xs
xsm
sm
md
lg

อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 3

ดารกานิ่งงัน สั่นหัว มองแนนนี่ด้วยสายตาที่หวาดหวั่น

“ไม่ได้เป็นอะไร”
แนนนี่ว่าพลางก้าวเข้าใกล้ดารกา
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วร้องไห้ทำไม”
ดารกาหลุกหลิก เหลือบมองไปที่นอกรั้ว แล้วรู้สึกตกใจมาก เพราะดารกาเห็นว่า มาลียังด้อมๆ มองๆ เข้าไปที่ตัวบ้าน
ดารกาหน้าตาตื่นกลัว ขณะที่แนนนี่ย่อตัวลงหา ดารกาตวาดแนนนี่ลั่น
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
แนนนี่ชะงักงัน
“พี่ดา”
“ฉันบอกว่าอย่ามายุ่งกับฉัน จะไปไหนก็ไป”
แนนนี่หน้าแดง จากงงๆ เลยกลายเป็นโกรธ
“ไปก็ได้ ไม่ได้อยากยุ่งด้วยนักหรอก ถ้าพี่ดาไม่นั่งร้องไห้เป็นยัยบ้าอย่างเนี้ย”
แนนนี่จ้ำเท้าออกไปพลางบ่นงึมงำ
“ทำไมไม่มีคนเห็นธาตุแท้ของเธอซะทีนะ ให้ตาย”
ดารกาน้ำตาริน ร้องไห้โฮด้วยความปวดร้าว
เวลาเดียวกันนั้นที่บริเวณนอกรั้ว มาลียังชะเง้อชะแง้ไปที่ตัวบ้าน แต่ไม่เห็นดารกาหรือแนนนี่ ดารกาพอเห็นว่ามาลียังอยู่ก็ร้องตะโกนไล่ออกมาอย่างเหลืออด
“ป๊าย...”
แนนนี่ที่กำลังก้าวฉับๆ ไปไกลแล้ว พลันสะดุดกึก นึกว่าถูกไล่อีก เหลียวกลับไปหาดารกา
“ก็ไปอยู่แล้วนี่ไง จะไล่อะไรนักหนาห๊า! อ้าว...”
ดารกาลุกเดินพรวดพราดหนีไปอีกทางหนึ่ง
แนนนี่มองตามดารกาไป ด้วยอาการงุนงง
“พี่ดาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ”

แนนนี่สะพายกระเป๋ากับแฟ้มเอกสารใสเข้ามาในห้องตัวเองบ่นพึมพำออกมา
“ไม่น่าเจ๋อหน้าเข้าไปให้เสียเวลาเล๊ย ยัยพี่ดาบ้า”
แนนนี่โยนกระเป๋าสะพาย แฟ้มใสที่ใส่เอกสารลงบนเตียง พลันเห็นใบคะแนนข้อสอบตัวเองแล้วต้องตกใจ
“ฮึ้ย มาได้ไงอ่ะ ฉันทิ้งไปแล้วนี่”
แนนนี่คว้าใบคะแนนมาดูอย่างสุดเซ็ง
“สิบเต็มร้อย ...เยี่ยมมาก..สุดยอดแนนนี่ ..ฉันจะไม่มีวันให้คุณแม่เห็นแก”
แนนนี่กวาดตาหาที่ซ่อนกระดาษข้อสอบ แล้วทำท่าจะเสียบไว้ในชั้นหนังสือ แต่แล้วก็ชักมือกลับ
“ไม่ดี”
แนนนี่เปลี่ยนไปเปิดตู้เสื้อผ้า
“ไม่ได้ เสี่ยงไป”
แนนนี่เดินวนไปมา ครุ่นคิดอย่างว้าวุ่น พลันนึกไปถึงโป่งขึ้นมา
“...นายโป่ง...ใช่..ก็แค่ให้นายโป่งจัดการเหมือนเคยๆ ก็สิ้นเรื่อง โฮะๆๆ ลืมไปเลย”
แนนนี่คว้าโทรศัพท์มือถือมากดหาโป่ง แต่แล้วทำหน้าประหลาดใจ
“ว่าแล้ว ทำไมโทรศัพท์มันเงียบนัก แบตหมดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
แนนนี่ม้วนกระดาษข้อสอบ แล้วผลุนผลันออกจากห้องไป

อะไรจะใจตรงกันขนาดนั้น ที่บริเวณประตูเชื่อมรั้วบ้านปัทมนกับบ้านภวัต ขณะนั้นภวัตก็กำลังมองหาโป่งเช่นเดียวกับแนนนี่ เมื่อไม่เจอจึงเดินตรงไปที่บ้านปัทมน
“นายโป่ง ...นายโป่ง”
ภวัตตรงต่อไปที่ตัวบ้านปัทมน
“ให้มาตามแนนนี่กับน้องดา แต่ดันหายไปอีกคน ...นายโป่ง”

โป่งเดินเหงื่อตก เข้ามามองหาดารกาในครัว
“ไม่อยู่อีก.. เฮ้อ... คุณดาคร้าบ อยู่ไหนล่ะเนี่ย โป่งเดินหาซะหอบแล้วนะครับ”
โป่งเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำมาเทดื่ม พลันแนนนี่เข้ามาตบไหล่ผลั่ก โป่งสำลักน้ำ พ่นพรวด
“ตกใจอะไรขนาดนั้น นี่ฉันเอง”
“ใครว่าโป่งตกใจล่ะครับหัวหน้า เจ็บครับเจ็บ อูย ไหล่แทบทรุด”
“แล้วนี่เค้าหายไปไหนกันหมด แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ น้ำที่บ้านไม่มีกินเหรอ แล้ว..”
“ทีละคำถามสิครับหัวหน้า” โป่งบ่นอุบ
“อ่าวฉันถามเยอะไปเหรอ”
“คืองี้ครับ ที่บ้านโป่งน่ะมีงาน...”
“เอาละๆๆ ไม่ต้องตอบ ฉันก็ถามไปงั้นแหละ นายมานี่ เรื่องฉันด่วนกว่า จุ๊ๆ นะ”
แนนนี่ลากแขนโป่งไปมุมหนึ่งของครัว เป็นจังหวะที่ภวัตเข้ามาเห็นแนนนี่ข้างหลัง ขณะเดียวกันโป่งก็หันเจอภวัต ทำท่าจะพูด แต่ภวัตทำมือจุ๊ปาก สั่นหัวห้ามไว้
แนนนี่พูดกับโป่ง แบบมีลับลมคมในสุดๆ
“นี่คือกระดาษข้อสอบของฉัน นายมีหน้าที่ซ่อนมันให้พ้นสายตาทุกคน”
โป่งเหลือบตาที่ภวัต พะวักพะวง
“อาราย...ก็กระดาษคะแนนที่นายเคยขุดหลุมฝังเหมือนเดิมน่านละเอาไป รีบจัดการเร็วเข้า”
แนนนี่ยัดกระดาษใส่มือโป่ง โป่งอึกอักรับคำ
“ครับๆ”
แนนนี่ดันหลังโป่ง หมุนตัวไปทางภวัต แต่ตรงจุดที่ภวัตยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ไม่มีภวัตอยู่แล้ว

แนนนี่จิ้มนิ้วที่หลังโป่ง พลางเอ่ยปากเร่ง
“เงอะๆ งะๆ อะไรของนายห๊า ไปเร็วเข้าสิ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่านายเอากระดาษสอบฉันไปฝังไว้ไหน”
โป่งชำเลืองตาไปที่ภวัต ซึ่งหลบอยู่ริมประตู แนนนี่ผ่านไปโดยไม่เห็น
ภวัตยิ้ม ส่ายหน้าน้อยๆ มองตามแนนนี่อย่างแสนคิดถึงและเอื้อเอ็นดู

ดารกายืนหลังพิงประตูอ่านจดหมาย มือที่ถือจดหมายนั้นสั่นระริก ใบหน้ามีเหงื่อไหลซึม สีหน้าเครียดหนัก เสียงมาลีดังขึ้นมาตามเนื้อความจดหมาย
“แม่รู้ว่าแม่ทำผิดกับลูกไว้มาก ให้อภัยแม่เถอะนะ เวลานี้แม่ลำบากเหลือเกิน แม่อยากเจอลูกสักครั้งก่อนตาย ไปพบแม่ให้ได้นะ”
ดารกาหลับตาลง น้ำตาร่วง
“ไม่จริง...”
ดารการ้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น หากแต่ต้องกลั้นเสียงไว้ไม่ให้ใครได้ยิน ดูขมขื่นและน่าเวทนาสุดๆ
“ไม่... อนาคตแพทย์หญิงอย่างฉันจะต้องไม่มีประวัติด่างพร้อย ไม่...”
ดารกาขยุ้มจดหมายนั้นจนมือเกร็ง


ด้านโป่งกำลังใช้เสียมอันเล็กๆ ขุดเป็นหลุมที่ใต้ต้นไม้ มีแนนนี่ยืนคุม สั่งการ โดยไม่รู้ตัวว่าภวัตเดินตามมาด้วย
“ลึกอีก”
“กระดาษใบเดียว แค่นี้ก็พอแล้วครับ” โป่งแย้ง
แนนนี่หยิกให้ “นี่แน่ะ คราวที่แล้วโผล่ออกมาตอนฝนตกนายจำไม่ได้เหรอ ขุดลงไปอีก เร็วเข้า ขุดๆๆๆ”
ภวัตก้าวเข้ามากอดอกยืนมอง ยิ้มขำๆ ในขณะที่แนนนี่มองโป่งขุดต่ออย่างพอใจ พลางขู่
“แล้วจำได้ใช่มั้ยว่าในโลกนี้มีเรารู้เรื่องนี้กันอยู่สองคน”
“เห็นทีจะไม่เป็นอย่างนั้นซะละมังคร้าบ” โป่งเหล่มองภวัต
“นายว่าไงนะ”
“เปล่าครับเปล่า ขุดๆๆ”
“แล้วครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นายต้องเป็นคนทำลายกระดาษคะแนนสอบ ของฉัน เพราะคราวหน้าฉันจะทำคะแนนเต็ม!”
โป่งหัวเราะออกมา แนนนี่หยิกอีก โป่งเลยเงียบ กลบดินใส่หลุมจนพูน
“ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องภูมิใจในตัวฉัน โดยเฉพาะ...” แนนนี่ยิ้มกริ่ม “..พี่ภวัต”
ภวัตเลิกคิ้ว ตั้งใจฟัง
“ถึงฉันจะไม่น่ารักในสายตาใครๆ แต่อย่างน้อยฉันก็มีพี่ภวัตคนนึงละ ที่เล็งเห็นความงามในตัวฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะต้องเป็นผู้หญิงที่ดีพร้อม สำหรับพี่ภวัตให้ได้” พูดถึงตรงนี้นัยน์ตาแนนนี่ฝันหวาน “...นายว่าฉันคิดถูกมั้ย”
โป่งไม่ตอบ แต่เหลือบตามองไปที่ภวัต จนแนนนี่ชักผิดสังเกต
“อะไรของนายอ่ะ หลุกหลิกๆ ตั้งแต่ที่..ครัว..” แนนนี่หันไปเห็นภวัต “..แล้ว...”
แนนนี่พอหันเจอภวัตก็นิ่งงันราวโลกหยุดหมุน ภวัตก้าวเข้ามาใกล้ ครั้นพอได้สติ แนนนี่ปัดป่ายมือเรียกหาโป่ง
“น..นายโป่ง เดี๋ยวนี้นายเลียนแบบเวทมนตร์ฉัน ขนาดเสกคนได้ตัวเป็นๆ เลยเหรอ”
ภวัตจับไหล่ทั้งสองของแนนนี่อย่างเบาๆ แนนนี่หน้าแดงวาบ ยังคงตั้งสติไม่อยู่ ทำตัวไม่ถูกอยู่ดี
“จ..จับต..ตัวฉันก็..ก็ได้ด้วย” แนนนี่ตาแข็งค้าง จ้องภวัตเขม็ง
“พี่เอง...แนนนี่ จำพี่ไม่ได้เหรอ” ภวัตเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ
แนนนี่น้ำตาเอ่อคลอ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ถามย้ำออกไป
“พี่ภวัตจริงๆ เหรอคะ”
ภวัตพยักหน้า ยิ้มอ่อนโยนให้ แนนนี่ผวาเข้ากอดภวัต ยิ้มทั้งน้ำตา ภวัตลูบผมแนนนี่ ดีใจไม่ต่างจากแนนนี่

ด้านดารกาสอดซองจดหมายไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง แล้ววางคืนบนชั้นหนังสือ มองหนังสือนั้นด้วยแววตาปวดร้าว ก่อนจะผละไปที่กระจก จัดผมเผ้า และผ้าพันคอให้เข้าที่ แล้วออกจากห้องไป
แต่แล้วเพียงแว่บเดียว ดารกากลับเข้ามาอีก มองที่หนังสือเล่มเดิม สีหน้าว้าวุ่นใจ

ปัทมนหันมองไปทางบ้านตัวเอง สีหน้าสงสัย
“สรุปเลยหายไปกันหมดเลย ทั้งนายโป่ง ลูกดา ภวัต”
“มีกันอยู่แค่สามหลังยังหากันไม่เจอนะคะ เห็นทีต้องรวมเป็นหลังเดียว อยู่ด้วยกันหมดนี่เลยน่าจะอบอุ่นดีนะคะ ฮิๆ” อิงอรบอกออกมา
“เกล้าว่าเกล้าตามไปดูอีกคนดีกว่าค่ะ” รัดกเกล้าลุกขึ้น “หายไปพร้อมๆ กันแบบนี้ มันแปลกๆ มั้ยคะ”
“ทานเถอะหนูเกล้า เดี๋ยวให้ธานีไปดูให้ก็ได้”
ธานีชะงักช้อนที่ตักอาหาร
“อ้าว ไหงมาลงที่ผมละครับคุณแม่”
รัดเกล้าค้อนธานีก่อนหันมาพูดประชดธานีกับปัทมน “เกล้าจะไปห้องน้ำอยู่แล้วน่ะค่ะ อาปัท ไม่ต้องรบกวนพี่ธานีหรอกค่ะ” รัดเกล้าว่าพลางจิกปรายหางตาใส่ธานี
“พี่ว่าเกล้านี่เป็นคนจิตใจงดงามมากเลยนะ รู้จักเป็นห่วงเป็นใยพี่น้อง”
รัดเกล้า(ยิ้มกริ่ม)เพิ่งรู้เหรอคะ(เชิดใส่ ก้าวไป)
“นี่ถ้าหน้าตาสวยอีกสักหน่อยก็เพอร์เฟ็คต์ ..เสียดาย...เฮ้อ”
คำพูดของธานี ทำเอารัดเกล้าที่จะก้าวไปอยู่แล้ว สะดุดหน้าคะมำ หันมาค้อนธานีขวับ ธานียิ้มทะเล้นให้รัดเกล้า
ปัทมนส่งสายตาปรามธานี แล้วหันที่จักรวาลเจื่อนๆ เป็นเชิงขอโทษ ขณะเดียวกันผาดดูพรจัดบาร์บีคิวลงจาน
“เอ้อ อย่างนั้นละ แล้วอย่าให้บนเตาไหม้ซะล่ะ เดี๋ยวฉันไปดูหมูที่หมักเพิ่มไว้ก่อน”
ผาดกำลังจะก้าวไป แต่แล้วก็เจอแนนนี่เดินเข้ามาหน้าตาบูดบึ้ง สีหน้าบอกบุญไม่รับ
“มีความสุขกันใหญ่เลยนะคะ”
ทุกคนทั้งโต๊ะหันมาหาแนนนี่ รู้สึกประหลาดใจ
“ใจเย็น ๆก่อนจ้ะแนนนี่ คือ...” จักรวาลออกตัวก่อน
“ใช่จ้ะ แม่พยายามติดต่อแนนนี่แล้ว จะบอกว่าพี่ภวัตกลับมา แต่ก็โทรไม่ติด” ปัทมนรีบเสริม
แนนนี่กลั้นขำ ภวัตก้าวตามมา โยกหัวแนนนี่เบาๆ มีโป่งตามมาด้วย
“เกเรอีกแล้วนะเรา”
แนนนี่หัวเราะกิ๊ก
“อ้าว ตกลงเจอกันแล้ว จริงๆ เลยนะเราแนนนี่” ปัทมนยิ้ม โล่งอก
“ถ้าธรรมดาจะใช่แนนนี่เหรอคะ”
“เอ๊ะ แล้วนี่หนูดาไม่ได้มาด้วยกันหรอกเหรอ” อิงอรถามหาดารกา
แนนนี่ฉุกนึกถึงใบหน้านองน้ำตาของดารกา เมื่อไม่นานมานี้
“จริงสิ ..คุณแม่คะ พี่ดาเค้า...”

