ในรอยรัก
ตอนที่ 2
วันต่อมามัสลินมาหาม่านมุกที่บ้าน พร้อมกับเล่าเรื่องแม่ให้ผู้เป็นยายฟัง ม่านมุกถึงกับส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมจิรดา
“ยิ่งนับวันแม่ดายิ่งหนักขึ้นๆ อะไรกัน ไม่ไว้หน้าลูกเต้าเลย”
มัสลินยิ้มเศร้า มือจัดขนมลงจาน
“แต่ที่จริงก็ต้องขอบคุณแม่เค้านะคะที่ทำให้มัสได้งาน เพราะหลังจากที่คุณคิมเจอฤทธิ์เดชแม่เข้าไป คุณคิมกับคุณดุสิตเพื่อนเค้าก็เลยให้งานมัสมาหลายชิ้นเลย”
มัสลินบอกยิ้มๆ
“ก็คงจะเวทนา ยายละเห็นใจเราจริงๆ เลยยัยมัส หนูต้องอดทนนะลูกนะ ยายเข้าใจเป็นใครๆ ก็อาย”
“มัสไม่มีอะไรต้องอายแล้วละค่ะ ความจริงก็คือความจริง ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไง แม่ก็เป็นแม่มัสอยู่วันยังค่ำ แล้วมัสก็รักแม่ค่ะ” ม่านมุกพยักหน้าเศร้าๆ สะท้อนใจเรื่องที่มัสลินไม่ใช่ลูกจิรดา “ได้โฉนดบ้านพ่อคืนเมื่อไรมัสก็หายเหนื่อยเองละค่ะ ยายไม่ต้องห่วงมัสหรอก”
กริ่งจากประตูรั้วดังขึ้น ม่านมุกโยกตัว หรี่ตามองไปที่รั้วแล้วตกใจ ลุกขึ้นแทบจะทันที
“ตาย้ง!”
มัสลินรีบเข้าประคองยาย พลอยประหลาดใจมองตามไปที่ประตูรั้ว
+ + + + + + + + + + + +
อีกด้านหนึ่งที่ออฟฟิศเตชะฟิล์ม เตชกำลังนั่งคุยกับศักดา ซึ่งเป็นหุ้นส่วนสร้างภาพยนตร์ของเตชและเป็นพ่อของศิธา ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ที่ชุดรับแขก ศักดาวางรูปมัสลินหลายๆ ภาพให้เตชดู
“ใครเหรอ”
“อ้าวก็นางเอกหนังสามชาติของเราไง๊”
“เกาหลีกับฮ่องกงโอเคว่าจะใช้นางเอกไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ก็ยัยแม็กกี้หุ้นใหญ่ฮ่องกงนั่นละเป็นคนตัดสินใจ ให้นายคิมลูกชายส่งรูปมาให้ผมเมื่อวาน ส่วนทางโซลเค้าก็คุยกันเรียบร้อยเสร็จสรรพ”
“อ้อ...ใช้ความเป็นหุ้นใหญ่มัดมือชกเราว่างั้น” เตชบอกอย่างไม่พอใจ
“มัดมือชกอะไรกัน เค้าก็ไม่ได้ยัดเยียดนางเอกฮ่องกงหรือเกาหลีมาให้เราซะเมื่อไหร่... ยัยนี่ก็โอเคนะ หน้าใหม่ ไม่ช้ำดี”
“ทำงานล้ำเส้นไม่ให้เกียรติกันแบบนี้ ผมไม่ชอบ” เตชดันรูปออกห่าง
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่า ยิ่งเราสรุปพระเอก-นางเอกได้เร็วเท่าไหร่งบมันก็อนุมัติเร็วเท่านั้น ผมกลัวมันจะไม่ทันขายเทศกาลหนัง”
“เงินเราก็มี”
“เลิกทำตัวเป็นวัยรุ่นเอาแต่ใจเถอะครับคุณเตช ที่เค้าสนใจค่ายหนังแก่ๆ อย่างเราก็ดีเท่าไหร่แล้ว...” บัวบงกชเดินผ่านมาเห็นศักดา คู่แค้นก็รีบเลี้ยวหนีไปทางอื่น “..ทำเรื่องมากเดี๋ยวค่ายเด็กๆ มันก็เสียบซะฉิบ”
เตชเห็นด้วยนึกเซ็ง เหลือบมองรูปมัสลินอีกครั้ง
“แล้วมันซื่อแซ่อะไรล่ะแม่นี่น่ะ”
“ม่านมัสลิน”
บัวบงกชชะงักงัน หันขวับมาที่ศักดา เตชเหยียดปากหมั่นไส้
“ชื่อคนหรือชื่อลิเกวะ ม่านมัสลิน ตั้งมาได้ แต่ก็ดี สะดุดหู”
“เริ่มเห็นดีด้วยแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“นามสกุลล่ะ”
บัวบงกชตาลุกวาว กลัวศักดาจะเอ่ยถึงนามสกุลของภาษิตให้เตชได้ยิน รีบปราดเข้ามา
“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
ทั้งเตชและศักดาต่างงงไปตามๆ กัน เพราะทั้งคู่รู้ดีว่าบัวบงกชนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากับศักดานับตั้งแต่ศักดามีส่วนเอี่ยวเรื่องวางแผนมอมยาบัวบงกชให้ตกเป็นของเตช...ศักดาหมุบหมิบถามเตช
“คุณนายมาไม้ไหนเนี่ย”
เตชยิ้มดีใจที่บัวบงกชพูดดีด้วย
“คุยเรื่องหนังน่ะจ้ะ คุณว่างก็เข้ามานั่งด้วยกันสิ จะได้ช่วยดูนางเอกให้พวกผมหน่อย”
บัวบงกชแทบจะรี่เข้าไปหยิบรูปมัสลินขึ้นดู
“นางเอกหนังเหรอคะ ของใคร” บัวบงกชหันขวับมาที่ศักดา “ของคุณเหรอ”
“จะว่าใช่ก็ใช่”
บัวบงกชหน้าซีดเผือด
“ไม่นะ เด็กคนนี้จะเล่นหนังประเภทนั้นของคุณไม่ได้!”
“หนังประเภทไหนอะไรกันคุณ นี่มันหนังร่วมทุนสามประเทศ”
“แต่ยังไงก็มีเสี่ยศักดาเกี่ยวข้องด้วยอยู่ดี”
ศักดาหน้าตึง ลุกขึ้น
“บัวบงกช ถึงคุณจะไม่ชอบหน้าผมยังไง แต่เรื่องนี้ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับคุณ”
บัวบงกชหน้าชา เตชเห็นท่าไม่ดีรีบแก้ตัวแทนภรรยา
“บัวเค้าก็แค่หวังดีกับพวกเราละน่า นั่งๆ... วันนี้คุณมีถ่ายรายการไม่ใช่เหรอ ...แล้วผมคุยด้วยนะ”
บัวบงกชก้าวเท้าออกไป แต่เหลียวกลับมาจ้องศักดาเขม็งอย่างแม่เสือหวงลูก
บัวบงกชมาถ่ายทำรายการอย่างไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไหร่เพราะเป็นห่วงมัสลิน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ออฟฟิศของกานน ชายหนุ่มก็กำลังนั่งดูปกนิตยสารก็อสซิปที่เป็นรูปมัสลินอย่างครุ่นคิดว่า เพราะมัสลินเหมือนกับผู้หญิงที่นั่งข้างกานนบนเครื่องบินมาก เลขาฯ เปิดประตูเข้ามา ค้อมศีรษะให้กานน
“อ้อมาแล้วเหรอ คุณจำไฟล์ทที่ผมบินกลับจากนิวยอร์คได้มั้ย”
“ค่ะ”
“นั่นละ ผมอยากได้ชื่อผู้โดยสารที่นั่งข้างผม”
“คะ?” เลขาทำท่างง
“เค้าลืมของไว้กับผม”
“อ้อ... เข้าใจแล้วค่ะ”
“จัดการได้นะ”
เลขาฯ ค้อมหัวรับ จังหวะนั้นกุเทพโวยวายเข้ามา กานนรีบพลิกนิตยสารกลับหน้า
“ผมจะบ้าอยู่แล้วครับอา”
“เรื่องเดิมๆ”
“หนักกว่าเดิมน่ะสิฮะ กิ๊บจะฆ่าตัวตาย”
“นั่นละเดิมๆ เลย มามุกนี้ร้อยทั้งร้อยไม่กล้าทำหรอก”
“อาว่าอย่างนั้นเหรอฮะ”
“ก็เออสิวะ... ฉันจะไปรับคุณปู่ไปโรงพยาบาล ไปด้วยกันรึเปล่า”
“ผมมีนัดแล้ว”
“อ้าวแล้วมาทำไมเนี่ย เข้ามาบ่นเรื่องยัยกิ๊บแค่นี้น่ะนะ”
“เปล่าครับ จะมาชวนอาไปช่วยเลือกของขวัญวันเกิดให้คุณย่า”
“เออใช่... ใกล้วันเกิดอาหญิงแล้วนี่ แล้วแกตั้งใจจะซื้ออะไร เผื่อชนกับฉัน”
“รับรองไม่ชน เพราะมีเรือนเดียวในโลก”
“นาฬิกา ”
“ถูกต้องครับ ศุกร์นี้มีงาน Watch Party นาฬิกาแต่ละเรือนที่มาโชว์แพงเลือดซิบ แต่ก็คุ้ม คุณย่าจะได้หายเคืองผมเรื่องมัสลินซะที”
กานนยิ้มกับความคิดกุเทพ
“ไอ้กุเอ๊ย กี่ครั้งแล้ววะที่แกต้องซื้อของเอาใจอาหญิงเพราะทำเค้าโกรธน่ะ”
“ก็แค่กระเป๋าครั้งนึง ...รองเท้า ...เพชรอีกครั้งนึง แล้วก็นี่..นาฬิกา อืม...เยอะเหมือนกันแฮะ มิน่าตังค์ไม่ค่อยเหลือเลี้ยงหญิงเลย ฮ่ะๆ”
“ทำตัวให้มันอยู่กับร่องกับรอยให้คุณย่าเค้าสบายใจซะบ้าง แค่นี้แกก็ไม่ต้องเปลืองตังค์แล้ว”
“คร้าบๆๆ ง่ายอย่างนั้นก็ดีสิ ตกลงไปด้วยกันนะฮะ งานนี้มัสลินเดินแบบด้วย อาปลิวจะได้เจอมัสซะที”
“สงสัยดวงจะไม่สมพงษ์กับฉัน คลาดกันไปคลาดกันมา”
กานนพูดเรื่อยๆ ไม่ใส่ใจนัก
+ + + + + + + + + + + +
ส่วนที่บ้านม่านมุก มัสลินยกน้ำมาให้ตาย้งที่นั่งนอบน้อมอยู่กับม่านมุก
“ขอบคุณครับขอบคุณ คุณหนูไม่น่าต้องลำบากเลย”
