xs
xsm
sm
md
lg

ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ออกอากาศทางช่อง 7 สี แทน (ดุจดาวดิน) เริ่มวันพุธที่ 29 ก.พ. 2555 เวลา 20.30 น.

ติดตามอ่านเรื่องราวแสนสนุก ตอนต่อตอน ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร เต็มอิ่มจุใจ
ตรงตามบทโทรทัศน์มากที่สุด ทางละครออนไลน์ 
เริ่มวันที่ 23 ก.พ. 2555 เวลา 9.00 น.

บทประพันธ์ : นิพนธ์ ประสิทธิ์สมบัติ
บทโทรทัศน์ : พิง ลำพระเพลิง
กำกับการแสดง : สำรวย รักชาติ

 ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 1 

ภาพบนจอทีวีภายในห้องประชุมขณะนั้น เป็นการแสดงคอนเสิร์ตในห้องส่ง ของยูกิ ศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์ชาวญี่ปุ่น มีนักข่าวจำนวนมากมาออถ่ายรูปอยู่ด้านหน้าเวที ยูกิออกมายืนร้องเพลงฮิต โดยมีแฟนคลับจำนวนมากชูป้ายไฟชื่อของเธอบ้าง ป้ายที่เขียนว่ารักยูกิตลอดไปบ้าง

ยูกิถ่ายทอดเสียงเพลงของเธอได้อย่างจับใจ แฟนคลับทั้งกรี๊ด ทั้งตะโกนเรียกชื่อเธอ พร้อมกับร้องเพลงตามกันอย่างสนุกสนาน

เป็นไทกดรีโมทหยุดภาพของยูกิ ทุกคนในห้องประชุมตั้งใจฟังเขา
“ไอ ยูกิ ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังของญี่ปุ่นในตอนนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้คงเคย ได้ยินชื่อเสียงของเธอมาบ้าง และก็น่าจะพอรู้ว่าแฟนคลับในประเทศไทยของ เธอมีมากขนาดไหน ตอนนี้เธอตอบตกลงจะมาเล่นคอนเสิร์ตที่บ้านเรา โดยมีบริษัทเราเป็นคนดูแลการจัดงานทั้งหมด”
เป็นไทยิ้มแก้มปริเมื่อได้บอกข่าวดี ทุกคนในห้องประชุมตื่นเต้นดีใจกันออกนอกหน้า โดยเฉพาะองอาจที่เพิ่งเดินเข้ามาหลังจากที่ประชุมปิดดีวีดีไปแล้ว องอาจทำเป็นดีใจกลบเกลื่อนการมาสายของตน
“นี่เราจะได้จัดงานใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอครับเนี่ย ตั้งแต่เกิดมาใน ชีวิตโปรดิวเซอร์ ไม่เค้ย ไม่เคย ได้จัดงานระดับประเทศแบบนี้มาก่อน แฮปปี้มากๆ”
เป็นไทมองอย่างระอา
“สายตลอด...นี่รู้มั้ย หน้าตาศิลปินเป็นยังไง”
“หน้าตาเป็นญี่ปุ่นสิ...ไม่ต้องห่วงน่า ลูกพี่ถึงจะสาย ผมทำการบ้านตลอด”
“ให้มันจริงเหอะ งานนี้เราจะพลาดไม่ได้เลยล่ะ” เป็นไทหน้าตาเอาจริงเอาจังขึ้นมา “เอาล่ะ ที่ฉันเรียกประชุมพวกเราวันนี้ ก็แค่จะแจ้งข่าวนี้กับทุกคนเท่านั้นแหละ เป็นการบอกให้รู้ว่าตั้งแต่นี้ไป งานเราจะหนักขึ้น แต่ถ้ามันสำเร็จลงด้วยดีละก็โบนัสงามๆก็จะเป็นของเราทุกคน”
พนักงานตื่นเต้นดีใจกันใหญ่
“เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายไปทำงานต่อได้”
พนักงานแยกย้าย ทยอยกันออกไปจากห้องประชุม เป็นไทหันมาหาองอาจ
“แล้วงานศิลปวัฒนธรรม ที่จัดเย็นนี้เตรียมพร้อมหมดแล้วใช่มั้ย”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ดี” เป็นไทพยักหน้าพอใจ

เย็นนั้น...สภาพรถในถนนวิ่งกันวุ่นวาย นับดาวผมกระเซอะกระเซิง แต่งตัวทะมัดทะแมง ใส่แว่นตากรอบใหญ่แทบจะเท่าใบหน้า หิ้วถุงเสื้อผ้าใบใหญ่มาอย่างทุลักทุเล ปากก็บ่นพึมพำ มายืนโบกแท็กซี่ริมถนนกับรจนาซึ่งเป็นย่าของเธอ ที่แต่งหน้าทำผมพร้อมกับชุดราตรีแบบครบเครื่อง ดูประหลาดสายตากับคนแถวนั้น นับดาวพยายามจะโบกแท็กซี่แต่ไม่มีคันไหนจอด
“เฮ้ย...อะไรวะ เดี๋ยวฉันจะจดทะเบียนรถไปฟ้องกรมขนส่งทางบก คอยดู”
นับดาวโบกแท็กซี่อีก แต่คราวนี้มีคนโบกตัดหน้าเธอแล้วก็ขึ้นไป
“มันอะไรกันนักหนาเนี่ย นิสัยนะ...มาโบกตัดหน้าแบบนี้ได้ยังไง” นับดาวโมโห
รถแท็กซี่วิ่งไปแล้ว นับดาวก็ยังโวยวายไม่หยุด รจนายืนอยู่ด้านขวาซึ่งเป็นด้านหูข้างที่หนวกของนับดาวเริ่มบ่นบ้าง
“แล้วนี่เราจะไปทันงานเค้ามั้ยเนี่ย”
นับดาวนิ่งไป ไม่ได้ยินที่ย่าบ่น ชะเง้อมองแท็กซี่ต่อไป รจนาจึงเดินมาสะกิดหลานสาวให้หันไปหา
“ย่าถามว่าเราจะไปทันงานมั้ยเนี่ย”
“ห๊ะ...จะกินเบียร์ ย่าจะกินอะไรตอนนี้คะ แค่นี้เราก็จะไปไม่ทันงานอยู่แล้วเนี่ย”
“ไม่ได้จะกินเบียร์ บอกจะทันมั้ยเนี่ย”
“ห๊า...เพลีย...เพลียอะไร นี่ยังไม่ได้เริ่มงานเลย”
รจนามองหลานสาวอย่างเอือมระอา
“ฉันล่ะไม่ไหวกับไอ้หลานคนนี้”
“โทนี่...ใครกัน โทนี่...ย่ารู้จักฝรั่งด้วยเหรอ”
รจนาเดินมาพูดใกล้ๆหูซ้ายของนับดาวซึ่งเป็นข้างที่ไม่หนวก
“เรารีบไปจากตรงนี้เถอะ ก่อนที่ย่าจะเริ่มหงุดหงิดแล้วฆ่าใครตายซักคน”
“หงุดหงิดอะไรเนี่ย ไม่เห็นมีเรื่องน่าหงุดหงิดซะหน่อย นี่จะบอกให้นะย่า หนูก็อยากไปจากที่นี่เหมือนกัน” นับดาวถอนใจ

เป็นไทอยู่หลังแผงควบคุม คอนโทรลแสงสีเสียงภายในงาน เขาดูนาฬิกา แล้วก็พูดกับองอาจ
“คิวการแสดงทุกอย่างเรียบร้อยนะ”
“ครับ”
“นัดคนที่จะขึ้นโชว์ครบนะ”
“ก็นัดทุกคนห้าโมง เลตสุดหกโมงครึ่ง”
“เลตสุดทำไม ทำไมต้องมีเลตสุดด้วย นัดไปเลยห้าโมงไม่ได้เหรอ”
องอาจยิ้มแหยๆ
“ก็นิสัยคนไทย”
เป็นไทส่ายหน้าเอือมๆ

มอเตอร์ไซค์รับจ้างขับผ่านมา 2 คันพอดี นับดาวโบกมือเรียก
“มอไซค์พี่มอไซค์”
มอเตอร์ไซค์จอดตรงหน้านับดาวและรจนาทั้ง 2 คัน รจนาตะลึง
“นี่แกจะให้ย่าใส่ชุดราตรีซ้อนมอเตอร์ไซค์รึไง”
นับดาวพยักหน้า
“ไม่เอา แกก็รู้ว่าย่าไม่ซ้อนมอไซค์คนแปลกหน้า...ดูหน้ามันซิ ไว้ใจได้ที่ไหน”
คนขับหน้าเหี้ยมมากได้ยิน ที่รจนาพูดก็ทำหน้าไม่ถูก
“ย่า...อย่าดูคนที่หน้าตาสิ ถึงเขาจะหน้าตาขี้เหร่ แต่เขาก็ไม่มีการศึกษานะ”
คนขับเหมือนจะอาการดีขึ้น แต่ก็จ๋อยลงอีก รจนามองทั้งสองคน
“ย่าไม่ติดที่วุฒิการศึกษา...แต่ติดที่ชาติตระกูลมากกว่า”
คนขับอึ้งนึกว่าจะพูดให้ดีขึ้น กลับยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
“คนเราเลือกเกิดไม่ได้นะย่า...ถ้าพี่เค้าเลือกเกิดได้ เค้าก็เลือกเกิดเป็นควายไถนาไปแล้ว” รจนาหันไปพยักหน้ากับคนขับมอเตอร์ไซค์แบบหาพวก ประมาณว่า ย่าตนเองไม่ได้ความ “เค้าไม่มานั่งหน้าซ้นเป็นแบบนี้หรอก...นี่หน้าพี่ไปโดนอะไรมาถึงซ้น”
คนขับโกรธ
“โดนด่ามั้งครับ...”
รจนาไม่ยอมขึ้นมอเตอร์ไซค์
“ไม่รู้ล่ะ ยังไง ย่าก็ไม่ซ้อนรถคนแปลกหน้า”
“ไม่ไปไม่ได้ มันจะไม่ทันนะย่า”
“ไม่...ย่าไม่ไว้ใจ”
นับดาวอ่อนใจ หันไปพูดกับคนขับมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคัน
“งั้นก็เดือดร้อนพี่แล้วล่ะ”
คนขับมอเตอร์ถสองคนมองหน้ากัน งงๆ ไม่เข้าใจว่านับดาวหมายถึงอะไร
นับดาวใส่หมวกกันน๊อก สวมเสื้อวินบิดมอเตอร์ไซค์มีย่านั่งซ้อนมาด้วย ส่วนมอเตอร์ไซค์อีกคัน เป็นคนขับวิน ที่นั่งซ้อนกันเอง ขับตีคู่มากับคันที่นับดาวขับให้ย่าซ้อน
“ระวังท่อไอเสียนะย่า”
“ไม่ต้องห่วง ย่าเป็นสก๊อยรุ่นเสียกรุง บิดไปเล้ย”
คนแก่แต่งหน้าแต่งตัวจัดซ้อนมอเตอร์ไซค์อย่างเมามัน

ในหอประชุมที่ใช้จัดงาน ผู้คนมากมายกำลังแต่งตัวกันให้วุ่น บางคนใส่ชุดลิเก บางคนแต่งเป็นเงาะป่า บ้างใส่หัวโขน บ้างซ้อมเชิดหุ่นละครโรงเล็ก เสียงดนตรีไทย ปี่พาทย์ ดังไปทั่วงาน องอาจถือวอกับสคริปต์เช็กความเรียบร้อย และไล่รายชื่อคนขึ้นทำงานแสดง
“ฉุยฉายพราหมณ์มาแล้วนะ ลิเกมาแล้ว คราวนี้โหมดเพลงบ้าง เดี๋ยวต้องขึ้นเปิดเลยนี่ ตัวแทนเพลงลูกทุ่ง คุณสายัณห์ มารึยัง”
ผู้ควบคุมเวทีหันมาบอก
“มาแล้วครับ รออยู่หลังเวที พร้อมขึ้นแล้วครับ”
“คุณรจนา ตัวแทนเพลงลูกกรุงล่ะ”
“ยังไม่เห็นเลยครับ”
“เฮ้ย...ตอบยังไม่เห็นเลยไม่ได้ เช็กสิเค้าอยู่ไหน ยังไงเนี่ยบนเวทีจะรันอยู่แล้วมัวทำอะไรกันอยู่”
ขณะเดียวกันนั้นฝ่ายประสานงานวิ่งเข้ามา
“ตอนนี้คุณรจนาใกล้ถึงแล้วค่ะ กำลังรีบมาอยู่”
องอาจหงุดหงิด
“โอ๊ย...อะไรเนี่ย อีก 2 นาทีงานเริ่มแล้ว ยังมาไม่ถึง แล้วขึ้นคนที่ 2 ด้วยเนี่ยนะ ยังไงๆ ใครเป็นคนตามศิลปินเนี่ย”
องอาจเครียด เพราะยังไม่ทันได้เริ่มงานก็เริ่มมีปัญหาจุกจิกเข้ามาอีกแล้ว

นับดาวขับมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้างาน นับดาวถอดหมวกกันน๊อกคืน แต่ลืมถอดเสื้อวิน เธอยังใส่เสื้อกั๊ก วินติดมาด้วย นับดาว หน้าดำ เพราะเขม่าควันรถ
“ล้างหน้าหน่อยมั้ย เอ๊งน่ะ” รจนาเตือน
นับดาวไม่ได้มองหน้าตัวเอง
“ขับตามรถสิบล้อก็งี้แหละ ย่า”
“นึกว่าขับตามหลังปลาหมึก” รจนาประชด
นับดาววิ่งไปบ่นไปเมื่อเห็น รจนาวิ่งในชุดราตรีแบบทุลักทุเล
“แค่เขาบอกจะถ่ายออกทีวีนิดๆหน่อยๆ ก็แต่งเต็มซะขนาดนี้ แล้วนี่ดูซิ” นับดาวเขย่าถุงเสื้อผ้าที่ตัวเองแบกอยู่ “ร้องเพลงเดียว เอาชุดมาทำไมเยอะขนาดนี้ ก็อต จักรพรรณ ทัวร์คอนเสิร์ตทั้งปีชุดยังไม่เยอะเท่านี้เลย”
“ความสุขเล็กๆน้อยๆของคนแก่น่า อย่าว่าย่านักเลย เราน่ะบ่นได้บ่นดีมาตลอดทางเลยนะ”
นับดาวกับรจนารีบเข้าไปในงาน ฝ่ายประสานงานวิ่งหน้าตื่นมาเจอทั้งคู่พอดี
“คุณรจนานะคะ”
ฝ่ายประสานชะงักกึก เห็นนับดาว หน้าคล้ำดำมาก เหมือนเพิ่งไปเตะบอลข้างเตาเผาถ่าน รจนารีบบอก
“ใช่ค่ะ...ใช่”
“เดี๋ยวรีบเข้าไปในงานเลยนะคะ”
“นี่ฉันไม่ได้กำลังรีบอยู่หรอกเหรอคะเนี่ย”
“รีบกว่านี้ได้มั้ยคะ คิวต่อไปเป็นคุณแล้วค่ะ”
“รีบกว่านี้คงไม่ต้องไปร้องเพลงแล้วค่ะ ไปวิ่ง 4x100 ดีกว่า”
ทั้งหมดรีบตามกันเข้าไปในงาน เป็นไทเดินหน้าไม่พอใจมองนาฬิกาข้อมือสวนออกมา เขากับนับดาวชนเข้าอย่างจังเขม่าที่หน้าเธอเลอะอกเสื้อเขา
“ขอโ...”
นับดาวยังพูดไม่ทันจบ เป็นไทอารมณ์ไม่ดีสวนทันควัน
“ระวังหน่อยคุณ”
นับดาวมองเป็นไทอย่างหงุดหงิด เขาไม่สนใจเธอเลย ฝ่ายประสานงานเข้ามา
“นี่คุณรจนาที่ต้องขึ้นร้องคิวต่อไป”
“พาไปเตรียมตัวด้านในเลยไป”
ฝ่ายประสานงานลากรจนาจ้ำๆเข้าไป เป็นไทหันมองนับดาว ที่ยังยืนหน้าเขม่าเกาะมองเขาอยู่
“วิ่งอยู่วินไหนล่ะ เรา”
นับดาวไม่พอใจ
“นี่...” การที่ฉันวิ่งเฉี่ยวคุณนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้หมายความว่คุณจะมาดูถูกว่าฉันเป็น พวกมอเตอร์ไซค์รับจ้างได้นะ”
“ผมไม่ได้ดูถูก...ผมแค่อยากรู้ ว่า ยายป้านั่นนั่งมอไซค์มาจากไหน”
“ยายป้างั้นเหรอ...มอเตอร์ไซค์รับจ้างงั้นเหรอ...คุณไม่คิดว่าเราสองคนจะนั่งรถเก๋งมากันมั่งรึไง”
นับดาวขยับชายเสื้อวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างยังไม่รู้สึกตัว เป็นไทมองๆ
“ผมเพียง...”
“เพียงอะไร...เพียงอะไร...ฉันแต่งตัวงี้ คุณพูดได้ไงว่าฉันเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง...”
นับดาวกำลังเข่นเขี้ยวเขาอยู่ แล้วเธอก็เห็นในกระจกสะท้อนแถวนั้น ว่าเธอสวมเสื้อกั๊ก และหน้าดำมาก“ เธอเฉไฉเสียงอ่อนลง
“คนเราหน้าเขม่าเกาะเป็นรอยหมวกกันน๊อก...แล้วสวมเสื้อก๊กสีส้ม อาจไม่ใช่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเสมอไปก็ได้”
เป็นไทชี้ที่เสื้อวิน
“มันปักว่า ห้วยขวาง มีเบอร์ด้วย”
นับดาวนิ่งไปนิดนึงก่อนจะเถียงข้างๆคูๆ
“เป็นนักบอลไม่ได้เหรอ...อยู่ทีมห้วยขวาง มีไรมั้ย”
เป็นไทมองนาฬิกาข้อมือ อย่างไม่อยากตอแยด้วย
“ผมขอตัวแล้วกัน”
เป็นไทเดินหายเข้าไปด้านใน นับดาวมองเงาสะท้อนตัวเองแล้วก็กุมขมับส่ายหน้า
“สภาพนี้ ขับมอไซค์มาจากศรีสะเกษแน่ๆ”

ด้านหลังเวทีกำลังวุ่นวายมาก องอาจร้อนรน ขณะเดียวกันนั้นฝ่ายประสานงานพารจนา วิ่งมาหาองอาจ
“มาแล้วค่ะพี่”
“โอ๊ย...หัวใจจะวาย แล้วนี่ใคร”
องอาจมองหน้านับดาวที่เพิ่งเดินตามมาหน้าดำมาก ฝ่ายประสานงานงงๆ
“คุณรจนาค่ะ”
องอาจพูดกับนับดาว
“ไวท์เทนนิ่งหน่อยมั้ย” แล้วองอาจก็หันไปพูดกับรจนา “วันหลังมาตอนงานเลิกเลยซิครับคุณพี่รจนา”
“มาตอนงานเลิกแล้วจะได้ร้องเหรอ”
องอาจเอือมๆ
“ผมประชด”
รจนาหน้าเหวอ
“อ้าว เหรอ”
องอาจมองเสื้อกั๊กวินห้วยขวางที่นับดาวใส่อยู่แบบงงๆว่านี่มันอะไร หันไปหาคนควบคุมเวที
“มาพาไป...เร็วสิ คนต่อไปแล้วไม่ใช่เหรอ หรือจะรอให้ผลเลือกตั้งคราวหน้าออกก่อนห๊ะ”
คนควบคุมเวที วิ่งมาพารจนาไปหลังเวที นับดาวส่งยิ้มกับคำอวยพรเป็นกำลังใจ
“สู้ตายนะคะย่า”
รจนาหันมายิ้มให้หลานสาวก่อนจะเดินไป นับดาวเดินไปเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อกั๊กแล้วไปล้างหน้าจนสะอาด เธอเงยหน้าจากอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ หน้าตาไม่มีเขม่าเกาะแล้ว
“สวยขนาดนี้...ดูซิ เจอกันอีกที ใครจะว่า เราเป็นเด็กแว้นอีกมั้ย”
นับดาวสวมแว่น แล้วเดินออกจากห้องน้ำไป

บนเวทีคึกคัก คนดูปรบมือกันเกรียวให้กับศิลปินที่ร้องจบไป พิธีกรออกมาคั่นระหว่างเพลง
“จบกันไปแล้วนะครับ สำหรับเพลงลูกทุ่ง เราปฏิเสธไมได้เลยนะครับว่าเพลงลูกทุ่งเนี่ย เป็นส่วนหนึ่งของคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย แต่เพลงอีกประเภทนึงที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ถ้าพูดถึงเพลงไทย นั่นคือเพลงลูกกรุง ซึ่งวันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณรจนา อดีตนักร้องนำวงสุนทรีภรณ์ ได้ขับร้องบทเพลงอันไพเราะให้ทุกท่านได้ฟัง เชิญเลยครับ”
รจนาขึ้นมาอย่างคนเจนเวที ไม่ประหม่าแม้แต่น้อย ดนตรีเพลงพรหมลิขิตดังขึ้น เธอดำดิ่งลึกลงไปกับเพลง ขับร้องมันออกมาได้อย่างไพเราะจับใจทุกคนในหอประชุม เป็นไทที่ยืนฟังอยู่บริเวณจุดคอนโทรลเสียง ฟังแล้วยิ้ม เคลิ้มไปกับเพลง...เสียงเพลงของรจนาดังคลอเข้ามาทางด้านหลังเวที นับดาวก็เคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงของย่าตัวเอง ยืนเกาะเสา ตาเหม่อลอยไปไกล องอาจเดินมาสะกิด นับดาวหลุดจากภวังค์
“นี่เธอมาทำอะไรเนี่ย”
องอาจยืนถามอยู่ด้านขวางข้างหูหนวกพอดี นับดาวไม่ได้ยิน จึงยืนนิ่ง องอาจถามอีกครั้ง
“เธอมาทำอะไรตรงนี้”
นับดาวได้ยินเป็นอย่างอื่น
“ฉันไม่ได้สูบบุหรี่นะ สักครั้งก็ไม่เคย”
องอาจส่ายหน้า
“ไม่ใช่...เธอเป็นใคร มาทำอะไรหลังเวทีนี่”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ชื่อเมทินี ชื่อนับดาวค่ะ”
องอาจเซ็ง
“โอ๊ย...หูตึงรึไงเนี่ย”
“ไม่ใช่ค่ะ...หูหนวก”
“ทีแบบนี้ละได้ยิน”
“คือหูข้างนี้ฉันไม่ได้ยินน่ะค่ะ” นับดาวชี้ที่หูขวา “แต่ฉันอ่านปากเก่งนะคะ”
องอาจมองหน้าเห็นหน้ายังมีน้ำจับอยู่
“เหงื่อแตกเชียว ร้อนเหรอ”
“ฉันเพิ่งล้างหน้ามา คุณต้องพูดช้าๆหน่อยๆ”
“จะอะไรของเธอก็ช่างเถอะ ฉันไม่สนแล้ว เสียเวลา”
องอาจเดินไป ไม่สนใจ นับดาวเซ็งเลย
“เออ ทำเป็นไม่สนใจไปเถอะ ถ้าวันไหนฉันเป็นนักร้องดังขึ้นมานะ ฉันจะไม่เห็นหัวเลยคอยดู”
องอาจเดินไปสั่งงานคนหลังเวที
“อ้าว แป้งที่ทางตลกเค้าจะเอามาทำผมขาวได้รึยัง”
“มีแต่แป้งมันได้เปล่าพี่”
“แป้งอะไรก็เอามาเหอะ ให้ไว”
นับดาวมององอาจที่ทำท่าสั่งงานคนโน้นคนนี้อย่างหมั่นไส้
“ชิ...ทำเป็นจิกหัวใช้คนอื่น วางมาด มีปมด้อยมาจากที่บ้านละสิ”
นับดาวบ่นไปเรื่อย เธอเห็นกระจกวางอยู่บนโต๊ะๆหนึ่ง เธอมองซ้ายมองขวาไม่มีใครสนใจจึงหยิบกระจกมาส่องหน้า
“ฉันออกจะสวย...มีแต่พวกตาไม่ถึงเท่านั้นแหละมองไม่เห็น...หน้าเปียกเชียวเรา ไม่มีกระดาษทิชชู่มั่งเลยรึไงเนี่ย”
นับดาว เหลียวหน้าเหลียวหลังมองหาทิชชู่ ฝ่ายประสานงานเดินถือจานแป้งตรงรี่มา
“ขอทางหน่อยค่ะ ขอทางหน่อยค่ะ”
ฝ่ายประสานงานชนนับดาวเต็มๆ หน้าที่เปียกของนับดาว รับแป้งที่กระเด็นเข้าเต็มหน้าขาววอก คนที่มองเห็นต่างหัวเราะกันใหญ่ ฝ่ายประสานงานขำๆ
“ขอโทษทีนะน้อง”
นับดาวเซ็งกับใบหน้าขาววอกของตัวเอง

เสียงเพลงพรหมลิขิตดังคลอมาด้วย นับดาวเดินเซ็งหน้าขาว กำลังจะเดินไปล้างในห้องน้ำ
“ฉันไม่ใช่ตัวตลกนะ หัวเราะกันอยู่ได้ อย่าให้ฉันดังขึ้นมาเมื่อไหร่ก็แล้วกัน”
เป็นไทเดินสวนกับนับดาว กำลังจะเข้าไปหลังเวทีเห็นหน้านับดาวก็ตกใจ
“แต่งหน้าจัดจังเลยนะครับ”
“แหม คุณก็ชมกันเกินไป ปกติฉันสวยกว่านี้อีกนะคะ” นับดาวประชด
เป็นไทงงไม่เข้าใจว่านับดาวพูดเรื่องอะไร
“ขอตัวไปคุยงานก่อนนะครับ”
“อะไรนะ”
“ขอตัวก่อนนะครับ”
นับดาวพยักหน้า
“เชิญ...”
เป็นไทเดินมาหาองอาจที่หลังเวที โดยไม่รู้ว่านับดาวแอบมาฟังอยู่ไม่ไกล เธอเอาหูขวาหันเพื่อแอบฟังว่าคุยอะไร แล้วเธอก็รู้ตัวว่าไม่ได้ยิน
“อุ๊ย ไม่ได้ยิน ต้องอีกข้าง”
นับดาวหันหูซ้ายที่ใช้การได้แอบฟังเป็นไทคุย
“ต้องพูดถึงฉันแน่ๆเลย”
“คุณปล่อยคนบ้าเข้ามาเดินเพ่นพ่านหลังเวทีได้ไง เดี๋ยวก็วุ่นกันหมดหรอก”
พอได้ยินคำว่าคนบ้า นับดาวถึงกับตาโตตกใจ
“คนบ้าที่ไหน...น่ากลัวจริงๆ”
องอาจงงๆ
“คนบ้าที่ไหน ไม่เห็นเลย”
“เพิ่งเดินสวนกับผมไปเมื่อกี้นี่เอง พูดจาก็ไม่รู้เรื่อง แถมทาหน้าขาวยังกับละครลิงเดี๋ยวหน้าดำ เดี๋ยวหน้าขาว ไม่บ้าก็ไม่รู้จะเรียบกว่าอะไรแล้ว”
องอาจหัวเราะ
“แบบนั้นเลยเหรอครับ เดี๋ยวผมให้เด็กไปดูให้”
นับดาว ที่แอบฟังอยู่พึมพำเบาๆปลอบใจตัวเอง
“คงไม่ได้หมายถึงเราหรอกมั้ง”
เป็นไทบ่นต่อ
“คงประสาทไม่ดี ทีแรกก็เอาเสื้อกั๊กมาใส่ เมื่อกี๊ไม่รู้ไปถอดทิ้งไว้ไหน”
นับดาวชะงักไปนิดพึมพำกับตัวเอง
“อาจจะหมายถึงเรา”
“ผู้หญิงที่มากับคุณรจนาไง” เป็นไทยเสริม
“ชัดเลย”
นับดาวเสียหน้าที่ได้ยิน แล้วจากความอายก็กลายเป็นความโกรธ

แพรวไพลินขับรถคันหรูแล่นเข้ามาในลานจอดรถ พุ่งเข้าไปจอดในช่องจอดรถคนพิการ ยามเดินปรี่เข้ามา
“นี่ที่จอดรถคนพิการ”
แพรวไพลินเชิดหยิ่ง
“ฉันดูเหมือนคนปกติงั้นเหรอ”
ยามมองงงๆ
“คุณเป็นอะไร”
“ฉันสวย ผิดปกติ”

แพรวไพลินเดินเข้าไปในตัวตึกไม่สนใจจะขยับเปลี่ยนที่จอดรถแต่อย่างไร

อ่านต่อหน้า 2 เวลา 12.00 น.





ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ด้านใน...นับดาวยังคงแอบฟังอยู่อย่างโมโหกระฟัดกระเฟียด เป็นไทยังคงคุยกับองอาจ

“แล้วนี่ข้างหลังไม่มีปัญหาอะไรนะ”
“ไม่มีครับ...ตอนแรกมีคุณรจนามาช้าหน่อย แต่ก็ขึ้นเวทีทันครับ”
เป็นไทส่ายหน้า
“ทำงานกับพวกคนมีอายุก็งี้แหละ เวิ่นเว้อ กว่าจะทำโน่นทำนี่ มันไม่กระฉับกระเฉงเหมือนทำงานกับเด็กๆ เดี๋ยวเรื่องโน้นเรื่องนี้”
“ก็จริงนะครับ”
“ผมว่าจะไม่เอาแล้ว พวกงานแบบนี้ กำไรก็น้อย ความสุขในการทำงานก็น้อยสู้จัดงานพวกวัยรุ่นไม่ได้กำลังซื้อสูง ล่อใจง่าย อย่างไอยูกิ นักร้องญี่ปุ่นที่เราจะจัดเนี่ย ยิ่งกระแสนักร้องต่างประเทศกำลังฟีเวอร์ด้วยเนี่ย เปิดขายบัตรแค่สามชั่วโมงก็หมด เชื่อผมสิ ไม่ต้องรอลุ้นจะขายออกมั้ย แถมมาในงานแบบนี้ ก็เจอแต่คนสูงอายุทั้งนั้น คุณลองชะโงกไปดูสิ รวมทั้งฮอลล์นี่ไม่ต่ำกว่าหมื่นปีละมั้ง”
“ซื้อผ้าสามสีมาผูกเลยดีกว่า” องอาจพูดขำๆ
“อย่างคุณรจนาที่ร้องอยู่เนี่ย เสียงก็ไม่ขี้เหร่หรอกนะ แต่ถ้าไม่ใช่งานแบบนี้ใครเค้าจะจ้าง คงต้องรอไปร้องตามงานศพเพื่อนซะละมั้ง”
องอาจกับเป็นไทหัวเราะกันสองคน นับดาวทนไม่ไหว ปรากฏตัวออกมา
“พวกคุณนี่เป็นผู้ชายรึเปล่า ว่าฉันลับหลังฉันยังทนได้ แต่มีสิทธิ์อะไรมาว่าย่าฉัน มีสิทธิ์อะไรมาดูถูกศิลปะไทยว่าขายไม่ได้ ขายไม่ดี เพราะมีคนอย่างคุณเนี่ยแหละ ประเทศถึงไม่ได้พัฒนาไปไหน”
องอาจกับเป็นไทตกใจ
“เฮ้ย มาจากไหนวะเนี่ย” องอาจหันไปสั่งลูกน้อง “เคลียร์ออกไปดิ๊”
เป็นไทมองนับดาวกลัวๆ
“นี่ไง คนบ้าที่ว่า”
ฝ่ายเวทีหลายคนมารุมจับ นับดาวดิ้น
“ปล่อยนะ...ปล่อยฉัน”
รจนาเดินเข้ามา
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันคะ”
“คนบ้าอาละวาดครับ” องอาจบอก
นับดาวเห็นรจนาก็วิ่งถลาเข้าหา
“ย่าคะ เรากลับกันเถอะ คนพวกนี้มันว่าเรา ดูถูกเรา”
รจนาจำไม่ได้ เพราะนับดาวยังหน้าขาววอกอยู่
“แล้วนี่เธอเป็นใครเนี่ย”
นับดาวไม่ได้ยินที่ย่าพูด
“กลับกันเถอะค่ะ”
รจนาจับหน้านับดาวหันควับกลับมา
“เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูด แปลว่าเป็นนับดาวละสิ แล้วทำไมรองพื้นผิดเบอร์ขนาดนี้”
“กลับกันเถอะย่า ดูคนพวกนี้มองเราสิ”
รจนาหันไปหาทุกคน
“ขอโทษทีนะคะ หลานฉันเอง ก่อเรื่องเป็นประจำ อย่าถือเลยนะคะ”
“ถ้าสติไม่ดี ก็ไม่ควรจะมาออกนอกบ้านนะครับ” องอาจแนะ
“ขอโทษค่ะ”
รจนาหยิบถุงกระเป๋าเสื้อผ้า ลากนับดาวออกไปข้างนอก

รจนาพานับดาวเดินออกมาข้างนอกอย่างร้อนรน เพราะอายคน ทั้ง 2 คน เดินสวนกับแพรวไพลิน ที่เดินเฉิดฉายชะเง้อมองหาคนเข้ามา ทั้ง 2 คนเหลียวมองแพรวไพลินอย่างละสายตาไม่ได้เพราะสวยมาก แต่แพรวไพลิน กลับมองทั้งคู่ด้วยหางตาเหยียดๆ
แพรวไพลินเดินเข้ามาหาเป็นไทที่หลังเวที
“หาตั้งนาน เป็นไงบ้างคะ ขอโทษทีที่แพรวมาช้า ไม่ทันตอนเปิดงาน พอดีว่าสไตลิสต์ประจำตัวของแพรวเค้าแวะเอาคอลเล็คชั่นใหม่ของแอร์เมส มาให้แพรวเลือกดูน่ะค่ะ”
เป็นไทยิ้มให้
“จ้ะ...ไม่เป็นไร”
“เห็นพี่ไทบอกว่าเป็นงานพวกวัฒนธรรมไทยไม่ใช่เหรอคะ เมื่อกี้แพรวเห็นคนทาหน้าขาวเป็นผีด้วย กลายเป็นงานแฟนซีไปแล้วเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ มีเรื่องผิดพลาดนิดหน่อย แต่จัดการเรียบร้อยแล้ว”
“ก็ดีค่ะ อย่าไปผิดพลาดบนเวทีก็แล้วกัน ไม่งั้นแพรวเสียแน่ๆ เพราะไปการันตีพี่ไทกับท่านรัฐมนตรีไว้ซะดิบดี”
เป็นไทยิ้มเจื่อนๆ รู้สึกเหมือนถูกข่มต่อหน้าลูกน้องตัวเอง ที่ทำงานอยู่แถวนั้นเต็มไปหมด

ค่ำคืนนั้น...เป็นไทกับพลอยไพลินมานั่งทานอาหารในร้านสุดโรแมนติกด้วยกัน
“จริงๆแพรวน่าจะทานอาหารที่หลังเวทีนะ เพราะพี่มีงานต้องเคลียร์อีกเยอะ”
“แหม พี่ไท...จะปล่อยให้แพรวกินข้าวกล่องพวกทีมงานได้ยังไง เดี๋ยวก็ท้องเสียหมด”
“ถ้างั้นพี่คงท้องเสียแล้วล่ะ”
“พี่ก็รู้ว่าแพรวเป็นคนธาตุอ่อน แพ้โน่นแพ้นี่อยู่เรื่อย ก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษหน่อยสิคะ”
“เอาเถอะ ไหนๆแพรวก็ลากพี่มากินถึงนี่แล้ว”
“พักนี้ พี่ไทเอาแต่ทำงาน จนเราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะคะ”
“ก็ดีกว่าพี่ไปกิ๊กสาวที่ไหนไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ค่ะ แต่คนเป็นแฟนกันก็น่าจะมีเวลาให้กันบ้าง”
“แพรวก็รู้ว่าพี่กำลังถือโปรเจ็กต์ใหญ่ของไอ ยูกิอยู่”
“แต่พี่ไทก็อย่าลืมว่าพี่ไทชนะประมูลโปรเจ็กต์นี้เพราะใคร...ถ้าพี่ไทไม่ได้เงิน 20 ล้านจากแพรว พี่ไทก็คงแห้วไปละ ดังนั้นพี่ไทก็ควรจะมีเวลาให้แพรวบ้างนะคะ”
เป็นไทเซ็งๆ
“ทำไมแพรวต้องคอยทวงบุญคุณพี่ตลอดเวลาด้วย”
“แพรวรู้ค่ะ ว่าผู้ชายรักศักดิ์ศรี ขนาดไม่ยอมแบมือขอเงินพ่อตัวเอง ทั้งที่พ่อก็เป็นนักธุรกิจพันล้าน ไม่ชอบให้ใครมาพูดอะไรแบบนี้ แต่แพรวแค่จะเตือนสติพี่ไท ว่าอย่าบ้างานให้มาก เอาใจใส่แฟนอย่างแพรวบ้างก็เท่านั้น แพรวขอแค่นี้ได้มั้ยคะ”
เป็นไทถอนหายใจ แล้วพยักหน้ารับแบบไม่เต็มใจนัก
“อืม”
แพรวไพลินยื่นมือมาจับมือเป็นไทไปหอม
“พี่ไทน่ารักที่สุดเลย”
แพรวไพลินมีความสุขมาก ขณะที่เป็นไทเซ็งๆ

บ้านที่รจนกับนับดาวอยู่ เป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่แม้จะไม่ใหญ่โตโอ่อา แต่ทั้งคู่ก็มีความสุขตามประสาย่าหลาน...ขณะที่เดินจะเข้าบ้าน รจนานับเงินค่าตัวที่ได้มา ส่วนนับดาวบ่นๆ
“อย่าให้เจออีกนะ โธ่เอ้ย คิดว่าตัวเองหน้าตาดี แล้วจะว่าคนอื่นยังไงก็ได้ ไม่มีใครโกรธลงงั้นเหรอ ทุเรศ ผู้ชายแบบนี้หนูเกลียดที่สุดเลย คอยดูนะ ถ้าดังเมื่อไหร่จะเอามาเป็นทาส หึ หึ”
“พูดว่าจะดัง จะดัง มาตั้งแต่สิบขวบ ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ก็เห็นมันจะไปไหน” รจนาพึมพำนับดาวไม่ได้ยิน
นับดาวนึกอะไรได้
“นี่ย่า...หนูนึกออกแล้ว ว่าหนูจะเป็น ซูเปอร์สตาร์ได้ยังไง”
“ว่ามา”
“หนูเอารูปไปทิ้งไว้ที่โมเดลลิ่งดีกว่า ใช่ๆ วิธีนี้ดีที่สุดเลย”
“หางานทำก่อนดีมั้ย ตกงานมาหลายเดือนแล้วนี่เรา”
“วิธีนี้ต้องเวิร์คสุดๆ ทำไมเพิ่งคิดได้นะ ไม่งั้นป่านนี้ก็ดังไปแล้ว”
รจนาส่ายหน้าเอือมระอา นับดาวหันมาเห็นย่าตนกำลังนับเงิน เธอก็กระโดดคว้าแบงค์พันมาหนึ่งใบ
“หนูขอยืมเงินก่อนนะย่า หนูจะเอาไปถ่ายรูปสวยๆ”
นับดาวไม่ฟังคำตอบวิ่งเข้าไปในบ้าน ไม่สนใจคำบ่นของย่า
“ไอ้หลานคนนี้”
รจนาส่ายหน้าถอนหายใจกับพฤติกรรมของหลาน ขณะที่นับดาวเมื่อเข้าไปในห้องนอน เธอเปิดนิตยสารดาราไทยนั่งอ่านอยู่ที่โต๊ะ แล้วเธอก็ฝันไปไกล เหม่อมองไปที่ดาวบนท้องฟ้า ราวกับเด็กน้อยที่จินตนาการไม่มีที่สิ้นสุด
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น เป็นไทนั่งเอกเขนกอยู่ริมระเบียงมีเอกสารงานวางอยู่บนโต๊ะ มีรูปไอ ยูกิ เป็นเปเปอร์ในเอกสารด้วย ในมือถือกาแฟร้อนควันฉุย เขามองดาวบนท้องฟ้า
“ไอ ยูกิ คอนเสิร์ตคุณครั้งนี้ จะต้องทำให้บริษัทผมดังเป็นพลุแตก”
เป็นไทยิ้มกับรูปไอ ยูกิ ที่แปะอยู่ในเอกสาร โดยไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่เขานึกว่าเป็นคนบ้านั้น หน้าตาเหมือนกับไอ ยูกิราวกับเป็นคนเดียวกัน !