แนนนี่นึกถึงตอนที่ดารกาแหงนหน้าขึ้นเห็นตัวเองแล้วผงะ ในขณะที่แนนนี่เห็นใบหน้านองน้ำตาของดารกาแล้วตกใจมากเช่นกัน
“เป็นอะไร”
แนนนี่ยิ่งคิดยิ่งสงสัย ทำท่าจะพูดกับปัทมน แต่แล้วพอเจอสายตาทุกคนมองมาอย่างสนใจ
“พี่ดาทำไมเหรอลูก”
แนนนี่เลยเฉไฉ ปั้นหน้ายิ้ม
“ไม่มีอะไรค่ะ มีอะไรทานบ้างคะเนี่ย แนนนี่หิวมากเลย (กับภวัต)พี่ภวัตต้องดูแลแนนนี่ดีๆ นะคะ โทษฐานที่ให้แนนนี่รู้คนสุดท้ายเลยว่าพี่ภวัตกลับมาแล้ว
“ได้เลยจ้ะ ลองนี่มั้ย”
ภวัตตักอาหารให้ แนนนี่ทำทีเป็นยื่นจานไปรับ แต่สีหน้ายังคงครุ่นคิดเรื่องดารกา
ดารกาที่ทุกคนถามถึงพุ่งตรงไปที่ประตู มีหนังสือที่สอดซองจดหมายจากมาลีกอดแนบอกอยู่ สีหน้าแววตาร้อนรน หลุกหลิก จังหวะหนึ่งดารกามองลงที่หนังสือ
“ฉันจะเอาแกไปเผาทิ้งให้ไกลที่สุด”
ดารกาก้าวฉับไป แต่แล้วชนเข้ากับรัดเกล้าอย่างจัง หนังสือดารกาหล่นลงพื้น
“ว้าย! อ้าวน้องดา”
“พี่เกล้า...”
“ท่าทางรีบร้อนเชียว น้องดาจะไปไหนเหรอ นี่พี่มาตามน้องดานะเนี่ย”
รัดเกล้าว่าพลางเหลือบเห็นหนังสือบนพื้น ทำท่าจะก้มเก็บ พลันดารกาเอ่ยเสียงกร้าวร้องห้าม
“อย่านะคะ!”
รัดเกล้าสะดุ้งเฮือก หันหาดารกาอย่างไม่เชื่อหู
“น้องดา”
ดารการีบฉวยหนังสือมาถือไว้เอง
“เอ่อ..คือ..น้องดากำลังรีบเอาหนังสือนี่ไปให้เพื่อนน่ะค่ะ” ดารกาฝืนยิ้ม “ขอบคุณนะคะที่มาตามน้องดา เดี๋ยวน้องตาตามไปนะคะ”
ดารกาก้าวฉับ ๆไปที่ประตู รัดเกล้ามองตามไป งุนงง
“อะไรของเค้า”
รัดเกล้าก้าวกลับไปทางหนึ่ง แต่แล้วเหลียวกลับมา มองไปที่พื้น ทางที่ดารกาเพิ่งเดินไป เห็นซองจดหมายหล่นอยู่บนพื้นบริเวณนั้น รัดเกล้าตรงไปเก็บจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา และมองไปที่ประตูรั้ว แต่ที่ประตูรั้ว ดารกาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
รัดเกล้ามองจดหมายในมือ อยู่ในอาการงงๆ ไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี

รัดเกล้าตีซองจดหมายกับฝ่ามืออย่างครุ่นคิด ขณะเดินกลับบ้านตัวเอง
“น้องดาดูแปลกๆ อืม...” รัดเกล้าพลิกซองจดหมายดู แล้วเห็นว่าเปิดได้ ไม่ได้ปิดผนึก รัดเกล้าเอานิ้วแหย่แยงซองจดหมายเป็นรูโหว่ เห็นกระดาษข้างใน
ธานีกอดอก ยืนดักอยู่ตรงหน้า ส่งเสียงถามขึ้น
“ทำอะไรของเธอยัยเกล้า”
รัดเกล้าชักมือจากซองจดหมาย หน้าซีด ตกใจ
“พี่ธานี! จะบ้าเหรอ มายืนอะไรตรงนี้ เกล้าตกใจนะ”
“ตกใจ? แค่นี้น่ะนะตกใจแล้ว ขวัญอ่อนจริงแม่คู๊ณ” ธานีมองเห็นจดหมายในมือรัดเกล้า “แล้วนั่นอะไร หืม..แอบมีจดหมายรักจากผู้ชายกับเค้าด้วย”
รัดเกล้าเหลืออด เอามือปิดปากธานีอย่างหมั่นไส้
“หยุดพูดเพ้อเจ้อซะทีได้มั้ย นี่น่ะของน้องดาไม่ใช่ของเกล้า”
“ของน้องดาแล้วมาอยู่กับเกล้าได้ไง” ธานีสงสัย
“เกล้าเก็บได้”
ธานีฉวยจดหมายไปพลิกๆ ดู
“จดหมายอะไร”
“น้องดาทำท่าทำทางแปลกยังไงก็ไม่ทราบ เกล้าจะเรียกไว้ก็ไม่ทัน”
ธานีเปิดซองจดหมาย
“เสียมารยาทนะพี่ธานี” รัดเกล้าเอ็ด
“แล้วเมื่อกี้ที่เราทำล่ะ” ธานีเยาะ
รัดเกล้าสีหน้าเจื่อนไป “เกล้าก็แค่อยากรู้ว่าน้องดาเป็นอะไร”
“ก็เหมือนกันนั่นละ แล้วพี่เป็นพี่ชายน้องดา ถ้าจะอ่านเพราะเป็นห่วงน้องก็คงไม่ผิด”
ธานีมองลงไปที่ซอง แล้วหยิบกระดาษจดหมายออกมา

ค่ำวันเดียวกันนั้น มาลีอยู่ในอาการตื่นกลัวผวาหลบเอามือยกขึ้นป้องหน้าให้พ้นจากสดับที่ปราดเข้ามาทำร้าย ยกมือเงื้อง่า สีหน้าที่โกรธจัดแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า
“อย่านะพี่ ฉันกลัวแล้ว โอ้ย!” มาลีร้องลั่น เพราะถูกสดับจิกผม
“กลัวเหรอ นี่แน่ะกลัว” สดับจิกผมแรงขึ้น
“โอ้ยปล่อยฉันเถอะพี่ดับ ฉันบอกแล้วจ้ะบอกแล้ว”
สดับปล่อยหัวมาลีผลักออกไปอย่างแรง
“นี่ขนาดข้าเป็นคนวางแผนให้เอ็งไปพบนังดารกา เอ็งยังกล้าตอแหลว่าไม่เจอมัน” สดับด่ามาลี
“ฉันแค่ไม่อยากให้พี่ไปยุ่งกับดารกา สงสารลูก”
สดับหัวเราะลั่นออกมา มองมาลีอย่างสังเวช
“พี่หัวเราะอะไร” มาลีสงสัย
“ก็ทุเรศเอ็งน่ะสิ ดัดจริตเป็นห่วงลูก ถุย! อุ้มมันไปทิ้งอยู่เหยงๆ อย่างเอ็งน่ะ เค้าเรียกว่าอีแม่ใจร้าย”
สดับว่าพลางก้าวไปคว้าขวดเหล้าใกล้ๆ มาลีปราดตามองตามอย่างแสนชิงชัง
“อยากด่าอะไรฉันก็ด่าไปเหอะ ฉันจะไม่ทิ้งมันเลย ถ้ามันไม่ได้มีพ่อเลวๆที่ข่มขืนฉันจนท้องมันออกมา” มาลีประชด
“เอ็งหยุดเลยนะนังมาลี” สดับตวาดเสียงดัง
“ฉันไม่หยุด พี่นั่นแหละต้องหยุดด่าฉันซะที รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่เคยคิดอยากจะอยู่กับพี่เลย หนีไปไกลถึงอิสาน พี่ก็ยังไปตามฉันกลับมารองมือรองตีนพี่ แถมยังต้องทำงานงก ๆๆๆ หาตังค์มาให้พี่ผลาญ ไม่เหล้าก็ยาไม่ยาก็เหล้า” มาลีใส่อีกเป็นชุดอย่างเหลืออด
“กูบอกให้หยุดไงอีมาลี”
“ไม่รักไม่ห่วงกันไม่เป็นไร แต่ขอทีเหอะ เลิกด่าเลิกตีฉันซะที ฉันก็คนนะมันเจ็บนะโว้ย กรี้ด”
เสียงกรีดร้องท้ายประโยคคำพูดของมาลี เพราะมีขวดเหล้าลอยเฉียดหัวมาลีไปนิดเดียว แตกเพล้งทันทีที่กระทบกับข้างฝา มาลียกมือไหว้ปะหลกๆ
“ฉันขอโทษจ้ะพี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น”
สดับโมโหสุดๆ ชี้หน้าด่า “อีมาลี ตีมึงไปก็เสียมือกูเปล่าๆ มึงหุบปากชั่วๆ ของมึงซะที กูจะบอกให้เอาบุญนะว่าทุกอย่าง “ท่าน” ลิขิตไว้แล้ว ต่อให้มึงไม่ถูกข้าข่มขืน มึงก็ต้องถูกไอ้หน้าไหนสักคนลากไปเหมือนกัน” สดับเน้นตรงคำว่า “ท่าน” ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน
“คำก็ท่านสองคำก็ท่าน ไอ้ท่านของพี่น่ะมันก็วิญญาณชั่วตอนที่พี่กินเหล้า-เล่นยานั่นละวะ”
มาลีหลุดปากด่าสดับอีก ด่าเสร็จก็นึกขึ้นได้ หน้าซีดเผือด ยกมือไหว้ ตัวสั่นงันงกรีบถดตัวหนี
“ฉันขอโทษจ้ะพี่ ฉ..ฉัน...”
สดับไม่ฟังคำขอโทษ ตรงเข้ามาจิกผมมาลีตบไปฉาดใหญ่ มาลีกรีดร้องลั่น
“อ๊าย.....”
เวลาผ่านไป มาลีอยู่ในสภาพบอบช้ำ นั่งซุกตัวอยู่ที่มุมบ้าน ใบหน้าเขียวปูด ริมฝีปากมีคราบเลือด แววตามาลีเหม่อลอย และเจ็บช้ำ

ขณะเดียวกันนั้นดารกาเดินหาจดหมายอย่างร้อนรน วิ่งหาตามมุมโน้นมุมนี้ แล้วจังหวะหนึ่งก็ชนเข้ากับแนนนี่อย่างจัง
“ว้าย!”
แนนนี่โดนชนจนเซไปเกือบจะล้ม แต่คว้าต้นไม้ไว้ได้ทัน ดารกาเพียงเหลือบมองแนนนี่แว่บนึง แล้วกวาดตาหาของต่อ
“นี่! ไม่คิดจะขอโทษกันเลยเหรอ” แนนนี่ฉุน
“จะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่งกับพี่” ดารกาว่า
แนนนี่ฟังแล้วปรี้ดอย่างหนัก
“อีกแล้วนะ พี่ดาชนแนนนี่เห็นๆ คิดได้ไงมาว่าแนนนี่ยุ่งห๊า เมื่อเย็นก็ทีนึงแล้ว คำก็ยุ่งสองคำก็ยุ่ง ขอโทษแนนนี่เดี๋ยวนี้นะ” แนนนี่จับตัวดารกา
ดารกาสะบัดตัวสุดแรง หันมาจ้องหน้าแนนนี่เขม็ง นัยน์ตาเป็นประกายสีแดงวาบ น่ากลัว แนนนี่ผงะ ตะลึงงัน
ดารกาก้าวช้าๆ เข้ามาหาแนนนี่

สดับนอนหลับคาขวดเหล้า รอบตัวเห็นโต๊ะบูชาเครื่องรางของขลัง ล้วนแต่เป็นของประหลาด ตุ๊กตาปั้น หน้าตาน่ากลัว หัวสัตว์แห้งๆ หนู กระรอกสตาฟ ฯลฯ ทั้งห้องไม่มีพระเจ้าสักองค์!!
จู่ๆ ที่ใบหน้าสดับมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้น ปากหมุบหมิบส่งเสียงพูดเบาๆ ออกมา
“ลูกพ่อ...”

ใบหน้าของดารกาเวลานี้ดุดัน แววตาเป็นสีแดงฉาน กำลังก้าวตรงมาหาแนนนี่อย่างหมายมาด แนนนี่ผงะถอย มองดารกาในอาการงงงัน
เสียงของสดับดังล่องลอยมาไกลๆ เสียงดังก้องกังวาน
“ใช้พลังของเจ้า ..ดารกา...ลูกพ่อ”
ใบหน้าดารกา เพ่งตามองเขม็งไปที่แนนนี่

สดับยังคงหลับอยู่ แต่มีรอยยิ้มพึงพอใจออกมา มาลีก้าวท้าวผ่านไปแล้วหยุดหันมามอง มีกะละมังคอนอยู่ที่สะเอว ของมาลี ใบหน้ายังคงบวมช้ำ มาลีมองสดับซึ่งหลับอยู่ที่พื้นอย่างแสนชิงชัง
“สักวันเหอะ ข้าจะทุบหัวเอ็งให้เหมือนปลาดุกนี่เลย ไอ้ดับ”
จังหวะนั้นก็มีเพื่อนบ้านส่งเสียงตะโกนมาจากหน้าบ้าน
“ปลาข้าได้ยังนังมาลี”
มาลีหันมองแล้วส่งเสียงตอบกลับไป
“ได้เดี๋ยวนี้ๆ แป๊บเดียวพี่หมอน”
มาลีกุลีกุจอไปวางกะละมังใบนั้นลงที่มุมหนึ่ง ซึ่งมีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือการทำปลาครบครัน ทั้งไม้ที่ทุบหัวปลา ที่ขอดเกล็ด เขียง กะละมัง
ส่วนสดับยังคงอยู่ในความฝัน เอ่ยปากสั่งดารกาในความฝัน
“ฆ่ามัน”
เป็นจังเดียวกับที่มาลีเงื้อมือที่ถือท่อนไม้ขึ้น ทุบลงหัวปลาบนเขียง
เลือดปลากระเซ็นลงบนพื้นบ้าน

เสียงสดับดังลอยมาแต่ไกล พร้อมกับภาพดารกาตรงดิ่งเข้าไปหาแนนนี่แบบขาดสติ สีหน้าแววตาดูดุดันและน่ากลัว“ฆ่ามัน”
แนนนี่ตาเบิกโพลง รู้แน่ว่าไม่ใช่ดารกา แนนนี่ตัดสินใจวาดมือไปข้างหน้า ร่ายมนตร์ป้องกันตัว ดารกาชนเข้ากับกำแพงเวทมนตร์โปร่งแสง ร่างดารกากระเด้งหงายหลังอย่างแรง ดารกาหวีดร้อง
พลันทาฮิร่าก็ปรากฏตัวขึ้นในจังหวะที่ดารกาไม่เห็น ทาฮิร่าส่งเสียงเกรี้ยวใส่แนนนี่
“นี่เจ้าทำอะไรแนนนี่”
แนนนี่เถียงฉอดๆ ในทันที มั่นอกมั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก
“นั่นไม่ใช่พี่ดาค่ะ แต่เป็นใครไม่รู้ เค้าจะทำร้ายแนนนี่”
ดารกาเงยหน้าขึ้น ทำท่าจะยกมือไหว้ทาฮิร่า
“...คุณยาย”
ทาฮิร่าปราดเข้าไปช่วยดารกา
“ไม่ต้องๆๆ ไม่ต้องไหว้ก็ได้ โถแม่คุณ...”
แนนนี่ตาลุกวาว งุนงงกับท่าทีอ่อนระโหย น้ำเสียงอ่อนโยนของดารกาที่กลับมาเป็นคนเดิม ทาฮิร่าหันขวับที่แนนนี่
“เราต้องคุยกัน”

