ดุจดาวดิน ตอนที่ 6
ค่ำคืนนั้น ก้านซึ่งแหกคุกออกมากำลังปีนข้ามรั้วเข้าบ้านเติมบุญ โดยงัดแงะเข้าไปในตัวบ้านอย่างชำนาญ เพียงไม่นานเขาสามารถมาเข้ามาในบ้านได้อย่างสบาย ก่อนจะหันมองไปรอบๆ อย่างระวังตัว
ระหว่างนั้นปานดาวยืนคุยกับปานฟ้าเรื่องการประกวดวาดภาพอย่างไม่พอใจ
“เธอลำเอียง หลานแท้ๆ ไม่สนใจ กลับไปเอาใจไอ้เด็กข้างถนนอะไรไม่รู้ ใจดำมากนะฟ้า”
“พี่ดาวใจเย็นๆสิคะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แค่ประกวดวาดภาพของเด็กๆ คนให้คะแนนคือกรรมการ ฟ้าไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย ไม่อยากทำให้เขาเกรงใจ ต้องให้ธัญวิทย์เป็นคนชนะ ทั้งที่ไม่ใช่”
ปานดาวส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ
“เออ อะไรที่เกี่ยวกับฉัน มันไม่ดีทั้งนั้นแหละ ทั้งลูกทั้งผัวโดนหมด คนอื่นดีกว่าตลอด”
ก้านเดินมาแอบได้ยิน หยุดมอง
“ไม่มีใครคิดแบบนั้นหรอกคะ พี่ดาวนึกไปเอง”
ก้านแอบมองสองสาว แล้วยิ้มกริ่มพึมพำกับตนเองเบาๆ
“แม่เจ้าโว้ย...สวยทั้งคู่เลย ยัยดาวอะไรนี่ปากมากไปหน่อย...น้องสาวน่าสนกว่าเยอะ”
เติมบุญที่ผ่านมาได้ยินเข้า เดินมาหา ปานดาวเห็นพ่อก็เมินหน้าอย่างน้อยใจ เติมบุญมากอดไหล่
“อย่าน้อยใจไปเลย ทุกคนในบ้านนี้...รักลูก รักธัญวิทย์ ฟ้าเขาพูดถูกเรื่องรางวัล ดาวก็อย่าไปจริงจังอะไรมากนักเลยลูกเรื่องแค่นี้เอง หัดเอาวิธีคิดของน้องมาปรับใช้บ้าง”
ปานดาวมองเติมบุญ บอกเสียงกร้าวอย่างน้อยใจ และเจ็บใจ
“ใช่สิค่ะ...เรื่องเล็ก อะไรที่เกี่ยวกับดาว มันเป็นเรื่องเล็ก ไม่เคยสำคัญอยู่แล้ว ดาวเป็นพี่ ปัญญาอ่อน โง่มากจนต้องให้น้องสอนรึไงคะ ฟ้ามันลูกรัก ดาวมันลูกชัง...คุณพ่อไม่ยุติธรรมเลย ไม่เคยยุติธรรม”
ปานดาวพูดใส่หน้า แล้วสะบัดหน้า เดินฉับๆไป หน้าเครียด เติมบุญถอนใจอย่างระอา ปานฟ้าสบตาอย่างให้กำลังใจพ่อ ก้านมองปานดาวอย่างหมายมาด
พิมใส่ชุดเสื้อคอกว้าง ไหล่กุด เผยให้เห็นผิวสวย ยกถาดผลไม้เข้ามาในห้องนอน อนิรุทธิ์นั่งอยู่ปลายเตียงหันมาเห็นมองอย่างแปลกใจ
“เธอจะเข้ามาทำอะไร ก่อเรื่องไว้ยังไม่พออีกเหรอ”
พิมมองอนิรุทธิ์อย่างออดอ้อน
“ก็เพราะก่อเรื่องไว้สิค่ะถึงต้องมา พิมรู้สึกผิด เลยอยากจะมาขอโทษคุณรุทด้วยตัวเอง”
พิมวางถาดผลไม้บนเตียง นั่งลงกับพื้นใกล้ๆ อนิรุทธิ์ขยับออกห่าง
“คุณรุทคงกลุ้มใจมาก ไหนจะเรื่องคุณเดือน ไหนจะเรื่องพิมอีก พิมไม่น่าคิดสั้นรับทำงานให้คุณฟ้าเลย คุณเลยต้องเดือดร้อนแบบนี้...พิมปอกผลไม้ให้ทานนะคะ”
พิมเอื้อมมือไปหยิบส้มในถาดมาปอก อนิรุทธิ์มองจากมุมสูง เห็นเนินอกขาวของพิมที่ล้นจากเสื้อคอกว้างได้แต่ทำตาปริบ กลืนน้ำลาย พยายามหันหน้าไปทางอื่น มิวายคอยหันกลับมามอง พิมก้มมองคอเสื้อตัวเอง นึกรู้ว่าอนิรุทธิ์คอยลอบมอง ยิ่งขยับตัวไปมาให้เห็นเนินอกลึกขึ้น
อนิรุทธิ์พูดน้ำเสียงอ่อยๆอ้ำอึ้ง
“ฉัน...ว่าเธอ...ออกไปจากห้องฉันดีกว่านะ ใครเห็นเราอยู่สองคนแบบนี้ มันไม่ดี เดี๋ยวเรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่”
พิมปอกส้ม ส่งสายตาหวานเย้ายวน ยื่นให้อนิรุทธิ์
“ส้มของพิม...หวานนะ...ลองชิมสักหน่อยสิค่ะ”
อนิรุทธิ์มองอย่างไม่ค่อยแน่ใจในความรู้สึกตัวเอง พยายามข่มใจไว้ พิมส่งยิ้มหวานให้อย่างเย้ายวน เธอเอื้อมมาจับมือเขาให้รับส้มจากมือเธอ อนิรุทธิ์หลวมใจไป แต่ได้สติรีบชักมือกลับ พิมมองอย่างผิดหวัง แต่ยังพยายามยิ้มอ่อนหวาน ให้ท่า
อนิรุทธิ์ประตูห้องเปิดออกอย่างแรง หันมาบอกพิมเสียงเด็ดขาด แต่เสียงไม่ดังกลัวคนได้ยิน
“ออกไป...เดี๋ยวใครมาเห็น”
อนิรุทธิ์จับแขนพิม ดึงให้ออก แต่พิมดึงดัน รั้งตัวเองไว้ไม่ยอมออกจากห้อง ยื้อกันไปมา
“ไม่ออก...คุณรุทยังไม่ได้กินส้มของพิมเลย จะไล่พิมไปไหน”
ใจลึกๆอนิรุทธิ์ก็อยากถูกเนื้อต้องตัวพิม แต่พยายามฝืนไว้
“พูดดีๆไม่ออก...ต้องให้ลากใช่ไหม”
อนิรุทธิ์เข้าไปใกล้ตัวพิม โอบไว้หมายจะผลักให้พิมออกจากห้อง เติมบุญและปานฟ้าเดินคุยมาตามทางเดินห่างจากประตูห้องอนิรุทธิ์พอควร
“มันก็แปลก เพราะพ่อเองก็ถูกชะตากับเด็กคนนี้เหมือนที่ปานเดือนรู้สึก ยายเดือนถึงขั้นฝังใจคิดว่าเป็นลูก นี้ถ้าบุญทิ้งเป็นทินภัทรก็คงดี มีโอกาสยังไงพาบุญทิ้งมาหาพ่ออีกนะ”
ปานฟ้าพยักหน้ารับคำ ทั้งสองเดินมาใกล้ห้องอนิรุทธิ์ ได้ยินเสียง หันไปมอง เห็นสองคนยื้อกันไปมา อนิรุทธิ์หันหน้าเข้าประตูห้อง มองไม่เห็นปานฟ้าและเติมบุญที่มองมา เขาโอบไหล่พิมที่ดึงดันจะไม่ยอมออกจากห้อง พิมเหลือบไปเห็นเติมบุญและปานฟ้า แต่ทำเป็นมองไม่เห็น
“คุณรุท...ไม่เอา...อย่าค่ะ...พิมว่าในห้องดีกว่า”
เติมบุญและปานฟ้ามองอย่างตกใจ พิมปรายตามามอง รั้งตัวเองเข้าไปในห้อง เติมบุญไม่พอใจ
“นั้นแกทำอะไร...อนิรุทธิ์”
อนิรุทธิ์หันมองเติมบุญกับปานฟ้าอย่างตกใจ รีบปล่อยมือจากพิม บอกอย่างเก้อๆ
คือ...พิม...มาช่วย...ทำห้องนอนให้...”
เติมบุญกับปานฟ้ามองอนิรุทธิ์และพิมอย่างไม่พอใจ พิมยิ้มกระหยิ่มอย่างไม่แคร์ มองอนิรุทธิ์ที่ยืนหน้าเสีย เธอเดินมาทางเติมบุญ ส่งสายตายั่วเย้า ออดอ้อนความเห็นใจ เติมบุญมองกลับสายตาดุ จนพิมรู้สึกกลัว ปานฟ้ามองตามพิมอย่างเคือง หันไปมองอนิรุทธิ์ยืนหน้าเจื่อนหน้าประตู
พิมเดินยิ้มกระหยิ่มมา ก้านวิ่งออกมาจากมุมตึก เอามือปิดปากไว้ พิมชะงักตาค้าง พยายามดิ้นต่อสู้เต็มที่ ก้านรั้งไว้ไม่ให้ดิ้น กระซิบข้างหูพิม
“อย่าดิ้นสิวะนังพิม...ข้าเอง”
พิมหันมา เห็นเป็นก้านขึ้นเสียงอย่างดีใจ
“พี่ก้าน”
ก้านรีบเอามืออุดปาก
“เบาๆกลัวคนไม่ได้ยินหรือไง”
พิมมองซ้ายมองขวา ยิ้มเข้าไปกอดก้านอย่างดีใจ
ในห้องนอน...ก้านนอนคุยกับพิม...
“ข้าว่าจะต้องหาเงินสักก้อน ไว้เป็นทุนทำค้าขาย”
พิมค้อนให้อย่างรู้ทัน
“ชายยาอีกสิ”
ก้านมองตาขวาง
“ขี้คุกอย่างข้าจะให้ขายเพชรพลอยหรือไง เอ็งนี่บ่นจริง เดี๋ยวโดน คิดแล้วเจ็บใจ ติดคุกไม่กี่ปี ไอ้พวกที่เคยค้ากัน มันไม่ให้เครดิตแล้ว บอกต้องเอาตังค์มาก่อน ถึงค่อยให้ของ ดูมันสิ”
พิมไม่สบายใจ
“แล้วจะไปหาทุนจากไหน ใจฉันไม่อยากให้พี่ไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเดี๋ยวได้เข้าไปซังเตอีกรอบ”
ก้านหัวเสีย
“อย่าบ่นมากได้ไหมว่ะ เพิ่งได้ฤกษ์ดีออกมา ดันพูดถึงคุกอีกเออนี่...แล้วไอ้วิทย์ลูกข้าเป็นไงบ้าง”
พิมมองก้านอย่างตกใจ ไม่คิดว่าก้านจะถามถึง
อ่านต่อตอนที่ 6
วันใหม่...ธัญวิทย์จะออกไปเที่ยว วิ่งเล่นรอปานดาวแถวโรงรถในบ้าน พิมและก้านแอบมองจากพุ่มไม้
“ราศีลูกคุณหนูจับลูกข้าจริงๆ...เอ็งนี่หัวแหลมไม่เบา ไอ้วิทย์ได้กลายเป็นลูกเศรษฐี ตกยุ้งข้าวสารแล้วบอกมันหรือยัง ว่าเอ็งเป็นแม่” ก้านมองธัญวิทย์อย่างคิดถึงมาก
พิมส่ายหน้า
“บอกได้ที่ไหนกันเล่า พี่ภูได้ฆ่าฉันตาย”
“เออดี...งั้นข้าบอกเอง”
ก้านหุนหันจะออกจากพุ่มไม้เข้าไปหาธัญวิทย์ พิมรีบรั้งไว้...ปานดาวเดินมาที่โรงรถ ก้านและพิมผงะรีบหลบเข้าพุ่มไม้ไป
“ลูกวิทย์...สายมากแล้ว ขึ้นรถเร็ว อย่ามั่วแต่เล่นอยู่”
ปานดาวกับธัญวิทย์ ขึ้นรถ ขับออกไป ก้านหัวเสีย พิมอึกอักกังวลใจ
“อย่านะพี่ก้าน พี่บอกลูกไม่ได้นะ”
“นี่เอ็งคิดไงว่ะ ลูกเราทั้งคนนะโว้ย ให้คนอื่นมันขี้ ตู่เอาไปเฉยได้ไง ดูสิมันเรียกลูกๆๆไม่อายปาก”
“เอาไว้ก่อนเถอะพี่ อย่าเพิ่งหาเรื่องยุ่งตอนนี้เลย”
“เออ...วันนี้ยังไม่บอกก็ได้ แต่วันหน้าต้องบอกแน่ ลูกข้าทั้งคน หน้าไหนอย่าคิดมาขี้โกง”
พิมอึ้ง รู้ว่าก้านต้องก่อปัญหาแน่
ภาคิน เติมบุญ ปานฟ้านั่งที่โซฟารับแขกของมูลนิธิ เติมบุญมองไปรอบสถานที่อย่างพิจารณา
“ต้องขอโทษท่านด้วยนะครับ มูลนิธิเรายังเล็ก อาจจะคับแคบไม่ค่อยสะดวก” ภาคินชวนคุย
“มูลนิธิเล็กไม่เห็นจะเป็นไร แค่งานที่ทำยิ่งใหญ่ก็พอแล้ว”
ปานฟ้ามองเติมบุญอย่างปลื้มใจ หันมาส่งยิ้มให้ภาคิน
“เพราะแบบนี้ไงค่ะ ฟ้าถึงอยากให้คุณพ่อมาเห็นกับตา ว่ามูลนิธิที่ทางห้างเราสนับสนุนไม่ใช่เพราะชื่อเสียงหรือความใหญ่โตของมูลนิธิ แต่พิจารณางานที่มูลนิธินั้นทำเพื่อสังคมมากกว่า”
บุญทิ้งเดินเข้ามาไหว้เติมบุญและปานฟ้า ทั้ง 3 คนหันไปมองยิ้มให้ เติมบุญมองบุญทิ้งอย่างถูกชะตายิ่ง
“ไงบุญทิ้ง...ไม่แวะไป เยี่ยมกันบ้างเลยนะ”
บุญทิ้งยิ้มเขินๆ
“เดี๋ยวผมพาท่านชมรอบๆมูลนิธิดีไหมครับ”
เติมบุญหันมายิ้มให้ภาคิน
“ฉันขอให้บุญทิ้งพาฉันชมได้ไหม”
เติมบุญกวักมือเรียก บุญทิ้งเดินมาใกล้
“ไหวไหมเรา จะหลงไหมเนี่ย”
บุญทิ้งยิ้มอย่างมั่นใจ
“ไม่หลงหรอกครับ”
ทั้งหมดหัวเราะ ปานฟ้าดีใจที่เห็นพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เติมบุญลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดูมาก
ภาคินเปิดประตูห้องทำงาน ปานฟ้าเดินตามเข้ามา หยุดยืนคุยกันในห้อง
“นี่คุณให้บุญทิ้งพาคุณพ่อชมสถานที่จริงๆเหรอค่ะ ฉันนึกว่าคุณพูดเล่น”
ภาคินยิ้มให้อย่างล้อเลียน
“ใครว่าผมพูดเล่น บุญทิ้งทั้งเก่งทั้งคล่อง ผมบอกอะไรเขาจำเร็วมากเผลอๆตอนนี้บุญทิ้งอธิบายได้ดีกว่าผมอีก”
ปานฟ้ายิ้มให้เขาอย่างมีความสุข
“คุณรู้ไหม ฉันไม่ได้เห็นคุณพ่อหัวเราะ อย่างมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว บุญทิ้งท่าจะเป็นยาวิเศษจริงๆ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“หัวเราะอย่างมีความสุข เหมือน...คุณที่สวนสนุกหรือเปล่า”
หญิงสาวยิ้มค้อนให้เล็กๆ
“อย่ามาแซวกันนะ ใครกันน๊า....ดมยาดมเป็นว่าเล่น ขำจริงๆ คุณภาคินเนี่ย ไม่นึกว่าจะกลัวความสูง วันหลังจะชวนไปบ่อยๆ”
ทั้งสองหัวเราะให้กัน
“ว่าแต่ว่า ใครกันนะ วันนี้ทำแกล้งว่าจะมาเยี่ยมบุญทิ้ง แต่จริงๆ แล้วคิดถึงผม”
ปานฟ้ากอดอก แกล้งงอน
“คิดถึงตาย...”
ภาคินส่งสายตาหวานให้ปานฟ้าจนเขิน เสียงเคาะประตูดังขึ้น สองคนหันไปมอง
บุญทิ้งเดินนำเติมบุญเข้ามาในห้องครัว เติมบุญมองไปรอบๆเห็นสภาพห้องครัวเล็กๆเก่าๆโล่งไม่ค่อยมีอะไร ในห้องแต่สะอาดจัดเรียบร้อย
“และห้องนี้ก็คือห้องครัวครับ พวกเราทำอาหารกันที่นี่ บางทีก็มีป้าแม่ครัวมาทำให้ บางทีพวกเราก็ต้องทำกันเอง”
เติมบุญแปลกใจ
“ทำกันเอง...บุญทิ้งทำเป็นด้วยเหรอ”
“เป็นสิครับ อร่อยด้วย”
เติมบุญเดินไปเปิดตู้กับข้าวและตู้เย็น ไม่ค่อยเห็นมีอะไรในตู้ เติมบุญก้มๆเงยๆ พูดไปก็มองหากับข้าวไป
“แล้วเธอจะทำอะไรให้ฉันกิน...ทั้งตู้กับข้าว ตู้เย็น ทำไมมันโล่งไม่มีอะไรแบบนี้”
“มีสิครับ...”