ตาย้งบอกอย่างเกรงใจ มัสลินยิ้มรับ
“ไม่เป็นไรค่ะ เรียกหนูว่ามัสก็ได้”
“มัสนั่งเล่นไปก่อนนะลูก” มัสลินยิ้มรับ ลอบมองสีหน้าไม่สบายใจของม่านมุกก่อนเลี่ยงออกไป
“โทรมาบอกให้ฉันไปหาก็ได้ ไม่เห็นต้องมาถึงที่นี่เลย”
ม่านมุกบอกกับตาย้งหลังจากมัสลินคล้อยหลังไปแล้ว มัสลินเหลือบๆ มองม่านมุกกับตาย้ง ขณะที่ตัวเองนั่งเปิดหนังสืออ่านอยู่ที่มุมหนึ่งไม่ห่างออกมานัก ม่านมุกวางมือที่ตาย้งอย่างตกใจ
“โธ่...แล้วทำไมปล่อยให้มันลุกลาม ไม่รักษาเสียแต่เนิ่นๆ ตาย้งนะ เรื่องเจ็บป่วยแบบนี้ปิดกันทำไม เห็นฉันเป็นคนอื่นรึยังไง” ม่านมุกบอกน้ำตาคลอ
“ผมไม่อยากเห็นคุณมุกต้องเดือดร้อน คุณมุกลำบากเพราะผมมามาก ที่มานี่ก็อยากมากราบคุณมุกก่อนตาย”
ตาย้งยกมือประนมม่านมุกจับมือย้งลง น้ำตาริน
“อย่าทำอย่างนี้นะ ใครจะปล่อยให้แกตาย ย้ายมาอยู่ด้วยกันซะที่นี่ ฉันจะรักษาแกเอง”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ เท่านี้ผมก็รู้สึกผิดต่อคุณมุกมากมายเหลือเกิน ถ้าคุณมุกจะเมตตาผม ผมอยากจะรบกวนขออนุญาตคุณมุกสักเรื่อง”
“แกมีอะไร”
“ผมอยากพบเจ้าสัวทศ” ม่านมุกหน้าเสีย นิ่งไปเลย “ผมคงนอนตายตาไม่หลับ ถ้าผมไม่ได้อธิบายความจริงให้เจ้าสัวฟัง คุณมุกอนุญาตผมเถอะนะครับ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันสบายใจสบายกายดีตาย้งก็เห็น อย่าไปยุ่งกับพวกเค้าเลย”
“แต่คุณหนูจิรดามีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเจ้าสัวคือพ่อของเธอนะครับ”
มัสลินอ่านหนังสือเพลิน ไม่ได้สนใจม่านมุกกับตาย้ง แต่พอหันไปอีกทีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นม่านมุกซับน้ำตาร้องไห้
“ยาย...”
+ + + + + + + + + + + +
ตาย้งกลับไปแล้วมัสลินเลื่อนประตูปิดลง พอหันตัวกลับทางตัวบ้านก็เจอม่านมุกก้าวมาช้า ๆ สายตามองเลยไปนอกรั้ว
“ตาย้งไปแล้วค่ะ”
“มัสคงได้ยินหมดแล้วสินะ”
“มัสขอโทษค่ะ คราวหลังยายบอกให้มัสออกไปก่อนก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร สำหรับมัส ยายไม่รู้สึกว่ามันเป็นความลับ”
ม่านมุกตัดสินใจเล่าเรื่องราวของเธอกับเจ้าสัวทศให้มัสลินฟัง
“ยายเป็นเมียที่สองของเจ้าสัวก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในบ้านนัก…” สายตาของม่านมุกเหม่อมองออกไปไกลเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต “ตาย้งป่วยกระเสาะกระแสะจนต้องออกจากงานคนสวน แต่ยายก็
คอยส่งเงินให้ตาย้งอยู่เรื่อย ...คุณนายใหญ่ภรรยาคนแรกของเจ้าสัวรู้เรื่องเข้าก็ไปบอกเจ้าสัวว่ายายกับตาย้งคบชู้กัน”
ม่านมุกเล่าถึงอดีตด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ในวันที่ยายตั้งใจจะบอกเจ้าสัวว่ายายตั้งท้องแม่จิรดา เป็นวันที่ยายถูกคุณนายใหญ่ไล่ออกจากบ้าน ยายขอเจอหน้าเจ้าสัวก่อน แต่คุณนายใหญ่ก็ไม่ยอม อ้างอย่างเดียวว่าเจ้าสัวรังเกียจยาย ไม่อยากเจอหน้ายายแล้ว” มัสลินฟังม่านมุกอย่างเห็นใจ “ยายตั้งท้องและคลอดแม่ดาออกมาตามลำพัง”
“ทำไมยายไม่บอกแม่ล่ะคะว่าพ่อของแม่เป็นใคร”
“ยายไม่อยากดึงลูกมาเจ็บปวดไปด้วย ไม่รู้ว่าบอกแม่ดาไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น เกิดทางโน้นไม่ยอมรับแม่ดาขึ้นมา แม่ดาจะเจ็บปวดแค่ไหน ยายจึงตัดสินใจไม่บอกอะไรแม่ดา”
“ที่แม่ชอบเกรี้ยวกราดใส่ยายก็เพราะอย่างนี้นี่เอง”
“ทุกครั้งที่แม่ดาคาดคั้นว่าพ่อเค้าคือใครแล้วยายไม่บอก แม่ดาก็จะกรี้ด ทำลายข้าวของในบ้านที่เค้าว่ามันต่ำต้อย ถ้าเค้ามีพ่อสักคน ไม่ได้มีแค่แม่จนๆ อย่างยาย ชีวิตเค้าก็คงจะสบายทัดเทียมเพื่อน”
ม่านมุกซับน้ำตา มัสลินเข้ากอดยาย
“ยายขา.. ยายเคยสอนมัสไงว่าเรื่องทุกเรื่องล้วนแต่มีเหตุผลในตัวมันเอง วันหนึ่งแม่ก็จะเข้าใจเหตุผลของยายค่ะ”
ม่านมุกยิ้มจาง
“ถ้าแม่ดารับฟังยายอย่างที่มัสนั่งฟังตาแป๋วก็คงดี”
“หิมะคงตกน่ะค่ะ” มัสลินยิ้ม ม่านมุกยิ้มตอบ
มัสลินหงายนาฬิกาข้อมือดูเวลา “ยายลืมอะไรไปรึเปล่าคะ”
“หืม?”
วันนี้ม่านมุกมีนัดกับหมอที่โรงพยาบาล มัสลินจึงพาม่านมุกมาโรงพยาบาล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเดียวกับที่เจ้าสัวทศรักษาตัวอยู่...เจ้าสัวเดินใช้ไม้เท้าค้ำมาหยุดยืนคอยลิฟต์กับกานน
“ให้นั่งรถเข็นก็ไม่เอา คุณปู่นี่ดื้อจริงๆ เลย” กานนบ่น
“ก็ฉันยังเดินได้ แกไม่เห็นเรอะ”
ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกันสองตัว กานนประคองแขนเจ้าสัวเตรียมจะก้าวเข้าไป ประตูลิฟต์ถัดไปอีกตัวเปิดออกเช่นกัน มัสลินประคองม่านมุกออกมา
“ดีนะคะที่มาทันหมอ ลืมบ่อยๆ แบบนี้ไม่ดีนะคะยาย”
กานนกับเจ้าสัวก้าวเข้าในลิฟต์ของตัวเอง กานนเหลียวมองมัสลิน เจ้าสัวก้าวเข้าลิฟต์ไม่เห็นม่านมุก...ม่านมุกเกาะแขนมัสลินก้าวไปช้าๆ ไม่เห็นเจ้าสัว กานนชะเง้อมองมัสลิน จนประตูลิฟต์ปิดลง มัสลินประคองม่านมุกไปช้าๆ โดยไม่เห็นกานน
กานนพาเจ้าสัวมาที่ห้องตรวจ พยาบาลประคองเจ้าสัวเข้าห้องตรวจไป
“วันนี้คุณกานนจะเข้าไปด้วยหรือว่าจะคอยข้างนอกคะ” พยาบาลถามกานน
“คุณปู่อยากให้ผมเข้าไปด้วยมั้ยครับ” กานนหันไปถามเจ้าสัว
“จะไปไหนก็ไปเหอะ ฉันจะได้อยู่กับคุณพยาบาลนานๆ”
พยาบาลยิ้ม และประคองเจ้าสัวเข้าห้องตรวจไป กานนรอจนประตูห้องตรวจปิดก็เผ่นแผลวไปที่ลิฟต์ นึกถึงแต่หน้ามัสลินที่เจอเมื่อครู่
มัสลินถือถุงยาตรงมาหาม่านมุกหน้าตื่น
“เรียบร้อยแล้วเหรอลูก”
“รีบไปกันเถอะค่ะ น้าปิ่นโทรมาบอกว่าตาย้งอยู่โรงพยาบาล”
“หา? เมื่อเช้าก็ยังดีๆ อยู่เลย”
“ยายอย่าเพิ่งคิดมาก ตาย้งคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ไปกันเถอะนะคะ”
กานนออกจากลิฟต์ด้วยท่าทางรีบๆ เหลียวหามัสลินแต่ไม่เจอแล้ว กานนมีสีหน้าผิดหวัง แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้น เมื่อเห็นมัสลินกำลังประคองม่านมุกไปที่แท็กซี่คันหนึ่ง กานนรีบวิ่งไปที่ทางออก
++++++++++++++++++++++++
มัสลินเปิดประตูแท็กซี่ และหันมาประคองม่านมุก กานนมาถึงทางออก มองไปที่มัสลิน แต่ก็ทำอะไรไม่ถูก คนขับแท็กซี่ลดกระจกพูดกับมัสลิน
“ไปไม่ได้แล้วครับคุณ กลัวส่งรถไม่ทัน โทษทีครับ”
มัสลินยืนงง ปิดประตูคืนอย่างจำใจ
“อ้าว แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”
“ไม่เป็นไรลูกไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มาอีก”
กานนสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้าก้าวเข้าไปหามัสลิน
“เอ่อ ขอโทษนะครับ”
มัสลินหันมองกานนงงๆ เพียงแว่บหนึ่งก็จำได้
“คุณ?”
