก
“ให้ฉันคุยกับเจ้านายพวกคุณ”
มัสลินทำท่าจะก้าวกลับเข้าในตึก นักเลงทั้งสองขวางไว้ คนหนึ่งผลักไหล่มัสลิน
“ถ้าเฮียจะคุยกับเธอเค้าคุยไปนานแล้ว เอาโฉนดบ้านเธอมาก็จบ หน้าสวยๆ อย่างเธออย่าหาเรื่องเจ็บตัวเลย”
มัสลินตะโกนสวนอย่างคับแค้นใจ
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีๆ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เจ้านายคุณเป็นเทวดารึยังไงถึงคุยกับฉันไม่ได้”
นักเลงทั้งสองมองหน้าปรึกษากัน คนหนึ่งพยักหน้าส่งสัญญาณ อีกคนหนึ่งเข้าจับแขนมัสลิน
จังหวะนั้นคิมวิ่งเข้ามาพร้อมลูกน้อง 2 คน
“เฮ้ย!ทำอะไรวะ!”
นักเลงปล่อยมัสลิน ลูกน้องคิมเข้าไปคุยด้วยสองสามคำ นักเลงเดินนำลูกน้องคิมไปที่ทางเข้าตึก แต่ไม่วายหันมองมัสลินกับคิม...คิมโอบไหล่มัสลินอย่างแสนสงสาร มัสลินหอบหายใจแรง ในที่สุดก็ปล่อยโฮออกมาอย่างแสนอัดอั้น
“นี่มันเรื่องอะไร มันเรื่องอะไรกัน...”
คิมมองมัสลินด้วยสีหน้ารู้สึกผิด และลอบเอามือทุบหัวตัวเอง ที่บอกมัสลินเรื่องโฉนดช้าไป
คิมพามัสลินมาที่คอนโดของเขา คิมยื่นแก้วน้ำให้มัสลิน มัสลินรับมาเหม่อๆ
“คุณใจเย็นๆ ก่อนนะ”
“ขอบคุณมากนะคะ”
คิมมองมัสลินอย่างชั่งใจ แล้วพูดขึ้นมา
“มัสครับ ...ถ้าผมจะบอกเรื่องสำคัญกับคุณ คุณต้องตั้งสตินะ”
มัสลินยิ้มแห้งแล้ง
“มัสไม่เหลือความรู้สึกอะไรแล้วละค่ะ”
คิมทอดถอนใจ ก่อนจะตรงไปที่ห้องนอนและกลับออกมาพร้อมกับโฉนดของมัสลิน มัสลินตกตะลึงพรึงเพริด ขณะมองซองโฉนดในมือ
“นี่มันอะไรกัน ...ทำไมคุณเล่นกับความรู้สึกมัสแบบนี้”
มัสลินร้องไห้ออกมา คิมหน้าจ๋อย แต่ยังยิ้มชืด ใจดีสู้เสือ
“อย่าโกรธผมเลย”
คิมยื่นมือจับไหล่มัสลิน มัสลินเบี่ยงไหล่หนี จ้องหน้าคิมอย่างเจ็บปวด
“คุณรู้มั้ยว่าฉันต้องเจออะไรบ้าง”
“ผมขอโทษ ที่ผมทำไปเพราะอยากช่วยคุณจริงๆ นะ”
“คุณมันบ้า... บ้าที่สุดเลย... ขอบคุณนะคะ”
มัสลินปาดน้ำตา คิมถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก
มัสลินมองโฉนดบนโต๊ะอย่างหนักใจ ขณะนั่งอยู่กับคิม
“ฉันคงต้องเอากลับไปให้บ่อน คุณอุตส่าห์ช่วยเอาออกมาแท้ๆ ฉันขอโทษนะ”
คิมตอบเสียงขรึม
“เรื่องที่บ่อน ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว คุณเก็บโฉนดบ้านคุณไว้...เพราะมันเป็นบ้านของคุณ”
คิมหยิบโฉนดส่งให้มัสลิน มัสลินรับไว้อย่างประหลาดใจ
“มัสจะตอบแทนคุณยังไงดี”
“ไม่ต้องตอบแทนอะไรผมทั้งนั้น ผมช่วยคุณมาขนาดนี้แล้ว ผมจะไม่มีวันปล่อยให้บ้านคุณตกเป็นของคนอื่นหรอก” มัสลินน้ำตาเอ่อคลอ ซึ้งในน้ำใจคิมที่ไม่เคยเอาเปรียบเธอแม้แต่น้อย
“อ้าวร้องไห้อีกแล้ว” คิมดึงทิชชูเช็ดแก้มมัสลิน เงอะๆ งะๆ
ทางด้านบัวบงกชวันนี้เธอมาถ่ายรายการที่สตูดิโอ...บัวบงกชนั่งอยู่กับแขกำรับเชิญและเธอพูดกับกล้องอย่างคล่องแคล่ว
“ค่ะ เมื่อพูดถึงความสำเร็จของคุณหญิงแล้ว ความสำเร็จด้านหนึ่งที่เด่นชัดไม่แพ้หลาย ๆ ด้านของท่านเลยนั่นก็คือความสำเร็จทางด้านครอบครัว”
แขกรับเชิญยิ้มรับ
“ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจในระดับหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ”
