ดุจดาวดินตอนที่ 11
บริเวณหน้าโรงลิเกเวลานั้น...เก้าอี้คนดูล้มกระจัดกระจาย ตำรวจจดบันทึกคำให้การจากช้อย ทั้งหมดยืนอยู่ไม่ห่าง
“ก็เหมือนที่บอกไปล่ะคะคุณตำรวจ แถมมันยังเอาครกมาครอบหัวฉัน ยังแสบพริกอยู่เลยนี่”
ช้อยเอามือลูบที่หัว
“พวกคุณก็ต้องดูแลเด็กคุณด้วย ถ้าไงผมจะส่งสายตรวจมาดูแลให้บ่อยกว่านี้นะครับ”
ตำรวจบอก กัญญาหน้าเครียด
“ขอบคุณค่ะ ไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้ เราก็เล่นตลาดนี้มานานแล้ว ไม่เคยไปมีปัญหากับใคร”
“ใช่สิแม่กัญญา ฉันว่าเราโดนแกล้งแน่ ไอ้พวกหมั้นไส้เห็นเราดังกว่าเลยอิจฉา ส่งคนมาจัดการเด็กๆ”
ถมนิ่งฟังอย่างใคร่ครวญ
“ฉันว่าไม่ใช่...กลัวเป็นพวกโรคจิตที่ชอบทำร้ายเด็กที่เล่นลิเกที่เป็นข่าวน่ะสิ ว่าแต่ว่ามันจะมาฆ่าเด็กไปทำไม”
ช้อยกับกัญญามองหน้ากัน อย่างกังวล
พิมประคบผ้าให้ที่ลูกตาก้าน ที่เขียวคล้ำจากการโดนสากกะเบือของช้อย
“อู้ย...เบาหน่อยโว้ย ตาข้าได้ถลนออกมา แสบพริกเล่นข้าทั้งคืน นี่ถ้านังลิเกขี้โวยวายนั้นไม่เข้ามาช่วย ไอ้เด็กอ้วนเสร็จข้าไปแล้ว”
พิมสงสัย
“เด็กอ้วนไหน...”
ก้านหยิบหนังสือพิมพ์ ที่ลงรูปคณะลิเกถมทองที่โด่งดังเป็นข่าวหลายรูปให้พิมดู
“ก็ไอ้นี่ไง ลิเกที่ดังๆลงข่าวเยอะแยะ ข้าจับได้แล้วนะ...ไม่น่าพลาดไปได้ พูดแล้วมันเจ็บใจ”
พิมขมวดคิ้วดูรูปไข่ตุ๋นในชุดลิเก ที่ลงในหนังสือพิมพ์ ชี้ที่รูปไข่ตุ๋น
“เด็กเนี่ยนะ...มันทั้งอ้วนทั้งดำ คุณเดือนคิดว่าเป็นลูกได้ไง”
พิมมองภาพอื่นในหนังสือพิมพ์ซึ่งมีบุญทิ้งติดมาในภาพ พิมชะงัก หยิบหนังสือพิมพ์มาใกล้มองให้ถนัดตกใจพูดเสียงหลง
“เอ้ย...นี่มัน...เป็นไปได้ไงวะ...”
ก้านมองหน้าพิม
“อะไรของเอ็ง”
“ไอ้....ไอ้บุญทิ้ง...มันยังไม่...”
พิมแปลกใจ เครียดขึ้นมาทันที
พิมไปหาพ่วงที่บ้านอย่างร้อนใจ โยนหนังสือพิมพ์ที่มีรูปบุญทิ้งให้อย่างอารมณ์เสีย พ่วงหยิบมาดูตกใจแต่กลบเกลื่อน
“ดูซะให้เต็มตาว่ามันยังอยู่หรือเปล่า...ทำมาเถียง หลักฐานจะๆ ขนาดนี้เอ็งอย่ามาแถ”
พ่วงเฉไฉ
“รูปมันมัว ไกลด้วย ไม่ใช่หรอก เด็กหน้ามันคล้ายกัน ข้าบอกว่าฆ่าไปแล้วก็ฆ่าไปแล้วสิ เอ็งนี่จะอะไรนักหนาวะ”
พิมกระชากหนังสือพิมพ์ในมือพ่วงด้วยความโกรธ ชี้ที่รูป
“หนอย...คนตาบอดดูยังรู้ว่าเป็นไอ้ทิ้ง” พิมชี้หน้าพ่วง “เอ็งไม่ต้องมาโกหก เงินก็เอาไปแล้ว รับมาสะว่าเอ็งยังไม่ได้จัดการมัน”
พ่วงหงุดหงิด
“เด็กคนเดียว...เอ็งนี่มัน...โอ้ย...ถึงต้องฆ่าต้องแกง มันไปไกลแล้ว ไม่กลับมาเจอเอ็งหรอก ปล่อยไปเถอะ”
พิมชักฉุน ขึ้นเสียง
“บอกไม่ได้ก็ไม่ได้สิ มันเป็นมารหัวขน ขัดขวางทุกสิ่งทุกอย่าง”
พ่วงส่ายหน้าเกาหัวในความอาฆาตของพิม จนอดถามไม่ได้
“นังพิม ข้าถามเอ็งจริงๆเถอะ มันเรื่องอะไรกันวะ ถึงขนาดต้องเอาชีวิตเด็ก ไอ้เด็กคนนี้เอ็งก็เห็นมันมาตั้งแต่เกิด ตอนนั้นยังไม่ฆ่า มาตอนนี้จะฆ่าทำไม ข้าอยากรู้นัก”
พิมงง
“เห็นมาตั้งแต่เกิด...เด็กไหน...”
พ่วงหน้าเสียหลุดปากไปแล้ว
“ไม่...ไม่มีอะไร อย่าไปสนใจมันเลย”
พิมเข้าไปใกล้พ่วง คาดคั้น
“ข้าถามว่าเด็กไหน....บอกมาเดี๋ยวนี้”
พ่วงหลบสายตาพิมที่จ้องมาอย่างเอาจริงจนนึกกลัว พ่วงระงับความจริงไว้ไม่ได้
“เด็กที่เอ็งอยากจะให้ตาย มันก็ไอ้คนเดียวกะที่เอ็งอุ้มมาให้ข้า 7 ปี ก่อนโน้น บอกให้เอาไปขาย...เอ็งจำได้ไหม”
พิมช็อก นึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เธออุ้มทินภัทรมาให้พ่วง พิมส่ายหน้าอย่างตกใจมาก ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ พูดกะตุกกะตัก
“เอ็งอย่าบอกนะว่า บุญ...ทิ้ง...คือ...ทิน...ภัทร”
“ก็เออสิวะ มันเป็นเด็กคนเดียวกัน”
พิมดูรูปบุญทิ้งในหนังสือพิมพ์อีกครั้ง มือสั่นเทา จนหนังสือพิมพ์หลุดจากมือลงพื้น
ภูวดลรับรู้เรื่องว่าบุญทิ้งคือทินภัทรจากพิม เขาครุ่นคิดอย่างกังวล แต่ไม่แสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า ยิ้มกลบเกลื่อน ผิดกับพิมที่ร้อนรน วุ่นวายใจ
“สัญชาตญาณแม่ลูกแรงจริง มิน่ายัยบ้านั้นกับบุญทิ้งถึงถูกชะตากันนัก สงสัยคราวนี้ต้องจัดให้หนักขึ้นอีก”
“เอายังไงดีพี่...ฉันร้อนใจ นอนไม่หลับทั้งคืน”
“เอ็งอย่าลน มาถึงขนาดนี้แล้ว ถอยไม่ได้ ค่อยๆคิดเดี๋ยวก็มีทาง”
พิมเจ็บใจพ่วง
“ฉันใช้คนผิดจริงๆ ไม่น่าไปไว้ใจไอ้พ่วง เพราะมันเลี้ยงของมันมามันเลยฆ่าไม่ลง”
ภูวดลพยักหน้าช้าๆอย่างเลือดเย็น
“ไอ้พ่วง...มันทรยศ สั่งแล้วไม่เป็นสั่ง แถมมาหลอกเอาเงินเราอีก มันได้เอาเงินไปใช้ที่เมืองผีแน่”
พิมอุทานอย่างตกใจ
“พี่...”
“ทำไงได้ มันจำเป็นก็ต้องทำ หรืออยากให้ทุกคนรู้เรื่องนี้”
พิมมองพี่ชายอย่างขนลุกในความโหดที่คิดปิดปากพ่วง
ลูกน้องภูวดล 2 คนจับพ่วงซ้อม สะบักสะบอม เลือดไหลมุมปาก ภูวดลกับพิม ยืนดูอยู่ไม่ห่าง พ่วงร้องขอชีวิต
“โอย...พอแล้ว...เรื่องบุญทิ้งฉันไม่บอกใครหรอก เดี๋ยวมีเงินฉันจะใช้คืนให้จริงๆ”
ลูกน้องอีกคนอัดเต็มหมัดเข้าลิ้นปี่พ่วงจุกตัวงอ ภูวดลค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ ยิ้มพูดอย่างเลือดเย็น กำเศษเหรียญไว้เต็มกำมือ
“ไอ้โกหก...ปลิ้นปล้อน...สมแล้วที่เป็นหัวหน้าแก๊งขอทาน” ภูวดลโยนเหรียญใส่หน้าพ่วง “เอ็งหาแต่เศษเงินแบบนี้นะเหรอ” ภูวดลหัวเราะหยัน “เกิดใหม่อีกสิบชาติก็ไม่มีวันมีเงินมาใช้คืนข้า”
พ่วงโกรธ
“เอ็งกับข้าก็ไม่ได้ต่างกันหรอกว่ะ...เอ็งมันก็ไอ้โจรในเสื้อสูท”
“หนอย...ไอ้โจรขอทาน...ยมบาลรอเอ็งแล้วยังปากดีอีก”
ภูวดลหันมองลูกน้อง พยักหน้าให้อย่างรู้กัน ลูกน้องเอาเชือกรัดคอพ่วง ภูวลดยืนยิ้มอย่างสะใจ พ่วงโดนรัดคอทุรนทุราย พิมหน้าเสีย เบือนหน้าหนีกลัวในความโหดเหี้ยมของภูวดล
“โอ๊ย...ปล่อย...ข้า...หายใจ...ไม่...ออก...ช่วยด้วย”
พ่วงที่โดนเชือกรัดคอตาเหลือกทรุดสองเข่าลงพื้น ภูวดลถีบพ่วงแน่นิ่งไปกับพื้น
“ก็แค่นั้น...ดูสิว่ามันตายยัง”
ลูกน้องเอานิ้วตรวจลมหายใจที่จมูก
“หมดลมแล้วลูกพี่”
ภูวดลน้ำเสียงเยือกเย็น
“แกะเชือกออกแล้วเอากลับไปด้วย อย่าเหลือหลักฐานอะไรไว้”
พิมตัวสั่นไปหลบมุมนั่งยองๆเอามือปิดหน้าด้วยความกลัว
“ผีไอ้พ่วงมันจะมาหลอกฉันไหมเนี่ย”
ภูวดลจับต้นแขนพิม
“ตำรวจมันจะมาก่อนผี ถ้าเอ็งไม่รีบหนี...ไปนังพิม”
ทั้งหมดออกไปจากห้อง พ่วงนอนตาค้างแล้วกระพริบตาถี่ รีบสูดลมหายใจเข้าปอด ไอกระแอม มือจับที่ต้น คอหายใจถี่ กลืนน้ำลาย มองตามภูวดลออกไป
“ไอ้ชั่วเอ้ย...จะตัดตอนหรอ...ไม่ได้กินข้าหรอก”
อานนท์พยุงภาคินในสภาพอ่อนล้ามานั่งที่เตียง อานนท์มองอย่างสงสาร
“ทำไม....ทำไมชีวิตผมต้องเป็นแบบนี้...” ภาคินเพ้อออกมา
อานนท์ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้าให้อย่างเห็นใจ น้ำเสียงอ่อนโยน
“ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนี้ บทจะทุกข์ มันจะเรียงหน้าซัดกันเข้ามาอย่างไม่ยั้ง สำคัญที่ต้องมีสติ”
ภาคินพร่ำเพ้อ
“มูลนิธิผมยังไม่ถูกปิดใช่ไหม...ปานฟ้ายังไม่ได้หมั้น...แม่...แม่ผม แม่ยังอยู่ยังไม่ตาย....พ่อโกหก...อย่าทำลายความหวังของผม”
อานนท์ยิ่งเศร้าด้วยใจที่เจ็บปวด
“อะไรที่มันกลายเป็นอดีตไปแล้วเราแก้ไขอะไรไม่ได้ ชีวิตลูกทุกข์มากพออยู่แล้ว จะคิดให้ทุกข์เพิ่มอีกทำไม”
ภาคินหน้าเศร้า
“ผม...ไม่รู้จะเอากำลังใจมาจากไหน...”