ชิกเก้นกรอกตาหันซ้ายทีขวาที มองแนนนี่กับทาฮิร่าสองยายหลานที่กำลังทุ่มเถียงกัน ทาฮิร่าทำหน้าดุใส่ แต่แนนนี่มองสู้สายตา สีหน้าไม่รู้สึกผิด

“นอกจากที่เจ้าจะละเมิดสิ่งที่ยายสอนว่าห้ามใช้เวทมนตร์พร่ำเพรื่อ เจ้ายังใช้มันเพื่อทำร้ายคนอื่น”
“แต่แนนนี่บอกแล้วไงว่าพี่ดาจะทำร้ายแนนนี่ แนนนี่ไม่ใช่คนชอบโกหกยายก็รู้”
“ไม่รู้” ทาฮิร่าโกรธจัด
แนนนี่หน้าม่อย
“ยายไม่เห็นเราจะเคยพูดตรงไปตรงมากับยายสักเรื่อง พักหลังนี่ยิ่งสนิทกับเจ้าตะเกียงแก้ว พากันร้ายกาจไปใหญ่ นี่คงถูกมันยุส่งเข้าให้ละสิ”
“ไม่เกี่ยวกับพี่ตะเกียงแก้วเลยนะยาย จะเอาแนนนี่ไปสาบานวัดไหนก็ได้ พี่ดาจะทำร้ายแนนนี่จริงๆ”
“จะทำ แต่ก็ยังไม่ได้ทำ แต่เรานั่นละที่ลงมือทำเค้าเห็นๆ”
ชิกเก้นมองแนนนี่อย่างอ่อนใจ
“ไม่น่าเล้ยแนนนี่”
ทาฮิร่าหันขวับที่ชิกเก้น เรียกเสียงเขียว
“เจ้าชิกเก้น!”
ชิกเก้นสะดุ้งเฮือก
“อะคะ..ครับนาย!”
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเจ้ามีส่วนต้องรับผิดชอบ” ทาฮิร่าสรุปความ
“อ้าว ไหงงั้นล่ะ ไม่ใช่ความผิดของชิกเก้นสักหน่อย อีกอย่างตอนเกิดเรื่องชิกเก้นก็อยู่ที่เมืองเวทมนตร์”
“หน้าที่ของแกคืออะไร” ทาฮิร่าถาม
“ดูแลแนนนี่ไม่ให้คลาดสายตา” ชิกเก้นพูดขึ้นมาเอง จนรู้สึกตัวเอง “เอ่อ..คือ..”
“ไม่ต้องเอ่อต้องคืออะไรทั้งนั้น รู้แล้วใช่มั้ยว่าแกต้องรับผิดชอบ มันเป็นความผิดของแกเต็มๆ”
ชิกเก้นหน้าเซ็ง แนนนี่คว้ามือชิกเก้นเอ่ยขึ้น
“งั้นดีเลย ชิกเก้นจมูกดีๆ ไปดมพี่ดาให้หน่อยสิ ต้องมีอะไรประหลาดในตัวพี่ดาแน่นอน”
ทาฮิร่าโมโหจัด หันมาดุทันควัน “แนนนี่”
แนนนี่เสียงอ่อย “ค่า...”
ทาฮิร่าส่งสายตาเข้มดุ แนนนี่คอย่น หน้าม่อย
“ค่า ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง รอพี่ดาหักคอแนนนี่ตายก่อนยายถึงค่อยเชื่อแนนนี่ก็ละกัน”
แนนนี่หมุนตัว แล้วหายวับเข้าไปในตะเกียงแก้ว ทาฮิร่าส่งเสียงเรียกตาม
“แนนนี่! เอะอะหนีเข้าตะเกียงแก้ว...ที่แนนนี่เป็นอย่างนี้ฉันว่าเจ้าตะเกียงแก้วก็มีส่วน” ทาฮิร่าพูดอย่างเหลืออด
จู่ๆ ชิกเก้นก็เปรยขึ้นมาลอย ๆ
“โทษคนโน้นโทษคนนี้ไปเรื่อย เฮ้อ ...ถ้านายมาหาแนนนี่ให้ถี่หน่อยก็ไม่มีปัญหา”
“อ้าว นี่แกจะว่าเป็นความผิดของฉันงั้นเหรอ” ทาฮิร่าโวยลั่น
“เปล่าคร้าบ วู้ไปดีกว่า”
ชิกเก้นกระโดดแผลวออกหน้าต่างไป
ทาฮิร่าหน้าเครียดขึ้นมาอีก นึกถึงใบหน้าดารกาในนิมิต ก่อนที่จะมาหาแนนนี่ที่โลกมนุษย์

ที่เมืองเวทมนตร์
บาบาร่าวางท่าขึงขัง ขณะเดินตัวตรงหน้าเชิดไปตามทางในโรงเรียนแม่มดกับทาฮิร่า นักเรียนผ่านไปมาต่างหยุดค้อมหัวทำความเคารพบาบาร่ากับทาฮิร่า
“เราสองคนก็แค่ได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษ ไม่เห็นต้องเชิดขนาดนั้นเลยยัยบาบาร่า” ทาฮิร่าแขวะเพื่อนเลิฟแม่มดแบรนด์เนม
“ฮะฮ่า พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่รู้อะไรซะแล้ว ฉันน่ะจะลงสมัครเลือกตั้ง ประธานสภาแม่มดเพื่อสังคมสมัยหน้าจ้ะ ก็ต้องซ้อมทำหน้าเริดเชิด สร้างความน่าเชื่อถือเอาไว้”
ทาฮิร่าทำท่ากลั้นขำเต็มที่ “แม่มดเพื่อสังคมเนี่ยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิยะ มีอะไรน่าขำ” บาบาร่าเชิดต่อ
“เธอทำอะไรเพื่อสังคมบ้างล่ะ” ทาฮิร่าถาม
“ก็....” บาบาร่านึกไม่ออกสักข้อ “เออนั่นสิ ฉันทำอะไรบ้าง”
ทาฮิร่าส่ายหน้า ยิ้มหน่าย พลันทาฮิร่ารู้สึกถึงเสียงแว่วในหู เป็นเสียงแนนนี่
“อย่าเข้ามานะ”
ทาฮิร่าหันขวับ เหลียว มองไปรอบตัว บาบาร่ามองทาฮิร่า อย่างงุนงง
“อะไรของเธอทาฮิร่า ทำไมต้องทำท่าตกอกตกใจขนาดนั้น หรือว่าเป็นห่วงกลัวฉันจะไม่ได้เป็นประธานสภาฯ”
ทาฮิร่าสั่นหัว ปฏิเสธบาบาร่าทั้งที่สายตายังเหลียวไปทั่ว
“ไม่มีอะไร รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันสอน”
ทาฮิร่าก้าวไปกับบาบาร่า แต่แล้วพลันมีเสียงสดับดังเข้ามาอีก
“ฆ่ามัน”
ทาฮิร่าชะงักเท้ากึก จังหวะนั้นปรากฎภาพจางๆ ให้เห็นว่าเป็นดารกากำลังตรงเข้าทำร้ายแนนนี่ปรากฏขึ้นในความคิดทาฮิร่า
พร้อมๆ กับเสียงสดับดังลอยเข้ามาแต่ไกล ในขณะที่ดารกาตรงดิ่งเข้าไปหาแนนนี่แบบขาดสติ สีหน้าแววตาดูดุดันและน่ากลัว
“ฆ่ามัน” เสียงสดับดังขึ้นอีก
แนนนี่ตาเบิกโพลงด้วยความตื่นกลัว
นึกถึงตรงนี้ขึ้นมา สีหน้าทาฮิร่าหวาดหวั่น เมื่อนึกถึงนิมิตที่เห็นซึ่งเป็นเหตุให้รีบมาหาแนนนี่ที่เมืองมนุษย์
“เด็กคนนั้น...”
ทาฮิร่ารำพึงออกมา ครุ่นคิดถึงดารกาอย่างสงสัย

บุษบาทายารักษาแผลพุพองที่ฝ่ามืออยู่ในห้องรับแขก ไชยถือแก้วเครื่องดื่มมานั่งลง กดรีโหมดเปิดทีวีพลางถามบุษบาลอย ๆ ไม่ใส่ใจนัก
“ยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอ” ไชยถามขึ้น
“ดีขึ้นกับผีสิคะ ดูเอาเองก็แล้วกัน”
บุษบาหงายฝ่ามือให้ไชยดู พอไชยหันมาดูแล้วต้องเบิกตาด้วยตกใจ
“เฮ้ย นี่มันแผลไฟไหม้แล้ว”
ฝ่ามือบุษบา เห็นเป็นแผลพุพองตรงกลาง ขนาดไม่ใหญ่นัก ประมาณเหรียญสิบบาทเห็นจะได้
“ไหนบุษว่าถูกต้นไม้ในสวนบ้านภวัตเกี่ยวเอาไง” ไชยถามอย่างสงสัย
“ก็พูดไปอย่างนั้นล่ะค่ะ แต่จริงๆ น่ะไม่ใช่หรอก”
บุษบาครุ่นคิดถึงที่มาของแผลอย่างแค้นเคือง

วันนั้นขณะที่ดารกาเดินลิ่วออกมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พลันมีเสียงดังขึ้นตามหลัง
“เดี๋ยวสิ”
ดารกาเหลียวกลับไป พอเห็นว่าเป็นบุษบาก็หน้าเจื่อนไป
“ฉันจะบอกให้เอาบุญนะว่าภวัตน่ะเค้าไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินไปกว่าเด็กข้างบ้าน”
ดารกากำมือแน่น บุษบายิ้มอย่างเป็นต่อ
“ฉันหวังดีหรอกนะถึงพูดกับเธอตรงๆ อย่าเสียเวลาเลยเด็กโง่”
บุษบาวางมือที่บ่าดารกา ยิ้มอย่างยียวน จู่ๆ ที่มือบุษบาซึ่งวางบนไหล่ดารกา ก็มีแสงวาบขึ้นมา บุษบากระตุกมือกลับทันควัน ร้องตกใจลั่น รู้สึกราวกับถูกกระแสไฟพุ่งชนฝ่ามืออย่างแรง
“อ๊าย...อะไรกันเนี่ย”

ดารกาจ้องตาบุษบานิ่ง ไม่เข้าใจเช่นกันว่าบุษบาเป็นอะไร? 

อ่านต่อหน้า 2





อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 3 (ต่อ)

บุษบายิ่งคิดก็ยิ่งแค้นดารกา

“ทีแรกบุษก็คิดว่าแค่ไฟฟ้าสถิตจากเสื้อยัยเด็กนั่น แต่มันไม่ใช่แน่ๆ ดูแผลบุษสิ พองยังกับถูกไฟลวกอย่างที่พี่ไชยว่านั่นละ”
“ใช่เลยละ เมาแล้วเผลอไปโดนอะไรรึเปล่า ไม่ต้องเถียงหมอ นี่มันแผลถูกของร้อนลวกชัดๆ”
“จะบ้าเหรอคะพี่ไชย นี่บุษเพิ่งกลับมานะคะ จะไปดื่มกับใครที่ไหนได้”
“เอาละๆ พี่ไม่เถียงด้วยแล้ว เรามาคุยกันเรื่องน้องดาดีกว่า ตกลงบุษจะจัดให้พี่เมื่อไหร่”
บุษบาเบ้ปากเยาะพี่ชาย
“แหมๆๆ บุษละอยากเอากระจกมาส่องให้พี่ไชยเห็นหน้าตัวเองตอนนี้จัง แววตานี้หวานเยิ้มเชียวนะ น้องดาอย่างนั้นน้องดาอย่างนี้”
ไชยหัวเราะขำ
“ตกลงตายน้ำตื้น ชอบยัยเนิร์ดหน้าจืดนั่นจริงๆ อ่ะ?” บุษบาถามยิ้มหยัน
“ก็จริงน่ะสิ ไม่ดีหรอกเหรอ พี่เป็นหมอ เค้าก็เป็นนักศึกษาแพทย์ ได้มาเป็นแฟนมีแต่ดีกับดี ช่วยทำงานที่โรงพยาบาลเราได้ด้วย” ไชยว่า
“คิดการณ์ไกลนะคะ ได้เลย จัดให้เร็วที่สุดค่ะ บุษเองจะได้หมดเสี้ยนตำหัวใจไปหนึ่ง”
“พูดอย่างกับว่าภวัตมีใครอีกงั้นเหรอ”
“ค่ะ ..แค่ยังไม่เห็นตัวจริง แต่ก็ตื้อใช้ได้เลย ชื่อยัยแนนนี่”
“ว้าว ชื่อน่ารักซะด้วย” ไชยยิ้ม
“หยุดเลยค่ะ หยุดเลย ไม่ใช่เสป็คพี่ไชยแน่ค่ะ เท่าที่ฟังจากภวัต ยัยแนนนี่ต่างจากยัยดารกาแบบฟ้ากับเหว เรียนก็โง่ เกเร เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง”
บุษบาเมาท์แนนนี่อย่างสนุกปาก ส่วนไชยพยักหน้าฟังอย่างสนใจ

จู่ๆ แนนนี่ที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงภายในตะกียงแก้วก็จามลั่น ใบหน้าตะเกียงแก้ว ทำหน้าเหยเก
“ว้าย อี๋ นี่เธอจามไม่หยุดเลยนะแนนนี่ เป็นไรมากเปล่าอ่ะ” ตะเกียงแก้วถาม
แนนนี่ขยับจมูกฟึดฟัด
“นั่นสิ ใครนินทาฉันนะ” แนนนี่ตั้งสมมุติฐาน
“ฮุ้ย ต้องถามด้วยเหระจ๊ะ เธอน่ะมีศัตรูออกรอบตัว” ตะเกียงแก้วสัพยอก

“อ้าวๆ พูดอย่างนี้ไม่เข้าข้างกันเลยนี่ ฉันไปดีกว่า แล้วโคมไฟอันใหม่ก็ลืมไปได้เลย เอาตะเกียงไปก็แล้วกัน” แนนนี่เสกตะเกียงเก่าๆ ขึ้นที่โต๊ะ “นี่แน่ะ”
ตะเกียงแก้วโวยวาย
“ฮึ้ย ได้ไง เอาออกไปนะแนนนี่ ไม่เข้ากับบุคลิกฉันเลย”
“ฉันจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์เธอให้มันเก๊าเก่าๆๆๆ ทั้งหมดนี่เลย ถ้าเธอขืนพูดจาไม่เข้าหูฉันอีก”
“ที่พูดก็เพราะหวังดีหรอก อยากให้เธอระวังตัวไว้ เท่าที่ฟังเธอเล่า แม่ดารกานี่ไม่ธรรมดาเลยนะ” ตะเกียงแก้วเตือนอย่างห่วงใย
“แต่ไม่มีใครเชื่อฉัน” แนนนี่บ่น
“ฉันยังไม่เชื่อเลย อุ๊บส์ ไม่ใช่นะไม่ใช่!ฉันหมายถึงว่า ดารกาไม่มีวี่แววว่าจะร้ายกาจอย่างที่เธอเล่าได้เลย” ตะเกียงแก้วรีบแก้ตัวแก้ต่าง
“ไม่เป็นไร ฉันนี่แหละจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ของพี่ดาให้ได้”
“ด้วยวิธี?” ตะเกียงแก้วถามออกมา
“ไม่รู้” แนนนี่ตอบหน้าตาเฉย
“อ้าว”
“ก็ถ้ารู้ฉันก็จัดการไปแล้วซี่”
แนนนี่เดินวนไปมา ครุ่นคิดอย่างหนัก

ทางด้านดารกาเดินเหม่อเข้ามาในห้อง สีหน้าแววตาดูหมดหวัง ครุ่นคิดถึงชะตากรรมตัวเองกับจดหมายสำคัญจากมาลีที่หายไป
เวลาผ่านไปดารกาค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะกระจก น้ำตารินขณะจ้องหน้าตัวเองในกระจก
“ทำไมต้องเป็นเธอด้วยฮึดารกา ชีวิตเธอกำลังไปได้ดี ..แม่... ทำไมแม่ต้องปรากฏตัวตอนนี้ด้วย แม่มาทำไม ...มาทำไม ฮือ...”
ดารกาเหลียวมองรูปหมู่ที่มีภวัต ดารกา แนนนี่ ธานี รัดเกล้า อย่างเศร้าสร้อย
“ฉันยังอยากอยู่ที่นี่ ...อยู่ใกล้ ๆพี่ภวัต ...พี่ภวัต...”
ดารกาซบหน้าลงกับลำแขนของตัวเอง แล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นซองจดหมายอยู่บนโต๊ะนั้น
“จดหมาย!”
ดารกาลุกพรึบ คว้าจดหมายมา สีหน้าประหลาดใจมาก
“ใช่จริงๆ ด้วย”
ดารกามองจดหมายนั้นอย่างร้าวราน
“หรือว่าฉันควรจะสู้ความจริง?”