เติมบุญหันมามองบุญทิ้ง ที่หยิบไข่ไก่ไว้ในมือข้างละฟอง หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“นึกแล้ว...ว่าต้องเป็นไข่เจียว”
เด็กชายยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ท่านเดาผิดไปแล้วครับ”
เติมบุญงงๆ
เฟื่องแก้วเดินถือแฟ้มเอกสารเข้ามา เห็นปานฟ้ากับภาคินอยู่ด้วยกัน ก็หยุดยืนหน้าห้อง
ทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์
“อ้าว...เห็นเด็กบอกว่ามีแขกมาเยี่ยมมูลนิธิเรา เฟื่องนึกว่าคุณพาเยี่ยมชมสถานที่”
ภาคินยิ้มให้เฟื่องแก้ว
“ผมให้บุญทิ้งลองแสดงฝีมือ คณะที่แล้วยังประทับใจเลย”
เฟื่องแก้วเดินเข้ามาหาหา
“ไอ้เราก็เดินตามหาตั้งนาน...” เฟื่องแก้วปรายตามองปานฟ้า “หลบมาอยู่นี่เอง”
ปานฟ้ายิ้มให้น้อยๆ แต่เห็นเฟื่องไม่ยิ้มตอบเลยทำหน้าเฉย ภาคินเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เฟื่องแก้วเดินตามมา
“มีธุระด่วนอะไรไหมครับ ขอโทษทีนะคุณเฟื่องให้ตามหา”
“ไม่มีอะไรด่วนหรอกค่ะ เฟื่องก็เข้าออกห้องนี้เป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว แค่เอาเอกสารมาให้เซ็นค่ะ”
ภาคินรับเอกสารเอาไปดู
“อ๋อ...เรื่องนี้ยังอีกนาน ต้องรอประสานกับทางกระทรวงก่อน”
ปานฟ้าอึกอัก
“คุณคุยเรื่องงาน ถ้างั้นฟ้าขอตัวก่อนนะค่ะ จะได้ออกไปดูคุณพ่อด้วยไม่รู้บุญทิ้งพากันไปถึงไหนแล้ว”
เฟื่องแก้วลอบมองยิ้มดีใจ
“ไม่ใช่งานอะไรเลยครับ ไม่ด่วนหรอก เดี๋ยวผมมีเรื่องคุยกับคุณฟ้าด้วยครับ เดี๋ยวเราออกไปหาคุณพ่อคุณพร้อมกันก็ได้” ภาคินหันไปหาเฟื่องแก้ว “นอกจากเรื่องนี้มี...อะไร...อีกไหมครับ”
เฟื่องแก้วอึ้งไปรู้ว่าเป็นส่วนเกิน
“ไม่มีก็ได้ค่ะ...เชิญตามสบายค่ะ”
เฟื่องแก้วเดินลงส้นเท้ากลับออกไป ค้อนเล็กๆใส่ปานฟ้าที่ทำหน้างงๆ เธอไม่พอใจที่ภาคินให้ความสำคัญกับปานฟ้าเหลือเกิน ปิดประตูเสียงดังใส่ปานฟ้า
หลังจากเจียวไข่แล้ว...เติมบุญเอามีดหันไข่ออกเป็นชิ้นๆ บุญทิ้งยืนหั่นผักยิ้มให้อยู่ข้างๆ
“นี่มันไข่เจียวแท้ๆ ไหนบอกว่าไม่ใช่”
บุญทิ้งยิ้มให้เติมบุญอย่างไร้เดียงสา
“พวกเรากินไข่เจียวไม่ได้หรอกครับ...มันเปลือง...เจียว 2 ฟอง แบบนี้ก็กินกันได้แค่ 2 คนแถมไม่อิ่มด้วย แต่ถ้าเอาไปทำไข่น้ำใส่ผักซะหน่อย ใส่น้ำปลาเยอะๆ กินกันได้ตั้ง 10 คนหนะครับ...เดี๋ยวผมสาธิตให้ชม”
บุญทิ้งเอาไข่ที่เติมบุญหั่นใส่ในหม้อน้ำเดือดที่วางบนเตา ใส่ผักเหยาะน้ำปลา ใส่น้ำตาล แล้วชิม เติมบุญมองอย่างชื่นชมในความคล่องแคล่วมาก บุญทิ้งตักน้ำซุปมาดมและชิม
“หอม....จริงๆ” บุญทิ้ง ชิมน้ำซุป “อืมมมม เค็มดีชะมัดเลย น้ำแกงแบบนี้เอาราดๆข้าว อร่อยครับท่าน กินกันพุงกางเลย แต่กินเปล่าๆไม่ได้ มันเค็มจัด อยู่ที่นี่ยังโชคดีได้กินทุกมื้อ ถ้าเป็นเมื่อก่อน....”
บุญทิ้งหน้าเศร้า เติมบุญมองบุญทิ้งอย่างสงสารเห็นใจ เดินเข้าไปลูบหัว
“ตาจะไม่ให้เจ้าต้องลำบากอีกแล้ว...บุญทิ้งเอ๊ย”
บุญทิ้งยกมือไหว้
“ขอบคุณครับ ...คุณตา”
เติมบุญโอบบุญทิ้งอย่างเอ็นดู บุญทิ้งตักไข่น้ำในหม้อให้เติมบุญชิม
เฟื่องแก้วเดินหน้ามุ้ยออกมาที่สนามนด้านนอก ขณะที่ในสนามมีเด็กๆนั่งเล่นกันอยู่
“ออกนอกหน้าเหลือเกินคุณภาคินนะ...”
ขณะเดียวกันนั้น พ่วงแอบมองจากรั้วนอกมูลนิธิ
“หาตั้งนาน...มารวมกันอยู่ที่นี่เอง”
พ่วงมองไปเห็นบุญทิ้งและเด็กๆอย่างหมายมาด คิดเอาตัวกลับไปหากินให้อย่างเก่า เมื่อกลับไปที่ห้องเช่าเก่าๆ พ่วงนั่งกินเหล้ากับก้านที่มาพักอยู่ด้วยกัน พลางปรึกษาเรื่องจะหาเงิน
“เอ็งไม่มีเงินมันก็ไม่ปล่อยของให้ เอ็งติดคุกซะนาน อะไรมันก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว”
“ไม่มีเงินก็ให้เด็กมันหาให้สิ เอ็งมันเจ้าพ่ออยู่แล้วนิ...เจ้าพ่อเด็กขอทาน ตั้งแก๊งเหมือนเก่าอีกสักทีเถอะว่ะ”
พ่วงกังวล
“ไอ้เด็กๆ ที่เคยมี มันก็หายกันไปหมดแล้ว จะหาเด็กใหม่ มันก็ไม่ง่ายนะ ต้องใช้เวลา”
“ไปตามมูลนิธิเด็ก ชอบคนไหน เอามาเลย ถ้ามันไม่ยอมมาดีๆ เอ็งก็มีวิธีนี่หว่า ง่ายๆแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ แล้วจะมาเป็นลูกน้องข้า ได้ไงวะ”
พ่วงมองหน้าก้านที่พูดด้วยน้ำเสียงจริงๆ จนพ่วงนึกกลัว คิดวิธีหาเด็กเอามาหากิน
เติมบุญและปานฟ้ากลับมาจากเยี่ยมบุญทิ้ง อารมณ์ดีทั้งคู่ สายอุษาเดินเข้ามา
“เห็นว่าคุณกับลูกฟ้าไปเยี่ยมบุญทิ้งถึงมูลนิธิ เด็กคนนั้นมีอะไรดีถึงถูกชะตากันนักค่ะ”
เติมบุญยิ้ม
“ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคย เหมือน ..ไม่ใช่คนอื่น”
“คงเพราะอายุรุ่นเดียวกับทินภัทรมั้งคะ ฟ้าก็ยังรู้สึกเหมือนคุณพ่อเลย” ปานฟ้าออกความเห็น
“แปลกนะ กับหลานแท้ๆอย่างธัญวิทย์ พ่อยังไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ถ้าทินภัทรโตมาน่ารัก ฉลาดอย่างบุญทิ้ง พ่อคงมีความสุขมาก”
“แต่ถึงยังไงบุญทิ้ง...ก็ไม่ใช่ทินภัทร”
เติมบุญนิ่งไป อย่างต้องยอมรับเหตุผล สายอุษาเดินไปกับปานฟ้า เติมบุญหันมาเห็นพิมที่ยืนอยู่ พิมสบตาแล้วทำเดินมาใกล้ ให้ท่าในที
“ไปไหนมาทั้งวันคะคุณท่าน เหนื่อยไหมค่ะ พิมนวดให้ไหม”
เติมบุญสบตาอย่างเย็นชา บอกเสียงเรียบ
“ไม่ต้อง... อย่ามาวุ่นวายกับฉันเลย”
เติมบุญว่าให้แล้วเดินไป พิมได้แต่มองตามหลังอย่างขัดใจ และผิดหวัง
ในศูนย์การค้า...ก้านมองธัญวิทย์ที่เล่นเครื่องเล่นในศูนย์การค้าด้วยแววตารักใคร่ พิมยืนอยู่ข้างๆ พลางบ่นอย่างเบื่อหน่าย
“ฉันเบื่อเต็มทนแล้วแล้วพี่ เป็นแค่คนใช้เลี้ยงเด็ก เกือบหลุดปากบอกธัญวิทย์ตั้งหลายครั้งแล้ว ดีที่ห้ามใจไว้ทัน”
“ทีข้าจะเข้าไปบอกลูกเอ็งก็ห้าม กลัวพี่เอ็งกระทืบ ทีงี้มาบ่น แต่คิดอีกที อย่าพึ่งบอกก็ดีเหมือนกัน ให้มันอยู่อย่างลูกเศรษฐีไปก่อน พอได้สมบัติ เราค่อยบอก ยังไงสักวันมันก็ต้องรู้ ว่าเอ็งกับข้าเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง”
พิมหน้ามุ้ย
“จนแบบนี้ ฉันละอายใจที่จะบอกลูก”
“เดี๋ยวจะทำให้เอ็งหายจนเอง คอยดู ข้ากำลังทำงานใหญ่อยู่กับพวก”
“อีกแล้วหรอ … พี่ก้าน ฉันไม่อยากเอาโอเลี้ยงไปส่งพี่ที่คุกอีกนะ”
ก้านยิ้มลำพอง
“ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้จะไม่เหมือนคราวก่อน”
พิมมองอย่างนึกสงสัยในคำพูดของก้าน
อ่านต่อหน้า 2
ดุจดาวดิน ตอนที่ 6 (ต่อ)
บุญทิ้งเดินออกมาจากมุมตึกมูลนิธิ มองไปที่สนามแล้วตกใจมาก รีบหลบกลับที่มุมตึก เพราะที่สนามนั้น เด็กๆ กินขนมที่พ่วงแจกให้อย่างชอบใจ พ่วงมองอย่างหมายมาด
“แต่ละคน ดูใช้ได้เว้ย แบบนี้หากินง่าย” พ่วงถามเด็ก “อยากได้มากกว่านี้อีกไหม ข้ามีทั้งของเล่น ทั้งของกินสารพัด จะพาไปเที่ยวที่แปลกๆ สนุกๆ สนใจป่าว”
“จริงเหรอลุง”
“จริงดิ”
“แต่ถ้าจะไปไหน ต้องขอพี่ภาคินก่อน”
“ขืนขอก็ไม่ได้ไปสิวะ พวกเราแอบไปเงียบๆ แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวก็กลับมา” พ่วงเห็นบางคนรีรอ “ ใครปอดแหกก็อยู่นี่ต่อไปเหอะ แต่ใครอยากสนุก อยากได้กินของดีๆ ตามข้ามาเลย”
เด็กๆพากันยิ้มแย้มดีใจ ตามพ่วงไป พ่วงมองซ้ายมองขวาอย่างกลัวคนเห็น แล้วรีบพาเด็กๆไป บุญทิ้งอยากจะร้องเตือนเพื่อนๆ แต่ไม่กล้า ได้แต่มองตามเพื่อนๆ อย่างเป็นห่วง กลัวมากที่เห็นพ่วง
ธัญวิทย์เล่นเกมส์ตู้ในห้าง ก้านเดินเข้ามาใกล้ยิ้มให้อย่างเอ็นดู ธัญวิทย์เหลือบตาไปมองหน้าบึ้งๆ หันมาเล่นเกมส์ต่อ ก้านลูบหัว ธัญวิทย์ปัดมืออย่างรังเกียจ มองก้านตาแข็ง
“แกเป็นใคร...ไปห่างๆสิ...ฉันจะเล่นเกมส์ต่อ” ธัญวิทย์มองที่หน้าจอ “ดูสิ จะยิงพวกมันได้หมดอยู่แล้ว”
ธัญวิทย์ตั้งใจเล่นเกมส์ต่อ ก้านมองหน้าจอตาม เอาหน้าเข้าใกล้ จนธัญวิทย์อึดอัดต้องขยับหนี
“มองใกล้ๆแบบนี้ยิ่งเหมือน...”
ธัญวิทย์เริ่มโมโหที่ก้านเข้ามาขัดจังหวะเล่นเกมส์ที่กำลังสนุก เอามือผลักหน้าก้านให้ออกไปให้พ้น
“เฮ้ออออ....ไอ้บ้านิ...ไปบ้าที่อื่นไป...กวนประสาทอยู่ได้” ธัญวิทย์มองหน้าจอตู้เกมส์ แล้วเสียดาย “....เห็นไหม ตายเลย เพราะแกนั้นแหละ....ไอ้บ้า”
ธัญวิทย์มองก้านตาขวาง ลุกเดินหนี ก้านเดินตาม ดึงตัวธัญวิทย์มากอด
“ข้าคิดถึงเอ็งมากนะ มากอดทีสิ”
ธัญวิทย์ทั้งดิ้นทั้งด่าสะบัดตัวจนหลุด
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า ช่วยด้วย.. เดี๋ยวแม่ฉันมาแกตายแน่รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
ธัญวิทย์ถอยห่าง ก้านเดินตาม ทำท่าให้ธัญวิทย์เข้ามากอด
“มาให้ข้ากอดหน่อย...เอ็งนี่ดูดีไม่หยอกนะโว้ย มานี่สิ”
ธัญวิทย์มองก้านอย่างดูถูก รีบวิ่งหนีไป ร้องตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีคนบ้า”
รปภ.เข้ามาดู ก้านรีบวิ่งหนี
พิมหน้าเสียได้แต่มองแล้วเฉย ไม่กล้าช่วยอะไร
ในมูลนิธิ...บุญทิ้งเดินหน้าตื่นๆมาเจอเฟื่องแก้วที่หน้าบึ้งอารมณ์ไม่ดี
“จะรีบไปประจบเศรษฐีอีกเหรอบุญทิ้ง”
บุญทิ้งมองเฟื่องแก้วอย่างสงสัย
“ประจบใครครับ ผมแค่พาคุณพ่อพี่ปานฟ้าดูมูลนิธิ”
“ไม่ต้องแก้ตัวเลย ใครๆก็ชอบคนรวยทั้งนั้น ทั้งพ่อทั้งลูกสาว มีแต่คนรักคนเอาใจ”
เฟื่องแก้วเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป
บุญทิ้งงง ได้แต่เกาหัวมองตาม ไม่เข้าใจที่เฟื่องแก้วประชดไปถึงภาคิน
เติมบุญ กับปานฟ้าจะกลับ ภาคินมาส่งด้านหน้า...
“อยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่ผมมีธุระ ไว้วันหลังจะมาใหม่นะ”
“ยินดีต้อนรับท่านเสมอครับ”
บุญทิ้งวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาภาคิน
“พี่ภาคิน....คือ...ผม...”
บุญทิ้งนึกกลัวขึ้นมาว่าภัย จะถึงตัวถ้าพ่วงรู้ว่าตัวเองเป็นคนมาฟ้อง นึกลังเลว่าจะพูดต่อดีไหม
เฟื่องแก้ววิ่งมาแต่ไกลอย่างตกใจ ร้องตะโกนเสียงดัง
“เกิดเรื่องแล้วค่ะคุณภาคิน...”
ทุกคนหันไปมอง เฟื่องแก้วกระหืดกระหอบยืนหน้าภาคิน
“เด็กๆ...เด็กหายไปค่ะ เสื้อผ้าของใช้ก็หายไปด้วย”
“อะไรนะ...”
ทุกคนฟังอย่างนึกไม่ถึง บุญทิ้งตกใจกลัวนึกว่าพ่วงแน่ๆที่มาลักเด็กกลับไป
ภาคิน กับเฟื่องแก้วสอบถามเด็กๆเกี่ยวกับเด็กที่หายไป บุญทิ้งกังวลยืนอยู่ไม่ห่าง แต่ไม่กล้าพูดอะไร ขณะเดียวกันตุลย์เดินเข้ามา
“ได้เรื่องอะไรไหมหมวด”
ตุลย์ส่ายหน้า
“มันไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย แต่น่าแปลกเด็กที่หายไปทั้งหมด คือ คนที่เคยอยู่กับบุญทิ้งที่บ้านพ่วงมาก่อน”
“ไม่เห็นได้ยินเสียงใครร้องให้ช่วยเลยครับ ไม่รู้หายกันไปตอนไหน”
“บุญทิ้งละ...ได้ยินหรือเห็นอะไรไหม” เฟื่องแก้วหันมาถาม
บุญทิ้งรีบส่ายหน้า ไม่กล้าพูดอะไรกลัวเรื่องจะมาเข้าตัว
“แสดงว่าเด็กๆต้องรู้จักคนที่มาพาออกไปแน่ หรือ...พ่วงจะมาที่นี่”
บุญทิ้งฟังด้วยความหวาดกลัวมาก กลัวว่าจะถูกพ่วงเอาตัวกลับ
ในห้องนั่งเล่น...ทุกคนในบ้านนั่งอยู่พร้อมหน้า ขณะที่ธัญวิทย์ฟ้อง
“ผมกลัวแทบแย่ ไอ้บ้าจากไหนไม่รู้มากอดผม ขยะแขยงจะตาย” ธัญวิทย์มองพิมอย่างโกรธๆ “พี่พิมก็ไม่ช่วยเลย ได้แต่มอง”
พิมตกใจหน้าเสีย ปานดาวหันมองพิมตาขวาง
“เกิดเรื่องแบบนี้ ทำไมแกไม่เข้าไปช่วยคุณวิทย์”
“นี่ถ้าโดนจับตัวไปทำไง ลูกฉันทั้งคน...”