“กว่าครึ่งหนึ่งของท่านผู้ชมในห้องส่งวันนี้เป็นคุณแม่กันแล้ว เชื่อว่าทั้งคนเป็นแม่และยังไม่เป็นแม่ หรือเตรียมพร้อมเพื่อที่จะเป็นแม่คงอยากทราบกันแล้วนะคะว่าผู้หญิงเก่งอย่างคุณหญิงราตรีมีเคล็ดลับ
การแบ่งเวลาดูแลลูก ๆ และครอบครัวอย่างไรทั้งที่ตลอดสัปดาห์ต้องตระเวนทำงานเพื่อสังคม”
ผู้ชมปรบมือรับ หนึ่งในนั้นมีจิรดานังปนอยู่ จิรดาปรบมือ ตามองจ้องบัวบงกชด้วยสีหน้าแววตาหมายมาด แขกยิ้มรับเสียงปรบมือ หันมาคุยกับบัวบงกช
“แต่ดิฉันว่าอันที่จริงคำถามนี้ยกให้คุณบัวบงกชตอบเองยังได้เลยนะคะ... เป็นถึงเจ้าของรางวัลแม่แห่งปีเชียวนะคะ”
ผู้ชมปรบมือชอบใจ บัวบงกชยิ้มรับ แต่แล้วพลันหุบยิ้มเมื่อมองเห็นจิรดานั่งปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ชม
บัวบงกช เห็นจิรดายิ้มมุมปาก ตาจ้องเป๋งที่บัวบงกช แขกรับเชิญยิ้มเก้อเมื่อบัวไม่รับมุก บัวบงกชดูหลุกหลิก แต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ
“อ๋อ..ค่ะ..ก็ต้องยกเครดิตให้ลูกสาวด้วยนั่นละค่ะ มาว่าเรื่องเคล็ดลับของคุณหญิงดีกว่าค่ะ เชิญค่ะ”
บัวบงกชชงให้แขกพูด แล้วมองที่จิรดาอีกครั้ง แต่เก้าอี้ที่จิรดาเคยนั่งอยู่บัดนี้ว่างเปล่า...บัวบงกชดูหลุกหลิก สายตากวาดหาจิรดาไปทั่ว
เมื่อการถ่ายทำจบลงบัวบงกชจึงรีบขอตัวกลับก่อน ขณะเดินออกจากสตูดิโอจิรดาก็ก้าวเข้ามาเดินคู่กับบัวบงกชแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ดูดีเลยนี่นาในรายการน่ะ”
บัวหันขวับ ตกใจเมื่อเห็นจิรดา และหยุดเท้าในทันที
“จิรดา”
จิรดาเอามือดุนแขนบัวบงกชให้เดินต่อ
“หยุดทำไมล่ะ อยากให้ลูกน้องเธอได้ยินเหรอว่าเราคุยอะไรกัน”
บัวบงกชฝืนเดินต่อ พูดกับจิรดา พยายามทำสีหน้าเรียบเฉยเป็นปรกติที่สุด
“เธอมาที่นี่ทำไม”
“ก็ไม่มีอะไร แค่มาดูว่าเธอนี่มันดูดีจริง ๆนะ มีหน้ามีตาในสังคม เป็นแม่ตัวอย่าง สักกี่คนนะที่จะรู้ว่าเบื้องหลังเธอมันฟอนเฟะแค่ไหน”
บัวหยุดเท้ากึก จ้องหน้าจิรดาขวับ
“พูดอย่างนี้ต้องการอะไร”
จิรดายิ้ม สบตาบัวบงกชอย่าง ไม่กลัวเกรง
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอ” บัวบงกชงงงัน
“มากไปใช่มั้ย แต่ถ้าแลกกับชื่อเสียงของเธอ ฉันว่ายังน้อยไปนะ”
จิรดายิ้มร้ายๆ อย่างสะใจ
+ + + + + + + + + + + +
มธุรินกลับเข้าบ้านมาด้วยท่าทีเหนื่อยล้า สีหน้ายังดูอมทุกข์ พอเข้ามาในบ้านมธุรินเห็นใครคนหนึ่งนั่งหันหลังดูทีวีอยู่ เธอถึงกับหน้าเจื่อนเผลอรำพึงออกมาแผ่วเบาเพราะคิดว่าเป็นบัวบงกช
“คุณแม่...”
มธุรินเอามือปิดปากตัวเอง รีบเลี่ยงไปทางหนึ่ง ด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ทันใดนั้นเอง เสียงใครคนนั้นก็ดังขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอคะหนูเดียร์”
จิรดาค่อยๆ หมุนตัวหามธุริน มธุรินชะงักเท้ากึก สีหน้าประหลาดใจมาก ก่อนจะหันขวับไปที่เจ้าของเสียงนั้น แล้วตกตะลึง
“คุณเข้ามาได้ยังไง”
จิรดาลุกขึ้น เดินหามธุรินช้า ๆ
“สวัสดีจ้ะหนูเดียร์”
“ออกไปจากบ้านฉันนะ”
จิรดาจุ๊ปาก ส่ายหน้ายิ้มยวน
“จุ๊ๆๆๆ ไม่เอาค่ะ พูดไม่เพราะอย่างนี้ไม่น่ารักเลย”
“ตรงนั้นมีใครอยู่มั้ย นี่!ฉันเรียกน่ะได้ยินกันรึเปล่า”
มธุรินตะโกนลั่น สาวใช้กรูกันเข้ามา หน้าตาตื่น
“ค่าคุณเดียร์!”
“พาผู้หญิงคนนี้ออกไป” สาวใช้มองหน้ากันลังเล “เดี๋ยวนี้!”