เวลาเดียวกันนั้น ธานียืนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนห้องดารกาซึ่งเปิดไฟอยู่ ธานีมีสีหน้าเป็นกังวล
“ได้จดหมายคืนแล้วก็ขอให้ดีขึ้นนะ ..น้องดา...”
ธานีทอดถอนหายใจ แล้วหมุนตัวไปทางหนึ่ง พลันเจอเข้ากับรัดเกล้าที่ยืนดักอยู่แล้ว ธานีร้องลั่นด้วยความตกใจ
“เย้ย! ยัยเกล้า! เล่นอะไรของเธอห๊า?”
“เกล้าเนี่ยนะเล่นกับพี่ธานี เห็นๆ กันอยู่ว่าน้องดากำลังมีปัญหา เกล้าคงมีอารมณ์ล้อใครเล่นหรอก”
ธานีได้ฟังก็มีสีหน้าอ่อนลง มองขึ้นที่ห้องดารกาอีกครั้ง
“พี่เอาจดหมายคืนน้องดาไปแล้วนะ” ธานีบอก
“ดีค่ะ น้องดาดูเครียดมากๆ”
“ไม่เครียดยังไงไหวล่ะ แม่ที่ไม่เคยเจอหน้ากันจู่ๆ ก็โผล่มา เป็นใคร ๆ ก็ช็อก”
“น้องดาน่าเห็นใจ พี่ธานีต้องช่วยเค้านะ”
ธานีพยักหน้าท่าทางขรึม
“อยู่แล้วละ แต่ยังไม่รู้ว่าจะช่วยวิธีไหนน่ะสิ”
“อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งให้เค้ารู้ว่า เรารู้เรื่องคุณแม่น้องเค้า”
“จริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยนี่นา เราทุกคนรวมทั้งน้องดาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าน้องดาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณแม่”
“ก็ถูก ...แต่เนื้อจดหมายนั่นน่ะ มันบ่งบอกว่าคุณแม่ของน้องดาเค้าอยู่ในสภาวะไม่ปรกติเลยนะ”
“จะสภาวะหรือฐานะไหนก็เป็นแม่บังเกิดเกล้า ไม่มีเหตุผลไหนเลยที่น้องดาต้องเครียด เป็นพี่ พี่จะบอกให้ทุกคนรู้หรือรีบพาแม่มารู้จักทุกคนด้วยซ้ำ” ธานีแสดงความเห็น
“พี่ธานีไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อย่างน้องดาก็พูดได้” รัดเกล้ารู้สึกเห็นใจดารกา
“เอ้างั้นว่ามา พี่ควรจะทำยังไง” ธานีถาม
“เก็บเรื่องนี้ไว้ให้เงียบที่สุด เกล้าเองก็จะไม่พูดกับใคร แม้แต่พี่ภวัต”
ธานีพยักหน้าเครียดๆ ขณะที่รัดเกล้ามองขึ้นที่ห้องดารกาเครียดไม่แพ้ธานีเช่นกัน ธานีเหล่มองรัดเกล้า
“สังเกตอะไรมั้ย” ธานีตั้งคำถาม
“อะไร”
“วันนี้เราคุยกันดีๆ ได้นานเชียว”
รัดเกล้าหันขวับหาธานี
“เกล้าก็แค่เป็นห่วงน้องสาวของเกล้านั่นละ ยี้”
รัดเกล้าพูดจบก็ก้าวฉับๆ ไป แล้วพลันสะดุดท่อนไม้ หน้าคะมำ ธานีหัวเราะขำ รัดเกล้าลุกขึ้น แต่แล้วชนต้นไม้เข้าอีก ธานีหัวเราะไม่ออก ทำท่าจะช่วย แต่รัดเกล้าชี้หน้าห้าม ก่อนจะรีบวิ่งไปด้วยความอาย

โป่งปัดที่นอนให้ภวัต จัดหมอนให้เข้าที่ ขณะเดียวกันก็คุยกับภวัตไปด้วย
“คุณแนนนี่พูดถึงคุณภวัตไม่ขาดปากเลยละครับ เจอหน้าผมทีไรเป็นต้องพร่ำเพ้อถึงคุณภวัต”
ภวัตซึ่งเอาของออกจากกระเป๋าเดินทาง หยุดมือไว้ชั่วขณะ
“พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะนายโป่ง คุณแนนนี่โตเป็นสาวแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนแต่ก่อน เค้าจะเสียหายได้” ภวัตเตือน
“อ้าว แต่โป่งพูดเรื่องจริงนี่ครับ คุณแนนนี่น่ะหลงรักคุณภวัต บอกจะเอาคุณภวัตเป็นเจ้าบ่าวให้ได้”
“เฮ้ย นายโป่ง” ภวัตเสียงเขียวใส่
“อ่าว ก็คุณแนนนี่พูดจริงๆ นี่ครับ โป่งเปล่าแต่งเรื่องสักหน่อย”
“นายออกไปได้แล้ว ที่เหลือฉันจัดการเองได้ เฮ้อ”
โป่งออกไป ภวัตส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ขณะมองตามโป่งไป เสียงสัญญาณข้อความเข้าดังจากโทรศัพท์มือถือ ภวัตหยิบมากดอ่าน
“น้องดา...”
ที่ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของภวัต มีข้อความขึ้นว่า “ดีใจที่พี่ภวัตกลับมาค่ะ”
ภวัตกดโทรศัพท์กลับไปหาดารกา
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับน้องดา” ภวัตถาม
“ยังค่ะ น้องดานอนไม่หลับ” เสียงดารกาตอบมาทางปลายสาย
“นอนไม่หลับ? ไม่สบายรึเปล่าครับ”
“น้องดามีเรื่องไม่สบายใจ พี่ภวัตมาเจอน้องดาได้มั้ยคะ”
ภวัตทำหน้างง ขณะฟังดารกาคุยโทรศัพท์ต่อ และก้าวไปที่หน้าต่าง มองลงไปเบื้องล่างด้านนอก
“น้องดาอยู่ข้างล่างค่ะ”
ภวัตเพ่งมองไปข้างล่างฝั่งบ้านปัทมน เห็นดารกายืนอยู่ และกำลังมองมาที่ตัวเอง

ทางด้านปัทมนกำลังปลดผ้ากันเปื้อน หลังจากดูแลเก็บข้าวของที่ใช้ในงานเลี้ยงรับขวัญภวัตที่บ้านจักรวาลจนเรียบร้อย จักรวาลเดินถือถังขยะเปล่ากลับเข้ามาหลังจากเอาไปทิ้ง
“อ้าว คุณปัทยังไม่กลับอีกเหรอครับ โธ่..ผมบอกว่าพอได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ทานด้วยกันก็ช่วยกันเก็บ”
“แต่น่า...มันดึกแล้ว เชิญครับเชิญ เดี๋ยวผมให้นายโป่งเก็บต่อได้ แต่อืม..ไม่น่าจะเหลืออะไรให้ทำแล้วนะครับ คุณปัทเล่นเก็บซะเรี่ยมเลย เฮ้อ”
ปัทมนหัวเราะ ขณะพับผ้ากันเปื้อนวางคืนไว้บนโต๊ะ
“งั้นปัทขอตัวนะคะ”

เวลาเดียวกัน ดารกาไม่ยอมพูดอะไรออกมา แถมเอาแต่ร้องไห้ จนภวัตตกใจมาก จับไหล่ดารกาให้หันมามมอง
“บอกพี่มาสิครับน้องดา น้องดาเป็นอะไร มันเกิดอะไรขึ้น”
“น้องดาอยากเป็นคนที่ดีพร้อม น้องดาอยากอยู่ใกล้ๆ พี่ภวัตค่ะ” ดารกาสะอื้น
“ก็นี่ไง พี่อยู่ตรงนี้แล้วไง ใจเย็น ๆ เล่าให้พี่ฟังนะ น้องดามีปัญหาอะไร”
“น้องดารักพี่ภวัตค่ะ”
พูดจบดารกาก็โน้มคอภวัตลงมา และจูบโดยที่ภวัตไม่ทันตั้งตัว ระหว่างนั้นปัทมนกับจักรวาลเดินมาด้วยกัน
ปัทมนกับจักรวาลมองเห็นภาพดารกาจูบภวัต ทั้งสองนิ่งงันกันไป

ภวัตหน้าเครียดกลับเข้าบ้าน เสียงดารกาสารภาพรักดังอยู่ในความคิด
“น้องดารักพี่ภวัตค่ะ”
ภวัตก้าวจะพ้นห้องโถงอยู่แล้ว พลันมีเสียงจักรวาลเอ่ยขึ้น เรียกเขาไว้
“เดี๋ยวก่อนเจ้าภวัต”
ภวัตเหลียวตามเสียงเรียกนั้น เห็นจักรวาลซึ่งนั่งคอยอยู่แล้ว ลุกขึ้น จ้องภวัตสายตาเย็นชา
“พ่อมีเรื่องต้องคุยกับแก”
ภวัตสีหน้าอึกอัก อาการมีพิรุธ
ส่วนปัทมนหลังกลับถึงบ้านก็เอาแต่หลับตา ปากงึมงำสวดมนต์ มือไล่นับลูกปะคำ สีหน้าเครียดมาก เพราะภาพดารกากับภวัตจูบกันติดตาอยู่นั่นเอง
สุดท้ายสมาธิแตก ปัทมนลืมตาขึ้นอย่างว้าวุ่น พึมพำเบาๆ ออกมา
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน”
จังหวะนั้นที่ประตูมีเสียงเคาะเบาๆ และค่อยๆ แง้มเปิดออก เผยให้เห็นดารกายืนนิ่ง ในมือข้างหนึ่งของดารกาถือซองจดหมายมาลีมาด้วย
“คุณแม่ให้ป้าผาดไปตามน้องดารึเปล่าคะ”
ปัทมนเหลียวที่ดารกา และตอบด้วยน้ำเสียงขรึม
“อ้อ...ลูกดา”
ครู่ต่อมาดารกานั่งพับเพียบอยู่ตรงข้ามปัทมน มองปัทมนด้วยแววตาใสซื่อ ปัทมนค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือดารกามาอย่างนุ่มนวล
“ลูกดารู้สึกยังไงกับพี่ภวัตหืมลูก”
ดารกามีแววประหลาดใจเพียงเล็กน้อย เอ่ยถามปัทมนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างเคย
“ทำไมคุณแม่ถึงถามน้องดาอย่างนั้นล่ะคะ”
ปัทมนกลับกลายเป็นฝ่ายทำหน้าทำใจลำบากเสียเอง
“ก็..เอ้อ..แม่เห็นว่าเราสองคนสนิทสนมกันน่ะจ้ะ แม่ก็เลย..อยากรู้ว่าน้องดากับภวัตคบกันแบบไหน เป็นพี่ๆ น้องๆหรือว่าเป็น...”
“น้องดารักพี่ภวัตค่ะ” ดารกาพูดแทบจะเป็นโพล่งออกมา
ปัทมนได้ฟังคำ ถึงกับหน้าถอดสี
“น้องดาทราบว่ามันดูไม่เหมาะนักที่น้องดาจะพูดแบบนี้ แต่น้องดารู้สึกว่าเวลาของน้องดาที่บ้านนี้เหลือน้อยเต็มที”
ดารกาเหลือบตาลงมองไปที่ซองจดหมายพับครึ่งในมือ และคิดจะเล่าเรื่องที่มาลีมาพบให้ปัทมนฟัง
“คือ...คุณแม่คะ วันนี้...”
ปัทมนคิดไปคนละเรื่อง
“พอเถอะจ้ะ น้องดาไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ...แม่กับลุงจักรจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
ดารกางุนงง ขณะที่ปัทมนกระชับมือที่จับมือดารกา สบตาดารกาแน่วแน่
“ไว้ใจแม่นะ”
ดารกาพยักหน้าลอยๆ งุนงง แต่ไม่ถามอะไรออกมา พลางดันซองจดหมายทับไว้ใต้น่อง

ภวัตตกใจมากพอรู้ว่าจักรวาลกับปัทมนเห็นภวัตกับดารกาจูบกัน
“ผมอธิบายได้นะครับพ่อ”
“ถ้าพ่อไม่ได้เห็นทุกอย่างกับตา พ่อคงต้องการฟังคำอธิบายจากแก”
“มันไม่ใช่อย่างที่พ่อกับอาปัทเข้าใจเลยนะครับ”
“แกจะบอกว่าหนูดาเป็นฝ่ายคว้าคอแกมาจูบอย่างนั้นสิ?”
“ครับ” ภวัตตอบตามจริง
“ภวัต!” เสียงจักรวาลดุ ท่าทีเข้มเคร่ง
ภวัตนิ่งงัน เพราะจักรวาลไม่เคยส่งเสียงดุมาก่อน
“ดีที่มีแค่แกกับพ่ออยู่กันสองคนนะ ถ้าคุณปัทมนเค้ามาได้ยินแกพูดถึงลูกสาวเค้าอย่างนี้แกคิดว่าเค้าจะว่ายังไง”
“แต่พ่อครับ...” ภวัตพยายามจะอธิบาย
“เราสองครอบครัวคบหากันมาตั้งแต่แกยังจำความไม่ได้ พ่อจะไม่ยอมให้เสียความสัมพันธ์เพราะเรื่องทำนองนี้เด็ดขาด” น้ำเสียงจักรวาลจริงจัง
ภวัตตัดสินใจเงียบฟัง ทั้งที่ใจว้าวุ่น รู้ดีว่าอธิบายไปเวลานี้จักรวาลไม่พร้อมที่จะฟัง
“ทั้งแกและพ่อต้องรับผิดชอบ”
“รับผิดชอบอะไรกันครับพ่อ ก็ในเมื่อ...”ภวัตพูดไม่ทันจบคำ
“พ่อคิดดีแล้ว แกมีหน้าที่ทำตามเท่านั้น”
ภวัตงงงัน

โป่งกำลังหลับอยู่ พอพลิกตัวในอาการสลึมสลือก็เห็นภวัตนั่งอยู่ข้างๆ
“คุณภวัต”
โป่งขยี้ตาซ้ำอีกที พยายามเพ่งมองภวัต
“ฝันไปแน่ๆ” โป่งหัวเราะขำ “คุณภวัตจะมาอยู่ห้องโป่งได้ไง ฮ๊าว”
ภวัตหันมาพูดกับโป่งอย่างสุดเซ็ง
“ช่วยฉันหน่อยสิวะโป่ง”
โป่งพลิกตัวทำท่าจะหลับต่อ พอนึกได้ก็ตาลุกโพลง
“เย้ย พูดได้ด้วย”
โป่งคว้าผ้าห่มมาคลุมโปง ภวัตดึงผ้าห่มโป่งออกอย่างรำคาญๆ
“นี่ฉันเอง”
“คะ..คุณภวัต”
“เออ”
“มาทำอะไรห้องโป่งครับ เอ่อ..คงไม่ได้หมายความว่า...” โป่งยังพูดเล่นคะนองปากตามนิสัย
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว นายช่วยฉันหน่อยสิ ฉันคิดหัวจะระเบิดอยู่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นครับ” โป่งถามเป็นงานเป็นการ