สายๆของวันต่อมา...สังวรณ์เจ้าของหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์ คุยกับเลขาของเขาอย่างเคร่งเครียด
“หมายความว่าไง บริษัทไอ้เป็นไทมันประมูลคอนเสิร์ต ไอ ยูกิ ไปได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นแค่บริษัทเล็ก เพิ่งเปิดไม่นาน มันจะเอาเงินมาจากไหน”
“ได้ข่าวว่ามันมีแบ็คอัพดีครับคุณสังวร”
สังวรณ์มองเลขาอย่างไม่พอใจ
“หืม...เมื่อกี้เรียกฉันว่าอะไรนะ”
“คุณสังวรณ์ครับ”
สังวรณ์โมโห
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกฉันว่า ซังวอน...ซี ซังวอน มันจะได้สมกับการเป็นเจ้าของนิตยสารเอเชี่ยนฮิตหน่อย แล้วอีกอย่าง หน้าฉันมันก็เกาหลีซะขนาดนี้จะมาชื่อสังวรณ์ได้ยังไง”
เลขาฯจ๋อยๆ
“ครับ”
“แกไปสืบมาเลยนะ ว่าไอ้เป็นไทมันไปเอาเงินมาจากไหน หาช่องโหว่ของมันมาให้เยอะที่สุด มันจะได้รู้ว่ามันเล่นกับใครอยู่”
“ครับคุณสัง...เอ่อ ซังวอน”
“ดีมาก ออกไปได้แล้ว”
พอเลขาฯออกไป สังวรณ์ก็หยิบนิตยสารเอเชี่ยนฮิตหน้าปก ไอ ยูกิ ขึ้นมา แล้วก็เอามือขึ้นลูบไล้
“ไอ ยูกิ ผมต้องจัดคอนเสิร์ตคุณให้ได้ เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกันจริงๆซักที”
สังวรณ์เอาหน้าเข้าไปหอม ไปไซ้ ปกหนังสือ เหมือนคนโรคจิต แล้วเลขาฯก็เปิดประตูเข้ามาเห็นสังวรณ์พอดี เลขาตกใจ สังวรณ์ก็ตกใจ
“อะไรของแกอีก เคาะประตูไม่เป็นรึไง”
“ขอโทษครับ คือทางบก.นิตยสารซูเปอร์สตาร์ เค้าฝากรูปเด็กๆจากโมเดลลิ่งมาให้คุณซังวอนดูนะครับ เผื่อว่าจะคุณซังวอนอยากจะเลือกปั้นใครเป็นพิเศษน่ะครับ”
เลขายื่นซองใส่รูปให้ สังวรณ์รับมา
“เออ...ขอบใจ จะไปไหนก็ไป”
สังวรณ์ทำเป็นเก๊กเข้ม เลขาออกไปจากห้องแอบกลั้นขำ

นับดาวนั่งชื่นชมรูปตัวเองในมือ วราพรรณเพื่อนสนิทของเธอเดินเข้ามา สั่งอาหาร
“ผัดซีอิ๊วกุ้ง ที่นึงนะป้า”
วราพรรณเดินเข้ามาอย่างคุ้นเคยมาที่โต๊ะที่นับดาวนั่งอยู่ เธอมองนับดาวตั้งแต่หัวจรดเท้า นับดาวแต่งตัวเชยเหมือนข้าราชการเก่าๆ
“เฮ้ย...ทำไมวันนี้แต่งตัวเป็นทางการจังวะ”
“จะไปหางานทำ”
“โดนไล่ออกอีกแล้วเหรอเนี่ย”
นับดาวพยักหน้าเซ็งๆ
“”ไง...โทรเรียกมาแต่เช้า มีไรล่ะวันนี้”
“นุ้ย ฉันมีเรื่องรบกวนหน่อย”
“แหม เข้าเรื่องเร็วจริงนะ ไม่คิดจะถามสารทุกข์สุกดิบหน่อยรึไง”
“นี่...รูป” นับดาวยื่นรูปให้ “ฉันฝากแกไปลงหนังสือดาราของแกหน่อยสิ ฉันเคยอ่านนะ มันจะมีคอลัมน์แนะนำดาราหน้าใหม่ เผื่อใครสนใจอยากเรียกไปทำงานน่ะ”
วราพรรณมองรูป
“แกจะให้ฉันเอารูปแบบนี้ไปให้บก.ลงหนังสือเนี่ยนะ ฉันคงโดนด่าตาย”
“แกพูดว่าอะไรนะ ยาวๆ ฉันไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจหรือไม่ได้ยิน”
“อ่านปากไม่ทัน”
วราพรรณจับหน้านับดาวหันไปด้านขวาเพื่อให้หูซ้ายหันมาที่เธอ
“สรุปง่ายๆเลยนะ ไม่เอาเว้ย ฉันไม่อยากเอาหน้าที่การงานมาเสี่ยง ชัดมั้ย”
“เฮ้ยแก...ฉันเสียเงินถ่ายรูปไปตั้งเยอะนะ”
“เสียเยอะ แล้วได้รูปแบบนี้มาเนี่ยนะ หนอนชาเขียวยังดูดีกว่าเลย”
“แกก็พูดเกินไป”
“แว่นหนาเตอะ หน้าก็ไม่แต่ง หัวก็ฟู ถึงลงไป ใครเค้าจะเรียกแกไปทำงานวะ”
“โอ๊ย...ฉันก็สวยสุดได้แค่นี้แหละ”
นับดาวบ่นอย่างหงุดหงิด

สังวรณ์เปิดดูรูปผู้หญิงจากซองที่เลขาให้มา เขาดูรูปมากมาย แต่ก็ไม่มีถูกใจซักคน
“โอ้โห...น้องคนนี้ ไปฉีดคาร์บ็อกซี่ให้ขาเล็กก่อนมั้ย ค่อยมาเป็นดารา ไม่ไหวๆดูคนนี้ วิวัฒนาการยังไม่ถึงขีดสุดเลย กล้าส่งรูปมานะ...” ดูรูปแต่ละรูปอย่างเร็วๆเซ็งๆ “โอ๊ย...มีแต่พวกอยากเป็นดารา แต่สภาพหน้าตาไม่ให้ มันจะไม่มีใครสวยพร้อมเลยรึไงเนี่ย แบบนี้ต่อให้ลงหนังสือไป ใครเค้าจะมาจ้าง”
สังวรณ์ส่ายหน้าระอาใจกับรูปภาพที่ได้รับมาบนโต๊ะ

รูปถ่ายของนับดาวถูกวางโยนลงบนโต๊ะ วราพรรณส่ายหน้าระอาใจ
“ไหนมานี่ซิ ขอดูหน้าใกล้ๆหน่อย”
นับดาวยื่นหน้ามา วราพรรณถอดแว่นหนาๆของ นับดาวออก นับดาวหรี่ตาทันที เหมือนคนสายตาสั้นมองไม่เห็น
“แกจะใส่ทำไมวะ ไอ้แว่นเนี่ย เชยก็เชย ปิดบังความสวยหมด”
“แกว่าอะไรนะ ขออีกทีดิ๊ ฉันอ่านปากไม่เห็น”
“เออ ดี...หูก็หนวก แล้วยังตาบอดอีก”
“ห๊ะ อะไรนะ จะวัดปรอทอะไร”
“แล้วผมเนี่ยหวีมั่งมั้ยเนี่ย ปล่อยกระเซิงเป็นรังนกไปได้”
“แกพูดไม่เหมือนเดิม”
“เออ สิ...แล้วนี่ดูแต่งตัว ยังกับจะไปงานเลี้ยงรุ่นกับป้าๆที่สนามม้านางเลิ้งไหวป่ะเนี่ย”
“แกเอาแว่นมาหน่อย ฉันปิดรับสื่อมากเลยว่ะ ฟังก็ไม่รู้เรื่อง มองก็ไม่เห็น”
วราพรรณยื่นแว่นให้
“แล้วเนี่ยนะ อยากจะเป็นดารา ฉันอยากจะบ้าตาย”
นับดาวใส่แว่น
“แกว่าอะไรซะยาว มีปรอท ตายาย อะไรไม่รู้ ใครป่วยรึเปล่า”
“แกนั่นแหละป่วย”
“จริงเหรอ” นับดาวเอามือจับหัวตัวเอง “ทำไมไม่รู้ตัวเลยล่ะ”
“เป็นบ้าไง”
นับดาวสะดุ้ง
“เฮ้ย...อะไร มาว่ากันทำไม”
“จริงๆ แกก็หน้าตาดีนะ หน้าเหมือนกับดาราญี่ปุ่นคนนึงเลย”
“จริงป่ะ”
นับดาวเอามือจับหน้าตัวเองแล้วยิ้ม วราพรรณถอนใจ
“แต่แกทำลายมันไม่เหลือชิ้นดีเลยว่ะ”
“พูดเกินไป”
“หัดแต่งหน้าแต่งหน้า แต่งตัวให้สมกับเป็นผู้หญิงหน่อยดิวะแก จะได้ไม่เสียชาติเกิด”
“แล้วแกล่ะ ว่าแต่ฉัน ไม่เห็นแต่งเลย”
“ก็ฉันไม่ได้อยากเป็นดาราอย่างแกนี่หว่า อีกอย่างฉันก็ห้าวซะขนาดนี้ แต่งหญิงคนก็หาว่าเป็นกะเทยพอดี”
“แล้วตกลง รูปที่ถ่ายมานี่ใช้ไม่ได้เหรอ”
วราพรรณยักคิ้ว
“นี่ถ้าแกอยากเป็นดาราจริงๆนะ ไว้วันหลังฉันจะพาไปฝากตัวกับบก.รูปน่ะไม่ต้องใช้หรอก แต่ต้องไม่ใช่สภาพนี้นะ”
“จริงๆนะ ถ้าฉันทำตัวสวยๆ แกจะพาฉันไปจริงๆนะเว้ย”
วราพรรณพยักหน้ารับ นับดาวดีใจจนออกนอกหน้า

นับดาวเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า เธอสวมแว่นตา ทรงผมปิดหน้าเชยๆเดินผ่านร้านเสื้อผ้าหรู มองชุดเหล่านั้นร้านผ่านกระจกแววตาฝันไปไกล
...ภาพในฝัน เธอใส่ชุดที่โชว์ในหุ่นอย่างเฉิดฉายดูสวยเริ่ดกว่าใคร เดินไปตามทางของห้าง มีแต่คนเหลียวมองดูเป็นตาเดียว นับดาวยิ้มมีความสุขมาก...และแล้วเธอก็ฝันสลาย กลับกลายเป็นนับดาวเชยๆคนเดิม เมื่อพนักงานร้านมายืนกระแอมเบา มองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูถูก เธอได้แต่ยิ้มเก้อๆแล้วเดินผ่านไป พลางบ่น
“ขอแค่ยืมฝันนิดๆหน่อยๆก็ไม่ได้ ใจดำจริงๆ”
นับดาวเดินผ่านจากหน้าร้านขายเสื้อผ้าไม่ได้เท่าไหร่ เธอก็เห็นเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของทางห้าง ประกาศรับสมัครพนักงานเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อยู่พอดี เธอสนใจทันที
นับดาวเดินเก้ๆกังๆมาที่ส่วนออฟฟิศที่สัมภาษณ์งานของห้าง คนกำลังทยอยเดินสวนออกไป เธอเข้าไปถามพนักงานชายคนหนึ่ง
“เอ่อ คือมาสมัครงานเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์น่ะค่ะ”
“สมัครงาน...มาเอาตอนนี้เนี่ยนะครับ นี่มันพักเที่ยง คุณก็นั่งรอไปก่อนละกันช่วงบ่ายค่อยว่ากัน”
นับดาวพยักหน้าเจื่อนๆ ไปนั่งรอที่เก้าอี้ยาว ระหว่างนั้นก็มีผู้หญิงอีกคนเดินเข้ามา สวยเอ็กซ์ มาก เข้ามาถามพนักงานคนเดิม
“พอดีมาสัมภาษณ์งาน AE น่ะค่ะ”
พนักงานคนนั้นรีบยิ้มรับ
“เชิญเลยครับ ผมก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะมา”
“แต่นี่พักเที่ยงนะคะ”
พนักงานยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ผมไม่ทานข้าวเที่ยงน่ะครับ”
สาวสวยทำหน้าสงสัย
“จริงๆผมไม่อยากลงไปทานคนเดียวมากกว่า แต่ถ้าคุณลงไปทานด้วยละก็...”
“งั้นมาสัมภาษณ์กันก่อนมั้ยคะ”
“ได้ครับ”
พนักงานชายพาสาวสวยเข้าไปสัมภาษณ์งาน ต่อหน้าต่อตานับดาวที่ปล่อยให้นั่งรออยู่ตรงนั้น นับดาวหมั่นไส้ แล้วเธอก็หันไปมองเงาสะท้อนในกระจกใสของออฟฟิศ ที่พอจะมองเห็นหน้าเธอเลือนๆ เธอพยายามจะทำหน้าตาเซ็กซี่บ้าง พยายามดันหน้าอกให้ดูดูมดูม แต่ก็ไม่ได้ดูดีขึ้นเลย ใครเดินผ่านก็สมเพชพฤติกรรมของเธอ นับดาวเห็นคนอื่นมองก็เขินๆ ทำนั่งนิ่งๆเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น
นับดาวนั่งนิ่งอย่างไม่ค่อยมีความมั่นใจนัก พนักงานชายคนเดิมสัมภาษณ์ เธอนั่งเบี่ยงตัวด้านซ้ายเข้าหาคนสัมภาษณ์เพื่อเธอจะได้ยินชัด พนักงานดูใบประวัติไปด้วย สัมภาษณ์ไปด้วย
“ฟัง พูดภาษาอังกฤษได้มั้ย”
“ต้องพูดด้วยเหรอคะ”
“เอ้า...ห้างสรรพสินค้ามีแต่คนไทยเดินรึไงครับ ถ้าฝรั่งมาถามอะไรจะตอบได้รึเปล่าล่ะ”
“ได้ค่ะ”
“ดี...แล้วนี่ปกติแต่งตัวแบบนี้รึเปล่า”
“เปล่าค่ะ ชุดนี้ของย่าตอนสาวๆ ยืมมาใส่สมัครงานน่ะค่ะ”
“ดี...วันหลังไม่ต้องยืมมาหรอก ผมหันไปเห็นทีไร คิดถึงแม่ทุกที”
นับดาวยิ้มอายๆ
“ตกลงผมรับให้คุณทำงานนี้ คุณรู้ใช่มั้ยว่างานประชาสัมพันธ์ มันเป็นหน้าเป็นตาของห้างเราด้วย แล้วคุณ ถ้ามองลึกๆ ลึกเท่าที่จะลึกได้ ก็ไม่ใช่คนขี้เหร่อะไรผิวพรรณก็โอเค หน้าตาก็ถ้ามองลึกๆก็โอเค แต่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวให้ดีกว่านี้โอเคมั้ย”
“ได้ค่ะ”
“แล้วเริ่มงานได้เมื่อไหร่ พรุ่งนี้ได้มั้ย”
“ได้ค่ะ ได้”
“นี่ ผมถามคุณอีกอย่างนะ ทำไมคุณต้องนั่งหันข้างให้ผมด้วย เห็นแล้วมันอึดอัดสายตา”
“เอ่อ คือ...มันเป็นท่าถนัดน่ะค่ะ นั่งแล้วจะมั่นใจ”
“แต่มันดูประหลาดๆนะผมว่า ทำอย่างกับคนหูตึงข้างนึงแล้วกลัวไม่ได้ยินอย่างงั้นแหละ”
นับดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก
“ผมล้อเล่น เอาเป็นว่าเวลาทำงานนั่งให้มันดีๆละกัน”
“แหะ แหะ ค่ะ”
นับดาวยิ้มดีใจที่ได้งานแต่ก็ร้อนตัวเรื่องหูหนวกด้วย เมื่อเดินออกมาจากส่วนออฟฟิศ เธอเดินมาที่ส่วนของห้างมาหยุดที่ร้านแว่น
“เป็นหน้าเป็นตาของห้างเลยนะนับดาว แปลว่าเธอจะสวยและเด่นที่สุด”
เธอหันไปเห็นโฆษณาคอนแทคเลนส์ในร้านแว่น พร้อมกันพรีเซนต์เตอร์บิ๊กอายตากลมแป๋ว