บัวบงกชก้าวเข้ามาหยุดยืนมองมธุรินกับจิรดานิดหนึ่งราวกับจะเตรียมรับศึก ก่อนจะตรงไปหามธุริน มธุรินเห็นแม่ก็รีบปกป้องแม่ทันที
“เดียร์สั่งให้คนพาเค้าออกไปแล้วค่ะ ไม่มีอะไรแล้วค่ะคุณแม่”
บัวบงกชมีสีหน้าอึกอัก จิรดาจ้องหน้าบัวบงกช เลิกคิ้ว เป็นเชิงทวงบางสิ่ง มธุรินมองทั้งบัวบงกชและจิรดา เริ่มงง...บัวบงกชเอ่ยขึ้นขณะกอดไหล่มธุรินไว้อย่างอ่อนโยน
“คุณจิรดาเค้ามากับแม่น่ะจ้ะ”
มธุรินนิ่งงัน แทบพูดไม่ออก
“คุณแม่ล้อเดียร์เล่นใช่มั้ยคะ ไม่จริงใช่มั้ยคะ”
จิรดายิ้มรื่นให้มธุริน
“หวังว่าต่อจากนี้หนูเดียร์คงไม่เสียมารยาทไล่ฉันอีกนะจ๊ะ”
เตชเข้ามาอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วหมุนตัวกลับแทบไม่ทัน เมื่อเห็นจิรดาอยู่กับบัวบงกชและมธุริน
มธุรินหันเจอเตช รีบเรียกไว้
“คุณพ่อมาพอดีเลยค่ะ”
เตชมีสีหน้าอึดอัดมาก หยุดเท้ากึก ก่อนปรับสีหน้าเป็นปรกติ แล้วหันหาจิรดา
“เชิญที่ห้องรับแขกฝั่งโน้น”
มธุรินงงงัน จิรดายิ้มอารมณ์ดี
“อ๋อดาไม่ได้มาหาคุณเตชหรอกค่ะ แต่มาขอทานข้าวเย็นกับคุณบัวบงกชต่างหากล่ะคะ”
เตชหันขวับไปที่บัวบงกช บัวบงกชเลี่ยงมองไปทางอื่น มธุรินเห็นท่าทีของทั้งพ่อและแม่แล้วแผดเสียงลั่น
“นี่คุณพ่อคุณแม่เป็นอะไรกันไปหมดคะ”
สาวใช้ผลุบหายไปพร้อมกัน ทั้งห้องเงียบงัน มีเพียงจิรดาที่อมยิ้มอย่างสะใจ
+ + + + + + + + + + + +
คืนนั้นจิรดาขับรถกลับบ้านด้วยอาการเมาเหล้า จิรดาเลี้ยวรถเข้าจอดหน้าบ้าน กดแตรเรียกคนมาเปิดประตู แป้นซึ่งอยู่ในชุดนอนกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ขยี้ตางัวเงีย ตรงไปที่ประตูรั้ว
“กี่โมงกี่ยามแล้วเนี้ย ...มาแล้วค่ามาแล้ว”
แป้นตรงไปไขกุญแจเปิดประตูออกกว้าง เห็นส่วนหัวรถของจิรดา แป้นรอแล้วรออีกรถจิรดาก็ไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนเข้ามา
“อ้าว ทำไมไม่เข้ามาล่ะคุณดา”
แป้นมองไปที่รถเห็นรถจิรดาจอดนิ่ง ประตูฝั่งคนขับเปิดค้างไว้แป้นโยกหน้า เพ่งตามองเข้าไปในรถจิรดา
“อ้าว แล้วคุณดาอยู่ไหนล่ะ”
แป้นก้าวเข้าไปช้าๆ ที่รถแล้วมองสำรวจเข้าไปข้างในรถทีละจุด แต่ไม่มีวี่แววจิรดาแป้นฉุกคิดว่าอาจจะเกิดเรื่องร้ายกับจิรดา จึงหน้าหน้าซีดเผือด
“เฮ้ย...อย่าบอกนะว่า... คุณดา...”
แป้นหันหลังกลับเข้าบ้าน วิ่งพลางตะโกนลั่น
“พี่พัด! พี่พัด! ตื่นเร้ววว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พี่พัดดดด”
จิรดาถูกพามาที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เธอมีสภาพยับเยิน ใบหน้ามีร่องรอยการถูกตบ จิรดายกนิ้วแตะริมฝีปากที่มีเลือดซึมขึ้นดู แล้วยิ้มเยาะเห็นชัดว่าเธอยังอยู่ในอาการเมาเหล้า
“แค่นี้น่ะเหรอที่เจ้านายหน้าตัวเมียของแกมีแรงรังแกผู้หญิง”
ลูกน้องเตชมองหน้ากัน สังเวชปนขำ
“อย่างนังนี่สงสัยต้องลูกปืนอุดปากถึงจะเงียบว่ะ ฮ่ะๆๆ”
ประตูเปิดออก เตชเดินเข้ามา
“ไง ทีนี้รู้แล้วนะว่าอย่าบังอาจมาล้อเล่นกับฉัน” จิรดาปัดผมที่ปรกหน้า จ้องเป๋งที่เตช เตชบีบกรามจิรดาแรงๆ “แล้วถ้าไม่หยุด เธอเจอมากกว่านี้แน่”
จิรดาสะบัดหน้าหลุดจากมือเตช
“คุณขู่คนผิดแล้ว คนอย่างฉันไม่มีอะไรจะเสีย”
“แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรจะเสีย หึ.. แล้วนังมัสลินล่ะ”
เตชยิ้มร้ายอย่างเป็นต่อ หวังว่าจิรดาจะจ๋อย แต่ จิรดากลับหัวเราะร่า
“อยากทำอะไรมันก็เอาสิ นังมัสลินมันไม่ใช่ลูกฉัน” เตชงง “แล้วอยากรู้มั้ยว่ามันเป็นลูกใคร ฮะๆๆ”
เตชยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ แต่รู้ดีว่าจิรดากำลังประชดประชันอะไรบางอย่าง
“เธอพูดอะไรของเธอจิรดา!”
“อยากรู้ก็ถามนังบัวบงกชเมียคุณดูสิว่านังมัสลินมันลูกใคร ฮ่ะๆๆ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ากับคุณมันจะกล้าตอแหลเหมือนที่มันหลอกคนทั้งประเทศมั้ย สร้างภาพซะดูดี ที่แท้ก็ไข่ทิ้งเรี่ยราดให้ผัวฉันเลี้ยง”
“จิรดา!”