อานนท์จับไหล่ลูกชายน้ำเสียงจริงจัง
“คิดถึงแม่ไว้สิภาคิน...ถ้าแม่รู้ว่าลูกทำตัวแบบนี้ เขาจะเสียใจมาก ถึงแม้แม่จากโลกนี้ไปแล้ว พ่อเชื่อว่าแม่เฝ้ามองลูกอยู่ตลอดและคอยเป็นกำลังใจให้ลูกสู้ต่อไป”
ภาคินเริ่มคิดได้จากคำพูดของพ่อ มองหน้าพ่ออย่างเริ่มได้สติ
“แม่...ผมต้องไม่ทำให้แม่ผิดหวัง...ผมต้องไม่ท้อ...ใช่ไหมพ่อ”
อานนท์พยักหน้ายิ้มให้ ภาคินสูดลมหายใจยาว ท้องฟ้าในใจเริ่มกระจ่าง
“ขอบคุณครับพ่อ...ผม...ขอโทษ”
อานนท์ดึงลูกชายมากอดและลูบหัว สองคนสวมกอดอย่างเข้าใจกันเป็นครั้งแรก
“พ่ออยากได้ภาคินคนเก่ากลับคืนมา...ได้ไหมลูกพ่อ”
ภาคินพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
เช้าวันใหม่...สิริโสภานั่งรออยู่ในห้องรับแขก เห็นภาคินแต่งตัวหล่อยิ้มเดินเข้าก็ยิ้มดีใจ“ภาคินคนเดิมของภากลับมาแล้ว ต้องแบบนี้สิคะ ภาหายห่วงสะที”
สิริโสภาเข้าไปคล้องแขน ภาคินยิ้มๆ
“ผมต้องขอโทษภาด้วยนะที่ทำตัวไร้สติไปสะนาน ต่อไปนี้ผมจะเข้มแข็ง ไม่ทำให้ใครเป็นห่วงหรือเสียใจอีก”
“คุณพ่อคุณห่วงมากนะ ถามฉันว่ารู้เรื่องมูลนิธิที่เป็นความมั๊ย เรื่องไปถึงไหนแล้ว ฉันว่าตอนนี้กำลังหาหลักฐานสู้กันอยู่ในชั้นศาล พวกเราช่วยกันอยู่”
ภาคินพยักหน้ารับ
“ขอเวลาผมหน่อย เดี๋ยวผมจัดการเอง”
สิริโสภาปลื้มใจในความเข้มแข็งของเขา
“ต้องแบบนี้สิคะ คนเก่งของภา”
“แล้วมารับผมวันนี้จะพาไปไหน”
“ช่วงนี้คุณก็ยังไม่ได้ทำมูลนิธิ ภามาชวนไปรับจ๊อบกันคะ”
สิริโสภายิ้มกริ่ม ภาคินสงสัยว่าจะไปไหน
ปานฟ้าอยู่ในห้องประชุม กำลังประชุมหัวหน้า ส่วนเพื่อจัดงานประกวดความสามารถเด็ก
“ช่วงนี้ห้างเรา จะจัดประกวดความสามารถของเด็กไทย จากทั่วทุกภาค คงเป็นงานใหญ่อีกงานของห้างเรานะคะ”
ผู้ร่วมประชุมต่างเห็นด้วย
“งานนี้จะจัดประกวดระดับภาคก่อน แล้วแต่ละภาพจะส่งตัวแทนประจำภาคมาประกวดผู้ชนะเลิศที่ห้างเราที่กรุงเทพ สื่อมวลชน คงให้ความสนใจมากเพราะมีคนดัง คุณสิริโสภามาเป็นคณะกรรมการของเราด้วย”
สิริโสภาเปิดประตูห้องประชุมเข้ามา
“มาสายไปหน่อย ขอโทษนะคะ ช่วงนี้ภางานยุ่งมาก เลยนำท่านหนึ่งที่คลุกคลีและทำงานกับเด็กมาตลอดมาแนะนำ คุณ ภาคินจะมาเป็นตัวแทนของภาในโครงการนี้คะ”
ภาคินเดินเข้ามาในห้อง ปานฟ้าเห็นก็อึ้งแต่แอบดีใจลึกๆ ปานดาวมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก ภาคินหน้าเรียบเฉย ปานดาวเริ่มหงุดหงิด
“ภาคิน...คุณโดนสอบสวนอยู่ไม่ใช่เหรอ ประวัติเสียแบบนี้ไม่สมควรเป็นกรรมการ เดี๋ยวห้างเราก็ได้ฉาวโฉ่ไปด้วยหรอก”
ทุกคนมองหน้าภาคินแบบไม่ค่อยอยากสบตา ต่างกับปานฟ้าที่ปกป้อง
“คดียังไม่สิ้นสุด ก็ถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ คุณสิริโสภาเชิญมาเป็นตัวแทน ทางห้างเราจะไม่ให้เกียรติเธอได้ยังไงคะ”
ที่ประชุมหันมองกัน ปานดาวอึดอัด สิริโสภายิ้มดีใจกับภาคินแต่เขากลับมองไปที่ปานฟ้าที่ผินหน้าไปทางอื่น
ขณะที่ปานฟ้านั่งทำงานอยู่ ภาคินเคาะแล้วเปิดประตูเข้ามา ปานฟ้าหันไปมองและก้มหน้าดูเอกสารต่อ
“ผมมาขอบคุณเรื่องที่ห้องประชุม”
“ไม่จำเป็นหรอกคะ เรื่องแค่นี้เอง” หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างเย็นชา “คุณควรจะขอบคุณคุณสิริโสภามากกว่า เขาดีกับคุณเหลือเกิน คอยช่วยเหลือทุกอย่าง แบบนี้สิถึงเรียกว่ารักกันจริง”
ภาคินเหนื่อยใจ
“คุณก็ยังติดใจเรื่องนี้อยู่ ทั้งๆที่ผมกับภา...”
ยังพูดไม่จบ เธอพูดสวนขึ้น
“ฉันไม่ติดใจอะไรแล้ว ขอให้คุณสองคนโชคดีแล้วกันนะคะ”
ปานฟ้าเย็นชาใส่ ก้มหน้าทำงานต่อ ภาคินเจ็บปวดใจ
“ผมก็ขอให้คุณกับก้องภพโชคดีเช่นเดียวกันครับ คุณพูดก็ถูกนะ ภาเขาคอยดูแลช่วยเหลือผมตลอด ทำให้ผมสบายใจอย่างที่...ไม่เคยมีใครทำให้...ยังไงก็ตาม สำหรับโครงการประกวด ผมจะทำหน้าที่กรรมการอย่างเต็มที่นะครับ”
ภาคินถอยหลังเดินออกไปจากห้องช้าๆ ปานฟ้ามองนอกหน้าต่างด้วยดวงตาปวดร้าวที่ซ่อนในดวงหน้าเรียบเฉย
ถมอ่านจดหมายเชิญ ให้ส่งเด็กเข้าร่วมประกวดความสามารถ ขณะที่ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งเล่นกันอยู่ไม่ห่าง
“ท่าทางจะงานใหญ่ สงสัยผู้ใหญ่เห็นคณะเราทางทีวี เลยส่งจดหมายเชิญมาให้เราร่วมประกวด เอาไงดีพวกเอ็ง จะสู้คนอื่นได้ไหมวะ”
ไข่ตุ๋นยึดอก พูดโอ่
“คนเกิดมาเพื่อจะดัง ใครห้ามได้พ่อถม จริงไหมไอ้ทิ้ง”
บุญทิ้งยิ้ม
“พ่อถมว่าไง ก็ว่าตามกัน ผมเล่นเต็มที่อยู่แล้วครับ”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น... ภูวดลและก้านแอบมองอยู่...
“ใช่มันจริงๆ ตายยากนัก...ไอ้ตัวมารนี่”
ก้านถ่มน้ำลาย
“ไม่ต้องห่วง มันไม่มีทางแย่งสมบัติของลูกผมไปได้แน่”
ในห้องประชุม...ทุกคนร่วมประชุมอย่างขมีขมันตั้งใจ ภาคินอธิบายที่กระดาน ปานฟ้ามองอย่างชื่นชม พอเขาหันมาเห็น เธอก็ก้มหน้าทำเป็นอ่านเอกสารหลบสายตา
เมื่อปานฟ้าอธิบายเอกสารต่างๆต่อทุกคน ภาคินลอบมองอย่างมีใจ พอเธอหันมาเห็น เขาก็เอาเอกสารบังหน้าทำเป็นอ่าน ปานฟ้าหยิบเอกสารเกี่ยวกับภาคตะวันออกชูขึ้น
“ทางภาคตะวันออกแจ้งมาว่ามีคณะลิเกชื่อถมทอง มีเด็กที่แสดงลิเกเก่งมาก น่าไปดูนะคะ”
ภาคินหยิบเอกสารอีกชิ้นชูขึ้น
“แต่เด็กที่แข่งตอบคำถามด้านวิทยาศาสตร์ คนนี้น่าสนใจไม่แพ้กัน”
“ก็ตามใจนะคะ งั้นเด็กที่เล่นลิเก ไว้เรียกรอบหลังก็แล้วกัน”
ปานฟ้าหย่อนเอกสารของถมทอง กับไข่ตุ๋น ลงในกล่องที่จะเรียกมาในรอบหลัง
บุญทิ้งกับไข่ตุ๋นฝึกลิเกเสร็จ เข้ามาหลังโรงลิเก ไข่ตุ๋นบ่นอุบ
“ฝึกมาตั้งแต่เช้าแล้วหิวฉิบเลย...ข้าไปหาอะไรกินข้างนอกก่อนนะ หวยออกแบบนี้ ไปลุ้นหวยในตลาดกันหมดแล้ว เอ็งจะไปมั๊ย”
บุญทิ้งส่ายหน้า
“ไปเถอะ ข้ายังไม่หิว”
ไข่ตุ๋นวิ่งออกไป บุญทิ้งเดินมาที่มุมเสื้อผ้าของตัวเอง หยิบสมุดบัญชีเงินฝากที่ซ่อนไว้มาพลิกดู แล้วยิ้ม
“แม่...ผมจะเก็บเงินให้แม่เยอะๆนะครับ”
ก้านโผล่เข้ามาด้านหลัง
“อะไรวะ...ไหนดูสิ”
บุญทิ้งสะดุ้งทั้งตัว หันขวับมาเจอก้านตกใจ รีบซ่อนสมุดบัญชีไว้ด้านหลัง ก้านเดินช้าๆอย่างเหี้ยมเข้ามาหา บุญทิ้งหน้าตื่น
“เอ้ยแกมัน...แกต้องการอะไร...ออกไปนะ...ช่วยด้วย...ขโมย”
บุญทิ้งตะโกนลั่นให้คนช่วย ก้านพุ่งเข้าหมายจะจับตัว บุญทิ้งหลบไปหลบมา ทั้งสองวิ่งกันรอบห้อง บุญทิ้งพยายามหลบไปมา แต่โดนก้านต้อนเข้ามุมกางแขนกะรวบตัว ยิ้มอย่างสะใจ บุญทิ้งหวาดกลัวมาก
“ร้องสะ ร้องให้พอ...ไม่มีใครช่วยแกได้...อยากตายแบบไหนว่ามา ข้าให้เอ็งเลือก”
บุญทิ้งถอยจนส้นเท้าเตะโดนหม้อเปล่าที่วางไว้หันไปดู ก้านได้จังหวะวิ่งเข้าหมายจะรวบตัว บุญทิ้งเอาขาเขี่ยหม้อเลื่อนไปตามพื้น ก้านก้าวขาลงไปที่หม้อพอดี ลื่นหงายหลังกับพื้น
“โอ้ย...ไอ้เด็กเปรตเอ้ย”
บุญทิ้งได้จังหวะ รีบวิ่งหนีออกอย่างเร็ว
บุญทิ้งกระหืดกระหอบวิ่งหนีไปในตรอกแคบๆ หันมองก้านไป หยุดหอบเหนื่อยตรงทางแยกซ้ายขวาในตรอก
“มันไม่รู้จักทางแถวนี้นิหน่า”
บุญทิ้งมองซ้ายมองขวา วิ่งต่อ ก้านวิ่งตามแต่แล้วก็หยุดชะงัก แสยะยิ้ม
“ไอ้นี่ทำหัวหมอ...นึกว่าข้าจะหลงกลไง”
ก้านวิ่งไปอีกทาง...
บุญทิ้งวิ่งหน้าตั้งถึงทางแยกในตรอกอีกแห่ง หยุดหอบเหนื่อยแล้วหันไปมองด้านหลัง ชะเง้อคอไปมา
“มัน...หายไปไหนวะ”
ก้านสะกิดหลังบุญทิ้งปัดมือ
“เอ้ย...สะกิดอะไร...คนยิ่งเหนื่อยๆอยู่”
บุญทิ้งหันมาเจอก้าน หน้าหงาย หันตัวกลับจะวิ่งหนี แต่ถูกรวบตัวไว้
“ตัวกะเปียก...ถุย...นึกว่าข้าโง่กว่าเอ็งไง”
ก้านดันจนตัวบุญทิ้งถอยไปชิดผนังบีบคอ บุญทิ้งตาเหลือก หายใจไม่ออก พยายามเตะหว่างขา
“โอ้ย...ปล่อย...หายใจไม่ออก”
“จะตายแล้วยังฤทธิ์มาก...ข้าจำเป็นต้องทำ โทษข้าไม่ได้เอ็งผิดเองที่เกิดมาขวางพวกข้า”
ก้านขย้ำมือหนัก จนบุญทิ้งดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย ชายคนหนึ่งถีบมากลางหลังก้านจนเซล้มไป
“ไอ้เลว...เด็กเล็กๆเอ็งก็จะฆ่า...นรกส่งมาเกิดจริง”
บุญทิ้งมองอย่างสงสัย เสียงคุ้นหูมาก ก้านหันไปมอง เห็นคนใส่หมวกไหมพรมอำพรางกำลังจะเข้ามาซ้ำ ก้านหลบ สองคนชกต่อยกันชุลมุน คนใส่หมวกไหมพรมโดนก้านเล่นงานจนล้มไปกับพื้น ก้านตรงเข้าไปเอาขายันที่หน้าอกไว้ เอื้อมมือจะถอดหมวกไหมพรม
“แล้วเอ็งยุ่งอะไรด้วย...แล้วปิดหน้าปิดตาทำไมวะ...”