กานนยิ้มดีใจที่มัสลินจำตัวเองได้
“สวัสดีครับ” ม่านมุกจับจ้องสายตาที่กานน กานนรีบยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
“ค่ะ” ม่านมุกรับไหว้แล้วหันไปถามมัสลิน “เพื่อนหนูเหรอลูก”
“เอ่อ...ค่ะ”
มัสลินตอบไปแบบไม่อยากให้ม่านมุกวุ่นวายใจ
“ดูท่าแท็กซี่จะหายาก ให้ผมไปส่งมั้ยครับ” มัสลินขมวดคิ้วงงกานน “คือผมก็กำลังจะกลับพอดี รถผมจอดทางโน้น เชิญฮะ”
มัสลินลังเล ม่านมุกฟังกานนไม่ถนัดนักจึงถามย้ำกับมัสลินเบา ๆ
“เพื่อนมัสเค้าก็กำลังจะกลับเหมือนกันใช่มั้ย ดีเหมือนกัน เราจะได้ไปดูตาย้งไวๆ”
กานนประคองม่านมุก มัสลินยืนบื้อ กำลังจะก้าวเท้าตาม แท็กซี่ก็เข้ามาจอด
“เอ่อ แท็กซี่มาแล้วค่ะ” กานนหน้าเซ็งยืนส่งมัสลินที่กำลังพาม่านมุกขึ้นรถแท็กซี่ มัสลินหันหากานน “ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ ..ลาก่อนค่ะ”
“เอ้อเดี๋ยวครับ คุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ คือคุณปู่ผมก็หาหมอที่นี่ประจำเหมือนกัน”
“บังเอิญจังเลย คุณยายก็มาที่นี่แทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ค่ะ เราอาจจะได้พบกันอีก”
มัสลินขึ้นรถ กานนปิดประตูให้ แท็กซี่แล่นออกไป พลันกานนนึกขึ้นได้
“แล้วทำไมไม่ถามชื่อเค้าว้าไอ้ปลิว ฮื้อ...”
+ + + + + + + + + + + +
บัวบงกชมีสีหน้าไม่สบายเพราะเป็นห่วงมัสลิน เมื่อกลับมาบ้านบัวบงกชมองหน้าเตชอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจพูดเรื่องนี้
“ฉันมีเรื่องอยากให้คุณช่วย”
“ว่ามาเลย ผมทำให้คุณได้ทุกเรื่อง”
“อย่าให้มัสลินเป็นนางเอกหนังของพวกคุณ”
เตชหุบยิ้ม ปล่อยมือบัวบงกชทันที
“อย่าบอกนะว่าที่หน้าคุณเครียดๆ น่ะ เป็นเพราะเรื่องนังคนนี้”
“คุณไม่ควรจะจิกเรียกเค้า”
“บัว...ผมกำลังจะหมดความอดทน คุณเลิกป่วนประสาทผมได้มั้ย มันเรื่องอะไรที่คุณต้องเป็นเดือดเป็นร้อน ไม่ให้แม่มัสลินอะไรนั่นเล่นหนัง”
“ฉันไม่ไว้ใจเสี่ยศักดา เบื้องหลังของหุ้นส่วนคุณคนนี้มีแต่เรื่องชั่วรึคุณจะเถียง”
“บัว!”
“คนที่ทำได้ขนาดมอมยาผู้หญิงให้เพื่อนข่มขืน เรื่องเลวๆ อื่นๆ มันก็ต้องทำได้”
เตชตาลุกโพลง เหลือบมองขึ้นข้างบน
“ลูกอาจจะได้ยินนะบัว”
“ฉันเองก็ไม่เคยคิดอย่างจะพูดเรื่องเลวร้ายที่คุณกับนายศักดาทำกับฉัน แต่ฉันจำเป็น เพราะฉันห่วงเด็กคนนี้ และก็เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องห่วงเค้าเช่นกัน!”
บัวบงกชหลุดพูดออกมาเพราะเหลืออด เตชฟังอย่างสับสน
“คุณพูดอะไรของคุณ”
บัวบงกชอึกอัก รู้ตัวว่าพลั้งปาก
“ทำตามที่ฉันบอก อย่าให้มัสลินเล่นหนัง”
บัวบงกชก้าวฉับหนีไป เตชมองตามไป ทั้งเครียดและสับสน เมื่ออัดอั้นหนักก็แผดเสียงลั่น
“โว้ย!”
+ + + + + + + + + + + +
คืนเดียวกันนั้นที่ร้านเสื้อของเกวลิน หลังจากที่เกวลินปิดร้านขณะที่เธอกำลังสั่งงานลูกน้เองก่อนกลับบ้าน จู่ๆ พินสุดาก็เปิดประตูก้าวเข้ามา
“ร้านปิดแล้วค่ะ”
ลูกน้องเกวลินบอก เกวลินหันไปยิ้มให้
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ” เกวลินชะงักเมื่อเหก็นหน้าคนที่ก้าวเข้ามา “...กิ๊บ...”
“น่าปลื้มใจจริงๆ ไม่เจอกันตั้งนาน จำกิ๊บได้ด้วย แต่ทำไมไม่ยักกะดีใจเลยล่ะ”
เกวลินพยักหน้าให้ลูกน้องกลับได้ ลูกน้องค้อมตัวผ่านพินสุดาออกไป
“ถ้ากิ๊บมาดูเสื้อผ้า มาพรุ่งนี้เถอะ พี่ต้องไปธุระต่อ”
“อย่ามาตีหน้าเซ่อทำไมรู้เรื่องเลย พี่เก๋รู้ใช่มั้ยว่ากิ๊บมาเรื่องนังมัสลิน”
“กิ๊บ กุ มัสจะมีปัญหากันก็มีไป เกี่ยวอะไรกับพี่”
“เกี่ยวสิ เพราะพี่เก๋ทำตัวเป็นเจ๊ดัน ที่อีมัสมันดังเปรี้ยงขึ้นปกหนังสือทุกเล่ม อย่าบอกนะว่าพี่เก๋ไม่เกี่ยว”
“เธอพาลแล้วละกิ๊บ พี่มีธุระต่อ ขอตัวนะ” พินสุดากระชากแขนเกวลินอย่างแรง “ว้าย!”
“ฉันขอเตือนเธอนะ อยู่ห่างๆ อีมัสลิน ห้ามให้งานมันอีก ฉันต้องการให้ชีวิตมันชิบหายเหมือนอย่างที่มันทำร้ายฉัน”
“ทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งเธอด้วย”
“ก็ไม่ทำไมหรอก ฉันก็แค่จะบอกแฟนตัวจริงของศิธามาแหกอกเหี่ยวๆ ของเธอน่ะสิ”
“พูดเรื่องอะไรของเธอ ศิธามีฉันคนเดียว”
“ฮะๆๆๆ โฮ้ย อยากจะหัวเราะให้ฟันหลุดเว้ย ทั้งแก่ทั้งโง่ แถมขโมยของเค้ากินอีก”
“มากไปแล้วนะกิ๊บ”
“โอเคๆ ฉันจะปิดปากเงียบสงเคราะห์เธอก็ละกัน ก็แค่เลิกให้งานอีมัสลิน เธอก็จะไม่เดือดร้อน ...เข้าใจมั้ย!”
พินสุดาตะโกนใส่หน้าเกวลินแล้วหัวเราะร่าออกไป เกวลินปากคอสั่นด้วยความโกรธ
ศิธาเป็นคู่ขากับพีระพล น้องชายของพินสุดา...ศิธาตกใจมากเมื่อพินสุดากลับมาบ้านแล้วรู้ว่าเธอพึ่งกลับจากร้านเกวลิน
“พี่กิ๊บทำแบบนี้ทำไม พี่กิ๊บก็รู้ว่าผมแค่หาตังค์มาทำงาน ผมไม่ได้จริงจังกับพี่เก๋”
ศิธาต่อว่าพินสุดา หลังจากรู้ว่าเธอไปทำอะไรมา
“แล้วน้องฉันมันจะรู้มั้ย”
“อย่านะครับพี่กิ๊บ ถ้าโก้รู้เค้าเอาผมตายแน่”
“งั้นเธอก็ต้องช่วยฉัน ทำทุกอย่างให้อีมัสลินมันตายไปจากกุเทพ”
“จะให้มันตายจริงๆ มั้ยล่ะ ผมบอกลูกน้องป๊าให้ กริ๊งเดียวจบ”
“ไม่แน่นะ ถ้าฉันบ้ามาก ๆ ฉันอาจจะใช้วิธีนั้นก็ได้”
“ถามจริงเหอะ พี่กิ๊บจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ยิ่งพี่กิ๊บราวีนายกุเทพก็ยิ่งหนี”
“เพื่อความสะใจไง เธอไม่เคยได้ยินเหรอ..ฉันไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้ ให้มันฉิบหายกันให้หมด สะใจดี”
“ไม่จริงหรอก พี่กิ๊บน่ะรักนายกุเทพ”
พินสุดาหลุกหลิก เสียฟอร์ม
“ไม่มีทาง ผู้ชายเลว ๆ ฉันไม่ได้รักมัน บอกแล้วไงว่าฉันทำเพราะความสะใจ”
ศิธาหัวเราะ
“ฟังแค่นี้ก็รู้แล้ว พี่กิ๊บน่ะ รักนายกุเทพ”
“ไม่จริง ฉันแค่อยากแก้แค้น นี่ขืนเธอหัวเราะฉันอีกฉันจะแฉเรื่องเธอให้น้องฉันรู้ให้หมดเลยนะ”
พีระพล เดินเข้ามาพร้อมถุงขนมมากมาย
“แฉอะไรกันครับ”
“ก็!”