เวลาผ่านไป หลังจากที่โป่งเปิดไฟและนั่งคุยกับภวัตเป็นจริงเป็นจัง ภวัตจ้องหน้าโป่ง
“นายเคยเล่าว่าที่บ้านนาย ผู้หญิงผู้ชายที่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน ถ้าถูกตัวกันถึงกับต้องแต่งงานกันเลยใช่มั้ย นาย
เรียกว่าผิดผีอะไรเนี่ยแหละ มันเรื่องจริงรึเปล่า”
โป่งหัวเราะร่วน อย่างขำๆ
“บอกว่านั่นมันโบราณแล้วครับคุณภวัต ไม่มีหรอกครับแค่ถูกเนื้อต้องตัวเนี่ยนะจะต้องถึงกับแต่งงาน”
ภวัตได้ฟังก็มีสีหน้าโล่งใจ
“ถ้าจูบก็ว่าไปอย่าง” โป่งว่า
ภวัตชะงักกึก หน้าเศร้าขึ้นมาอีก โป่งมองหน้าภวัตอย่างสงสัย
“อย่าบอกนะครับว่าคุณภวัต...”
ภวัตนิ่งอึ้ง แล้วค่อยๆ พยักหน้ารับ โป่งร้องลั่น
“กับใครครับ หรือว่าคุณแนนนี่!”
“เฮ้ย ไม่ใช่นะ” ภวัตปฏิเสธลั่น
“ล..ล..แล้วใครกันครับ โอ..อาจารย์รู้เข้าอาละวาดตายเลย” โป่งพูดอย่างกังวล
“อาจารย์?” ภวัตงง
“ก็คุณแนนนี่นั่นละครับ” โป่งเฉลย
“อ่อ เค้าสอนมายากลนาย ฉันลืมไป”
“แล้ว..เอ่อ..ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครอ่ะครับ”
“น้องดา...”
“คุณหนูดารกา?! นี่คุณภวัตไม่ได้ล้อโป่งเล่นใช่มั้ยครับ” โป่งยากจะทำใจเชื่อ จึงถามย้ำออกมา
ภวัตสั่นหัวใบเศร้าสร้อย
“โอ..ตายๆๆ ยิ่งคนนี้‘จารย์อาละวาดหนักเลย คุณภวัตคร้าบ บอกโป่งได้มั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันไม่รู้”
“คุณภวัตทำไปเพราะความเมา ไม่รู้ตัวอะไรอย่างนั้นน่ะเหรอครับ โธ่ๆๆๆ” โป่งกังวลหนักขึ้น
“ไม่ใช่! เฮ้อ อธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ นายช่วยฉันคิดทีสิ ฉันจะทำยังไงดี” ภวัตชวนเข้าเรื่อง
“โป่งเป็นแค่คนใช้ ไม่กล้าให้คำปรึกษาคุณภวัตหรอกครับ”

“แค่ฟังฉันก็ยังดี หัวฉันจะระเบิดอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้คุยกับใครสักคนฉันคงบ้า คุณพ่อจะจับฉันหมั้นกับน้องดา”
“ห๊า”
โป่งร้องเสียงหลง ในขณะที่ภวัตมีสีหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างหนัก

แนนนี่เดินผ่านหน้าห้องพระไปเฉียดกับดารกาที่เปิดประตูออกจากห้องพระมา ใบหน้ามีความสุข แนนนี่ชะงักเท้า เหลียวมองดารกาอย่างตั้งรับ
ภาพดารกาที่ตาลุกวาวแดงฉานแวบเข้ามาในความคิด ใบหน้าดารกาดุดัน แววตาเป็นสีแดงฉาน กำลังก้าวตรงหาแนนนี่ยังชัดเจนอยู่ในความคิด
แนนนี่จ้องดารกา ไม่วางใจ ขณะที่ดารกาก้าวเข้าหา
“อย่าเข้ามานะ”
ทว่าดารกากลับยิ้มทักราวกับเป็นคนละคนที่จะทำร้ายแนนนี่เมื่อเย็น
“ยังไม่นอนอีกเหรอจ๊ะแนนนี่”
แนนนี่จ้องดารกาอย่างไม่ไว้ใจ
“จะมาไม้ไหนอีก ฉันไม่กลัวเธอหรอกนะ”
“พี่ดาเนี่ยนะทำให้แนนนี่กลัว?” ดารกาทำหน้าแบ๊วไม่รู้เรื่อง
“รู้ก็ดีแล้ว ฉันไม่กลัวเธอ แต่ที่ปล่อยเธอ เพราะไม่อยากทำต่างหาก”
“แนนนี่พูดอะไรพี่ดางงไปหมดแล้ว” ดารกาจับไหล่แนนนี่ แต่แนนนี่สะบัดหนี “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ถ้าแนนนี่รู้ข่าวดีของพี่ดากับพี่ภวัต แนนนี่คงอารมณ์ดีเอง”
แนนนี่หน้าเจื่อนไปทันที
“พี่ดากับพี่ภวัตเนี่ยนะ ข่าวดีอะไร”
ดารกาไม่ตอบ เอาแต่อมยิ้มแล้วเดินจากไป
“ข่าวดีอะไรบอกมานะ อ้อ...กะจะพูดให้แนนนี่อารมณ์เสียละสิ ไม่มีทาง ยัยพี่ดาเพ้อเจ้อ”
ดารกาเหลียวกลับมายิ้มให้แนนนี่ พลางส่ายหัวเอ็นดู แนนนี่มองสีหน้าดารกาแล้วรู้สึกเอะใจขึ้นมาอย่างประหลาด

เช้าวันนี้ปัทมนมีสีหน้าไม่สบายใจ ขณะทานอาหารเช้าอยู่กับแนนนี่ ดารกา และธานี โดยมีพรคอยรับใช้ สองสาวแนนนี่-ดารกา อยู่ชุดนักศึกษา ส่วนธานี และปัทมนอยู่ในชุดทำงาน
ดารกาตักอาหารให้ปัทมนอย่างเอาใจ
“คุณแม่ทานเยอะๆ นะคะ”
แนนนี่มองพฤติกรรมดารกาอย่างสงสัย เช่นเดียวกับธานี ที่ยังคงครุ่นคิดเรื่องจดหมายจากมาลีที่ตนเก็บไปคืนดารกา
“วันนี้น้องดาดูอารมณ์ดีจัง” ธานีทัก
“งั้นเหรอคะ อืม..พี่ธานีพูดเหมือนกับว่าเคยเห็นน้องดาอารมณ์ไม่ดีอย่างนั้นละค่ะ” ดารกาน้ำเสียงระรื่น
“เปล่าๆ พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น น้องดามีความสุขพี่ก็แค่รู้สึกดีไปด้วย ทานต่อเถอะ”
แนนนี่กวาดตาที่ทุกคนซึ่งดูมีลับลมคมใน
“เมื่อคืนพี่ดาพูดว่ามีข่าวดีจะบอก ตกลงมันเรื่องอะไรเหรอคะ” แนนนี่ทนไม่ไหว ถามโพล่งขึ้นมา
ปัทมนหน้าเจื่อน หันหาดารกาเป็นเชิงเอ็ด
“ไหนลูกดารับปากกับแม่แล้วไง”
ดารกายิ้มเซื่อง เอ่ยปฏิเสธขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณแม่ น้องดาไม่เคยผิดคำพูดคุณแม่เชื่อใจน้องดานะคะ” ดารกาหันมาพูดกับแนนนี่ “ฟังอะไรผิดหรือเปล่าจ๊ะแนนนี่ พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย”
“แนนนี่ได้ยินเต็มสองหูว่าพี่ดาพูดอย่างนั้น” แนนนี่ยืนยัน
“อืม...ถ้างั้นพี่คงพูดผิดไปน่ะจ้ะ ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”
แนนนี่นิ่งไป ปัทมนพูดตัดบท
“ทานกันต่อเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะสายกันหมดนะ”
ผาดเข้ามา พูดกับดารกา สีหน้าปลื้มอกปลื้มใจ
“คุณภวัตมารับคุณหนูดาแล้วค่ะ”
ดารกายิ้มรับ รวบช้อนแล้วยกมือไหว้ปัทมน
“น้องดาไปนะคะคุณแม่”
ปัทมนรับไว้ดารกา สีหน้าไม่สู้ดีนัก ค่อยๆ เหลือบตามองแนนนี่ที่จ้องเป๋งรออยู่
ดารกาลุกขึ้น ผาดหยิบกระเป๋าสะพายและช่วยถือหนังสือให้ดารกา ดารกาหันลาธานีกับแนนนี่
“ไปนะคะพี่ธานี ..แนนนี่”
ดารกาออกไปพร้อมผาด แนนนี่กับธานีส่งเสียงเรียกปัทมนเป็นเชิงถามขึ้นพร้อมๆ กัน
“คุณแม่คะครับ”
ปัทมนวางช้อนลงเครียดๆ
“แม่รู้ว่าเราจะถามอะไรแม่ ...เรื่องนี้ยังไงแม่ก็ต้องอธิบายให้พวกเรารับทราบอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง”
“คุณแม่คงไม่ได้หมายความว่าเจ้าภวัตกับน้องดา...”
แนนนี่แทรกขึ้นทันที
“ไม่มีทางค่ะ พี่ภวัตไม่ได้คิดอะไรกับพี่ดา แนนนี่รู้ แต่พี่ดานั่นละที่แปลกๆ ตั้งแต่เมื่อคืน มันเรื่องอะไรกันคะคุณแม่ ทำไมพี่ภวัตต้องมารับพี่ดาด้วย”
ปัทมนสีหน้าลำบากใจ
“คืออย่างนี้นะจ๊ะแนนนี่.. เอ่อ”
แนนนี่ผลุนผลันลุกออกไป
“ไม่เป็นไรค่ะ แนนนี่ถามพี่ภวัตเองก็ได้”

ภวัตกำลังปิดประตูรถให้ดารกา จังหวะนั้นแนนนี่พรวดพราดออกมาจากตัวบ้าน มองภาพนั้นอย่างเสียใจ
ภวัตอ้อมไปยังฝั่งคนขับ ยื่นมือไปเปิดประตู แนนนี่ก้าวฉับเข้ามา
“เดี๋ยวค่ะพี่ภวัต”
“แนนนี่?” ภวัตตกใจ
“พี่ภวัตกับพี่ดาคบกันเป็นแฟนเหรอคะ”
“พูดอะไรอย่างนั้นแนนนี่”
“ทุกคนทำท่าทำทางแปลกๆ นี่เหลือแนนนี่คนเดียวอีกรึเปล่าคะที่ไม่รู้เรื่อง” แนนนี่ประชดเสียงแข็ง
ดารกาเห็นเหตุการณ์เปิดประตูรถลงมา พูดเสียงหวาน
“แนนนี่ปล่อยพี่ภวัตขึ้นรถเถอะจ้ะ เดี๋ยวพวกเราจะสาย”
แนนนี่ค้อนให้ดารกา คว้าแขนภวัตไว้
“แนนนี่ไม่ให้พี่ภวัตไปไหน จนกว่าพี่ภวัตจะบอกว่าพี่ภวัตคบกับพี่ดาแบบไหนกันแน่”
“ไปกันใหญ่แล้วแนนนี่” ภวัตตัดบท
แนนนี่ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่มีอะไรใช่มั้ยคะ เย้” พร้อมกันนั้นแนนนี่ก็ปรายตาไปทาง
ดารกา
ดารกาหน้าชา ตั้งท่าจะเอ่ยขึ้น แต่แล้วนึกถึงคำพูดปัทที่ขอร้องไว้เมื่อคืน
คำพูดนั้นปัทมนจับมือดารกาขอคำมั่นอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“คิดว่าทำเพื่อแม่นะ อย่าเพิ่งให้แนนนี่รู้เรื่องลูกดากับตาภวัต แนนนี่ยังเด็ก อาจจะเข้าใจอะไรผิดๆ ไปได้ ให้แม่เป็นคนบอกน้องเองเมื่อถึงเวลา”

ดารกามองนิ่งที่แนนนี่ เสียงตัวเองที่ตกปากรับคำปัทมนดังข้ามจากฉากที่แล้ว
“ค่ะ น้องดาจะไม่ทำให้แนนนี่เสียใจ”
แนนนี่เชิดหน้า รอฟังดารกา
“ว่าไงล่ะคะพี่ดา เหมือนเมื่อกี้มีอะไรจะพูดกับแนนนี่”

“ก็ไม่มีอะไร พี่ดาแค่อยากจะบอกแนนนี่ว่า ตอนนี้พี่ดามีโปรเจ็คท์การแพทย์ที่ต้องทำร่วมกับพี่ภวัตที่โรงพยาบาลหมอไชยเยอะ พี่ดาเลยจะต้องอาศัยรถพี่ภวัตไปไหนมาไหนด้วยกันมากขึ้น”
“เป็นข้ออ้างละสิไม่ว่า” แนนนี่หันมาพูดกับภวัต “ที่พี่ดาพูดมาเป็นเรื่องจริงเหรอคะพี่ภวัต”
“ใช่จ้ะ”
ไม่นานต่อมา แนนนี่ยืนอยู่คนเดียว มองตามรถภวัตที่แล่นออกไปอย่างเศร้าสร้อย

ปีเตอร์นั่งดูแนนนี่กินก๋วยเตี๋ยวเป็นสิบชามอยู่ภายในโรงอาหาร
“แนนนี่นี่มันชามที่สิบแล้วนะ เอาไปเก็บไว้ตรงไหนเนี่ย” ปีเตอร์ถาม
“โลเล เปลี่ยนใจได้ทุกวัน ผู้ชายนะผู้ชาย เธออย่าเป็นอย่างนั้นนะปีเตอร์”
“โฮ้ย ไม่เป็นอยู่แล้ว แนนนี่ก็เห็นๆ อยู่ว่าปีเตอร์มีแนนนี่คนเดียว เพราะไม่มีใครคบ เอ้ยไม่ใช่! เพราะปีเตอร์รักเดียวใจเดียว เราแต่งงานกันนะ”
ไม่พูดเปล่าปีเตอร์จับมือแนนนี่มาจูบ เลยถูกแนนนี่ตบเพี้ยะที่แก้ม ปีเตอร์ครางโอดโอย
“ไม่เป็นไร ถ้าทำปีเตอร์แล้วแนนนี่สบายใจก็ทำตามสบาย” ปีเตอร์พลิกวิกฤตเป็นโอกาสซะงั้น
“หยู๊ดด หยุดพล่ามซะทีได้มั้ย ฉันจะอ้วก นี่เย็นนี้ไปเป็นเพื่อนทำธุระหน่อยสิ”
“ได้อยู่แล้ว ไปไหนล่ะ”
“โรงพยาบาล แผนกจิตเวช” แนนนี่บอกหน้าตาเฉย
“โรงพยาบาล! แผนกจิตเวช! แนนนี่มีปัญหาเรื่อง...เอ่อ...” ปีเตอร์ตกใจ เอานิ้วหมุนนิ้ววนๆ ที่หัว “แนนนี่คงไม่ได้หมายความว่าแนนนี่เป็นโรค...”
“โรคประสาท” แนนนี่เติมให้
“ห๊า” ปีเตอร์ร้องเสียงหลง
“โฮ้ยเลิกตื่นตูมซะทีได้ม๊าย ฉันไปหาพี่ภวัตย่ะ เค้าเป็นจิตแพทย์อยู่ที่นั่น”
ปีเตอร์ถอนหายใจโล่งอก
“เออ... แต่จะว่าไป พานายไปด้วยนี่ดีเลยนะ เพราะคนที่น่าจับเช็คประสาทก็นายนั่นละ” แนนนี่ว่า
“บ้าก็บ้ารักอ่ะจ้ะ”
ปีเตอร์ยิ้มแต้ให้ จังหวะเดียวกับที่แนนนี่อ้วกออกมาเป็นก๋วยเตี๋ยว ใส่เสื้อปีเตอร์เลอะเทอะไปหมด!

