ดุจดาวดิน ตอนที่ 8
เวลาเดียวกันนั้น เติมบุญนั่งคุยหารืออยู่กับสายอุษา และอนิรุทธิ์อยู่ในห้องทำงาน
“ฉันว่า น่าจะได้เวลาที่เราจะเปิดรับบุญทิ้งได้เสียทีแล้วนะ เด็กคนนี้ท่าทาง ความคิด ไม่ธรรมดา ถ้าเราจับมาขัดเกลา ฉันว่าบุญทิ้ง น่าจะทำให้ยัยเดือน และ ครอบครัวเรามีความสุข”
อนิรุทธิ์ไม่เห็นด้วยพูดขึ้นน้ำเสียงน้อยใจ
“คุณพ่อพูดเหมือน โลกนี้ไม่มีทินภัทรอยู่อีกต่อไปแล้วนะครับ”
“เด็กบุญทิ้ง เป็นเด็กดีก็จริง แต่เราก็ไม่รู้ที่ไปที่มา ไม่รู้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน ฉันเห็นด้วยว่าเด็กน่ะ เป็นเด็กดี แต่เราน่าจะดูเขาไปอีกสักพักนะ” สายอุษาแย้ง
อนิรุทธิ์พูดเสียงแข็ง
“ผมยังยืนยันคำเดิมครับ ว่าผมมีลูกชายเพียงคนเดียวคือทินภัทร และ ผมจะไม่ให้ใครมาแทนที่เขาเด็ดขาด”
ขณะเดียวกัน ป้าแก้วหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง
“แย่แล้วค่ะ แย่แล้ว บุญทิ้งค่ะ ช่วยบุญทิ้งด้วยค่ะ”
ทุกคนตกใจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
บุญทิ้งลงไปนอนที่พื้นเพราะอาการวิงเวียน อาเจียน และ ผื่นขึ้นตามตัว พิมกับธัญวิทย์ หันมามองด้วยความสะใจ คนอื่นๆ วิ่งกรูเข้ามาด้วยความตกใจ เติมบุญเข้าไปประคองบุญทิ้งด้วยความเป็นห่วง
“บุญทิ้ง เป็นยังไงบ้าง อนิรุทธิ์ รีบพาบุญทิ้งไปหาหมอเร็ว”
อนิรุทธิ์รีบเข้ามาดูอาการ
“อาการบุญทิ้ง ลักษณะเหมือนแพ้อะไรบางอย่าง บุญทิ้งแพ้อาหารหรืออะไรรึเปล่า”
“บุญทิ้งเค้าแพ้กุ้ง แต่แก้ว เธอจัดข้าวต้มหมูให้บุญทิ้งไม่ใช่เหรอ” สายอุษาถามอย่างสงสัย
“ใช่ค่ะ อิฉัน ตักข้าวต้มหมูให้คุณบุญทิ้งด้วยมือตัวเองเลย ไม่มีกุ้งปนไปแน่ๆ” ป้าแก้วยืนยัน
อนิรุทธิ์นึกออก
“แพ้กุ้งอาการเดียวกับผมเลย ผมมียาแก้แพ้อยู่พอดี เดี๋ยวไปเอามาให้บุญทิ้งกิน อาการก็จะดีขึ้นครับ”
อนิรุทธิ์ รีบวิ่งขึ้นไปเอายาแก้แพ้ สายอุษาหน้าเสีย
“บุญทิ้งเอ้ย น่าสงสารจริงๆ ไปทำอิท่าไหน ถึงกินกุ้งเข้าไปได้น่ะ”
“อิฉันว่าต้องมีใครสักคน ตั้งใจใส่กุ้งลงไปในถ้วยคุณบุญทิ้งแน่ๆ”
ป้าแก้ว พูดแล้ว ก็เหลือบมองทาง พิมกับธัญวิทย์ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
บุญทิ้งนอนนิ่งอยู่ในห้อง มีอนิรุทธิ์ คอยดูแลเช็ดตัวอยู่ข้างๆ บุญทิ้งค่อยๆลืมตาขึ้น
“ไง ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
บุญทิ้งพยายามยกมือขอโทษ
“ผมขอโทษครับ ที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ใครจะบังคับให้ตัวเอง แพ้หรือไม่แพ้อะไรได้ ฉันก็แพ้กุ้งเหมือนเธอนะ เคยกินเข้าไป แทบตายเหมือนเธอนี่แหละ”
“เลยอดกินของอร่อยๆอีกเลยใช่ไหมครับ”
อนิรุทธิ์ยิ้มด้วยความเอ็นดู
“นั่นสินะ เรามันคนมีกรรมเหมือนกัน”
บุญทิ้งมองไปรอบๆห้อง
“ห้องสวยจังเลยครับ นี่ห้องใครเหรอครับ”
“ห้องของทินภัทร ลูกชายของฉันเอง ทุกวันนี้ฉันยังให้คนเข้ามาทำความสะอาด ดูแลห้องนี้เสมอ เพราะฉันเชื่อว่า สักวันเค้าจะกลับมา”
อนิรุทธิ์พูดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด บุญทิ้งมองอนิรุทธิ์ ด้วยความสงสาร ในขณะเดียวกัน ก็สงสารตัวเองที่ไม่มีพ่อที่รักตัวเองได้อย่างนี้
ค่ำนั้น...ทุกคนนั่งอยู่บริเวณโซฟารับแขก เติมบุญ กับ สายอุษา พยายามหาความจริงว่าบุญทิ้งกินกุ้งเข้าไปได้ยังไง ปานดาวไม่พอใจมาก
“กะอีแค่เด็กจรจัด ไร้หัวนอนปลายเท้า คุณพ่อคุณแม่ ถึงขนาดโยนความผิดให้ธัญวิทย์ เลยเหรอคะ ธัญวิทย์ เป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลเรานะคะ”
เติมบุญมองหน้า
“เธอลืมไปแล้วมั้ง ว่าบ้านนี้ยังมีทินภัทรอีกคน”
“หลานชายที่หายสาบสูญ แล้วไม่มีวันกลับจะมีค่าอะไรคะ ยังไงดาวก็ไม่ยอม ธัญวิทย์ไม่ผิด แล้วไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น จริงไหมลูก”
“ผมเปล่านะ ไอ้ขอทานนั่น มันโง่กินกุ้งเข้าไปเองต่างหาก”
“แต่อิฉันไม่ได้เห็นอย่างนั้นนะคะ คุณบุญทิ้งกินของเค้าดีๆ แล้วก็ฟุบลงไปเลย แต่ตอนที่อิฉันไปเอาผลไม้ ก็เห็นอยู่ว่าแม่พิม พาคุณบุญทิ้งมาที่ครัว ตอนนั้นแหละมั้งคะ ที่คงมีใครใส่กุ้งลงไปในถ้วยคุณบุญทิ้ง” ป้าแก้วอธิบาย
ปานดาวโกรธเกรี้ยวชี้หน้า
“โกหก...เป็นคนใช้ แล้วกล้าแต่งเรื่องปรักปรำนายของตัวเองเชียวเหรอ แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่อง มันน่าตบสั่งสอน”
ปานดาวทำท่าจะปรี่เข้าไปตบป้าแก้ว สายอุษาพูดขึ้นเสียงเข้ม
“พอๆๆ อย่ามาใช้กำลังกันในบ้านนี้ ในเมื่อไม่ยอมรับผิดกัน ฉันขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ใครจะกลั่นแกล้งบุญทิ้ง หลังจากนี้ ห้ามใครแตะต้องอีก เพราะบุญทิ้งจะเข้ามาเป็นคนในครอบครัวเรา”
เติมบุญยิ้มด้วยความยินดีที่รู้ว่าสายอุษา ยอมรับบุญทิ้งแล้ว ปานดาวไม่พอใจ
“อะไรนะคะ นี่คุณพ่อคุณแม่ จะเอาไอ้เด็กนั่นเข้ามาอยู่ในบ้านนี้เหรอคะ พ่อแม่มันเป็นใคร เป็นโจรเป็นไพร่ที่ไหนก็ไม่รู้ จะให้มันเข้ามาอยู่บ้านเราได้ยังไง ดาวไม่ยอม”
เติมบุญมองหน้า
“ถ้าเธอยังเป็นอย่างนี้ ฉันว่า ให้บุญทิ้งมาอยู่สักอาทิตย์หน้าเลยดีไหม”
ปานดาวไม่ยอม
“คุณพ่อคะ ไอ้เด็กนั่นมันเหลือขอชัดๆ เกิดมันยกพวกมาขนข้าวขนของ ขนสมบัติ เราไปหมดจะทำยังไงกันคะ”
เติมบุญไม่ใส่ใจ
“เอ๊ะ หรือจะให้บุญทิ้งมาอยู่ซะวันพรุ่งนี้เลย”
“คุณพ่อ...นี่เห็นคนอื่นดีกว่าลูกแท้ๆ และหลานแท้ๆ ของตัวเอง ขนาดนี้เลยเหรอคะ ก็ได้ค่ะ ดาวบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าดาวไม่มีวันยอมรับไอ้เด็กนั่นเป็นอันขาด คอยดูนะ ดาวจะทำทุกอย่าง ให้มันกระเด็นออกไปจากบ้านหลังนี้ให้ได้”
ปานดาวพูดแล้วก็พาธัญวิทย์และพิมเดินออกไป สายอุษาทำท่าเหมือนจะเป็นลม เติมบุญส่ายหน้าด้วยความระอา
ปานฟ้าโทรศัพท์ไปหาภาคิน ไม่นานนักเขารับสาย...
“คุณภาคินเหรอคะ ฟ้านะคะ”
“ครับ คุณฟ้า มีอะไรรึเปล่าครับ”
“คือฟ้าจะโทรมาแจ้งคุณภาคินเรื่องบุญทิ้งหน่ะค่ะ พอดีว่าเกิดเรื่องที่บ้านนิดหน่อย บุญทิ้งเค้าแพ้กุ้งแล้วบังเอิญกินกุ้งเข้าไป เลยเกิดอาการแพ้ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วนะคะ คุณพ่อท่านอยากจะให้บุญทิ้งพักให้หายดีก่อน เลยจะขอให้บุญทิ้งค้างที่บ้านสักคืนคะ”
“รบกวนที่บ้านคุณฟ้ารึเปล่าครับ เดี๋ยวผมไปรับบุญทิ้งก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ บุญทิ้งเค้าป่วยก็เพราะมาที่บ้านฟ้า ก็ต้องดูแลให้หายดีก่อนถึงส่งกลับ ถ้าหายดีแล้ว คงต้องพาไปเที่ยวปลอบขวัญสักหน่อย”
“พาบุญทิ้งไปคนเดียวหรือครับ”
“ค่ะ พาบุญทิ้งไปคนเดียว”
“ใจร้ายจังเลย”
“ฟ้าเนี่ยเหรอคะ ใจร้าย ก็บุญทิ้งเป็นเด็ก”
“แล้วผู้ใหญ่ ไม่มีหัวใจเหรอครับ บางที ผู้ใหญ่บางคน ที่เจอปัญหาหนักๆ มากๆ ก็อยากเที่ยวบ้าง”
“งั้นก็ให้ ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด สนิทกันตั้งแต่เด็กๆ พาไปเที่ยวสิคะ แค่นี้นะคะ ฟ้าไม่กวนแล้ว”
“เดี๋ยวสิครับ คุณฟ้า...คุณฟ้า”
ปานฟ้ารีบวางหู ก่อนที่จะใจอ่อนกับเขาจากนั้นหยิบ ดอกไม้พันลวดที่เขาเคยให้ ขึ้นมา
วันใหม่...ก้องภพ จอดรถสปอร์ตสุดหรู แล้วเดินตัวปลิวเข้าบ้านเติมบุญ ในขณะที่ปานฟ้า กำลังจะออกบ้านไปกับบุญทิ้ง ซึ่งยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง
“ฟ้า ผมมาได้จังหวะพอดีเลยใช่ไหมครับ นี่ผมกำลังจะมารับคุณฟ้าไปหาอะไรทานอร่อยๆพอดีเลยครับ”
“คงไม่ได้ค่ะ พอดีฟ้ามีธุระ จะต้องพา...”