“อย่างคุณนี่ไม่น่าโง่ให้นังเมียหลอกย้อมแมวได้เลยนะ” สิ้นเสียงจิรดา เตชตบหน้าจิรดาฉาด จิรดากุมใบหน้าด้านที่ถูกตบ ยิ้มราวเสียสติ
“ฉันน่ะแค่เจ็บหน้า แต่นังบัวบงกชมันจะต้องขายหน้าคนทั้งประเทศ
ฮะๆๆๆ ฉันจะแฉให้หมดว่ามันเคยแอบมีลูก แล้วก็ไม่ยอมรับลูกของตัวเอง”
“ไม่จริง ไม่จริง! บัวบงกชไม่เคยท้องกับใคร เค้ามีฉันคนเดียว!”
เตชตะโกนลั่น
“คิดไปเองรึเปล่าคะ ...คุณเตช ฮะๆๆๆๆ” เตชคว้าตัวจิรดาไว้มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งเงื้อง่า
“เอาสิ ถ้าคุณอยากเห็นนังบัวบงกชมันพังพินาศก็เอาเลย เอาสิ”
จิรดาเชิดหน้าอย่างท้าทาย เตชมือไม้สั่นระริก ในที่สุดก็ทิ้งร่างจิรดาลงอย่างเจ็บใจ
+ + + + + + + + + + + +
คืนนั้นแม่บ้านกับคนขับรถช่วยกันลำเลียงกระเป๋าเสื้อผ้า2ใบใหญ่ ๆออกมาจากห้องเตช บัวบงกชเดินผ่านมาเห็นจึงหยุดทัก
“คุณเตชจะไปไหนเหรอ ทำไมคราวนี้เสื้อผ้าเยอะนัก”
แม่บ้านกับคนขับรถมองหน้ากันอึกอักบัวบงกชรอฟังคำตอบด้วยสีหน้าสงสัย
แม่บ้านกับคนขับรถขนกระเป๋าลงมา เตชยืนหันหลังอยู่ที่ประตู เขาอยู่ในชุดสูท แบบพร้อมเดินทาง พอได้ยินเสียงก็หันมา
“แค่ให้เก็บเสื้อผ้า ทำไมมันนานนัก” เตชชะงักเมื่อเห็นบัวบงกช “...คุณ...”
บัวบงกชเดินลงบันไดตามแม่บ้านกับคนขับรถมา
“คุณจะไปไหนเหรอ” แม่บ้านกับคนขับรถรีบยกของเลี่ยงออกไป
“ไม่ได้ไปไหน แต่พักนี้มีประชุมจนดึก ก็เลยคิดว่าจะไปอยู่คอนโด”
“เมื่อวานฉันเพิ่งคุยกับทิพย์ เห็นว่าอาทิตย์หน้าเป็นวันหยุดยาวตั้งเจ็ดวัน”
เตชยิ้มอย่างขมขื่น
“คุณอย่าฝืนสนใจเรื่องผมเลย มันไม่สำคัญสำหรับคุณหรอก โอเค..ผมจะพูดกับคุณตรงๆ ก็ได้ ต่อไปนี้ผมจะไปอยู่ที่คอนโด ...ผมจะคืนอิสระให้คุณ”
บัวบงกชหน้าร้อนผ่าว จ้องหน้าเตชอย่างสับสน
“หมายความว่ายังไง”
เตชหลับตาลงอย่างเตรียมใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างกล้ำกลืน
“เราเลิกกัน” บัวบงกชนิ่งงัน “คุณน่าจะดีใจนะ ตลอดเวลาผมก็ไม่เคยได้ใจคุณอยู่แล้ว”
บัวบงกชปรับน้ำเสียงให้เป็นปรกติที่สุด ทั้งที่จวนเจียนจะร้องไห้
“มีเหตุผลอื่นอีกมั้ยคะ หรือว่าเป็นเพราะจิรดา”
เตชไม่ได้มีจิรดาอยู่ในความคิดมาก่อน แต่ก็ได้ที ฝืนตอบบัวบงกชไปส่งๆ
“ใช่ ผู้หญิงคนนั้นรักผม ผมจะเริ่มต้นกับจิรดา”
บัวบงกชปากคอสั่น รีบหันหนีไปทางหนึ่งเพราะน้ำตาที่ร่วงพรู เป็นเวลาเดียวกับที่เตชก้าวออกจากประตูไปหน้าเตชเองก็มีน้ำตา...เตชกับบัวบงกชจากกันทั้งที่ต่างเสียใจ แต่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเตชและบัวบงกชทำให้มธุรินเครียดจนต้องมานั่งกินเหล้าที่ร้านเหล้าหรูแห่งหนึ่ง
...มธุรินนั่งอยู่ลำพังที่เคาน์เตอร์ มือจับไม้คนค็อกเทลในแก้วอย่างเหม่อลอย ชายญี่ปุ่นสองคน แต่งตัวภูมิฐานมานั่งลงใกล้มธุริน สั่งเครื่องดื่มเสร็จก็เหล่ๆ มองมธุรินแล้วพยักพเยิดกัน คนหนึ่งหันยิ้มทักมธุรินเป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่ง
“สวัสดีครับ”
มธุรินยังมองเหม่อที่แก้วค็อกเทล ช้อนตาขึ้นมองชายนั้น ยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ” ชายสองคนมองหน้ากัน ดีใจ คุยสุภาพกับมธุรินต่ออีก
“มาคนเดียวเหรอครับ”
กุเทพโผล่มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และตอบเร็วพลัน
“มากับแฟนครับ”
ชายสองคนหน้าเจื่อน มธุรินแหงนหน้าขึ้นมองกุเทพงงๆ ...ชายสองคนรีบลุกออกไปกุเทพจึงนั่ง
แทนที่