ลิฟต์ตัวหนึ่งของโรงพยาบาลเปิดออก มี พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือ รปภ. สองคนยืนกันสองด้านของทางเข้า บุษบาอยู่ในชุดสวยหรู สวมแว่นดำ ตรงไปเข้าลิฟต์นั้น พลันแนนนี่กับปีเตอร์วิ่งตามเข้าลิฟต์ไปด้วย
“รอด้วยค่า รอด้วยๆๆๆ”
รปภ.มองหน้ากันงงๆ หนึ่งในนั้นเอ่ยไล่แนนนี่กับปีเตอร์
“ขอโทษนะครับ ลิฟต์ตัวนี้ล็อคไว้สำหรับผู้บริหารครับ รบกวนเชิญใช้ลิฟต์อื่นด้านติดกันนะครับ”
รปภ. ว่า ในขณะที่บุษบาเชิดหน้า นิ่งเฉย รักษามาด แนนนี่เอ่ยตอบรปภ.ซื่อ ๆ
“ผู้บริหาร? ไหนอ่ะฉันไม่เห็นผู้บริหารสักคน”
บุษบาถึงกับถอดแว่นกันแดดออก แล้วจ้องหน้าแนนนี่
“ฉันนี่ละผู้บริหาร เป็นเจ้าของที่นี่ ชัดมั้ย”
แนนนี่ฟังแล้วเชิดหน้าใส่ พูดตอบอย่างไม่กลัวเกรง
“แล้วไงล่ะคะ ที่นี่เป็นโรงพยาบาล บริการประชาชน ลิฟต์นี่ก็ของโรงพยาบาล คนมาใช้บริการอย่างฉันก็ต้องใช้ได้สิ” แนนนี่พูดจบก็หันไปบอกรปภ. “ช่วยปิดประตูด้วยค่ะ”
รปภ.สองคนมองหน้ากันเลิกลัก อึกอัก ทำท่าจะกดลิฟต์ปิด
“ใครสั่งให้ปิด เปิดไว้ แล้วเอาตัวสองคนนี้ออกไป เดี๋ยวนี้” บุษบาแว้ดใส่และสั่งรปภ.
“หยุดนะ ขืนถูกตัวฉันนิดเดียว ได้มีเรื่องกับเพื่อนฉันแน่” แนนนี่รีบลากปีเตอร์มาเป็นเครื่องกำบัง
“อ้าวเฮ้ยไหงพูดงั้นล่ะ” ปีเตอร์รับมุกรีบเก็กหน้าดุใส่รปภ. “อย่าเข้ามานะ แฮ่”
“เชิญพวกคุณออกไปดีๆ เถอะครับ ที่นี่เป็นสถานที่ห้ามใช้เสียง อย่าก่อความไม่สงบเลยนะครับ”
“อ้าว พูดอย่างนี้มันหมิ่นประมาทกันนี่ ฉันก่อความไม่สงบตรงไหน เจ๊คนนี้ต่างหากล่ะ จู่ๆ มาตู่ว่าเป็นเจ้าของโรงพยาบาล ฉันว่าเป็นคนไข้โรคจิตซะมากกว่ามั้ง ฮ่าๆๆ” แนนนี่แหย่รังแตนไม่รู้ตัว
ปีเตอร์พลอยบ้าจี้หัวเราะตามแนนนี่ไปด้วย บุษบาก้าวฉับออกจากลิฟต์ แว้ดใส่รปภ.
“ลากพวกมันไปส่งตำรวจ เดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย”
รปภ.เข้ารวบตัวปีเตอร์กับแนนนี่ แนนนี่ส่งเสียงร้องดัง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่า ฉันถูกลวนลาม”
ภวัตในชุดเสื้อกราวน์ของแพทย์ก้าวออกจากลิฟต์ตัวข้างๆ หันมาเจอแนนนี่ รู้สึกตกใจมาก
“แนนนี่”
บุษบาเห็นและได้ยินภวัตเรียกชื่อแนนนี่ ก็ฉุกคิดขึ้นได้
“แนนนี่งั้นเหรอ”
แนนนี่สะบัดจากรปภ. โผเข้ากอดภวัตทันที
“ช่วยด้วยค่ะพี่ภวัต ยามกับเจ๊เนี่ยรังแกแนนนี่กับเพื่อน” แนนนี่หันมาทางปีเตอร์ “ปีเตอร์นี่พี่ภวัต”
ปีเตอร์ยกมือไหว้ภวัต แต่สายตามองมือแนนนี่ที่เกาะภวัตแน่น อยู่ในโหมดหึงๆ
“พี่ภวัตเป็นหมออยู่ที่นี่ เล่าให้พี่ภวัตฟังเลยว่าเราสองคนถูกพวกนี้ทำยังไงบ้าง”
รปภ.หน้าเจื่อน บุษบารีบปรับสีหน้าใจดี
“อ้าว ตกลงน้องเป็นน้องสาวของหมอภวัตหรอกเหรอจ๊ะ”
เจอมุกแสนดีเข้า แนนนี่ถึงกับงง
“อย่าบอกนะคะว่าพี่ภวัตรู้จักเจ๊นี่ด้วย อ๋อหรือว่าเป็นคนไข้โรคจิตของพี่ภวัต”
บุษบาหน้าตูม โกรธ
“นี่คุณบุษบา เธอเป็นเจ้าของที่นี่จ้ะ”
บุษบายิ้ม เชิดใส่แนนนี่และเตรียมรับไหว้ แต่แนนนี่กลับเชิดใส่ บุษบาไหว้เก้อ

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งหมดก็มาอยู่ในห้องทำงานหมอไชย แนนนี่ยกมือไหว้ไชย โดยมีดารกากับภวัตอยู่ด้วย
หมอไชยมองแนนนี่อย่างพอใจ พลางเอามือแตะไหล่แนนนี่
“ไม่เห็นต้องขอโทษขอโพยอะไรกันเลย เรื่องเข้าใจผิดกันแท้ๆ”
“ไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่พาน้องแนนนี่มากราบขอโทษอาจารย์ไชย ผมไม่สบายใจแน่” ภวัตเอ่ยขึ้น
แนนนี่มองมือไชยที่ไหล่อย่างเคืองๆ ไชยรู้ตัว แต่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้
“บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ว่างก็เชิญที่นี่บ่อยๆ นะครับน้องแนนนี่”
แนนนี่เพ่งไปที่มือไชย ร่ายมนตร์ปัดมือไชยออก มือไชยกระเด้งไปตบหน้าตัวเองอย่างแรง
“โอ้ย”
บุษบา กับภวัตงงงัน
“ทำไมทำอย่างนั้นล่ะคะพี่ไชย”
“เอ่อ...อ๋อยุงน่ะจ้ะ ยุงกัดแก้มพี่” แก้มไชยเป็นรอยมือเด่นชัด
แนนนี่เหยียดยิ้มสะใจ ภวัตพูดเตือนแนนนี่
“ขอโทษอาจารย์ไชย แล้วจะได้กลับกัน”
“ไหนพี่ภวัตว่าจะพาแนนนี่มารู้จักเค้าเฉยๆ” แนนนี่บ่นอุบ
ภวัตส่งสายตาดุแนนนี่
“ค่าๆ ขอโทษก็ขอโทษ คือแนนนี่เข้าใจผิดน่ะค่ะ คิดว่าเจ๊เค้า...”
“พี่บุษจ้ะ” บุษบาสวนออกมา
แนนนี่เบ้ปากอย่างเบื่อๆ ภวัตเห็นท่าไม่ดี รีบพาแนนนี่ออกไป
“อย่างนั้นผมรบกวนอาจารย์ไชยเท่านี้ก่อนนะครับ”
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ไชยมองประตูที่เพิ่งปิดลง เห็นหลังแนนนี่ไวๆ บุษบามองไชยอย่างอารมณ์เสีย
“พี่ไชยเลิกทำหน้าทำตาแบบนั้นซะทีได้มั้ยคะ”
“ทำไมล่ะ น้องเค้าน่ารักดี มองก็ไม่ได้” ไชยหัวเราะ อย่างอารมณ์ดี

“หน้าตาดี แต่นิสัยเลว พี่ไชยต้องเห็นตอนที่นังเด็กนั่นมันฉอดๆๆ ใส่บุษ ถ้าไม่ต้องรักษาภาพนะ บุษตบมันหมกลิฟต์ไปแล้ว”
“เป็นถึงเจ้าเข้าเจ้าของโรงพยาบาล มีจรรยาบรรณหน่อยค่ะคุณน้องของพี่”
บุษบากุมมือที่ได้แผลจากดารกาขณะพูด “วันก่อนเจอนังตัวพี่ วันนี้เจอนังตัวน้อง”
“น่าสนใจทั้งคู่” ไชยยิ้มกริ่ม
“พี่ไชย”บุษบาแผดเสียงลั่น

ไชยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เอามือยังกุมใบหน้าตัวเองร้อง...อูย ออกมา

อ่านต่อหน้า 3





อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว 3 (ต่อ)


ภวัตจับไหล่แนนนี่ให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรวจคนไข้

“สงบสติอารมณ์ซะหน่อยเถอะแม่คุณ”
“แนนนี่ไม่ใช่คนไข้ของพี่ภวัตนะคะ แนนนี่ไม่ได้บ้า”
“ใครบอกแนนนี่จ๊ะว่าคนที่มาพบจิตแพทย์ต้องเป็นคนบ้าเท่านั้น” ภวัตยิ้มขำ
“อ้าว จะไปรู้เหรอคะ ดูอย่างยัยบุษบานั่นสิ เห็นคุยโม้ใหญ่เลยว่าสนิทกับพี่ภวัต ติดกันหนึบเป็นตังเมเลยไม่ใช่เหรอคะ” แนนนี่ประชด
“เค้าเป็นนักศึกษารุ่นน้องที่มหา’ลัยเดียวกับพี่ แต่คนละคณะ” ภวัตอธิบาย
“พอๆๆค่ะพอ แนนนี่ไม่ได้อยากรู้เรื่องยัยเจ๊นั่นซักกะหน่อย พี่ภวัตไม่เป็นหมอที่โรงพยาบาลนี้ไม่ได้เหรอคะ”
ภวัตหัวเราะชอบใจ “เกเรใหญ่แล้ว จะให้พี่ย้ายโรงพยาบาลแค่เพราะแนนนี่ไม่ชอบเจ้าของโรงพยาบาลเนี่ยนะ”
บุษบาเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
“คุยอะไรกันอยู่ค้า”
แนนนี่เม้มปากอย่างข่มอารมณ์ พลางคิดแผนเล่นงานบุษบา
บุษบายิ้มตรงหาภวัตอย่างอารมณ์ดี
“บุษว่าจะมาชวนภวัตกับน้องแนนนี่ไปทานข้าวด้วยกันน่ะค่ะ ทานอะไรกันดีคะ”
แนนนี่เป่ามนตร์สร้างกำแพงตรงหน้าบุษบา แล้วเสกให้กำแพงนั้นโปร่งแสง บุษบาชนเข้าอย่างจัง กุมหน้าผาก ร้องลั่น
“โอ๊ย”
“บุษ”
ภวัตตกใจ จับมือบุษบาที่กุมหน้าผากอยู่ออก ปรากฏว่าบวมปูดเป็นลูกมะนาว แนนนี่กลั้นยิ้ม
“ทำไมบวมปูดเลยล่ะ เกิดอะไรขึ้น”
“บุษ..บุษเหมือนกับเดินชนกำแพงน่ะค่ะ” บุษบาเล่าตามจริง
“กำแพง?” ภวัตงง
“สงสัยพี่ภวัตต้องเช็คประสาทคุณบุษบาแล้วละค่ะ กลางห้องจะมีกำแพงได้ยังไง ไปล้มหน้าคะมำที่ไหนมาแล้วจำไม่ได้มากกว่ามังคะ ไม่ความจำเสื่อมก็แก่นั่นเอง ฮ่าๆๆๆ”
พูดจบแนนนี่ก็เดินออกไป แต่ไม่วายเหลียวกลับมาร่ายมนตร์ เสกรูปคู่ของตัวเองกับภวัตวางตรงโน้นนี้เต็มห้อง
บุษบาไม่ทันสังเกตเอาแต่เหล่มองแนนนี่ออกไปอย่างพอใจ ก่อนจะออดอ้อนภวัต
“บุษเวียนหัวจังค่ะภวัต”
“ผมว่าบุษนั่งก่อนดีกว่าครับ”
บุษบาเซซบอกภวัต แต่แล้วเหลือบมองรูปคู่ของแนนนี่กับภวัตก็ผละออกมาพรึบ
“นี่มันอะไรกันคะ ภวัตมีรูปแบบนี้ในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่”
ภวัตงงไม่แพ้กัน หยิบมาดูบ้าง
“แนนนี่?”
บุษบาเหลียวไปรอบ แล้วยิ่งแค้นใจ
“นี่ก็อีก นั่นก็ใช่ อ๊ายนี่มันห้องตรวจนะคะภวัต”
ภวัตเหลียวตามไปที่รูปคู่ในชุดแต่งงงานของแนนนี่กับภวัตรูปใหญ่ที่ข้างฝา งงงัน
ภวัตไม่ทันสังเกตว่าที่รูปนั้น แนนนี่ยักคิ้วให้กับตัวเองอยู่!!!


แนนนี่เดินหน้างุดเข้ามาหาปีเตอร์ ซึ่งนั่งแช็ทมือถือคอยอยู่บริเวณลอบบี้โรงพยาบาล
“จะนอนนี่ใช่มั้ย ฉันจะได้กลับคนเดียว”
“ใช่ เอ้ยไม่ใช่ เฮ้ เดี๋ยวสิแนนนี่”
ปีเตอร์ลุกตามแนนนี่ซึ่งก้าวฉับๆ พลางถามออกมา
“อะไรของแนนนี่อ่ะ ปีเตอร์ตามไม่ทันแล้ว เมื่อกี้เข้าไปก็ยังดีๆ ออกมาไหงอารมณ์บูดอีกแล้วล่ะ”
“ก็ยัยบุษบ้าบุษบาอะไรนั่นน่ะสิ ออดอ้อนออเซาะพี่ภวัตซะไม่มี พี่ภวัตก็ยอมให้เค้ากระทำชำเราอยู่ได้ ไม่มีศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายเอาซะเล้ย”
แนนนี่บ่นเป็นหมีกินผึ้ง แล้วต้องชะงักเท้ากึก เพราะเวลานั้นภวัตยืนอยู่ตรงหน้า
“พี่ภวัต”
“แนนนี่ทำอะไรคุณบุษ” ภวัตเสียงเข้มไม่พอใจอย่างแรง
“แนนนี่เนี่ยนะคะทำยัยบุษบา” แนนนี่ถามย้ำ น้ำเสียงม่พอใจ
“พี่รู้ว่าเป็นฝีมือแนนนี่” ภวัตหันไปทางปีเตอร์พูดเสียงสุภาพ “ขอผมคุยกับแนนนี่สักครู่นะครับ”
ภวัตไม่รอคำตอบ จูงแขนแนนนี่ไป ปีเตอร์โวยวาย
“เฮ้ เดี๋ยวสิ ผมยังไม่โอเคเลยนะ”
ห่างปีเตอร์ออกมา ภวัตคาดคั้นแนนนี่
“นายโป่งเคยเล่าให้พี่ฟังว่าแนนนี่ชอบสอนมายากล”
แนนนี่หัวเราะกิ๊กอย่างชอบใจ
“พี่ภวัตก็เลยคิดว่าแนนนี่ใช้มายากลแกล้งยัยบุษบามารศรีของพี่ภวัต? ฮ่ะๆๆๆ ทำอย่างนั้นได้ก็มีแต่แม่มดเท่านั้นละค่ะ แบร่” แนนนี่ทำท่ายกมือหลอก
“ทำไมชอบพูดถึงแม่มดนักนะเรา ล้อเล่นอย่างนี้น่ะ พี่ถึงกับเคยเก็บเอาไปฝันว่าแนนนี่ขี่ไม้กวาดตามเครื่องบินตอนไปอเมริกา” ภวัตว่า
“ตื่นขึ้นมาคนนั่งข้างๆ หัวเราะพี่ภวัตใหญ่เลย” แนนนี่เล่าเสริม
“ก็จำได้นี่ แล้วยังจะล้อพี่เล่นเรื่องแม่มดอีก เอาละ..เลิกนอกเรื่องซะที กลับมาเรื่องคุณบุษ”
แนนนี่หน้าบูดบึ้งใส่ภวัต
“พี่ไม่สนว่าเราจะแก้ตัวยังไง แต่อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้เค้าหัวบวมปูด แต่ถ้าครั้งหน้าเค้าเจ็บตัวมากกว่านี้แล้วเค้าเอาเรื่องแนนนี่ขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง”
“มีหลักฐานเล่นงานแนนนี่เหรอคะ” แนนนี่เผลอหลุดปาก
“ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าเป็นคนทำ”
สีหน้าของแนนนี่มีพิรุธ หาทางแก้ตัวไม่ได้เลยทำหงุดหงิดใส่
“แนนนี่น้อยใจแล้วนะคะ พี่ภวัตเห็นคนอื่นดีกว่าแนนนี่ แนนนี่ไปดีกว่า แล้วอย่าได้คิดเชียวนะคะว่าจะให้แนนนี่ไปขอโทษยัยเจ๊นั่น แหยะ”
แนนนี่เบ้ปากใส่ ก้าวฉับไปหาปีเตอร์แล้วควงแขนออกไป ปีเตอร์ยืดอก ค้อมหัวและเหล่มองภวัตเยาะๆ
ภวัตมองตามไป สีหน้าหนักใจ