พิมค้อนใส่ภูวดล พูดน้ำเสียงขุ่นๆ
“ก็พิมมัวแต่ตกใจนิค่ะ ไม่ใช่คนบ้าหรอกคะ เขาคงเห็นคุณวิทย์น่ารัก เลยเข้ามากอด พิมไม่ปล่อยให้ลูก....เอ่อ...คุณภูกับคุณดาว เป็นอะไรไปหรอกค่ะ พอพิมจะเข้าไปช่วย พวก รปภ.ก็มาพอดี’
ปานดาวหันมาทางปานฟ้าอย่างเคืองๆ
“ฝ่ายรักษาความปลอดภัยไม่ได้เรื่อง เธอดูแลลูกน้องประสาอะไรยายฟ้า นี่ถ้าเป็นพวกโรคจิต จับตัวลูกฉันไปจะว่าไง ทินภัทรโดนไปคนนึงแล้ว จะให้ลูกวิทย์โดนอีกคนเหรอ”
เติมบุญ สายอุษา อนิรุทธิ์ฟังอย่างหน้าเสีย ปานฟ้าโต้ทันที
“เรื่องแบบนี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกค่ะ ฟ้ากำชับฝ่ายรักษา ความความปลอดภัยไปแล้ว ต่อไปคงไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก”
“เธอจะไปโทษฟ้าคนเดียวก็ไม่ควรหรอก น้องฟ้ามีงานเยอะมาก แถมตอนนี้รุทเขาก็...เข้าไปทำงานเสียเมื่อไหร่” ภูวดลมองอนิรุทธิ์ “ก็เห็นใจนะ...แต่เฝ้าคุณปานเดือนทั้งวันมันก็ไม่ถูก ศูนย์การค้าใหญ่ถ้าดูแลไม่ทั่วถึง...อันตราย”
อนิรุทธิ์สีหน้าไม่ค่อยดีที่โดนพาดพิง เติมบุญส่ายหน้าอย่างละอา
“พอที หยุดได้แล้ว ต่อไปก็ระวังหน่อย สมัยนี้แก๊งจับเด็กมีเยอะ ที่มูลนิธิของคุณภาคินเด็กก็พึ่งหายตัวไป”
ปานดาวยิ้มเยาะมองปานฟ้า
“เด็กบุญทิ้งด้วยหรือเปล่า...”
“บุญทิ้งยังโชคดีค่ะ ไม่โดนไปด้วย”
“น่าเสียดายจริง แสบอย่างมัน น่าจะโดนซะ”
เติมบุญมองปานดาวอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ว่าอะไร เพราะขี้เกียจทะเลาะกัน
วิมลวรรณ กับก้องภพ นั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น ขณะที่อานนท์นั่งฟังเงียบๆ...
“ฉันเพิ่งฟังสรุปงานแสดงเครื่องเพชรปีนี้ จัดใหญ่มากนะคะ เชิญแขกและสื่อมวลชนมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ที่สำคัญ...ปีนี้แม่งานเขาฝากแม่มาทาบทามลูกให้เดินแบบอีก”
ก้องภพยิ้มหัวเราะในลำคอ
“อย่างผมต้องมีสาวสวยเดินคู่นะครับ เดินเดี่ยวไม่เป็น”
ภาคินเดินมา พอเห็นทุกคนคุยกันอยู่จึงชะงักฟัง...
“ปีที่แล้วแกก็ขึ้นหน้าหนึ่ง เป็นข่าวฉาวคู่กับนางเอกหนังโป๊ไปทีแล้ว เดินแบบแล้วมีจูบกันกลางเวที จนอื้อฉาวทั้งเมือง มาปีนี้จะเป็นข่าวกับใครอีก” อานนท์ถามอย่างรำคาญ
“ปีนี้จะเป็นข่าวยิ่งกว่าทุกปีครับคุณพ่อ แต่เป็นข่าวดีที่ทุกคนต้องฮือฮา เพราะผมจะเดินคู่กับน้องปานฟ้าครับ”
วิมลวรรณยิ้มอย่างดีใจ อานนท์สีหน้าเรียบเฉย ภาคินฟังอย่างอึ้งๆ รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
วันต่อมา...ปานฟ้า ต้องมานั่งรับแขกเป็นเพื่อนสายอุษา เมื่อวิมลวรรณและก้องภพมาพบ
“ลองคิดดูนะค่ะ คืนวันงาน นักข่าวจะมาเป็นร้อย หนูฟ้ากับลูกก้องภพต้องเป็นคู่ที่เด่นที่สุดบนแคทวอล์ก โอ๊ย...ไม่ดังงานนี้แล้วจะไปดังงานไหนค่ะคุณพี่ขา”
วิมลวรรณคุยโอ่ ก้องภพยิ้มกริ่ม กระแอมไอยืดอก
“ปกติเดี่ยวๆก็ดังอยู่แล้ว แต่ปีนี้ขอดังคู่กับฟ้าสักหน่อย ยังไงคุณจัดคิวให้ว่างด้วยนะ ผมจะมารับไปซ้อมเดิน”
ปานฟ้างง
“อย่ามัดมือชกกันแบบนี้สิคะ ฟ้ายังไม่ได้บอกเลย ว่าจะตกลง เดินงานนี้ ฟ้าไม่ชอบเป็นข่าวค่ะ เกรงว่าจะไม่ไหวค่ะคุณป้า ให้ก้องดังไปคนเดียวแล้วกัน”
ก้องภพฟังอย่างผิดหวัง วิมลหันมามองทางสายอุษา ให้ช่วยพูด สายอุษานิ่งไป บอกอย่างไตร่ตรอง
“งานนี้เป็นการกุศล ถ้าช่วยได้ก็ทำเถอะลูก แค่ไปเดินแฟชั่นโชว์ เครื่องเพชร ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรเลย”
“นั่นสิ เงินที่ได้ก็บริจาคหมด ถือว่าทำบุญร่วมกัน ชาติหน้าทั้งคู่จะได้” วิมลมองปานฟ้าและก้องภพ “เกิดมาเป็นทองแผ่นเดียวกันอีก จริงไหมค่ะคุณสายอุษา”
วิมลวรรณหัวเราะชอบใจ สายอุษายิ้มแห้งๆ มองก้องภพอย่างแน่ใจ ว่าไม่ควรให้มาเกี่ยวดองด้วย ขณะที่ปานฟ้าครุ่นคิด
“นะฟ้า อย่าคิดมากน่า...ทำบุญด้วยกันไง …” ก้องภพพยายามอ้อน
“ก็ได้ค่ะ แต่มีข้อแม้ เงินที่ได้ ส่วนนึงต้องมอบให้มูลนิธิของคุณภาคิน”
วิมลวรรณหยุดหัวเราะแทบไม่ทัน ก้องภพอึ้ง เสียงกร้าวอย่างลืมตัว
“ไปให้มันทำไม...มูลนิธิกระจอกแบบนั้น มันไม่เป็นข่าวหรอกหนู....มูลนิธิอื่นที่น่าให้ มีเยอะแยะไป”
ทุกคนหันมามองวิมลวรรณเป็นตาเดียวกัน
วิมลวรรณนึกได้ว่าแรงไป ทำตาปริบๆ
“ไม่ให้ก็ไม่เป็นไรค่ะ...แต่ฟ้าคงไม่เดิน”
ก้องภพหน้าเสีย มองหน้ากับวิมลวรรณที่ยังอารมณ์หงุดหงิดค้างอยู่
เมื่อกลับไปบ้าน วิมลวรรณโวยวายอย่างหงุดหงิด...
“แกเอาคนอื่นเดินเถอะนายก้อง ฉันอุตส่าห์แบกหน้าไปเชิญถึงบ้าน ยังทำเล่นตัวอีก หนอย...หยิ่งยะโสจริงๆ”
“ไม่ได้ครับ” ก้องภพจับมือวิมลวรรณอ้อนๆ “แม่ต้องทำให้เขาตกลงนะ ผมต้องเดินกับฟ้าให้ได้”
“แกหูแตกหรือไง นางฟ้านางสวรรค์ของแก บอกต้องให้เงินมูลนิธิไอ้ภาคินด้วย ฉันยอมตายดีกว่าจะทำแบบนั้น แกก็รู้แม่เกลียดมันแค่ไหน ถ้าให้เงินมัน เท่ากับมันมามีส่วนร่วมในงาน ส่งเสริมมูลนิธิมัน ทั้งทางตรง ทางอ้อมสิ”
“ถ้าแม่ไม่ให้ ฟ้าก็ไม่เดิน แล้วถ้าฟ้าไม่เดิน ผมก็ไม่เดินด้วย ให้งานมันพังไปเลย”
“โอ๊ย..ฉันอยากจะบ้าตาย...มีลูกกับเขาคน ก็หลงผู้หญิงจนน้ำลายจะฟูมปากแล้ว ไม่เคยเห็นแกเคยหลงผู้หญิงคนไหนขนาดนี้ แล้วทำไมกับแม่นี่ ถึงเป็นบ้านักหนา”
ก้องภพเดินไปอย่างไม่สนใจ วิมลวรรณหันรีหันขวางอย่างอยากจะบ้าตาย
ภาคินนั่งอยู่กับเฟื่องแก้วในห้องทำงาน...
“ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ คุณหญิงไฮโซพันล้านจะมาสนมูลนิธิเล็กๆแบบเราด้วย” เฟื่องชี้อ่านจดหมายยเชิญอย่างตื่นเต้น “ไม่ใช่แค่บริจาคเงินนะค่ะ แต่เชิญเราไปงานด้วย โก้ไม่หยอกเลยนะคะคุณภาคิน”
ภาคินนิ่งคิด ปานฟ้าเดินเข้ามาสีหน้าสดชื่น
“ฝีมือคุณใช่ไหมมั้ย” ภาคินถามทันที
ปานฟ้ายิ้มรับอย่างอ่อนหวานแกมล้อเลียน
“งานนี้จะรับเงินอย่างเดียวไม่ได้นะคะ ต้องทำงานด้วย”
ภาคินงง
“จะให้ผมไปทำอะไร”
“เดินแฟชั่นโชว์ไง”
ภาคินรีบร้องบอก
“ไม่เอา...ผมเดินไม่เป็น”
ปานฟ้าหัวเราะชอบใจ แกล้งหยอก
“เอาน่า...เดี๋ยวฟ้าหัดให้ ไม่ยากหรอก นะ...นะ”
ภาคินส่ายหน้าบอกปัด ปานฟ้าเอานิ้วเขี่ยที่ต้นแขนนิดๆ จนเฟื่องแก้วมองอย่างหึงถึงความสนิทของสองคน
ภาคินและปานฟ้า มาประชุมงานเดินแฟชั่นเครื่องเพชร กับชวนพิศเจ้าหน้าที่จัดงาน
“ดีใจด้วยนะคะ ที่ได้คัดเลือกเป็นอีกมูลนิธิ ที่จะได้รับมอบเงินในคืนวันงาน ถึงแม้จะเป็นมูลนิธิเล็กๆเราก็ไม่เคยมองข้าม” ชวนพิศบอกภาคิน
“ต้องขอบคุณคุณหญิง และเจ้าหน้าที่ทุกท่านมากครับที่เมตตาต่อมูลนิธิเรา ทุกมูลนิธิไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ช่วยสังคมครับ” ภาคินยิ้มแย้ม
วิมลวรรณเดินผ่านมาหน้าห้องประชุม มองเข้ามาสะบัดหน้าอย่างไม่อยากเห็นหน้าภาคิน แล้วเดินผ่านไป
ขณะเดียวกัน นิตยาซึ่งอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ มองภาคินอย่างสังเกต แล้วบอกกับวิมลวรรณ
“ดิฉันได้ไอเดียแล้วพี่หญิงขา มองๆไป คุณภาคินนี่หล่อไม่เบานะรูปร่างก็....ดี๊ดี เท่เชียว... “นิตยาเดินไปใกล้ภาคิน “รบกวนลุกขึ้นยืนนิดสิคะ”
“ใคร...ใครลุกครับ...”
“คุณนั้นแหละ...แหม ดูๆ แล้ว หล่อกว่าพระเอกหลายคนเลยนะเนี่ย” ชวนพิศบอก
ภาคินหันมองปานฟ้าที่ทำมือให้ลุกขึ้น จึงค่อยๆลุกยืน
“ทำเขินไปได้...พระเอกของพี่ เอาละ ได้การแล้ว...วันงานต้องมาช่วยเดินแฟชั่นโชว์เครื่องเพชร ให้พวกเรานะคะ” นิตยาบอก
ภาคินอึกอัก รีบนั่งลงอย่างเขิน
“คือ...ไม่...”
ปานฟ้ารีบตอบรับแทน
“ไม่ปฎิเสธค่ะ”
ภาคินหันขวับมองปานฟ้าอย่างตัวเองตายแน่งานนี้ ปานฟ้าหัวเราะเสียงใสชอบใจที่แกล้งได้
วิมลวรรณมองมาแต่ไกล อย่างแสนจะหมั่นไส้
“หน้าระรื่น ระริกระรี้เหลือเกิ๊นนน....สองคนสนิทกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ”
บนเวทีแคทวอร์ค ในห้องจัดงาน...ภาคินก้าวเดินผิดๆถูกๆ หน้าเครียดขณะถูกปานฟ้าสอนให้เดินแฟชั่น เฟื่องแก้วกับบุญทิ้งที่มาดูด้วย พากันหัวเราะขำๆ
“เอาหุ่นยนต์มาเดินแทนพี่ภาคินดีกว่าไหมครับ”
บุญทิ้งแซว สามคนหัวเราะกันใหญ่
“เดี๋ยวโดนเจ้าบุญทิ้ง...ก็คนไม่เคย...นี่พยายามสุดๆแล้วนะ พลิ้วยัง”
ภาคินทำท่าหมุนพลิ้วๆ แต่ดูแข็งๆ สามคนตบมือกันใหญ่ ตุลย์โผล่มา แซวให้อย่างอารมณ์ดี
“โอ้โห...คุณภาคิน พลิ้วยิ่งกว่านายแบบมืออาชีพอีก เอาน่า...ถือว่าทำเพื่อมูลนิธิ”
“อ้าวหมวด...มาได้ไงครับ”
“คุณฟ้าส่งข่าวนะสิ” ตุลย์มองเฟื่อง “ไม่เหมือนบางคน ใจจืดใจดำ จะบอกกันสักนิดดด...ก็ไม่มี งานแบบนี้หาดูยาก ต้องรีบมาแวะดูซะหน่อย นี่ถ้าไม่รู้จากคุณฟ้านะ อดดูคุณภาคินพลิ้วแล้ว”
เฟื่องแก้วทำงอนตุลย์
“แล้วทำไมต้องบอกด้วย...โจรเยอะแยะทำไมไม่ไปจับละ...อู้งานละสิไม่ว่า...มาหาว่าเขาใจดำ เชอะ”
“หมวดเดินด้วยกันไหมค่ะ เดี๋ยวฟ้าสอนให้”
ตุลย์ส่ายหน้าปฎิเสธ ภาคินเดินแฟชั่นอย่างเคอะเขิน ปานฟ้าซ้อมด้วย แกล้งเดินมาควงแขน พาเดินบนแคทวอร์ก ภาคินเงอะงะปานฟ้ายิ่งแกล้งอย่างนึกสนุก
ภาคินเดินผิดด้าน ปานฟ้าหมุนตัวกลับพอดี หน้าเกือบชนกัน แล้วพากันหัวเราะขำๆ เฟื่องแก้วมองทั้งคู่อย่างไม่ชอบใจ แต่เห็นตุลย์มองมา เลยรีบปรับสีหน้า ไม่กล้าแสดงออก ตุลย์ทำยิ้มเจ้าชู้ เฟื่องแก้วเมินอย่างแสนเซ็ง
ที่ล็อบบี้โรงแรม...บุญทิ้งเดิมมองรอบห้องสวย พอเห็นเปียโนก็เดินเข้าไปดู บุญทิ้งจิ้มคีย์เบาๆอย่างนึกสนุก แล้วพึมพำ
“แม่จ๋า”
บุญทิ้งถอนใจหน้าเศร้า แล้วร้องเพลงอย่างเศร้าๆ ใบหน้ามีน้ำตาคลอคิดถึงแม่ที่ตัวไม่เคยรู้จัก
นิตยาเดินผ่านมา หยุดมองบุญทิ้งกำลังร้องเพลง เธอฟังอย่างประทับใจและซาบซึ้ง
ข้างๆแคทวอร์คในห้องซ้อม...ชวนพิศกับปานฟ้า มองดูภาคินที่เหงื่อแตกยิ้มเจื่อนๆ ภาคินยกแขนเสื้อปาดเหงื่อ แต่ปานฟ้าเดินเข้าไปหาแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าจะซับให้
“แหม เหงื่อแตกเลยเหรอคะ”
ภาคินยิ้มให้ กำลังจะก้มตัวลงให้ปานฟ้าซับหน้า ก้องภพโผล่เข้ามาดึงทั้งผ้าและมือปานฟ้าออก
“แกมาที่นี่ทำไม” ก้องภพลดเสียงลงพูดใกล้ๆภาคิน “สะเออะ...คนละระดับยังไม่เจียม คิดจะทำตัวเทียบชั้นไฮโซหรือไง...เป็นแค่ไอ้ลูกเมียน้อย ยังกล้ามาเสนอหน้ายืนตรงนี้อีก”
ชวนพิศเห็นท่าไม่ดีรีบแทรก
“อะไรกันคะคุณก้อง พี่เป็นคนชวนคุณภาคิน มาเป็นนายแบบกิตติมศักดิ์ของเราเอง มีปัญหาอะไรเหรอคะ”
ก้องภพหันไปมองตาขวางเหมือนจะพูดอะไร แต่วิมลวรรณดึงแขนกระซิบเบาๆ เหลือบตามองรอบๆ
“อย่าเชียวนะตาก้อง” วิมลวรรณหันไปทางชวนพิศยิ้มหวานให้ “แหม ไม่ยักรู้นะคะว่าคุณชวนพิศมีอาชีพเสริมเป็นแมวมองด้วย”
“ทั้งหล่อทั้งเท่ ดูดีสารพัดแบบนี้ ใครเห็นก็ต้องชวนทั้งนั้นแหละ จริงไหมคะ”
วิมลวรรณฝืนยิ้มสุดฤทธิ์ ก้องภพถลึงตามองภาคินแล้วได้แต่ฮึดฮัดไม่กล้าขัดใจแม่ ภาคินทำเฉยไม่อยากสนใจ
นิตยาจูงมือบุญทิ้งเดินมา บุญทิ้งยิ้มอายๆ
“อ้าว อยู่กันครบเลย มีนักร้องหนุ่มน้อยมาแนะนำอีกคนคะ คอนเฟิร์มว่าร้องได้เพราะมาก แถมดูเศร้าน่าสงสาร คนดูแล้ว ต้องรีบบริจาคเงินให้พวกเราแน่”
“ไม่เข้าใจเลย ทำไมทุกคนถึงปลื้มไอ้เด็กหน้าจืด ไอ้ลูกเหลือขอ ...”