“คิดอะไรของคุณอยู่ครับคุณเดียร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นถึงมานั่งอยู่ที่แบบนี้คนเดียว”
“ที่แบบนี้? หืม..คุณกุเทพพูดซะยังกับว่าเดียร์นั่งอยู่ในค็อกเทลเลาจ์อย่างนั้นละ” มธุรินคว้ามือพนักงานหญิงที่เดินผ่านไป
“น้องคะ ช่วยบอกพี่คนนี้ทีสิคะว่าที่นี่น่ะเป็นโรงแรมห้าดาว”
พนักงานหญิงยิ้มสุภาพ แต่ก็งงอยู่ไม่น้อย กุเทพรีบแก้สถานการณ์
“เพื่อนผมเค้าล้อเล่นน่ะครับ เชิญเถอะครับ แหะๆ”
มธุรินทอดถอนใจ ยกแก้วขึ้นจิบ
“เดียร์ไม่คิดว่าคุณจะมาจริง ๆ ก็แค่ไม่รู้จะโทรหาใครดี ยัยกิ๊บก็ไม่อยู่”
กุเทพมองมธุรินอย่างหนักใจ มธุรินนึกขึ้นได้ว่าพูดไม่ดีรีบขอโทษ
“เอ่อ คือเดียร์ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากคุยกับคุณนะคะ”
“ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ดีแล้วละฮะที่ไม่รู้ว่าจะโทรหาใครแล้วคุณยังเลือกที่จะโทรหาผมน่ะ...แต่เอ๊ะเดี๋ยวนะ แล้วอาปลิวล่ะ นี่อย่าบอกนะว่าคุณยังงอนอาผมอยู่เลยไม่รับโทรศัพท์เค้าน่ะ”
มธุรินยิ้มอย่างขมขื่น
“ถ้าเค้าโทรมาก็ดีน่ะสิคะ”
กุเทพเจื่อนไป อย่างรู้สึกผิด รีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ช่างอาผมก่อนดีกว่า นั่นน่ะเรื่องเล็ก มาว่าเรื่องที่บ้านคุณเดียร์ก่อนดีกว่าครับ ตกลงมันยังไงฮะ”
มธุรินมีสีหน้าแย่ลงอีก “ว้า... ผมนี่ปากไม่ดีเลย คุยเรื่องไหนคุณก็เครียดไปหมด”
มธุรินน้ำตาเอ่อคลอ แต่ยังฝืนยิ้ม
“ไม่หรอกค่ะ คุณพยายามจะช่วยเดียร์ แต่เดียร์นี่แหละที่อ่อนแอเอง”
มธุรินน้ำตาริน กุเทพตกใจมาก
“คุณเดียร์...”
“เดียร์ไม่รู้จะหันไปทางไหนจริง ๆค่ะ พ่อกับแม่เดียร์เป็นอะไรกันก็ไม่รู้ วันนี้คุณพ่อย้ายไปอยู่นอกบ้าน เดียร์ถามเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีใครตอบอะไรเดียร์”
มธุรินร้องไห้ออกมากุเทพวางมือที่ไหล่มธุรินเชิงปลอบใจ ขณะที่มือหนึ่งก็กดโทรศัพท์มือถือหากานน
+ + + + + + + + + + + +
มัสลินเลี้ยวรถเต่าของเธอเข้ามาจอด และรีบลงไปที่รถจิรดาซึ่งจอดทิ้งอยู่แป้นวิ่งร้องไห้เข้ามา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“คุณดาหายตัวไปค่ะ”
“แล้วทำไมไม่โทรหามัส”
“พี่พัดโทรแล้ว แต่ติดต่อคุณมัสไม่ได้เลยค่ะ”
มัสลินนึกโกรธตัวเอง พลางนึกถึงม่านมุกแล้วหน้าเสีย กลัวจะรู้เข้าแล้วตกใจไปอีกคน
“แล้วโทรไปบ้านคุณยายรึเปล่า”
“พี่พัดแกโทรหาพี่ปิ่นค่ะ แต่ยังไม่มีใครกล้าบอกคุณท่าน”
“ดีแล้ว อย่าเพิ่งให้คุณยายรู้นะ เข้าบ้านก่อน เดี๋ยวมัสจะคุยกับตำรวจ”
ทันใดนั้นเองมีรถแท็กซี่เข้ามาจอด และกดแตรเรียก ...มัสลินตาเบิกโพลง เมื่อเห็นจิรดานอนไม่ได้สติอยู่ที่เบาะหลังแท็กซี่
แป้นกับมัสลินช่วยกันประคองร่างจิรดาลงนอนที่โซฟา มัสลินปาดน้ำตา ดุกราด
“บอกให้ไปเอาผ้ามาเช็ดหน้าแม่ ได้รึยัง”
“พี่พัด ได้รึยัง โอ้ยแป้นไปเอาให้เองนะคะ”
แป้นวิ่งออกไป หน้าตื่น มัสลินร้องไห้โฮ มองใบหน้าที่มีรอยเขียวช้ำของจิรดา
“ใครมันทำแม่แบบนี้”
โทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้น มัสลินสะดุ้งเฮือก ยกหูรับอย่างสังหรณ์ใจไม่ดี
“ฮะโหล”
เสียงเตชดังรอดออกจากโทรศัพท์
“ถ้าไม่อยากเห็นแม่เธอในสภาพนี้อีกก็เลิกยุ่งกับบัวบงกชซะ คงไม่ต้องบอกว่าฉันเป็นใครนะ”
สิ้นเสียงเตช เป็นสัญญาณโทรศัพท์ที่ขาดไป มัสลินวางหูโทรศัพท์ลงอย่างอ่อนแรง ร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“แม่... มัสไม่เข้าใจแม่เลย แม่จะทำอย่างนี้ทำไม ทำไม!”