บุญทิ้งเดินออกมายืนข้างๆ ก้องภพเห็นก็แปลกใจ
“อ้าว ไอ้เด็กนี่ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงอ่ะฟ้า”
“บุญทิ้งแวะมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ค่ะ แล้วเมื่อคืนก็ค้างที่นี่”
“เดี๋ยวนี้เลื่อนขั้นมาเป็นคุณหนูบ้านนี้เชียวเหรอ เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า เอาเข้าบ้านระวังๆหน่อยก็ดีนะฟ้า”
“ฟ้าว่า...ฟ้ารู้จักบุญทิ้งเค้าดีนะคะ ดีกว่าใครบางคนซะอีก ฟ้าไม่มีเวลาจะคุยด้วยนะคะ ต้องพาบุญทิ้งไปส่งที่มูลนิธิ”
ก้องภพหน้าเจื่อนแต่ไม่ยอมแพ้
“เดี๋ยวๆสิครับฟ้า ไหนๆผมก็มาแล้ว ให้ผมไปส่งเด็กบุญทิ้งเป็นเพื่อนนะครับ”
“อย่าดีกว่าค่ะ ฟ้าไม่อยากรบกวน”
“ผมว่าจะไปเจอไอ้ภาคินมันหน่อย ตั้งแต่เกิดเรื่องฉาวโฉ่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง ได้ข่าวว่ามันมี เซเลบสาวสวย มาช่วยดูแล จริงรึเปล่า”
ปานฟ้าหน้าตึงโดนจี้ใจดำ
“ไม่ทราบ ไม่ชอบสนใจเรื่องคนอื่น”
ก้องภพเห็นปานฟ้า ทำพูดถึงภาคินอย่างมึนตึง ก็แอบยิ้มพอใจ
ปานฟ้า บุญทิ้ง และ ก้องภพ เดินเข้าไปในมูลนิธิ ซึ่งขณะเดียวกันนั้นภาคินเดินออกมาพอดี บุญทิ้งเห็นภาคินรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความดีใจ
“พี่ภาคิน”
“เป็นไงบ้าง หายดีแล้วใช่ไหม”
“ครับ ครอบครัวพี่ฟ้า ดูแลผมเป็นอย่างดีเลยครับ”
ชายหนุ่มพยายามสบตา แต่หญิงสาวหลบตา
“ขอบคุณมากๆ นะครับคุณฟ้า”
ก้องภพรีบตัดบท
“เป็นไงมั่ง ผู้ต้องหา ยังดูสบายดีอยู่เลยนี่”
“ฉันเป็นแค่ผู้ที่ถูกกล่าวหา แต่ไม่ต้องห่วงนะ อีกไม่นานคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะต้องจำนนต่อหลักฐานแน่ๆ”
ก้องภพอารมณ์เสียไม่พอใจที่ถูกจี้ แถมภาคินพูดถึงหลักฐาน จึงยิ่งทำเป็นโกรธเพื่อเลี่ยง
“หลักฐานอะไรของแก ทำเรื่องให้ตัวเองเสียยังไม่พอ นี่ทำเสื่อมเสียไปถึงครอบครัวฉันอีก แกรู้มั้ย เรื่องชั่วๆ ของแก ทำให้คุณพ่อคุณแม่ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”
“ท่านไม่รู้จะเอาหน้าไว้ที่ไหนแน่ ถ้ารู้ว่าเรื่องชั่วๆที่ว่า เป็นฝีมือของใคร”
“ของใคร พูดมาให้ดีๆ นะเว้ย โธ่เอ๊ย ไอ้ลูกเมียน้อย ทำชั่วแล้วยังไม่ยอมรับ สันดาน...เหมือนแม่แก”
ภาคินโดนจี้จุดเรื่องแม่ โกรธสุดขีด พุ่งไปตะบันหน้าก้องภพหนึ่งที ก้องภพอยากจะสวนแต่แกล้งทำสำออย เพื่อขอความเห็นใจจากปานฟ้า ปานฟ้ารีบวิ่งไปประคองก้องภพ
“ก้อง เป็นยังไงบ้างคะ คุณภาคินทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย”
“นี่ยังน้อยไป แกจะดูถูกฉันแค่ไหนฉันไม่ว่า แต่แก ไม่มีสิทธิ์มาว่าแม่ฉัน”
ก้องภพรีบหันไปอ้อนปานฟ้า
“ฟ้าเห็นแล้วใช่ไหม พูดนิดพูดหน่อยทำของขึ้น ต้องใช้กำลัง นับวันมันยิ่งเหมือนหมาบ้า ภาคินกำหมัดแน่น ขยับตัว อยากจะเข้าไปกระซวกอีกสักที
“พอค่ะ พอได้แล้ว ก้องเค้าเป็นน้องของคุณนะคะ ทำกันขนาดนี้ ฟ้าว่า มันมากเกินไปแล้ว ฟ้าผิดหวังในตัวคุณจริงๆ”
ภาคินเสียใจกับคำพูดของหญิงสาว ก้องภพทำสำออยร้องเจ็บแผล ปานฟ้าดูด้วยความเป็นห่วง
“เราไปกันเถอะ เดี๋ยวฟ้าพาไปทำแผล”
ปานฟ้าประคองก้องภพ ที่ทำเป็นเจ็บเดินออกไป ก้องภพ หันมามองภาคินแล้วแสยะยิ้มให้อย่างผู้ชนะ ภาคินมองตาม ทั้งโกรธ และ เสียใจ
เฟื่องแก้วนั่งทำแผลที่มือให้ ภาคินมีอาการเหม่อลอย ไม่แสดงอาการเจ็บสักนิด
“นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วคะ ที่วางหมัดกัน เฮ้อ...น้องชายคุณภาคินนี่ช่างหาเรื่องมากวนใจได้ตลอดเลยนะคะ เสียดายที่แก้วไม่อยู่ด้วยไม่งั้นได้เจอแก้วฟาดปากเข้าให้อีกคน”
ตุลย์โผล่เข้ามาพอดี
“ใครฟาดปากใครคร้าบ หรือจะเอาปากมาฟาดกับปากผม ก็มิว่านะครับ”
ตุลย์พูดแล้วก็ยื่นหน้ายื่นตาใส่ เฟื่องแก้ว เอาสำลีชุบยาจิ้มปากเข้าให้
“ทะเล้น”
ตุลย์สะดุ้ง
“อูยย ปากเค้าไม่ได้เป็นแผลน๊า เอ้าคุณภาคินไปซ้อมมวยกับใครมาอ่ะ”
“ก้องภพ”
“เฮ้ย...มันมาถึงนี่เลยเหรอเนี่ย แล้วเป็นไง”
“จะเป็นไงคะ ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ไง คุณภาคินก็เสยปากเข้าไปทีแล้วตัวเองก็มาเจ็บแผลอยู่เนี่ย”
ตุลย์สะใจ
“มันต้องอย่างนี้สิ แล้วไง มันยอมรับรึยังเรื่องเด็กสายฝนอ่ะ”
“ผมพูดถึงนิดหน่อย แต่มันทำเฉไฉ”
“คนอย่างนั้น ต้องมีหลักฐานเต็มหน้าตัก ถึงจะยอมรับ ไอ้นี่เจ้าเล่ห์มาก ต้องจัดหนักให้สักวัน”
เฟื่องแก้วเบ้ปากหมั่นไส้
“เก่งจริงๆ เล้ย คุณตำรวจ แล้วไหนล่ะคะ หลักฐานที่ว่า เหมือนแก้วจะเห็นแต่หลักแถนะ”
“หูยย คุณแก้วคนสวย พอดีตอนนี้ผมมีแต่หลักฐานที่จะมัดใจคุณแก้วแค่นั้น จะเป็นไรไหมครับ”
“เป็นค่ะ...เป็นเอามากนะคะหมวด เลิกเล่นได้แล้ว คุณภาคินเค้ายิ่งกังวลอยู่ ยังจะล้อเล่นอยู่ได้”
“เอาน่าเรื่องนายก้องภพเนี่ยเป็นศึกนอก ต้องใช้เวลา แต่ศึกใน อย่างเรื่องเด็กๆ สิน่าห่วง เพราะตอนนี้สายรายงานมาว่า แก๊งลักเด็กมันยังอาละวาดไม่เลิกนะ”
“ไอ้พวกหากินกับเด็ก เมื่อไหร่มันจะหมดๆ ไปสักทีนะ ฉันก็เป็นห่วงเด็กที่มูลนิธิเหมือนกัน”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวที่นี่ฉันจะให้สายตรวจแวะมาบ่อยๆ ส่วนพวกเราเองก็ต้องคอยสอดส่องดูแลเด็กๆของเราให้ดี”
เฟื่องแก้วรับคำ
“ค่ะ แก้วจะคอยดูแลเด็กๆ ให้ดีที่สุด ไม่ให้ใครคลาดสายตาเลยค่ะ”
ตุลย์ ทำหน้าหยอก เฟื่องแก้วทำตาขวางรำคาญ ภาคินหน้าเครียดเป็นกังวลกับเรื่องต่างๆที่จะเกิด
ก้านกับพ่วง ตั้งวงดื่มสุรากันในห้องเช่า พ่วงจ้วงกินกับข้าว ไม่ยั้ง ก้านมองอย่างขัดใจ
“เฮ้ยๆ ๆ เบาๆ หน่อย กินแต่กับ มันเปลืองนะโว้ย”
“โธ่ ทำหวงกิน นี่ถ้าข้าได้เงินก้อนใหญ่เมื่อไหร่ จะปิดคาราโอเกะกินมันสิบวัน สิบคืนคืนไปเลย”
“ปิดเพราะพ่อเอ็งมาจับรึไง ถึงปิดซะนานเลย...ข้าเห็นเอ็งโม้มาหลายทีแล้ว เรื่องไอ้เงินก้อนโตเนี่ย ไม่เคยเห็นสักแดง”
“เร็วๆ นี้แหละพี่ก้าน คราวนี้ไม่ใช่แค่เงินก้อนโต แต่จะโตมหาศาล ไอ้พ่วงจะปิดบ้านเศรษฐี ปล้นมันเลย” พ่วงบอกอย่างมุ่งมั่น
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นพิมโทรมาหาก้าน เขาจึงพูดเรื่องบุญทิ้งให้ฟัง
“หา...อะไรนะ...ไอ้เด็กบุญทิ้งน่ะเหรอ...ฮ่าๆๆ ฉันว่าแล้วไอ้เด็กนี่มันไม่ธรรมดา ทำตีหน้าใสซื่อ ที่แท้ก็เป็นพวกแก๊งขอทานต้มตุ๋นเก่า หึหึ ไม่ต้องห่วงนะพี่ เดี๋ยวทางนี้ฉันเปิดทางให้เอง มันน่ะเป็นตัวขัดลาภ ธัญวิทย์ลูกเรารู้มั้ย...ใช่...บอกไอ้พ่วงให้มารีบจัดการเลย จะเอามันไปต้มยำทำแกง หรือ ไปทำอะไรที่ไหนก็ตามใจ ให้มันไปให้พ้นๆ”
พิมวางสาย แล้วหัวเราะอย่างสะใจ
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้บุญทิ้ง เอ็งไม่รอดแน่”
ปานฟ้าไปรับภาคิน กับบุญทิ้งมาพบเติมบุญที่บ้าน เมื่อมาถึงเติมบุญซึ่งนั่งอยู่กับสายอุษา บอกจุดประสงค์ทันที
“ที่ต้องกวนคุณมาวันนี้อีกครั้ง เพราะฉันตัดสินใจแล้วว่าจะรับบุญทิ้ง มาอุปการะ”
“บุญทิ้ง เป็นเด็กดี ฉันอยากให้มาด้วยกันซะที่นี่ เพราะอีกไม่นาน ปานเดือนก็จะกลับมาพักที่บ้านแล้วเหมือนกัน” สายอุษายิ้มให้บุญเติม
“ถ้าท่านเอ็นดู บุญทิ้ง ไม่ติดใจว่ามีที่มายังไง ก็คงไม่มีปัญหาครับผม ขอเวลาดำเนินการ งานเอกสารให้ถูกต้องสักพัก ช่วงนี้คงให้บุญทิ้งมาที่นี่บ่อยๆ ให้เขาค่อยๆปรับตัว” ภาคินบอกถึงขั้นตอนการทำงาน
บุญเติมหันไปยิ้มให้บุญทิ้ง
“ไงบุญทิ้ง อีกไม่นาน จะได้มาอยู่ด้วยกันที่นี่แล้วนะ อยากมาอยู่ด้วยกันไหม”
บุญทิ้งยิ้มหวานให้ปานฟ้า แล้วคลานไปกราบที่ตัก เติมบุญกับสายอุษา
“ขอบคุณ...ท่านทั้งสองครับ”
เติมบุญลูบหัวอย่างเอ็นดู
“เรียกตา กับ ยาย ได้แล้ว จะให้เรียกพ่อ เรียกแม่ ก็เขินเกิน หัวหงอกขนาดนี้ ยังจะมีลูกคราวหลาน ฮ่าๆ”
สองตายายหัวเราะด้วยความสบายใจ เติมบุญหยิบถุงของขวัญให้เด็กชาย
“อ่ะนี่...ของรับขวัญ สมาชิกคนใหม่”
บุญทิ้งรับถุงของขวัญไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณครับ คุณตา ขอบคุณครับ คุณยาย”
“แกะเลย ดูซิ ชอบไหม” สายอุษาบอกอย่างยิ้มแย้ม
บุญทิ้งดึงชุดอุลตร้าแมนออกจากถุง ตาเป็นประกาย ด้วยความดีใจและตื่นเต้น
“แปลงร่างได้เลยนะ บุญทิ้ง”
ขณะเดียวกันนั้นธัญวิทย์ กับ พิมเข้ามาเห็นพอดี จึงปรี่เข้ามาดึงชุดไปจากมือบุญทิ้ง
“ไอ้ขอทาน เอามา นี่ของฉัน”
“ธัญวิทย์ อย่าทำอย่างนั้นสิคะ นี่คุณตาซื้อให้บุญทิ้งนะ” ปานฟ้าปราม
ธัญวิทย์ไม่พอใจ
“แล้วของผมล่ะคุณตา ของผมอยู่ไหน ทำไม ให้ไอ้ขอทานสกปรกนี่คนเดียว คุณตาลำเอียง ผมจะฟ้องแม่”
ธัญวิทย์ขว้างชุดอุลตร้าแมนใส่หน้าบุญทิ้ง เติมบุญไม่ชอบใจนัก
“ธัญวิทย์ ถ้าหลานพูดกับตาดีๆ ตาก็อาจจะมีให้เหมือนกันนะ ไหนลองพูดกับตาดีๆก่อนสิ”
ธัญวิทย์หน้าง้ำ พิมรีบสะกิดเตือน
“ขอคุณตา ดีๆสิคะ คุณวิทย์”
ธัญวิทย์จำต้องพูดดี
“ขอของผมด้วยคนสิครับคุณตา”
เติมบุญหยิบอีกถุงขึ้นมา ธัญวิทย์เห็นเข้า วิ่งเข้าไปกระชากถุงจากมือ โดยไม่ขอบคุณ กระชากถุงจนขาด ดึงชุดหน้ากากเสือออกมา
“เย้ ของฉันก็มี เป็นหน้ากากเสือด้วย ไม่กระจอกเหมือนของแกหรอก ไอ้ขอทาน”
ปานฟ้าไม่ชอบใจคำพูดของหลานนัก
“เรียกบุญทิ้ง ให้ดีได้ไหม ธัญวิทย์ เค้าไม่ใช่ขอทาน เรียกเค้าว่าบุญทิ้งเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นน้าฟ้า จะยึดชุดคืนนะ”
ธัญวิทย์ไม่สน มองบุญทิ้งอย่างเหยียดหยาม
“ก็มันเป็นขอทาน แล้วน้าฟ้าจะให้เรียกอะไร ไอ้ขอทานๆๆๆ”
สายอุษาโมโห
“ธัญวิทย์ ยายชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ ถ้ายายโกรธ จะชุดนี้ หรือสมบัติ อื่นๆยายก็จะไม่ให้แก กับ แม่แก เลยนะ”
พิมตกใจรีบบอกธัญวิทย์
“คุณวิทย์คะ รีบขอโทษคุณตาคุณยายสิคะ แล้วเรียกเด็กขอ เอ่อ...บุญทิ้ง ด้วยค่ะ นะคะ”
ธัญวิทย์พูดแบบไม่เต็มใจ
“ก็ได้...ไอ้บุญทิ้ง”
พูดจบ ก็เอาชุดหน้ากากเสือ วิ่งออกไปจากห้องรับแขก สายอุษาถอนใจอย่างหนักใจ
“หลานคนนี้ กิริยาท่าทาง ไม่รู้ไปได้เชื้อใครมา ไม่มีความเป็น อัครดำรงกุล สักนิด เฮ้อ”
พิมได้ยิน ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ แล้วสะบัดหน้าเดินตามธัญวิทย์ไป เติมบุญหันไปหาภาคิน
“คุณภาคิน อย่ากังวลไปนะ เด็กๆก็คงต้องใช้เวลาปรับตัวกันสักพักอีกไม่นาน ก็วิ่งเล่นกันได้แล้ว”
“ครับ”
ภาคินยิ้มรับ แม้ในใจจะกังวลกับสิ่งที่บุญทิ้งจะต้องเผชิญ ปานฟ้ามองอย่างกังวลใจเช่นกัน
ปานฟ้าเดินออกมายืนครุ่นคิดอยู่ที่สวน ภาคินเดินเข้ามาพูดคุยด้วย
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน ขอผมคุยอะไรด้วยสักครู่ได้ไหมครับ คุณฟ้า”
“เดี๋ยวนี้จะคุยกัน ต้องเป็นทางการขนาดนี้เลยเหรอคะ”
ภาคินยิ้มน้อยๆ
“ผมยังไม่ค่อยสบายใจ ที่บุญทิ้งจะต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ ผมรู้ว่าบุญทิ้งเป็นเหมือนตัวตายตัวแทนทินภัทร ถ้าสักวันหนึ่ง ทินภัทรกลับมา ผมเกรงว่าบุญทิ้ง จะ...”
ยังพูดไม่จบ หญิงสาวขัดขึ้น
“คุณภาคินคะ คุณพ่อ คุณแม่ ท่านเอ็นดูบุญทิ้งมากนะคะ ท่านทราบดีค่ะเรื่องทินภัทร ท่านถึงขอรับบุญทิ้งเป็นบุตรบุญธรรมของท่านเอง เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อน และ ถ้าวันหนึ่งทินภัทรกลับมา ฟ้าเชื่อว่า พวกเราทุกคนก็จะยังรักบุญทิ้งเหมือนเดิม”
“กลัวว่าถึงตอนนั้น จะยังไม่เหมือนเดิมสิครับ บุญทิ้งจะทำใจไม่ได้ที่ต้องกลายเป็นส่วนเกิน ก็คงเหมือนผู้ใหญ่อย่างเรา...ที่อกหักมั้งครับ”
“พูดอย่างกับเคยอกหักอย่างนั้นแหละค่ะ”
ชายหนุ่มจ้องต้องตา
“ผมก็แค่คิดแทน กับสิ่งที่บุญทิ้งอาจจะต้องเจอ”
หญิงสาวรีบหลบตา
“ถ้าเราพยายามพูดและอธิบายถึงฐานะที่แท้จริง ฟ้าเชื่อนะคะ ว่าบุญทิ้งจะต้องเข้มแข็ง และ เข้าใจ”
“เป็นเด็กก็ดีอย่างนี้ล่ะครับ เจ็บ...ไม่นานก็หาย ไม่เหมือนผู้ใหญ่”
ปานฟ้าเลี่ยงไม่สบตาเขา ก้มลงไปเห็นมือของเขาที่ยังเป็นรอยแผลที่ชกหน้าก้องภพวันก่อน
“แผลที่มือ คุณภาคิน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเล็กน้อยมาก ถ้าเทียบกับความเจ็บในใจ”
“ฟ้า...”
“ผมต้องขอโทษคุณฟ้าด้วยนะครับที่วันนั้น ทำตัวไม่ดีต่อหน้าคุณ”
“ฟ้าแค่...”