ทุกคนมองก้องภพอย่างตกใจ ตกตะลึง วิมลวรรณเรียกเสียงแข็ง
“ก้อง...พอได้แล้ว”
ก้องภพทำท่าฮึดฮัดเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่วิมลวรรณจิกแขนส่งสายตาห้ามไว้ จึงได้แต่มองทั้งคู่อย่างฝากไว้ก่อน
บุญทิ้งหลบตาก้องภพอย่างกลัว แต่ภาคินสบตาก้องภพหน้าขรึมเฉย ไม่หวั่น
ในห้องนั่งเล่น...เติมบุญถอนหายใจยาวแล้วนั่งลงที่โซฟา พร้อมสายอุษา ขณะที่อนิรุทธิ์นั่งอยู่ด้วย
“พ่อว่าถึงเวลาที่เราต้องคุยกันแล้ว ตกลงเธอจะจัดการเรื่องพิมยังไง”
“เรื่องมันไม่มีอะไรจริงๆ เลยครับคุณพ่อ”
สายอุษาแทรก
“ถ้าไม่มี มันจะชูคอเป็นกิ้งก่า ไม่กลัวใครแบบนี้เหรอ รุททำกับเดือนแบบนี้ได้ยังไง แค่เขาป่วยก็แย่อยู่แล้ว สามียังมานอกใจอีก ทำไมถึงใจร้ายกับเมียแบบนี้”
“ผมไม่มีวันทรยศเดือนหรอกครับ คนที่ผมรักที่สุดก็คือเขา แล้วผมจะไปมีอะไรกับคนอื่น ได้ยังไง”
สายอุษาเบ้หน้าอย่างไม่เชื่อ เติมบุญก็เมินหน้า อย่างไม่อยากฟังคำแก้ตัว
พิมที่เดินมาแอบฟัง ยิ้มสะใจที่เห็นทุกคนแตกกัน อนิรุทธิ์ถอนหายใจหนัก
“ตอนนี้ผมพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ ก็แล้วแต่คุณพ่อคุณแม่เถอะครับ แต่ผมอยากเรียนให้ทราบ เรื่องที่เกิดขึ้น...มีคนอยู่เบื้องหลังคอยจัดฉาก”
“เธอหมายถึงใคร ใครเป็นคนจัดฉาก...พิมโกหก กุเรื่องขึ้นเองหรือไง” สายอุษาถาม
อนิรุทธิ์แค่นยิ้ม
“ลำพังพิมคนเดียว ไม่กล้าทำแบบนี้หรอกครับ คุณแม่ไปถามน้องฟ้าดูดีกว่า ผมว่าเขาคงให้คำตอบได้ดีกว่าผม”
อนิรุทธิ์ลุกออกไป สายอุษามองตาม แล้วหันมาถามเติมบุญอย่างงงๆ สงสัย
“ฟ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย”
เติมบุญนั่งครุ่นคิด สงสัยเหมือนกัน
อนิรุทธิ์เอาของใส่ด้านหลังรถ แล้วปิดประตู ปานฟ้าเดินออกจากตัวบ้านมาเหก็นพอดี จึงเข้าไปทัก
“จะไปโรงพยาบาลเหรอคะ พี่เดือน เป็นยังไงบ้าง สองสามวันนี่ ฟ้าไม่ได้ไปเลยคะ”
อนิรุทธิ์หันมามอง แค่นยิ้ม
“ดีขึ้นมาก อีกไม่นานคงหาย เสียใจด้วยที่ทำให้ใครบางคนผิดหวัง”
“ไม่เข้าใจคะ ใครผิดหวังอะไร”
อนิรุทธิ์หันมามองแววตาเฉยชา
“ใครทำอะไรไว้ ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ” อนิรุทธิ์หันมาสบตาปานฟ้าอย่างโกรธๆ “ความลับมันไม่มีในโลก ถึงตอนนั้น ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะอธิบายกับผม กับคุณเดือน...ว่ายังไง”
อนิรุทธิ์บอกด้วยสีหน้าขึ้งเคียด ขึ้นรถแล้วกระชากรถขับออกไปอย่างแรง ปานฟ้ามองตามรถอนิรุทธิ์อย่างงง ไม่เข้าใจ
ที่โรงพยาบาล...พยาบาลเข็นพาปานเดือนมานั่งเล่นที่ใต้ต้นไม้ริมสนาม ปานเดือนเหม่อลอยกอดตุ๊กตาในมือลูบปลอบ
“เอ่เอ๊ ลูกจ๋า เป็นเด็กดีนะลูก ทินภัทรของแม่”
พยาบาลยิ้มมองอย่างเห็นใจ ขณะเดียวกัน ก้านที่แอบอยู่หลังต้นไม้ห่างๆ กำลังมองมา แล้วหยิบรูปของปานเดือนที่พิมให้มา ขึ้นมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ผิดตัว พิมสั่งมาว่า...
‘ตอนบ่ายพยาบาลจะพานังปานเดือน มานั่งเล่นในสวนทุกวัน จัดการมันซะ อย่าปล่อยให้อยู่รกโลกอีกต่อไป’
ก้านมองไปที่ปานเดือนอย่างครุ่นคิด เห็นพยาบาลก้มลงคุยกับปานเดือนแล้วเดินออกไป จึงมองซ้าย ขวาเห็นไม่มีใคร ทำท่าจะเดินออกจากที่ซ่อน มองปานเดือนอย่างมุ่งมั่น แต่ยังไม่ทันเดินไปถึง พยาบาลก็เดินกลับมา ถือผ้าห่มมาด้วย ก้านรีบหลบที่เดิมแทบไม่ทัน
“ห่มผ้าไว้หน่อยนะคะขาจะได้ไม่เย็น”
พยาบาลคลี่ผ้าคลุมขาให้แล้วเดินกลับไป ก้านจึงเดินมาหาปานเดือน ดีดบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้พร้อมยิ้มสะใจ ก้านหยุดยืนหน้าปานเดือน ยิ้มหื่นๆ
“อย่างนี้ไม่น่าเป็นบ้าเลยเว้ย น่าเสียดาย ...”
ปานเดือนเงยหน้ามองลอยๆ ก้านได้ใจยกมือไล้ข้างแก้ม ปานเดือนตกใจสะดุ้งรีบปัดมือก้านออก
“อย่ามาแตะฉัน อย่ามายุ่งกับลูกฉัน ไป๊”
ปานเดือนปัดป้องจนข่วนก้านได้เลือด ก้านโมโหคว้าผ้าห่มมาปิดหน้า กดมือลงไปแน่นเพื่อจะฆ่าให้ตาย ปานเดือนกระเสือกกระสนพยายามดึงมือออก ก้านยิ่งกดเข้าไปใหญ่
“โทษข้าไม่ได้ เอ็งมันดันเกิดมารวยเอง”
ขณะเดียวกัน เสียงภาคินเดินมา คุยกับพยาบาล
“แต่อาการโดยรวม ก็ดีขึ้นมากใช่มั้ยครับ”
ก้านชะงัก รีบหนีไป ภาคินเดินมากับพยาบาล เห็นปานเดือนนั่งไอเหมือนพึ่งจะได้หายใจออก มีผ้าห่มปิดหน้า
ภาคินรีบหยิบผ้าห่มออกจากหน้า ปานเดือนสำลักอากาศหายใจไม่ทัน
“คุณเดือน ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเอาผ้าห่มมาปิดหน้าตัวเองแบบนี้คะ”
ภาคินเข้าไปดูอาการปานเดือน
“ดีว่าไม่เป็นอะไร พากลับไปนอนที่ห้องก่อนดีกว่าครับ”
“ค่ะ”
พยาบาลเข็นรถเข็นพาปานเดือนเข้าไป ผ้าห่มตกที่พื้น ภาคินก้มจะเก็บผ้าห่มให้ แต่มองไปเห็นเศษก้นบุหรี่ถูกเหยียบอยู่ใกล้
“ใครมาสูบบุหรี่ที่นี่ ...”
ภาคินหยิบผ้าห่มมาแล้วชะงัก เพราะได้กลิ่นบุหรี่ ภาคินก้มลงดมที่ผ้าห่ม
“กลิ่นบุหรี่...มาติดที่ผ้าห่มได้ยังไง”
ภาคินมองหารอบๆแต่ไม่เห็นใคร เลยถือผ้าห่มเดินเข้าไป ก้านซึ่งยืนแอบอยู่ มองตามภาคินอย่างเจ็บใจ
หลังจากไปส่งปานเดือนที่ห้อง ภาคินเดินมาจะกลับออกไป สวนกับก้านที่เดินมา ก้านทำตีหน้าเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ผ่านไป ภาคินชะงักเพราะได้กลิ่นบุหรี่จากตัวก้าน เลยหันกลับไปมอง ก้านเองก็หันกลับมามอง สบตากัน
ภาคินเห็นแววตาเหี้ยมโหดของก้านแวบหนึ่ง ก่อนก้านจะหันหลังแล้วเดินไป ภาคินมองตามก้านอย่างสะดุดตาในความโหด แต่ก็เดินไปอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร
เมื่อกลับมาที่มูลนิธิ ภาคินนั่งเล่นดีดกีตาร์ให้ ขณะที่บุญทิ้งยืนกระโดดโลดเต้นร้องเพลงอย่างคึก สนุกสนาน เฟื่องแก้วที่นั่งอยู่ใกล้ๆแอบมองภาคินแล้วอมยิ้ม
“พี่ภาคินครับ เล่นเพลงนี้ได้มั้ยครับ”
บุญทิ้งร้องให้ฟัง ภาคินพยักหน้าแล้วเล่นเพลงช้าง บุญทิ้งหัวเราะร่าส่ายหน้าไปมา
“โธ่เอ๊ย ไม่ใช่เพลงช้างสักหน่อย”
“งั้นเอาเพลงนี้มั้ย ก้าบก้าบก้าบ เป็ดอาบน้ำในคลอง”
ภาคินแกล้งดีดแล้วร้องนำ ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน เฟื่องแก้วหัวเราะตามเบาๆ
“เอาเพลงรัก...หวานๆมั่งดีกว่า”
เฟื่องแก้วทำยิ้มหวาน แต่ภาคินไม่ทันเห็น บุญทิ้งเบ้หน้า
“เพลงผู้ใหญ่น่าเบื่อจะตาย”
“พักก่อนนักร้อง หลายเพลงแล้ว”
“ดีเหมือนกัน ไปกินน้ำก่อนดีกว่า”
บุญทิ้งวิ่งไป เฟื่องแก้วยิ้มพอใจ ขยับตัวจะเข้าใกล้ แต่ตุลย์กลับโผล่จากที่ไหนไม่รู้เข้ามา เข้ามาแทรกกลาง
“ฮั่นแน่ ทำอะไรครับคุณแก้ว หรือว่ารู้ว่าผมจะมา เลยเตรียมเสียงเพราะๆรอร้องเพลงให้ผมฟัง”
เฟื่องแก้วแสดงสีหน้าขัดใจอย่างเปิดเผย มองหน้าตุลย์แล้วสะบัดหน้าใส่ ภาคินสบตาตุลย์ยักไหล่ว่าให้จัดการเอง
“เจอหน้าผมทีไรทำเขินใส่ทุกทีเลย แหมคนกันเองนะ ชิวๆ”
“ใครเขินไม่ทราบ หมวดอย่ามาขี้ตู่”
เฟื่องแก้วหันหน้าหนี ตุลย์มองยิ้มๆแล้วหันไปหาภาคิน
“ได้ข่าวไอ้พ่วงแล้ว แหกคุกกลับมาตั้งแก๊งค์ค้าเด็กอีกจริงๆ”
ภาคินวางกีต้าร์ สนใจฟัง
“เด็กที่หายไป อยู่กับมันใช่ไหมหมวด”
“คิดว่าใช่ มันบุกไปเอาตัวเด็กมาจากหลายมูลนิธิ ชั่วจริงๆ”
บุญทิ้งหน้าเสีย มองภาคินยึดเป็นที่พึ่ง
“ผมไม่ไปกับลุงพ่วงนะครับ ไม่กลับไปขอทานอีก ผมอยากอยู่ที่นี่อยากเรียนหนังสือ”
ภาคินหันมามองบุญทิ้งแล้วดึงมากอด ลูบหัวเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ยอมให้ใครมาเอาตัวเราไปไหนทั้งนั้นแหละ”
ภาคินมองบุญทิ้งสบตากัน บุญทิ้งยิ้มออกมาได้ก่อนจะพยักหน้าอย่างดีใจ
เฟื่องแก้วพูดอย่างเอาใจภาคิน
“บุญทิ้งต้องอยู่ที่นี่ ... กับพวกพี่”
“เรื่องไอ้พ่วง ไว้หมวดจัดการให้เอง จริงไหมครับคุณเฟื่องแก้ว”
ตุลย์ทำยิ้มตาหวาน เฟื่องแก้วค้อนให้อย่างไม่อยากจะตอบ
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ 13 ม.ค. 55
ดุจดาวดิน ตอนที่ 6 (ต่อ)
พ่วงนั่งชันเข่าข้างนึงในมือกรีดแบงก์ 20 ใบเก่าๆ นับ อยู่ในบ้านเช่า จังหวะนั้นมีเด็กชายคนหนึ่งเดินเอาเศษเหรียญมาส่งให้ โดยมีก้านนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ทั้งวันเอ็งได้แค่นี้เนี่ยนะ ไม่ได้เรื่องเลยโว้ย ไปๆ ไปไกลๆตีนข้าเลย ไอ้เปี๊ยก เอ็งได้เท่าไหร่ไหนเอามาดูซิ”
เปี๊ยกที่ยืนหลบมุมรอจังหวะอยู่ เดินตัวลีบมายื่นแบงก์ 20 เก่าๆ ยับยู่ยี่ให้พ่วงใบนึง
“ยี่สิบ! ถุย แค่ค่าบุหรี่ยังไม่ได้เลย เอ็งอู้รึเปล่าวะไอ้เปี๊ยก ทำหน้าตาให้มันน่าสงสารเข้าสิโว้ย ตื้อๆเข้าไปเดี๋ยวพวกมันก็ให้เองแหละ”
พ่วงยกเท้าจะถีบ แต่เปี๊ยกหลบทัน ก้านส่ายหัวมองอย่างหน่ายๆ
“ให้ไอ้พวกนี้ไปขอทาน วันนึงยังได้ไม่พอกินเลย ชาติไหนถึงจะมีทุนซื้อยามาขายเป็นเศรษฐีกันสักทีวะ”
“ไอ้พวกนี้มันสันหลังยาว หน้าตาก็ดูไม่ได้ ตื๊อ ไม่เก่ง เออ...จะว่าไปก็นึกถึงไอ้ทิ้ง ตัวเงินตัวทองแท้ๆ”
“ใครวะไอ้ทิ้ง” ก้านสงสัย
ตุลย์พาภาคินเดินมาในชุมชนแออัด ตำรวจเริ่มกระจายกำลังล้อม ตุลย์มองไปทางบ้านเช่าโทรมๆที่อยู่ไกลออกไป
“ใช่พวกไอ้พ่วงหรือเปล่าหมวด” ภาคินถาม
“เดี๋ยวก็รู้”
ตุลย์ยิ้มนิดๆ แต่แววตาหมายมาด คิดจับคนร้ายให้ได้ ขณะเดียวกัน พ่วงเล่าให้ก้านฟัง ถึงเรื่องราวในอดีต
“ไอ้ทิ้งมันเป็นตัวทำเงินมากสุดเท่าที่เคยมีเด็กมา หน้าตามันน่ารักน่าสงสาร ป้าๆแม่ๆเห็นแล้ว รีบควักเงินให้ไม่ทัน มีมันคนสบายเลยล่ะพี่ก้าน”
“แล้วมันอยู่ไหน ทำไมไม่รีบเอาตัวกลับมา”
“ก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ไหน” พ่วงมองทางเปี๊ยก “เฮ้ย เอ็งเห็นคู่หูเก่าเอ็งมั่งมั้ยวะ ไปตายอยู่ซอกไหนแล้ว”
เปี๊ยกมองมาทำท่าจะอ้าปากพูด แต่ก็หุบปากส่ายหน้าว่าไม่รู้ ก้านถอนหายใจลุกเดินไปริมหน้าต่าง
“พึ่งไม่ได้สักคน พับผ่าสิ”
ก้านมองไปข้างนอกอย่างเซ็ง แล้วชะงัก เมื่อเห็นว่าห่างออกไปตำรวจกำลังกระจายตัว ล้อมเข้ามาใกล้ ก้านหันมาหาพ่วง
“พ่อเอ็ง”
ครู่หนึ่ง...ตุลย์มาถึง ถีบประตูบ้านให้เปิดออกอย่างแรง แต่ไม่เห็นใครสักคน
“เฮ่ย...ไปไหนหมดวะ”
ภาคินที่ตามเข้ามา เหลือบเห็นพ่วงจูงเด็กๆไปอีกทาง
“นั่นไงหมวด มันพาเด็กหนีไปทางนั้น”
ภาคินรีบวิ่งตามไป ตุลย์มองตามงงๆ
“โห วิ่งเร็วกว่าตำรวจอีก ภาคินรอด้วย”
ห่างออกไป พ่วงสตาร์ทรถทุลักทุเล พลางตะโกนเรียกเด็กๆขึ้นรถ
“พวกเอ็งรีบๆสิวะ เดี๋ยวมันจับไปขังคุกนะเว้ย”
เด็กๆลนลานขึ้นเพราะกลัวโดนจับ ภาคินวิ่งออกมาจากมุมตึกพ่วงรีบสตาร์ทรถ ภาคินวิ่งจะถึงที่รถ แต่พ่วงขับออกไปก่อน ภาคินเจ็บใจมองไปรอบๆ เห็นก้านมองกลับมาแล้ววิ่งหนี ภาคินมุ่งมั่นวิ่งตามไป
ที่โรงลิเก...กัญญากำลังต่อบทกับถมและช้อย กัญญาร้องเพลงเสียงหวานโดยมีถมมองอย่างชื่นชม ช้อยมองอย่างริษยา ทำปากขมุบขมิบลับหลัง ภาคินวิ่งไล่ตามก้านทะลุผ่านกลางลาน กัญญามองเห็นภาคินก็ชะงัก เขม้นมองให้แน่ใจ
“อ้าว แม่กัญญา จะหยุดร้องทำไมยะ เป็นอะไรไป เห็นผู้ชายวิ่งผ่าน หน้าแค่เนี้ย ร้องต่อไม่ออกเลยนะ” ช้อยแดกดัน
กัญญาอึกอัก มองไปทางที่ภาคินวิ่งหนีไปอย่างทั้งห่วง และดีใจที่เห็นหน้าลูก ถมมองท่าทางกัญญาอย่างนึกสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้น
ภาคินวิ่งเข้ามา เหลียวมองซ้ายขวาแล้วค่อยๆเดินเข้ามาในตรอกช้าๆ ก้านที่หลบอยู่ โผล่เข้ามาจะทำร้าย แต่ภาคินหลบได้อย่างหวุดหวิด
“ถอยไป…ถ้าไม่อยากตาย”
“ยอมมอบตัวดีกว่า หนีไปก็โทษหนัก แกกลับตัวตอนนี้ยังทัน”
“ถุย...อย่างข้า ยอมตายแต่ไม่ยอมโดนจับเว้ย”
ก้านโดดเข้าใส่ ภาคินตั้งรับ เพราะก้านชำนาญการต่อสู้มากกว่า แต่ชายหนุ่มก็ต่อสู้อย่างใจสู้ ก้านหยิบมีดออกมา ภาคินพยายามจะหลบคมมีด แต่ไม่พ้น โดนก้านแทงที่แขนจนล้มไปนอน ก้านทำท่าจะเข้าซ้ำ แต่ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงกัญญาที่วิ่งมาร้องดังลั่น
“หยุดนะ ตำรวจๆช่วยด้วยคะ ตรงนี้มีคนร้าย ตำรวจ ใครก็ได้ช่วยที”
ก้านมองกัญญาอย่างขัดใจ แล้วพับมีดในมือ วิ่งหนีลับไป กัญญาปราดเข้ามาหาภาคิน
“ลูก...”