แป้นยกอ่างน้ำใส่ผ้าขนหนูลอยเข้ามา แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นมัสลินซบหน้าร้องไห้กับอกจิรดา
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่หน้าร้านเหล้า กุเทพกำลังเดินวนเป็นหนูติดจั่น สายตามองไปที่ทางเข้าอย่างรอคอย
“บอกว่ามาถึงแล้วน่ะ อยู่ไหนล่ะคร้าบอาปลิว”
กุเทพยกโทรศัพท์มือถือขึ้น ตั้งท่าจะกดโทรออก ขณะนั้นเองกานนก้าวเข้ามาสีหน้าร้อนใจ
“เดียร์อยู่ไหน”
กุเทพบุ้ยหน้าไปทางในร้าน กานนก้าวฉับเข้าไปในทันที กุเทพจับแขนกานนไว้
“อ๊ะ ๆเดี๋ยวครับอา อาแน่ใจเหรอว่าเข้าไปแล้วคุณเดียร์จะสบายใจขึ้น”
“อ้าว ถ้างั้นแกโทรตามฉันมาทำบ้าอะไรล่ะ”
กุเทพพูดเสียงขรึม
“คุณเดียร์น่าสงสารมากนะครับ เค้ารักอา”
กานนหน้าเครียด
“มันคงถึงเวลาที่ฉันควรจะพูดกับเค้าตรง ๆสักที”
“ดีครับ” กุเทพบอกแล้วพลันนึกได้ “ฮึ้ยไม่ได้นะครับอา ไม่ใช่วันนี้ อาปลิว!”
กานนเดินลิ่วเข้าร้านไปแล้ว ไม่ได้ยินเสียงทัดทานของกุเทพ
มธุรินตกใจเมื่อเห็นกานน...
“คุณกุเทพโทรไปบอกคุณเหรอคะ”
“จะใครบอกก็ช่างเหอะ กลับบ้านครับ ผมจะไปส่ง”
มธุรินยิ้มประชด
“เดียร์ไม่ใช่เด็กสิบสองขวบเหมือนแต่ก่อนแล้วนะคะ กานนกลับไปเถอะ ฝากขอบคุณคุณกุเทพด้วย ที่อุตส่าห์หวังดีบอกให้คุณมาหาเดียร์ ...ทั้งที่คุณไม่ได้อยากมา”
“ถ้าผมทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้น ผมขอโทษ” กานนทอดถอนใจ สบตามธุรินนิ่งอย่างชั่งใจก่อนพูดขึ้น
“ดูเหมือนว่าตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา ผมมีแต่ทำให้คุณเสียใจ ...เดียร์ครับ ผมอยากให้คุณเข้าใจผมมากกว่านี้ คือผม...”
มธุรินหน้าเจื่อนสนิท รู้ดีว่ากานนกำลังจะพูดอะไรจึงฝืนยิ้มรื่น
“เดียร์เข้าใจค่ะ! เดียร์เข้าใจกานนเสมอ” มธุรินคว้ากระเป๋าสะพาย กานนงุนงง
“เดียร์กลับก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิครับเดียร์”
“เมื่อกี้ยังบอกให้เดียร์กลับบ้านอยู่เลย เดียร์ไปนะคะ”
มธุรินเดินลิ่วไป กานนมองตามอย่างห่วงใย
ขณะนั้นกุเทพยังเดินเกร่อยู่หน้าร้าน กุเทพหันมาเจอมธุรินก้าวฉับๆ ร้องไห้ออกมา
“คุณเดียร์”
มธุรินประหลาดใจที่เห็นกุเทพ รีบปาดน้ำตารวกๆ
“เดียร์ต้องกลับแล้วละค่ะ”
“ทะเลาะกับอาปลิวเหรอครับ คุณเดียร์ใจเย็นนะ เดี๋ยวผมคุยให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดียร์ขอตัวนะคะ”
มธุรินก้าวออกไปทันที
“ว่าแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้”
กุเทพมองเข้าไปในร้านอย่างว้าวุ่นใจ กานนออกจากร้านมา หน้านิ่ว กุเทพตั้งท่าจะพูดด้วย กานนขัดไว้ทันที
“ฉันไม่พร้อมจะตอบอะไรแกทั้งนั้น แกหาเรื่องให้ฉันแท้ๆ ไอ้กุ”
สองคนเดินคู่กันไปพลางเถียงกัน
“หาเรื่องยังไงครับอา ผมงงไปหมดแล้ว ที่ผมโทรตามอามานี่ก็อยากให้ช่วยดูแลคุณเดียร์ แต่แล้วทำไมคุณเดียร์วิ่งร้องไห้ออกไปอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็นี่ไง ฉันถึงว่าแกน่ะหาเรื่อง!”
“ก็แล้วถ้าอาไม่ทำให้มันเป็นเรื่อง มันจะมีเรื่องมั้ย”
“ไอ้กุ ฉันเป็นอาแกนะ”
“เพราะอาปลิวเป็นอาผมน่ะแหละ ผมถึงได้เป็นห่วง”
กานนเดินแยกไปทางหนึ่ง ไม่สนกุเทพ
“มีแฟนดีแสนดีอย่างคุณเดียร์กลับไม่รู้จักดูแล”
กานนหันขวับกลับมา
“ดูท่าแกจะห่วงมธุรินมากเลยนะ ...รึว่าแกชอบเค้า”
กุเทพเลิ่กลั่ก ปฏิเสธทันควัน
“เฮ้ยเปล่านะอา ผมก็แค่... ก็แค่เป็นห่วงเค้า” กานนส่ายหน้าเยาะๆ ชี้หน้ากุเทพ ทำนองว่ารู้ทัน ก่อนจะรีบก้าวไป “จริงๆ นะครับอาปลิว อาปลิว!”