เสียงธัญวิทย์ เล่นกับ บุญทิ้ง ดังลั่นขัดจังหวะขึ้น
“มาเลยไอ้ขอทาน ไอ้ขี้เรื้อน แกตายแน่ๆๆ”
บุญทิ้งในชุดอุลตร้าแมน วิ่งวนหลบไปมารอบๆตัว ภาคินกับ ปานฟ้าโดยมี ธัญวิทย์ในชุด หน้ากากเสือ วิ่งไล่ไปรอบๆ ปานฟ้าหันไปเตือน
“หลานๆเล่นกันระวังๆด้วยนะคะ”
“พี่ภาคิน ช่วยผมด้วยๆๆ”
บุญทิ้งหลบไปมา หัวเราะไปด้วยความสนุกสนาน ภาคินหัวเราะไปด้วยและหันไปสบตากับปานฟ้าที่หัวเราะเช่นกัน จนหยุดยิ้มให้กันอย่างเขินๆ
ขณะเดียวกัน พิมเปิดประตูหลังบ้าน พ่วงค่อยๆย่องเข้าบ้าน
“ไม่ได้เจอกันนาน ยังหากินกับเด็กไม่เปลี่ยนเลยนะ งานนี้อย่าให้พลาด”
“เออน่า นังพิม ไม่ต้องมาห่วงข้าหรอก แล้วไหนไอ้ทิ้ง”
“โน่นๆๆ วิ่งเล่นอยู่ไกลๆโน่นเห็นไหม ที่ใส่หน้ากากขาวๆน่ะไอ้ตัวนั้นแหละ และอย่าลืม ขอให้เงียบ และเรียบร้อยที่สุด เข้าใจไหม มีอะไรขึ้นมา อย่าปากโป้งว่าข้ามีเอี่ยวนะโว้ย”
“เออน่า มือชั้นนี้แล้ว”
พิมพูดเสร็จรีบเดินไปจากมุมนั้น พ่วงใส่หมวกไอ้โม่งพลางใบหน้าเตรียมตัว
บุญทิ้งวิ่งไล่กับธัญวิทย์อยู่ในสวน อย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก ธัญวิทย์พยายามหาทางแกล้ง บุญทิ้งให้เจ็บตัวจริงแต่บุญทิ้งหลบได้หวุดหวิดทุกครั้ง บุญทิ้งวิ่งไปมาในสนามหญ้า ธัญวิทย์วิ่งไล่จวนจะถึงตัว แต่สะดุด ก้อนหินล้มเองก่อน บุญทิ้งหันมายิ้มขำขัน แล้วเข้าไปประคองธัญวิทย์ขึ้น ธัญวิทย์เลยกระชาก บุญทิ้งให้ล้มด้วย บุญทิ้ง กลิ้งไปมาบนสนาม หัวเราะแบบสนุกสนานตามประสาเด็กที่เล่นสู้กัน
บุญทิ้งหลบไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ธัญวิทย์เห็นพุ่งตัวเข้าไปหมายจะจับ แต่บุญทิ้งหนีทัน ธัญวิทย์โกรธมาก เลยเขย่าต้นไม้ด้วยความโกรธ ปรากฏว่า รังมดแดงตกลงมา ทำให้มดแดงตกใส่ตัว ธัญวิทย์รีบโวยวาย ถอดหน้ากากเสือออก ขว้างทิ้ง ด้วยความไม่พอใจ บุญทิ้งเห็นธัญวิทย์ โดนมดกัด เลยรีบเข้าไปดึงตัวให้พ้นจากใต้ต้นไม้ จะได้ไม่โดนมดกัดมากนัก ธัญวิทย์ ถือโอกาสนี้ กระชากหน้ากากอุลต้าแมนของ บุญทิ้งมาใส่เอง แล้ววิ่งหนีไปอย่างสะใจ บุญทิ้งเสียดายหน้ากากของตัวเอง แต่ยังนึกสนุก เลยไปหยิบ หน้ากากเสือ ของธัญวิทย์ที่ตกอยู่ มาปัดฝุ่นดินและมดทิ้งมาใส่ แล้วทำท่าไล่ล่า ธัญวิทย์แทน
พ่วงยืนดูอยู่ไกลๆ เปิดหน้าไอ้โม่ง หรี่ตามองเด็กๆทำหน้างุนงง
“ไหนวะ ไอ้ทิ้ง หน้ากากขาวๆๆ ใช่มันรึเปล่าวะนั่น ตาก็ไม่ค่อยจะดีนะกูเนี่ย นั่นไง นั่นแน่ๆเลย มาทางนี้สิลูก มาทางนี้ มาหาพ่อมา”
พ่วงดึงหมวกไอ้โม่งปิดหน้า ธัญวิทย์สวมหน้ากากอุลตร้าแมนวิ่งหลบ บุญทิ้งที่ใส่หน้ากากเสือ ธัญวิทย์หลบได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะคุ้นเคยกับบ้านของตัวเอง จนหลบมาถึงมุมลับตาคน ที่สวนหลังบ้าน บุญทิ้งวิ่งตามหาไม่เจอ จนเดินเลยผ่านไป พ่วงที่ดูเหตุการณ์อยู่ เห็นเด็กใส่หน้ากากอุลตร้าแมน เข้ามาใกล้ตัว คิดว่าเป็นบุญทิ้งแน่ๆจึงถือโอกาส วิ่งเข้าไปอุ้ม แล้วเอามืออีกข้างปิดปากกันเสียงร้องธัญวิทย์ ดิ้นด้วยความตกใจ
“อย่าดิ้น สิวะ ไอ้บุญทิ้ง”
บุญทิ้งได้ยินเสียง รีบวิ่งย้อนไปดู เห็นธัญวิทย์ โดนอุ้มไป ยืนตะลึงด้วยความตกใจ
อ่านต่อหน้า 2
ดุจดาวดิน ตอนที่ 8 (ต่อ)
บุญทิ้งเดินใส่หน้ากากเสือ เข้ามาในบ้าน ถอดหน้ากากออก ด้วยอาการหวาดกลัวเติมบุญหันไปมอง
“อ้าว บุญทิ้งเองเหรอ ทำไมแปลงร่างกลายเป็นหน้ากากเสือไปแล้วล่ะ”
พิมเดินฮัมเพลงมาถึงกับสะดุด ตะลึง วิ่งไปกระชากบุญทิ้ง ให้หันกลับมาดูหน้า พิมตกใจสุดขีด
“เฮ้ย แล้วๆๆ คุณธัญวิทย์ล่ะ คุณธัญวิทย์ ตายแล้วๆๆ คุณธัญวิทย์ ถูกลักพาตัวไปแล้วแน่ๆ”
ปานดาวกับภูวดลเดินเข้ามาพอดีแปลกใจ
“นี่เธอพูดอะไรของเธอน่ะ นังพิม ลูกฉันจะถูกลักพาตัวไปได้ยังไงบ้ารึเปล่า แล้วธัญวิทย์อยู่ไหนแล้วเนี่ย”
พิมหน้าตื่น
“ก็นี่ บุญทิ้ง แล้ว แล้ว...”
ภูวดลชักสงสัย
“เป็นอะไรไปน่ะพิม รีบไปตามธัญวิทย์มาสิ”
พิมรีบผลุนผลันออกไปด้วยความตื่นตกใจ คนอื่นๆแปลกใจกับท่าทีของพิม
พิมเดินมาอย่างเร็ว หามุมปลอดคน มือไม้สั่นกดโทรศัพท์มือถือหาพ่วงด้วยความเป็นห่วงธัญวิทย์มาก
“ไอ้พ่วงเอ้ย ไอ้โจรกระจอก เอ็งรู้ไหมว่าเอ็งจับใครไป”
พ่วงอยู่ในรถ รับโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด เพราะธัญวิทย์ยื้อมือพ่วงไปมา พยายามจะกัด พ่วงทำหน้าดุใส่จนธัญวิทย์กลัวรีบปล่อยมือ
“ก็เออสิว่า ไหงเป็นหยั่งนี้ได้ ข้ายังงงอยู่เลยเนี่ย” พ่วงจับหน้าธัญวิทย์บิดไปมาอย่างพิเคราะห์ “แต่ข้าว่า...ไอ้เด็กนี้ก็ไม่เลวนะโว้ย ท่าจะขายได้ตังค์โขอยู่ ผิวพรรณลูกผู้ดีเหลือเกิน”
พิมมือสั่น
“ไอ้พ่วง...ถ้าเอ็งแตะคุณวิทย์แม้แต่นิดเดียวปลายเล็บ ได้เห็นดีกันแน่...ปล่อยเด็กคนนั้นเดี๋ยวนี้”
พ่วงงงๆ เพื่อนคนขับรถหันมามองจากกระจกมองหลัง
“มันบอกให้ปล่อยว่ะ”
“เอ้า...จับมาแล้วปล่อยก็เสียของสิพี่ หน้าตาแบบนี้ตัดแขนตัดขาสะหน่อย นั่งขอทาน รับรองหาตังค์ได้บาน”
พิมได้ยินพ่วงพูดกับคนขับ โกรธแทบคลั่ง
“เอ็งอย่าทำอะไรบ้าๆ นะโว้ย...นั้นมันลูก...ลูก...”
“ลูกใคร...ลูกเอ็งหรือไงวะ ถึงได้เป็นเดือดร้อนนัก”
พ่วงไม่สนใจกดโทรศัพท์ทิ้ง หันมาลูบหัวธัญวิทย์อย่างหมายหมาด ธัญวิทย์ตวาด
“เอามือสกปรกออกไปนะ แหวะ เหม็นจะตาย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ บอกให้ปล่อย ฉันหลุดไปได้ พวกแกตายแน่”
ธัญวิทย์ดิ้นอย่างแรงแก้เชือก พ่วงจับไว้แทบทนแรงดิ้นไม่ไหว เพื่อนคนขับหันมอง
“มีขู่ด้วยโว้ย...ด่าเก่งนัก จับมันตัดลิ้นเลย”
พ่วงหันมามองธัญวิทย์หน้าเหี้ยม แล้วหยิบมีดขึ้นมา ธัญวิทย์มองตาเหลือก รีบเอามือปิดปากแน่น กลัวโดนตัดลิ้นจริงๆ พ่วงหัวเสียครุ่นคิดว่าเอาไงดี
“จอดโว้ย จับไอ้นี่มาไม่รู้จะได้ตังค์ป่าว ข้ายิ่งร้อนเงินอยู่ เดี๋ยวแผนใหญ่เสียหมด ไว้เหมาะๆค่อยกลับไปรวบไอ้ทิ้ง”
เพื่อนคนขับหัวเสีย มิวายต้องจอดรถข้างทาง ก่อนปล่อยตัวธัญวิทย์ พ่วงหันไปขู่
“จำไว้นะไอ้หนู อย่าเที่ยวไปปากสว่าง บอกใครว่าถูกจับตัวมา ไม่งั้น ตัวเอ็ง แม่เอ็ง พ่อเอ็ง” พ่วงทำท่าเอามือปาดคอ “ตาย!”
รถจอดข้างทาง ธัญวิทย์ถูกโยนลงมาจากรถ กลิ้งลงคูน้ำครำ เด็กชายรีบลุกขึ้นมาเนื้อตัว หน้าตาเลอะเทอะไปหมด ทำหน้าจะร้องไห้
พิมหน้าเสียเป็นห่วงธัญวิทย์มาก วิ่งออกมาหน้าบ้าน วิ่งผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้จะไปทางไหน มือกดโทรศัพท์หาพ่วงอย่างร้อนใจ
“ลูกแม่...ตาวิทย์เอ้ย...จะเป็นอะไรไหมเนี่ย...ไอ้บ้าพ่วงมาปิดโทรศัพท์อะไรตอนนี้วะ”
ภูวดลที่แอบมองดูอาการของพิม เดินเข้ามาขัดจังหวะ
“ฝีมือเธอใช่ไหม”
“พี่ภู จุ๊ๆ เบาๆสิพี่ ฉันให้มันมาจับไอ้เด็กบุญทิ้ง แต่มันดันจับผิดตัวหิ้ว ลูกฉันไป”
ภูวดลหน้าตึง
“ลูกฉัน ไม่ใช่ลูกแก แล้วทีนี้เอาไง ทำอะไรไม่รู้จักปรึกษากันก่อน”
“ใครจะรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวไอ้พ่วงมันก็จะเอาลูก เอ่อ...ธัญวิทย์กลับมาแล้ว พี่ก็ทำเงียบๆไปด้วยล่ะ”
“แกทำเรื่องขนาดนี้ จะให้ฉันไปป่าวประกาศบอกใคร รีบจัดการให้เรียบร้อย ก่อนที่คนอื่นจะสงสัยมากกว่านี้”
ภูวดลพูดจบเดินจากไป พิมรีบเดินออกจากบ้านไปทันทีอย่างกังวลใจ
ธัญวิทย์ลุกยืนสองขายังอยู่ในน้ำครำ มองดูตัวเองที่เสื้อผ้าเลอะน้ำครำ เอาต้นแขนมาดมทำหน้าเบ้ เหม็นกลิ่นน้ำครำน่ารังเกียจ
“แหวะ...เหม็นจะอ้วก”
ธัญวิทย์สะบัดน้ำครำจากแขน พิมวิ่งมาแต่ไกล มองเห็นธัญวิทย์ในคูน้ำข้างทาง แต่เนื้อตัวและใบหน้าธัญวิทย์เลอะเทอะไปหมด พิมจำไม่ได้พยายามสังเกตว่าเป็นใคร จดๆจ้องๆอยู่ ธัญวิทย์เห็นพิมดีใจ แต่พิมไม่ลงมาช่วยตัวเองก็โมโห
“นังพิม ยังไม่มาช่วยฉันอีก ยัยโง่เอ้ย”
พิมยิ้มอย่างดีใจ
“โธ่...คุณวิทย์ของพิม...ลูกแม่...”
“ใครลูกแก...ยัยบ้า มาช่วยฉันเร็วๆสิ เหม็นจะแย่แล้ว”
พิมพยายามเอื้อมมือให้ธัญวิทย์จับ แล้วดึงขึ้นจากคูน้ำ เอาเข้ามากอดอย่างไม่คิดรังเกียจ
“เป็นอะไรมากไหมลูกแม่ พิมเป็นห่วงคุณวิทย์มากนะคะ” พิมจับเนื้อตัวธัญวิทย์ “เจ็บตรงไหนไหมลูก”
ธัญวิทย์สะบัดตัวออกห่างจากพิม ไม่วายทำจมูกย่นเหม็นน้ำครำ
“ตัวเหม็นจะตาย...กอดลงได้ไงเนี่ย...พาฉันกลับบ้านเร็วแหวะ...เหม็นจนจะอ้วกอยู่แล้ว...แกล้างตัวให้ฉันด้วยนะนังพิม”
พิมพยักหน้า ยิ้มดีใจ รีบจูงมือธัญวิทย์กลับบ้าน
ปานดาวร้อนใจ เดินวนไปมาไม่เป็นสุข ที่พิมหายไปตามหาธัญวิทย์นาน คนอื่นๆพากันเป็นกังวล
“นังพิมทำไมหายไปนานนักนะ หรือว่าจะตามหาธัญวิทย์ไม่เจอหรือว่า ธัญวิทย์ จะถูกลักพาตัวไปจริงๆ ไม่จริงนะคะ ไม่จริงลูกดาวต้องไม่เป็นอะไรนะคะ”
“คุณใจเย็นๆก่อนเถอะน่า พิมคงกำลังตามหาลูกเราอยู่ แกอาจจะซนไปอยู่ที่ไหนก็ได้”
สายอุษาว่า ปานฟ้าเห็นด้วย
“ใช่ค่ะ เมื่อกี้ฟ้ายังเห็นแกวิ่งเล่นกับบุญทิ้งอยู่เลย สงสัยคงเล่นซ่อนหา และคงหลบอยู่ที่ไหนสักที่”
ปานดาวหันไปต่อว่าบุญทิ้ง
“เพราะแกคนเดียว ไอ้เด็กขอทานโสโครก แค่มาเหยียบบ้านฉันไม่กี่ครั้ง ก็ทำให้บ้านวุ่นวายไปหมดแล้ว”
เติมบุญไม่พอใจ
“ยัยดาว อย่าไปโทษเด็ก เดี๋ยวธัญวิทย์ก็คงกลับมา”
พิมพาธัญวิทย์ ที่ตัวมอมแมม เข้ามาในบ้าน ธัญวิทย์เห็นปานดาว รีบวิ่งเข้าไปกอดทั้งๆที่มอมแมม
“คุณแม่”
“ลูกแม่ หายไปไหนมาลูก แล้วทำไมเนื้อตัวถึงมอมแมมขนาดนี้” ปานดาวหันไปดุพิม “นี่นังพิมแกดูแลลูกฉันยังไงหา”
พิมอึกอัก
“คือ...พิม เจอคุณวิทย์ เอ่อ...กำลัง เล่นน้ำ”
ธัญวิทย์ถลึงตาใส่
“ใครเล่นน้ำ”
ปานฟ้าหันไปมองหลานชาย
“ธัญวิทย์ไปเล่นน้ำที่ไหนมาจ้ะ นี่อย่างกับไปเล่นน้ำคูมาอย่างนั้นแหละ”
ธัญวิทย์กำลังจะเอ่ยปากบอกความจริง แต่คิดถึงคำขู่ของพ่วง เลยเงียบไม่พูดซุกตัวอยู่กับปานดาว ภูวดลกลัวทุกคนสงสัยรีบชิงตัดบท
“เอาเป็นว่าลูกกลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว ก็คงไปเล่นซนตามประสาเด็กล่ะครับ ไปพิม พาคุณวิทย์ ไปล้างเนื้อล้างตัว” ภูวดลหันไปทางปานดาว “กลับกันคุณ”
“ดีนะที่ธัญวิทย์กลับมาปลอดภัย ดาวก็คิดว่าบ้านนี้จะมีเด็กหายไปอีกคนแล้ว ถ้าลูกดาวหายไปอย่างทินภัทร ดาวคงบ้าตามพี่เดือนไปแน่ๆ”
ปานดาวพูดแล้วเดินตามกันออกไป ปานฟ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสงสัย บุญทิ้งมองเหตุการณ์ต่างๆด้วยความกลัว
ค่ำนั้น...ปานฟ้าเดินมาเห็นพิมคุยกับธัญวิทย์คุยกันอยู่ ได้ยินแว่วๆแต่ไม่ถนัด
“อย่าบอกใครเด็ดขาดนะคะว่าโดนจับตัวไป”
ธัญวิทย์พยักหน้ายังกลัวไม่หายเหมือนกัน แล้วชะงัก มองหน้าพิม
“รู้ได้ไงว่าฉันโดนจับตัวไป”
พิมอึกอัก
“ก็ใช่รึเปล่าล่ะ ถ้าไม่โดน จะลงไปนอนไปคูน้ำแบบนั้นเหรอ คุณวิทย์ห้ามพูดเรื่องนี้กับใครเลยนะ แม้แต่กับคุณแม่ก็บอกไม่ได้”
“มันก็สั่งไม่ให้บอก ไม่งั้นมันจะฆ่าฉัน ฆ่าคุณพ่อ คุณแม่ด้วย”
พิมโกรธ
“มันกล้าขู่อย่างนั้นเหรอคะ”
“ใช่ มันมีมีดด้วยนะ น่ากลัวมากเลย”
พิมพึมพำ เจ็บใจ
“ไอ้พ่วงนะไอ้พ่วง จะเกินไปแล้ว”
“แกว่าใคร”
พิมรีบกลบเกลื่อน
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
ปานฟ้าเดินมา
“คุยอะไรกัน”
พิมเชิดหน้าไปอีกทาง ทำเป็นไม่อยากพูดด้วย ธัญวิทย์รีบเอามือปิดปาก สั่นหน้า ปานฟ้าแกล้งทำเป็นถามยิ้มๆ
“เมื่อตอนบ่าย แอบหนีไปเที่ยวที่ไหนมา บอกน้าซิ”
“ไม่ได้แอบ...แต่โดน...”