ภาคินเงยหน้ามอง เธอชะงักอย่างรู้สึกตัว รีบถามอย่างร้อนใจและเป็นห่วง
“คุณ เป็นอะไรมากมั้ยคะ...ตายแล้ว เลือดออกเยอะเลย รีบไปโรงพยาบาลเร็ว”
ภาคินฝืนบอกทั้งที่เจ็บ
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นไรมาก แผลนิดเดียว”
กัญญานิ่งคิดแล้วบอกอย่างห่วงใย
“งั้น...ไปทำแผลที่บ้านฉันก่อน”
กัญญาสบตาเขาอย่างเป็นห่วงมาก ภาคินมองหน้าสบตาตอบอย่างรู้สึกอบอุ่น ด้วยสัญชาติญาณระหว่างแม่ลูก
ถมกับช้อยมองดูกัญญา ทำแผลให้ภาคินด้วยท่าทางห่วงใย กัญญาค่อยๆซับเลือดออกแล้วเช็ดแผลให้เบามือ ภาคินลอบมองแล้วอดยิ้มอบอุ่นไม่ได้ ถมมองกัญญาแล้วขมวดคิ้วขัดใจ ช้อยมองกัญญาทีถมทีแล้วเบะปาก
“ไหนว่าป่วยกะทันหัน จนร้องลิเกไม่ออก แต่วิ่งไปดูเขาแทงกัน แถมยังพามากก เอ๊ย...ทำแผลที่นี่ได้อีก”
กัญญาเงยหน้ามอง
“พอดีฉันเดินไปแถวนั้น...แล้วเห็นพอดี”
“แหม อะไรมันจะพอเหมาะพอเจาะขนาดนี้จ๊ะแม่กัญญา ไม่สบายก็ยังอุตส่าห์ไปเดินเล่น ไม่กลัวเป็นล้มเป็นแล้ง ไปตายกลางถนน ให้หัวหน้าคณะเขาขาดแม่ครู...เหรอจ๊ะ”
กัญญามองหน้านิ่งแต่ไม่ตอบ ก้มหน้าก้มตาทำแผลต่อ ถมมองภาคินแล้วพูดขึ้น
“คุณพอจะจำหน้าไอ้คนที่มันแทงได้มั้ย ไปมีเรื่องอะไรกันมาล่ะ”
ภาคินนิ่งคิดไม่ได้พูดอะไร กัญญาละมือจากผ้าพันแผลแล้วมองตาเศร้าๆเลื่อนสายตาไปที่หน้าภาคิน ดวงตาฉายแววเป็นห่วงรักใคร่
“หิวน้ำมั้ยคุณ เดี๋ยวฉันไปหาน้ำมาให้ทานนะ อย่าเพิ่งรีบกลับ”
ถมมองกัญญาที่แสดงออกอย่างโจ้งแจ้ง ว่าเป็นห่วงแล้วหน้ายิ่งงอง้ำ เดินหลบฉากหน้าบูดบึ้งไป
“อุ๊ย พี่ถมไปไหนจ๊ะ...” ช้อยปรายตามองกัญญา “ทนเห็นวัวแก่ริจะกินหญ้าอ่อนไม่ได้หรือไง” หันไปมองถมที่เดินไปไกลแล้ว “รอนางเอกด้วย”
กัญญาถอนหายใจลุกไปหยิบน้ำมาส่งให้ภาคิน
“ขอบคุณครับ...สำหรับน้ำ แล้วก็...ที่ช่วยผม”
กัญญามองหน้าลูกด้วยความรัก
“ไม่เป็นไร”
“คุณชื่อกัญญาเหรอครับ”
กัญญาพยักหน้าเศร้าๆ ภาคินมองหน้าอย่างครุ่นคิด
“เราเคยเจอกันมั้ยครับ ผมรู้สึก...เหมือนคุ้นหน้าคุณจัง”
กัญญานิ่งไปแล้วกลบเกลื่อน ไม่กล้ายอมรับ
“ไม่เคยเจอกันหรอกค่ะ คนเล่นลิเกอย่างฉัน จะรู้จักกับอย่างคุณได้ไง”
“แต่ผมรู้สึก...รู้สึกเหมือน รู้จักคุณมานาน...แปลก”
กัญญาเบือหน้าหนี บอกอย่างตัดใจ
“คุณจำคนผิดแล้ว”
ภาคินมองกัญญาอย่างแปลกใจตัวเอง ที่ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้น กัญญาพยายามกลั้นน้ำตาอย่างขมขื่น เธอไม่สามารถบอกความจริงกับลูกได้
ภาคินเดินออกจากบ้านถมไป กัญญาเดินตามมามอง น้ำตาค่อยๆไหลลงมา เธอเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น
“ลูกแม่...แม่ขอโทษ...แม่ขอโทษที่บอกความจริงไม่ได้ว่าแม่เป็นแม่ของลูก”
กัญญาร้องไห้ออกมา
เย็นนั้น...ปานฟ้านั่งอยู่กับภาคินที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ของมูลนิธิ เธอพลิกดูแขนเขาอย่างเป็นห่วง เฟื่องแก้วมองอย่างอิจฉา
“ถึงทำแผล แต่คุณก็ต้องไปหาหมอ ฉีดยากันบาดทะยักกันไว้ก่อนนะคะไม่รู้ว่ามีดมันสกปรก เป็นสนิมรึเปล่า มีเชื้ออะไรบ้างก็ไม่รู้”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างซึ้งใจ
“ขอบคุณครับ...ที่ห่วงผม”
ปานฟ้ายิ้มเขิน ตาหวานๆ ภาคินมองตาเชื่อมอย่างรักใคร่ ตุลย์เดินเข้ามา
“หวานจริงๆ น้ำตาลแทบหยดแหมะๆๆ”
เฟื่องแก้วโมโหหันไปลงกับตุลย์
“หมวดนี่ไม่ได้เรื่อง พาคุณภาคินไปเสี่ยงอันตรายจนเจ็บกลับมา แต่ตัวเองยังมายิ้มแป้นแล้นอีก พึ่งไม่ได้เลย”
“โธ่คุณ ก็ภาคินเขาวิ่งเร็วอ่ะ ตะโกนบอกผมแล้ววิ่งหายไปไหนก็ไม่รู้ ใครจะไปตามทัน แล้วแผลแค่นี้ไกลหัวใจไม่ตายหรอกน่า...มีแต่ได้คนปลอบใจไม่ว่า”
เฟื่องแก้วฟาดเพี้ยะที่แขน
“ถ้ามีแต่ดีกับดีอย่างนั้น งั้นคุณโดนมั่งดีมั้ย เดี๋ยวฉันเอามีดมาแทงเอง จะได้รู้ว่าตายไม่ตาย”
ตุลย์ปัดป้อง ยิ้มหวาน
“โห...ใครจะเสี่ยงแม่คู้ณ มือหนักอย่างนี้ มีหวังซี้แหงสถานเดียว แต่ถ้าโดนแล้วคุณเป็นห่วงผมมากๆอาจลองเสี่ยงนะ” ตฤณยิ้มทะเล้น
“กวนๆอย่างคุณ ต่อให้มานอนดิ้นตรงหน้า ฉันก็ไม่เป็นห่วงหรอกย่ะ”
“ใจร้ายจังคุณ ผมเสียใจนะเนี่ย”
ตุลย์จับมือเฟื่องแก้วที่วางบนแขน เธอรู้ตัวรีบสะบัดออกแล้วหันไปหาภาคิน
“คุณภาคินเจ็บแบบนี้ คงไปเดินแฟชั่นโชว์ไม่ได้แล้วมั้งคะ”
“แผลที่แขนนิดเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ถ้าเดินไม่ไหว เดี๋ยวฟ้าประคองเองคะ”
ภาคินมองปานฟ้าตาหวาน ปานฟ้ายิ้มให้กำลังใจ เฟื่องแก้วมองแล้วกัดริมฝีปากอย่างอิจฉา
เมื่อวันแสดงแฟชั่นโชว์มาถึง ก่อนถึงเวลาเริ่มงาน ภาคินซ้อมเดินแบบอยู่บนเวที เขาเดินแบบออกมาอย่างมาดเท่แล้วหมุนตัว ยิ้มส่งสายตาให้ปานฟ้าที่อยู่ด้านล่างข้างๆนิตยา
“โอ๊ย เลิศค่ะเลิศ โอเคมากๆ เดี๋ยวลงมาพักผ่อนก่อนค่ะ”
ภาคินเดินลงมา ก้องภพมองตาขวางทำท่าทางหวงโอบไหล่ แต่ปานฟ้าปัดมือออกอย่างไม่ชอบใจ แล้วเบี่ยงตัวออก ก้องภพไม่พอใจแต่ไม่ได้ทำอะไร
วิมลวรรณรีบพูดชื่นชมลูกชาย อย่างออกหน้าออกตา
“ต่อไปเป็นชุดสุดท้าย ที่จะให้ตาก้องกับหนูฟ้าเดินด้วยกันใช่มั้ยคะ แหม...แค่คิดก็น่าดูแล้ว คนนึงสวยคนหนึ่งหล่อสมกันจริงๆ”
“ใช่ค่ะเดี๋ยว...ให้คุณฟ้ากับคุณก้องสแตนด์บายเลย” นิตยาบอก
ก้องภพมองเยาะๆแล้วจับแขนปานฟ้าเดินไปขึ้นเวที ปานฟ้าหันมามองภาคินอย่างลำบากใจ...ก้องภพกับปานฟ้าเดินชุดสุดท้าย ปานฟ้าเดินสวยด้วยความมั่นใจแล้วแอบโปรยยิ้มให้ภาคิน ก้องภพเดินส่งๆแต่เต๊ะท่าเหมือนเก่ง จนทีมงานถึงกับส่ายหัวกัน ผู้กำกับเวทีหน้าเครียด
“คุณก้องภพครับ เชิญลงจากเวทีนิดนึงก่อนครับ”
ก้องภพมองงงๆไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินมาก่อน นิตยากับชวนพิศมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ มีแต่วิมลวรรณที่มองลูกอย่างชื่นชม
“พี่ว่า โชว์ของเรา...น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยนะคะ”
ทุกคนหันมามองนิตยาอย่างแปลกใจสงสัย นิตยามองไปที่ภาคินกับปานฟ้าอย่างคิดอะไรได้บางอย่าง ก้องภพกับวิมลวรรณ เฉลียวใจว่าต้องไม่ดีกับพวกตัวแน่
งานแสดงแฟชั่นโชว์เริ่มขึ้น...นางแบบ นายแบบเดินแฟชั่นโชว์ในชุดลำลองแต่เรียบหรู ผู้คนมากันอย่างเนืองแน่นดูอย่างใจจดใจจ่อ ธัญวิทย์ทำหน้าเซ็งๆ
“น่าเบื่อ...แม่พามาดูอะไรไม่รู้ ไม่เห็นหนุกเลย ผมจะกลับบ้าน”
สายอุษาจุ๊ปาก
“นั่งให้เรียบร้อยสิตาวิทย์ เดี๋ยวน้าฟ้าเขาจะออกมาแล้ว”
ธัญวิทย์เบ้หน้าไม่พูดอะไร ปานดาวได้ยินอดไม่ได้
“ฮึ อะไรๆก็ยัยฟ้าๆ ปานฟ้าคนสวย ปานฟ้าคนดี ทำงานก็เก่ง ดูซิจะสวยได้สักแค่ไหน ขี้คร้านจะถูกนางแบบคนอื่นกลบรัศมีหมด”
ภูวดลไม่พูดอะไร แต่พอปานดาวเผลอก็ทำหน้าเบื่อๆ อานนท์นั่งยิ้มๆ มองเวทีรอดูลูกชาย วิมลวรรณหมั่นไส้แอบหยิกแขน
“น่าปลื้มตายชักล่ะ ไม่รู้กรรมเวรอะไรของฉัน ต้องมาทนเห็นไอ้ลูกนางลิเก ที่ผัวตัวเองไข่ทิ้งไว้”
อานนท์ไม่พอใจแต่ระงับไว้
“พูดอะไรระวังบ้างนะคุณ นอกจากประจานผมแล้ว คุณยังประจานตัวเองด้วย”
“ใช่ซี้ ฉันมันไม่มีอะไรดีสักอย่าง ใครจะไปสู้นังนางเอกลิเกใจง่ายชอบแย่งผัวชาวบ้าน...ได้ล่ะ”
วิมลวรรณพูดอย่างเจ็บใจ แววตาน้อยใจตัดพ้อ อานนท์ถอนใจอย่างอึดอัด
บนเวที...เพลงสนุกๆดังขึ้น ปานฟ้ากับภาคินเดินออกมา เธอโชว์เครื่องเพชรอย่างคล่องแคล่วยิ้มหวานกับเขา ภาคินมองแล้วยิ้มตอบ
ก้องภพเดินตามหลังพร้อมนายแบบนางแบบคนอื่นๆ วิมลวรรณมองภาคินอย่างเกลียดชัง ปานดาวมองปานฟ้าอึ้งไปนิดๆ พอรู้ตัวก็สะบัดหน้าเบะปากใส่ ปานฟ้ากับเหล่างนางแบบ นายแบบเดินเข้าไปหลังเวทีเพื่อเปลี่ยนชุดออกมาเดินเซ็ตต่อไป
“แฟชั่นเซตนี้ดูดีจังนะคะ เรียบๆแต่หรู” สายอุษาชื่นชม
“ค่ะ หนูฟ้าน่ารักมากๆ เสื้อผ้าก็ดูดีเหมาะกับคนระดับเราๆ แต่ไม่น่ามีกาหลงฝูงมาเลย”วิมลวรรณพูดอย่างเกลียดชังภาคินสุดๆ
สายอุษาฟังแล้วเฉยเสีย ไม่พูดอะไรต่อ
เซ็ทต่อมา...ปานฟ้ากับก้องภพเดินแบบคู่กัน ก้องภพยึดข้อมือปานฟ้ากำไว้แน่น
“ก้อง ฟ้าเจ็บ” ปานฟ้าขมวดคิ้ว กระซิบลอดไรฟันแต่ยังยิ้ม
ก้องภพยิ้มหวาน ฉุดปานฟ้าเดินเรื่อยๆมาถึงกลางเวที แกล้งทำท่าเหมือนจะจูบแต่ปานฟ้าดันไว้
“อยากเห็นไอ้ภาคินดีกว่าผม มันก็ต้องเจอแบบนี้”
ปานฟ้าดันออก แต่เห็นว่าอยู่บนเวทีเลยจำใจฝืนยิ้มเดินต่อ ภาคินเห็นภาพทั้งหมดเลยแตะไหล่นายแบบที่ต้องเดินต่อแล้วขึ้นไปแทน ภาคินเดินไปแตะข้อมือปานฟ้าแล้วโอบเอวเบาๆพาหมุนตัวเหมือนเต้นรำ ก้องภพยืนมองหน้าภาคินจะดึงปานฟ้าคืน แต่ภาคินตวัดร่างปานฟ้ามากอดทำให้ก้องภพเสียหลักล้มวัดพื้น คนดูฮาครืน วิมลวรรณตกใจ
“ว้าย ตาก้อง ไอ้ภาคิน...”