“พี่กิ๊บครับ!” ศิธารีบแทรก พินสุดาเหยียดยิ้ม
“ทำตามที่รับปากด้วย”
พินสุดาหยิบขนมจากถุงเดินกินออกไป ตาเหล่มองศิธาแบบคาดโทษ
“อะไรกันเหรอศิธา” พีระพลหันมาถามศิธา
“เปล๊า ไม่มีอะไรนี่ โหของชอบผมทั้งนั้นเลย ไม่รักได้ไงเนี่ย”
ศิธาจุ๊บแก้มพีระพลซึ่งยังมองตามพินสุดาไปอย่างงง ๆ
คืนเดียวกันนั้นเตชออกมาเที่ยวคลับกับศักดา ศักดาบ่นเรื่องบัวบงกชกับเตช
“บัวบงกชก็เกินไป แต่งงานเป็นผัวเมียจนมีลูกด้วยกันยังไม่ลืมเรื่องเก่าๆ อีก”
“ถ้าย้อนเวลาได้ผมจะไม่ให้เรื่องบ้าๆ นั่นมันเกิดขึ้นเลย”
“อ่าว แล้วคุณจะได้บัวบงกชมาเป็นเมียได้ไง ถ้าไม่ใช่เพราะคืนนั้น จะว่าไปคุณก็ไม่เคยขอบคุณผมเลยสักคำนา”
ศักดาพูดอย่างคะนองปากเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตซึ่งเขาเป็นคนวางยาบัวบงกชให้เตชทั้งที่บัวบงกชมีคนรักอยู่แล้วคือภาษิต...เตชหลับตาแบบอยากจะลืมเรื่องราวในอดีต ยกแก้วเหล้าดื่มเครียดๆ
“มันจะอะไรกันนักกันหนา สุดท้ายก็ได้คุณเป็นผัวอยู่ดี เสียตัวตอนไหนมันก็เหมือนๆ กัน”
“เฮ้ยคุณให้เกียรติเมียผมหน่อยนะ”
“อย่าเครียดซี ถึงผมจะปากเสียแต่ผมก็เจตนาดีกับคุณนา ฮ่ะๆๆ”
จิรดาถือแก้วผ่านไป ศักดาตีก้นจิรดา จิรดาหันมาจะเล่นงาน
“เล่นบ้า ๆ ดาเกือบเอาแก้วตีหัวแล้วนะเสี่ย” จิรดาต่อว่าเมื่อหันมาเห็นว่าใครเป็นคนตีก้นเธอ
“ฮ่ะๆๆ เล่นดี ๆจะใช่เสี่ยศักดาเหรอ”
จิรดาเหลือบเห็นเตช
“ไม่ยักรู้ว่าเสี่ยเป็นเพื่อนกับคุณเตช เตชะนนท์”
“อ้าวรู้จักเค้าเหมือนกันเหรอ งั้นมาๆ นั่งด้วยกันสิ... นี่จิรดา ลูกค้าหญ่ายยที่สโมสรผม”
ศักดาแนะนำเตชผงกหัวรับผ่านๆ ไม่สนใจจิรดา จิรดามองเตชเหมือนเหยื่อ ตรงไปนั่งข้างเตชหน้าตาเฉย
“บัวเป็นไงบ้างอ่ะคะ”
เตชหันสบตาจิรดา
“คุณเป็นเพื่อนบัวเหรอ”
“สนิทกันดีเชียวละค่ะ ดาเนี่ยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจบัวเค้าที่สุดเลยนะคะ”
“ผิดกับผม เป็นผัวเค้าแท้ๆ กลับไม่เคยรู้เรื่องอะไรของเค้าเลย”
จิรดายิ้มมุมปากที่เตชตกหลุมเข้าเต็ม ๆ
“อยากรู้เรื่องอะไรของบัวเค้าละคะ ถามดาสิ ...ชนค่ะ”
เตชชนตอบ ดื่มจนหมดแก้ว และหันยื่นแก้วให้สาวเสิร์ฟ จิรดาจ้องเตชเหมือนเสือจ้องเหยื่อ
“ฉันจะให้เธอรู้รสของการโดนแย่งสามี ...บัวบงกช”
วันต่อมามัสลินมาที่ร้านเสือเกวลินเพื่อลองเสื้อสำหรับเดินแฟชั่นนาฬิกา ขณะที่กำลังลองชุดอยู่นั้นเกวลินเดินเข้ามากอดอกดูมัสลินเงียบๆ สีหน้าเกวลินดูเครียด ๆ มัสลินหันเจอเกวลิน
“อ้าวพี่เก๋สวัสดีค่ะ”
เกวลินยิ้มน้อยๆ ให้มัสลิน
“พอดีเลยนี่”
“มัสขอบคุณพี่เก๋มากเลยนะคะ ฟังพี่เค้าพูดถึงงานมัสละชักฝ่อ มีแต่คนดังๆ ทั้งนั้นใช่มั้ยคะ”
“เจ๊ดันตัวจริง”
เกวลินยิ้มฝืนๆ ในใจนึกแต่คำพูดของพินสุดา เกวลินหยิบชุดใหม่ส่งให้ลูกน้องเหม่อๆ มัสลินสังเกตเห็นท่าทีเครียดๆ ของเกวลินจึงถามขึ้นมา
“พี่เก๋ไม่สบายรึเปล่าคะ”
เกวลินสะดุ้ง ยิ้มเซียวๆ ให้มัสลิน
“อ้อเปล่าจ้ะ พี่ไม่ได้เป็นอะไร มัสลองเสื้อไปกับโอ๋ก่อนนะ พี่มีธุระ”
“แต่...”
เกวลินเดินออกไปทันที มัสลินเรียกไว้
“พี่เก๋คะ”
เกวลินเดินออกไปแล้ว มัสลินมองตามอย่างเป็นห่วงเพราะไม่รู้ว่าเกวลินเป็นอะไร
+ + + + + + + + + + + +
กานนพาเจ้าสัวทศมาตรวจที่โรงพยาบาล ขณะที่เจ้าสัวทศเข้าห้องตรวจ กานนออกมาเดินเกร่ที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาลแล้วมองหามัสลินแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะไม่เจอมัสลิน จนกระทั่งพยาบาลออกมาตามบอกว่าเจ้าสัวตรวจเสร็จแล้ว กานนจึงตามพยาบาลเข้าลิฟต์ไปอย่างจำใจ
อีกด้านหนึ่งม่านมุกมาเยี่ยมตาย้งที่โรงพยาบาล ตาย้งยกมือไหว้ม่านมุก
“ให้อภัยผมเถอะนะครับคุณมุก ผมไม่อยากตายไปพร้อมกับความผิด” ม่านมุกซับน้ำตา ฟังตาย้งอย่างเจ็บปวด “ผมแค่อยากจะไปบอกความจริงให้เจ้าสัวท่านรู้ว่าคนที่รักและภักดีกับท่านคือคุณมุก”
“ลืมมันซะทีนะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดซึ่งฉันเองก็ไม่เคยโทษใครเลย ไม่ว่าจะเป็นคุณนายใหญ่ หรือว่าเจ้าสัว ตาย้งเลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว รักษาตัวให้ดีซะเถอะนะ เรื่องค่าใช้จ่าย ฉันดูแลให้หมดแล้ว”
ตาย้งยกมือไหว้ม่านมุกอีกครั้งทั้งน้ำตา
“บุญคุณของคุณมุกไอ้ย้งจะไม่มีวันลืมเลย”
“เรามันเหมือนญาติกันไปซะแล้วตาย้งเอ๊ย”
“ขอให้ผมได้เห็นคุณมุกมีความสุขจริงๆ กับเค้าซะทีก่อนผมตายนะครับ”
ม่านมุกร้องไห้...
ม่านมุกออกจากห้องตาย้งมาเข้าห้องน้ำ ...ม่านมุกเดินออกจากห้องน้ำมาช้าๆ สักพักเกิดเซจะเสียหลักล้ม พลันกานนเข้ามาประคองม่านมุกไว้
“คุณยายครับ”
กานนพาม่านมุกไปนั่งแล้วเดินไปเอาน้ำมาให้ดื่ม
“ขอบคุณนะคะ บังเอิญจริงๆ เลย”
“คุณปู่ผมก็ตรวจอยู่ที่นี่ประจำน่ะฮะ”
ม่านมุกฟังอย่างสนใจ
“อ้อ ปู่คุณคงจะเป็นคุณหมอสินะคะ ชื่ออะไรเหรอคะ เผื่อบังเอิญจะเป็นคุณหมอที่ตรวจดิฉัน”
กานนยิ้มในคำพูดของม่านมุก
“ไม่ใช่หรอกครับ คุณปู่ผมท่านเป็นคนไข้”
ม่านมุกหัวเราะเบา
“เป็นอย่างนั้นไป คุยกับคนแก่ก็อย่างนี้ละนะคะ สมองไม่ดี คิดไปคนละเรื่องเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกฮะ ผมต่างหากที่ใช้คำพูดผิดไป อืม..แล้วทำไมวันนี้คุณยายมาคนเดียวล่ะครับ”
“ปรกติก็จะมีคนมาด้วย แต่แม่ปิ่นขอไปธุระน่ะค่ะ”
กานนฟังอย่างตั้งใจ จนเผลอออกเสียงตาม
“...ปิ่น...”