พิมรีบเรียกเสียงหนัก
“คุณวิทย์”
ธัญวิทย์ชะงัก หันมามองพิม ซึ่งขยิบตาเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูด เด็กชายอึกอักโกหกไป
“ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว ลืมไปแล้ว”
ธัญวิทย์วิ่งหนีไปเลย ปานฟ้าเรียกไว้
“วิทย์...ธัญวิทย์”
ธัญวิทย์ไม่ฟังเสียง วิ่งลับไป พิมทำหน้าเฉย บอกเสียงแข็ง
“จะมาคาดคั้นเอาอะไรกับคุณวิทย์ ถ้าจะมีเรื่องอะไร ก็มาจากไอ้บุญทิ้งนั่นแหละ เอาตัวซวยเข้าบ้านแล้วยังไม่รู้อีก”
พิมพูดใส่หน้าแล้วเดินไป
วันต่อมา...ภาคิน ปานฟ้านั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของเขา โดยมีเฟื่องแก้วนั่งทำงานอยู่ด้วย บุญทิ้งเล่นอยู่ไม่ห่างนัก
“ฟ้าว่าที่ธัญวิทย์หายไปเมื่อวาน มันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง พิมก็ต้องรู้ด้วย แต่ห้ามไม่ให้หลานบอกฟ้า”
ภาคินนิ่งคิด
“พิมนี่ดูไม่เหมือนแม่บ้านทั่วไป อย่างเรื่องที่เขาใส่ร้ายว่าคุณ เป็นคนวางแผนทำลายคุณอนิรุทธิ์ ผมว่าเขาไม่ธรรมดานะ”
ปานฟ้าหน้าเครียด
“ไม่รู้ต้องการอะไรกันแน่”
บุญทิ้งฟังนิ่งไม่กล้าเอ่ยปากอะไรเพราะกลัว ภาคินกอดไหล่บุญทิ้ง
“เมื่อวานตอนที่เล่นกันอยู่ ธัญวิทย์หายไปไหน เห็นอะไรผิดสังเกตบ้างรึเปล่า”
บุญทิ้งส่ายหน้าอย่างกลัวไม่กล้าแม้จะเอ่ยอะไรทั้งสิ้น ได้แต่ก้มหน้า ปานฟ้ายิ้มให้
“คุณตาบ่นถึงแหนะ วันนี้ไปหาท่านดีมั้ย”
เด็กชายส่ายหน้า
“ไปหาคุณปานเดือนที่โรงพยาบาลดีกว่า ที่บ้านนั้น...ผมกลัว”
“ไม่อยากไปเล่นกับธัญวิทย์อีกเหรอไง”
เด็กชายส่ายหน้าอีก
“เขาไม่ชอบผม”
ปานฟ้ายิ้มปลอบ
“ไม่หรอกจ๊ะ อย่าไปคิดแบบนั้น ต่อไปพี่จะกำชับไม่ให้ใครมารังแกบุญทิ้งอีก สบายใจได้เลย ไปเยี่ยมคุณตากับคุณยายนิดนึงแล้วกันนะ”
บุญทิ้งมองหน้าภาคินอย่างอึดอัดใจ เฟื่องแก้วเห็นปานฟ้าคะยั้นคะยอก็ดักคอ
“อย่าฝืนใจเด็กเลยคะ ยิ่งเกิดเรื่องแปลกๆแบบนี้ บุญทิ้งคงกลัว เห็นไปบ้านคุณทีไร ซึมกลับมาทุกที ไม่รู้เป็นอะไร”
ปานฟ้าอึ้งไป ภาคินมองอย่างอย่างสงสารและเห็นใจ
ภาคินเดินมาส่งที่รถ ปานฟ้ารีบเดินไป
“ก็บอกแล้วไม่ต้องมาส่ง ยังจะตามมาอีก”
ชายหนุ่มเดินเข้าใกล้
“จะรีบกลับไปไหนครับคุณฟ้า ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“แต่ฟ้า...ไม่มีแล้วนิคะ มาวันนี้แค่อยากมาปรึกษาเรื่องธัญวิทย์ แค่นั้นเอง”
ปานฟ้าหันหลังจะขึ้นรถ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็คว้ามือหญิงสาวไว้
“คุณฟ้า...สิริโสภากับผมเป็นแค่เพื่อนสนิทสมัยเรียน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นนะ”
“ก็ดีแล้วนี่คะ เพื่อน...ที่สนิทกันมาก พอสังเกตเห็นค่ะว่าเขาเป็นห่วงคุณ ดีใจด้วยนะคะ มีคนเป็นห่วงมากขนาดนั้น”
“พูดเหมือนคุณ...ไม่พอใจที่เพื่อนห่วงผม”
“เปล่า...ก็แค่วันหลังจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงอีก เพราะมีคนอื่นห่วงแทนแล้ว”
ปานฟ้าขึ้นรถปิดประตูใส่ ภาคินพยามเคาะกระจกจะได้พูดกันต่อ แต่เธอออกรถไปอย่างงอนๆ เฟื่องแก้วแอบมองจากมุมตึก ยิ้มน้อยๆนึกรู้ว่าสองคนทะเลาะกัน
เติมบุญ สายอุษา ปานฟ้านั่งในห้องนั่งเล่น คุยกันเรื่องปานเดือนจะได้กลับบ้าน สายอุษาดีใจมากจับมือปานฟ้าไว้ เติมบุญยิ้มอย่างเป็นสุข
“แม่ดีใจจริงๆนะฟ้า ที่พี่เดือนเขาจะได้กลับบ้านแล้ว”
เติมบุญยิ้มอย่างสุขใจ
“ถึงบ้านเรามีเรื่องให้ใจหายบ่อยๆ แต่ก็ยังดีที่มีเรื่องนี้มาให้ชื่นใจ”
ภูวดล ปานดาว ธัญวิทย์ เดินมาหยุดหน้าห้องนั่งเล่น แอบฟัง
“ใช่ค่ะคุณพ่อ พี่เดือนได้กลับบ้านครั้งนี้ กำลังใจสำคัญได้มาจากบุญทิ้งนะคะ เรื่องรับบุญทิ้งเป็นบุตรบุญธรรมฟ้าว่าเราให้คุณภาคิน ดำเนินการต่อได้เลยนะคะ”
ภูวดลกับปานดาว หันมองหน้ากันอย่างอึ้ง
“เป็นไปไม่ได้...นังเดือนจะกลับมาได้ยังไง แล้วที่เราทำกันมา ไม่เสียแรงเปล่าเหรอคุณ...ไหนจะไอ้เด็กเร่ร่อนนั้นอีก”
ปานดาวมองเครียด ภูวดลนิ่งครุ่นคิด
“เดี๋ยวเราก็จัดการมันได้เชื่อสิคุณ อย่าเพิ่งท้อก่อน ริจะคิดงานใหญ่แล้วต้องสานให้จบ ตอนนี้รีบเข้าไปขวางไว้ก่อน”
“เรื่องบุตรบุญธรม พ่อว่า...”
เติมบุญพูดได้แค่นั้นก็ตองชะงักไปเมื่อ ธัญวิทย์ วิ่งเข้ามาหาปานฟ้าในห้อง ภูวดล ปานดาว เดินตามเข้ามาหน้าเครียด
“น้าฟ้าจะให้เด็กนั้นมาบ้านเราทำไมครับ วิทย์ไม่ชอบมันเลย”
เติมบุญดุ
“วิทย์ บุญทิ้งเขาเป็นลูกกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ เราต้องเห็นใจ สงสารเขาถึงจะถูกนะหลาน”
ปานดาวรีบเถียงแทนลูก
“ตาวิทย์เป็นเด็กใจดีอยู่แล้วคะคุณพ่อ เพียงแต่ไม่ใช้พร่ำเผื่อ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เหลือหลานแท้ๆ แค่คนเดียว แทนจะช่วยกันดูแล เอาใจใส่ กลับจะไปเชิดชู สนใจเด็กที่ ไหนก็ไม่รู้ ถึงขนาดจะรับเป็นลูกเป็นหลานบุญธรรม ไม่เว่อร์กัน เกินไปเหรอคะ”
“เรื่องนี้คุณพ่อ คุณแม่ และฟ้าก็เห็นตรงกันนะคะพี่ดาว ว่าบุญทิ้งช่วยให้จิตใจพี่ดาวดีขึ้นมาก เราก็ควรตอบแทนด้วยการเอามาดูแลเลี้ยงดูให้ดีที่สุด ฉลาด นิสัยก็น่ารัก เท่าที่ผ่านมาบุญทิ้งมาบ้านเราบ่อยๆ ก็สร้างแต่ความสุขให้พวกเรา” ปานฟ้าพยายามอธิบาย
ปานดาวไม่พอใจ
“อวยกันเข้าไปเด็กไร้หัวนอนปลายเท้าแบบนั้น”
“รับลูก หรือหลานบุญธรรม มันมีผลหลายอย่างทางกฎหมายนะครับ ยังไงเราควรจะคิดกันให้รอบคอบ” ภูวดลแย้งขึ้น เติมบุญมองภูวดลอย่างไตร่ตรองในคำพูด
ภาคินนั่งครุ่นคิดอยู่ในสวน ถึงเรื่องที่โดนป้ายสีเรื่องลวนลามเด็ก ก้องภพเดินมาหายิ้มกวนๆ
“แกนี่มันดวงนารีอุปถัมภ์จริงๆ ทำชั่วขนาดนั้นยังมีหญิงช่วยอีก ฉันละอิจฉาแกจริงๆว่ะ”
ก้องภพหัวเราะเย้ย ภาคินลุกยืนอย่างเริ่มมีอารมณ์โกรธ
“ผมว่าเราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า แต่ผมขอถามคุณเรื่องหนึ่ง ตอบแบบลูกผู้ชายแล้วกัน คุณส่งเด็กนั้นมาใช่ไหม”
ก้องภพทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เด็กไหน แกพูดดีๆนะโว้ย อย่ามาหาเรื่องกัน โธ่เอ้ย...แกล้งทำเป็นคนดีทำมูลนิธิเกี่ยวกับเด็ก ที่แท้ก็กะจะกินเด็ก”
ภาคินจ้องหน้าด้วยสายตาจริงจัง
“คุณ...เป็นคนวางแผนทั้งหมดใช่ไหม”
ก้องภพแสยะยิ้มยื่นหน้าไปจ้องนิ่งไป ภาคินสบตาหน้าเฉย บอกเสียงเรียบ
“กล้ายอมรับอย่างลูกผู้ชายมั้ย ว่าเรื่องคราวนี้เป็นฝีมือคุณ ใช้สายฝนไปสร้างเรื่อง ใส่ร้ายผม กล้ารับมั้ยคุณก้อง”
ก้องภพนิ่งไป แล้วแสยะยิ้ม ยอมรับอย่างไม่กลัวเกรง
“ใช่ ฝีมือฉันเอง สายฝนมันเป็นเด็กฉัน รู้แล้วเป็นไง เซ่อไปเลย ใช่มั้ย แล้วถ้าแกยังไม่เลิกติดต่อกับปานฟ้า ทั้งชีวิตแกและมูลนิธิกระจอกนั่น...ไม่เหลือซากแน่”
ก้องภพเดินจากไป
“เดี๋ยว...ตอนนี้คนที่ไม่เหลือซาก น่าจะเป็นคุณมากกว่า”
ภาคินยกโทรศัพท์มือถือในมือ กดให้เห็นคลิปที่แอบถ่ายไว้ ก้องภพอึ้ง ไม่นึกว่าจะโดนภาคินย้อนรอยแบบนี้
วันต่อมา วิมลวรรณ ก้องภพ และอานนท์มาที่ห้องสอบสวนที่สถานีตำรวจ วิมลวรรณแทบจะกรี๊ดด้วยความเจ็บใจ
“แกใส่ร้ายลูกฉัน ไอ้คลิปนั่นน่ะ ตัดต่อเห็นชัดๆ”
อานนท์กับตุลย์ถอนใจ
“ตัดต่อตรงไหนครับ เห็นกันจะๆ ขนาดนี้” ตุลย์แย้งเสียงแข็ง
“คนอย่างภาคินมันร้ายจะตาย แค่นี้ทำไม่ยากหรอก ฉันจะฟ้องแกกลับ ข้อหาหมิ่นประมาท”
วิมลวรรณโต้ อานนท์เบื่อหน่าย
“พอเถอะคุณหญิง ใครๆ ก็เห็น ว่าคลิปนี่มันไม่ได้ตัดต่ออะไรเลย ก้องมันยอมรับออกมาจริงๆ”
วิมลวรรณไม่ยอม
“ไม่จริง”
ก้องภพพูดยิ้มๆ ไม่สะทกสะท้าน
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมพูดแล้วเป็นไง ใช่ เป็นคนทำเอง แล้วไง” ก้องภพยื่นหน้าถามตุลย์ “กล้าเอาคนอย่างผมเข้าคุกงั้นเหรอ” ก้องภพหันมาทางภาคิน “เอาซี่ ถ้าแกไม่กลัวว่าจะทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลต้องอื้อฉาว”
วิมลวรรณนึกได้ยิ้มหยันใส่อานนท์
“จริงด้วย...ตระกูลคุณผู้ดีเก่ามาหลายโคตรเง่าแล้วนี่ ถ้าเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่ง นามสกุลนี้คงป่นปี้ดีพิลึก ไม่กลัวต้องเอาปี๊บคลุมหัว ก็ให้ไอ้ลูกรักคุณ มันฟ้องลูกชายฉันเลย”
อานนท์หน้าเครียดพูดเสียงนิ่ง
“ก่อนทำ ไอ้ก้องมันยังไม่เคยคิด ไม่ห่วงชื่อเสียงตระกูล แล้วฉันต้องห่วงทำไม จัดการไปตามกฎหมายเลยภาคิน ไม่ต้องห่วงพ่อ”
วิมลวรรณมองภาคินเย้ยหยัน
“ทำเก่งนักนะ ก็เอาสิ ถ้าไอ้ภาคินมันกล้าทำจริงๆ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าคุณจะเอาหน้าไว้ไหน เพราะยังไง ก้องก็เป็นลูกชายคุณ ลูกถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่ไอ้มารหัวขน ที่เกิดกับนังลิเกใจง่าย”
ภาคินยืนหน้าเครียด อานนท์มองมาอย่างเห็นใจ ภาคินมองไปเห็นก้องภพแสยะยิ้ม ท้าทายให้เอาเรื่อง เขาคิดอย่างหนัก ที่พ่อจะต้องมาเสียชื่อถ้าเขาเอาเรื่องก้องภพ
เมื่ปานฟ้ารู้ว่าปัญหาของภาคินคลี่คลาย เธอยิ้มให้เขาอย่างดีใจ
“ดีนะคะ ที่สายฝนยอมสารภาพว่ากุเรื่องใส่ร้ายคุณ เพราะนึกสนุก เด็กสมัยนี้เล่นอะไรแปลกๆ แต่ทำพวกเราเกือบตาย ดีใจด้วยคะที่หมดปัญหาสักที”
ภาคินยิ้มขรึม
“ขอบคุณครับ”
ปานฟ้ามองหน้าสงสัย
“แต่ท่าทางคุณ...เหมือนไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ ยังมีเรื่องอะไรมากกว่านี้อีกรึเปล่าคะ”
ภาคินนิ่งคิดแล้วสั่นหน้า
“ไม่มีครับ จบแบบนี้...ก็ดีกับทุกคนแล้ว”
“แต่ทำไม...หน้าคุณดู...เศร้าจัง”
“ห่วงผมด้วยหรอ”
ปานฟ้าทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ใครว่าห่วง...ถามดูเฉยๆ ต่างหาก”
ภาคินยิ้มดีใจ เอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวสบตานิ่ง
“แค่เฉยๆ ต่างหาก...ผมก็ดีใจที่สุดแล้วครับ”
ปานฟ้ายิ้มเขิน ไม่ค่อยกล้าสบตาเขาที่จ้องมา
กัญญาหัดท่วงท่ารำให้เด็กในคณะที่หน้าม่านโรงลิเก นักแสดงคนอื่นหัดท่ารำ ท่าฟันดาบ กันอย่างแข็งขัน ถมเดินยิ้มเข้ามาใกล้ช่วยหัดท่ารำให้เด็กๆ
“เห็นทุกคนตั้งใจฝึกซ้อมแบบนี้แล้วฉันชื่นใจจริงๆ งานคืนนี้คงสนุกน่าดู นี่แหละมันสุขใจกว่าได้เงินทองมากมายนัก”
“ลุงน้อยที่จะออกแขกแกป่วยจ๊ะ ยังไม่รู้จะเอาใครออกแขกแทนเลย”กัญญาหันมาถาม
“เห็นช้อยว่าจะเอาหลานมันมานะ ไม่รู้จะได้เรื่องหรือเปล่า ไปรับแต่เช้ามืดแล้ว มันกลับมาหรือยังล่ะ”
ช้อยวิ่งเข้ามาจากหลังโรงลิเกกระหืดกระหอบ
“มาแล้ว มาแล้ว...โอ๊ยรถติดจริงๆ ร้อนก็ร้อน”
“ตายยากจริง...แล้วไหนหลานที่ว่า”
ช้อยหันไปกวักมือเรียกไข่ตุ๋นที่แอบหลบอยู่หลังม่าน
“เอ้า...ออกมาสิ ไปหลบที่นั้นทำไม”
ไข่ตุ๋นแต่งชุดลิเก เต็มยศ เดินยิ้มกว้างออกมา ย่อเข่าไหว้แบบพระเอกลิเก อย่างสวยงาม ถมมองอย่างงงๆ กัญญามองอย่างเอ็นดู
“เฮ้ย...ทำไมมันตัวกะเปี๊ยกเดียว ไอ้ช้อยเอ้ย...ข้าก็นึกว่าหลานเอ็งจะโตกว่านี้สะอีก จะออกแขกไหวเหรอว่ะเนี่ย”
ไข่ตุ๋นยิ้มยักคิ้วให้ถม เดินไปกลางเวทีอย่างมั่นใจเต็มที่ หันหน้าไปส่งซิกกับนักดนตรี วาดมือขึ้นเป็นวง แล้วร้องเป็นคำลิเกพร้อมร่ายรำอย่างน่ารัก
“ไหวไม่ไหวก็ต้องลอง ของแบบนี้ชอบนัก...เดี๋ยวหนูจะออกแขกให้ประจักษ์ ให้คนรักถ้วนทั่ว...ไข่ตุ๋นน้อย...ขอแค่โอกาส จะทำไม่ให้พลาดเลยครับครู...”