วิมลวรรณจะลุกขึ้น สายอุษาแตะไหล่เบาๆ
“การแสดงมั้งคะ เดี๋ยวนี้เมืองนอกเค้ากำลังฮิต เหมือนเล่นละครกลางเวที เก๋ดีนะคะ เข้าใจคิด”
วิมลวรรณยิ้มเจื่อน ได้แต่มองภาคินอย่างฝากไว้ก่อน ภาคินกระซิบบอกปานฟ้าเบาๆพร้อมรอยยิ้ม
“เดินตามผมไปนะครับ เดี๋ยวผมนำ”
ปานฟ้ายิ้มล้อ
“เดี๋ยวนี้ขั้นโปรถึงขั้นเดินนำแล้วเหรอคะ คุณนายแบบดาวรุ่ง”
ก้องภพค่อยๆลุกขึ้น ทั้งอับอายทั้งโกรธ แต่ข่มความอายเดินหน้านิ่งตามภาคินและปานฟ้าเข้าหลังเวทีไป คนดูปรบมือก้อง กระซิบกระซาบกันอย่างถูกใจ สายอุษามองอย่างชื่นชม แต่วิมลวรรณหน้าบึ้งมองอานนท์ที่นั่งปรบมือ สายอุษาสะกิด
“เก่งจังนะคะ ตาก้องภพล้มได้เหมือนจริงมากเลย ถ้าดูเผินๆนึกว่าล้มจริงเลยนะคะเนี่ย เก่งจริงๆ”
วิมลวรรณไม่ตอบแต่แกล้งยิ้มหวานประจบ แต่ในใจครุกรุ่นไปด้วยความโกรธ
ก้องภพเดินอาดจะเข้าไปเอาเรื่องภาคิน แต่ไม่ทันถึง นิตยา ชวนพิศและคนอื่นๆกลับเข้ามารุมภาคินกับปานฟ้าก่อน
“เยี่ยมไปเลยค่ะ โชว์เมื่อกี้คิดกันเองหรือเปล่าคะ พี่ประทับใจจริงๆ” นิตยายิ้มแย้ม
ชวนพิศมองทั้งสองอย่างเป็นปลื้ม
“เหมือนจริงมากๆด้วย พี่ก็ชอบ คุณน้องภาคินมาดแมนสุดๆ พี่ว่าถ้ามาเอาดีทางเดินแบบ รุ่งแน่ๆ น้องฟ้าก็เก๊งเก่งค่ะ สวยสุดอีก ต่างหาก”
ก้องภพชะงัก มองรอบๆอย่างขัดใจ ปานฟ้ายิ้มขอบคุณพี่ๆ
“ขอบคุณมากๆค่ะ เป็นเพราะทีมงานด้วยล่ะค่ะ”
ทีมงานยิ้มปลื้ม นิตยาหน้าบาน
“แหม ปากหวานนะคะ”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงทีมงานตะโกนมา
“คุณปานฟ้าเปลี่ยนชุดสุดท้ายเลยค่า”
ทีมงานจับแขนปานฟ้าให้เดินไป ปานฟ้ายิ้มให้กำลังใจภาคินที่อยู่ในวงล้อมจนลับตา
ด้านหน้า...โฆษกยืนอยู่บนเวที
“ก่อนจะถึงแฟชั่นโชว์เซตสุดท้ายของเรา ผมขอคั่นรายการด้วยโชว์ชุดพิเศษจากหนุ่มน้อยตัวเล็กแต่ความสามารถไม่เล็ก เชิญทุกท่านรับชม รับฟังได้เลยครับ”
เสียงปรบมือค่อยๆดังขึ้น ดวงไฟเปิดฉายให้เห็นบุญทิ้งแต่งตัวหล่อยืนอยู่กลางเวที เด็กชายมองรอบตัวอย่างประหม่า ภูวดลเบะปาก
“ไอ้เด็กเปรตนี่ มันขึ้นมายืนทื่ออะไรกลางเวที”
ปานดาวหันหน้าหนี
“โอ้ย แค่เห็นหน้ามันก็อารมณ์เสีย ความดันฉันจะขึ้น”
ธัญวิทย์ทำท่าอ้วก
“ทำแต่งตัวโก้ อยากจะเตะมันจริงๆ”
เสียงดนตรีเริ่มดังขึ้น บุญทิ้งมองซ้ายขวา ขาสั่น ปากอ้าค้าง ตุลย์กับเฟื่องแก้วมองเห็น ทำท่าให้ร้องได้ แต่บุญทิ้งยังร้องไม่ออก เหลียวมองรอบๆตัว ภาคินเดินออกมาจากข้างเวทียิ้มให้กำลังใจชูนิ้วโป้งให้สู้ บุญทิ้งมองแล้วคลี่ยิ้มออก หลับตาสูดลมหายใจลึกๆแล้วพรูลมหายใจ ลืมตาขึ้น ไม่มีความประหม่าแล้ว
บุญทิ้งเปล่งเสียงร้องเพลง คนฟังนิ่งอึ้งทุกคน เด็กชายร้องเพลงอย่างไพเราะจับหัวใจคนฟัง สายอุษากับเติมบุญมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ แล้วหันไปดูบุญทิ้งอย่างชื่นชม ปานดาวตาค้างมองบนเวที แต่พอได้สติก็ทำแบะปาก
“ร้องไม่เห็นเพราะเลย”
ภูวดลไม่พอใจ
“ใครเลือกมันไปร้องได้”
ปานดาวหันมาพยักเพยิดอย่างเห็นด้วย...อานนท์ฟังเพลงของบุญทิ้งแต่สายตามองไปที่ภาคิน ที่ยืนแอบข้างเวที วิมลวรรณเห็นเข้าก็ค้อนขวับเหน็บเข้าให้
“ฟังแล้วคิดถึงนังชู้ลิเกบ้านนอกกับไอ้ลูกกาฝากหรือไง รักมากนักก็ไปอยู่ด้วยกันเลยไป”
อานนท์ทำเฉย นั่งฟังบุญทิ้งร้องต่อ ไม่สนใจวิมลวรรณ
ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาล ปานเดือนนั่งเหม่อลอย ชันเข่าขึ้นกอดโยกตัวไปมาในห้องกลาง มองทีวีที่เปิดอยู่ ฉายภาพบุญทิ้งร้องเพลงอยู่ในทีวี ปานเดือนกระพริบตาอย่างได้สติ ลุกจากโซฟามาเกาะที่จอ ยิ้มหวาน บุญทิ้งร้องเพลงอย่างไพเราะ ปานเดือนลูบกระจกจอทีวีเบาๆ
“ทินภัทร...ทินภัทรลูกแม่”
แววตาปานเดือนอ่อนหวาน ลูบจอทีวีจ้องมองบุญทิ้งอย่างรักใคร่
บุญทิ้งร้องเพลงจนถึงท่อนสุดท้าย ร้องไปน้ำตาคลอไปด้วยความคิดถึงแม่ คนดูซับน้ำตา
บุญทิ้งร้องเพลงจนจบ เสียงดนตรีเงียบลง เด็กชายมองไปข้างเวที เห็นภาคินยกนิ้วโป้งชม คนดูยังเงียบอยู่ โฆษกประกาศขึ้น
“ขอเสียงปรบมือ เป็นกำลังใจให้เด็กชายบุญทิ้งด้วยครับ”
ทุกคนปรบมือให้เสียงดังลั่นห้อง บุญทิ้งมองไปรอบๆ ไหว้ผู้ชมยิ้มทั้งน้ำตาคลอแต่เต็มไปด้วยความสุข
ปานเดือนมองเห็นบุญทิ้งในทีวีจะเดินเข้าไป ดวงตาเริ่มเปลี่ยน
“ทินภัทร...ทินภัทรลูกแม่ จะไปไหนลูก อย่าหนีแม่ไป” ปานเดือนจับจอเขย่า
บุญทิ้งหายไปข้างเวที ปานเดือนคลุ้มคลั่งเขย่าโทรทัศน์แรงๆ
“ใครเอาลูกฉันไป ใคร...เอาลูกทินภัทรฉันคืนมานะ เอามา...เอามา”
คนไข้อื่นๆมุงดู ปานเดือนทุบทีวี เขย่าไปมาจนปลั๊กหลุด จอดับไป ปานเดือนช็อค ผละมือจากทีวีทรุดนั่งลงทั้งที่มือยังแปะทีวีไว้
“ลูกแม่...ลูกแม่...กลับมาหาแม่นะลูกนะ ลูกจ๋า”
บนเวที...ไฟที่ดับอยู่สว่างขึ้น ฉายภาพภาคินและปานฟ้าในชุดสุดท้าย ทั้งคู่สบตากันอ่อนหวาน เพลงทำนองช้าๆหวานๆ ภาคินกระซิบเบาๆ
“คุณฟ้าสวยที่สุดเลยครับ”
ปานฟ้ายิ้มหวาน สอดแขนเข้าควงแล้วค่อยๆออกเดินคู่กัน คนดูมองทั้งคู่อย่างชื่นชมในความเหมาะสม แต่ปานดาวดับวิมลวรรณยิ้มเยาะๆ ก้องภพมองจากหลังเวทีแล้วทนไม่ได้เดินแหวกม่านฉับๆจะขึ้นเวที ทีมงานตามมารั้งแขนไว้
“ขึ้นไปไม่ได้นะครับคุณก้องภพ ชุดสุดท้ายมีแค่คุณภาคินกับคุณปานฟ้า”
ก้องภพมองหน้า สะบัดออก
“อย่าแส่ เดี๋ยวหัวหลุดจากคอไม่รู้ตัว”
ก้องภพสะบัดจนหลุดแล้วเดินขึ้นเวที ตะโกนก้องงาน
“ไอ้ภาคิน เอาแฟนข้าคืนมาเดี๋ยวนี้”
ก้องภพเข้ามาจะฉุดปานฟ้า แต่ภาคินเอาตัวเข้าบังให้เธออยู่ด้านหลัง
“คิดจะทำอะไร”
“สั่งสอนไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไง”
คนดูตื่นเต้น ซุบซิบกันไปทั่ว อานนท์ขมวดคิ้ว มองสงสัย
“ก้องภพมันทำอะไรของมัน ตอนซ้อมมีหรือเปล่าคุณวิ”
วิมลวรรณนิ่งอึ้ง หน้าเสีย ไม่กล้าพูด ก้องภพพุ่งเข้าหา ภาคินเบี่ยงหลบ ก้องภพเซถลา ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
“แน่จริง อย่าหลบสิวะ”
ปานดาวเบื่อๆ
“เล่นละครปัญญาอ่อนอะไรกันก็ไม่รู้ ไม่ได้เรื่อง”
เติมบุญพูดแทรกขึ้น
“แต่พ่อว่ามันสมจริงมาก...สมจริงเกินไปยังกับเรื่องจริงเลย”
ทางด้านก้องภพตั้งตัวได้ พุ่งหาหวังให้ภาคินล้มคว่ำขายหน้า ภาคินกอดปานฟ้าอย่างปกป้อง แล้วเบี่ยงตัวหลบ ก้องภพพุ่งใส่อย่างแรงเลยลอยหวือลงไปกองกับพื้นข้างเวที
วิมลวรรณกรี๊ดลั่นร้องตกใจ คนดูเริ่มฮือฮา ชะโงกมองกันใหญ่ ก้องภพเงยหน้าขึ้น เลือดไหลจากหน้าผาก ใบหน้าคั่งแค้นสุดๆ ขณะที่ทุกคนมองก้องภพอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นมือถือเติมบุญดังขึ้น เติมบุญมองเบอร์ที่โชว์ หันมาบอกสายอุษาอย่างกังวล
“โรงพยาบาลโทรมา”
ที่โรงพยาบาล...ปานเดือน ร้องไห้คร่ำครวญ กอดโทรทัศน์ มี พยาบาลและอนิรุทธิ์ ช่วยจับ เพื่อให้หมอฉีดยา เติมบุญกับสายอุษา มองลูกสาวด้วยความห่วงใยอย่างสุดหัวใจ
ปานดาว และ ภูวดล มองปานเดือนที่คร่ำครวญกอดทีวีอย่างสะใจ
“ทินภัทร ลูกแม่ ออกมาหาแม่เถิดลูก แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน ออกมาลูก ออกมาหาแม่ ทินภัทร ลูกแม่ ฮือๆๆ”
สายอุษาน้ำตาคลอ
“ยัยเดือน โธ่ ทำไมถึงเป็นขนาดนี้”
“ตอนแรกคนไข้ก็ปกติดี แต่พอดูทีวีรายการการกุศล เห็นเด็กผู้ชายออกมาร้องเพลงเท่านั้นแหละ คลุ้มคลั่งขึ้นมาเลย” พยาบาลอธิบาย
บุญทิ้งหันมาสบตา ภาคิน นึกรู้ว่าที่คุณเดือนคุ้มคลั่งเพราะเห็นเขาร้องเพลง หมอและพยาบาลฉีดยา ให้ปานเดือน อาการสงบลงเล็กน้อย ปานฟ้า และ อนิรุทธิ์ เข้าไปช่วยประคองปานเดือนลงนอน อนิรุทธิ์มองปานฟ้าอย่างไม่วางใจ
“พี่เดือน ใจเย็นๆนะคะ ค่อยๆตั้งสตินะคะ”
“โอ้ย...เป็นขนาดนี้ จะเอาสติจากไหนมาตั้ง ดูสภาพสิ มันบ้าไปแล้วจริงๆ” ปานดาวโวยวาย
“ยัยดาว เบาๆหน่อย” เติมบุญปราม
ปานดาวไม่พอใจ
“คุณพ่อคะ ก็เห็นอยู่ทนโท่ ว่ายัยเดือนมันบ้าไปแล้ว จะมาหลอกตัวเองกันอยู่ทำไมคะ คนบ้า ก็ต้องอยู่ส่วนคนบ้า คนดีดีอย่างเรา ก็ต้องทำใจได้แล้วค่ะ ว่ามีคนในครอบครัว เป็นโรคประสาท เป็นบ้า”
ปานเดือน กรีดร้องโหยหวนดังยิ่งขึ้น ปานฟ้ามองปานดาวด้วยความรู้สึกผิดหวังมาก
“แล้วที่พี่ดาวทำอยู่ตอนนี้ คิดว่าคนดีๆ เค้าทำกันหรือคะ”
“แกว่าฉันเหรอ”
“พอเถอะคุณ ปานเดือนเป็นบ้าขนาดนี้แล้ว คงแยกแยะไม่ออกหรอก ว่าใครดี ใครเลว”
คำพูดของ ภูวดลทำให้ อนิรุทธิ์มองปานฟ้าแบบไม่เชื่อสายตา แล้วไม่ไว้วางใจยิ่งขึ้น ธัญวิทย์เบื่อๆ โพล่งขึ้นมา
“คุณแม่ครับ กลับกันได้รึยังครับ ผมไม่อยากอยู่กับคนบ้า”
“กลับกันก็ดีลูก เดี๋ยวเชื้อบ้า มันจะทำให้ลูกชายคนเดียวของแม่ และ...” ปานดาวเน้น “หลานชายคนเดียวของตระกูล ได้รับความกระทบกระเทือนเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แล้วหายสาบสูญอย่างไม่มีวันกลับ แบบทินภัทรคนดีๆ คงได้เป็นบ้า กันทั้งบ้าน”
ปานดาว ภูวดลพาธัญวิทย์ ออกจากห้องไป ปานเดือนได้ยินชื่อทินภัทร ออกอาการโวยวาย คร่ำครวญต่ออีก บุญทิ้งมองไปที่ปานเดือนด้วยความสงสาร เด็กชายอดใจไม่ได้ วิ่งเข้าไปหา
“คุณเดือน”
ปานเดือนลุกขึ้นกอดบุญทิ้งด้วยความคิดถึง
“ทินภัทรลูกแม่ ทินภัทรลูกแม่ ลูกกลับมาหาแม่แล้ว ลูกกลับมาหาแม่แล้ว”
“คุณเดือนครับ”
บุญทิ้งน้ำตาคลอ ด้วยความตื้นตัน ปานเดือนลูบหน้าลูบตา บุญทิ้งด้วยความรัก และ คิดถึง
“ทินภัทรของแม่ แม่ได้ยินลูก แม่ได้ยินลูกร้องเพลงถึงแม่ ลูกร้องเพลง ทางทีวี ใช่ไม๊ลูก ทินภัทร ใช่ไม๊”
“ครับ...เมื่อกี้ ผมร้องเพลงในทีวี ร้องเพลงเพราะผมคิดถึงแม่มากครับ”
“โถ ทินภัทร เพราะเหลือเกินลูก เป็นเพลงที่เพราะมากที่สุดที่แม่เคยได้ยิน ร้องให้แม่ฟังอีกทีสิลูก นะทินภัทร”
“ครับ ผมจะร้องให้คุณเดือนฟัง แต่คุณเดือนต้องสัญญากับผมนะครับ ว่าคุณเดือน จะไม่ร้องไห้อีก”
ปานเดือนรีบเช็ดน้ำตา ดีใจ
“จ้ะ แม่ไม่ร้องแล้ว ร้องสิลูก ร้องเพลงให้แม่ฟัง”
บุญทิ้งร้องเพลงที่ร้องบนเวที อยู่ในอ้อมกอดของปานเดือน ทุกคนมองด้วยความรู้สึก สงสารปนตื้นตัน อย่างบอกไม่ถูก
บุญทิ้งร้องเพลง และ กอดกันกับปานเดือน เหมือน มีกันและกันอยู่สองคน ส่งผ่านความรักและความอบอุ่น ผ่านบทเพลงและอ้อมกอด เสียงร้องของบุญทิ้ง เจือเสียงสะอื้นลึกๆขับกล่อมความรู้สึกรักและสงสารปานเดือนอย่างที่สุด
เติมบุญมองบุญทิ้งกับปานเดือนอย่างครุ่นคิด เห็นถึงความผูกพันของทั้งคู่
อ่านต่อหน้า 4
โปรดติดตามอ่านเรื่องราวแสนรันทด สุดประทับใจของ "ดุจดาวดิน" สมบูรณ์ทีุ่สุด ตรงตามบทโทรทัศน์ช่อง 7 สี เป๊ะ! ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร โดยไม่มีการตัดทอน หรือรวบ รัด และย่นย่อเรื่องราว ทาง "ละครออนไลน์" ที่เดียวเท่านั้น!!!
ดุจดาวดิน ตอนที่ 6 (ต่อ)
ปานเดือนฟังเพลงอย่างเป็นสุข และสงบ ค่อยๆ หลับตาไปพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากจนผลอยหลับไปในอ้อมกอดบุญทิ้ง จังหวะเดียวกับที่น้ำตาของบุญทิ้งหยดลงบนแก้มของปานเดือนพอดี
ปานฟ้ามองอย่างสงสารพี่สาวจับใจ หน้าเศร้า ภาคินเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้อย่างปลอบใจ ปานฟ้าหันมามองเขาน้ำตาคลอ ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน หญิงสาวร้องไห้อย่างสงสารพี่สาวจับใจ ภาคินบีบมือเธอนิดนึงอย่างให้กำลังใจ
ปานฟ้าหยุดคุยกับภาคิน อยู่ที่ลานจอดรถ มองภาคินด้วยความรู้สึกขอบคุณ
“ฟ้าต้อง...”