ไข่ตุ๋นวิ่งมาเห็นเหตุการณ์ แอบยืนมองที่มุมหนึ่ง แล้วหยิบนกหวีดในกระเป๋าเป่าเสียงดัง ส่งแต่เสียงแต่ไม่ออกไป
“ตำรวจมา...หนีเร็ว”
ก้านหันไปมอง หันซ้ายหันขวา
“โธ่เว้ย...ฝากไว้ก่อนเถอะพวกเอ็ง”
ก้านวิ่งหนี ชายที่คลุมหัวด้วยหมวกไหมพรม ลุกขึ้นจะวิ่งหนีตาม ผ่านหน้าบุญทิ้ง
“ลุงพ่วง”บุญทิ้งเรียกไว้
พ่วงหันมา ถอดหมวก บุญทิ้งวิ่งเข้าไปกอดร้องไห้
“ข้าจะช่วยเอ็งไม่ได้ทุกครั้งแน่ เอ็งหนีไปให้ไกลซะ อย่าให้พวกมันตามเจอ พวกมันจะตามฆ่าเอ็งไปทุกแห่ง เข้าใจไหมไอ้ทิ้ง”
บุญทิ้งร้องไห้ถาม
“เขาจะฆ่าผมทำไม...ฆ่าทำไม...ผมไปทำอะไรให้เขา”
พ่วงสบตาบุญทิ้ง บอกเสียงหนัก
“เพราะเอ็งคือทินภัทร...”
บุญทิ้งชะงัก มองพ่วงอย่างสงสัย
“ทินภัทร”
“ใช่...เอ็งคือหลานของเจ้าสัวเติมบุญ”
บุญทิ้งอึ้ง นึกไม่ถึง
อ่านต่อหน้า 2
ดุจดาวดินตอนที่ 11 (ต่อ)
ทั้ง 5 คนล้อมวงนั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ไข่ตุ๋นคว้าน่องไก่จากจานบุญทิ้งมากัดแล้วยักคิ้วให้ บุญทิ้งมองแล้วตักข้าวกินเงียบๆ ไข่ตุ๋นทำหน้ายุ่งเพราะผิดคาด
“เงียบ ไม่โวยเหรอไง มีแค่น่องเดียวนา ไข่แบ่งให้เอาป่าว”
ไข่ตุ๋นหยิบน่องไก่ออกมาโชว์ร่อนผ่านหน้า บุญทิ้งส่ายหน้ากดช้อนกับข้าว กัญญามองเห็นแปลกไป ถมตักข้าวเข้าปากอย่างอารมณ์ดี ช้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หยิบกุ้งขึ้นมาแกะ
“นี่จ้ะพี่ถม กุ้งสดๆ ดีจังเลยน้า ตอนนี้คณะเรามีชื่อเสียงไม่ต้องมานั่งกินกับผัดผักบุ้งแล้ว นังช้อยจะกินกุ้งหอยปูปลาให้หายอยากเสียที”
“อื้อหือ กินหมดนั่นน้าช้อยมีหวังอืดจนใส่ชุดไม่ได้แหง” ไข่ตุ๋นแหย่
ช้อยค้อนขวั่บ ถมหัวเราะเบาๆ
“เอาเถอะ ตอนมีก็กินเสียให้เต็มอิ่มจะได้มีแรงเล่นลิเก คณะเราจะได้ยิ่งมีชื่อเสียง อือ...ไม่รู้ว่าเรื่องไอ้แก๊งลักเด็กมันไปถึงไหนแล้ว คนสมัยนี้น่ากลัวจริงๆ ดีนะที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
บุญทิ้งนั่งเกร็งถือช้อนค้าง ไข่ตุ๋นแหย่ แกล้งฉวยกับข้าวในจานแล้วยิ้มทะเล้น แต่บุญทิ้งยังนิ่งอยู่ ไข่ตุ๋นงงแล้วส่งคืนให้ พึมพำเบาๆ
“เป็นไรไปหว่า ไข่งง”
บุญทิ้งมองทุกคนก่อนจะพูดเสียงเศร้า
“ขอบใจนะไข่ตุ๋น ขอบคุณพ่อครู น้าช้อย แม่ครูกัญญาด้วยนะคับที่ช่วยดูแลผม”
ถมยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“ขอบคุณอะไรกัน เอ้า...กินข้าวๆ เย็นหมดแล้ว”
กัญญามองหน้าบุญทิ้งแล้วเลยไปสบตาไข่ตุ๋นที่ส่ายหัวบอกว่าไม่ได้ทำอะไร กัญญาหันกลับไปมอง อย่างเป็นกังวลที่บุญทิ้งเงียบไป
หลังจากกินข้าว บุญทิ้งหอบของเล่นมาวางไว้ที่พื้น ไข่ตุ๋นที่นั่งอยู่มองงงๆ กัญญายืนอยู่ใกล้ๆ
“เอ๊า...เอาออกมาทำไมเยอะแยะ ไข่ขี้เกียจเก็บ”
บุญทิ้งยื่นให้ทั้งกล่อง
“เอามาให้ไข่ตุ๋นเล่น ชอบใช่มั้ย เห็นเคยบอกว่าอยากได้”
ไข่ตุ๋นงงหนัก
“มาแปลกนะวันนี้ ไม่สบายป่ะเนี่ย” ไข่ตุ๋นเอามืออังหัว “ตัวก็ไม่ร้อน แล้วอยู่ๆเอาของเล่นมาให้ไข่ทำไม ปกติหวงจะตาย”
“เอาน่า...เอาไปเหอะ ให้”
“นี่เพราะยัดเยียดหรอกนะ ไข่เก็บไว้ก็ได้”
ไข่ตุ๋นดีใจกอดของเล่น บุญทิ้งยิ้มไม่พูดอะไร กัญญาแอบมองรู้สึกแปลกใจ
ปานฟ้านั่งลงก้มดูประวัติเด็กๆ ที่ภาคินใส่ไว้ในกล่องกระดาษ เธอหยิบขึ้นมาเปิดดูเรื่อยๆจนสะดุดกับรูปหนึ่ง ปานฟ้าขมวดคิ้วทำท่านึกแล้วก็นึกออก ร้องเสียงดังอย่างนึกไม่ถึง
“บุญทิ้ง”
ปานฟ้าตื่นเต้นมากเมื่อเห็นรูปบุญทิ้ง เธอรีบโทรนัดพบภาคินที่ร้านอาหารที่เคยมานั่งด้วยกัน เมื่อพบหน้ากันเธฮนำเอกสารนั้นมาให้ดู
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่า บุญทิ้งจะเดินทางไปไกลขนาดนั้น”
ภาคินพยักหน้า...
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า จู่ๆก็จับพลัดจับผลูไปเล่นลิเกที่นั่นได้ยังไง แถมยังไม่ส่งข่าวคราวมาบ้าง”
ปานฟ้ายิ้มปลอบใจ
“ฟ้าคิดว่าบุญทิ้งอาจจะไม่รู้ว่า จะติดต่อยังไงก็ได้นะคะเลยไม่ได้ติดต่อมา แต่เชื่อเถอะค่ะว่าถ้ารู้ว่าเราจะไปรับ บุญทิ้งต้องดีใจแน่ๆ”
ภาคินพยักหน้า
“แต่ที่ฟ้าแปลกใจมากๆคือพี่เดือนค่ะ พี่เดือนเป็นคนเห็นบุญทิ้งในทีวีแล้วจำได้จริงๆ ฟ้าว่า พี่เดือนไม่ได้บ้าอย่างที่ใครๆเขาว่ากันหรอกนะคะแค่อาจจะมีอะไรมากระทบจิตใจหลายอย่างเลยมีอาการอย่างนั้น”
ภาคินยิ้มให้
“สงสัยคุณเดือนกับบุญทิ้ง จะถูกชะตากันมาก ถึงได้จำแม่นไม่มีลืม ขนาดผมเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”
“ค่ะ ฟ้าก็ว่าพี่เดือนเขาเอ็นดูบุญทิ้งมากๆ สงสัยเพราะว่าบุญทิ้งทำให้นึกถึงทินภัทรน่ะค่ะ”
ภาคินมองปานฟ้าด้วยความรัก ก่อนจะค่อยๆเบนสายตาหนีอย่างรู้ว่าไม่ควร
บุญทิ้งเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า หน้าเครียดนิดๆ คำพูดของพ่วงยังดังก้องในหัว
‘เพราะเอ็งคือทินภัทร...เอ็งคือหลานของเจ้าสัวเติมบุญ’
บุญทิ้งหน้าเหม่อลอยพึมพำเบาๆ
“ทินภัทร ฉันเหรอทินภัทร...ลูกคุณปานเดือน เป็นไปได้ไง หรือลุงพ่วงจะโกหก แต่จะหลอกเราทำไม ไม่อยากจะเชื่อเลย”
บุญทิ้งนึกถึงคำพูดของพ่วงอย่างหวาดๆ
‘ข้าช่วยเอ็งไม่ได้ทุกครั้งหรอกนะ หนีไปให้ไกล อย่าให้ใครตามเจอ พวกมันจะตามฆ่าเอ็งไปทุกแห่ง เข้าใจไหมไอ้ทิ้ง’
บุญทิ้งรีบเก็บของใส่กระเป๋าแล้วรูดซิปปิด มองรอบๆห้องอย่างอาลัย
ขณะที่อยู่บนรถ ภาคินกางแผนที่ไล่จิ้มตามเส้นถนน ปานฟ้ามองอย่างสนใจ ภาคินเซ็ทเครื่องGPS ปานฟ้ามองกึ่งยิ้มกึ่งไว้ฟอร์ม
“เห็นคุณเซ็ทเครื่องแบบนี้ชักไม่มั่นใจแล้วสิ จะไปถูกแน่นะ”
ภาคินชะงักนิ้ว หันมามอง
“ถูกสิครับ ผมไม่พาหลงหรอก อย่างดีก็วนกลับมาทางเดิม”
ปานฟ้าหัวเราะ ขณะเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานฟ้าหยิบมาดูเห็นเป็นชื่อก้องภพ
ภาคินเหลือบมอง ปานฟ้าถอนหายใจกดรับ
“ตอนนี้ฟ้าอยู่ไหน ผมจะไปรับคุณทานข้าว”
“พอดีวันนี้ฟ้าไม่ว่างน่ะค่ะ กำลังยุ่งๆ แค่นี้นะคะ”
ปานฟ้าตัดบทวางสายไป ภาคินแกล้งละสายตามองไปที่ถนนสายตาเศร้า
“ที่จริงคุณฟ้าไม่ต้องมากับผมก็ได้นะครับ เดี๋ยวคู่หมั้นคุณจะเป็นห่วง ผมมาคนเดียวได้ แค่คุณบอกข้อมูลบุญทิ้งผมก็ขอบคุณมากแล้ว”
ปานฟ้าอึ้ง น้ำตาคลอ
“ถ้าคุณไม่อยากให้มาด้วย ก็บอกตรงๆเถอะค่ะว่าฟ้ามาแล้วเกะกะ ทำให้คุณแวะที่ไหนหรือแวะหาใครไม่สะดวก ขอโทษนะคะที่มาให้รถคุณเปลืองน้ำมัน”
ภาคินหันไปมอง ปานฟ้าสะบัดหนีมองออกนอกหน้าตา เขานิ่งอึ้งไป แตะมือที่บ่าเธอเบาๆ
“คุณก็รู้ว่าผมคิดยังไง ผมไม่มีวันอยากให้คุณเป็นคู่หมั้นคนอื่นแต่ผมมันไม่ดีพอ...สำหรับคุณ”
ปานฟ้าหันมามองสบตา
“ใครเป็นคนกำหนดคะว่าดีหรือไม่ดีพอ คุณเห็นฟ้าเป็นคนที่เห็นแก่หน้าตา เกียรติยศ หรือศักดิ์ศรีมากกว่าความรู้สึกตัวเองเหรอคะ”
ปานฟ้าสบตา น้ำตาค่อยๆไหล ภาคินนิ่งอึ้งแล้วดึงปานฟ้าเข้ามากอดจูบซับน้ำตาเบาๆ หญิงสาวค่อยๆเลื่อนมือขึ้นกอดเขา ทั้งสองสบตากัน ภาคินก้มลงจูบ แล้วกอดเธอไว้หลวมๆ“โกรธผมไหมคุณฟ้า”
ปานฟ้าสบตาด้วยแววตาดีใจปนเข้าใจ ส่ายหน้า
“น้อยใจมากกว่าค่ะ”
ชายหนุ่มสบตาหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
“อย่าน้อยใจเลยนะ...คนดีของผม”
ปานฟ้าสบตาภาคิน ยิ้มดีใจ แล้วซบลงกับบ่าเขา ภาคินกอดเธออย่างรักใคร่
ค่ำนั้น...ช้อยนอนอยู่กับไข่ตุ๋น นอนห่มผ้าเรียบร้อยแต่มีเสียงกรน ไข่ตุ๋นนอนพุงเปิดอ้าซ่ากรนด้วยถีบผ้าห่มไว้ปลายเท้า บุญทิ้งที่ลืมตาโพลงขึ้น ค่อยๆลุกจากที่นอนย่องไปหลังตู้ เขย่งขาเอากระเป๋าที่ซ่อนไว้มากอด
ไข่ตุ๋นดิ้นละเมอ บุญทิ้งสะดุ้งเฮือก แต่ไข่ตุ๋นก็หลับกรนเหมือนเดิม บุญทิ้งมองไข่ตุ๋นกับช้อยแววตาเศร้า ยกมือขึ้นไหว้ช้อยที่หลับอยู่