ระนาดรัวรับลงจังหวะคำร้องลิเก ถมกับกัญญา ยิ้มอย่างเอ็นดู ช้อยตบมือ ยกนิ้วว่ายอด
ภาคินกับปานฟ้าขึ้นรถไปด้วยกัน ปานฟ้าถามยิ้มๆ
“จะพาฉันไปไหนคะ”
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง รับรองหายเครียดแน่”
ปานฟ้ายิ้มอย่างเป็นสุข
“เรื่องแค่นี้ไม่น่าต้องลำบากเสียเวลาคุณเลย”
“ไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าคุณฟ้า แล้วโลกนี้หมองหม่นยังไงไม่รู้”
หญิงสาวหันมายิ้มให้
“ไม่ยักรู้ว่าปากหวานขนาดนี้...อืม...วันก่อนคุยกับคุณพ่อ ท่านไม่เปลี่ยนใจนะคะ เรื่องรับบุญทิ้งเป็นลูกบุญธรรม”
“เป็นวาสนาของบุญทิ้ง ส่วนตัวผมไม่ขัดข้องอะไรครับ แต่ทุกอย่างก็ต้องแล้วแต่ความสมัครใจของตัวเด็กเป็นสำคัญ ว่าถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว บุญทิ้งจะเปลี่ยนใจรึเปล่า”
“พี่เดือนคงขาดบุญทิ้งไม่ได้หรอกค่ะ”
“ยิ่งเห็นคุณเดือนรักบุญทิ้งมาก ผมก็ยิ่งเป็นห่วง ผมรู้สึกว่าคุณปานดาวและคุณภูวดล ไม่ค่อยชอบให้บุญทิ้งเข้าไปในบ้านนั้นสักเท่าไร หรือคุณว่าไง”
ปานฟ้ามองภาคิน หันมาถอนหายใจยาว
“พี่ดาวเป็นแบบนี้มานานแล้ว ชอบมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย ฟ้าก็รู้สึกเหมือนคุณคะ ไม่รู้สองคนนั่นจะอะไรกันนักหนา แค่กับเด็กคนเดียว”
ภาคินมองหญิงสาวอย่างเห็นใจ รู้ว่าเธอก็ลำบากใจเช่นกัน
ที่มูลนิธิ...เด็กๆใส่หน้ากากอุลตร้าแมน หน้ากากเสือ ยอดมนุษย์ต่างๆ เล่นต่อสู้ฟันดาบกันอยู่ที่สนามเด็กเล่นของมูลนิธิ ตุลย์ใส่หน้ากากซุปเปอร์แมนล้อเล่นกับเฟื่องแก้ว ทุกคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน บุญทิ้งมองอย่างอยากเข้าไปเล่นด้วย หันมาเห็นหน้ากากเสือ ถึงกับผงะเพราะยังกลัวไม่หาย เด็กคนหนึ่งที่ใส่หน้ากากเสือ เดินมาใกล้และถอดหน้ากากให้บุญทิ้ง
“มาเล่นด้วยกันไหม ใส่หน้ากากนี่”
บุญทิ้งส่ายหน้า
“ไม่เอาไม่เห็นหน้ากัน เดี๋ยวมีคนมาจับตัว”
“จะมีได้ยังไง ซุปเปอร์แมนอยู่ที่นี่ทั้งคน” ตุลย์บอกขำๆ
“ใครที่ไหนจะมาจับตัว มาสิพี่ใส่หน้ากากให้”
เฟื่องแก้วพยายามจะเอาหน้ากากเสื้อใส่ให้ บุญทิ้งบ่ายเบี่ยงไปมา
“ผมไม่ใส่ ผมกลัว วันนั้นยังจับสลับกันเลย ที่บ้านพี่ปานฟ้า”
เฟื่องแก้วหันมองหน้าตุลย์ที่ถอดหน้ากากซุปเปอร์แมนออก สองคนหันไปมองหน้าบุญทิ้งที่เอามือปิดปากที่พูดหลุดปากไป ตุลย์เดินเข้ามาใกล้
“จับสลับกัน...ไหนบุญทิ้งเล่ามาให้หมดสิ ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น”
บุญทิ้งหน้าเสีย มองตุลย์อย่างนึกว่าไม่น่าพลาดพูดหลุดปาก...ตุลย์กับเฟื่องแก้ว จ้องมาอย่างรอฟัง บุญทิ้งครุ่นคิดสักครู่แล้วตัดสินใจพูด
“คือ...วันนั้นเราเล่นกันอยู่ คุณวิทย์มาแย่งเอาหน้ากากอุลตร้าแมนของผมไปใส่ ผมก็เลยเอาหน้ากากเสือของคุณวิทย์มาใส่ พอผมวิ่งตามไปก็เห็นคนใส่ชุดไอ้โม่งคลุมหัวจับตัวคุณธัญวิทย์ไปครับ”
“เห็นหน้ามันมั้ย” เฟื่องแก้วถาม
บุญทิ้งส่ายหน้า
“ไม่เห็นครับ แต่ผมได้ยินเขาพูด”
ตุลย์รีบซัก
“พูดว่าอะไร”
“พูดว่า...อย่าดิ้นสิวะ ไอ้บุญทิ้ง”
ตุลย์มองหน้ากับเฟื่องแก้ว
“แสดงว่ามันจับสลับตัว มันคงนึกว่าเด็กที่ใส่หน้ากากอุลตร้าแมน คือบุญทิ้ง” เฟื่องแก้วออกความเห็น
ตุลย์พนักหน้ามั่นใจ
“ใช่ มันต้องตามดูอยู่พักนึง แล้วมันก็ต้องเป็นคนที่รู้จักบุญทิ้งดีด้วย ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะเป็น...ไอ้พ่วง”
บุญทิ้งตกใจกลัว ขณะที่เฟื่องแก้วกับตุลย์กังวลใจมาก
อ่านต่อหน้า 3
ดุจดาวดิน ตอนที่ 8 (ต่อ)
นุ่มแต่งตัวสวยเดินออกจากบ้าน เพื่อจะไปดูลิเกที่บุษบาเล่น หลังจากโทร.คุยกันจึงได้รู้ว่าคืนนี้เรื่องที่บุษบาจะเล่นป็นเรื่องใหม่ ขณะที่ออกจากบ้านนั้นวิมลวรรณได้ตามไปด้วย เพราะได้ยินที่ทั้งคู่โทร.นัดกัน
ค่ำคืนนั้นบนโรงลิเก...คนเล่นระนาดเล่นเพลงคลอก่อนการแสดงจะเริ่ม คนดูทยอยเข้ามานั่งหน้าโรงลิเก ปานฟ้าเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าโรงลิเกพร้อมภาคิน
“โอโห้...ของชอบเลย” ปานฟ้ายิ้มขำ “ขำคุณจังเลย จะเซอร์ไพร้ส์สาวทั้งทีพามาดูลิเก ไม่ลงทุนเล้ย”
“อ้าว...นี่ละครับ ความสุขแบบพื้นบ้าน ไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง”
ปานฟ้ายิ้มหวานให้ภาคิน
“ขอบคุณนะคะ ฉันชอบค่ะ”
“เดี๋ยวนี้ลิเกหาดูยากโดยเฉพาะในกรุงเทพ แถมอยู่ไม่เป็นที่อีก เด็กสมัยนี้แทบจะไม่รู้จักกันแล้ว”
“ได้ไอเดียแล้ว...วันหลังฟ้าเอาลิเกไปจัดที่ห้างดีกว่า ได้ทั้งส่งเสริมการขาย ได้ทั้งช่วยพวกเขาด้วย”
“เป็นความคิดที่ดีมาก ขนาดมาคลายสมองคุณฟ้ายังคิดเรื่องงานอีกนะครับ”
ปานฟ้ายิ้มอย่างสุขใจ ภาคินเดินนำเข้าไปหาที่นั่งหน้าเวที ก้องภพที่แอบตามมา แหวกกลุ่มคนดูมายืนมองภาคินและปานฟ้าอย่างหึงหวง ยิ่งเห็นสองคนยิ้มแย้ม หัวเราะต่อกระซิกกันก็ยิ่งเจ็บใจ
“ระรื่นกันนัก เดี๋ยวจัดหนักให้ ได้เห็นเลือดหัวเอ็งแน่ไอ้ภาคิน”
ก้องภพเดินไปคุยกับจิ๊กโก๋ 2 คน ชี้มือไปที่ภาคิน สั่งให้จัดการ
เมื่อลิเกเริ่มต้นการแสดง...คนดูปรบมือเกรียวเมื่อไข่ตุ๋นเริ่มมาออกแขกหน้าม่าน แต่งตัวใส่หมวกแขก เขียนเคราหนวดโค้ง
หลังฉากนักแสดงเตรียมตัวกันอย่างวุ่นวาย กัญญาและช้อยในชุดลิเกแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จพร้อมออกแสดง อดตื่นเต้นแหวกม่านดูจากหลังเวทีไม่ได้
“คนเยอะจริงๆเลยช้อย”
ช้อยตามมาดู
“ไหนฉันดูสิ...ก็แน่ละสิ วันนี้ฉันรับบทเด่นด้วย จะเล่นให้เห็น ฝีมือขั้นเทพเลย”
กัญญามองไปเห็นภาคิน ชะงักรีบปิดม่าน ตกใจรีบหลบตั้งสติแล้วค่อยๆแหวกม่านดูอีกครั้งเห็นเป็นลูกชายของเธอแน่ๆ กัญญากระอักกระอวนใจ ช้อยมองอย่างสงสัย
“เป็นอะไรไปละแม่กัญญา ทำหน้าตกใจอย่างกะเห็นผี”
“เปล่าจ๊ะ...ไม่มีอะไร...ฉันคงตื่นเต้นเกินไป”
ถมเดินมาใกล้
“อ้าวมาคุยกันอยู่ได้ ไปจุดธูปไหว้ครูโน่นไป จะออกโรงอยู่แล้ว”
ช้อยรีบเดินไป กัญญาอดที่จะมองไปทางภาคินนั่งไม่ได้ รีบเดินตามช้อยไป
ป้านุ่มแหวกคนมานั่งแถวหน้าอีกด้านดีใจตื่นเต้นที่จะได้เห็นบุษบาเล่นลิเก วิมลวรรณเดินแหวกผู้คนด้วยสีหน้ารังเกียจ ตามมายืนห่างไปอีกด้าน จ้องมาทางป้านุ่มด้วยสีหน้าชิงชัง หันมาเห็นภาคินนั่งกับปานฟ้า ยิ่งอึ้ง
“ไอ้ภาคิน...มานั่งอยู่ที่นี่ได้ยังไง...หรือว่ามันรู้แล้วว่านัง บุษบาเป็น...”