+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมาขณะที่กุเทพกำลังเดินคุมงานตกแต่งร้าน เพื่อเตรียมงานเปิดร้าน มีลูกน้องเดินขวักไขว่
มัสลินใบหน้าซีดเซียวเดินเข้ามาพร้อมถุงขนมในมือ ตรงไปหากุเทพ
“พี่กุ”
กุเทพหันเจอมัสลิน ตกใจ
“มัส!”
“พี่กุบอกว่าอยากเจอมัสไม่ใช่เหรอคะ”
กุเทพพามัสลินไปที่มุมรับแขก
“พี่บอกให้คอยอยู่ที่ทำงานไม่ใช่เหรอ เสร็จงานที่นี่แล้วพี่จะรีบไปรับ”
“มัสมีงานด่วนที่หัวหินค่ะ เลยรีบมาหาพี่กุก่อน พี่กุมีธุระอะไรเหรอคะ ถึงโทรหามัสแต่เช้า”
กุเทพสังเกตเห็นใบหน้าอมทุกข์ของมัสลิน
“มัสมีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”
กุเทพถามอย่างเป็นห่วง มัสลินยิ้มขำ
“พี่กุยังไม่ชินอีกเหรอคะ มัสไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุยเรื่องพี่กุเถอะ”
“อืม...พี่ไม่รู้ว่าถ้าพี่พูดเรื่องนี้มันจะทำให้มัสเข้าใจพี่ผิดไปอีกคนรึเปล่า”
“ว่ามาเถอะค่ะ”
“เรื่องคุณเดียร์กับ...อาปลิว”
มัสลินหุบยิ้ม เห็นแววพิรุธ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่สตูดิโอของศิธา พีระพลนั่งตัดงานอยู่หน้ามอร์นิเตอร์ ด้วยสีหน้าเครียด
ศิธาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างหลัง สีหน้าเครียดไม่แพ้กัน
“พี่กิ๊บนะพี่กิ๊บ ไหนรับปากว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ให้โก้รู้”
“ใจคอศิธาจะให้โก้บ้าใบ้ไม่รู้เรื่องนังเกวลินงั้นเหรอ”
“ผมคบเค้าเพราะธุรกิจ คุณเองก็สุขภาพไม่ดี ไม่เห็นจะต้องมารับรู้อะไร ไม่รู้พี่กิ๊บคิดอะไรอยู่นะถึงเอาเรื่องแบบนี้มาบอกคุณ”
“โก้ไม่ตายง่ายๆ ด้วยเรื่องแค่นี้หรอก แต่คนที่จะตายคือนังเกวลิน”
“เอาน่า มันใกล้จะจบแล้ว หมดหนี้งวดนี้แล้วผมก็เลิกกับเค้า”
“คนฐานะดีอย่างเกวลินน่ะนะเป็นหนี้ศิธา เชื่อก็บ้าแล้ว”
“มันเป็นค่าหุ้นที่เค้าต้องจ่าย”
“หึ..ใครเชิญมาซื้อไม่ทราบ โก้จ่ายแทนให้ แล้วไม่ต้องให้มันมามีหุ้นสักสลึงในสตูฯเรา” ศิธาอ้ำอึ้ง
“พูดไม่ออกละสิ เอาเป็นว่าถ้าศิธาไม่อยากเห็นนังแก่นั่นมันเจ็บตัวก็รีบๆ เอามันไปห่างๆ ซะ ที่สำคัญอย่าพามันมาเหยียบที่นี่อีก อย่าคิดนะว่าโก้ไม่รู้!”
พีระพลกระแทกเมาส์กับโต๊ะอย่างแรง ตาวาวด้วยความหึงหวง จังหวะนั้นคิมดันประตูเข้ามา เห็นเข้าก็ตกใจ รีบผลุบออกไป ศิธาทอดถอนใจ สีหน้าหงุดหงิด ทั้งศิธาและพีระพลไม่มีใครเห็นคิม
ศิธาเดินหัวเสียเข้ามาเจอคิมนั่งรออยู่
“โทษทีว่ะคิม มีปัญหากับโก้นิดหน่อย ยิ่งคบยิ่งพูดไม่รู้เรื่อง”
คิมทำทีเป็นไม่สนใจ แต่จริงๆ นั้นอยากรู้มาก
“ว่าเรื่องธุระของนายดีกว่า โทรนัดฉันมามีเรื่องอะไร”
พอคิมไม่สนใจ ศิธายิ่งบ่นต่อ
“ถ้าไม่ติดว่าโก้ป่วยกระเสาะกระแสะก็พูดตรง ๆไปแล้ว แต่จะพูดยังไงให้เค้าเข้าใจดีวะว่าฉันไม่ได้คิดจริงจังกับเกวลินเลย ก็แค่อยากได้ตังค์มาทำงานให้ป๊าเห็น”
“ก็เลิกๆ กับเกวลินไปซี้ นายก็ได้เงินมาเปิดสตูฯ แล้วนี่”
คิมทำเป็นเอ่ยลอยๆ เหมือนไม่ใส่ใจ
“ง่ายอย่างนั้นก็ดีสิวะ นี่ชวนฉันไปหัวหินอีก ไปดูงานแฟชั่นโชว์ สนุกตายละ”
คิมสนใจ แต่ยังคงคุมสีหน้าเป็นปรกติ
“ก็ไม่ต้องไปสิวะ”
“ได้ไง ทริปนี้ละไคลแมกซ์ เงินค่าหุ้นก้อนสุดท้าย ไม่ไปก็ชวดสิวะ” คิมทำท่าจะถามต่อ แต่ศิธาเปลี่ยนเรื่องคุย “มัวแต่ชวนแกคุยเรื่องอะไรวะเนี่ย เอ้าดูซะ!” ศิธาโยนแคตตาล็อกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้คิม “อยากซื้อเข้าสตูฯยกชุด แต่ไม่มีตังค์ นายช่วยหุ้นกับฉันหน่อยสิ”
คิมเปิดๆ ดู แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องหัวหิน พลันมือถือของคิมดังขึ้น คิมกดรับ
“ฮะโหล ..ครับพูดอยู่ครับ ...ไม่ค่อยได้ยินเลย ถือสายแป๊บนึงนะครับ”