“ลาล่ะจ้ะน้าช้อย ไปแล้วนะไข่ตุ๋น”
บุญทิ้งพูดเบาๆด้วยใบหน้าเศร้าซึม แล้วเดินเบาๆ ออกจากห้องไป เดินย่องๆมาถึงห้องโถง กำลังจะเปิดประตูออกไปข้างนอก กัญญาเดินออกมาจากมุมมืด
“จะไปไหน”
บุญทิ้งชะงัก หันกลับมามองหน้าแหยๆ สบตากัญญาอย่างอึกอัก กัญญาจ้องมาอย่างสงสัย
เมื่อลงจากรถ ภาคินเดินมายืนข้างๆปานฟ้าที่มองเข้าไปในบ้านมืดๆ
“ที่นี่ใช่มั้ยคะ มาถูกแน่นะ”
ภาคินทำเนียนโอบไหล่
“ใช่แล้วครับ ว่าแต่...คุณฟ้าหายโกรธผมแล้วเนอะ”
ปานฟ้าสะบัดยุกยิก
“อย่ามาเนียนค่ะ ฟ้าบอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธ แค่อยากจะช่วยคุณบ้าง แต่ดูๆแล้ว เหมือนคุณก็ไม่ค่อยอยากให้ฟ้าช่วยเท่าไหร่ น้อยใจเป็นนะคะ”
ภาคินยกมือขึ้นจูบ มองสบตาซึ้งหวาน ปานฟ้าเขินแต่เก๊กหน้าดุใส่
“ที่พูดไปเมื่อกี้ ก็เพราะผมหึง หึงมากจนไม่อยากจะให้เขาโทรมาหาคุณตอนที่อยู่กับผม คุณฟ้าครับ ผมอาจจะมีแต่ตัว ไม่รวย ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต จนจะเอื้อมเด็ดดอกฟ้าได้ แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าความรักที่ผมมีให้คุณ มันจะอยู่ตรงนี้” ภาคินเอามือเธอมาแตะที่หน้าอกตรงหัวใจตนเอง “และมันจะเป็นของคุณตลอดไป”
หญิงสาวเขินๆ สบตาเขา
“ฟ้าก็รักคุณค่ะ คุณภาคิน หัวใจของฟ้าก็จะเป็นของคุณ...ตลอดไป”
ภาคินยิ้มหวานก้มจะหอมแก้มแต่เธอเอามือติดปากไว้ เขาเลยรวบมากอดไว้แทน
“ผมไม่หอมคุณฟ้า แต่เปลี่ยนเป็นคุณฟ้ามาหอมผมก็ได้นะครับ”
เขาแกล้งหลับตารอ ปานฟ้ามองอย่างหมั่นไส้นิดๆแต่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข เธอแตะริมฝีปากที่ไหล่ของเขาแล้วเบี่ยงตัวออก
“คุณไม่ได้บอกว่าให้หอมที่ไหนนี่คะ...นี่ก็หอมแล้ว รีบเข้าไปกันเถอะ ฟ้าอยากเจอบุญทิ้งแล้ว”
ปานฟ้าหันหลังให้ ภาคินอมยิ้มนิดๆเอามือแตะที่ไหล่ตรงถูกจูบแล้วยกมือตัวเองขึ้นจูบแทน
ทั้งสองเดินมาหยุดหน้าบ้าน ภาคินมองๆ ปานฟ้าไม่แน่ใจ
“บ้านนี้แหละครับ”
ภาคินเคาะประตู ประตูเปิดออกพรวด ไข่ตุ๋นยืนเกาพุงแกรกๆมองหน้ายุ่ง ปานฟ้ามองงงๆ
“อ้าว ไม่ใช่บุญทิ้งนี่คะ หนูชื่ออะไรจ๊ะ”
“ชื่อไข่ทิ้ง เอ๊ย ไข่ตุ๋นจ้า”
ช้อยหาวปากกว้างอย่างหงุดหงิด ที่ถูกปลุก ไข่ตุ๋นทาแป้งขาววอกวิ่งมา ถมที่ยืนหน้าเครียดรีบถาม
“เจอไหม”
ไข่ตุ๋นสั่นหน้า
“ไม่รู้บุญทิ้งหายไปไหน ไข่วิ่งหาทั่วบ้านไม่เจอเลย”
“ปลุกมาเพราะเรื่องนี้นะ ดึกป่านนี้แล้วจะไปไหนกัน” ช้อยบ่นอย่างหงุดหงิด
ไข่ตุ๋นส่ายหน้า
“ไม่เจอจริงๆจ้ะ แม่ครูด้วย หายไปทั้งคู่เลย”
ถมกับช้อยมองหน้ากัน ช้อยหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ภาคินมองรอบบ้านกังวลก่อนจะหันมาสบตาปานฟ้า ถมแปลกใจ
“กัญญาด้วยเหรอ”
ปานฟ้าก้มลงหาไข่ตุ๋น
“หนูหาทุกที่แล้วแน่นะ”
“ทุกที่แล้วจ้ะพี่คนสวย ไม่มีเลย ไข่ไม่โกหกหรอก”
ภาคินพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมบุญทิ้งต้องหนีพวกเรา”
ปานฟ้าเงยหน้ามองภาคิน
“แล้วแบบนี้ จะไปตามที่ไหนล่ะคะ”
ภาคินนิ่ง หน้าเครียด สบตาตอบอย่างไม่รู้เหมือนกัน
เช้ามืด...ที่ท่ารถ มีคนรอขึ้นรถมากมาย แม่ค้าพ่อค้าเริ่มตั้งแผงขายของ กัญญากับบุญทิ้งถือกระเป๋ามาคนละใบ
กัญญาเดินนำไปแต่บุญทิ้งหยุดยืน
“ไม่ขึ้นรถล่ะ เป็นอะไร”
บุญทิ้งเศร้าสลดเงยหน้ามอง
“ถ้าแม่ครูไปกับผม แม่ครูอาจจะเดือดร้อนก็ได้นะครับ ผม...ผมเป็นตัวอันตรายของทุกๆคน ถ้ามีผมอยู่ใกล้ แม่ครูอาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้”
กัญญานิ่งมองไม่ถามอะไร แต่ลงนั่งคว้าบุญทิ้งมากอดลูบหัวไว้ด้วยความสงสาร
“ยิ่งบุญทิ้งต้องเจออันตราย แม่ยิ่งต้องไปด้วย แม่เคยทำผิดมาแล้วครั้งนึงที่ไม่ได้ปกป้องลูกของตัวเอง มาถึงตอนนี้ ต่อให้ต้องเจออันตรายอะไร แม่ก็ต้องปกป้องบุญทิ้งให้ได้”
บุญทิ้งน้ำตาคลออย่างตื้นตัน สวมกอดกัญญาไว้ครู่หนึ่ง กัญญาผละออกแล้วจับมือบุญทิ้งจูงขึ้นรถทัวร์ไป
ปานฟ้า เติมบุญ สายอุษาอยู่ในห้องนั่งเล่น ปานดาวเดินกำลังจะเข้าไปแต่ได้ยินเสียงคุยกันเลยแอบหลบฟัง
“อะไรนะฟ้า บุญทิ้งยังไม่ตาย” เติมบุญแปลกใจ
“ค่ะ บุญทิ้งยังไม่ตาย แถมยังกลายเป็นลิเกเด็กชื่อดังด้วยนะคะ”
ปานดาวได้ยินถึงกับช็อค หน้าซีดเผือดก่อนจะโมโหขึ้นมา สายตาร้ายกาจจ้องไปที่ปานฟ้า
“จริงๆเหรอ เป็นไปได้ยังไง โล่งอกไปที บุญแท้ๆที่ไม่เป็นอะไร” สายอุษาดีใจ
“นั่นสิ เด็กมันเป็นคนดี กตัญญู โบราณเขาถึงว่าคนดีผีคุ้ม”
ปานดาวได้ฟังยิ่งแค้น อยากจะกรี๊ดดังๆแต่กรี๊ดออกเสียงไม่ได้
ปานดาวผลักพิม ลงไปกองที่พื้นชี้หน้าด่า
“แกมันไม่ได้เรื่อง ใช้อะไรไม่เคยสำเร็จ ตอนนี้นังฟ้ามันคาบข่าวมาบอกทั้งบ้านแล้ว ว่าไอ้เด็กเปรตนั่นยังไม่ตาย ไหนว่าคนของแกไว้ใจได้ไง กะอีแค่เด็กคนเดียวยังจัดการไม่ได้” ปานดาวเอานิ้วจิ้มหัวพิม “ในนี้มีสมองมั้ย หรือเป็นพวกสมองกลวง”
ภูวดลอึ้ง พิมปัดมือปานดาวอย่างแรง ด้วยความโกรธ
“พิมไม่ได้เป็นคนทำ ไอ้พ่วงต่างหากที่ไม่ได้เรื่อง คุณดาวมาด่าพิมได้ไง...คุณฟ้าโกหกรึเปล่าก็ไม่รู้ บุญทิ้งมันอาจตายจริงไปแล้วก็ได้”
ปานดาวจิ้มหน้าผากเฉดหัวพิม
“มันบอกพ่อแม่ฉันย่ะ ฉันไปแอบได้ยินมา นังฟ้ามันจะโกหกทำไมแกนั่นแหละ สะเพร่า โง่เง่า แล้วทีนี้จะทำยังไง ถ้ามันกลับมาทีนี้ใครจะรับผิดชอบ แกเหรอ เฮอะ...น้ำหน้าอย่างแกจะมีปัญญาที่ไหนมารับ ดีไม่ดีซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง ซวยๆๆๆๆ”
ปานดาวจิ้มหัวพิมย้ำคำว่าซวย พิมปัดมือออก จ้องตาอย่างแค้นเคือง ทำหน้าเหมือนสะใจอยู่นิดนึง
“มันกลับมาก็ดี ทีนี้จะได้มีคนเดือดร้อนอยู่ไม่สุขแน่ เฮอะ รู้มั้ยเพราะอะไร เพราะไอ้เด็กบุญทิ้งคือทินภัทร หลานแท้ๆของพ่อคุณไงล่ะ มันเป็นทายาทตัวจริงของบ้านนี้”
ปานดาวช็อค ชะงัก มองพิมอย่างไม่อยากเชื่อ ภูวดลทำท่าเซ็งที่พิมพูดออกมา ปานดาวได้สติ กรี๊ดลั่น
“ไม่จริง...โกหก นังพิม แกโกหกฉันใช่มั้ย...ใช่มั้ย”
พิมยิ้มสะใจ
“โกหกคุณแล้วได้อะไร อ้อ...ไม่สิ ต้องบอกว่าคุณจะมีอะไรให้ฉันได้ถ้าไอ้เด็กนั่นยังไม่ตาย สมบัติก็ต้องตกเป็นของมัน ไม่มีทางกระเด็นมาถึงคุณสักบาท ไม่ถึงใครสักคน”
ภูวดลเห็นท่าจะไปกันใหญ่รีบปรามน้องสาว
“พอแล้วพิม”
ปานดาวช็อค ปราดเข้าไปตบตีพิม ภูวดลดึงไว้แต่โดนสะบัดออก ปานดาวมองพิมตาขวางสลับกับภูวดล
“แก...แกกล้าปากดีใส่ฉันแล้วเหรอ ใครเป็นคนให้แกอยู่ในบ้านนี้ ให้ที่ซุกหัวนอนคุ้มกะลาหัว แล้วยังกล้าโกหกฉันเรื่องลูกนังเดือน เห็นฉันเป็นคนโง่หรือไง” ปานดาวหันไปหาสามี “คุณเองก็เหมือนกัน ดีแต่เกาะเมียกินไม่ช่วยทำอะไรเลย นิสัยเหมือนกันทั้งพี่น้อง เคยใช้สมองคิดบ้างมั้ย ว่าเพราะฉันคนเดียว ถึงมีกินมีใช้ สุขสบายกันแบบนี้ ไม่งั้นลำพังปัญญาอย่างพวกแก จะทำอะไรได้ สำนึกบุญคุณกันบ้างสิ แล้วก็จำใส่กะโหลกไว้ด้วย มาจากข้างถนนแล้วยังไม่เจียมตัว”
ภูวดลโกรธจัด ตบปานดาวจนล้มลงนั่งที่พื้น ปานดาวกุมแก้มมองสามีทั้งช็อคทั้งกลัว แววตาหวาดผวาเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ภูวดลส่งเสียงเหี้ยม
“อย่ามาลำเลิก...ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้ผัวคนนี้ เพราะไอ้พิม แกก็โดนคนบ้านนี้เหยียบติดดินแล้ว พวกฉันต่างหากที่คุ้มกะลาหัวแก อย่าปากเสียมากนัก”
ภูวดลว่าใส่หน้าแล้วเดินไป พิมลอบยิ้มสะใจที่ปานดาวโดนบ้าง
ปานดาวกุมแก้มแน่น มองตามภูวดลอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา น้ำตาคลอหน่วย แววตาหวาดหวั่นกลัวสุดๆ
อ่านต่อหน้า 3