ปานฟ้ายังพูดไม่จบภาคิดพูดสวนขึ้น
“ขอบคุณ”
ปานฟ้ายิ้มสดใส
“รู้ใจกันจริงนะคะ จะกี่ทีก็ต้องพูดค่ะ ว่าฟ้า ขอบคุณ คุณภาคินมากๆเลยนะคะ ที่คอยช่วยเหลือฟ้า และ ครอบครัวมาตลอด ไม่รู้ทำไม เวลาเกิดเรื่องกับฟ้าทีไร คุณภาคินจะโผล่มาช่วยฟ้าได้ ทุกที ไม่รู้จักกี่ครั้งแล้ว”
“คงเป็น ความบังเอิญ ล่ะมั้งครับ”
ปานฟ้าตาโตเป็นประกายนึกอะไรขึ้นได้
“คงไม่แล้วล่ะค่ะ...นั่นไง คุณภาคิน มีอะไรอยู่บนหัวคะนั่น”
ภาคิน เอามือลูบผม งงๆ
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ ข้างบนนั้นค่ะ ที่กลมๆสีขาวๆ และ เอ๊ะ...ปีกของคุณภาคินซ่อนไว้ อยู่ไหนคะ”
ภาคินทำหน้างง ขำๆ
“อะไรครับคุณฟ้า”
“ก็ฟ้าจะบอกว่า คุณภาคินเหมือนเป็นเทวดาประจำตัวฟ้าเลยไงคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับฟ้า ก็มาช่วยฟ้าได้ทันเสมอ”
ภาคินยิ้มกว้างมีความสุข
“คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณฟ้า”
“แผลที่แขนเป็นยังไงบ้างคะ ตอนอยู่บนเวทีเห็นสู้กับก้องตั้งหลายตั้ง”
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ถ้าตอนนี้จะให้อุ้มคุณฟ้า ก็ยังไหว”
“โอ้โห” ปานฟ้าเอามือไปตีแขนเขา “เก่งจริงๆเล้ย”
“อุ๊บ”
ภาคินเอามือจับแขนข้างที่ฟ้าตี ทำหน้าเจ็บแผล หญิงสาวตกใจ กุมมือเขาที่จับแขน ด้วยความเป็นห่วง
“ขอโทษค่ะ ก็ไหนบอกว่าไม่เป็นไรแล้วไง ไหน...ให้ ฟ้าดูสิคะ เจ็บมากไหม เลือดออกอีกรึเปล่า”
ภาคินมองใบหน้าปานฟ้า อย่างมีความสุขที่เห็นถึงความห่วงใย เขาเผลอยิ้มออกมา หญิงสาวเงยหน้าเห็นรอยยิ้มของเขาจึงคิดได้
“นี่...แกล้งฟ้าใช่ไหมคะ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้แกล้ง เจ็บจริงๆแต่ไม่ใช่ข้างนี้ แต่เป็น ข้างนี้”
ภาคินทำหน้าทะเล้นชี้ไปที่แขนอีกข้าง
“โอ้ย ร้ายจริงๆเลย”
ปานฟ้า ไล่ตีแขนของเขาข้างที่ไม่เจ็บอีก ภาคินหลบไปมา เธอพยายาม วนรอบตัวเขาจะเอาคืน จนสะดุดขาตัวเองล้ม ภาคินประคองเธอได้ทันก่อนจะล้ม ทั้งสองคนสบตากันหวาน ขณะกำลังหวานอยู่นั่น ภาคินก็ออกอาการเจ็บ ปานฟ้าตาโต ตกใจ มือของเธอเกาะแขนข้างที่เจ็บอย่างแน่น
“ตายจริง คราวนี้ เจ็บจริงแล้วใช่ไหมคะ”
ปานฟ้ารีบถอยออกมาจากอ้อมแขนของเขา ภาคินพูดไปยิ้มไป
“ครับเจ็บจริง แต่ถ้าเจ็บแล้วได้อยู่อย่างนี้ ผมยอมครับ”
ปานฟ้าขำๆ
“ไม่คิดเลยนะคะเนี่ย ว่าคุณจะเจ้าเล่ห์กับเขาเป็นด้วย ไม่เอาแล้วกลับดีกว่า”
ปานฟ้า ยิ้มเขินหันหลัง เดินไปที่รถ ภาคินมองตามยิ้มๆ อย่างมีความสุข เอามือจับแขนข้างที่เจ็บแต่ก็สุขใจเดินตามมา เอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ หญิงสาวยิ้มเขินอาย เดินไปกับเขาอย่างสุขใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น...บนโต๊ะรับแขกเต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์ วิมลวรรณหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านเสียงดัง...
“เลือดกบปาก ไฮโซหนุ่มก้องภพ คาเวทีแคทวอร์ก”
วิมลวรรณวางหนังสือพิมพ์ไม่พอใจ หยิบอีกฉบับขึ้นมาอ่าน
“ไฮโซ สะดุดขาตัวเองเบาๆ กลางเวทีงานโชว์เครื่องเพชรปากแตก หมอรับเย็บ แต่หน้าแตก หมอไม่รับ คิก คิก...หนอย เขียนข่าวอย่างเดียวยังไม่พอ มันยังเขียนหัวเราะเยาะอีก”
ก้องภพ เซ็งๆ วิมลวรรณ กระแทกวางหนังสือพิมพ์ไม่พอใจ
“โอ้ย...พอๆๆ อะไรนักหนาเนี่ย นี่นายก้อง แกไปทำอะไรให้พวกนักข่าวไม่พอใจรึเปล่า เค้าถึงละเลงใส่แกซะเละขนาดนี้”
ก้องภพลูบแผลที่ปากเบาๆ
“เปล่านี่ฮะ ผมอยู่ของผมดีๆ ไอ้พวกนี้มันถือว่าตัวเอง มีปากกาอยากจะเขียนให้ใครดี ใครชั่ว ก็ได้ ไม่เห็นต้องไปแคร์มันเลยแม่ เราไม่ได้ขอข้าวพวกมันกิน”
ภาคินเดินเข้ามาพอดี วิมลวรรณเหลือบเห็น
“เพราะไอ้ลูกไม่มีแม่แท้ๆ ทำให้เราต้องโดนอย่างนี้ ทั้งเจ็บตัว ทั้งโดนสังคมนินทา พวกชั้นต่ำไม่เคยออกงานผู้ดี มีโอกาสได้ออกครั้งเดียว ก็สร้างแต่เรื่องต่ำๆ”
อานนท์เดินเข้ามาได้ พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“หยุดคำพูด ต่ำๆได้แล้วคุณ เพราะเท่าที่เห็น เมื่อคืนนี้ภาคินไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้าก้องต่างหาก จะไปทำร้ายเขา หัดโทษลูกตัวเองบ้างเถอะ แล้วก็หัดโทษตัวเองด้วย ที่สอนลูกไม่เป็น”
วิมลวรรณมองอานนท์อย่างนึกไม่ถึง
“นี่คุณกล้าว่าฉันเหรอ”
“ผมควรจะว่าคุณมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้น เจ้าก้องภพคงไม่โตมาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้”
ก้องภพไม่พอใจ
“ผมเป็นอย่างนี้ แล้วไอ้ภาคินมันดีกว่าตรงไหน แม่ก็ไม่มีงานก็เป็นแค่ขี้ข้า อยู่กับไอ้พวกเด็กเหลือขอ”
ภาคินโต้ทันที
“ถึงผมจะเป็นขี้ข้า แต่ก็ไม่ได้ทำตัวไร้ค่า อยู่บ้านเกาะพ่อแม่กินไปวันๆ”
“ไอ้ภาคิน”
ก้องภพกระโจนใส่ภาคินหมายจะเข้าไปต่อยหน้า อานนท์เข้ามาขวางผลักอกก้องภพ จนเซไป วิมลวรรณ เข้ามาประคอง อานนท์ตวาดเสียงดัง
“พอได้แล้ว เลิกบ้าสักที”
วิมลวรรณโมโห
“นี่คุณกล้าทำร้ายลูกฉันเหรอ ปกป้องไอ้ลูกไม่มีแม่เกินไปแล้ว”
“คุณพูดผิด ภาคินมีแม่ แม่เขาเป็นเมียที่ผมรักมากที่สุด”
ภาคินหันไปมองอานนท์อย่างนึกไม่ถึง วิมลวรรณฟังตาตั้ง ชี้หน้าอานนท์อย่างทั้งแค้นทั้งช้อค
“รักมากแล้วทำไมไม่ไปอยู่กับมันล่ะ อยู่กับฉันทำไม หรือกลัวว่าไปแล้วจะอดตาย เลยต้องอาศัยบารมีพ่อฉันหาเงินซื้อข้าวกินจนถึงทุกวันนี้”
อานนท์ยิ้มหยัน ขมขื่น
“ล้ำเลิกบุญคุณเข้าเถอะคุณวิมลวรรณ สักวัน เจ้าก้องภพ จะได้เป็นลูกไม่มีพ่อ แล้วคุณก็จะไม่มีผัว”
วิมลวรรณ อึ้งตกใจกับคำพูดของอานนท์ ก้องภพ ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ภาคินมองอานนท์ อย่างนึกไม่ถึง วิมลวรรณพูดรำพันกับตัวเองอย่างเคียดแค้น
“นังบุษบา ไอ้ภาคิน จากนี้ไป แกสองแม่ลูก จะไม่มีวันได้พบกับความสุข ฉันจะทำให้พวกแก เจ็บ และจำไปจนวันตาย”
อานนท์เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ลงนั่งอย่างเหนื่อยใจ ภาคินเดินเข้ามองพ่อจากด้านหลัง ด้วยความรู้สึกดีใจลึกๆ
“ขอบคุณมากครับ ที่ปกป้องผม”
อานนท์หันมามอง ยิ้มให้นิดๆ
“มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อ ที่ต้องปกป้องลูก”
“ครับ...เป็นหน้าที่”
“แต่หลายครั้ง พ่อก็ยังทำหน้าที่ของพ่อไม่ได้ ถ้าเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว พ่อเข้มแข็งกว่านี้ แม่ ...ของลูกคงไม่ต้องไปลำบากอยู่ข้างนอก”
“ผมถามอีกครั้งได้ไหมครับ ตอนนี้ แม่ของผม อยู่ไหน”
อานนท์มองหน้าลูกชาย
“ฟังพ่อนะ พ่อไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้แม่เขาอยู่ไหน...เพราะถ้ารู้ เราสามคนพ่อแม่ลูก คงได้อยู่ด้วยกันนานแล้ว”
อานนท์ พูดด้วยความขมขื่น ภาคินเศร้าและผิดหวัง
เวลานั้นกัญญาถือหนังสือพิมพ์ นั่งมองภาพข่าวแฟชั่นโชว์ ใช้มือค่อยๆ ลูบไปที่ภาพภาคินที่หน้าหนังสือพิมพ์รำพึงเบาๆ
“ลูกแม่”
ช้อยกับถม เข้ามาเห็นพอดี
“ต๊าย แม่กัญญานี่เป็นเอามากนะ บ้าผู้ชายขนาดมานั่งรำพึงรำพันลูบคลำรูปจากหน้าหนังสือพิมพ์ ไหนฉันดูหน่อยสิ”
ช้อยดึงหนังสือพิมพ์จากมือ กัญญาพยายามรั้งไว้
“เอ๊ะ...นี่มัน คนที่โดนแทงแล้วเธอช่วยไว้นี่ยะ ต๊าย...หลงใหลไอ้หนุ่มขนาดนั่งดูรูปจนจะเพ้อเอาเชียวหรอ นี่มันรุ่นลูกแกได้แล้วนะ อย่างว่าแหล๊ะ หญ้าอ่อน เคี้ยวง่าย กลืนคล่อง ไม่เหมือนไอ้พวกหญ้าแก่ หนังเหนียว เคี้ยวยาก ติดคอ”
ถมมองช้อยไม่พอใจ รู้ว่าถูกแดกดัน
“คงกินหญ้าแทนข้าว เป็นประจำสินะ ถึงได้รู้ดี”
ช้อยตาโต พูดไม่ออก ที่ถูกถมแดกดันคืน ถมหันไปหากัญญาอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“ว่ายังไงแม่กัญญา ชอบใจอะไรข่าวนี้นักหนา”
กัญญาน้ำตาคลอคิดถึงภาคิน
“ฉันแค่ดีใจ คิดไปถึงแม่...ของคุณคนที่เดินแฟชั่น แม่เขาคงชื่นใจ ดีใจ ที่มีลูกหน้าตาหล่อเหลา แถมเป็นคนดี ทำงานเพื่อสังคมขนาดนี้ น่าชื่นใจเหลือเกิน”
ถมมองกัญญา อย่างไม่แน่ใจในความรู้สึก
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แม่กัญญา คราวหน้าเรามาทำลิเกเรื่องระหว่างแม่กับลูกกันดีกว่า เอาเป็น แม่ลูกที่รักกันมาก แต่ต้องพลัดพรากจากกัน” ถมมองหน้าช้อย “เพราะมีนังตัวร้ายเป็นตัวมาร ฉันว่าคนดูน่าจะชอบนะ”
ช้อยเบะปาก
“ทำไมตอนพูดถึงนังตัวร้าย พี่ถมต้องชำเลืองมองฉันด้วย นังช้อยเนี่ย นางเอกประจำโรง ไม่ใช่แม่พระเอกเหมือนบางคน แก่จะตายแล้ว ยังเอาใจกันอยู่นั่นแหละ” ช้อยว่าใส่หน้าถม “พวกชอบกินแตงเถาตาย”
ช้อยสะบัดหน้าเดินไป ถมยิ้มขำ บอกกัญญาอย่างเอาใจ
“อย่าไปสนใจมัน เดี๋ยวฉันจะเขียนบทให้...”
ถมเล่าเรื่องที่จะเขียนให้ฟัง กัญญานั่งฟังน้ำตาคลอ เพราะที่ถมเล่าจี้ความรู้สึกในหัวใจอย่างที่สุด
ภาคินกับตุลย์ นั่งดูเอกสาร และ รูปภาพผู้ต้องสงสัย มากมายบนโต๊ะ เฟื่องแก้วจัดเอกสารอยู่ในห้อง
“เป็นไงภาคิน ที่เห็นอยู่นี่นะ เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีลักเด็ก พวกฉกชิงวิ่งราว ก่อคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในย่านนี้ นายลองดูว่ามีใคร ที่น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัย ที่แทงนายวันก่อนไหม”
“เยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
“งั้นให้เฟื่องช่วยดูไหมคะ”
ตุลย์หันไปพูดหยอก
“ช่วยก็ได้ครับ แต่คุณเฟื่องแก้ว เห็นหน้าคนร้ายที่แทงคุณภาคินเหรอครับ”
เฟื่องแก้วอึกอัก หน้าง้ำใส่ตุลย์
“เปล่า”
ตุลย์ ยังคงพูดหยอกยื่นหน้ายื่นตาใส่
“ถ้าอย่างนั้นจะช่วยดูหน้าคนร้ายทำไมครับ”
เฟื่องแก้วพูดกระแทกใส่หน้าตุลย์
“ก็เพราะฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณไง”
“อูยย...แรง”
ภาคินอมยิ้ม ก้มหน้าดูรูปต่อ
“ไงล่ะ กวนเค้าดีนัก”
“เอางี้ สงบศึกกันสักครู่ คุณกับผม เราออกไปหากาแฟกินกันดีกว่า เพราะภาคินเค้าต้องใช้สมาธิในการดูรูป”
“ฉันว่า แค่คุณหน่ะอยู่เงียบๆ คุณภาคินเค้าก็ดูได้แล้ว”
ตุลย์ตู่เนียนๆ
“จุ๊จุ๊ๆๆ อย่าเสียงดังสิครับคุณเฟื่อง ป่ะๆ” ตุลย์ดึงแขนเฟื่องแก้ว “ออกไปกันก่อน ภาคินเค้าต้องทำงาน”
ตุลย์ดึงเฟื่องแก้วลุกเดินออกจากห้อง หญิงสาวโวยเบาๆ
“อะไร คุณว่าฉันเหรอ คุณนั่นแหละ”
ตุลย์กึ่งลากกึ่งจูงเฟื่องแก้ว ออกไปนอกห้อง เฟื่องแก้วพยายามขัดขืน บ่นอุบตลอดเวลา
เฟื่องแก้วจัดแก้วกาแฟ ในครัว ตุลย์ยิ้มแฉ่งยื่นกาแฟให้
“อ่ะ...คุณ”
“อะไร”
“กาแฟ ของคุณไง ผมชงให้”
“ไม่ต้อง ฉันชงเองได้”
ตุลย์พูดทะเล้นใส่เฟื่องแก้ว
“อ๊ะ ก็นี่ ผมชงให้คุณ แล้วเดี๋ยว คุณก็ชงให้ผม”
“มีมือชงเองได้ ก็ชงเอง กินเอง สิคะ”
“เอ๋า คนเค้าอุตส่าห์มีน้ำใจทำให้ กาแฟแก้วนี้ไม่ธรรมดานะคุณ ผมน่ะ ชงด้วยใจ รับรอง หอมอร่อย ดื่มแล้ว ชุ่มชื่นหัวใจ ยิ้มแย้ม แจ่มใส ทั้งวัน”
เฟื่องแก้วย้อน
“เหรอคะ ถ้าดีขนาดนั้น ก็เก็บไว้ดื่มเองเถอะค่ะ”
“โหย...ผมก็แค่อยากให้คุณอารณม์ดี ยิ้มให้ผมมั่ง ไหน ยิ้มซิ ยิ้มซิ”
ตุลย์ทำหน้าทะเล้น ยั่วให้เธอขำแล้วยิ้ม เฟื่องแก้วพยายามหลบหันไปเอาโหลน้ำตาล ใส่ตู้ชั้นบน จนศอกเฉี่ยวตาเขา ตุลย์หลบทันหวุดหวิด แต่แกล้งสำออย ทำเป็นเหมือนโดนแกล้งเอามือปิดตาเจ็บ
“อูยยย เต็มๆเลย”
เฟื่องแก้วตกใจ
“ว้าย...เจ็บมั้ยคุณ เอาตามาทิ่มศอกฉันทำไมเนี่ย”
เฟื่องแก้ว ช่วยดูที่ตา ตุลย์ขำกิ๊ก แล้วอ้อนทำหน้าทะเล้น
“แฮ่...เป็นห่วงผมด้วยเหรอ คุณเฟื่อง”
“แกล้งฉันเหรอ ผู้หมวดตุลย์ นี่แน่ะ”
เฟื่องแก้วเอานิ้วจิ้มเข้าเบ้าตาเขาเป็นการแก้แค้น แล้วเดินจากไป ตุลย์ร้องโอย ด้วยความเจ็บจริงๆ
ภาคินดูรูปแล้วรูปเล่าจนไปเจอรูปก้าน ถึงกับชะงัก ตุลย์นั่งเอามือลูบตาที่เจ็บอยู่ป้อยๆ
“นี่...นี่มัน คนที่แทงผมเมื่อวันก่อน”
ตุลย์ปล่อยมือที่ลูบตารีบมาดู
“ไหน ดูสิ...” ตุลย์เห็นรูปก้านก็ชะงักไป “แน่ใจนะ ว่าเป็นคนนี้”
“ใช่ คนนี้แหละ ทำไมเหรอหมวด”
ตุลย์กังวล
“ถ้าเป็นไอ้คนนี้จริงๆ ต้องระวังตัวให้มากๆแล้วล่ะคุณภาคินเพราะ ไอ้นี่ มันเป็นอาชญากรตัวเอ้ โดนจับด้วยคดีหนักๆทั้งนั้น ที่แหก คุกคราวนี้ มันหนีโทษประหาร...มันชื่อ...ไอ้ก้าน!”