นับดาวนั่งอยู่หน้ากล่องคอนแทคเลนส์ วราพรรณนั่งแนะนำอยู่ด้วย
“บิ๊กอายก็ดีนะ ตอนนี้กำลังนิยมกันมากในหมู่วัยรุ่น”
“แกก็รู้ ว่าฉันสายตาสั้นด้วย”
“บิ๊กอายก็มีแบบเลนส์สายตาด้วยเหรอ นี่แกซื้อมาสั้นเท่าไหร่”
“400”
วราพรรณ์ตกใจ
“โอ้ว แม่เจ้า...ตาบอดไปเลยดีกว่า”
นับดาวเอียงหูข้างที่ดีพยายามฟัง
“อะไรนะ”
“ไม่มีอะไร”
“ใส่ยังไง แกใส่เป็นมั้ย สอนฉันหน่อย”
วราพรรณหน้าเบื่อๆ แล้วสาธิตให้ดู พร้อมอธิบาย
“ก็แหกตาออกแบบนี้นะคะ แล้วก็เอาเลนส์วางบนปลายนิ้วชี้แบบนี้ แล้วก็ยัดมันลงไปที่ลูกกะตา ของข้างขวาก็ข้างขวา ข้างซ้ายก็ข้างซ้าย อย่าไปสลับล่ะ แค่นี้แหละค่ะ ไม่ยาก”
นับดาวหวาดๆ
“ยัดไปเลยเหรอ น่ากลัวจัง”
“แรกๆก็พูดแบบนี้ทุกคนแหละ แต่พอใส่บ่อยๆก็ชินไปเองไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ยคะ”
“อ๋อ...ค่ะ” นับดาวพูดไพเราะประชดเพื่อน

นับดาวเดินมาที่ลานกลางห้าง เธอหันไปเห็นเป็นไทที่เดินมากับแพรวไพลินพอดี เธอจำได้ว่าเป็นคนที่ว่าเธอกับย่าที่งานวัฒนธรรม นับดาวปี๊ดขึ้นทันที จะเดินเข้าไปแก้แค้น
“ผู้หญิงสวยๆ แบบนี้ มากับแกได้ไง...ไอ้ผู้ชายเลว แกว่าฉันกับย่า แกต้องโดน....” นับดาวนึกได้ “อุ้ย ไม่ได้สิ ถ้าไปแบบนี้มันก็จะจำหน้าเราได้ แจ้งตำรวจจับ หรือจ้างมือปืนมาตามฆ่า ไม่ได้ๆ”

นับดาวหันไปเห็นตุ๊กตาแมสค็อตกำลังเดินทักทายเด็กๆ อยู่ เธอคิดอะไรได้แล้วหัวเราะในลำคออย่างมีความสุข

อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00 น





ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 1 (ต่อ)

แพรวไพลินยืนอยู่หน้าร้านเสื้อผ้า ที่นับดาวเคยมายืนมองอยู่ เธอมองชุดเดียวกับที่นับดาวมอง

“พี่ไทดูสิคะ ชุดนี้สวยจังเลย”
“อืม แพรวใส่อะไรก็สวยหมดแหละ”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยเรื่องชุด นับดาวในชุดตุ๊กตาแมสค็อตที่เฝ้าดูทั้งคู่ ก็ค่อยๆจู่โจม วิ่งเข้ามาประชิดตัว ทั้งคู่หันมาเห็นก็ตกใจ เพราะสิ่งที่จู่โจมเข้ามาคือตุ๊กตาแมสค็อตน่ารัก
“อุ้ย...สวัสดีค่ะ”
แพรวไพลินยิ้มให้ นับดาวในชุดตุ๊กตาแมสค็อตทำโบกมือทักทายแพรวไพลิน แต่มือก็พัดไปโดนหัว โดนหน้าของเป็นไทด้วย เป็นไทงงๆพยายามหลบ แต่ก็โดนตลอด
“น่ารักจังเลย แพรวขอให้อาหารมันได้มั้ยคะพี่ไท”
“ตุ๊กตานะครับ ไม่ใช่หมีแพนด้าจะได้ให้อาหารได้”
นับดาวในตุ๊กตาทำท่าหัวเราะ แต่ก็เอามือป้ายไปโดนเป็นไท กดหัวบ้าง ตบหน้าบ้าง เข้าไปโอบแล้วศอก เข้าไปกอดแล้วเขาบ้าง แต่ก็ทำเป็นขอโทษเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“ผมว่า เราไปกันเถอะแพรว ผมว่าผมเริ่มมึนแล้ว”
เป็นไทกับแพรวไพลินเดินแยกออกไป นับดาวในตุ๊กตาทำท่าบ๊ายบาย แต่พอทั้งคู่ไปตุ๊กตาก็ทำท่าหัวเราะคิกคัก ระหว่างที่นับดาวในตุ๊กตาหัวเราะอยู่นั้นเด็กๆวิ่งกรูเข้ามา นับดาวเห็นรีบวิ่งหนีเด็กๆอยางตกใจ แล้วรีบไปเปลี่ยนชุด เดินออกมาหน้าห้างอย่างเหนื่อยๆ
“ไอ้เด็กพวกนี้นี่ เล่นซะฉันขาแทบไม่มีแรงเลย แต่ก็ดี ได้แก้เผ็ดไอ้บ้านั่นซะบ้าง”
นับดาวเดินออกจากห้างไปอย่างมีความสุข

ประเทศญี่ปุ่น...ยูกิอยู่บ้าน กับแม่ และพ่อ เล่นใบ้คำภาษาไทยกันอยู่ พ่อเป็นคนใบ้ ยูกิเป็นคนทาย แม่เป็นคนจับเวลา
“โอ้ว...” พ่อทำท่าเอามือพัดว่าร้อน
“พัด...สะบัด” ยูกิทาย
“ไม่ใช่” ส่ายหน้า
“เฮ้อ...” พ่อทำท่าเพลียๆ
“เหนื่อย...” ยูกิทายอีก
“ไม่ใช่”
แม่ส่ายหน้าอีกครั้ง พ่อจึงทำท่าปาดเหงื่อ
“ร้อน...”
“ถูกต้อง ร้อน หมดเวลา” แม่ตบมือให้
พ่อถอนใจเฮือก
“กว่าจะทายถูกได้ ภาษาไทยนี่ยากจริงๆนะ”
แม่ถามยูกิ
“เราเรียนกันธรรมดาดีกว่ามั้ย”
“อย่างนั้นมันไม่จำ อย่างงี้จำดีกว่า” ยูกิทำท่าต่างๆ “พัด ร้อน เหนื่อย” ทำท่าลิ้ห้อย “จำได้ดี”
แม่อ่อนใจ พูดกับพ่อ
“ไหนรวมคะแนนซิ ใครชนะ”
พ่อมองแผ่นกระดาษ นับคำ
“แม่ได้ 5 ยูกิได้ 7”
“หนูชนะอีกแล้ว” ยูกิพูดญี่ปุ่น
ยูกิยกมือขึ้นมาทำท่าเฮ ดีใจที่ชนะแม่ได้
“พ่อก็เห็นลูกชนะแม่ตลอด”
แม่มองเขม่นพ่อที่รู้ทัน ยูกิหน้ายิ้มแป้นมีความสุข

บ้านที่นับดาวอยู่ เมื่อเทียบกับบ้านยูกินั้น ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว...นับดาวเดินเข้ามาในบ้าน เห็นรจนา นอนหลับอยู่บนโซฟาเก่าๆของเธอ พร้อมกับเพลงลูกกรุงที่ดังจากแผ่นเสียงที่เปิดอยู่ นับดาวถอนใจ เดินไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้ แล้วก็เดินไปปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงเหงาๆ
“ถ้าแม่กับพ่อไม่ทิ้งหนูไป ย่าก็คงไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้...หนูสัญญานะว่าสักวันหนูจะต้องดัง จะต้องรวย ย่าจะได้ไม่ต้องลำบากอีก ย่าจะได้ไม่ต้องอายใครที่มีหลานแบบหนู”
นับดาวถอนหายใจ เดินเข้าบ้านไป รจนาลืมตาขึ้นมาเศร้าๆ อย่างไม่รู้ว่าเธอกำลังเวทนาหลานหรือเวทนาตัวเองกันแน่

ยูกิ แม้เธอจะอยู่บ้านไม่ได้แต่งหน้า ก็ยังดูสวยสง่า... เธอนั่งมองดาวบนท้องฟ้า แต่แล้วเธอก็เหมือนเห็นคนแอบมองเธอจากหน้าบ้าน เธอตะโกน
“นั่นใครน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากตรงนั้น มีแต่การผลุบไหวในความมืด เธอมองไม่เห็นใครที่จุดเดิม แม่ได้ยินเสียงเดินเข้ามาถาม
“มีอะไรหรือยูกิจัง”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“นอนได้แล้วนะลูก ดึกแล้ว เดี๋ยวต้องเตรียมตัวไปคอนเสิร์ตที่เมืองไทยอีก”
“เสียดายไปเมืองไทยครั้งนี้ แม่กับพ่อน่าจะได้ไปด้วยกัน”
“เอาน่า ลูกเก่งจนดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”
ยูกิยิ้มกับแม่ที่เดินออกไปแล้ว เธอยังแอบสงสัยอยู่นิดๆว่าที่เห็นผลุบๆโผล่ๆเมื่อกี๊มันคืออะไร

ก่อนนอน...นับดาวกราบพระสามครั้งก่อนจะตั้งอธิษฐาน
“วันนี้หนูก็มาขอพรเหมือนเดิมค่ะ ขอให้หนูดัง ขอให้หนูได้เป็นซูเปอร์สตาร์ ขอให้หนูได้มีโอกาสได้เป็นที่รักของคนอื่นเค้าบ้าง หนูรู้ว่าหนูมาขอบ่อย ท่านคงเบื่อ ถ้าท่านเบื่อ ท่านก็ตัดปัญหาโดยการให้หนูสมหวังสิคะ หนูจะได้ไม่ต้องมาขออีก ...ขอบคุณนะคะที่รับฟัง สาธุ”
นับดาวเดินออกจากห้องไปเซ็งๆ รจนาเข้ามาในห้องพระ มองนับดาวที่เดินออกไปส่ายหัวระอาใจ
“ดูซิ มันมาขอพรพระ จะซื้อพวงมาลัยมาไหว้หน่อยละก็ไม่มี ไม่รู้จักลงทุนเลย”
รจนาเก็บพวงมาลัยที่เหี่ยวแล้วเดินออกไปทิ้ง