ดุจดาวดิน ตอนที่ 11 (ต่อ)
ภาคินกับปานฟ้า มาหาตุลย์ที่ห้องทำงาน
“มีการติดต่อซุ้มมือปืน ระดมคนล่าตัวบุญทิ้ง เห็นว่าคนจ้างให้ราคา ค่าหัวอย่างงาม” ตุลย์บอกอย่างหนักใจ
ภาคินกับปานฟ้าฟังงงๆ
“บุญทิ้งเป็นเด็กกำพร้านะหมวด ไม่ใช่ลูกหลานมหาเศรษฐี ทำไมจะสำคัญขนาดต้องโดนตามล่าตามฆ่า”
ปานฟ้าตกใจ
“นั่นสิคะ สายรายงานผิดรึเปล่าคะ”
“ไม่ผิดครับคุณฟ้า ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน เรื่องนี้มันต้องมีเบื้องหลังอะไรสักอย่าง”
ภาคินกับปานฟ้าฟังอย่างเห็นด้วย ข้องใจเหมือนกัน
ปานฟ้าชวนภาคินไปที่บ้าน เพื่อเล่าเรื่องบุญทิ้งให้ทุกฟัง สายอุษากับเติมบุญนั้นแปลกใจ ขณะที่ปานดาวถามอย่างไม่พอใจ
“แล้วเด็กบุญทิ้ง เขาสำคัญถึงขนาดต้องจ้างคน มาฆ่ามาแกงกันเลยเหรอ ตัวนิดเดียวแค่นั้น”
เติมบุญครุ่นคิด
“หรือบุญทิ้งจะไปรู้ความลับของมาเฟียคนไหน มันถึงตามล่าเอา”
“อืม...ก็เป็นไปได้นะคะคุณพ่อ ไม่งั้นจะต้องตามล้างตามฆ่ากันทำไม” ปานฟ้าเห็นด้วย
“อีกไม่นาน หมวดตุลย์คงพอสืบได้ครับ ตอนนี้ก็กำลังตามหาตัวบุญทิ้งให้พบก่อนไอ้พวกมือปืน” ภาคินอธิบาย
“เรื่องนี้มันแปลก พ่อชักอยากรู้แล้วสิ ว่าบุญทิ้งไปทำอะไรมา”
ปานดาวหน้าซีดรีบพูดแทรก
“โอ๊ยคุณพ่อคะ จะไปอยากรู้อะไรกัน ตำรวจมั่วหรือเปล่า กะอีแค่เด็กจรจัดคนเดียวถึงจะมีคนคิดฆ่าเลยเหรอ ไร้สาระ เธอเอานิยายอะไรมาเล่าให้คุณพ่อฟัง ฮึยายฟ้า”
“ไม่ใช่นิยาย ฟ้าพูดเรื่องจริง”
ภาคินมองปานดาว
“ถ้าไม่เชื่อ สอบถามจากหมวดตุลย์ได้ครับ ผมสงสัยตั้งแต่มีคนจับตัวบุญทิ้งไปแล้ว ต้องมีเบื้องหลังอะไรสักอย่าง”
ปานฟ้าพยักหน้า
“ใช่ค่ะ แล้วทำไมบุญทิ้งถึงต้องไปเล่นลิเก ทำไมไม่กลับมาบ้านนี้ทั้งที่ ที่นี่มีคนรัก คนเอ็นดูเขาอยู่ มิหนำซ้ำพอฟ้ากับคุณภาคินไปตามตัว ยังหนีไปอีก บุญทิ้งจะต้องทำอย่างนั้นทำไม ถ้ามันไม่มีเรื่องอะไรสักอย่าง”
ปานดาวตาวาวแต่แกล้งยิ้ม
“โอ๊ย...จะไปเอาอะไรกับไอ้เด็กพรรค์นั้น” ปานดาวมองปานฟ้ากับภาคิน “กลับมาติดกันเป็นปาท่องโก๋อีกแล้วหรอ ก้องภพรู้ยังเนี่ย อย่าลืมนะยะว่าเธอมีคู่หมั้นแล้ว อ้อลืมไป คู่หมั้นหรอจะ…สู้กิ้กได้”
ปานฟ้าหน้าเสีย ภาคินเองก็เจื่อนไป สายอุษามองภาคินกันปานฟ้า แววตาไม่พอใจและเป็นกังวล
“ฟ้ารู้ตัวดีค่ะว่ากำลังทำอะไร และฟ้าก็ให้เกียรติคู่หมั้นเสมอ คงไม่รบกวนให้พี่ดาวมาสอน”
พิมรีบสอด
“ให้เกียรติกันน่าดูเชียว เห็นสบตาหวานซึ้งกันแบบนี้ ถึงปากว่ามี คู่หมั้นๆแต่ในใจไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ อย่างนี้ใช่มั้ยคะคุณดาว ที่เรียกว่ามือถือสากปากถือศีล”
ปานฟ้ามองพิมโมโห
“จะมากไปแล้วนะพิม”
พิมลอยหน้าไม่เกรงใจ
“ก็พูดไปตามที่เห็น คู่หมั้นก็มีอยู่แล้วยังไปกอดไปจูบกัน ไม่อายใครก็อายผีสางบ้างเหอะ ผู้ชายก็เหมือนกัน เห็นผู้หญิงมีตังค์ก็หวังมาเกาะกิน หน้าไม่อายบ้างหรือไง หรือทำจนชินแล้ว”
เติมบุญจ้องหน้าพิม
“หยุดพูดได้แล้วพิม จะไปไหนก็ไป”
“แกพูดตรงๆ แบบนี้ ยัยฟ้ากับนายภาคินเขาก็ทนฟังไม่ได้น่ะสิ หน้าบางกันทั้งคู่” ปานดาวแดกดัน
ปานฟ้าชักฉุน
“พี่ดาว”
ปานดาวยิ้มหยัน พิมแบะปาก แค่นยิ้ม
“ลูกผู้ดีนี่หน้าบางจริงจิ๊ง บางเป็นเมตร”
ปานฟ้าแววตาเอาเรื่อง
“ต่ำ ขอโทษฉันกับคุณภาคินเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างงั้นก็ไม่ต้องทำงานที่นี่อีก”
พิมลอยหน้าลอยตาไม่กลัว
“เออ นังพิมมันต่ำ แล้วบ้านนี้สูงกันนักนี่ ผู้ดีอาไร้ระริกระรี้ตามผู้ชายไปนู่นนี่ สงสัยหลงกลิ่นแมงดา”
ปานฟ้าตบหน้าพิมฉาด ทุกคนนิ่งอึ้ง ภาคินรู้ตัวก่อนปราดเข้าไปจับแขนปานฟ้าไว้ พิมเงยหน้ามองอย่างแสนแค้น
พิมผลุนผลันจะวิ่งไปหาธัญวิทย์
“คุณวิทย์...คุณวิทย์”
ปานดาววิ่งตามมาคว้าแขนเอาไว้
“แกจะเรียกวิทย์ทำไมนังพิม”
“ก็จะพาลูกของฉัน ไปจากไอ้บ้านเฮงซวยนี้ไง”
“ไม่...แกจะเอาตาวิทย์ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“งั้นคุณก็ต้องจัดการนังปานฟ้าให้พิม ไม่งั้นพิมไม่ยอมแน่ พิมกับลูกจะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย แต่ถ้าคุณไม่ให้ไป พิมจะแฉความจริงทั้งหมดให้ทุกคนรู้…ว่าธัญวิทย์เป็นลูกใคร อย่าคิดว่าฉันจะทำไม่ได้”
พิมพูดอย่างเป็นต่อนัยน์ตาสะใจ ปานดาวนิ่งอึ้งแววตาหวาดหวั่น
ภาคินอึดอัด ขยับตัวจะลากลับ ปานฟ้ามองภาคินสายตาขอโทษ
“งั้น...ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ภาคินยกมือไหว้แต่สายอุษาทำเมินไม่รับ เติมบุญรับไหว้ยิ้มให้กำลังใจ ปานฟ้าขยับตัวลุกจะไปส่ง
“เดี๋ยวฟ้าไปส่งที่หน้าบ้านนะคะ”
ปานดาวเดินเข้ามาพร้อมพิม
“แกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นยัยฟ้า จนกว่าจะขอโทษที่แกตบพิมเมื่อกี๊”
ปานฟ้าทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ มองไปที่พิม พิมยิ้มเยาะวางท่าเชิดใส่ สายอุษามองหน้าลูกสาวอย่างอึ้งๆ
“อะไรกันยัยดาว”
เติมบุญไม่พอใจ
“พ่อไม่เห็นด้วย ทำไมฟ้าต้องขอโทษในเมื่อพิมเป็นคนที่ดูถูกฟ้ากับคุณภาคินเขาก่อน”
พิมมองอาฆาต
“ได้ หนูมันปากไม่ดี หนูมันเป็นแค่คนจนให้คนอื่นตบตีได้อย่างเดียว ไม่มีปากเสียงเรียกร้องอะไร งั้นหนูลาออก”
ปานฟ้าจ้องหน้า
“คิดได้ก็ดี งั้นเธอก็เก็บกระเป๋าได้เลย”
พิมมองแค้น แต่เห็นธัญวิทย์ก็นึกแผนเดิมได้
“งั้นก็ถามคุณวิทย์ก่อน ว่าให้พิมไปได้หรือเปล่า”
ทุกคนหันไปมองธัญวิทย์ที่วิ่งเข้ามากอดเอวพิม รั้งเอาไว้ พิมยิ้มเป็นต่ออย่างคนชนะ
“เห็นแล้วใช่มั้ยล่ะ”
เติมบุญกับสายอุษามองอึ้ง แต่ปานดาวมองเศร้าๆปนโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้ เติมบุญหันไปเรียกหลาน
“วิทย์ มาหาตามาลูก ปล่อยพิมเขา”
ธัญวิทย์ไม่ยอม
“ไม่เอา วิทย์ไม่ให้พิมไป” ธัญวิทย์เกาะแขนแน่นหลบด้านหลัง “พิม อย่าไปไหนนะ”
เติมบุญถอนใจหันไปพูดกับปานดาว
“นี่เราเลี้ยงลูกยังไง ให้มันติดพี่เลี้ยงมากกว่าแม่แท้ๆกัน”
ปานดาวหน้า เสียแต่พยายามนิ่ง
“คุณพ่ออย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลยค่ะ ยัยฟ้า แกก็รีบขอโทษนังพิมมันซะจะได้จบเรื่อง”
ปานฟ้าสบตาปานดาว ภาคินแอบแตะบ่าให้กำลังใจ ปานฟ้าเชิดหน้าขึ้นพูดเสียงเด็ดขาด
“ไม่ค่ะ ฟ้าไม่ผิด”
พิมเก็บเสื้อผ้ายัดๆใส่กระเป๋า ธัญวิทย์เข้ามายืนดูมองเศร้าๆ พิมเก็บของเสร็จลุกยืนถือกระเป๋า
“ไม่ไปไม่ได้เหรอพิม ไม่เอานะ อยู่ด้วยกันนะ”
พิมมองแล้วจับมือไว้
“ไม่ได้หรอกค่ะคุณวิทย์ โดนตบขนาดนี้พิมอยู่ไม่ได้แล้ว”
พิมจะเดินออกแต่ถูกดึงชายเสื้อไว้
“ไม่เอา พิมจะทิ้งกันใช่มั้ย ไม่ยอมนะ ถ้าพิมจะไป วิทย์ไปด้วย”
พิมทิ้งกระเป๋าหันมาเอาธัญวิทย์กอดแนบอก ลูบหัวอย่างดีใจ
“คุณวิทย์...วิทย์ ลูกรักของแม่ สมแล้วที่เราเป็นแม่ลูกกัน”
พิมกอดธัญวิทย์ดีใจ
“แม่ที่ไหน พี่เลี้ยงต่างหาก อย่ามั่ว”
“ค่ะ ค่ะ พิมน่ะ...เป็นทุกอย่างของคุณวิทย์ แล้วถ้าไม่มีพิมเมื่อไหร่ คุณปานดาวตีคุณตายแน่ จำได้มั้ยเวลาโกรธขึ้นมา เขาตีคุณขนาดไหน”
ธัญวิทย์พยักหน้า
“เพราะงั้น เราต้องอยู่ด้วยกัน พิมต้องอยู่คุ้มครองคุณวิทย์ จำไว้"
ธัญวิทย์พยักหน้า พิมยิ้มพอใจ
พิมจูงมือธัญวิทย์ อีกมือก็หิ้วกระเป๋าแฮนแบ็ค เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ปานดาวตกใจปรี่ไปหาธัญวิทย์
“ตาวิทย์ มากับแม่นี่”
“ไม่เอา วิทย์จะไปกับพิม วิทย์จะไป”
“เอ๊ะ อย่ามาดื้อนะ เดี๋ยวโดนเลย เอามั้ย”
ปานดาวยกมือทำท่าจะตี ธัญวิทย์หลบหลังพิม
“ไม่เอา คุณแม่ไม่รักวิทย์ ตียันเลย มีแต่พิมคนเดียวที่รักวิทย์”