“ดิฉันก็เลยมาคนเดียว”
กานนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเองก็เห็นมัสลินเดินดุ่มตรงมา
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ”
มัสลินมองม่านมุกกับกานนสลับกัน
“มายังไง แล้วไม่ไปทำงานเหรอเราน่ะ”
ม่านมุกถามหลานสาวอย่างแปลกใจ
“เอาเรื่องยายก่อนเถอะค่ะ ไปเร็ว คุณหมอรออยู่นะคะ”
+++++++++++++++++++++++++++++++++
มัสลินพาม่านมุกไปที่ห้องตราวจ พยาบาลพาม่านมุกเข้าห้องตราวจมัสลินจึงหันมาขอบคุณกานน
“ขอโทษที่เข้าใจคุณผิดนะคะ คุณช่วยยายฉันไว้แท้ๆ แต่ฉันกลับคิดว่าคุณชวนยายฉันคุยโอ้เอ้จนลืมนัดหมอ” มัสลินดูนาฬิกาแล้วรีบลากานน “ฉันต้องไปแล้วละ”
“อ้าวแล้วคุณยายล่ะครับ”
“ฉันจะกลับมารับอีกทีค่ะ ไปนะคะ” มัสลินแยกไป แต่แล้วเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้จึงหันกลับไปหากานน “คุณทานข้าวเที่ยงรึยังคะ”
กานนงง ตั้งตัวไม่ติดที่จู่ๆ มัสลินชวนทานข้าว
มัสลินพากานนมาที่โรงทานซึ่งมีเต๊นม์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในเต๊นท์เป็นโต๊ะตักอาหารที่มีอาสาสมัครตักให้กับผู้ยากไร้ซึ่งเข้าคิวกันรับอาหารเป็นแถวยาว ใกล้ๆ กับเต๊นท์เป็นโต๊ะเก้าอี้เรียงรายสำหรับนั่งทานอาหาร บรรยากาศดูอบอุ่น เป็นกันเอง มัสลินกำลังเอี้ยวตัวผูกผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกผม ดูทะมัดทะแมง มีกานนอยู่ด้วย
“ขอฉันทำงานแป๊บเดียว อีกเดี๋ยวก็ได้ทานค่ะ คุณรอไหวมั้ย”
“ครับ”
กานนพยักหน้า มองบรรยากาศรอบอย่างสนใจ
มัสลินทำงานร่วมกับอาสาสมัคร ตักอาหารส่งให้คนเข้าคิว สีหน้าเต็มไปด้วยความสุข สักพักมีใครคนหนึ่ง มาช่วยมัสลินใกล้ๆ มัสลินเงยหน้าขึ้นมองแล้วหัวเราะขำเมื่อเห็นกานนโพกผ้าที่ศีรษะ ผูกผ้ากันเปื้อน พยายามช่วยมัสลินเต็มที่ แต่เผลอมองหน้ามัสลินนานไปหน่อยเลยตักแกงรดมือตัวเอง มัสลินหัวเราะขำกานน กานนยิ้มอาย ๆ สองคนเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น ๆ
เวลาผ่านไป...มัสลินกับกานนนั่งทานข้าวราดแกงอยู่ด้วยกันบนพื้นหญ้าริมแม่น้ำ เบื้องหลังเป็นโรงทานที่คนเริ่มซา อาสาสมัครจับกลุ่มกันทานอาหาร บ้างก็เริ่มเก็บข้าวของ
“พ่อกับเพื่อนๆ ก่อตั้งโรงทานนี้มาตั้งแต่ฉันยังเด็ก ๆ ตอนที่ยังเรียนอยู่เมืองไทย ฉันมาช่วยพ่อประจำ แล้วก็อาศัยข้าวที่นี่แหละกิน”
“แล้ววันนี้คุณพ่อคุณมาด้วยรึเปล่า”
กานนถามพร้อมกับกวาดตามองหา มัสลินเหลียวไปที่โรงทานยิ้ม ๆ
“มาค่ะ ...พ่ออยู่ใกล้ ๆฉันเสมอ” กานนหันมองตาม แล้วทำหน้างง “พ่อฉันเสียแล้วละค่ะ”
กานนเจื่อนไป
“เสียใจด้วยนะครับ”
มัสลินยิ้มมองเหม่อที่ท้องฟ้า
“ขอบคุณค่ะ ทานสิคะ”
มัสลินตักอาหารเข้าปาก กานนตักบ้าง
“คุณปิ่นก็ทานเยอะๆ นะครับ”
“คุณเรียกฉันว่าไงนะคะ”
“ปิ่น”
มัสลินสำลักอาหารพรวด ขำกานน กานนรีบส่งน้ำให้
“ผมพูดอะไรผิดเหรอครับคุณปิ่น”
“เปล่าค่ะเปล่าๆ คุณเอาชื่อนี้มาจากยายฉันใช่มั้ย”
มัสลินกลั้นหัวเราะ กานนทำหน้างงๆ
“ครับ”
“โอเคปิ่นก็ปิ่น แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร”
“เรียกผมว่าปลิวก็ละกัน”
“ปลิว?... ชื่อไทยดีจัง”
“ชื่อคุณก็ไทย แถมป.ปลาเหมือนกันอีกด้วย” มัสลินกลั้นขำอีก กานนมองอย่างจับผิด “คุณขำอะไรกันแน่”
มัสลินส่ายหัวดิก ชี้ชวนกานนดูโน่นนี่ที่แม่น้ำ สองคนหัวเราะสดใส ดูถูกคอกันมาก ๆ
(อ่านต่อหน้าที่ 2)
ตอนที่ 2 (ต่อ)
ทางด้านเกวลินหลังออกจากร้านเสื้อเธอตัดสินใจนั่งแท็กซี่มาซุ่มดูศิธาที่หน้าบ้านจนกระทั่งเห็นรถศิธาขับออกมาเธอจึงให้แท็กซี่ขับตาม...ระหว่างนั้นเกวลินก็โทรหาศิธาไปด้วยเพื่อถามว่าเขาอยู่ไหนแต่ศิธากลับโกหกว่าอยู่บ้านพร้อมกับกดสายเกวลินทิ้งทันที
เกวลินลดโทรศัพท์มือถือในมือลงด้วยสีหน้าเหม่อลอย แท็กซี่ส่งเสียงคุยกับเกวลิน
“อ้าวเลี้ยวไปโน่นแล้ว เว้ยไอ้คันนี้ดันมาแทรกอีก จะทันมั้ยเนี้ย”
“ไม่ต้องตามแล้ว ...จอดข้างหน้านี่แหละ”
เกวลินพูดกับแท็กซี่ แต่ภายในใจนั้นสับสนสงสัยว่าทำไมศิธาต้องโกหกเธอด้วย
วันเดียวกันนั้นมัสลินต้องมาซ้อมเดินแบบร่วมกับนางแบบคนอื่นๆ...มัสลินซ้อมเดินแบบอย่างตั้งใจ ทำตามคนคุมซ้อมและเดินร่วมกับนางแบบอื่นซึ่งดูมืออาชีพมากๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา...พินสุดายืนมองมัสลินอยู่มุมหนึ่ง เอ ทีมงานคุมซ้อมท่าทางชอบเมาท์คนหนึ่งตรงไปทักพินสุดา
“สวัสดีค่ะคุณกิ๊บ สวยเหมือนเดิมน้าค้า”
“เบาหน่อยสิ ทำงานกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“คุณกิ๊บมารอใครเหรอคะ เอ๊ะหรือว่างานนี้คุณกิ๊บเดินกิตติมศักดิ์ด้วย” เอดูโพยในมือ “ทำไมพี่ไม่เห็นชื่อ”
“ไม่ต้องหาหรอกค่ะ กิ๊บมาทำธุระแถวนี้แล้วผ่านมาเห็นก็เลยแวะดู”
“เอ๊าะอ๋อ...เข้าใจละ งั้นตามสบายนะคะ พี่ขอตัวทำงานก่อน”
พินสุดาจ้องมัสลินอย่างครุ่นคิด แล้วเรียกเอไว้
“เดี๋ยวก่อน”
“จ๋าจ้ะ”
เกวลินเดินเข้ามาอย่างเงื่องหงอย เห็นพินสุดากำลังคุยกับเอดูมีลับลมคมใน ...เอมองแบงค์พันหลายใบในมืออย่างพอใจขณะแยกจากพินสุดาไป พินสุดาหมุนตัวมาเจอเกวลินยืนขวางอยู่
“มาทำอะไรที่นี่”
พินสุดาสวนกลับอย่างไม่มีท่าทีว่าตกใจ
“กำลังอยากเจอตัวอยู่พอดีเลย ...นังมัสลินทำงานดีนี่” เกวลินขมวดคิ้วมุ่น ตั้งรับพินสุดา “พี่เก๋ความจำเสื่อมหรือว่าอยากท้าทายกิ๊บ กิ๊บ บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าพี่ให้งานนังนั่นอีกก็เท่ากับว่าพี่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับกิ๊บ”
“ฉันไม่เคยเอาเรื่องไร้สาระจากปากเธอมาใส่สมอง แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องกลัวคำขู่ของเธอด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องพี่เก๋กับนายศิธา”
“ฉันไม่แคร์” พินสุดาตาลุกวาว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เกวลินจู่จะมาไม้แข็ง “ฉันกับศิธาอาจจะเลิกกันก่อนที่เธอจะแฉเค้ากับฉันก็ได้”
เกวลินจ้องตาพินสุดาอย่างไม่ยี่หระก่อนเดินไปทำงาน พินสุดามองตามไปอย่างเคียดแค้น
“แล้วฉันจะให้แกเดือดร้อนสมใจเลยอีแก่!”
+ + + + + + + + + +
ส่วนจิรดาหลังจากหายไปทั้งคืน เธอกลับมาพร้อมกับเตช...จิรดาลงจากรถเตชแล้วค้อมตัวลงคุยกับเตชขณะเปิดประตูค้างไว้
“เหมือนกลับมาเป็นสาว ๆ แล้วมีชายหนุ่มมาส่งถึงบ้านยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ”
เตชหน้าเครียด เพราะเผลอตัวไปค้างคืนและมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับจิรดาโดยไม่ตั้งใจ
“คุณรีบเข้าบ้านไปเถอะ ใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
จิรดาเอามือป้องปากหัวเราะอย่างมีจริต
“หมายถึงเมียคุณน่ะเหรอคะ ฮะ ๆๆ”
จิรดาปิดประตูอย่างสะใจ เตชออกรถไป
“นังนั่นละที่ฉันอยากให้เห็นที่สุด”
จิรดามองตามอย่างหมั่นไส้ก่อนเข้าบ้านไป คล้อยหลังจิรดา รถแท็กซี่เข้ามาจอด มัสลินก้าวลงมา หันมองตามท้ายรถเตช แล้วมองเข้าในบ้านโกรธ ๆ
มัสลินรีบตามแม่เข้าบ้าน จิรดาหันหามัสลินที่ยืนขวางบันได สีหน้าคาดคั้นเอาเรื่อง
“แกคิดว่าตัวเองเป็นใครหืมนังมัส ฉันจะไปไหนกับใครมันก็เรื่องของฉัน แกไม่ใช่แม่ฉันนะ...หลีกไป!”