กลางดึกอันเงียบสงัดของบ้านยูกิ เธอนอนหลับแล้ว แต่มีเสียงกุกกักที่หน้าต่าง จนเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอรวบรวมความกล้าไปดูที่หน้าต่าง ถือหนังสือเล่มหนาเล่มใหญ่ติดมือไว้ป้องกันตัวด้วย เปิดหน้าต่างออก แล้วก็ต้องตกใจ เพราะมีคนโผล่มา ยูกิหลับตาปี๋เอาหนังสือฟาดเข้าไปที่หน้าด้วยสัญชาตญาณอย่างเต็มแรง ชายที่โผล่มาร่วงหายไป ยูกิค่อยๆชะโงกหน้าไปดู ชายคนนั้นก็โผล่ขึ้นมาอีก ยูกิเอาหนังสือฟาดอีก ปั้กๆๆ คราวนี้ไม่ยั้งมือ ชายที่โผล่มาหน้าเซ็ง เลือดออกปากออกจมูก
“ยูกิ นี่พี่เอง”
ด้วยเสียงคุ้นๆ จากที่หลับตาปี๋ ยูกิลืมตามองดูหน้าชายที่โผล่มาทางหน้าต่างก็คือ ไคคุง นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อ แฟนของเธอนั่นเอง
ยูกิงอนที่ไคคุงพูดญี่ปุ่นด้วย
“ยูกิหัดพูดไทยอยู่”
“ไคคุง แฟนยูกิไง” ไคคุงพูดไทยแนะนำตัวเอง
ยูกิยิ้ม ไคคุงยิ้ม เลือดกบปาก ดูตลกมากกว่าน่ากลัว
“พี่ได้กลิ่นคาวเลือดที่ไหนก็ไม่รู้”
ยูกิยิ้ม เอาผ้าซับเลือดที่มุมปากให้
“อุปทาน...คนไทยเขาเรียกอุปทาน เลือดอะไรที่ไหน”
“ฟันหักมั้ยเนี่ย”
ไคคุงบ่น กระปอดกระแปด ยื่นดอกลิลลี่สีขาวให้ ยูกิรับมาเขินๆที่ทำรุนแรงไป
“อุ๊ย มีของให้ด้วย เนื่องในโอกาสอะไรเนี่ย”
“ก็ขอให้ยูกิเดินทางไปเมืองไทยโดยสวัสดิภาพไง”
“ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ตกลงไปตายจะว่ายังไง”
“ที่พี่โดน มันหนักกว่าตายอีกนะ พี่ว่า”
“แหะ แหะ ขอโทษค่ะ”
“ขอให้เดินทางไปเมืองไทยปลอดภัยนะ พี่คงไม่ได้ไปส่ง”
“ติดงานใช่มั้ยคะ”
“นอนโรงพยาบาล เพราะสภาพนี้แหละ”
ยูกิส่งยิ้มให้ไคคุงอย่างละอายใจที่ทำรุนแรง พยายามจะจับตัวไคคุงปลอบๆ เป็นห่วง โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาอำมหิตจองยามาดะ แอบจ้องพวกเขามาจากนอกบ้าน
มุมมืด...ยามาดะจ้องไปที่หน้าต่าง ยิ่งเห็นยูกิกับไคคุงกำลังมีความสุข แววตาเขาก็ยิ่งแฝงความเคียดแค้น เขาจ้องทั้งคู่อย่างไม่ลดละ ในมือเขาถือรูปยูกิ ในชุดมัธยมต้น เขาขยำมันด้วยความโมโห ขณะเดียวกัน ไคคุงปีนลงจากหน้าต่างกลับไปแล้ว ยามาดะมองอย่างไม่พอใจ
ยูกิล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจ บนโต๊ะข้างหัวเตียงของยูกิ มีรูปรวมสมัยมัธยมต้นของเธอ ใส่กรอบวางไว้ หนึ่งในนั้นมียามาดะ ยืนเรียงแถวอยู่ในรูปถ่ายรวมกับเธอด้วย และบนโต๊ะก็มีตั๋วเครื่องบินและพาสสปอร์ต วางอยู่กับดอกลิลลี่สีขาวช่อโตจากไคคุง

ในคอนโดเป็นไท...องอาจที่หน้าเขียวทั้งหน้า เพราะพอกหน้าตัวเองแล้ว กำลังทาครีมพอกหน้าให้เป็นไทอยู่ ครีมสีเขียวปี๋ องอาจบรรจงเอาพายป้ายไปที่หน้าเป็นไทอย่างตั้งใจ
“ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้เลย” เป็นไทบ่น
องอาจส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอกครับคุณไท เฟิร์สอิมเพรสชั่นน่ะ รู้จักมั้ย”
“เออ”
“ถ้าหน้าคุณไทใสกิ๊กไปรับคุณไอ ยูกิ ที่สนามบินพรุ่งนี้นะ เธอจะได้ตะลึง แล้วการทำงานของเราก็จะได้ง่ายขึ้น”
“แล้วคุณล่ะเกี่ยวอะไร ไม่เห็นต้องพอกเลย”
“เธอเห็นเราทั้งคู่จะได้รู้ว่าคนบริษัทนี้หน้าใส ไกลสิว”
“ไง แล้วจะขายครีมหน้าเด้งให้เธอรึไง”
องอาจค้อน
“คุณเป็นไทก็”
“แล้วคุณไปรู้สูตรพอกหน้าพวกนี้มาจากไหน”
“นิตยสารผู้หญิงมีเยอะแยะไปครับคุณไท”
“คุณอ่านนิตยสารผู้หญิงด้วยเหรอ”
“อ่านสิ สนุกจะตาย มีอะไรให้ลองทำเต็มไปหมดเลยนะครับ”
“นี่คุณเป็นเกย์รึเปล่าเนี่ย”
“ก็แล้วแต่คุณไทจะคิด” องอาจแกล้งเดินเข้าหา ทำตาเยิ้ม “คุณไทจะลองดูรึเปล่าล่ะ”
เป็นไทหวาดเมื่อถูกองอาจทำตาหวานต้อนจนจนมุม
“เฮ้ย...อย่าเล่นอะไรบ้าๆนะ”
องอาจยื่นมือไป เอาพายปาดครีมพอกหน้าที่ย้อยออกมา
“นี่คิดอะไรครับเนี่ย ผมเห็นครีมมันจะย้อยจะเข้ามาเช็ดให้”
“เออ ก็ดี”
แพรวไพลินเดินเข้ามาในห้องเป็นไทพอดี ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นจากด้านหลัง ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก เหมือนกำลังทำอะไรอยู่ เธอร้องถามอย่างตกใจ
“นั่นทำอะไรกันน่ะ”
ทั้งเป็นไท องอาจก็ตกใจ

เป็นไท องอาจ หน้าเขียว แห้งเป็นแผ่นแข็ง นั่งนิ่ง แพรวไพลินซักไซ้ทั้งคู่
“นี่พี่สองคนทำอะไรกัน ใครคิดจะอธิบายให้แพรวฟังบ้าง นั่งนิ่งเป็นสากกะเบือทั้งคู่เลย”
องอาจพยายามจะพูด แต่ที่พอกไว้มันแห้งตึงมาก พูดลำบาก อ้าปากได้นิดหน่อย
“จะดีมาก ถ้าคุณแพรวให้เราไปล้างหน้าก่อน”
“พูดให้มันฟังรู้เรื่องหน่อยได้มั้ยคะ”
เป็นไทกัดฟันพูดเหมือนกัน
“พี่กับองอาจไม่ได้มีอะไรอย่างที่แพรวคิด”
“ถ้าไม่มีอะไร ทำไมไม่พูดจาให้ฉะฉานสมกับเป็นลูกผู้ชายล่ะคะ พูดจาในคอแบบนี้เหมือนตั้งใจจะปิดบังอะไรชัดๆ”
องอาจกัดฟันพูด
“หน้าตึงขนาดนี้จะพูดได้ไง”
แพรวไพลินโมโห
“นี่พี่องอาจกล้าว่าแพรวหูตึงได้ยังไง”
“ไม่ใช่ นี่แพรวเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว”
“เข้าใจผิดอะไร ผู้ชายสองคนทำอะไรกันลับๆล่อๆ แถมมาพอกหน้าบำรุงผิวยังกับผู้หญิง จะไม่ให้แพรวคิดได้ยังไง แต่แพรวบอกไว้ก่อนเลยนะคะว่าถ้าพี่ไทเป็นเกย์ ก็คืนเงิน 20 ล้านแพรวมาเลย ไม่ต้องให้มันมาแล้วยายไอ ยูกิอะไรนั่น”
องอาจทนไม่ไหว เอาน้ำในแก้วของแพรวไพลินมาล้างหน้าตัวเองตรงนั้นเลย แพรวไพลินตกใจว่าองอาจทำบ้าอะไร หน้าองอาจเลอะเป็นปื้น แต่ก็สามารถพูดได้ปกติ
“ไม่ได้นะครับ คุณไทกับผมไม่ใช่เกย์นะครับ ผมแค่ช่วยพอกหน้าให้คุณไท ไม่ได้มีอะไรเกินเลย เราสองคนก็แค่อยากบำรุงผิวเพื่อไปรับไอ ยูกิที่สนามบินพรุ่งนี้ก็แค่นั้น คุณแพรวอย่าเอาเงิน 20 ล้านมาเกี่ยวเลยครับ”
“ก็แค่นี้ นั่งเงียบกันอยู่ได้” แพรวไพลินค้อนขวับ

แพรวไพลินนั่งซบเป็นไทอย่างมีความสุขที่ระเบียง พลางออดอ้อน...
“ทีมาเจอแพรว พี่ไทไม่เห็นจะพอกหน้า ดูแลตัวเอง เพื่อให้แพรวประทับใจบ้างเลย แต่แพรวก็เข้าใจค่ะว่ามันเป็นเรื่องของงาน แต่พี่ไทอย่าคิดอะไรเกินเลยก็แล้วกัน ไม่งั้นแพรวเอาตายแน่”
เป็นไทที่ยังคงพอกสาหร่ายหน้าเขียวอื๋อ ยังไม่ได้ล้าง กัดฟันพูด
“นี่แพรวจะไม่ให้พี่ไปล้างหน้าหน่อยเลยเหรอ”
“ล้างทำไมคะ แบบนี้ดีออก ให้ความรู้สึกเหมือนแพรวอยู่อเมริกาเลย มีมงกุฎหน่อยก็เทพีเสรีภาพเลยนะเนี่ย”
“หึ หึ ตลก”
แพรวไพลินยิ้มที่ได้แกล้งเป็นไทได้

เช้าวันใหม่ นับดาวอาบน้ำเสร็จ มานั่งหน้ากระจก เธอหยิบตลับคอนแทคเลนส์ขึ้นมา เอาเลนส์วางไว้บนมือ แล้วถอดแว่นออก พยายามใส่มันอย่างทุลักทุเลจนสำเร็จ แล้ว เดินหน้าเกลี้ยงไม่สวมแว่นลงไปหารจนาที่กำลังกวาดบ้านอยู่
“ย่าจ๋า วันนี้หนูจะไปทำงานวันแรก ย่าแต่งหน้าให้หน่อยสิ”
รจนาดีใจ
“แกได้งานแล้วเหรอ ทำอะไร”
“ว่าอะไรนะ ขออีกทีซิย่า”
ย่าเดินมาพูดข้างซ้ายของนับดาว
“งานที่ทำน่ะ ทำอะไร”
“ทำงานในห้างน่ะย่า เค้าบอกให้แต่งหน้าสวยๆ”
“ได้เลย เดี๋ยวย่าจะแต่งให้สุดฝีมือเลย”
“เอาสวยๆน่ะย่า ไม่เอาแบบไปเล่นลิเกนะ”
“สวยสิ สวยแบบนางเอกเลยล่ะ”
รจนาส่งยิ้มอย่างมั่นใจไปให้หลาน

รจนาแต่งหน้านับดาวจนเสร็จ นับดาวหันไปเห็นกระจกก็ช็อก เพราะหน้าเธอเป็นแบบนางเอกจริงๆ แต่เป็นการแต่งหน้าย้อนยุคแบบเพชรา เชาวราษฎร์ นางเอกเมื่อ 30 ปีก่อน พร้อมทั้งทรงผมก็เกล้าแล้วตีโป่ง ขอบตาดำขลับ ขนตายาวเป็นแผง เป็นการแต่งเต็มที่เชยมาก
“เป็นไง สวยมั้ย ย่าไม่ได้แต่งสวยให้ใครแบบนี้มานานแล้วนะ”
นับดาวไม่มั่นใจ
“ย่า เราไม่ได้แต่งหน้าจัดเกินไปใช่มั้ย”
รจนาพูดข้างหูซ้าย
“โอ๊ย นี่ธรรมดานะลูกนะ สมัยสาวๆ ย่าเคยแต่งเยอะกว่านี้อีก”
“หนักตาแทบจะลืมตาไม่ขึ้นเนี่ยเหรอธรรมดา นี่ย่าใส่ขนตาไปกี่แผงเนี่ย”
รจนายิ้มภูมิใจ
“เอาเถอะ จะแก้จะอะไรก็คงไม่ทันแล้วล่ะ อวยพรให้หนูหน่อยละกันย่า”
“ขอให้หลานย่าเป็นที่รัก ที่เอ็นดู ได้เลื่อนขั้น เป็นเจ้าคนนายคน”
“ลืมอะไรรึเปล่า”
“ขอให้โด่งดังอย่างที่ตั้งใจ”
“ขอบคุณจ้ะย่า แค่นี้ก็สบายใจละ”
นับดาวกอดย่าเป็นกำลังใจ ก่อนที่เธอจะเดินถือกระเป๋าออกไป

เป็นไทเดินวุ่นอยู่ในออฟฟิศ เพราะต้องเตรียมตัวต้อนรับยูกิ ที่จะเดินทางมาถึงเมืองไทยวันนี้
“การมาของ ไอ ยูกิ วันนี้คุณไม่ได้แจ้งนักข่าวที่ไหนไปใช่มั้ย” เป็นไทหันไปถามประชาสัมพันธ์
“ไม่ได้แจ้งเลยค่ะ ตามที่คุณเป็นไทบอกว่าคุณไอยูกิอยากมาพักผ่อนแบบส่วนตัวก่อน”
“ดี เราจะแจ้งข่าวว่าไอยูกิมาถึงก็เมื่อ 3 วันก่อนแถลงข่าวคอนเสิร์ต”
“ค่ะ”
องอาจเดินเข้ามาหา เป็นไทหันไปถามทันที
“รถลิมูซีนที่ให้เตรียมไว้ เป็นยังไงบ้างแล้วเนี่ย”
“จอดอยู่หน้าออฟฟิศ เรียบร้อยแล้วครับ”
องอาจเพ่งมองที่หน้าของเป็นไท
“แล้วนี่มองหาอะไรบนหน้าผม”
“ดูว่าหน้าตาคุณไทพร้อมรึยัง”
“พร้อมกับแกน่ะสิ แพรวบังคับให้ฉันพอกอยู่ค่อนคืน จนเป็นตะคริวไปหมดทั้งหน้าแล้ว นึกว่าจะน้ำลายย้อยพูดไม่ได้แล้ว”
“คุณไทก็พูดเกินไป”
“วันหลังไม่เอาแล้วนะ หมักสาหร่ายอะไรของแกเนี่ย”
“เป็นโยเกิร์ตแทนแล้วกันนะครับ”
เป็นไทไม่เล่นด้วย เดินหนี
“ฮั่นแน่ อยากลองอะดิ...”