ปานดาวดึงไว้แต่ธัญวิทย์ยิ่งงอแง สะบัดหลุดวิ่งไป พิมรับมากอดไว้อย่างเป็นต่อ ปานดาวหันไปเล่นงานปานฟ้าแทน
“เป็นเพราะแกยัยฟ้า ไปตบตีทำร้ายมัน ถ้านังพิมคิดจะฟ้องแกเอาผิดกันทางกฎหมายก็ทำได้”
ปานฟ้านิ่งอึ้ง พิมยิ้มสะใจปานฟ้าเลยยิ่งโมโห
“ฟ้าก็ฟ้องได้ว่าพิมหมิ่นประมาท”
สายอุษาเบื่อหน่าย
“พอเถอะ จะเถียงอะไรกันให้ใหญ่โต ยัยฟ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษสักหน่อย ยัยดาวเองก็อย่าไปเข้าข้างคนอื่นสิ”
พิมไม่พอใจ
“จะให้ฉันโดนตบฟรีใช่มั้ย ใช่สิ ฉันมันก็แค่คนยากจนไม่มีการศึกษา ถึงได้ถูกคนรวยๆรังแก ไม่มีใครเห็นหัว แต่ถึงฉันจะจน แต่ฉันก็เป็นคน แล้วฉันไม่ยอมแน่ถ้าผู้ดีอย่างพวกคุณไม่ขอโทษ”
ปานฟ้าชะงักเถียงกลับ
“เรื่องทั้งหมดเพราะเธอปากไม่ดี เป็นแค่ลูกจ้าง ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์เรื่องของนายจ้าง”
“ก็นายจ้างอยากทำตัวแร่ดนักนี่ ขี้ข้าอย่างฉันถึงต้องสอนให้ไง”
เติมบุญกับสายอุษาอึ้งไป ปานฟ้าโมโห
”มันจะเกินไปแล้วนะ”
สายอุษาไม่พอใจ
“ทะลึ่งมากไปแล้ว ว่าคุณฟ้าแบบนี้ได้ไง”
เติมบุญโกรธ
“ถ้าเธอกล้าว่าเจ้านายขนาดนี้ ออกไปเถอะ ไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว”
พิมยิ้มหยัน บอกอย่างอวดดี
“ถามคุณวิทย์รึยังคะ ว่ายอมให้พิมไปรึเปล่า”
ธัญวิทย์ไม่ยอม
“ไม่ให้ไป ถ้าพิมไป วิทย์ไปด้วย”
สายอุษากับเติมบุญส่ายหัว ภาคินสบตาปานฟ้าแอบบีบมือกันเบาๆ
“ผมขอยืนยันครับ ว่าเราคบหากันอย่างบริสุทธิ์ใจ และผมไม่เคยคิดจะทำให้คุณฟ้าเสียหาย”
ปานดาวแค่นหัวเราะ
“ใครจะไปเชื่อ หน้าอย่างแกมีอะไรมายืนยันได้ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย เฮอะ ริอ่านจะกินเนื้อหงส์ระวังจะติดคอตาย”
พิมมองเหยียด
“ฉันพูดตามที่เห็น ไม่มีมูลหมาไม่ขี้หรอก”
เติมบุญตวาด
“หุบปากไปเลยพิม อย่าปากเสียให้มากนัก เดี๋ยวได้โดนอีกที”
ปานดาวรีบเข้าข้างพิม
“คุณพ่อก็เอาแต่เข้าข้างยัยฟ้า ได้ดูกันหรือเปล่าว่าลูกสาวคนดีของคุณพ่อมันเหลวแหลกแค่ไหน เอาสิยัยฟ้า รีบๆขอโทษเรื่องจะได้จบซะที เพราะแกคนเดียวบ้านเราถึงได้วุ่นวายขนาดนี้”
เติมบุญไม่พอใจ
“ถ้าน้องต้องขอโทษ พิมเองก็ต้องขอโทษฟ้าด้วยที่ปากเสียใส่เจ้านาย”
“คุณพ่อก็แบบนี้ทั้งปี เข้าข้างฟ้าทุกเรื่อง ไม่เคยฟังดาวเลย”
“โอย...อะไรกันนักหนา”
ปานฟ้านิ่งอยู่โพล่งขึ้นมา
“พอเถอะค่ะ หยุดได้แล้ว ถ้าอยากให้ฟ้าขอโทษ...ฟ้าก็ขอโทษก็ได้ แค่นี้พอใจแล้วใช่มั้ย”
ปานฟ้าสาวใช้อย่างเจ็บแค้น...พิมยิ้มเยาะเย้ยอย่างสะใจ ปานฟ้าสะกดอารมณ์ไม่ตอบโต้ ภาคินลอบมองปานฟ้าอย่างเห็นใจ เติมบุญมองหน้าพิม
“เอ้า เจ้านายเค้าขอโทษก่อนทั้งที่ไม่ควร เธอล่ะพิม ขอโทษเขาเสียสิที่เธอพูดไม่ดี จะได้จบทั้งสองฝ่าย”
พิมมองเติมบุญสลับกับปานดาว
“พิมไม่...”
เติมบุญพูดแทรก
“ไม่อะไร ต่อให้ไม่ใช่เจ้านายกับคนใช้ แต่การที่เราว่าร้ายใครโดยไม่รู้ความจริงชัดเจนก็ทำให้เขาเสียหาย และถ้าเธอไม่ยอมขอโทษ บางทีฉันก็คงต้องคิดเรื่องหาพี่เลี้ยงคนใหม่แล้ว ก้าวร้าวแบบนี้ ไม่สมควรจะเลี้ยงหลานฉัน แล้วก็ไม่ต้องมีใครสอดมาถือหางด้วยล่ะ”
เติมบุญมอง ปานดาวที่จะอ้าปากเถียงแทน ปานดาวเลยหุบปาก พิมมองเติมบุญอย่างแค้นใจ จำใจพูดออกมาอย่างกระชากๆ
“ขอโทษ”
เติมบุญเอ็ดเสียงเบาแต่เด็ดขาด
“ขอโทษแบบนี้ไม่เอา”
พิมเค้นไรฟันพูด ยกมือไหว้
“ขอโทษ...ค่ะ”
พิมเอามือลง สองมือกำแน่นมองปานฟ้ากับเติมบุญราวกับจะฆ่าให้ตาย พึมพำบอกกับตัวเอง
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้แก่”
ภาคินกับปานฟ้าเดินมาในสวนแล้วหยุดยืน ชายหนุ่มจับหญิงสาวขึ้นมากุมเบาๆแล้วก้มมองสายตาเศร้า
“คุณไม่เป็นไรนะ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม
“ค่ะ...เรื่องแค่นี้...ฟ้าไม่เก็บมาคิดให้ปวดหัวหรอก”
“ดีแล้วครับ ผมเชื่อว่าคุณเข้มแข็ง...ขอโทษนะครับที่ทำให้วุ่นวาย...ครอบครัวของคุณคงไม่พอใจเท่าไหร่ที่คุณยังคบกับคนอย่างผม”
ปานฟ้ายิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ
“ใครคิดยังไง ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของฟ้าหรอกค่ะ”
ทั้งสองจ้องตากันสบสายตาซึ้งๆ ภาคินกุมมือปานฟ้า เธอเงยขึ้นมองเขาน้ำตาค่อยๆไหลออกมา
“แล้วอย่างนี้ฟ้าจะทำใจ...แต่งงานกับก้องภพได้ยังไง”
ภาคินนิ่งเงียบไปยกมืออีกข้างเช็ดน้ำตาให้เธออย่างขมขื่น สายอุษาโผล่มาจากมุมสวนมอง เห็นก็ชะงัก มองอย่างกังวล นึกรู้ว่าทั้งสองรักกันแน่ๆ
ปานฟ้ากำลังจะเดินไปส่งภาคิน ปานดาวโผล่มาดักหน้าไว้
“พี่ดาวมีอะไรคะ”
“เปล๊า ฉันก็แค่มาดูเฉยๆ กลัวใครทำอะไรประเจิดประเจ้อในบ้าน เหมือนที่นังพิมมันพูดไว้”
“ฟ้ารู้ค่ะ ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ไม่ต้องให้ใครมาคอยจับผิด พี่ดาวเองเถอะ ทำไมถึงเข้าข้างพิมจังค่ะ พิมเป็นคนใช้ทำไมพี่ดาวต้องทำเหมือนกลัวเขาขนาดนั้น”
“ใคร...ใครกลัว แกอย่ามาหาเรื่องฉันนะ”
“ฟ้าต้องถามพี่ดาวมากกว่าว่า กลัวพิมเรื่องอะไร”
ปานฟ้าจ้องเหมือนจะหาความนัย ปานดาวหลบตาวูบนิ่งอึ้งไป นึกย้อนไปถึงเรื่องที่ภูวดลตบแล้วตะคอกใส่เธอเสียงเหี้ยม
‘อย่ามาลำเลิก...ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้ผัวคนนี้ เพราะไอ้พิม แกก็โดนคนบ้านนี้เหยียบติดดินแล้ว พวกฉันต่างหากที่คุ้มกะลาหัวแก อย่าปากเสียมากนัก’
ปานดาวหวาดกลัว แล้วรวบรวมสติ ทำหน้าบึ้ง เชิดใส่ เถียงกลับ
“ทำไมฉันต้องกลัวนังพิม แกต่างหากยัยฟ้า ทำตัวตกต่ำไม่มียางอายให้คนใช้อย่างนังพิมดูถูกได้ ยังมีหน้ามาโวยอีก เสียแรงเป็นลูกรัก ดันทำตัวไม่ไว้หน้าพ่อแม่ ฉันล่ะอายแทน”
ปานฟ้าได้ยินก็น้ำตาคลอ ปานดาวยิ้มสะใจปนโล่งที่ปัดเรื่องออกไปได้ ภาคินส่งสายตาหาปานฟ้า
“ก่อนจะว่าใครหัดดูตัวเองซะบ้าง คู่หมั้นก็มีเป็นตัวเป็นตนยังไปเที่ยวกับผู้ชายคนอื่น”
“ผมบอกหลายครั้งแล้วนะครับ ว่าไม่ใช่อย่างนั้น คุณเข้าใจคุณฟ้าผิด เราสองคนไปตามหาบุญทิ้งต่างหาก”
ปานดาวอ้าปากจะว่าภาคิน แต่เห็นสายอุษากับเติมบุญเดินมา เลยแกล้งว่าปานฟ้าเสียงดัง
“ไม่ต้องมาแก้ตัวแทน เธอทำตัวน่าอายอย่างนี้ แล้วจะปกครองลูกน้องได้ยังไง ขืนพนักงานที่บริษัทรู้เข้า คงได้นินทากันสนุกปาก ดีไม่ดี ได้เป็นข่าวซุบซิบตามอินเทอร์เนท คุณพ่อคุณแม่คงไม่มีหน้าไปเจอใครแล้ว ฉันว่าเธอไม่เหมาะที่จะดูแลศูนย์การค้าแล้วอย่าให้พวกเราต้องตกต่ำไปกว่านี้เพราะเธอเลย”
สายอุษามองตำหนิปานฟ้า เติมบุญเม้มปากแน่นสายตากังวล ภาคินไม่พอใจ
“คุณดาวเลิกว่าคุณฟ้าเสียทีเถอะครับ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่พวกคุณคิดไปเองแท้ๆ คุณกำลังทำร้ายน้องสาวตัวเอง ผมขอร้องพอสักที”
ปานดาวหัวเราะเยาะ
“กล้าพูดนะว่าเข้าใจผิด สาบานมั้ยล่ะว่าแกกับยัยฟ้าไม่ได้ชอบกัน กล้ามั้ย”
ปานฟ้ากับภาคินอึ้ง พูดไม่ออก ปานดาวแค่นยิ้มหยัน
“อย่าคิดว่าคนอื่นเขาโง่ ดูไม่ออก คนอย่างแกดีแต่คิดเกาะผู้หญิงรวยสนใจเงินของน้องสาวฉันล่ะสิ ออกไปจากบ้านนี้ดีกว่า ที่นี่...ไม่ต้อนรับ”
ปานดาวมองภาคินอย่างเหยียดหยาม แววตาร้ายกาจ
ภาคินเดินเข้าในบ้านเห็นก้องภพนั่งหน้าเครียด ดูรูปภาคินกับปานฟ้าในโทรศัพท์มือถือ ก้องภพเห็นภาคินก็ลุกขึ้นปรี่มาหา
“แหกตาดูซะ ปานดาวพึ่งส่งมาให้ ทำไมยังไปยุ่งกับคู่หมั้นชั้นอีก อีกไม่กี่วันฟ้าก็จะเป็นเมียฉันแล้ว ยังไปวอแวทำไม หรือเป็นอย่างเขาว่า แกคิดเกาะผู้หญิงกิน ไอ้แมงดา...ไอ้ลูกไม่มีแม่”
ก้องภพชกหน้า ภาคินมองหน้าแล้วชกกลับจนก้องภพล้มคว่ำ
“ไอ้...ไอ้...”