คนดูที่จะเข้าไป แต่ถูกวิมลวรรณยืนบังอยู่จึงโวยวายขึ้น
“โอ๊ย...คุณนายยืนขวางอยู่ได้ คนเขาจะเข้าไปนั่งแถวหน้าหลบหน่อย”
วิมลวรรณมองอย่างรังเกียจ หลีกตัวให้เดิน
บนเวที...กัญญาออกโรงเริ่มต้นร้อง และรำลิเกตามบทที่ซ้อมกันไว้ เป็นบทเกี่ยวกับนางเอกต้องเผชิญชะตากรรม หนีมาอีกเมืองจากการถูกตามไล่ล่าของมเหสีของพระราชา ถมมองอย่างปลาบปลื้มจากหลังเวที
ภาคินจ้องมองกัญญา ป้านุ่มปรบมือลั่น วิมลวรรณถึงกับอึ้งตาค้าง ฟังเรื่องราวที่กัญญาร้องด้วยความหมั่นไส้มาก
“ดูมันร้องลิเกแล้วหมั่นไส้ ฉันสินางเอกที่โดนแย่งผัว ไม่ใช่แก”
ภาคินมองกัญญาตาไม่กระพริบ เหมือนรู้สึกผูกผันอย่างบอกไม่ถูก ปานฟ้าลอบมองภาคินยิ้มขำ
“จ้องตาไม่กะพริบเลย หลงเสน่ห์นางเอกลิเกแล้วมั้ง”
ภาคินครุ่นคิด หันมองปานฟ้า
“ผมรู้สึก...เหมือนรู้จักผู้หญิงคนนี้มาแสนนาน รู้สึกคุ้นเคยยังไงไม่รู้”
กัญญาจ้องมองภาคินแล้วเปลี่ยนบทร้องกระทันหัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเองและลูกที่ต้องพลัดพรากจากกัน
“ชีวิตแม่ต้องพลัดพราก จากลูกน้อยที่แสนรัก หวนคิดช่างช้ำนัก สงสารลูกน้อยจับใจ...ด้วยเหตุชะตาแกล้ง แม่ต้องแสร้งทิ้งเจ้า ชีวิตแม่แสนเศร้า ร้องไห้คิดถึงเจ้าอยู่ทุกคืน”
ระนาดรับ วิมลวรรณยืนสะดุ้ง อึ้งเมื่อเห็นกัญญาร้องและจับจ้องไปที่ภาคิน ป้านุ่มรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา ภาคินหน้าเศร้าคิดถึงชีวิตตัวเอง วิมลวรรณมองแล้วยิ้มหยัน
“ถึงพวกแกเจอกันจนได้ นึกเหรอว่าจะอยู่อย่างเป็นสุข”
ถมงงที่กัญญาเปลี่ยนบทกะทันหัน เกาหัวยิก
“ที่ซ้อมกันมันไม่มีท่อนนี้นิหว่า...โธ่แม่กัญญา เติมบทเองอีกแล้ว”
ช้อยหน้ามุ่ย
“แล้วฉันจะต่อบทได้ไงเนี่ย”
ระนาดรัว กัญญาร่ายรำท่าปาดน้ำตา รันทดชีวิตตัวเอง
ภาคินอึ้ง ตั้งใจดูกัญญาร้องอย่างมาก ตกใจที่บทร้องคล้ายชีวิตตัวเอง กัญญาเดินมาหน้าเวที ทรุดตัวลงนั่ง ยื่นมือไปทางคนดู แต่หมายตาไปที่ภาคิน กัญญาร้องไห้จริงโศกจริงแล้วเริ่มบทพูด
“แม่ขอโทษนะลูก ความผิดของแม่ครั้งนี้ให้อภัยได้ยากเหลือเกิน แม่อยากจะสัมผัส กอดลูกสักครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้ลูกจ๋า...แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”
กัญญาร้องไห้หนัก แม่ยกที่นั่งชมปรบมือใหญ่ เอาพวงมาลัยแบงก์ห้าร้อยไปคล้องให้กัญญา
“ตีบทแตกเหลือเกิ๊น...แม่คุณเอ้ย”
ภาคินนั่งกระพริบตาถี่เหมือนจะร้องไห้ ทันใดนั้นมี มือจิ๊กโก๋วางบนบ่าภาคิน จิ๊กโก๋สองคนยืนกระแทกเก้าอี้ที่ภาคินนั่ง ปานฟ้าหันไปมองตกใจ
“เฮ้ย...น้องชายลุกขึ้นไปคุยกันหน่อย” จิ๊กโก๋ตะคอก
“ขอโทษนะครับ คุณทักคนผิดหรือเปล่า”
“ไม่ผิดแล้ว...เมื่อกี้เอ็งขับรถเฉี่ยวมอไซด์ข้าจนล้ม...จะชิ่งเหรอว่ะ”
กัญญาซึ่งอยู่บนเวทีตกใจ แต่พยายามรำลิเกต่อตามจังหวะระนาด คนตีระนาดหันมาเห็นคิดรู้ว่าจะเกิดเรื่อง แต่ก็พยายามเล่นระนาดต่อ
“พวกคุณคงเข้าใจผิดแล้วละครับ อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า” ภาคินพยายามใจเย็น
จิ๊กโก๋คนหนึ่งจับคอเสื้อภาคิน
“เอ็งจะไปคุยกันข้างนอกดีๆ หรือจะให้ข้าลากไป”
ภาคินปัดมือจิ๊กโก๋ออกจากหน้าอก จิ๊กโก๋ลาก ภาคินรั้งมือเอาไว้ จิ๊กโก๋อีกคนชกหน้าภาคินอย่างจังจนล้มลงไป จิ๊กโก๋ทั้งสองคนรุดอัด ภาคินต่อสู้ชุนมุนกันใหญ่ คนดูลิเกแตกฮือ ล้อมวง หันมามุงดูภาคินต่อยกับจิ๊กโก๋ ปานฟ้าร้องลั่น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจ”
ปานฟ้าเข้าไปช่วย แต่โดนจิ๊กโก๋เหวี่ยงตัวเซไปอีกทาง ก้องภพรีบแหวกคนที่มุงดูมาหาปานฟ้า
“เฮ้ย...มันทำเกินที่ตกลงไว้นิหว่า ให้สั่งสอนแค่ไอ้ภาคิน...ไอ้พวกนี้”
กัญญาตกใจมาก จะวิ่งลงจากเวทีเข้าไปช่วยภาคิน
“ลูกแม่...”
วิมลวรรณเห็นคนดูไม่สนใจบนโรงลิเก มัวแต่ดูภาคินโดนรุมอัด ลอบขึ้นไปบนเวทีจิกผมกัญญาจนหน้าหงาย
“แกจะไปไหน นังแพศยา”
กัญญาหันหน้ามาตกใจมาก
“คุณ...”
คนดูแตกกระเจิง มุงดูภาคินต่อสู้กับจิ๊กโก๋ 2 คนอย่างไม่กลัว ระนาดก็รัวไม่ยอมหยุด ก้องภพเข้ามาประคองปานฟ้าหญิงสาวรีบบอก
“คุณเข้าไปช่วยคุณภาคินสิ ฉันไม่เป็นไรหรอก”
“เข้าไปผมก็เจ็บตัวฟรีสิ ให้มันโดนซะบ้าง เตือนแล้วไม่จำ ว่าอย่ายุ่งกับฟ้า”
ปานฟ้าฉุนขาด สะบัดมือ
“ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปช่วยภาคิน”
ก้องภพรั้งตัวปานฟ้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ยิ้มอย่างสะใจเห็นภาคินโดนรุน ขณะเดียวกันกัญญาร้องอย่างตกใจมาก
“คุณผู้หญิง...”
“ไปเห็นไอ้ภาคินโดนตำรวจจับคราวที่แล้วยังไม่สะใจใช่ไหม คราวนี้ทำร้องลิเกออเซาะเรียกความสงสารจากไอ้มารหัวขนอีก...นึกเหรอว่าฉันไม่รู้”
กัญญาอึ้ง ร้องไห้ยกมือไหว้ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น แม่ยกมองไปหน้าเวทียังเห็นกัญญาอยู่บนเวที
“โธ่...แม่คุณเอ้ย...ยังมีกะใจเล่นต่ออีก สมบทบาทเหลือเกิน”
ป้านุ่มเห็นวิมลวรรณขึ้นไปเล่นงานกัญญาบนเวที หน้าเสียรีบมุดหลบหลังเก้าอี้ แต่ตาคอยเหลือบมอง ถมกับช้อยเลิกม่านจากหลังเวทีมองอย่างตกใจ
“ใครว่ะนั้น...คนบ้าป่าว...ขึ้นมาบนเวทีได้ไง”
“ถามฉันแล้วฉันจะไปถามใคร ข้างล่างก็ตีกัน บนเวทีก็อะไรว่ะนั้น”
วิมลวรรณ จับแขนกัญญาที่ถึงกับเข่าทรุด
“ลุกขึ้น...อย่ามาสำออย...จะให้ฉันตบหน้าโรงหรือหลังโรง เลือกมา”
“คุณผู้หญิงขา...ดิฉันผิดไปแล้ว...อย่าทำอะไรดิฉันเลยนะคะ”
วิมลวรรณกระชากแขน แต่กัญญาไม่ยอมลุก
“ไม่ลุกใช่ไหม...ได้...ตอแหลอย่างแกต้องเจ็บตัวซะบ้างจะได้สำนึก”
วิมลวรรณเงื้อมือตบหน้ากัญญา...
ภาคินล้มคว่ำลงไปกับพื้น จิ๊กโก๋จะเข้ามาซ้ำเอาเท้าเหยียบ เขาพลิกตัวหลบแล้วลุกสู้ไม่กลัว
“หมาหมู่แบบนี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
จิ๊กโก๋เหวี่ยงหมัด ภาคินหลบ สวนหน้าหงายไปคนหนึ่ง อีกคนหยิบไม้มาจะหวดจากด้านหลัง ปานฟ้าร้องเสียงหลง
“คุณภาคิน...ระวังข้างหลัง”
ภาคินหันหลังไป จับข้อมือแล้วบิดจนไม้หลุด
“หมัดนี้ให้กับไอ้พวกลอบกัด”
ภาคินเงื้อหมัดขึ้นในอากาศ อัดลงเต็มหมัด
วิมลวรรณเซถลาล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น กัญญารีบหลบคลานไปอีกมุมหลังม่านลิเก
“โอ๊ย...” วิมลวรรณชี้หน้ากัญญา “นี่แกแกล้งขัดขาฉันให้ล้มใช่ไหมแกเล่นฉันก่อน”
กัญญาส่ายหน้า
“พื้นสกปรกแบบนั้น อย่านั่งเลยค่ะคุณผู้หญิง”
วิมลวรรณแทบกรี๊ดลุกขึ้นจะมาไล่ตบต่อ สองคนวิ่งไล่ วิมลวรรณตบ กัญญาหลบ วุ่นวายไปหมด ไข่ตุ๋นในชุดออกแขก เข้ามาหลังโรง ตีฉิ่งไปเต้นไป ถมเข้าไปห้ามแต่โดนวิมลวรรณศอกเข้าจนหน้าหงาย ช้อยยืนกล้าๆกลัวๆ วิมลวรรณกระชากผม ลากหัวกัญญามาแล้วกระหน่ำตบหน้าสลับซ้ายขวา กัญญาได้แต่พนมมือ คนตีระนาดรัวรับจังหวะการตบของวิมลวรรณ
“โอ๊ย...คุณผู้หญิงขา ยอมแล้วคะ”
วิมลวรรณกระชากผมกัญญา พูดใส่หน้า
“ถ้าแกลงไปช่วยลูกแก หรือแม้แต่พูดกับมันสักคำ ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่ๆ ยังจำคำที่ฉันบอกแกได้ใช่ไหม...นังลิเกชั้นต่ำ”
ช้อยสะดุ้งเฮือก เลือดขึ้นหน้า
“ทำไมพูดแบบนี้ว่ะ...ด่าอย่างอื่นด่าได้ แต่มาหยามเกียรติลิเกกันแบบนี้ ฆ่ากันดีกว่า”
ช้อยตรงเข้าไปผลักไหล่วิมลวรรณจนเซถลา วิมลวรรณลามือจากกัญญามาผลักช้อยจนเซไป
“แกไม่เกี่ยวอย่ามาจุ้น...ฉันเป็นใครแล้วแกเป็นใครหัดดูตัวเองสะบ้าง...เดี๋ยวแม่ตบล้างโรงลิเกเลย”
ช้อยของขึ้น ฉุนอย่างแรง
“หนอย...นังคุณหญิงแปดสาแหรก นังช้อยทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย นังช้อยชั้นต่ำ ขอประเคนฝ่ามือให้คุณนายชั้นสูงสักฉาดเถอะ”
วิมลวรรณเห็นช้อยเอาจริงกรี๊ด รีบวิ่งหนีออกมาหน้าโรงช้อยวิ่งตาม ตรงเข้าไปตบวิมลวรรณอย่างจังจนหน้าหัน นัวเนียกันที่พื้น กัญญา ถม ไข่ตุ๋นวิ่งออกมาดู ไข่ตุ๋นรัวฉิ่งเต้นใหญ่
“น้าช้อยสู้ๆ...น้าช้อยสู้ตาย...”
ป้านุ่มขึ้นมาบนเวที
“โธ่...คุณผู้หญิงของนุ่ม...เจ็บตรงไหนไหมคะ”
ป้านุ่มจดๆจ้องๆ จะเข้าไปช่วยแต่ไม่ค่อยกล้า สองคนยื้อกันไปมาชุลมุน ถมคอยหาจังหวะจะเข้าไปห้าม แต่ก็ยังเจ็บหน้าที่โดนศอกวิมลวรรณอยู่ วิมลวรรณร้องเรียกป้านุ่ม
“มัวรออะไรอยู่นังนุ่ม ฉันจะโดนนังลิเกนี่ฆ่าอยู่แล้วไม่เห็นเหรอตบมันสิ...เอามันออกไปที...โอ้ย”
วิมลวรรณ ช้อย นุ่ม ชุลมุนกันอยู่บนเวที คนดูปรบมือกันใหญ่ ได้ดูคนตบกัน...ด้านล่างภาคินชกต่อยกับพวกจิ๊กโก๋ไม่เลิก ตำรวจ 2 นายเป่านกหวีดถี่ๆ วิ่งมาแต่ไกล ทุกคนแตกกระเจิงกันหมด...กัญญาในชุดลิเกวิ่งมาหลบซ่อนตัวข้างกองสิ่งของในซอยอย่างหวาดกลัวทั้งตำรวจ กลัวทั้งจะเจอวิมลวรรณและภาคิน แต่ใจก็นึกห่วงภาคินอยู่ทุกขณะจิต
“ลูกแม่จะเป็นอะไรมากไหม ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองด้วยเถิด”
กัญญายกมือท่วมหัว ค่อยๆมองซ้ายมองขวาเห็นปลอดคน ก็ลุกขึ้น พอหันหลังกลับมา ใจหล่นแทบตาตุ่มเมื่อเห็นภาคินเลือดออกมุมปาก มีรอยฟกช้ำที่ใบหน้า กัญญารีบหันหลังกลับจะหนี มือภาคินจับมือกัญญาไว้
“คุณจะหนีทำไม”
“คือ...ฉัน...”
“ทำไมเมื่อกี้ที่คุณร้องลิเก เนื้อร้องมันถึง...เหมือน...”
กัญญาเห็นหน้าภาคินเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เลือดไหลที่มุมปาก เธอมองอย่างแสนสงสารเหลือกำลัง เอามือลูบที่หน้าอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
“โธ่...คงเจ็บมากสินะ...พ่อคุณของ”
กัญญารีบเอาผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บไว้ที่เอว มาซับเลือดตามใบหน้าให้แล้วร้องไห้ออกมาอย่างสงสารและตื้นตันใจ ภาคินเหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนจะร้องไห้ เขาเรียกความมั่นใจตัวเอง ตัดสินใจถามแต่ก็พูดติดขัด
“ผมรู้สึกตั้งแต่ครั้งก่อนที่คุณช่วยผมไว้...ผมว่าต้อง...ใช่...คุณคือ...แม่...ของผม...ใช่ไหม...”
กัญญาอึ้ง ปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก มือที่ซับเลือดที่หน้าให้ลูกชายสั่นเทา
“กลับบ้านไป เอาผ้าชุบน้ำร้อนประคบนะ แล้วทายา นอนพักมากๆ”
ภาคินตาแดงเรื่อ
“ผมถามว่าคุณคือแม่ของผมใช่ไหม...คุณคือแม่บุษบา ใช่ไหม”
กัญญายิ่งร้องไห้หนักขึ้น ส่ายหน้า แทบไม่มีแรงแม้จะเอื้อมมือไปเช็ดที่แผลที่หน้าภาคิน
“ฉันชื่อกัญญา...ไม่ได้ชื่อบุษบา”
ภาคินผิดหวัง
“ถ้างั้นคุณรู้จักคนชื่อบุษบาไหม”
กัญญาตกใจมาก
“คือ...”