องอาจยิ้มล้อๆ

อ่านต่อหน้า 4





ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ที่ประเทศญี่ปุ่น...พ่อและแม่ มาส่งยูกิขึ้นรถ ทั้งสามคนกอดกันด้วยร้อยยิ้ม โดยไม่รู้เลยว่ายามาดะแอบมองพวกเขาอยู่

“เดินทางปลอดภัยนะลูก”
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้วนี่ไคคุงไม่มาส่งเหรอ” พ่อถาม
“ติดงานน่ะค่ะ แต่เราลากันแล้ว”
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
“ค่ะ แล้วหนูจะโทรมานะคะ”
ยูกิขึ้นรถ รถแล่นออกไป พ่อแม่กลับเข้าบ้าน ยามาดะออกมาจากมุมตึก มองตามรถของไอยูกิไป อย่างไม่ประสงค์ดี

นับดาวแต่งหน้าจัดแบบเพชรา ผมตีโป่ง นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของห้าง พนักงานคนอื่นมองนับดาวแล้วหัวเราะกันคิกคัก รวมถึงคนที่เดินผ่านไปมาด้วย นับดาวเสียความมั่นใจ ไม่กล้ามองหน้าใคร แล้วก็มีฝรั่งเดินมาสอบถามนับดาวถึงร้านในห้างว่าอยู่ตรงไหน นับดาวทำท่ามั่นใจเข้าไปคุยกับฝรั่ง ท่ามกลางความกดดันจากกลุ่มพวกประชาสัมพันธ์
“ว่าไงนะคะ”
เธอหันหูซ้ายรับฟัง
“where’s tops market”
“อ๋อ ท็อปส์ เดี๋ยวเดินลงชั้นใต้ดิน ลงบันไดเลื่อนไปอยู่ซ้ายมือ”
“what?”
“ว็อต อะไรล่ะ ก็บอกไปแล้วไง หูหนวกเหรอ บอกอยู่ชั้นบี...ชั้นบี”
พนักงานคนอื่นๆหัวเราะกันมากกว่าเดิม นับดาวเหล่ตาไปมองอย่างไม่พอใจ
“can you speak English”
“ทำไมฉันต้องสปีกอิงลิชด้วย นี่มันประเทศไทยนะคะ ฉันไปเมืองนอกฉันพูดภาษาคุณ โอเค ฉันรับได้ แต่คุณมาเมืองไทยยังจะให้ฉันพูดภาษาอังกฤษกับคุณอีกเหรอ มันไม่ใช่ป่าว เอาแต่ใจไปมั้ย อยู่เมืองไทย พูดภาษาไทยสิ”
ฝรั่งงงแตก ไม่เข้าใจที่นับดาวพูดซักประโยค จนพนักงานคนอื่นต้องมาบอกทางเป็นภาษาอังกฤษกับฝรั่ง นับดาวถูกผลักเข้าไปด้านหลังอย่างตัวประหลาด ทั้งพนักงานทั้งฝรั่งมองเธออย่างดูถูก
เมื่อถึงเวลาพัก พนักงานทุกคนรวมตัวกันจะไปทานข้าว นับดาวก็สะพายกระเป๋าเตรียมจะไปด้วย คนอื่นก็พากันเดินออกไปไม่สนใจ นับดาวเซ็งเดินออกไปคนเดียว

นับดาวเดินถือน้ำแดงออกมาหน้าห้างคนเดียว ดูดน้ำไปพลาง ถอนหายใจไปพลาง แล้วลมก็พัดเศษฝุ่นเข้าตา บาดคอนแทคเลนส์ในตา เธอเจ็บตามากจนเดินเสียหลักจากฟุตบาทไปขอบถนน
องอาจขับรถ โดยเป็นไทนั่งอยู่เบาะหลังสุดของรถลิมูซีนดูนาฬิกาใจร้อน องอาจหันมาคุยกับเป็นไท
“รถลิมูซีนนี่ขับยากเหมือนกันนะครับ ยาวเป็นรถเมล์เลย”
“ถ้าขับยากผมว่าคุณหันไปขับดีๆมั้ยครับ จะได้ไม่ยาก”
“คุณไทกลัวความเร็วเหรอครับ”
“เปล่า ไม่ไว้ใจคุณนั่นแหละ รีบๆเหอะ เดี๋ยวคุณไอ ยูกิ มาถึงไม่เจอใครล่ะแย่เลย”
“ครับผม”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ องอาจก็หันไปเห็นว่ามีผู้หญิงอยู่ใกล้กับรถมากแล้ว องอาจตกใจ เบรกเอี๊ยดกะทันหัน รถเฉี่ยวหญิงคนนั้นล้มจ้ำไป องอาจและเป็นไทตกใจ

นับดาวนั่งจ้ำกับพื้น น้ำแดงหกเลอะเสื้อไปหมด ตาเธอก็ลืมไม่ขึ้น แถมยังเจ็บตัวอีก องอาจกับเป็นไทรีบออกจากรถมาดู
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า”
เป็นไทช่วยพยุงนับดาวลุกขึ้น นับดาวลุกขึ้นอย่างโอดโอย เอามือปิดตา
“เจ็บ...”
“แล้วนั่นตาคุณเป็นอะไร”
นับดาวไม่ได้ยินที่เป็นไทพูด ยังมึนๆอยู่ และยังเจ็บตามองไม่ถนัด”
“หรือเศษกระจกกระเด็นเข้าไปครับคุณไท”
“เฮ้ย พูดเป็นเล่น”
เป็นไทรีบเอาผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋า เข้าไปประชิดตัวนับดาวทันที นับดาวตั้งตัวไม่ทัน
“ไหนดูซิ”
เป็นไทเห็นเศษผงในตาเอาผ้าเขี่ยออกให้ นับดาวตาเริ่มดี มองเห็นหน้าเป็นไทในระยะประชิด แอบเขิน แต่เธอก็คิดได้ว่านี่คือเป็นไท คนที่เคยก่อเรื่องไว้กับเธอ
“เฮ้ย คุณ คิดจะทำอะไรน่ะ เมื่อกี้เหมือนมีอะไรมากระแทกแล้วเราล้มอ๋อ...คุณคือคนที่เดินชนฉันเมื่อกี้ใช่มั้ย”
“เปล่า ผมไม่ได้ชนคุณ”
“ยังจะเถียงอีกเหรอ”
องอาจกับเป็นไทมองหน้านับดาว แล้วมองไปที่รถ นับดาวเริ่มประมวลผลอะไรได้
“รถ...คุณขับรถชนฉันเหรอ”
องอาจรีบบอก
“ผมเป็นคนขับเองครับ ว่าแต่คุณไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย”
นับดาวตกใจ
“ฉันโดนรถชนเหรอ”
นับดาวเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้น ช็อก พูดอย่างคิดไปเอง
“ถึงว่าสิ เจ็บ...เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย เดินไม่ได้แล้วเนี่ย”
“จริงๆ เราก็แค่เฉี่ยวนิดหน่อย”
“จะปัดความรับผิดชอบใช้มั้ย”
“ผมก็เห็นแค่คุณมีรอยถลอกที่แขนคงเพราะโดนกระจกรถ นิดหน่อยเอง”
“แต่ฉันเดินไม่ไหว”
เป็นไทมองงงๆ
“เมื่อกี้คุณยังยืนได้อยู่เลย”
“แต่นี่ฉันเลอะไปทั้งตัวแล้ว คุณต้องรับผิดชอบ”
“เอางี้ละกันนะครับ พอดีว่าผมรีบ” เป็นไทยื่นนามบัตรให้ “ค่ารักษาเท่าไหร่คุณติดต่อผมไปได้เลย ผมไปล่ะ...ไปกันเถอะ”
เป็นไทพยักหน้า องอาจหันไปพูดกับนับดาว
“แล้วคุณล่ะ ไม่รีบไปงานมนต์รักลูกทุ่งเหรอ แต่งตัวซะสวยเชียว”
“ไอ้...”
นับดาวจะด่า แต่องอาจขัดขึ้นก่อน
“ไปก่อนนะครับคุณทองกวาว”
องอาจกับเป็นไทขึ้นรถขับออกไป นับดาวเจ็บใจลุกขึ้นยืนด่า
“ไอ้...พวกบ้า ชนแล้วหนี คิดจะล้างแค้นที่ฉันแกล้งไว้ มันไม่แรงไปหน่อยเหรอ”
นับดาวรู้สึกตัวว่าตัวเองยืนได้
“เออ ยืนได้แล้วแฮะ...รับดาวสำรวจร่างกายตัวเอง “แค่ถลอกเองเหรอ”
นับดาวยังมองตามรถเป็นไทอย่างโกรธๆ

ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ยูกิลากกระเป๋าใบโตออกมา เธอใส่แว่นดำ ใส่หมวกพรางตัวเอง เดินตื่นตาตื่นใจกับเมืองไทย โดยไม่รู้ว่า ยามาดะ สะกดรอยตามเธอมาด้วย ยูกิมองเห็นป้ายห้องน้ำ เธอเดินเข้าไปอย่างอารมณ์ดี ยามาดะเห็นว่าครั้งนี้คือโอกาสสำคัญ เขาจะเดินตามเธอไป แต่โทรศัพท์เขาก็ดังขึ้นมาซะก่อน ยามาดะกดรับ
“สวัสดีครับ”
ซีซีเดินเข็นรถอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต หยิบของขึ้นรถเข็นไปด้วย คุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ทำไมแกรับโทรศัพท์ช้าจัง”
“กำลังติดธุระ”
ซีซีไม่พอใจ
“ฉันโทรมา ต้องรับ ไม่ว่าจะติดธุระอะไรทั้งนั้น...มันมาถึงเมืองไทยแล้วใช่มั้ย”
“ใช่”
“แล้วแกจัดการจับตัวมันรึยัง”
“ก็กำลังจะจับ คุณโทรมาพอดี”
“โอ๊ย...แล้วแกรับทำไมเล่า รีบไปจัดการมันสิ”
“ตกลงจะให้รับหรือไม่ให้รับกันแน่”
“พูดมาก ฉันสั่งก็ไปทำเร็ว”
ซีซีกดโทรศัพท์วางทันทีอย่างหงุดหงิด

ในซุปเปอร์มาร์เก็ต...นับดาวยังอยู่ในชุดเพชรา เข็นรถเข็นมากับวราพรรณ นับดาวยังเดินเดี้ยงอยู่นิดๆ
“ซวยจริงๆเลยฉัน นึกว่าจะได้ค่าทำขวัญ ซักแสนสองแสน”
วราพรรณยิ้มปลอบ
“เอาน่า ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ฟาดเคราะห์ไป”
ซีซี เดินซื้อของในซุกเปอร์ เลี้ยวเข้ามาซองเดียวกันกับวราพรรณ และนับดาว
“ใช่ดาราป่ะแก” นับดาวมองอย่างไม่แน่ใจ
“ฉันว่าใช่นะ ซีซีไง”
ซีซีทำท่าภูมิใจที่มีคนจำเธอได้
“ซีซี คนไทยที่ไปเป็นดาราดังที่ญี่ปุ่นน่ะเหรอ”
วราพรรณพยักหน้า
“เออ...ตัวจริงสวยว่ะ”
ซีซียิ่งภาคภูมิใจกว่าเก่า นับดาวถามอย่างสงสัย
“แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีงานเลยนะ เงียบไปพักใหญ่แล้วอ่ะ”
“ตอนนี้ก็ต้องไอ ยูกิคนเดียวแหละเนอะ”
“ฉันว่าคงตกอับจริงแหละ ไม่งั้นไม่กลับมาอยู่เมืองไทยหรอก”
นับดาวพูดตรงๆ ซีซีจากที่ภูมิใจกลายเป็นหงุดหงิดทันที หันไปเหวี่ยง
“นี่ พวกเธอสองคน จะซื้อมั้ย ถ้าไม่ซื้อก็ไปที่อื่น คนอื่นเค้าจะได้ซื้อบ้าง”
สองคนตกใจ รีบเดินออกจากเชลฟ์ทันที แถมซุบซิบกันต่ออีก
“เหวี่ยงว่ะแก”
“แบบนี้ไง ถึงดังได้ไม่นาน”
ซีซีได้ยินแล้วยิ่งหงุดหงิดใหญ่
“คอยดูวันที่ฉันกลับมาทวงตำแหน่งจาก ไอ ยูกิ ก็แล้วกัน”
พลังของความริษยาในใจของซีซี ที่มีต่อยูกินั้นมากมาย