“ผมไม่ใช่แมงดา แล้วผมกับคุณฟ้าก็ไม่เคยทำผิดกับใคร อย่าเอาความคิดต่ำๆของคุณมาทำให้เขาเสียหาย”
ภาคินมองเอาจริง ก้องภพอึ้ง วิมลวรรณเห็นเข้า ก็วิ่งออกมา กรี๊ดเสียงดัง
“แก...ไอ้ภาคิน ไอ้เลว กล้าชกลูกฉันเหรอ ไอ้เนรคุณ”
วิมลวรรณเงื้อมือจะตบ แต่ภาคินจับมือที่เงื้อไว้ จ้องหน้าเขม็งไม่ยอมให้
“ปล่อย ไอ้ภาคิน แกถือดียังไงถึงกล้ามาทำฉันแบบนี้ ไอ้ลูกนังลิเกชั้นต่ำ ปล่อยนะ อย่าเอามือต่ำๆของแกมาโดนชั้น”
ภาคินบีบมือจนวิมลวรรณนิ่วหน้า
“ถ้าคุณว่าแม่ผมอีกคำเดียวผมไม่ยอมแน่ ผมยอมพวกคุณมามากอดทนมามาก แต่ความอดทนผมมันมีจำกัด อย่านึกว่าพวกคุณจะทำผมได้ฝ่ายเดียว”
วิมลวรรณอึ้งไป แต่ยังไม่ยอมแพ้
“อ๋อเหรอ ทำไมฉันจะว่าแม่แกไม่ได้ แกกับแม่ก็เหมือนกัน คิดเกาะคนรวย ๆ แม่เป็นยังไงลูกเป็นอย่างงั้น เชื้อไม่ทิ้งแถว…โอ๊ย”
ภาคินกำแขนวิมลวรรณแน่น จนเธอหน้าซีดด้วยความกลัว เขาหันไปมองหน้าน้องชายที่ยืนเก้ๆกังๆ แล้วสะบัดผลักวิมลวรรณเข้าไปใส่ วิมลวรรณเซไปหยุดที่ก้องภพ หน้าตาหวาดกลัว
“ใครกันแน่ที่คิดจะเกาะคุณฟ้า หวังจะฮุบสมบัติยัดเยียดให้หมั้นทั้งๆที่ไม่ได้รัก พวกคุณน่ะทำตัวเป็นผู้ดี แต่ก็มีแค่เปลือกนอกกลวงๆ ลูกชายเป็นอันธพาล ดีแต่ลอบกัดคนอื่น ไม่กล้าสู้ซึ่งหน้า แม่ก็ให้ท้ายตามใจกันจนเสียคน ผมถามหน่อย ใครกันแน่ที่คิดจะหลอกคุณฟ้า ใครกันแน่ที่เห็นแก่เงินจนหน้ามืด ทำได้ทุกอย่าง”
“แก...แกกล้าด่าฉันเหรอวะ”
“ผมพูดเรื่องจริงต่างหาก เรื่องจริงที่พวกคุณทำ”
ภาคินเดินเข้าไปในตัวบ้านกำลังจะขึ้นบันได วิมลวรรณปรี่เข้ามาหาแล้วดึงแขนไว้ เขาหันมองแล้วสะบัดมือออก
“แกจะหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น แกต้องมากราบขอโทษฉันกับตาก้องเดี๋ยวนี้”
ภาคินมอง ส่ายหัวเบาๆ
“ไม่...ผมไม่ได้ทำผิด”
วิมลวรรณกรี๊ด ชี้หน้า
“ได้...ถ้าแกไม่ขอโทษ อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างมีความสุข ฉันจะจองล้างจองผลาญแกไปตลอดชีวิต”
ภาคินแค่นหัวเราะ
“เหมือนที่คุณเอาไอ้เกย์ฝรั่ง กับเด็กผู้หญิงนั่นมาใส่ร้ายเล่นงานผมกับมูลนิธิผม ใช่มั้ยครับ คุณวิมลวรรณ”
วิมลวรรณเชิดหน้ายิ้มเยาะ
“ใช่ แล้วแกจะทำไม บอกไว้ก่อนว่าครั้งหน้าฉันจะเล่นแกไม่ให้รอดแน่”
ภาคินมองนิ่ง
“ที่จริงก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่แน่ใจแต่คุณสารภาพมาก็ดี ผมจะได้ระวังตัว ขอบคุณครับ”
วิมลวรรณอึ้ง เสียหน้าที่เสียรู้
“นี่แกหลอกให้ฉันยอมรับใช่มั้ย แกมันร้ายเหมือนแม่ไม่มีผิด ไอ้ลูกเจ้าเล่ห์ ลูกผีลูกมาร”
ภาคินมองแม่เลี้ยงอย่างสมเพช
“พูดผิดแล้ว ผมเป็นเด็กที่เกิดมาจากความรักของพ่อกับแม่ พ่อยังรักแม่ผมจนถึงทุกวันนี้ และจะรักตลอดไปโดยที่ไม่มีใครมาทำลายมันได้ แม้แต่คุณ...”
วิมลวรรณอึ้ง เจ็บใจจนพูดไม่ออก ภาคินเดินหนีขึ้นไปสวนกับอานนท์ที่เดินลงมา วิมลวรรณจ้องหน้าสามี อานนท์มองกลับด้วยสายตาว่างเปล่า
“พูดสิ อยากด่า อยากว่าอะไร บอกมาเลย แต่อย่าทำเย็นชาแบบนี้ ได้มั้ย”
อานนท์สบตาเย็นชา แล้วเดินจากไป ไม่ยอมพูดด้วย วิมลวรรณกรี๊ดอย่างคั่งแค้นและเจ็บใจ
อ่านต่อหน้า 3
ดุจดาวดิน ตอนที่ 11 (ต่อ)
สายอุษาเดินเข้ามาหาปานฟ้าที่ห้อง ทำหน้าตึงใส่ด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมนายภาคินถึงมาวุ่นวายด้วยอีก แม่ไม่ชอบเลยนะ”
“เราเป็นเพื่อนกันนะคะคุณแม่คุณภาคินเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ฟ้าคบแล้วสบายใจ”
“เพื่อนประเภทไหน ถึงจับมือถือแขน แทบจะกอดกันในสวน อย่านึกว่าแม่ไม่เห็นนะ ฟ้าอย่าคิดมาหลอกแม่เลย”
ปานฟ้านิ่งอึ้งมองสบตา สายอุษามีแววไม่พอใจ ปานฟ้าก้มหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นพูดอีกที
“ฟ้า...รักคุณภาคินค่ะแม่”
สายอุษาตกใจ
“แล้วตาก้องล่ะฟ้า”
ปานฟ้านิ่งคิดแล้วพูดตัดใจ
“ฟ้าไม่เคยรักคุณก้อง ไม่มีวันรักได้ด้วย ฟ้าจะไม่แต่งงานกับเขาแล้วคะ”
สายอุษานิ่งอึ้ง ตกใจจนหน้าเสีย
บุญทิ้งเปิดประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาล เห็นปานเดือนกำลังหลับอยู่ กัญญาเดินตามเข้ามาปิดประตูให้ บุญทิ้งค่อยๆ เดินกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปแตะที่ขอบเตียง มองหน้าปานเดือนที่หลับอยู่ด้วยความรัก น้ำตาค่อยๆ ไหลพูดเบาๆ
“แม่...แม่จ๋า”
บุญทิ้งกอดปานเดือนร้องไห้สะอึกสะอื้น ปานเดือนไม่ได้ตื่นแต่น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว กัญญาที่มองอยู่น้ำตาซึมต้องแอบปาดน้ำตา
ขณะเดียวกันด้านนอก...อนิรุทธิ์เดินมากับภาคิน ตรงไปที่ห้องปานเดือน
“ผมรู้มาจากคุณพ่อเรื่องบุญทิ้ง โชคดีนะครับที่ไม่เป็นอะไร”
“บุญทิ้งเป็นเด็กดีไม่มีใครทำอะไรแกได้หรอกครับ แต่ผมยังอดเสียดายไม่ได้ที่ไปไม่ทันเจอบุญทิ้งที่คณะลิเกนั่น”
“นั่นสิ ถ้าคุณภาคินพาตัวกลับมาได้...คงดี เดือนคงจะดีใจมาก”
อนิรุทธิ์กับภาคินเดินห่างออกไป ภูวดลที่แอบอยู่ยื่นหน้าออกมาจากด้านข้าง แววตาร้ายกาจ
อนิรุทธิ์เปิดประตูเข้าไปในห้อง ปานเดือนนั่งบนเตียง มองหาบุญทิ้งไปรอบตัว
“ตื่นแล้วเหรอคุณ...คุณภาคินมาเยี่ยมจ้ะ”
“ลูก...เมื่อกี้เดือนฝันว่าลูกมาหา มากอดเดือนแล้วร้องไห้ ลูกจ๋า หนูไปไหนแล้ว...ทินภัทร”
“แค่ฝันไปน่ะ”
“ไม่ได้ฝัน ลูกมาหาเดือน...จริงๆ นะคะ”
อนิรุทธิ์กอดภรรยาพยักหน้ารับอย่างเอาใจ ภาคินฟังอย่างสงสัย ว่าบุญทิ้งจะมาหาจริงๆ ภูวดลที่แอบฟังอยู่หน้าเหี้ยม นึกรู้ทันทีว่าบุญทิ้งกลับมาหาแม่
บุญทิ้งกับกัญญา เดินเข่ามายังสถานีตำรวจ มองหันรีหันขวางก่อนจะเข้าไปหาตำรวจที่นั่งประจำอยู่
“เอ่อ ฉันมาขอพบหมวดตุลย์ค่ะ”
“หมวดตุลย์ไปข้างนอกครับ ไม่ได้บอกไว้ว่าไปไหน มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีค่ะ ขอบคุณมาก”
กัญญาพาบุญทิ้งเดินออกมา
“ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน ตอนนี้เราต้องไปหาที่พักกันก่อนพรุ่งนี้หมวดเขาคงกลับมาแล้ว”
“ครับแม่ครู ถ้าเราเล่าเรื่องให้ฟัง หมวดคงช่วยเราได้”
กัญญาลูบหัวเอ็นดู
“แล้วเราจะไม่ลองไปหาภาคินกันเหรอ เขาคงเป็นห่วง”
“ถ้ากลับไป พี่ภาคินจะเดือดร้อนเพราะผม เราอย่าเพิ่งไปเลยนะครับแม่ครู”
กัญญาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทั้งสองคนเดินออกจากโรงพักผ่านหน้าชายคนหนึ่งที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ชายคนนั้นลดหนังสือลง เห็นบุญทิ้งแล้วชะงักลุกลี้ลุกลน หยิบรูปบุญทิ้งมาเทียบดู กัญญากับบุญทิ้งเดินห่างออกไป ชายคนนั้นมองตามมีรอยยิ้มมาดหมายอย่างประสงค์ร้าย
ปานฟ้าอ่านเอกสารของบริษัท แล้วเงยหน้ามองเติมบุญอย่างตกใจ
“หมายความว่าไงคะคุณพ่อ ทำไมทางบริษัทถึงออกจดหมายเวียนว่าฟ้าจะหยุดพักงานชั่วคราว”
เติมบุญนิ่ง สายอุษาบอกหน้าเฉย
“แม่เห็นว่าพักนี้ ฟ้าวุ่นวายหลายเรื่อง หยุดทำงานสักพักดีกว่า จะได้มีเวลาตั้งหลัก คิดว่าควรทำยังไงต่อไป”
“แล้วงานของศูนย์การค้าล่ะคะ”
ปานดาวลอยหน้าลอยตาพูด
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันดูแลเอง”
ปานฟ้าฟังอย่างไม่อยากเชื่อ มองหน้าเติมบุญ ที่ถอนใจอย่างเซ็งเหมือนกัน แต่ไม่มีทางเลือก
“แม่เขาทำเพราะหวังดีกับลูก”
“แม่อยากให้ฟ้ามีเวลาคิด จะได้ไม่หลงเพ้อเจ้อไปกับ...”
ปานดาวรีบพูดแทรกทันที
“ไอ้คนกระจอกๆ อย่างนายภาคิน”
ปานฟ้าอึ้ง พยายามตั้งสติ
“แม่จะให้ฟ้าวางมือไปเฉยๆ ได้ไงคะ งานทางนี้กำลังยุ่งจะตาย พี่ดาวก็ไม่เคยทำ แล้ว...”