คิมส่งสัญญาณกับศิธา ก่อนจะลุกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก...คิมดันประตูออกมา ชนเข้ากับพีระพลซึ่งยืนแอบฟังอยู่หน้าห้อง พีระพลตีหน้าเฉย ทักทายคิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ้าวคิม มาเที่ยวเหรอ ..ตามสบายนะ”
พีระพลรีบผละไป คิมมองตามอย่างสงสัย เสียงปลายสายดังอู้อี้จากโทรศัพท์มือถือในมือคิม คิมรีบรับสาย
“อ้อครับๆ โทษทีครับ”
สายตาคิมจับจ้องที่พีระพล
+ + + + + + + + + + + +
มธุรินมาเดินช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เธอเดินถือถุงช็อปปิ้งพะรุงพะรัง พลางคุยมือถือกับพิณสุดาไปด้วย
“กลับมาซะทีสิแก ฉันเซ็งจะแย่อยู่แล้ว รู้งี้ฉันไปฮ่องกงกับแกดีกว่ากิ๊บ”
เดินเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งผ่านหน้าร้านทำผมหรู
“เออ...ฟังอยู่ นี่ยัยกิ๊บ แกใช่มั้ยที่เคยพูดว่าจืด ๆอย่างฉันยังไงก็หาแฟนไม่ได้ ไม่ต้องมาหัวเราะ ไหนลองพูดให้ฉันจี๊ดอีกทีซิ”
มธุรินมองเข้าในร้านอย่างหมายมาด ก่อนจะกดวางสาย แล้วก้าวเข้าไป
ขณะนั้นกุเทพยังคุยกับมัสลินที่ร้าน...
“ถ้าเป็นเรื่องของสองคนนี้มัสขอไม่คุยได้มั้ยคะ มัสอธิบายให้พี่กุฟังไปหมดแล้ว มัสขอเถอะนะคะ มัสไม่อยากได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้อีก ทั้งบ้านนั้นเลยก็ได้ อย่าพูดให้มัสได้ยินอีก”
กุเทพงุนงง “มัส... นี่มัสเป็นอะไรไป มีปัญหากับบ้านนั้นอีกแล้วเหรอ”
มัสลินนึกถึงสภาพจิรดาเมื่อคืน แล้วเม้มปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอด้วยความโกรธแค้นขณะพยักหน้าเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
กุเทพถามอย่างตกใจ แต่ไม่สินยังไม่ทันได้บอกเพราะมธุรินก้าวเข้ามาพร้อมส่งเสียงทักทาย
“โอ้โฮร้านสวยจัง”
ลูกน้องต่างหันตามเสียง พอเห็นว่าเป็นมธุรินก็ยกมือไหว้ แต่สีหน้าอึ้งไปตามกัน กุเทพกับมัสลินหันหามธุรินพร้อมกัน กุเทพอยู่ในมุมที่บังมัสลิน มธุรินจึงยังไม่เห็นมัสลิน...กุเทพถึงกับอึ้งขณะมองมธุริน
“...คุณเดียร์”
มัสลินสูดหายใจลึกอย่างตั้งรับ มธุรินในมาดใหม่ แต่งตัวเปรี้ยว แต่งหน้าเข้ม สวยแปลกตาจากเดิมแทบจะเป็นคนละคน
“เดียร์ดูน่าเกลียดเหรอคะ”
“ป..เปล่านี่ครับ สวยดี”
“เอ๊ะ คุณกุเทพมีแขกเหรอคะ โทษทีค่ะ” มธุรินโยกหน้ามอง แล้วหน้าถอดสี เมื่อเห็นว่าเป็นมัสลิน
“มัสลิน...”
มัสลินนึกถึงเตชขึ้นมาทันควัน เอ่ยลากุเทพในทันที
“มัสไปดีกว่านะคะ แล้วมัสโทรหาค่ะ”
“เดี๋ยว” มัสลินหยุดเท้า หันหามธุรินอย่างเอาเรื่อง “เรื่องวันก่อนน่ะขอบคุณนะ หวังว่าเธอคงไม่ได้คิดเป็นบุญคุณอะไร”
มัสลินประสานตากับมธุริน
“ฉันไม่เคยทำอะไรเพื่อขอบุญคุณจากใคร และที่ฉันทำไปก็เพราะฉันลืม ลืมไปว่าเธอเป็นลูกของไอ้คนใจร้าย”
มธุรินตาลุกวาว งุนงงว่ามัสลินพูดอะไร
“นี่เธอว่าพ่อกับแม่ฉันเหรอมัสลิน!”
“คำว่าใจร้ายสำหรับพวกเธอ มันยังน้อยไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ฉัน”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอพูดอะไร แต่เดาว่ามันคงพอดีกับเรื่องชั่ว ๆที่แม่เธอทำกับครอบครัวฉันนั่นแหละ”
สิ้นเสียงมธุริน มัสลินตบมธุรินฉาด มธุรินนิ่งงันไปนิด ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มัสลิน กุเทพเข้ารวบตัวมธุรินไว้ และไล่มัสลินออกไป
“มัสออกไปก่อน” มัสลินยังอยู่ในอาการตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ หูอื้อ ไม่ได้ยินเสียงกุเทพ มธุรินดิ้นพล่าน กุเทพแทบรั้งไว้ไม่อยู่ ตะโกนใส่มัสลิน
“ออกไปสิมัส พี่บอกให้ออกไป!”
(จบตอนที่ 5 )
ติดตามอ่านตอนที่ 6 วันพรุ่งนี้