ยามาดะค่อยๆย่องเข้าไป ในห้องน้ำหญิงที่ปราศจากผู้คน เขาก้มมองผ่านช่องประตู เห็นขายูกิอยู่ในห้องน้ำห้องริมสุด เขาหยิบกระสอบข้าวสารที่เตรียมมา แล้วก็ลองเอาตัวเองลงไปอยู่ในกระสอบ ยามาดา ยิ้มกระหยิ่มใจว่ากระสอบใส่คนได้ เขาออกมาจากกระสอบ ย่องไปด้านหลังยูกิ ที่กำลังเติมปากอยู่หน้ากระจก ยามาดาจะเอากระสอบครอบยูกิ แต่แล้วก็มีสาวๆเข้ามาในห้องน้ำ เขาได้ยินเสียง เขารีบหลบเข้าไปซ่อนในห้องส้วมตามเดิม
ขณะเดียวกันที่จุดรอรับผู้โดยสาร องอาจถือป้าย เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่ายูกิ ชูไว้เหนือหัว โดยมีเป็นไทยืนทำหน้าหล่ออยู่ข้างๆ ทั้งคู่ชะเง้อมองหายูกิกันไม่วางตา แล้วยูกิก็เดินออกมา เป็นช่วงเวลาที่สวยงามมากสำหรับเป็นไท ความขาวของเธอเปล่งรัศมี ความสวยของเธอดึงดูดทุกสายตา และเสน่ห์ของเธอทำให้ชายทุกคนต้องเหลียวตามอง เป็นไทกับองอาจมองยูกิตาค้าง
ยูกิ เห็นป้ายชื่อของเธอ เธอยกมือขึ้นโบกทักทายอย่างเป็นกันเอง แล้วเดินรี่มาหา ทำเอาสองหนุ่มเคลิ้ม ตกในภวังค์เลยทีเดียว ยูกิเดินมาทักเป็นภาษาไทย ติดสำเนียงญี่ปุ่น
“สวัสดีค่ะ”
“โห พูดไทยได้ด้วยอ่ะ กันเองสุดๆ”
องอาจยิ้มปลื้ม ทั้งคู่ยังมองยูกิตาเยิ้ม
“เป็นอะไรกันค่ะ”
ยูกิ เอามือไปโบกต่อหน้าองอาจ และเป็นไท ให้หลุดจากภวังค์ ทั้งคู่รู้สึกตัว
“สวัสดีครับ ผมเป็นไทครับ เป็นคนดูแลงานนี้”
“ผมองอาจ เป็นผู้ช่วยครับ”
“เป็งทาย โองอ่ะ” ยูกิพูดตาม
“เรียกไทเฉยๆก็ได้ครับ”
องอาจพูดกับตัวเอง บ่นเป็นไท
“แหมๆ ทำชื่อสั้น จะได้จำได้ก่อนละสิ” แล้วหันไปบอกยูกิ “เรียกว่าอาจก็ได้ อาจที่แปลว่า may be น่ะครับ” พูดแล้วก็แอบพึมพำกับตัวเอง “เป็นไงล่ะมีคำแปลให้ด้วย หึ หึ”
ยูกิหัวเราะ
“คุณไท กับ คุณอาจ”
“ถูกครับถูก ผมเรียกคุณว่า ยูกิจัง ได้มั้ยครับ”
เป็นไทขัด
“เฮ้ย น่าเกลียดน่าคุณ เรายังไม่ได้สนิทกับเค้าซะหน่อย ใช่มั้ยครับ ยูกิจัง”
องอาจมองค้อนเป็นไท ยูกิกับเป็นไทต่างยิ้มให้กัน

นับดาวอยู่ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ด้วยหน้าตาเพชราเหมือนเดิม แต่เสื้อเลอะน้ำแดง จากที่เป็นไทชน ยิ่งดูเพี้ยนไปใหญ่ ซีซีเดินเข้ามาสอบถามข้อมูล เธอจำนับดาวได้ว่าเคยเม้าท์เธอในซุปเปอร์มาร์เก็ต จึงเข้ามากวน เธอยืนตรงฝั่งขวา พูดกับหูข้างที่หนวกของนับดาว
“นี่เธอ ที่บ้านแป้งเหลือเหรอ หรือใช้ขนตาทำเป็นราวตากผ้า แต่งหน้าซะขนาดนี้ สติดีรึเปล่าเนี่ย หรือกลัวใครจะจำได้”
นับดาวไม่ได้ยินแต่คลับคล้ายคลับคลาซีซี
“อุ๊ย..คุณ สอบถามข้อมูลได้เลยค่ะ”
“ที่นี่มีสปามั้ยคะ”
“ขออีกทีได้มั้ยคะ”
“สปาน่ะค่ะ มีมั้ย”
“บาจา? ไปแผนกรองเท้าเลยค่ะ รองเท้าเค้าดีนะคะ พื้นนี่นิ่มเชียว ใส่มาตั้งแต่เป็นนักเรียน”
ซีซีงง
“สปา บาจาบ้าอะไรล่ะ”
“ปะปา? ในนี้ไม่มีหรอกค่ะ แต่ถ้าอยากจะจ่ายค่าน้ำ เชิญที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสทางด้านนี้ได้เลยค่ะ”
“ฉันรู้ว่าปะปาไม่มี ไม่ได้โง่ ฉันถามสปา หูหนวกรึไง”
“ทาทา?” นัลบดาวร้องด้วย เต้นด้วย “มาจาเร่ ดูม มาจาเร่ ดูม เพลงเพราะนะคะ มีรสนิยมในการเลือกเสพมาก เชิญแผนกซีดี ชั้น 3 เลยค่ะ”
“โอ๊ย นี่มันอะไรกันเนี่ย ห้างนี้เค้ารับคนบ้ามาทำงานด้วยใช่มั้ยเนี่ย”
ผู้จัดการแผนกเดินเข้ามาพอดี เขาเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น
“มีอะไรกันครับ”
ซีซีหันขวับไปเล่นงาน
“นี่คุณ เป็นหัวหน้ารึเปล่าเนี่ย ปล่อยคนแบบนี้มาทำงานได้ไง ดูแต่งหน้าแต่งตัวซิ จะว่าฮาโลวีนก็ไม่ใช่ บ้าแน่ๆ”
“ขอโทษด้วยครับ”
ผู้จัดการหันไปมองนับดาวด้วยสีหน้าตำหนิ แค่แววตาของเขาก็โทษว่าทุกอย่างเป็นเพราะนับดาวคนเดียว นับดาวจ๋อยทันที

เป็นไท ยูกิและองอาจ นั่งทานอาหารอยู่ในร้านหรู ทั้งคู่ปลื้มไอยูกิมาก ต่างพยายามแย่งกันเอาใจ
“ยูกิจังพูดไทยเก่งจังเลยนะครับ” เป็นไทยชวนคุย
“เรียนมาตั้งแต่เด็กค่ะ”
“ผมชอบเพลงไทยที่ยูกิจังแต่งไว้เพลงสุดท้ายในอัลบั้มมากเลย”
องอาจกัด...
“แหม ทำเป็นเนียน ว่าติดตามผลงานเชียวนะครับคุณไท”
“ว่าแต่คุณองอาจเถอะ ได้ข่าวว่ามีธุระไม่ใช่เหรอ ไม่รีบไปละครับ”
เป็นไทไล่หน้าตาเฉย องอาจตาโต
“ธุระอะไรก็ไม่สำคัญกับการได้มีโอกาส ได้ทานข้าวกับคุณยูกิจังอยู่แล้ว”
เป็นไทกระซิบองอาจ
“ไหนคุณบอกว่ายูกิ คุณจะไม่ยุ่ง ให้ผมจัดการไง”
องอาจกระซิบตอบ
“ก็ตอนก็คิดงั้น แต่พอได้เจอแล้ว ผมว่าคุณไทจัดการคนเดียวไม่ไหวแน่”
เป็นไทเจ็บใจที่มีก้างขวางคอ
“ไหนคุณไทว่าจะชวนคุณแพรวมากินข้าวด้วยกันไงครับ ไม่เห็นมาซักที”
ยูกิงง
“แพรว...ใครคะ”
“ก็คุณแพรว แฟ...”
เป็นไทแทรกทันที
“เป็นหุ้นอีกคนนึงนะครับ แต่พอดีว่าเค้าไม่ว่างเลย คิวเต็มตลอด”
องอาจมองค้อนเป็นไท
“ผมว่าเรามาทานอาหารกันเถอะครับ” เป็นไทตักอาหารให้ “ลองทานต้มยำกุ้งนี่สิครับ อร่อยมาก รสชาติแบบไทยแท้ๆเลย”
องอาจตักอาหารให้บ้าง
“นี่ก็อร่อยครับ ผัดกระเพราะหมูสับ ดูเหมือนจะเป็นอาหารพื้นๆแต่จริงๆ รสเด็ด ก็เหมือนๆกับผมน่ะครับ ดูธรรมดา แต่ต้องลองชิมดู”
ยูกิไม่เข้าใจความหมายองอาจ
“คุณอาจ กินได้ด้วยเหรอ”
“รสเด็ดเลยครับ”
ยูกิพยักหน้ารับ หันไปบอกพนักงาน ชี้ไปที่องอาจ
“เอาแบบนี้ที่นึง”
องอาจกับยูกิหัวเราะร่วน แต่เป็นไทแอบหมั่นไส้ หาทางแก้เผ็ด
“เฮ้ย...ลืมบอกคุณไปได้ไงองอาจ ว่าผมต้องการเอกสารด่วนของการประชุมพรุ่งนี้อ่ะ”
“เดี๋ยวผมโทรให้เลขาจัดการให้”
“ไม่ได้...เลขาเค้ายังไม่รู้รายละเอียดเรื่องตัวเลขเลยไม่ใช่เหรอ”
องอาจนิ่ง เถียงไม่ออก เป็นไทรุก
“เห็นทีคุณต้องกลับไปทำให้ผมแล้วล่ะ”
องอาจกัดฟัน
“ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด”
เป็นไทหันไปบอกยูกิ
“เดี๋ยวคุณองอาจ เค้าต้องกลับไปทำงานแล้วนะยูกิจัง”
ยูกิโค้งให้
“ขอบคุณมากนะคะ ที่มาทานข้าวด้วยกัน”
องอาจยิ้มให้ยูกิ แต่มองเป็นไทอย่างเคืองๆ เป็นไทยิ้มแป้นที่ตัดก้างขวางคอไปได้

ค่ำคืนนั้น...เป็นไทพายูกิมาเดินปากคลองตลาด ยูกิตื่นตาตื่นใจมาก
“ถ้ายูกิจังอยากเห็นไทยๆ ผมก็คิดได้แค่นี้แหละครับ”
“ฉันชอบค่ะ ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ดอกไม้เต็มไปหมด”
“คุณนี่ทำตัวเป็นคนต่างชาติจริงๆ ชื่นชมอะไรที่คนไทยเค้าไม่ชื่นชมกัน”
“น่าตื่นเต้นออก ฉันว่าบรรยากาศมันมีสเน่ห์มากๆเลย” ยูกิหันไปเห็นดอกกุหลาบช่อโต “....สวยมาก”
เป็นไทมองยูกิอย่างเอ็นดู ยูกิเดินไปตามทาง มองโน่นมองนี่เพลิน หันไปอีกที เป็นไทก็หายไปแล้ว เธอยูกิชะเง้อหาใหญ่ เดินกลับไปทางเก่าไปหาดูก็ไม่เห็น แต่แล้วก็มีดอกกุหลาบช่อยักษ์ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ยื่นมาให้ ยูกิหันไปมองคือเป็นไทนั่นเอง ยูกิรับดอกไม้แล้วยิ้ม
“อะริงาโตะโกไซมัส”
“ยินดีครับ”
“คุณน่ารักมาก แต่ทำฉันตกใจแทบแย่ นึกว่าหลงทางซะแล้ว”
“ดอกไม้แบบไทยๆ หวังว่าคุณคงจะชอบ มีหนังสือพิมพ์ให้อ่านด้วยนะ เผื่ออยากรู้ข่าวสารบ้านเมือง”
ยูกิหัวเราะ แล้วคนเข็นรถเข็นก็เข็นชนยูกิกระเด็น เซถลาไปทางเป็นไท ที่รีบประคองไว้ ทั้งคู่สบตากันในระยะใกล้ แล้วต่างคนก็ต่างอาย ผละออกจากกัน
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“โดนรถชนแบบไทยๆ เรียกประกันไม่ได้นะแบบนี้”
ทั้งคู่เดินต่อไป ต่างรู้สึกดีต่อกัน


เป็นไทกับไอยูกิ พากันไปยืนคุยกันบนสะพานพุทธ
“คุณดีกับฉันจนฉันไม่รู้จะตอบแทนให้ยังไง นอกจากบอกว่าจะแสดงคอนเสิร์ตให้เต็มที่”
“ผมขอบอกว่าแค่นั้นไม่พอ”
ยูกิงง ไม่คิดว่าเป็นไทจะตอบแบบนี้
“ไม่พอ”
“ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ มากกว่าการอ่านประวัติผ่านนิตยสารเจาะลึกชีวิตดารา”
“ทำไม”
“ผมจะได้คิดตีมของคอนเสิร์ตออกมาได้ถูกใจทั้งคุณแล้วก็ผู้ชมไง”
“อ๋อ...แล้วไป”
“ทำไม คุณคิดว่าผมจะขอจีบคุณเหรอ”
ยูกิเขิน
“ถ้าคุณทำแบบนั้น ฉันคงไปอยู่ด้านล่างแล้วตอนนี้”
ยูกิมองจากสะพานลงไปแม่น้ำด้านล่าง
“คุณใจร้ายกับผมเกินไปแล้ว”
“ฉันพูดจริงนะ ฉันไม่ชอบความรู้สึกสับสน ฉันไม่อยากต้องเลือกระหว่างอะไรกับอะไร”
“ถ้าคุณเคยเป็นคนไม่ถูกเลือก คุณอาจจะชอบความรู้สึกสับสนนี้ขึ้นมาเลยก็ได้”

ยูกิยิ้มรับคำพูดเป็นไท เหมือนเป็นการยอมรับกลายๆ

อ่านต่อตอนที่ 2




กำลังโหลดความคิดเห็น