แนนนี่พาตัวเองมาเดินช็อปปิ้งของสวยๆ งามๆ ภายในห้างหรู เพื่อจะแข่งกับบุษบา โดยมีปีเตอร์ถือถุงช็อปปิ้งนับสิบใบเดินตามต้อย จังหวะหนึ่งในขณะที่แนนนี่เลือกดูเสื้อที่ราวในร้านหนึ่งอยู่ แนนนี่ก็เอ่ยขึ้น
“ได้เดินช็อปปิ้งกับแนนนี่อย่างนี้ปีเตอร์ชอบจังเลย แต่ถ้าจะให้ดี ปีเตอร์จ่ายเงินให้ดีกว่ามั้ย จะได้ดูเป็นแฟนกัน ฮุ้ยเขิน”
แนนนี่ปาเสื้อที่ดูอยู่ใส่ปีเตอร์
“เลิกเพ้อ! ช่วยดูหน่อยซิ ตัวนี้สวยสู้ยัยบุษบาได้มั้ย” แนนนี่เอ็ดแล้วถามขึ้น
“อ้าวนี่ปีเตอร์เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าที่แนนนี่เดินซื้อเสื้อผ้าซะเยอะแยะเพราะจะไปแต่งตัวแข่งกับแฟนหมอภวัต”
“อ๊าย... ยัยบุษบาไม่ใช่แฟนพี่ภวัตนะ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยปีเตอร์!” แนนนี่ปรี๊ดทันควัน
“โอเคถอนจ้ะถอน ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วย”
ครู่ต่อมาแนนนี่เหล่มองถุงช็อปปิ้งในมือปีเตอร์
“แล้วของที่ซื้อๆ มาน่ะ เอาไปคืนร้านให้หมดเลย ฉันไม่อยากได้แล้ว”
“อ้าวไหงงั้นล่ะ”
“ก็เธอเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าฉันซื้อไปแต่งตัวแข่งกับยัยบุษบา ชึ! อย่างฉันเนี่ยนะต้องแข่งกับยัยนั่น เห็นๆ กันอยู่ว่าเริดกว่าตั้งเยอะ จริงไม่จริง!”
“จริงจ้ะจริง แนนนี่ไม่ต้องแต่งอะไรเลยก็สวย ยิ่งถ้าใส่เครื่องเพชรที่ปีเตอร์ให้ไปละก็ ต้องเหมือนเจ้าหญิงแน่ๆ เลย”
ปีเตอร์หมายถึงเครื่องเพชรที่แอบหย่อนใส่กระเป๋าแนนนี่หลายวันก่อน
“เครื่องเพชร? เครื่องเพชรอะไรของเธอ”

เวลาผ่านไป ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหลายๆ จุด ต่างหันพรึบไปทางเดียวกัน เมื่อได้ยินเสียงแนนนี่โวยลั่น
“อีตาบ้าปีเตอร์”
แนนนี่โวยลั่นใส่ปีเตอร์
“เครื่องเพชรราคาเป็นล้าน เอามาหย่อนใส่กระเป๋าฉันได้ไงห๊า ป่านนี้มิหายไปแล้วเหรอ แล้วฉันจะเอาปัญญาที่ไหนมาซื้อใช้นาย บ้าๆๆ บ้าที่สุดเลย”
“หายก็ช่างมันสิ ปีเตอร์ซื้อให้ใหม่วันนี้เลยก็ได้”
ปีเตอร์บอกหน้าซื่อ ตาใส ไม่รู้สึกอะไร
“โฮ้ย ฉันอยากจะบ้า! ..กี่ล้านนะ?”
“ห้า” ปีเตอร์หมายถึง 5 ล้านบาท!
แนนนี่กรอกตา ทำท่าอยากกรี๊ด แต่ต้องกลั้นเสียงไว้

เวลาเดียวกันนั้นดารกาอยู่ในชุดนักศึกษา นั่งอยู่ภายในบ้านมาลีกับสดับ แววตาที่กวาดมองบรรยากาศซอมซ่อของบ้านนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ มาลีกุลีกุจอยกแก้วน้ำมาให้ดารกา
“ขอบคุณคุณหนูมากที่อุตส่าห์มาแทนลูกดารกา”
“ดารกาเรียนหนัก หาเวลามาหา..เอ่อ..”
“เรียกฉันน้าก็ได้จ้ะ ถ้าไม่รังเกียจ”
“ดารกามาหาน้าไม่ได้ เลยให้ฉันมาแทน” ดารกาปด
“ไม่เป็นไร แค่รู้ว่าจดหมายถึงมือลูกดารกาก็พอแล้ว”
ดารกามองมาลี ตอบกลับด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“น้ามีอะไรอยากจะให้ดารกาช่วยรึเปล่า”
“ไม่เป็นไร รอให้เค้าว่างมาหาน้า แล้วน้าจะคุยกับเค้าเอง” มาลีเอ่ยขึ้น
ดารกายิ่งฟังยิ่งอึดอัด เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ดารกาสั่งให้น้าบอกมา ถ้าเค้าช่วยได้เค้าจะช่วย”
“อ้าว เค้าว่างั้นเหรอ คือ.. ก็เรื่องเงินนั่นละจ้ะ” มาลีงงๆ
ดารกาฟังหน้าเครียด
“น้ากับพ่อดารกามีหนี้นอกระบบอยู่ ก็หลายตังค์อยู่ แต่เจ้าหนี้ขอคืนเงินต้นก่อนก้อนนึง”
“เท่าไหร่” ดารกาถามคิดว่าเงินคงไม่มาก
“สองแสน” มาลีบอก
ดารกาตกใจมากหลุดปากออกมา
“สองแสน ฉันจะไปหาจากไหนมาให้!
มาลีมองหน้าดารกางุนงง
“เอ่อ..ฉันหมายถึงดารกา ดารกาจะไปหาเงินตั้งสองแสนจากไหนมาให้น้าได้”
“ก็เห็นว่าแม่บุญธรรมเค้ารวย เค้าน่าจะขอกันได้” มาลีไม่ผิดสังเกต
“เงินสองแสนเค้าขอกันง่ายๆ อย่างที่น้าพูดได้ก็ดีสิ” ดารกาว่า
“ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมก็แล้วกัน ยังไงน้าก็รบกวนคุณช่วยคุยกับดารกาให้หน่อย บอกเค้าว่าเจ้าหนี้ขู่จะฆ่าทั้งฉันแล้วก็พ่อดารกา ถ้าหาเงินไปคืนพวกมันไม่ได้”
ดารกาโกรธๆ อยู่ ก็มีสีหน้าเจื่อนไป แต่ในที่สุดก็คว้ากระเป๋าสะพายลุกพรวดขึ้น
“แล้วจะบอกให้ก็แล้วกัน”
ดารกาหมุนตัวมาประจันหน้ากับสดับพอดี สดับอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน มีเสื้อพาดบ่า เนื้อตัวมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
“ดารกาลูกพ่อ...”
สดับเข้ามาจับไหล่ดารกา ในขณะที่ดารกาตัวแข็งทื่อ ช็อกที่เห็นสภาพพ่อบังเกิดเกล้า
“ลูกพ่อจริงๆ ด้วย”
สดับยื่นมืออีกข้างจะจับตัวดารกา พลันมาลีเข้ามาดึงสดับออก
“อย่านะพี่ นี่ไม่ใช่ลูกเรา ดารกาไม่ว่างเลยให้เค้ามาแทน”
“ไม่เชื่อ” สดับพูดพลางจ้องหน้าดารกาเขม็ง
ดารกาแววตาหวาดผวา พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พวกคุณจะได้เงินที่ขอมา แต่ต้องรับปากว่าจะไม่ไปที่บ้านดารกาอีก...อย่าไปที่นั่นเด็ดขาด”
ดารกาวิ่งออกไปทันทีที่พูดจบ

ดารกาวิ่งไปร้องไห้ไป จนมาหยุดหอบที่ริมฟุตบาท กรีดร้องลั่น ด้วยความคับแค้นใจในโชคชะตาที่มีพ่อเป็นคนอย่างสดับ และมีแม่เป็นมาลี ผู้คนที่ผ่านไปมา หันมามองดารกา ทว่าดารการ้องไห้ออกมาโดยไม่สนใจใคร

ค่ำคืนนั้นประตูห้องแนนนี่ค่อยๆ เปิดออก ดารกาก้าวเข้ามาในความมืด ดูมีพิรุธ ดารกากวาดสายตามองภายในห้อง ไม่มีใครอยู่ในนั้น
เวลาผ่านไปที่ลิ้นชักโต๊ะถูกมือดารกาดึงเปิดออก เห็นข้าวของ บัตรประจำตัวต่างๆของแนนนี่ ดารกาหยิบซองสมุดธนาคารสองสามเล่มขึ้นมาเปิดดู จนไปหยุดที่เล่มหนึ่ง สีหน้าพอใจ
แต่ทันใดนั้นเองประตูห้องถูกเปิดออก แนนนี่ก้าวเข้ามา ตกใจมากที่เห็นดารกา
“นั่นใครน่ะ”
ดารกาสะดุ้งเฮือก พร้อมๆ กับไฟที่สว่างพรึบ แนนนี่ประหลาดใจมากที่เห็นว่าเป็นดารกา
“พี่ดาเข้ามาค้นห้องแนนนี่ทำไม” แนนนี่ถาม
ดารกาลุกขึ้น สีหน้านิ่งสงบ ไม่มีวี่แววตกใจหลงเหลือ
“คุณแม่ให้พี่มาเอาสมุดบัญชีธนาคารร่วมของเราสองคน เห็นท่านบอกว่าแนนนี่เอามาถ่ายเอกสารหน้าบัญชี แต่ก็ไม่เห็นเก็บคืนเข้าตู้เซฟ”
“ทำไมคุณแม่ไม่ทวงกับแนนนี่” แนนนี่สงสัย
“แนนนี่ต้องไปถามคุณแม่เองแล้วละ เล่มนี้ใช่มั้ย” ดารกาหันมาถาม
แนนนี่พยักหน้าอย่างเคืองๆ ดารกาเดินผ่านตัวแนนนี่ไป แต่แล้วเหลียวหลังกลับมาเอ่ยสำทับขึ้น
“อ้อ คุณแม่ทราบเรื่องที่แนนนี่ไปก่อเรื่องวุ่นวายที่โรงพยาบาลแล้วนะ คุณบุษบาถึงกับหน้าผากบวมเลยนี่? ทางที่ดี... พี่ดาว่าแนนนี่ยังไม่ควรกวนใจท่านเวลานี้”
แนนนี่ทำท่าจะเอ่ยตอบโต้ แต่ดารกาออกไปในทันที แนนนี่ได้แต่มองตามดารกาอย่างงงงัน


ตอนกลางวัน อีกหลายวันต่อมา ดารกาวางซองเอกสารสีน้ำตาล มีรอยนูนของเงินสองแสนอยู่ในนั้น ต่อหน้าสดับและมาลี ภายในบ้านของสองคน
สดับฉวยซองนั้นมาเปิด แล้วหยิบเงินปึกหนึ่งออกดูอย่างตื่นเต้น
“เงินจริงๆ ด้วย”
มาลีซึ่งอยู่ด้วยกัน หันมองอย่างดีใจ
“ขอบใจมากนะคะคุณ ที่อุตส่าห์เป็นธุระให้ น้าคิดอยู่แล้วละว่าคุณปัทน่ะใจบุญ ยังไงเค้าก็ต้องช่วย ฝากขอบใจลูกดารกาด้วยนะ”
“ไม่ต้องขอบใจเค้าหรอก แค่ไม่ไปที่บ้านเค้าอีกก็พอ รับปากฉันสิ”
ดารกาพูดแล้วหยุดสายตาจ้องที่สดับ
“เธอเป็นใครมาสั่งห้ามลูกห้ามพ่อเค้าเจอกัน” สดับพูดอย่างโมโห
“ไฮ้ พี่ดับนี่ ทำไมไปพูดกับคุณเค้าอย่างนั้น เค้าอุตส่าห์เป็นธุระเอาสตุ้งสตางค์มาให้แทนลูกดารกา” มาลีหันไปพูดกับดารกา “น้าขอโทษแทนพ่อดารกาด้วยนะจ๊ะ” มาลีรีบยกมือไหว้ขอโทษแทนสามี
ดารกาผงะตกใจที่มาลีซึ่งเป็นแม่ยกมือไหว้ รีบลุกขึ้นหนี
“ฉันไปละ” ดารกาเอ่ยขึ้น
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปวุ่นวายที่บ้านพวกคุณอีก มีอะไรก็จะโทรเข้าเบอร์ที่คุณให้ไว้นี่ละจ้า” มาลีพูดพลางหยิบกระดาษเล็กๆ ขึ้นดู
สีหน้าดารกาสุดจะทน อยากรีบๆ ไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด

ธานีป้วนเปี้ยน ชะเง้อชะแง้มองข้ามรั้วบ้านที่กั้นระหว่างตัวเองกับบ้านภวัตเป็นระยะอย่างร้อนใจ เพราะรอรัดเกล้า
“ยัยเกล้า มัวทำอะไรอยู่นะ”
เสียงรถรัดเกล้าแล่นเข้ามา ธานีหันมองขวับ
ธานี เห็นรถเก๋งเก่าๆ ของรัดเกล้าแล่นเข้าจอดที่หน้าตัวบ้านภวัต ธานีมีสีหน้าโล่งใจ รีบก้าวเข้าประตูเล็กที่เชื่อมระหว่างสองบ้านเข้าไป

ครู่ต่อมารัดเกล้ายื่นม้วนกระดาษแบบ แฟ้มงาน ข้าวของต่างๆ ให้ธานีช่วยถือ
“ของพวกนี้น่ะไว้ก่อนได้มั้ย จะบอกพี่ได้รึยังว่าน้องดาเป็นไงบ้าง” ธานีถามขึ้น
“ว่าไงนะคะ อ้าว...ที่มาดักรอเกล้านี่ไม่ใช่เพราะจะมาช่วยเกล้าถือของหรอกเหรอ”
“ไม่ตลกยัยเกล้า ที่เราตกลงว่าจะตามดูน้องดาน่ะว่ายังไง วันนี้ไม่ใช่เหรอที่น้องดาเค้านัดเจอแม่เค้า”
“เกล้าว่าเกล้าน่าจะเป็นฝ่ายถามพี่ธานีมากกว่านะคะ อย่าบอกนะว่าพี่ธานีไม่ได้ตามไปดูน้องดาอย่างที่เราตกลงกัน”
ธานีสั่นหัวเอ่ยขึ้น “พี่คิดว่าเกล้าจะไป แล้วได้ไปรึเปล่า”
รัดเกล้าสั่นหัวงงๆ ปนเซ็ง
“โธ่ ไอ้เราก็คิดจะฝากความหวัง”
“อ้าว พี่ธานีมาโทษเกล้าคนเดียวได้ไงคะ คุยไม่รู้เรื่องเอง แล้วมาโบ้ยว่าเป็นความผิดเค้า” รัดเกล้าโวยกลับ
“โอเคๆๆ ไม่ใช่เวลามาหาว่าใครผิดใครถูก จะเอายังไงกันดี พี่เป็นห่วงน้องดา”
“เกล้าก็เป็นห่วงน้องดาไม่น้อยไปกว่าพี่ธานีหรอกค่ะ แต่จะให้เค้ารู้ว่าเราสองคนแอบอ่านจดหมายนั่นก็กระไรอยู่ อืม...ปรึกษาพี่ภวัตดูดีมั้ยคะ”
ธานีนิ่งฟังอย่างเห็นด้วย