จิรดาแผดเสียงลั่นแล้วปัดร่างมัสลินอย่างแรง แต่มัสลินเข้าขวางไว้อีก
“แต่พ่อเพิ่งจากไปไม่นานนะคะ”
“เรอะ? ฮ่าๆๆ ฉันจะบอกแกให้เอาบุญนะว่าที่ฉันทำเนี่ยก็เพื่อให้แกได้เจอคนบางคนที่แกสมควรจะได้เจอ นังโง่”
จิรดาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากมัสลินแรงๆ
“ใครคะ”
“ใครงั้นเหรอ หึ ๆ”
“แกอยากรู้จริงๆใช่มั้ย คนๆนั้นก็คือ”
จิรดาพลันเงียบเสียงลง ค่อย ๆเหลียวมองที่รูปภาษิต แล้วหน้าซีดเมื่อเห็นรูปภาษิตมองนิ่ง ประสานสายตากับจิรดา มัสลินรอฟัง มองจิรดาอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมแม่ไม่บอกมัสล่ะคะ แม่หมายถึงใคร” จิรดาหลับตา สะบัดหน้าหนีรูปภาษิต วิ่งขึ้นข้างบนไป
“แม่!”
มัสลินส่งเสียงตามจิรดาไป และสุดท้ายหันมองรูปภาษิตอย่างไม่เข้าใจ
+ + + + + + + + + + + +
ที่บ้านของเตช
ขณะนั้นบัวบงกชเดินวนไปวนมาในมือมีหนังสือพิมพ์รายวัน สายตามองออกไปนอกตัวบ้านเพราะรู้ว่าเตชกลับมาแล้ว เตชเข้ามาเห็นบัวบงกชก็ทำหน้าไม่ถูก
“อ้าว...คุณ”
“คุณไปไหนมาคะ”
เตชประหลาดใจเล็กน้อยที่จู่ๆ บัวบงกชก็สนใจใยดีตนขึ้นมา อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เมื่อคืนหนักไปหน่อยก็เลยหาที่นอน ไม่อยากขับรถกลัวว่าจะ...”
เตชพูดยังไม่ทันจบ บัวบงกชยื่นหนังสือพิมพ์ให้ดู
“ทำไมยังมีข่าวเรื่องมัสลินจะเล่นหนังของคุณกับเสี่ยศักดาล่ะคะ”
“อ้อ...เรื่องนี้เองที่ทำให้คุณยืนดักรอเจอผม”
“ตอบฉันมาสิคะ เมื่อวานเราพูดกันรู้เรื่องแล้วนี่ ฉันขอร้องคุณว่าอย่ายุ่งกับมัสลิน”
เตชโยนหนังสือลงโต๊ะใกล้ ๆ
“พอทีเถอะบัว ผมเหนื่อย”
เตชเดินหนี บัวบงกชดึงแขนเตชไว้
“เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องนะคะ”
เตชสะบัดแขน แล้วพูดเสียงดังใส่บัวบงกช
“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นบ้าอะไรของคุณ ผมเป็นผัวคุณแท้ ๆ คุณไม่เคยสนใจเลยว่าผมจะหายหัวไปไหน” บัวบงกชเจื่อนไป “แล้วยัยนางแบบอะไรนี่มันสำคัญอะไรกับคุณนักหนา” เตชคว้าหนังสือพิมพ์มาเหวี่ยงไปไกล ก่อนจะบีบไหล่บัวบงกชแรง “คุณกำลังทำให้ผมเป็นบ้ารู้มั้ยบัว ผมกำลังจะบ้า”
เตชปล่อยบัวบงกช แล้วก้าวฉับๆ ออกจากบ้านไปอีกครั้ง บัวบงกชทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา
หนังสือพิมพ์ถูกเก็บขึ้น ...มธุรินเก็บหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ สายตามองที่บัวบงกชอย่างเป็นกังวล ก่อนจะเหลือบลงมองข่าวในหนังสือพิมพ์ พลันบัวบงกชปราดเข้ามาเสียงดังใส่มธุริน
“เอามานี่นะ!”
“คะคุณแม่?” มธุรินมองแม่งงๆ
“แม่บอกว่าให้เอาหนังสือพิมพ์มานี่”
บัวบงกชดึงหนังสือพิมพ์ ไปจากมือมธุริน มธุรินทั้งตกใจและเสียใจ
“คุณแม่...”
“เอ่อ...แม่ต้องรีบใช้น่ะ ขอโทษนะ” บัวบงกชฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “ไปทานของว่างกับแม่นะ แม่ให้เด็กตั้งโต๊ะไว้ที่ริมสระน้ำแน่ะ”
บัวบงกชกอดมธุริน มธุรินเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ
“คุณแม่กับคุณพ่อทะเลาะกันอีกแล้วเหรอคะ”
บัวบงกชนิ่งงัน...
วันต่อมาเตชโทรไปชวนจิรดาออกมากินข้าวด้วยกัน มัสลินเห็นแม่คุยโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดีก่อนจะออกจากบ้านจึงแอ บตามไป...เตชนัดเจอกับจิรดาที่ร้านอาหารแต่เธอกลับมาหาเขาที่ออฟฟิศ
จิรดาเกาะแขนคุยจุ๊กจิ๊กมากับเตช เตชแกะมือจิรดาออก
“อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนัก ยังไงออฟฟิศเมียฉันก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน”
“อ้าว แต่คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเค้าไม่อยู่”
“จะอยู่รึไม่อยู่เธอก็ไม่ควรทำตัวรุ่มร่าม แล้วทีหลังอย่ามาที่นี่อีก ฉันให้เธอไปเจอที่ร้านอาหาร ไม่ใช่ให้มาที่นี่”
“ฮะๆๆ ขอโทษจริง ๆน่ะค่ะ มือถือดาคงสัญญาณไม่ดี ฟังคำว่าร้านอาหารเป็นที่ทำงาน ฮะ ๆๆ”
เตชเหลือบตาใส่จิรดาหน่าย ๆ พลางมองหารถตัวเอง
“แล้วทำไมมันยังไม่เอารถมาอีกล่ะ คนยิ่งอยากจะรีบๆ ไปอยู่”เตชบ่น
“มาโน่นแล้วมังคะ” เตชหันมองตามที่จิรดาพูด แล้วหน้าเสีย รถสปอร์ตขับเข้ามาเบรกแรงๆ ตรงหน้าจิรดา “ว้าย!”
มธุรินเปิดประตูลงมา ด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“เธอเป็นใคร!”
เตชแกะมือจิรดาออก แต่จิรดาเกาะหนึบ แสร้งทำหน้าหวาด
“หนูเดียร์ใช่มั้ยจ๊ะ น่ารักสมกับที่คุณพ่อคุยให้ฟังเลย”
จิรดายื่นมือจะแตะแก้มมธุริน มธุรินปัดมือจิรดา แล้วชี้หน้าด่า
“ออกไปเลยนะ หน้าด้านที่สุด”
มัสลินที่ตามแอบตามแม่มาตะลึงงัน ได้ยินมธุรินด่าจิรดาเต็มสองหู
“ผู้ชายคนนี้มากกว่ามั้งที่หน้าด้าน!” มัสลินเข้าดึงจิรดาจากเตช จ้องหน้าเตชเขม็ง “อย่ายุ่งกับแม่ฉัน!”
มธุรินประจันหน้ากับมัสลิน
“แม่เธอต่างหากที่มาหาพ่อฉันถึงที่” มธุรินตบหน้ามัสลินฉาด “สำหรับคำพูดหยาบคายที่เธอด่าพ่อฉัน”
มัสลินตบหน้ามธุรินคืน
“เธอเองก็ด่าแม่ฉันเหมือนกัน”
เตชเลือดขึ้นหน้า คว้าตัวมัสลินมาตบฉาด
“เฮ้ย แกคิดว่าแกเป็นใคร มาทำลูกสาวฉันอย่างนี้!”
บัวบงกชออกมาเห็นตะลึงงัน ปราดเข้าดึงมัสลินออกจากเตช
“หยุดนะคะคุณเตช! ถ้าขืนคุณแตะต้องตัวมัสลินอีกคุณกับฉันมี ปัญหากันแน่!”
“มัสลิน”
เตชและมธุรินเอ่ยชื่อมัสลินออกมาพร้อมกัน
+++++++++++++++++++++++++++
บัวบงกชพาจิรดากับมัสลินมาส่งบ้าน จิรดาจึงเปิดฉากแหวใส่บัวบงกชทันที
“คิดว่าทำอย่างนี้แล้วฉันจะซาบซึ้งในบุญคุณงั้นสิ กลับไปได้แล้ว ที่นี่ไม่ต้อนรับผู้หญิงอย่างเธอ”
“ฉันแค่อยากจะเตือน ...เลิกทำร้ายจิตใจมัสลินได้แล้ว คุณไม่ควรให้ลูกเห็นคุณอยู่กับผู้ชายอื่นแบบนั้น”
“นั่นยังไงล่ะ ในที่สุดก็ยอมรับว่าที่ดัดจริตทำทีเป็นอยู่ข้างฉันกับนังมัสก็เพราะหวงผัว”
“คุณเข้าใจผิดแล้วนะ”
“ไง?...รสชาติของการถูกแย่งของรักน่ะมันเป็นยังไง รู้แล้วใช่มั้ย” บัวบงกชทนฟังจิรดานิ่ง “สิ่งที่ฉันทำถือว่ายังน้อยไป ถ้าเทียบกับความหน้าด้านของเธอที่เข้ามาแทรกระหว่างฉันกับภาษิตตลอดชีวิตการแต่งงานของฉัน จนกระทั่งวันเค้าตาย”
“คุณจิรดา...คุณฟังฉันสักนิดได้มั้ย ฉันกับภาษิต...”
“หุบปาก! ...ภาษิตไม่เคยรักฉันเลย ทุกลมหายใจเข้าออกเค้ามีแต่เธอ ทุกอย่างที่เค้าทำก็เพื่อเธอ แม้กระทั่งเรื่องนังมัสลิน!”