“ฉันไม่ได้โง่นะยะ ไม่ต้องมาห่วงแทน มีปัญญาทำละกัน อย่านึกว่าตัวเก่งคนเดียว”
เติมบุญหันไปหาอนิรุทธิ์
“รุทธิ์ช่วยดาวด้วยแล้วกัน”
อนิรุทธิ์นิ่งคิด
“ผมคงช่วยไม่ได้มากนะครับ ตอนนี้อาการคุณเดือนก็ไม่ดีเลย ตั้งแต่บุญทิ้งหายไป ก็เครียดหนักกว่าเดิม ผมต้องไปดูคุณเดือนมากขึ้น”
ปานดาวพอใจ
“ไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับดาวเลย ถ้าทุกคนกลัวว่าดาวจะดูศูนย์การค้าคนเดียวไม่ได้ ก็ให้ภูมาช่วยดาวละกัน ดีมั้ยคะพ่อ”
เติมบุญอึ้งไป แล้วบอกเรียบๆ
“ก็ลองดู”
ภูวดลยิ้มกริ่มพอใจ ปานดาวยิ้มดีใจ ท่าทางเอาใจภูวดลมาก ปานฟ้าได้แต่สุดจะเซ็ง
ภาคินกับปานฟ้านั่งที่ม้านั่ง เข้าเอื้อมมือไปจับมือเธอเบาๆอย่างให้กำลังใจ ปานฟ้าเอนหัวซบบ่าเขา
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณแม่ของคุณไม่พอใจ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้คุณต้องวางมือจากงานที่คุณรัก ผม...เสียใจจริงๆ แต่อีกสักพักครอบครัวของคุณก็จะรู้ ว่างานบริหารศูนย์การค้า เหมาะกับคุณมากกว่า ใครๆ”
ปานฟ้าฝืนยิ้มนิดๆ
“หวังว่าจะเป็นอย่างงั้นค่ะ แต่ตกงานอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ฟ้าทำงานหนักมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ ก็ถือซะว่าโชคดี ใช้โอกาสนี้พักผ่อนยาวให้หายเหนื่อยสักที”
ภาคินจูบเบาๆที่กลางกระหม่อม มองหญิงสาวอย่างทะนุถนอมแววตารักใคร่อย่างเปิดเผย
“ผมก็ว่าง คุณปานดาวสั่งให้คนโทรมาบอก ว่าผมไม่ต้องไปเป็นกรรมการตัดสินรายการยุวทูตน้อยแล้ว”
ปานฟ้าโกรธแทน
“เอ๊ะ...พี่ดาวทำอย่างนี้ได้ไง ก็ตกลง วางตัวกันเรียบร้อยแล้ว คุณก็เป็นกรรมการรอบแรกไปแล้ว จะมายกเลิกง่ายๆได้ยังไง อย่างนี้งานก็เสียหมดสิ เดี๋ยวฟ้าจะโทรหาพี่ดาว”
ปานฟ้าทำท่าหยิบโทรศัพท์แต่เขาจับมือไว้ส่งสายตาปราม เธออ่อนลงยอมเก็บโทรศัพท์ไป
“ว่างอย่างงี้ก็ดีครับ ผมอยากอยู่กับคุณมากกว่าอะไรทั้งนั้น”
ปานฟ้าสบตามองภาคินอย่างดีใจ ยิ้มหวาน ชายหนุ่มแตะแก้มหญิงสาวสบตาลึกซึ้ง
บริเวณห้องแถวมีคนเดินไปเดินมาขวักไขว่ บุญทิ้งกับกัญญาเดินมาหยุดยืนหน้าห้องเช่า มีผู้ชายสองคนโผล่มาดักหน้า กัญญาดึงบุญทิ้งไว้ข้างหลัง ทำถามเสียงแข็ง
“พวกคุณมายืนขวางเราทำไม”
ชายสองคนผลักกัญญาจนเซ ยืนมองหน้าบุญทิ้ง
“หลบไปป้า ว่าไงไอ้หนู ไปด้วยกันซะดีๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
บุญทิ้งรู้ตัวรีบวิ่งหนีออกไป ชายสองคนขยับจะตามแต่กัญญาเข้ามาขวางไว้
“หนีไปบุญทิ้ง ไม่ต้องเป็นห่วง วิ่งไปสิ วิ่งไปเร็วๆ”
บุญทิ้งหันมามองแล้ววิ่งต่อ ผู้ชายสองคนสะบัดจะวิ่งตามแต่กัญญารั้งเอาไว้ ผู้ชายคนหนึ่งผลักกัญญากระเด็นล้มลงกับพื้น
“โอ๊ย”
“นังนี่เกะกะจริงโว้ย”
ชายสองคนวิ่งตามบุญทิ้งไป กัญญาทำท่าลุกตามแต่เจ็บจนล้มไปอีก เธอค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นนั่งมองไปทางที่บุญทิ้งวิ่งหนีไป อย่างเป็นห่วง
ชายสองคนวิ่งตามมาเข้าไปในซอกตึก ที่มีลังผักถังน้ำมันถังขยะกองอยู่ มองซ้ายขวาอย่างหัวเสีย
“หายไปไหนแล้ววะ ไวชิบ”
“สงสัยวิ่งไปอีกซอยแล้วมั่งพี่ ลองไปดูเหอะ”
สองคนวิ่งจากไป บุญทิ้งโผล่ออกมาจากถังโล่งใจ แต่ก็เปลี่ยนเป็นกังวลแทน เด็กชายปีนออกมายืนลังเลมองไปทางเก่าแล้วก็มองไปอีกทาง มองเหมือนตัดใจแล้วเดินไปอีกทาง ขณะเดียวกันนั้นเสียงกัญญาดังขึ้น
“บุญทิ้ง...บุญทิ้ง อยู่ไหนลูก”
บุญทิ้งได้ยินเสียงกัญญาก็ทำหน้าเศร้า กัญญาเดินเขยก มองหา บุญทิ้งกัดฟัดน้ำตาคลอ ตัดสินใจวิ่งหนีออกไปไม่อยากให้กัญญาต้องมามีอันตราย
“บุญทิ้ง โธ่...บุญทิ้ง”
กัญญาน้ำตาคลอ มองไปตรงทางแยก นึกรู้ว่าบุญทิ้งหนีจากไปแล้ว
ค่ำนั้น...ปานฟ้าเดินเข้ามาในบ้านสบายใจขึ้น ก้องภพโผล่มาจากด้านข้างกระชากแขนไว้
“ปล่อยนะ”
“ไปอยู่กับไอ้ภาคินมา มีความสุขมากมั้ย เห็นผมเป็นตัวอะไร วิ่งแร่ไปกับผู้ชายคนอื่นได้ทุกวัน อย่านึกว่าผมโง่นะฟ้า ผมยอมคุณมามากแล้ว คุณจะทำอะไรผมก็แกล้งมองไม่เห็น แต่คุณทำแบบนี้มันหักหน้ากันชัดๆ ถ้าเป็นคนอื่น ไม่ใช่มัน ผมจะไม่โกรธเท่านี้เลย ทำไมต้องเป็นมัน ทำไมต้องเป็นไอ้ภาคิน...ตอบผมมาสิฟ้าทำไม”
ปานฟ้ากระชากแขนตัวเองออก มองอย่างโมโห
“ถ้าใช้อารมณ์พูดแบบนี้ กลับบ้านคุณไปเถอะ พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง”
“อ๋อ อยากให้รู้เรื่องไปเลยใช่มั้ย...ได้”
ก้องภพกระชากแขนปานฟ้ามาที่ห้องนั่งเล่น สายอุษา เติมบุญ ปานดาวนั่งอยู่ในห้อง สายอุษากับเติมบุญตกใจ ปานดาวยิ้มเยาะอย่างสะใจ
“นี่มันอะไรกันตาก้อง ทำไมต้องกระชากแขนกันรุนแรงขนาดนี้”
ปานฟ้ากระชากแขนตัวเองออก
“คุณป้าก็ถามลูกสาวดูสิครับ คนเขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าหมั้นอยู่กับผม จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ยังจะกล้าไปไหนต่อไหนไอ้ภาคิน ไปอยู่กับมันตามลำพังสองคน ไอ้ภาคินมีอะไรดีนักถึงติดใจมันขนาดนี้ หรือว่าโดนมันเล่นของใส่จนหลง”
สายอุษามองปานฟ้า เติมบุญลุกยืน
“หยุดพูดจาหยาบคายใส่ลูกสาวฉันได้แล้ว กลับบ้านไปสงบสติซะ”
“ผมไม่กลับ เป็นเพราะพวกคุณลุงคุณป้านี่ล่ะให้ท้ายกัน เลี้ยงลูกประสาอะไรไม่รู้จักดูแล ปล่อยให้แล่นไปกับผู้ชายคนอื่น ให้คนนินทาทั้งเมือง ผมถามหน่อยเหอะพวกคุณไม่อายมั่งเหรอไง”
“หยุดลามปามพ่อแม่ฉันเดี๋ยวนี้คุณก้องภพ”
“ไม่หยุด ทำไม ตอนนี้มาทำเป็นหน้าบาง ทีตอนทำไม่รู้จักอาย คุณเป็นคู่หมั้นผมไม่ใช่มัน หัดเข้าใจมั่ง คุณกับมันไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว อย่าทำตัวให้มีปัญหานักเลยฟ้า”
“ได้...ถ้าการที่ฉันหมั้นด้วยมันเป็นปัญหานัก ก็จบกันเถอะ”
ปานฟ้าถอดแหวนออกขว้างใส่ก้องภพ แหวนกระทบเสื้อกลิ้งลงบนพื้น
“ฉันขอถอนหมั้นกับคุณ เดี๋ยวนี้เลย”
ปานฟ้าจะเดินออกไป แต่ก้องภพเก็บแหวนแล้วกระชากแขนเอาไว้
“ผมไม่ยอม อย่าคิดว่าจะเลิกกันได้ง่ายๆ ยังไงผมก็ไม่ยอมถอนหมั้นแน่ๆ ใส่แหวนซะฟ้า”
ก้องภพยัดใส่มือแต่เธอสะบัดมือ ไม่ยอมรับ แหวนตกลงพื้น ก้องภพสบตา บอกอย่างโกรธจัด
“อย่าคิดว่าจะถอนหมั้นกันได้ง่ายๆ ผมไม่มีวันปล่อยคุณ...จำไว้”
ก้องภพตะโกนใส่หน้า แล้วเดินไปอย่างโมโห ปานฟ้ามองแหวนบนพื้นไม่คิดจะเก็บขึ้นมา ปานดาวเอื้อมลงหยิบแหวนขึ้นมาหมุนเล่น ยิ้มร้าย
“เสียใจด้วยนะจ๊ะยัยฟ้า ดูเหมือนว่าเรื่องรักของแกกับไอ้กระจอกนั่น คงไม่ง่ายซะแล้ว”
เช้าวันใหม่...ภาคินยืนมองกรอบใบอนุญาตจัดตั้งมูลนิธิบนผนัง ปลดลงมา จะเอาใส่กล่อง ตุลย์กับเฟื่องแก้วเดินเข้ามาใบหน้าแจ่มใส
“อ้าวๆๆๆ รีบเก็บไปไหนคร้าบ เอาออกมาอย่างด่วน แขวนไว้ที่เดิมให้เป๊ะเลยนะ”
ภาคินทำหน้างง เฟื่องแก้วยิ้ม
“ข่าวดีค่ะ มูลนิธิของเราเปิดได้แล้ว”
ภาคินอึ้ง ฟังอย่างดีใจ ตุลย์รีบแทรก
“อ๊ะๆๆ อย่าขโมยซีนผมครับคุณแก้วที่รัก” ตุลย์หันมาหาภาคิน “จากการที่นายหลอกล่อให้ยัยคุณหญิงแม่เลี้ยงใจยักษ์หลุดปากว่าเป็นคนจ้าง หมวดตุลย์สุดหล่อคนเก่งพร้อมทีมก็เลยสืบสานต่อจนได้เบาะแสว่ายายคุณหญิงนั่นมีการโอนเงินให้ฝรั่งจริง แต่เป็นการโอนผ่านคนกลางหลายต่อเพราะนึกว่าจะตบตาพวกเราได้ ไม่สิ ที่จริงก็ได้น่ะนะแต่เพราะนายทำให้ยัยนั่นสารภาพออกมาได้ ตอนนี้ทุกอย่างเลยเคลียร์คัทตัดจบ เรียบร้อยกันไป มูลนิธินายก็กลับมา เปิดได้เหมือนเดิม”
ภาคินยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“อย่าๆ อย่าทำหน้าซาบซึ้งอย่างงั้น” ตุลย์หันไปหาเฟื่องแก้ว “แต่ถ้าจะขอบคุณขอเป็นจุ๊บหวานๆจากคนสวยสักทีก็ไหวครับ”
เฟื่องแก้วค้อน
“ทะเล้น ไปห่างๆเลย แบบนี้เขาถึงว่า คนดีอย่างพวกเรา ผีคุ้ม พระก็คุ้มครอง ส่วนไอ้คนชั่ว ยังไงเดี๋ยวหางมันก็ต้องโผล่มาให้ทุกคนเห็นจนได้”
ภาคินยิ้มอย่างขอบคุณ
“ขอบใจมากหมวด ขอบใจจริงๆที่ช่วยทุกอย่าง”
“ไอ้ผมมันก็ทำไปตามหน้าที่ แต่งานนี้ ก็มีอีกคนที่คอยช่วยอยู่เหมือนกันนะ คนที่นายควรไปขอบคุณจริงๆไม่ใช่ผมหรอกเว้ย”
“งั้นใคร” ภาคินงง
ภาคินค่อยๆ กราบลงที่ตักของพ่อ อานนท์รับไหว้ลูบหัวลูกชาย ภาคินเงยหน้าขึ้นยิ้ม
“พ่อให้นักสืบเอกชนตามฝรั่งนั่นอยู่หลายเดือน มีเบาะแสนิดหน่อยว่าอาจเชื่อมโยงมาถึงคุณหญิงเขา แต่ก็ไม่แน่ใจ ไม่กล้าคิดด้วย ว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนี้ ที่จริงพ่อก็รู้นิสัยเขาดี แต่ขนาดรู้ บางทีก็กลัวที่จะยอมรับ สักวันวิมลวรรณจะได้รู้ ว่ากรรมเวรมันมีจริง”
“ผมดีใจนะครับที่พ่อเป็นห่วงผม”
อานนท์มองอย่างรักใคร่
“แล้วสักวันลูกจะได้รู้ ว่าพ่อรักลูก...รักมากกว่าที่ลูกคิด”
ภาคินมองอย่างซาบซึ้ง แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพรัก
อ่านต่อตอนที่ 12