ตำรวจเป่านกหวีด วิ่งมาแต่ไกล กัญญารีบจะวิ่งหนี ภาคินฉุดมือไว้
“บอกมาก่อน รู้จักไหม คนชื่อบุษบา”
กัญญาร้อนรน
“ถ้าอยากรู้เรื่องคนชื่อบุษบา ปล่อยฉันก่อน ไว้เจอกันฉันจะเล่าให้ฟัง”
กัญญายัดผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดใส่ไว้ในมือของเขา ภาคินหันไปมองตำรวจกัญญาได้ที สะบัดมือออกแล้ววิ่งหนีไป
“จ่าตามไป เดี๋ยวฉันจับคนนี้เอง”
ภาคินถูกตำรวจจับตัวไว้ เขามองตามอย่างเศร้าๆ ตำรวจอีกคนวิ่งไล่ตามกัญญาไป
ปานฟ้าวิ่งตามมาเจอภาคินที่ยืนนิ่งหน้าเศร้า เธอถามอย่างห่วงใย
“นึกว่าหายไปไหนคุณภาคิน...ไหวไหมคะ แล้วคุณวิ่งตามใครมา”
“ขอโทษครับที่ทำให้เป็นห่วง ผมเพียงแค่อยากรู้อะไรบางอย่าง ขอโทษจริงๆนะครับที่เกิดเรื่อง ไม่น่าพาคุณมาเลย”
“ไม่ใช่ความผิดคุณ อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิคะ”
“เลยทำให้คุณยิ่งไม่สบายใจ”
ปานฟ้าเห็นรอยแผลต่างๆที่หน้าภาคิน และเลือดที่มุมปากของเขาก็มองอย่างห่วงใย
“คุณคงเจ็บน่าดู ฟ้าไม่มีผ้าด้วย”
หญิงสาวเหลือบเห็นผ้าในมือของเขา
“อ้าว...ผ้านั้นของใครคะ”
ภาคินส่ายหน้า พูดเศร้าๆ
“ถ้าผมรู้ว่าเจ้าของผ้าเป็นใครก็ดีสิ”
ปานฟ้างงในคำพูดแปลกๆของภาคิน ตำรวจวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“วิ่งไวจริงๆ หาไม่เจอ...งั้นขอเชิญคุณทั้งสองไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยนะครับ จะได้ลงบันทึกประจำวันไว้” ภาคินแอบดีใจเมื่อรู้ว่ากัญญาหนีรอดไปได้
ทั้งหมดเดินลงมาจากสถานีตำรวจ...ถมเดินนำหน้าหน้าไม่สบอารมณ์ ปานฟ้าเดินใกล้วิมลวรรณและป้านุ่ม ก้องภพเดินตามมา ภาคินรั้งท้าย
“ซวยจริง นึกว่าจะได้ทิปจากแม่ยกหนักๆ ดันมาเสียค่าปรับอีก” ถมบ่นอุบ
วิมลวรรณไม่พอใจ
“ฉันไม่สั่งให้ตำรวจจับแกเข้าตะรางก็บุญแล้ว ยังมาบ่นอะไรอีก”
“ผมก็เสียค่าปรับแทนนังช้อย ที่ตบหน้าคุณนายแล้วนิครับ”
“แต่ฉันยังไม่หายเจ็บนิยะ ไปตามนังนั้นมาเลย ให้มันมากราบขอโทษฉัน”
ก้องภพจ้องหน้าข่มขู่
“นึกว่าจะรอดหรือไง แกได้ย้ายโรงลิเกกลับไปบ้านนอกแน่ๆ”
ถมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย ปานฟ้าดึงมือวิมลวรรณให้หยุดต่อล้อต่อเถียง
“พอเถอะคะคุณป้า เรื่องแล้วก็ให้แล้วกันไป เขาก็เสียค่าปรับแล้ว”
“ทีคุณนายตบแม่กัญญาตั้งหลายฉาด ผมยังไม่ฟ้องตำรวจสักคำ”
วิมลวรรณ ก้องภพสะอึกพูดไม่ออก
“ไปเถอะลูก คนมันคนละชั้น สื่อสารกันไปก็ไม่เก็ท”
วิมลวรรณดึงแขนก้องภพให้เดินไป หันมาเห็นก้องภพลังเลใจอยากจะไปกับปานฟ้า
“กลับกับแม่เดี๋ยวนี้นะ...แกยังจะมีกะใจกับผู้หญิง ที่ควงไปทั่วแบบนี้อีกเหรอตาก้อง”
ปานฟ้าถอนหายใจส่ายหน้า วิมลวรรณลากแขนก้องภพ ป้านุ่มคอตกเดินตามวิมลวรรณ ถม เดินไปอีกทาง ภาคินหน้าเศร้า ยืนซึมนึกถึงแต่เรื่องกัญญา ปานฟ้าเดินมาหา นิ่งคิดแล้วเอื้อมมือไปจับมือภาคิน ให้กำลังใจ ภาคินเอาผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดที่บุษบาให้มาดู
“ผมต้องรู้ให้ได้...ว่าแม่คือใคร”
วันต่อมา...เฟื่องแก้วปะคบแผลด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นให้ ภาคินฝืนจะทำเอง
“เดี๋ยวผมทำเองก็ได้แก้ว ขอบใจมาก”
“อยู่นิ่งๆสิคะ โดนอัดมาเละขนาดนี้ ยังทำเป็นเก่งอีก ไปกับคุณฟ้าทีไรได้เรื่องทุกที สงสัยดวงคุณสองคนไม่สมพงศ์กันแน่เลย”
ภาคินมองเฟื่องแก้วอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยอมให้ทำต่อไปแต่โดยดี
“เรื่องบุญทิ้งที่คุณเล่ามา ผมยังสงสัยไม่หาย เด็กอื่นมีตั้งเยอะแยะทำไมต้องเจาะจงเอาบุญทิ้งด้วย”
“เด็กเก่ามั๊งค่ะ บุญทิ้งเคยเล่าว่าหาเงินให้นายพ่วงได้มากกว่าใคร สงสัยติดใจ ถึงตามล่าตัวเจ้าละหวั่น”
“ถ้าเป็นงั้นจริง บุญทิ้งก็ไม่ปลอดภัยแล้ว”
ภาคินฟังอย่างกังวลใจมาก
ที่โรงลิเก...ทุกคนหน้าตาเซ็งโลก ช่วยกันเก็บเสื้อผ้า ชุดลิเกต่างๆลงกระเป๋า ช้อยเก็บของไปบ่นไป
“ชีพจรลงเท้าอีกแล้วเรา...สงสัยชาติก่อนไม่ได้ทำบุญสร้างวัดชาตินี้เลยไม่มีบ้านจะอยู่” ช้อยนั่งลงอย่างหมดแรง “ฉันว่าเลิกดีไหมพี่ถม กลับบ้านนอก หากบหาเขียดกินดีกว่า”
ไข่ตุ๋นหน้าละห้อย
“กลับทำไมน้าช้อย ไข่ตุ๋นกำลังจะดัง”
ช้อยพลานใส่ไข่ตุ๋น
“หนอยเอ็ง ตัวซวยสิไม่ว่า ออกแขกครั้งเดียว งานเข้าเลยไหมล่ะ แบบนี้ให้กลับไปเล่นกับลิเกแก้บนแถวบ้านเหมือนเดิมดีกว่า”
ไข่ตุ๋นหน้าเศร้า ถมสงสาร
“ไอ้ไข่ตุ๋น...ไข่เต่า นี่มันเกี่ยวที่ไหนเล่า ผู้ใหญ่มีเรื่องกันเองทั้งนั้น นังช้อยก็ไปว่าเด็กทำไม ข้าก็เห็นมันมีแววดีนะ”
“ใช่จ้ะพี่ นี่ขนาดยังไม่ได้ฝึกซ้อมเท่าไรนะ ลีลายังขนาดนี้” กัญญาชื่นชม
ช้อยถอนใจ
“เก่งแค่ไหนไม่มีเวทีให้ร้องให้รำ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรเล่า”
“นี่เอ็งยังไม่ชินอีกเหรอว่ะนังช้อย ย้ายไปเรื่อยๆแบบเนี่ย แล้วข้าเคยหาที่ลงให้เอ็งไม่ได้สักครั้งไหม เปลี่ยนบรรยากาศดีออก ย้ายไปย้ายมาให้แม่ยกคิดถึงพวกเราเล่นไงละเอ็ง ให้สมกับที่เขา เรียกพวกเราว่า ลิเกเร่ร่อน จริงไหม แม่กัญญา” ถมพูดขำๆให้คลายเครียด
กัญญานึกขำ ยิ้มให้อย่างหวานอมขมกลืน แต่ก็มิวายอุ่นใจในความมองโลกในแง่ดีของถม ไข่ตุ๋นยิ้มหัวเราะ
“โอโห้พูดซะดูดีเลยนะลุง...แต่ฉันว่าลุงย้ายหนีเจ้าหนี้มากกว่ามั๊ง”
ถมทำท่ายกเท้าเตะ ไข่ตุ๋นทำท่าเอียงตัวหลบ
“อ๊ะ...ไอ้นี่...เดี๋ยวมีเอียง เข้าชายโครงสักทีดีไหมเนี่ย เด็กใหม่ทำมาเป็นซ่าส์”
ทุกคนเก็บของไป ยิ้ม หัวเราะ กับความช่างเจรจาของไข่ตุ๋น
อ่านต่อหน้า 4 วันอังคารที่ 17 ม.ค. 55
ดุจดาวดิน ตอนที่ 8 (ต่อ)
เติมบุญ สายอุษา และปานฟ้ายืนยิ้มแย้มอย่างตื่นเต้น รอรับปานเดือนที่กลับมาจากโรงพยาบาล ส่วนปานดาวกับภูวดล สีหน้าเรียบเฉย แต่ดูออกว่าไม่ค่อยพอใจ ไม่นานต่อมาอนิรุทธิ์พาปานเดือนเข้ามา ปานเดือนเข้ามาไหว้เติมบุญ กอดสายอุษาอย่างดีใจ
“พ้นเคราะห์พ้นโศกสะทีนะลูก แหม...เห็นลูกน้าตาแจ่มใสแบบนี้แล้วดีใจจริงๆนะคะคุณ”
สายอุษาหันมามองเติมบุญ
“พ่อรอวันนี้มานานแล้ว บ้านเราจะได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที เดือนของพ่อต้องเข้มแข็งแบบนี้”
ปานฟ้ายิ้มแย้มบอก
“พี่เดือนได้กำลังใจมากจากบุญทิ้ง เลยทำให้หายได้เร็ว หมอกับพยาบาลชมกันใหญ่เลยคะ”
ปานเดือนยิ้มพยักหน้ารับคำปานฟ้า ผิดกับอนิรุทธิ์ที่วางหน้าเฉยกับคำพูดปานฟ้า
“บุญทิ้งที่ไหน ทินภัทรต่างหาก รุทธิ์คะ ทินภัทรกลับมาหาพวกเราแล้วนะ แล้วนี่ลูกไปไหน หายไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่บ้าน”
“ไหนว่าอาการดีขึ้นแล้ว” ภูวดลพูดเบาๆ
ปานเดือนหันไปถามอนิรุทธิ์
“ลูกไปไหนคะรุทธิ์”
อนิรุทธิ์อึ้งไป พยายามพูดให้เธอสบายใจ
“เขาไปเรียนหนังสือจ้ะเดือน”
“เดี๋ยวคุณรีบไปรับลูกกลับมานะจ้ะ เดือนอยากเจอลูก คิดถึงลูกเหลือเกิน”
“จ้ะ เดี๋ยวผมจะไปรับบุญทิ้ง...เอ๊ย ทินภัทรมานะ”
ปานเดือนฟังอย่างดีใจ อนิรุทธิ์ถอนใจที่อาการปานเดือนก็ยังไม่ดี ทุกคนได้แต่สบตากันอย่างหนักใจ
อ่านต่อหน้า 4
ดุจดาวดิน ตอนที่ 8.4
ปานฟ้า อนิรุทธ์ เติมบุญ นั่งปรึกษากัน เรื่องรับบุญทิ้งเข้ามาอยู่ในครอบครัว
“ใจพ่อก็อยากได้บุญทิ้งมาก แต่ที่ปานดาวและภูวดลพูดก็น่าคิด พ่อไม่อยากให้เกิดเรื่องในอนาคต เพราะการรับบุตร หรือหลานบุญธรรม จะมีผลกับการแบ่งมรดกให้กับพวกเรา รวมทั้งถ้าเจอทินภัทร บุญทิ้งจะไปอยู่ตรงไหน” เติมบุญบอกอย่างกังวล
ปานฟ้าครุ่นคิด
“ถ้าทินภัทรกลับมา บุญทิ้งก็เป็นลูกพี่เดือนอีกคน หรือถ้าพี่เดือนไม่อยากได้ ฟ้ารับเป็นแม่บุญธรรมเอง”
อนิรุทธ์เขม่นมองปานฟ้าอย่างไม่ไว้ใจ
“รู้สึกน้องฟ้าหมายมั่นกับเด็กคนนี้เหลือเกิน แค่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆก็พอ ไม่เห็นต้องถึงขนาดรับเป็น บุตรบุญธรรม เอาเข้าตระกูล”
“ฟ้าเพียงแค่รักและเอ็นดูเด็กคนนี้ แล้วเขาก็ทำให้พี่เดือนดีขึ้นมากจนกลับบ้านได้ ตัวพี่เดือนเองก็ถูกชะตากับบุญทิ้งมาก จนคิดว่าเป็นลูก แต่พี่รุทธิ์พูดเหมือน...โทษนะคะ มีอคติกับเด็กคนนี้...ฟ้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ทั้งเด็กคนนั้นแล้วก็...” อนิรุทธิ์พูดลอยๆ
ปานฟ้างง ขมวดคิ้ว
“ฟ้าได้ยินคำพูดพวกนี้จากพี่รุทธิ์หลายครั้งแล้ว ถามจริงๆเถอะค่ะ พี่รุทธิ์กำลังมองฟ้าว่าหวังร้ายกับพี่เดือนเหรอค่ะ”
อนิรุทธิ์ยิ้มๆ
“พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น...ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่เห็นต้องร้อนตัว”
ปานฟ้าเริ่มโมโห
“พี่รุทธิ์...ฟ้าว่า...”