บัวบงกชหน้าร้อนผ่าว
“ไม่นะ ไม่เกี่ยวอะไรกับหนูมัสลินเลย คุณจะเกลียดฉันก็เกลียดไป อย่าเอาหนูมัสลินมาเกี่ยวด้วย”
“หึๆ ฉันอยากให้เธอเห็นหน้าตัวเองตอนนี้จังเลย ว่ามันซีดจนไม่มีสีเลือด ...บัวบงกชนางพญาธรรมะวาไรตี้ของใครๆ ไหงหงอเป็นลูกแมวอย่างนี้ล่ะ เธอกลัวอะไรฉันเหรอ” บัวบงกชน้ำตาเอ่อคลอ “ชื่อเสียงเกียรติยศเธอมันคงค้ำคอจนไม่มีหน้าจะยอมรับสายเลือดตัวเองสินะ”
“ไม่จริง คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ ไม่จริง”
“ฟังนะบัวบงกช ฉันรู้ในสิ่งที่เธอกับภาษิตคิดว่าฉันไม่รู้”
“คุณรู้อะไร บอกมาคุณรู้อะไร”
จิรดาหัวเราะร่วน จ้องบัวบงกชอย่างชิงชัง
“อะไรที่ฉันเคยเจ็บ เธอจะเจ็บกว่าร้อยเท่า ...อะไรที่ฉันเคยทรมาน ฉันจะให้เธอทรมาณจนวันตาย ทุกอย่างที่เธอรัก คือทุกอย่างที่ฉันเกลียด และฉันจะทำลายมัน!”
บัวบงกชร้องไห้ออกมา
“ไม่นะจิรดา ไม่...”
บัวบงกชเข้าคว้ามือจิรดามากุมอย่างพ่ายแพ้ มัสลินเข้ามาดึงจิรดาออกห่างบัวบงกช
“ปล่อยแม่ฉันนะ!”
บัวบงกชยิ่งเห็นหน้ามัสลินก็ยิ่งร้องไห้
“มัสลิน...”
บัวบงกชก้าวเข้าหามัสลิน มัสลินก้าวถอยอย่างงุนงง ออกปากไล่
“คุณไปได้แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นฉันถือว่าเราเสียหายพอกัน ฉันรับปากว่าพวกเราจะไม่ยุ่งกับครอบครัวคุณอีก”
บัวบงกชร้องไห้อย่างแสนทรมาน มัสลินมองดูบัวบงกชอย่างงุนงงสงสัย
หลังจากบัวบงกชกลับไปแล้วมัสลินหลบมานั่งที่โรงทานนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสับสนและทำให้ยิ่งคิดถึงพ่อ...มัสลินหลับตาลงอย่างล่องลอย กานนก้าวเข้ามานั่งตรงหน้ามัสลินงงๆ พอเห็นมัสลินนั่งหลับตาก็ยิ่งงง เลยยื่นหน้าเข้าไปดู พลันมัสลินลืมตาขึ้น เห็นหน้ากานนอยู่ใกล้มากก็ตกใจ
“ว้ายคุณ ทำไมทำอย่างนี้”
มัสลินผงะถอยครูด
“ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณเป็นอะไร นั่งสมาธิกลางแดดเปรี้ยง ๆ เนี่ยนะฮะ”
มัสลินพอตั้งสติได้ก็ถอนใจแรง ๆ
+ + + + + + + + + + + +
มัสลินกับกานนเดินคุยกันริมแม่น้ำเจ้าพระยา
“ดูคุณจะสนิทกับคุณพ่อคุณมากๆ เลยนะฮะ”
“มากค่ะ ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าจะมีวินาทีไหนมั้ยที่ฉันจะไม่ทรมานเพราะคิดถึงพ่อ” กานนหยุดเท้า จ้องลึกในดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาของมัสลิน และอดยกนิ้วไปปาดซับออกให้ไม่ได้ “ขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันอ่อนไหวไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจเรื่องการสูญเสียดี”
กานนส่งผ้าเช็ดหน้าให้มัสลิน
“ถึงคุณจะเพิ่งเสียคุณพ่อไปก็เถอะ แต่คุณยังดีที่มีทั้งพ่อและแม่มาเกือบตลอด แต่ผมน่ะหน้าพ่อกับแม่เป็นยังไงก็ลืมไปแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ”
“ท่านทั้งสองเสียไปตั้งแต่ผมอายุไม่ถึงสิบขวบ ...อุบัติเหตุน่ะฮะ”
“เสียใจด้วยนะคะ”
“ครับ ...พอพ่อกับแม่ผมเสียไปไม่เท่าไหร่ พี่ชายกับพี่สะใภ้ผมก็เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่อีก”
“แย่จังนะคะ”
“ผมก็เลยโตมากับคุณอาน้องสาวของพ่อ และก็เจ้าหลานชายตัวแสบลูกของพี่ชายที่ทิ้งทายาทไว้ให้ดูต่างหน้า”
“ฟังเรื่องคุณแล้ว เรื่องของฉันเล็กจิ๊ดเดียวไปเลย” กานนซื้อดอกไม้ร้านข้างทางหนึ่งดอก และส่งให้มัสลิน “เข้มแข็งนะครับ”
มัสลินรับมา ยิ้มขอบคุณกานน
“ขอบคุณที่คุยเป็นเพื่อนฉันนะคะ”
“คุณเองก็ทำให้ผมเจออะไรใหม่ๆ เยอะเลย โอ๊ะ... เกือบลืมไปเลย ผมมีนัด”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ มีงานต้องทำ”
มัสลินกับกานนแยกกันไปคนละทาง แต่แล้วหันกลับมากันพร้อมกัน
“เบอร์โทรคุณ?...”
ทั้งคู่หัวเราะขำกันและกัน
+ + + + + + + + + + + +
พินสุดากับมธุรินนัดกันมาดูแฟชั่นโชว์นาฬิกา เมื่อมาถึงโรงแรมที่จัดงานทั้งคู่เข้าไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟ มธุรินจึงเล่าเรื่องมัสลินกับจิรดาให้พินสุดาฟัง พินสุดาถึงกับตกใจ
“แกแน่ใจเหรอว่าเป็นมัสลินเดียวกัน”
มธุรินหน้าเครียด
“ก็ไม่เชิง ฉันถึงอยากมางานนี้ มาดูให้แน่ใจไง”
“แต่ถ้าใช่นี่มันเลวตั้งแต่แม่ยันลูกเลยนะ แล้วคุณพ่อแกนึกไงเนี่ย เด็กๆ มีออกเยอะแยะ คิดไงไปคว้ารุ่นป้าหงำเหงือกมาทำกิ๊ก” มธุรินนึกโกรธพินสุดาที่มาว่าพ่อเธอ พินสุดาหัวเราะ “ขอโทษๆ ฉันไม่ตั้งใจจะเมาท์พ่อแกหรอก ...นี่แต่แกไม่ต้องห่วงนะ ถ้าใช่มันจริง ๆรับรองคืนนี้แกได้ดูนังมัสลินมันหมดอนาคต จัดหนักให้มันลืมเราไม่ลงไปเลย”
“เดี๋ยวนะ ที่ฉันมาเนี่ยไม่ได้อยากให้แกทำอะไรใครนะ ใช่มัสลินเดียวกันรึเปล่าก็ยังไม่รู้”
“ต่อให้จะใช่หรือไม่ใช่ นังมัสลินมันก็ดวงถึงฆาตอยู่ดี ฉันสั่งคนของฉันไปแล้วเรียบร้อย”
“อะไรของเธอเนี่ยกิ๊บ”
มธุรินทำหน้าแปลกใจ
พินสุดานั่งคุยกับมธุรินจึงนัดเอมาพบ เมื่อมาถึงเอจึงรีบเปิดประตูร้านเข้ามาเกือบจะพร้อมๆ กับมัสลินที่กำลังจะเข้าไปในร้านกาแฟเหมือนกัน
“อ้าว สวัสดีค่ะ จำมัสได้มั้ย”
มัสลินทักเอเพราะจำได้ว่าเป็นที่มงานของเกวลิน
“จ..จำได้สิจ๊ะ มาทานร้านนี้เหมือนกันเหรอ”
“ค่ะ นั่งด้วยกันสิคะ มัสกำลังหาเพื่อนคุยอยู่พอดีเลย”
“คือพี่นัดเพื่อนไว้น่ะจ้ะ”
“อ้าวเหรอคะ งั้นเชิญเถอะค่ะ”
พินสุดากับมธุรินออกจากร้านมาหาเอ คนเดินสวนไปมาทำให้พินสุดาไม่เห็นว่าเออยู่กับมัสลิน
“ทำไมไม่เข้าไปซะทีล่ะ ฉันมีธุระอื่นต้องทำนะ”
เอหน้าเสีย ยิ้มชืดให้พินสุดา มัสลินหันเจอพินสุดากับมธุริน ทั้งพินสุดาและมธุรินอึ้งที่คนหันมาคือมัสลิน มัสลินประสานสายตากับมธุริน พินสุดาส่งสายตาไล่เอออกไป เอเลี่ยงออกไปเงียบ ๆ พินสุดาจับสังเกตมัสลินกับมธุริน
“เราไม่มีอะไรต่อกันแล้วนะ”
มัสลินพูดสั้นๆ กับมธุรินแล้วออกไป พินสุดาก้าวฉับเข้ามาขวาง
“แกใช่มั้ยที่ตบหน้าเพื่อนฉัน”
มธุรินหน้าตื่นรีบก้าวตามพินสุดาไป
“ไม่เอากิ๊บ”
“แกจะปล่อยให้มันตบแกฟรี ๆ เหรอ”
“ฉันทำเค้าก่อน”
มธุรินบอกเสียงเบา
“อ...อ้าว แล้วเมื่อกี้ไม่เห็นเล่าอย่างนี้”
“จะหลีกทางให้ฉันได้รึยัง”
มัสลินก้าวเลี่ยงไป พินสุดาเหลียวตาม
“หน้าด้านทั้งแม่ทั้งลูก”
มัสลินหันขวับ จ้องหน้าพินสุดาเขม็ง
“เมื่อกี้เธอว่าไงนะ”
“เลือดหน้าด้านของเธอคงได้มาจากแม่สินะ ได้ยินว่าหอบสังขารหงำเหงือกไปเสนอพ่อเพื่อนฉันถึงบ้านเค้า เลยนี่”
มัสลินหันขวับไปที่มธุริน มธุรินอึกอัก
“ที่บอกว่าจบน่ะคุณหมายถึงอย่างนี้น่ะเหรอ”
“เธอยืนให้เค้าหาเรื่องเองต่างหาก...อายเค้านะกิ๊บ”
มธุรินดึงพินสุดาคนเริ่มมอง พินสุดายอมให้มธุรินดึงไป แต่ยังไม่วายส่งเสียงดัง
“ฉันไม่มีวันปล่อยกุเทพให้เธอง่าย ๆเหมือนที่แม่ยัยเดียร์ปล่อยสามีเค้าให้แม่เธอหรอกนะ”
“กิ๊บ”
มธุรินดึงพินสุดาออกไป ทิ้งมัสลินให้หน้าชา ท่ามกลางสายตาคนมองมา ซุบซิบ ๆ
มัสลินกลับมาที่ห้องเตรียมตัวนางแบบเพื่อให้ช่างแต่งหน้าทำผม ระหว่างนั่งให้ช่างทำผม มัสลินครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายจนช่างทำผมถาม
“คุณน้องขาโทรศัพท์รึเปล่าคะ รับก่อนก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
โทรศัพท์เงียบเสียงลง มัสลินเปิดกระเป๋าหยิบขึ้นมาดูจึงพบว่าคนที่โทรเข้ามาคือกุเทพ มัสลินจึงโทรกลับไป ขณะนั้นกุเทพกำลังขับรถมางานแฟชั่นโชว์นาฬิกากับกานน กุเทพจึงให้กานนรับโทรศัพท์ให้...