”ภาคินมองรูปก้าน อึ้งในความร้ายกาจที่เขาเองได้เผชิญมาแล้ว
ก้านนอนทอดน่อง มีเหล้าและกับแกล้มวางที่พื้น พ่วงพลิกหนังสือพิมพ์อ่าน ไปเจอภาพ บุญทิ้งอุทานเสียงดัง
“เฮ้ย!!!!”
ก้านที่นอนสบายอยู่สะดุ้งโหยง เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระวังตัว
“แหกปากเรียกพ่อเอ็งมาเหรอไง”
พ่วงไม่สนใจก้าน จ้องหนังสือพิมพ์หัวเราะอย่างสะใจ
“ฮ่าๆๆ วะฮ่าๆๆ ไอ่ทิ้ง ไอ่ทิ้ง ฮ่าๆๆๆ”
ก้านหันมาเห็นถามอย่างขัดใจ
“โธ่เว้ย..อะไรของเอ็งวะ ร้องซะข้าตกใจหมด หนังสือมันตลกนักรึไง หัวเราะอย่างกับคนบ้า”
“ข้าไม่ได้บ้าโว้ยย แต่ข้ากำลังจะรวยแล้วว ฮ่าๆๆ”
“รวย รวย อะไรของเอ็งวะ”
พ่วงยื่นหนังสือพิมพ์ ใส่หน้าก้าน
“เห็นนี่ไหม...นี่ๆๆ ไอ้นี่แหละ ตัวเงินตัวทอง ของเรา”
ก้านมองรูปบุญทิ้ง เอานิ้วชี้หนังสือพิมพ์ข้างหน้าตัวเองที่ปิดหน้าพ่วงอยู่
“ไอ้นี่”
พ่วงลดหนังสือพิมพ์ลงพอดี กลายเป็นก้านชี้หน้าพ่วงโดยไม่ตั้งใจ ก้านเน้น
“ตัวเงิน ตัวทอง”
พ่วงปัดมือก้านอย่างขัดใจ
“เฮ้ย..ไอ้เด็กนี่โว้ย ไม่ใช่ข้าไอ้นี่แหละ ที่จะทำให้เรารวย คอยดูสิ หึๆๆ”
พ่วงพูดอย่างหมายมาด ก้านมองรูปบุญทิ้งในหนังสือพิมพ์อย่างสนใจ
ปานฟ้าขับรถมาจอดด้านหน้ามูลนิธิ ภาคินเดินมาที่รถกับบุญทิ้ง
“ฟ้ามาตรงเวลา เป๊ะ เลยไหมคะ” ปานฟ้ายิ้มให้อย่างสดใส
ภาคินยิ้มรับ
“เห็นรอยยิ้มคุณฟ้าอย่างนี้ ถึงมาสาย ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ”
บุญทิ้งอมยิ้มมองภาคินกับปานฟ้า ทำเป็น กระแอม
“อะไร ติดคอ บุญทิ้ง”
“ปละ เปล่า ครับ”
ปานฟ้าหัวเราะเอ็นดูบุญทิ้ง
“บุญทิ้ง พี่ฟ้าขอยืมตัวพี่ภาคินสักแป๊บนะจ้ะ พอดีคุณตามีอะไรจะคุยกับพี่เค้าหน่อย”
“คุณตา”
“คุณตาของบุญทิ้ง ก็คุณพ่อของพี่ฟ้าไง”
ภาคินหันมาบอก
“ดูแลทางนี้ด้วยล่ะ พี่ไปไม่นาน เดี๋ยวก็กลับ”
บุญทิ้งรับคำอย่างดี
“ครับผม ผมจะดูแลที่นี่อย่างดี ไม่ให้ใครมาก่อกวนหรือ มายุ่มย่ามได้เลยครับ”
“เก่งจังนะ พ่อ รปภ.ตัวเล็ก”
ภาคินบุญทิ้งหัวเราะกับฉายาที่ปานฟ้าเรียก แล้วพากันขึ้นรถไป พ่วงยืนแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง มองดูบุญทิ้ง ยิ้มกระหยิ่มอย่างหมายมาด
พ่วงแอบเข้าไปในมูลนิธิ คอยหาจังหวะจับตัวบุญทิ้ง ขณะที่จะเดินเข้าไปจับบุญทิ้งจากด้านหลัง เมื่อเห็นบุญทิ้งกวาดขยะอยู่ บุญทิ้งปล่อยมือ ไม้กวาดเลยฟาดหัวพ่วงที่เข้ามาด้านหลัง พ่วงจะร้องแต่ร้องไม่ออก
บุญทิ้งเดินมาล้างพื้นต่อ พ่วงย่องเข้ามา แต่บุญทิ้งเทผงซักฟอกใส่พื้นไว้ พ่วงลื่นล้ม ไถลไปด้านข้าง แต่บุญทิ้งไม่ทันเห็นเพราะมัวแต่หันมาขัดพื้นอีกด้าน พ่วงอ้าปากร้องออกมาแบบไม่มีเสียงด้วยความเจ็บ
เมื่อบุญทิ้งเข้าไปทำอาหารในครั้ว พ่วงค่อยๆยืดหน้าโผล่จากหน้าต่าง หาทางจะเล่นงาน จับตัวบุญทิ้งให้ได้ ทันใด บุญทิ้งตักฟองจากหม้อแกง มองซ้ายขวาไม่เห็นถ้วยให้ใส่ เลยสาดไปนอกหน้าต่าง พ่วงซึ่งยืดตัวขึ้นมา เลยโดนน้ำฟองแกง เข้าเต็มหน้า พ่วงร้อนแต่พูดไม่ออก ร้องไม่ได้
บุญทิ้งเดินออกมาด้านนอก ทันใดมีมือหนึ่งเอื้อมมาจับแขน บุญทิ้งสะดุ้งสุดตัว
“เอ้ย!!”
หันกลับมาพบว่าเป็นตุลย์
“ตกใจอะไร ขวัญอ่อนจริงๆนะเรา”
ตุลย์ขำ บุญทิ้งโล่งใจ
“ป่ะ เปล่าครับ พี่ตุลย์นั่นเอง ผมก็คิดว่าเป็น...”
“เป็นใคร คิดว่าพี่เป็นแก๊งลักเด็กรึไง พี่น่ะ...พระเอกนะคร้าบ ไม่ใช่โจร”
ตุลย์ทำท่าโพสต์หล่อ บุญทิ้งหัวเราะเขินๆที่ตัวเองกลัวเกินเหตุ
“ว่าแต่ คุณเฟื่องแก้ว อยู่ไหม บุญทิ้ง”
“อยู่ครับ อยู่ที่ห้องทำงานอ่ะครับ”
ตุลย์แววตาเป็นประกายร่าเริง
“แวะไปทักทายหน่อยดีกว่า”
บุญทิ้งยิ้มชอบใจ
“เดี๋ยวผม เดินไปส่งเองครับ”
“ไป”
บุญทิ้งจูงมือตุลย์ไปอย่างสบายใจ หันไปมองด้านข้างอย่างไม่ตั้งใจ เห็นเงาพ่วงสะท้อนกระจกหน้าต่างวูบหนึ่งจึงชะงัก เขม้นมองอย่างไม่แน่ใจ
“มองอะไร บุญทิ้ง”
บุญทิ้งหันมามองตุลย์ แล้วมองไปที่ เงาสะท้อนแต่ไม่เห็นพ่วงแล้ว
“เอ่อ..เปล่าครับ ไม่ ไม่มีอะไรครับ”
บุญทิ้งกำมือตุลย์แน่น ด้วยความกลัว
ปานฟ้าพาภาคินไปพบบุญเติม กับสายอถษาที่ห้องรับแขก
“ฉันอยาก จะขอบุญทิ้ง มาเป็นลูกบุญธรรม ของเดือนกับอนิรุทธิ์” เติมบุญบอกจุดประสงค์ทันที
ภาคินแปลกใจ ขณะที่สายอุษาแย้ง...
“ไม่ได้นะคะคุณ”
“ทำไมจะไม่ได้ บุญทิ้งเป็นเด็กดีนะ กิริยามารยาทก็ใช้ได้ เราก็เห็นกันอยู่ว่ายัยเดือน รักเด็กคนนี้ขนาดไหน ถ้าไม่ได้บุญทิ้ง ลูกเราอาจจะอาการแย่กว่านี้”
“ดิฉันรู้ค่ะคุณ ว่าบุญทิ้งดียังไง แต่จะให้มาเป็นลูกของเดือน มาเป็นลูกหลานในตระกูลเราจริงๆ ฉันไม่เห็นด้วยหรอกค่ะ”
บุญเติมขัดใจ ภาคินกับปานฟ้ามองตากันอย่างเป็นกังวลขึ้นมา เพราะเรื่องจะหาครอบครัวที่ดีให้บุญทิ้งเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
อนิรุทธิ์กำลังใส่เสื้ออยู่ในห้องนอน พิมเปิดประตูเข้าไปไม่ทันเคาะประตู ทำให้อนิรุทธิ์ ซึ่งใส่เสื้ออยู่ตกใจ รีบหลบเพราะโป๊
พิมมองอนิรุทธิ์อย่างขำๆ ทำสายตาอ่อยเต็มที่ เดินเข้าไปใกล้ทำท่าจะช่วยใส่เสื้อให้“แหม จะทำเป็นอายพิมไปทำไมล่ะคะ”
อนิรุทธิ์ หลบรีบใส่เสื้อให้ตัวเอง
“ผมกำลังรีบ”
“ก็ดีคะ พิมว่าคุณรีบลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า เพราะตอนนี้ คุณกำลังจะได้ลูกคนใหม่ โดยไม่รู้ตัวแล้ว”
อนิรุทธิ์ชะงัก งง
สายอุษานั่งหน้าง้ำไม่พอใจ ขณะที่ปานฟ้าพยายามโน้มน้าวเรื่องบุญทิ้ง
“คุณแม่ขา ฟังคุณพ่อหน่อยสิคะ”
“แม่ไม่ได้เป็นคนแก่ดื้อด้าน เอาใจตัวเองนะยัยฟ้า แต่เรื่องนี้แม่ยอมไม่ได้จริงๆ”
“ทั้งที่บุญทิ้งอาจจะช่วยให้พี่เดือนกลับมาเป็นปกติได้เหรอคะ ทุกคนก็เห็น พี่เดือนจะอาการดีขึ้นทุกครั้ง ที่บุญทิ้งอยู่ด้วย ฟ้าเชื่อว่าพี่เดือน ต้องการบุญทิ้งเป็นลูกแน่”
อนิรุทธิ์เดินเข้ามาพูดตัดบทปานฟ้า
“แต่ผม ไม่ต้องการ”
“พี่รุทธิ์คะ”
“ผมกับเดือน ไม่ต้องการเด็กคนไหนมาเป็นลูกทั้งนั้น ลูกของเรามีคนเดียว คือทินภัทร”
อนิรุทธิ์มองปานฟ้าเหมือนจะรู้ทัน และมองภาคิน เป็นศัตรูไปด้วย เติมบุญส่ายหน้าไม่เข้าใจ ปานฟ้าไม่สบายใจ กับท่าทีของอนิรุทธิ์
ปานฟ้าเดินออกมาที่สวน เพื่อระบายความเครียด ภาคินเดินตามมาให้กำลังใจ
“ฟ้าไม่เข้าใจคุณแม่กับพี่รุทเลยค่ะ โดยเฉพาะพี่รุท ชอบพูดแล้วก็มองฟ้าแปลกๆ เหมือนคิดอะไรอยู่” ปานฟ้าถอนหายใจ
ภาคินเดินอ้อมมาด้านหน้า มองเข้าไปในดวงตาของปานฟ้า เพื่อส่งกำลังใจ
“ผมรู้ว่าคุณเหนื่อย แต่ผมเชื่อว่าสักวัน ทั้งคุณแม่ และคุณรุทจะต้องเข้าใจในความหวังดีของคุณ”
“คุณภาคินคะ สัญญากับฟ้านะคะ ว่าคุณจะอยู่ข้างฟ้า”
ภาคินค่อยๆประคองมือทั้งสองข้างของ ปานฟ้า อย่างนุ่มนวล และมั่นคง
“ผมสัญญาครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
ภาคินมองมือที่กุมมือปานฟ้า แล้วเงยขึ้นมาสบตา ด้วยความรัก
“ผม ....”
เสียงแก้วแตกดังเพล้งจากในบ้าน ขัดจังหวะภาคินที่กำลังจะเผยความในใจ ปานฟ้าสะดุ้งรีบปล่อยมือจากภาคินอย่างเขินๆ
ต้นเสียงแก้วน้ำแตกคือฝีมือพิม ที่แกล้งทำแก้วน้ำที่จะมาเสิร์ฟให้สายอุษา ตกแตกอย่างตั้งใจ
“ต๊ายย อกอีพิมจะแตก”
สายอุษาตกใจ
“อกแกจะแตก แต่แก้วน่ะ แตกแล้ว ระวังหน่อยสิ”
พิมแสร้งทำลนลาน
“ก็พิมตกใจนี่คะ ที่เห็น เอ่อ เห็น...”
“เห็นอะไร”
“คุณสายอุษา ก็มาดูเองกับตาเองสิคะ”
สายอุษาเดินไปชะโงกดูตามพิมบอก เห็นปานฟ้า กับ ภาคิน ยืนยิ้มให้กันอย่างสนิทสนม
“เมื่อกี้นะคะ พิมเห็นคุณฟ้ากับคุณภาคิน จับมือถือแขนนัวเนียกันเชียว แหม...รู้จักกันไม่เท่าไหร่ ก็ชวนกันมาพลอดรักถึงในบ้าน คุณภาคินนี่ฉลาดจริงๆนะคะ นอกจากจะหากินกับเด็กเก่งแล้ว ยังรู้จักหากินกับผู้หญิงรวยๆอีก ..ฉลาดมากๆ”
สายอุษาเดินกลับมานั่งโซฟาเพราะทนเห็นภาพ ปานฟ้า พร้อมกับคำพูดหลอกล่อของพิมไม่ได้
“พอได้แล้ว ไปเก็บแก้วที่แตกโน่น”
พิมลอยหน้าลอยตาต่อ
“พิมพูดความจริงนี่คะ คุณฟ้าก็อีกคน ผู้ชายหล่อๆรวยๆสมบูรณ์พร้อม ไม่มอง กลับมามองลูกเมียน้อย ผู้ต่ำต้อย ขืนได้คุณภาคินมาเป็นเขยบ้านนี้ ชาวบ้านคงได้นินทากันสนุกปากล่ะค่ะ”
พิมยิ้มเยาะ อย่างสะใจ เดินนวยนาดไปเก็บเศษแก้ว สายอุษาอึ้งและกังวลกับสิ่งที่พิมพูด ปานฟ้า และ ภาคิน เดินเข้ามาที่ห้องรับแขกพอดี
“เสียงแก้วแตกดังออกไปข้างนอก มีใครเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“พิมน่ะสิ...ทำอะไร ประเจิดประเจ้อ ไม่รู้จักระวังตัว”
ปานฟ้างงๆ ขำๆ กับคำพูดแปลกๆของสายอุษา
“ถ้าไม่มีอะไร ฟ้าขอตัวไปส่งคุณภาคิน กลับมูลนิธิก่อนนะคะ”
“ตอนมาก็ไปรับแล้ว ตอนกลับก็คงไปเองได้มั้ง เดี๋ยวให้พิมไปเรียกรถแท็กซี่ให้” สายอุษาเสียงแข็ง
ปานฟ้ามองหน้าภาคินไม่สบายใจ พิมเก็บเศษแก้ว แอบฟังอย่างสะใจจนเผลอโดนเศษแก้วตำมือเลือดออก แต่ก็แอบเก็บความเจ็บเอาไว้ไม่ร้อง เพราะยังอยากแอบฟังต่อ
“แต่วันนี้คุณภาคินมาก็เพราะเราเชิญ มาเรื่องธุระ ก็น่าจะ...”
สายอุษา ตัดบทเสียงเรียบ
“ตัวน่ะเป็นผู้หญิง ไม่ต้องคิดบริการผู้ชายมากนักหรอก”
“เอ่อ..เดี๋ยวผมกลับเองดีกว่าครับ จะได้ไม่รบกวนคุณฟ้า วันนี้คุณฟ้า ก็เหนื่อยมากแล้ว ผมลานะครับ”
ภาคินตัดปัญหา ไหว้ลา สายอุษายิ้มรับอย่างขรึมๆ เมื่อภาคืนออกไป ปานฟ้าหันมาถามแม่อย่างแปลกใจ
“คุณแม่ขา คุณแม่เป็นอะไรไปคะ ฟ้าไม่เข้าใจเลย”
“แม่ก็ไม่เข้าใจ ทำไมฟ้าจะต้องทำตัวสนิทสนมกับคุณภาคินเขานักหนา มันเกินงามแล้วนะลูก”
สายอุษาพูดแล้วก็เดิน ปานฟ้าถอนใจยาวอย่างไม่สบายใจ หันมาทางพิม เห็นพิมยิ้มสะใจ ปานฟ้ามองคิ้วขมวด พิมทำเป็นลอยหน้าลอยตา เก็บกวาดเศษแก้ว เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่เจ็บมือ
แต่แวบหนึ่งก็ยังลอบยิ้มอย่างสมน้ำหน้าปานฟ้า
อ่านต่อตอนที่ 7