เติมบุญกลัวเรื่องจะไปกันใหญ่ รีบตัดบท
“พอๆ พ่อตัดสินใจแล้ว ให้บุญทิ้งลองมาอยู่ก่อนสักเดือนนึง ขอดูพฤติกรรมให้ชัดๆ ให้แน่ใจกว่านี้ ถ้าเข้ากับทุกคนในบ้านได้ ก็เป็นอันตกลง ถ้าทุกคนไม่รับ ก็ถือว่าไม่ได้ทำบุญร่วมกันมา”
พิมยืนแอบฟังนอกห้อง ยิ้มหยันอย่างมีแผน
วันต่อมา...ภาคิน เฟื่องแก้ว และบุญทิ้ง นั่งคุยอยู่ในห้องทำงาน
“ทางบ้านคุณปานฟ้าเขาส่งเอกสารการขอรับเราเป็นบุตรบุญธรรมอย่างเป็นทางการมาแล้วนะ เราจะว่ายังไงบุญทิ้ง” ภาคินอ่านเอกสารแล้วถาม
บุญทิ้งฟังอย่างดีใจยิ้มกว้าง แต่นึกไปสักครู่ก็หุบยิ้ม จนเฟื่องแก้วทัก
“อ้าว...ทำไมซึมไปแบบนั้นละ พี่นึกว่าบุญทิ้งจะดีใจไชโย”
“จะมีใครมาจับตัวผมอีกหรือเปล่าครับ...ผมกลัว”
“ไม่หรอก หมวดตุลย์คอยส่งสายตรวจไปนั้นแล้ว โจรคนไหนก็ไม่กล้าหรอก”
“นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ชีวิตบุญทิ้งจะเปลี่ยนไปเลยนะ” เฟื่องแก้วปลอบ
ภาคินจับมือเด็กชายให้กำลังใจ
“หลายคนเกิดมา ไม่มีโอกาสรู้ว่ากอดของแม่ มันอบอุ่นแค่ไหน ถึงคุณปานเดือนจะไม่ใช่แม่จริงๆ แต่พี่ก็แน่ใจว่าเขารักบุญทิ้งมากเหมือนลูกเขาเลยนะ เราก็จะได้บุญด้วย ที่ช่วยให้คุณเดือนหายป่วย”
“ได้ครับพี่ภาคิน ผมจะไป”
บุญทิ้งคิดถึงปานเดือนแล้วยิ้มออก
ธัญวิทย์นั่งหน้ามุ่ย คิดเรื่องบุญทิ้งจะมาอยู่บ้าน พิมเดินผ่านมา
“โธ่...คุณวิทย์ของพิม เป็นอะไรไปค่ะ ทำหน้าหงิกแบบนั้น”
ธัญวิทย์กอดอก
“ไม่ต้องมายุ่ง...ไปไกลๆ ต่อไปก็คงไม่มีใครสนใจฉันแล้ว หลังจากไอ้เด็กบ้านั้นมาอยู่บ้านเรา”
“มันมาอยู่ ก็อยู่ได้ไม่นานหรอกคะ พิมไม่ปล่อยให้มันขึ้นหม้อรอสมบัติของท่านได้แน่ ทุกอย่างต้องเป็นของคุณวิทย์เท่านั้น รับรองภายในสามวันเจ็ดวัน มันจะต้องไป หรือไม่ก็หายสาบสูญไปจากโลกนี้”
พิมยิ้มหยัน เข้าไปโอบอย่างรักใคร่เอ็นดู ธัญวิทย์ยิ้มอย่างสะใจ
ภาคินพาบุญทิ้งเข้ามาในห้องพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า บุญทิ้งสวัสดีทุกคนที่นั่งอยู่ ปานฟ้า เติมบุญ ยิ้มแย้มต้อนรับ สายอุษานิ่งไม่แสดงสีหน้า ผิดกับปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์และพิม ที่ตั้งท่ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด ปานเดือนลุกไปโอบกอดบุญทิ้ง พามานั่งใกล้ ภาคินยิ้มแย้มให้ทุกคน
“ทางมูลนิธิมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณต่อความเมตตาของทุกท่านนะครับ ที่รับบุญทิ้งมาเป็นสมาชิกในครอบครัว” ภาคินบอกทุกคน
ปานฟ้ายิ้มให้บุญทิ้ง
“ขอต้อนรับบุญทิ้งสู่บ้านหลังนี้นะจ๊ะ ต่อไปบุญทิ้งก็เป็นหนึ่งในครอบครับเรา คุณภาคินหมดห่วงได้คะ เราจะดูแลบุญทิ้งให้ดีที่สุด”
ปานเดือนลูบหัว เด็กชายยิ้มให้อย่างมีความสุขมาก
“นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมครับ”
ปานเดือนยิ้มให้อย่างรักใคร่
“ไม่ได้ฝันจ๊ะ นี่คือความจริง ก็ทินภัทรเป็นลูกแม่เป็นหลานคุณตานี่ ใครเขาจะเรียกบุญทิ้งก็เรียกไป แต่แม่จำของแม่ได้ว่าลูก เป็นลูกของแม่”
ปานดาวส่ายหน้าหยัน
“เด็กคนละคนกันชัดๆ จะเป็นทินภัทรไปได้ยังไง”
ภูวดลไม่ชอบใจนักพูดขึ้นมาเสียงแข็ง
“แล้วก็อย่าทึกทักว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวด้วย แค่มาทดลองอยู่ก่อน”
เติมบุญมองไม่ค่อยพอใจ
“อะไรที่เป็นความสุขของเดือน พ่อทำให้หมด อีกอย่างต่อไป ธัญวิทย์จะได้มีเพื่อนเล่นไม่เหงา ดีไหมเจ้าวิทย์”
พิมมองบุญทิ้งอย่างรังเกียจ ธัญวิทย์กอดอก เมินหน้าไปทางอื่น
“เหม็น สกปรก วิทย์ไม่เล่นด้วยหรอกครับคุณตา”
เติมบุญส่ายหน้า สายอุษาปรามหลาน
“ไม่เอาน่าวิทย์ อย่าไปแสดงกริยาแบบนั้น ต้องให้โอกาสบุญทิ้งสิถึงจะถูก”
ธัญวิทย์หน้าเง้า ภาคินขรึม
“ผมรับประกันได้ครับว่า บุญทิ้งเป็นเด็กดี”
ปานฟ้ายิ้มให้เขาที่ออกตัวรับแทนอย่างปลื้มใจ เติมบุญหันมาบอกหลานชาย
“เจ้าวิทย์ พาบุญทิ้งไปเล่นไป”
ธัญวิทย์หน้าหงิก
“ไม่เอา ผมไม่พามันไปหรอก”
ปานดาวไม่อยากให้ธัญวิทย์ขัดใจเติมบุญ รีบห้าม
“อย่าขัดใจคุณตาสิลูกวิทย์ พาบุญทิ้งเขาไปหน่อยนะ”
ธัญวิทย์หน้าหงิก ฟึดฟัดที่โดนบังคับ บุญทิ้งหน้าเจื่อนไป ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
ธัญวิทย์เดินนำไป บุญทิ้งมองไปรอบตัวอย่างหนักใจ ทั้งหวั่นเกรง ที่จะได้มาอยู่บ้านหลังใหญ่ ธัญวิทย์หันมาเขม่น
“ถ้าคุณตาไม่ใช้ ฉันไม่พาแกมาหรอก ไอ้เด็กขอทาน”
พิมมองบุญทิ้งอย่างรังเกียจ
“ฝันไปเถอะว่าจะได้อยู่บ้านหลังนี้อย่างคุณชาย”
พิมโยนกระเป๋าเสื้อผ้าบุญทิ้งลงพื้น
“หิ้วเองสิยะ...อย่าคิดจะมาเป็นใหญ่บ้านนี้นะ”
บุญทิ้งหยิบกระเป๋าเสื้อผ้ามากระชับที่หน้าอก มองพิมอย่างหวาด เดินตามสองคนที่เดินนำไป
“ผมเดินคนเดียวหลงแน่เลย...ห้องเยอะแยะไปหมด”
ธัญวิทย์เบ่งใส่
“คุณแม่บอกว่า ต่อไปบ้านหลังนี้ก็จะเป็นของคุณแม่คนเดียว แล้วคุณแม่ก็จะยกให้ฉันแน่”
“ไม่ใช่แค่บ้านค่ะ แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในตระกูลนี้” พิมเสริม
บุญทิ้งงงๆ
“อ้าว...จะเอาไปคนเดียวได้ไงครับ ก็ต้องแบ่งกันสิ พี่ฟ้า คุณเดือน คุณดาว มีกันตั้งสามคน หารสามถึงจะถูก”
ธัญวิทย์หันมา เอาข้อศอกอัดเข้าที่คอบุญทิ้งจนถอยไปติดผนัง
“ไม่แบ่ง...ใครจะทำไม แล้วแกก็อยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วันหรอก ไอ้สกปรก”
บุญทิ้งหายใจไม่ออก พยายามแกะมือธัญวิทย์ พิมตะคอกใส่หน้า
“ชีวิตจะสิ้นอยู่แล้วยังทำเป็นปากดี ฉันไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งสมบัติคุณวิทย์ไปได้แน่”
บุญทิ้งตาค้าง มองพิมอย่างหวาดกลัว
ค่ำคืนนั้น...ปานเดือนยิ้มอย่างมีความสุข นั่งใกล้บุญทิ้งอยู่ปลายเตียง อนิรุทธิ์ ยืนมองบุญทิ้งไม่ค่อยวางใจ
“แล้ววันนี้ก็มาถึง เราก็ได้อยู่ครบพ่อแม่ลูก แม่ดีใจจริงๆ มาอยู่ใหม่ๆ คงยังไม่ชิน ต่อไปก็ดีขึ้นเองนะจ๊ะ”
“ครับ พี่ฟ้าบอกว่าถ้าผมมาอยู่ใกล้ๆ คุณเดือนจะยิ่งหายเร็ว”
ปานเดือนลูบหัวบุญทิ้งอย่างชื่นใจ อนิรุทธิ์เขม้นมอง
“เรานี่...ท่าจะสนิทกับปานฟ้ามากสิท่า”
“พี่ฟ้าไปที่มูลนิธิพี่ภาคินบ่อยครับ”
“แล้วเขาคุยอะไรกันบ้าง รู้ไหม”
บุญทิ้งทำท่านึก
“ก็เยอะ...ผมจำไม่ได้หมด รู้แต่ว่าพี่ปานฟ้าห่วงคุณเดือนมาก และอยากให้ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ เป็นกำลังใจให้”
อนิรุทธิ์ยิ้มหยัน พูดเบาๆ
“ร้ายจริงๆ ใช้ได้แม้กระทั่งเด็กเป็นเครื่องมือ”
ปานเดือนได้ยินไม่ถนัด
“อะไรนะค่ะรุทธิ์...เครื่องมืออะไร”
อนิรุทธิ์รีบปฎิเสธ
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...ผมหาเครื่องมือจะให้คนไปซ่อมท่อน้ำ”
ปานเดือนงงๆกับคำพูดของสามี
ปานดาวปิดประตูเสียงดัง หันมาลงโมโหกับสามี ภูวดลนิ่งแต่แววตาเป็นกังวล
“มันพลิกไปเป็นแบบนี้ได้ยังไงคุณ มันกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว โอ้ย...ฉันจะบ้าตาย เหนื่อยฟรีมาตลอดหรือนี่”
“ใจเย็นน่าดาว...อารมณ์เสียไปก็เท่านั้น เกมมันยังไม่เข้าทางเรา”
“คุณทำเย็นไปเถอะ ฉันกลัวจริง วิทย์จะกลายเป็นหมาหัวเน่า ไม่เห็นหรือไง คุณพ่อโอ๋ไอ้บุญทิ้งขนาดไหน”
ภูวดลแววตาอาฆาต
“ไอ้เด็กเวรนี้มันตายยากจริงๆ ต้องเร่งนังพิมจัดการด่วนแล้ว”
“จะทำไงก็ทำไปเถอะ ให้มันออกไปพ้นๆบ้านนี้ ไม่งั้นแม้แต่กระดูกสักชิ้น ก็จะไม่เหลือถึงพวกเรา”
ปานดาวหน้าเคร่งเครียดร้อนรน ภูวดลนิ่งแต่หนักใจเป็นกังวลไม่แพ้กัน
ปานฟ้าสีหน้าแจ่มใสสดชื่น เดินยิ้มแย้มมากับภาคิน
“ตั้งแต่บุญทิ้งมาอยู่ที่นี่ พี่เดือนดูมีความสุข อาการดีขึ้นมากเลยคะ”
“ผมดีใจที่บุญทิ้งมีส่วนช่วย เป็นการดีสำหรับตัว เด็กเองด้วย ที่จะได้...” ภาคินนึกถึงตัวเอง “...มีแม่สักที”
ชายหนุ่มอดที่จะนึกถึงชีวิตตัวเองไม่ได้ หญิงสาวส่งสายตาอย่างปลอบประโลม
“สักวัน คุณต้องได้พบคุณแม่ของคุณแน่นอน”
ภาคินยิ้มเศร้า
“ผมก็หวังอย่างนั้น...ยังไงฝากดูแลบุญทิ้งด้วยนะครับ”
ปานฟ้ายิ้มล้อเลียน
“มาฝากฟ้าได้ยังไง ไม่รับฝากหรอกค่ะ ถ้าอยากดูแลก็ต้องมาดูเองบ่อยๆ”
หญิงสาวยิ้มให้เขาอย่างมีความหมาย
“ถ้างั้น...ผมจะหมั่นมาเยี่ยม เดือนละครั้ง...พอไหม”
ปานฟ้าส่ายหน้า
“ไม่พอ”
“งั้นอาทิตย์ละครั้งแล้วกัน”
“ก็ยังไม่พอ”
“งั้นมาเยี่ยมทุกวันเลย”
ปานฟ้ายิ้มหัวเราะ
“คุณต้องโทรมาหา เช้า กลางวัน เย็น ทุกวันด้วยถึงจะพอ”
ภาคินจับมือปานฟ้าอย่างรักใคร่ หญิงสาวยิ้มเขิน มองตาอย่างหวานซึ้ง
“วันนี้คุณดูมีความสุขมากนะ” ภาคินเอื้อมมือไปจับแก้ม “ยิ้มจนโลกนี้สดใสไปหมด”
ภาคินสบตาตรงๆ ปานฟ้ายิ้มเขินอาย พิมแอบถ่ายภาพสองคนที่มีความสุขยิ้มแย้มพอใจ...ภาคินลูบผมปานฟ้าอย่างรักใคร่ ยื่นหน้าเข้าใกล้จะกระซิบ
“รู้ตัวไหม ว่าวันนี้คุณทำให้ผมมีความสุขมาก”
ภาคินเข้าไปใกล้ ขณะเดียวกันนั้นเสียงสายอุษาดังมาแต่ไกล
“ฟ้า...ลูกอยู่ไหน”
ภาคินกำลังแนบหน้าใกล้แก้มปานฟ้า หญิงสาวสะดุ้ง รีบปล่อยมือ ถอยห่างอย่างตกใจ
“คุณแม่ฉันเรียกแล้ว”
ภาคินสะดุ้งเหมือนตื่นจากภวังค์ หันซ้ายหันขวา รีบลากลับ
“งั้น...ผมกลับก่อนนะครับ”
ปานฟ้ารีบพยักหน้ายิ้มให้ คอยหันไปมองสายอุษา ภาคินรีบเดินโบกมือห่างไป
“ฟ้าอยู่แถวนี้หรือเปล่าลูก”
ภาคินหันกลับมามอง ส่งยิ้มกลับอย่างชื่นใจ ปานฟ้ายิ้มทำจมูกย่นอย่างน่ารัก โบกมือให้เดินไปเร็วๆ
เฟื่องแก้วนั่งเหงา เหม่อคิดถึงบุญทิ้งอยู่ในห้องนั่งเล่นของมูลนิธิ ตุลย์เอามือปัดที่หน้าจนเฟื่องแก้วรำคาญ
“คนอะไร...นั่งเหงายังน่ารักเลย”
“หมวดนี้เมื่อไรจะเลิกกวนแก้วสักที เรายิ่งคิดถึงบุญทิ้งอยู่ ปานนี้เป็นไงบ้างแล้วก็ไม่รู้ เขาเหมือนเป็นสีสันของมูลนิธิเราเลยนะคะ บุญทิ้งร้องเพลงก็เก่ง...”
ตุลย์ทำหน้าเป็น
“ผมก็ร้องได้...”
ตุลย์ร้องเพลงสตริงสนุกๆ เฟื่องแก้วมองๆแล้วถามอีก
“เต้นท่าตลกๆก็ได้”
“ผมก็เต้นได้...”
ตุลย์เต้นท่าฮิบฮอบ ขำๆ เฟื่องแก้วมองอมยิ้ม
“แถมเต้นบัลเล่ย์ได้ด้วย”
ตุลย์ยกแขนเป็นวงเหนือหัว จิกปลายเท้าจะเต้นบัลเลย์ แต่นึกได้ก่อน
“ไม่ใช่อ่ะ...อันนี้อำแน่”
เฟื่องแก้วทำไม่รู้ไม่ชี้
“เอ้า...ไหนจะทำแทนบุญทิ้ง ก็ต้องทำให้ได้ทุกอย่างสิค่ะคุณหมวด”
“ผมน่ะทำทุกอย่างแทนบุญทิ้งได้อยู่แล้ว แต่บุญทิ้งสิทำแทนผมไม่ได้อย่างหนึ่ง”
เฟื่องแก้วงง
“อะไรคะ...”
ตุลย์ยื่นหน้าทะเล้นใกล้
“ก็เป็นแฟนกับคุณไง”
เฟื่องแก้วทำหน้าย่นใส่
“เชอะ...ฝันไปเถอะ ใครจะยอมเป็นแฟนง่ายๆ ตอนนี้คิดถึงแต่บุญทิ้ง”
“แล้วไม่คิดถึงตำรวจ หมวดขาดรักคนนี้บ้างเหรอจ๊ะ”
“จ้างก็ไม่คิดถึง คิดถึงแต่บุญทิ้งคนเดียว”
ตุลย์ยิ้มให้
“ดีนะ ว่าบุญทิ้งพึ่งแค่หกเจ็ดขวบ ไม่งั้นได้ท้าชกกันแล้ว”
เฟื่องแก้วค้อนให้อย่างหมั่นไส้ ตุลย์ยิ้มทะเล้นรับอย่างถูกใจ
ถมเดินหน้าเหี่ยวออกมาจากตลาด กัญญา ช้อย ไข่ตุ๋น มองเห็นอาการถมแล้วก้มหน้าเศร้าพร้อมกัน
“ข้าก็พยายามพูดกับเจ๊แกแล้วนะ แกว่าลิเกมาทีไร งานเข้าตลาดแกทุกที มีแต่เรื่องชกต่อย”
ช้อยทรุดตัวนั่งกับพื้น
“โอ๊ย...นี่ตลาดที่สิบแล้วนะ เดินมาทั้งวันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
ไข่ตุ๋นบีบนวด พัดให้ช้อย
“แก่แล้วยังขี้บ่นอีกนะน้าช้อยเนี่ย”
ช้อยคว้ามือจะตบหัว ไข่ตุ๋นหลบ
“ไอ้นี่นิ...ไม่ต้องนวดเลยเอ็ง จะอดตายอยู่แล้วยังหน้าทะเล้นอยู่ได้” ช้อยหันไปค้อนถม “หาที่ลงไม่ได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว จะทำไงต่อละพี่ถม”
“ท่าจะเป็นลิเกดวงตกสะแล้วคณะเรา จริงไหมว่ะไอ้ไข่ตุ๋น”
“ตกแล้วทำไมน้าไม่เก็บ...”
ถมยกขาทำท่าจะฟาดให้
“สักดอกดีไหมเนี่ย...”
ไข่ตุ๋นรีบหลบหลังช้อย
“วันนี้ลองกันอีกสักที่แล้วกันพี่ถม ถ้าไม่ได้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
ถมยิ้มให้กัญญา ช้อยเหลือบไปเห็นทำปากบู้บี้อย่างหมั่นไส้ ในขณะที่ไข่ตุ๋นทำหน้ายุ่งคิดอยากช่วยถม
อ่านต่อตอนที่ 9