สภาพห้องแนนนี่เวลานี้มีข้าวของรก วางเกลื่อนกลาด กระจัดกระจาย แนนนี่รื้อห้อง หาเครื่องเพชรของปีเตอร์
“หางานให้ฉันแท้ ๆเลยปีเตอร์ บ้าๆๆ บ้าที่สุด” แนนนี่โวยไม่หยุด
แนนนี่คว้ากระเป๋าสะพายทุกใบมาคว่ำ เทของออก แต่ไม่เจอ ในที่สุดก็หยิบมือถือมากดโทรออกหาปีเตอร์
“อีตาบ้าปีเตอร์ กระเป๋าใบไหนล่ะที่นายหย่อนเครื่องเพชรลงไปน่ะ ฉันหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมี ...จำไม่ได้? พูดง่าย ๆอย่างเนี้ยนะว่าจำไม่ได้ นี่นายหัวเราะงั้นเหรอ ของๆ นายๆ ยังไม่เสียดาย นายมันบ้าปีเตอร์ ดีละ งั้นฉันจะเลิกหาแล้วเหมือนกัน”
แนนนี่กดตัดสาย แล้วโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างหัวเสีย
“เพชรราคาเป็นล้าน ฉันหัวเราะไม่ออกหรอกตาบ้า... ฮื้อ...ชิกเก้น! ใช่! หรือว่าชิกเก้นเอาไป?”
ชิกเก้นกระโดดโหยงมายืนที่ขอบหน้าต่าง โวยลั่น
“แหมๆๆ ไม่อยู่หน่อยละโทษฉันเลยนะ”
“โอ..ชิกเก้น แกมาถูกเวลาเลย ฉันทำเพชรของปีเตอร์หาย แกเอาไปรึเปล่า” แนนนี่ดีใจ
“นี่ๆๆ คิดหน่อยดีมั้ยก่อนจะพูดน่ะ ฉันเป็นแมวนะ จะเอาเครื่องเพชรไปใส่โชว์ใครหา”
“แล้วมันหายไปไหนล่ะ” แนนนี่สงสัย
“เศษกะตังค์สำหรับนายปีเตอร์น่า ช่างมันเหอะ เธอสัญญาว่าจะพาฉันไปกินไอติม จำได้เปล่า” ชิกเก้นทวงสัญญา
“ฉันกลุ้มออกอย่างนี้ แกยังมีกะจิตกะใจกินไอติมลงอีกเหรอ ดีละ ฉันจะฟ้องคุณยายว่าแกไม่ดูแลฉัน” แนนนี่โวยใส่
“ฮึ้ย อย่านะ โอเคๆ ฉันจะช่วยดมให้”
ชิกเก้นไล่ดมมุมโน้นนี้ ทำจมูกฟุดฟิด
“มีแต่กลิ่นดารกา...กลิ่นร้ายกาจ”
“อ๋อ วันก่อนพี่ดามาเอาสมุดบัญชีธนาคารน่ะ” แนนนี่พูดขึ้นมา
“สมุดบัญชีธนาคาร?” ชิกเก้นถามย้ำ
“ใช่ เป็นบัญชีร่วมของฉันกับพี่ดาที่คุณแม่เปิดให้ ทำไมต้องทำหน้าสงสัยอย่างนั้นด้วย”
“แล้วเธอได้เห็นตัวเลขในบัญชีอีกรึเปล่า” ชิกเก้นตั้งข้อสังเกตขึ้น
แนนนี่หัวเราะชอบใจ
“ชิกเก้น นี่แกกำลังจะบอกว่าพี่ดาแอบเบิกเงินในบัญชีงั้นเหรอ”
ดารกาเคาะประตูและเปิดเข้ามา
“คุยกับใครอยู่เหรอแนนนี่”
ชิกเก้นกระโดดแผลว หลบหลังแนนนี่
“มันเรื่องของแนนนี่ คราวนี้พี่ดามีธุระอะไรอีกล่ะ”
“ไม่ใช่พี่หรอก แต่เป็นคุณแม่ ...คุณแม่อยากเจอแนนนี่แน่ะ”
แนนนี่เหลือบตาลงไปมองที่ชิกเก้น อย่างขอความเห็น ชิกเก้นทำเพียงส่งเสียงร้องเมี้ยว

สีหน้าแนนนี่ตะลึงงัน เมื่อเห็นสร้อยเพชรที่ปัทมนถืออยู่และกำลังวางลงบนโต๊ะ
“ของแนนนี่ใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงของแนนนี่บอกให้รู้ว่าเธอดีใจมาก
“พรเอากระเป๋าสะพายของลูกไปซัก แล้วก็เจอมัน”
แนนนี่หยิบขึ้นดู ดีใจมาก
“ใช่จริงๆ ด้วย แนนนี่หาอยู่ตั้งนานแน่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ดารกานั่งอยู่ไม่ห่าง มองปฏิกิริยาของแนนนี่ไม่วางตา ปัทมนน้ำตาคลอ เสียใจที่แนนนี่ยอมรับซึ่งๆ หน้า แนนนี่งง
“คุณแม่...”
“ทำไมหนูทำอย่างนี้แนนนี่”
แนนนี่งงงัน ปัทมนปรายตาไปทางดารกา ดารกาเลื่อนสมุดบัญชีธนาคารให้แนนนี่ แนนนี่รับไปเปิดดู
“สมุดบัญชีธนาคารของแนนนี่กับพี่ดา”
ปัทมนมองแนนนี่นิ่งๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจ
“เงินในบัญชีหายไปสองแสน”
แนนนี่ตะลึงงัน
“คุณแม่กำลังจะบอกว่าแนนนี่เอาเงินไปงั้นเหรอคะ”
ปัทมนนิ่งเงียบแทนคำตอบ
“คุณแม่! แนนนี่จะทำอย่างนั้นทำไมกันคะ เงินตั้งสองแสนแนนนี่จะเอาไปทำอะไร”
“แล้วเครื่องเพชรนี่ล่ะ” ปัทมนคาดคั้น
“...มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิดค่ะ เพชรนี่ไม่ใช่ของแนนนี่”
“แล้วลูกได้มันมายังไง” ปัทมนซัก
“ปีเตอร์ เพื่อนของแนนนี่น่ะค่ะ เค้าแกล้งแนนนี่ แอบเอามาใส่ไว้ในกระเป๋า”
“เครื่องเพชรราคาเป็นล้านๆ เนี่ยเหรอจ๊ะ” ปัทมนไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ค่ะ ปีเตอร์เป็นคนอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ เค้า...”
แนนนี่พูดไม่ทันจบ ดารกาก็เอ่ยแทรกขึ้นอย่างสุภาพ
“ขอโทษนะคะคุณแม่ น้องดาเองก็เคยเห็นปีเตอร์เพื่อนของแนนนี่”
แนนนี่มองดารกาอย่างไม่วางใจ
“ปีเตอร์เค้าจะแปลกๆ” หันมาพูดกับแนนนี่ “คนที่ชอบซื้อของแพงๆ ให้แนนนี่ใช่มั้ยจ๊ะ”
แนนนี่ขมวดคิ้ว งุนงงที่จู่ ๆ ดารกาก็กุเรื่องมาช่วยไกล่เกลี่ย จังหวะนั้นดารกาหันมาพูดกับปัทมน
“น้องดาคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคนซื้อสร้อยนี่ให้แนนนี่จริงๆ นะคะ”
ปัทมนมองดารกาสลับกับแนนนี่อย่างสับสน
“แม่ขอโทษนะจ๊ะ ที่เข้าใจลูกผิด”
ดารกาหันยิ้มโล่งใจกับแนนนี่ พลันแนนนี่ส่งเสียงกร้าว
“ถึงคุณแม่จะเชื่อว่าแนนนี่ไม่ได้เอาเงินไป แต่แนนนี่ต้องรู้ให้ได้ว่าเงินสองแสนนั่นหายไปไหน” แนนนี่ปรายสายตามองไปที่ดารกา
ดารกาหุบยิ้ม แววตากระตุกไปทันที

ภวัตมีสีหน้าเครียดจัด ขณะคุยอยู่กับธานี ภายในห้องนั่งเล่นบ้านภวัต
“เรื่องของนายเอาไว้ก่อนได้มั้ยวะ ฟังเรื่องฉันก่อน”
“เรื่องแกกับน้องดา”
“เออ”
“เกือบๆ จะเรื่องเดียวกัน เพราะที่ฉันจะมาปรึกษานาย ก็เรื่องน้องดานี่แหละ”
“ปรึกษาฉันเรื่องน้องดา” ภวัตร้องถามออกมา
“ว่าเรื่องแกมาก่อนเถอะ ฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับที่แกไปรับไปส่งน้องดาใช่มั้ย”
“คุณพ่อฉันกับอาปัทจะจับฉันหมั้นกับน้องดา”
“ไม่ขำว่ะ” คราวนี้ธานีร้องขึ้นบ้าง
“ไม่ได้พูดให้ขำ ฉันพูดเรื่องจริง คุณพ่อกับอาปัทบังเอิญไปเห็นฉันกับน้องดาเอ่อ...”
ภาพอดีตวันนั้นผุดขึ้นมาในหัวภวัต อีกครั้ง เขาถูกดารกาสารภาพรักและจูบโดยไม่ทันตั้งตัว
“น้องดารักพี่ภวัตค่ะ”
ภวัตหน้าตาเครียดหนัก ธานีได้ฟังถึงกับอ้าปากค้าง”
“แกกับน้องดา” ชี้ภวัต ชี้ลม ชี้ที่ปากตัวเอง
ภวัตพยักหน้าเครียด ๆ
“ถ้าฉันพูดว่าฉันไม่ได้ตั้งใจนายจะต้องโกรธฉัน”
“ไม่โกรธ เพราะมันไม่ใช่นายเลย”
ภวัตยิ้มออก สีหน้าดูมีความหวังขึ้นมา
“และที่สำคัญ นายไม่เคยสนใจน้องดามากไปกว่าน้องสาว ...มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
สองหนุ่มต่างมองหน้ากันนิ่ง ธานีเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“...น้องดา”
ภวัตทอดถอนใจ พยักหน้าเครียดๆ
“คุณพ่อไม่เปิดช่องให้ฉันอธิบายอะไรเลย” ภวัตพูดเสียงเครียด
“ลองได้เห็นเข้าขนาดนั้น ใครจะอยากฟังคำอธิบายวะ ...นายต้องรับผิดชอบ”
“นั่นละคือสิ่งที่ฉันกลุ้ม ...ไม่ได้หมายความว่าฉันรังเกียจน้องดา ..แต่ฉัน…”
“น้องดาคือน้องของเรา น้องก็คือน้อง เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้”
ธานีพูดอย่างเข้าอกเข้าใจเพื่อน ภวัตมองธานีอย่างขอบคุณ
“ขอบใจนะ ...ฉันควรจะทำยังไงดีวะธานี”
“ทำให้ทุกฝ่ายสบายใจที่สุด ฝั่งฉันไม่ต้องห่วง ฉันจะค่อยๆ หาทางอธิบายกับคุณแม่ มีอีกคนนะที่นายลืมไม่ได้ ...ยัยแนนนี่” ธานีบอก
“ตั้งแต่มีเรื่องที่โรงพยาบาลก็ไม่ยอมเจอหน้าฉันอีกเลย ไม่รู้โกรธอะไร” ภวัตรู้สึกกังวล
ธานีหัวเราะออกมา
“ต้องสงสัยด้วยเหรอวะ นายน่ะรู้อยู่แก่ใจดีภวัต ไหนจะเรื่องน้องดาที่ทำให้ยัยแนนนี่เสียหน้า แล้วไหนจะคุณบุษบาของนายอีก”
“ไร้สาระ แนนนี่ก็แค่งอแงไปตามประสาเด็ก” ภวัตมั่นใจ
“แน่ใจ?” ธานีถามย้ำ
รัดเกล้าคืบเท้าเข้ามาหลบที่มุมหนึ่ง พยายามส่งสัญญาณมือกับธานีว่าจะให้ตนเข้าไปได้รึยัง
“อะไรของน้องนายวะภวัต” ธานีทำหน้างง
ภวัตหันไปเจอรัดเกล้าเข้าพอดี
“อ้าวยัยเกล้า ไปทำอะไรตรงนั้น”
รัดเกล้าออกจากที่กำบัง ธานีลุกขึ้นขอตัวกลับ ตบไหล่ภวัต
“ค่อยๆ คิดเว้ย”
รัดเกล้างุนงง หันไปพูดเสียงรอดไรฟันกับธานี
“แล้วเรื่องน้องดา”
ธานีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เดินออกไปเลย
“พี่ธานี!” รัดเกล้าฉุน
“อะไรกันเหรอยัยเกล้า” ภวัตมองรัดเกล้างง ๆ
“ไม่มีอะไรค่ะ”
รัดเกล้าเม้มปากอย่างฉุนๆ ธานี

แนนนี่เดินวนไปวนมาอยู่ในตะเกียงแก้ว เสียใจมากที่ปัทมนเข้าใจผิด ใบหน้าตะเกียงแก้วกรอกตาวนไปมาตามการเดินของแนนนี่
“ไหนๆ คุณแม่ก็เชื่อแล้วนี่ว่าเธอไม่ได้เป็นคนเอาเงินไป แล้วเธอจะเดินวนทำหน้าเครียดทำไมอี๊ก” ตะเกียงแก้วถาม
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนเอาเงินไป” น้ำเสียงแนนนี่มุ่งมั่นมาก
“แล้วไง ต่อให้เธอรู้ ใครเค้าจะเชื่อ หลักฐานรึก็ไม่มี เออถ้ามีลูกแก้วข้ามเวลาก็ว่าไปอย่าง”
“ลูกแก้วข้ามเวลา?” แนนนี่สนใจขึ้นมาทันควัน
“ลูกแก้วข้ามเวลา อินเทรนด์สุดๆ ที่เมืองเวทมนตร์ ทุกร้านไอทีมีหมด”
“ร้านไอที!” แนนนี่อึ้ง
“หยู้ด! หยุดความคิดเธอไว้เลย ไม่ใช่เมืองมนุษย์ แต่เป็นเมืองเวทมนตร์โอนลี่จ้ะ”
“แล้วจะมาพูดให้ความหวังทำไม”
“ก็รู้ไงว่ายังไงเธอก็ไปเมืองเวทมนตร์ไม่ได้” ตะเกียงแก้วว่า
แนนนี่สีหน้าเจ้าเล่ห์ กรอกตาครุ่นคิด
“แน่ใจเหรอว่าฉันไปไม่ได้”
“ยิ่งกว่าแน่ เพราะถ้าเธอเหยียบไปที่นั่นเมื่อไหร่ เธอจะถูกพ่อมดแม่มดที่นั่นจับตัวในทันที อย่าลืมสิว่ากลิ่นตัวเธอน่ะมันไม่ใช่แม่มดร้อยเปอร์เซ็นต์นะ แต่มันเป็น...” ตะเกียงแก้วเผลอหลุดปาก
“มันเป็นอะไร กลิ่นตัวฉันเป็นอะไร”
“ไม่รู้ ไม่พูด”
“ยิ่งเธอทำอย่างนี้ฉันยิ่งอยากพิสูจน์ ดีเหมือนกัน จะได้รู้กันไปซะทีว่า ฉันเป็นแม่มดหรือว่าอสูรกันแน่ ฉันจะไปเมืองเวทมนตร์!”
แนนนี่ว่าแล้วร่ายมนตร์ เกิดเป็นเกลียวควันล้อมรอบตัวแนนนี่ ตะเกียงแก้วส่งเสียงร้องลั่น
“อย่านะแนนนี่ ฉันล้อเล่น ลูกแก้วข้ามเวลาบ้าบออะไรนั่นไม่มีหรอก แนนนี่”
ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเกลียวควันหนาตามากขึ้นล้อมรอบกายแนนนี่ พร้อมกันนั้นแนนนี่หลับตากำหนดจิต ปากสั่งการออกมา

“ไปเมืองเวทมนตร์!

อ่านต่อตอนที่ 4 วันจันทร์ที่ 16 ม.ค. 2555




กำลังโหลดความคิดเห็น