กานนรับโทรศัพท์แทนกุเทพ กานนนึกแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงมัสลิน มัสลินเองก็แปลกใจที่ได้ยินเสียงกานน เพราะทั้งคู่ต่างคุ้นเสียงของอีกฝ่าย
เมื่อกานนกับกุเทพมาถึงงานแฟชั่นโชว์ กุเทพถึงกับผงะเมื่อเห็นนักข่าวจำนวนมาก
“นี่มันงานอะไรกันแน่ครับอาปลิว เรามาผิดงานเปล่า”
กานนตอบหลานแบบชินกับงานสังคม
“แกคิดว่างานที่มีนาฬิกาเรือนละสิบล้านอัพมาโชว์มันต้องจัดยังไงวะ”
“ก็...ไม่รู้เหมือนกัน แต่นักข่าวทำไมมันเยอะนักล่ะ ถ้าผมรู้อย่างนี้ผมไม่มาหรอก ขี้เกียจมีเรื่องกับกิ๊บ”
“ไม่ทันแล้วว่ะ”
กานนบุ้ยหน้าไปที่พินสุดากับมธุรินที่อยู่มุมหนึ่ง กานนกับกุเทพลอบมองมธุรินกับพินสุดา
“เอางี้ เดี๋ยวผมเข้าไปจัดการเรื่องนาฬิกาของคุณย่าแล้วเรากลับกันเลยนะฮะ”
“อ้าวแล้วมัสลินของแกเค้าจะไม่โกรธเอาเหรอ”
“ถ้าผมบอกเหตุผล มัสเค้าต้องเข้าใจฮะ”
กานนหันมองมธุรินห่วง ๆ ขณะนั้นมธุรินยืนคุยวกับพินสุดาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“แค่ฉันตบหน้าเค้าก่อนฉันก็รู้สึกแย่พอแล้ว อย่าว่าแต่ตบกันเลย เกิดมาฉันยังไม่เคยมีเรื่องกับใคร มันไม่ใช่ฉันเลย”
“จ้าแม่นางเอก”
“แกเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ฉันกลับนะ”
มธุรินจะก้าวออกไป พินสุดาดึงไว้
“ไม่ได้นะ ฉันสั่งคนจัดการนังมัสลินไปแล้ว แกต้องอยู่ดู”
“แต่มันไม่เกี่ยวกับฉัน”
“แล้วแกเป็นเพื่อนฉันรึเปล่า” มธุรินอึดอัดใจ “แล้วแกจะต้องขอบคุณฉัน นังมัสลินมันจะอยู่บนแคทวอร์คเลือด หึๆๆๆ”
มธุรินหน้าเสีย
“แกให้คนไปทำอะไรเค้า” มธุรินบิดแขนจากพินสุดา พินสุดากระชับไว้แน่นยิ่งขึ้น “ฉันเจ็บนะกิ๊บ”
กานนมองมธุรินกับพินสุดาอย่างสังเกต
“แกกลับไปคนเดียวก็ละกัน”
กานนบอกกุเทพแล้วเดินตรงไปหามธุริน กุเทพถึงกับหน้าเสีย
“อาปลิว! อย่าบอกนะว่าอาจะ... โฮ้ย!” กุเทพก้าวตามอย่างจำใจ “เดี๋ยวกิ๊บเห็นผมก็เป็นเรื่องอีก ...ว้า”
กานนตรงไปหามธุริน ไม่สนเสียงกุเทพ
การแสดงแฟชั่นโชว์เริ่มต้นขึ้น นางแบบเดินเรียงรายอยู่บนรันเวย์ ข้อมือนางแบบทาบอก หรือบ้างก็โพสอย่างจงใจให้เห็นนาฬิกาเรือนแพงระยิบ ประดับเพชรและอัญมณีแวววาว กานนนั่งติดกับกุเทพ กานนมีมธุรินประกบข้าง ส่วนกุเทพมีพินสุดานั่งข้าง
“เราไม่ได้ออกงานด้วยกันอย่างนี้นานเท่าไรแล้ว เซอร์ไพรส์กิ๊บเหรอคะ” พินสุดาบอกแต่กุเทพนั่งนิ่ง มองตามนางแบบเหมือนไม่มีพินสุดานั่งอยู่ด้วย ไม่ตอบอะไร พินสุดายิ้มเยาะ “รอดูนังมัสลินเหรอคะ”
กุเทพหันจ้องหน้าพินสุดา
“ถามจริงเถอะกิ๊บ เมื่อไหร่คุณจะเลิกคิดอคติกับมัสเค้าซะที”
“เมื่อมันตายมังคะ”
กุเทพทอดถอนใจอย่างเหลือทนกับพินสุดา
มธุรินดูแฟชั่นโชว์ด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น กานนยิ้มอบอุ่นกับมธุริน
“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ ...ยังกับฝัน ถ้าไม่เจอกานนเดียร์คงแย่” มธุรินตั้งท่าจะเล่า
“เอาไว้ค่อยคุยกันเถอะครับ ดูนาฬิกาดีกว่า อยากซื้อเรือนไหนให้ผมก็ไม่ต้องเกรงใจนะ”
มธุรินยิ้มน่ารัก กานนพลอยยิ้มไปด้วย พินสุดาเห็นมธุรินกับกานนก็นึกหมั่นไส้
“เห็นแบ๊ว ๆอย่างนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นมือตบนังมัสลินหน้าหัน” กุเทพตกใจเล็กน้อย พินสุดายิ้มสะใจ “ตกใจสิคะ”
“ผมไม่บ้าไปกับคุณหรอก แล้วถ้าคุณไม่หยุดพูดเรื่องไร้สาระผมจะลุกหนีให้คุณอายนักข่าวเดี๋ยวนี้เลย”
“มีคุณนั่นละที่โง่คบมันอยู่คนเดียว” กุเทพผุดลุกขึ้น พินสุดาดึงกุเทพลง “มาโน่นแล้วแม่นางฟ้าของคุณ”
มัสลินในชุดหรู สวมนาฬิกาเรือนสวย เดินแบบอย่างคล่องแคล่ว กานนตะลึงงันเมื่อเห็นหน้ามัสลิน
“ปิ่น...”
กุเทพเอียงคอกระซิบบอกกานน
“ทำหน้าเหมือนเคยเจอเค้างั้นละครับอา”
“ใช่...”
“พูดเป็นเล่นฮะ ไหนบอกมาซิครับอาเคยเจอมัสลินที่ไหน”
“มัสลิน?”
“ครับ นั่นละม่านมัสลิน”
กานนเงยคอมองใบหน้ามัสลินอีกครั้ง มัสลินอยู่ในจังหวะที่โพสนิ่ง เหลือบตาเห็นกานนเช่นกัน ก็ให้รู้สึกประหลาดใจ...ไล่สายตาไปเจอมธุรินก็นิ่งงัน...มธุรินคล้องแขนชี้ชวนกานนดูนาฬิกาที่นางแบบอีกคนหนึ่ง ไม่ได้สังเกตเห็นว่าหนึ่งในนางแบบนั้นคือมัสลิน กานนกับมัสลินประสานสายตากัน ต่างฝ่ายต่างงงงัน
ระหว่างนั้นที่ห้องเปลี่ยนเสื้อนางแบบคนหนึ่งแอบเอาเศษแก้วไปใส่ในรองเท้าที่มัสลินต้องใส่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยนางแบบคนนั้นจึงส่งข้อความบอกพินสุดา
พินสุดากระหยิ่มอย่างหมายมาดเมื่อเห็นข้อความที่ส่งมา
มัสลินกลับเข้าหลังเวทีเพื่อเปลี่ยนชุด การเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นไปอย่างเร่งรีบ มีผู้ช่วยแต่งตัวรูดซิปให้มัสลิน และหยิบรองเท้าวางเตรียม เกวลินเข้ามาดูความเรียบร้อย
“เยี่ยมเลยค่ะ เซ็ทสุดท้ายแล้วนะคะ”
มัสลินยิ้มให้เกวลินขณะหย่อนเท้าลงที่รองเท้า ทันใดนั้นเองมัสลินร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด ทุกคนหันมอง เกวลินเข้ามาจับมัสลินไว้
“มัสเป็นอะไร”
มัสลินเซซัง ล้มลง
“เท้ามัส...”
เกวลินรนราน ถอดรองเท้ามัสลินออก แล้วต้องผวา กรีดร้องเมื่อเห็นเลือดที่ไหลจากแผลที่ฝ่าเท้ามัสลิน เกวลินเทเศษแก้วกราวจากรองเท้า แผดเสียงลั่น โกรธตัวสั่น
“ใคร! ใครทำแบบนี้!”
“ทำงานต่อกันเถอะค่ะ”
“เท้าเธอเป็นอย่างนี้เนี่ยนะ”
“หาผ้าพันแผลให้มัสก็พอ มัสจะไม่ทำให้ทุกคนเสียงานค่ะ”
“มัสลิน!”
มัสลินเม้มปากจนสั่นระริก สะกดความเจ็บ
(จบตอนที่ 2)