xs
xsm
sm
md
lg

ดุจดาวดิน ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดุจดาวดิน ตอนที่ 4

ปานฟ้าขับรถมาโดยมี ภาคินนั่งอยู่ข้างๆ

“ถ้าเราหาแกไม่พบ ไม่ใช่แค่พี่เดือนที่ต้องมีอาการแย่ลงนะคะ ตอนนี้ คุณพ่อของฟ้าก็หลงบุญทิ้งจนถึงกับล้มป่วยด้วยโรคหัวใจกำเริบเลยล่ะค่ะ”
ภาคินแปลกใจ
“ทั้งๆ ที่ท่านเพิ่งเจอกับบุญทิ้งเมื่อวานน่ะเหรอครับ”
“ค่ะ...หลานท่านหายไปทั้งคน ท่านคงรอคอยวันที่ตาทินภัทรหลานของท่านกลับมา ไม่ต่างจากพี่เดือนที่รอคอยลูกกลับมาค่ะ”
ปานฟ้าหน้าเศร้าไปน้ำตาคลอ ภาคินดึงทิชชู่ส่งให้ซับน้ำตา ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภาคินรับสาย
“ว่าไงหมวด...ดีเลย ถ้างั้นเจอกันที่ตลาดนะ...”
ภาคินกดตัดสาย
“พบบุญทิ้งแล้วเหรอคะ”

ปานฟ้ากับภาคินตรงรี่เข้ามาในตลาดอย่างเร็ว เห็นตุลย์กำลังสอบปากคำลูกจ้างร้านอาหารอยู่
“มันขโมยอาหารในร้านของผมครับ หมวด ผมก็เลยกะจะจับตัวมันส่งตำรวจ ให้มันเข้าโรงเรียนดัดสันดาน”
“แล้วตอนนี้เด็กอยู่ไหน”
“โอ๊ย หนีไปแล้วละ” แม่ค้าบอก
ภาคินกับปานฟ้าตกใจถามพร้อมๆกัน
“ไปไหน...”
ช้อยเข้ามา
“เห็นนังกัญญามันพาขึ้นตุ๊กๆ ไป”
ภาคินงงๆ
“ใครครับ กัญญา...”
ช้อยทำท่าจะพูด แต่ไม่ทัน แม่ค้าคนหนึ่งก็เห็นตุ๊กตุ๊ก คันที่รับกัญญาไป แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าตลาด
“คันนี้แหละ มันวิ่งรับส่งคนที่หน้าตลาด ฉันจำได้”
ภาคินกับปานฟ้าหันไปทันที ทั้งสองก้าวขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไป
“ไปไหนครับ” คนขับถาม
“ตะกี้ไปส่งคนที่ไหน พาผมไปที่นั่น” ภาคินบอกอย่างร้อนใจ
คนขับหันมามองหน้างงๆ ปานฟ้ารีบส่งเสียงเร่ง
“เร็วสิ...”
คนขับตุ๊กตุ๊กขับออกไป ช้อยรีบฟ้องตำรวจและใส่ร้าย ป้านุ่มยืนปะปนกับกลุ่มคนบริเวณนั้นนิ่งฟังอย่างแปลกใจ
“ฉันรู้จักนังผู้หญิงคนที่พาเด็กไปค่ะ คุณตำรวจ มันเป็นนักแสดงลิเกเหมือนฉันนี่แหละ สงสัยมันมานานแล้ว เพิ่งรู้วันนี้เองว่ามันเป็นแก๊งเดียวกับไอ้เด็กหัวขโมยนั่น หนอย...แกล้งทำตัวดีให้คนเขากราบไหว้ ที่แท้ก็...”
ป้านุ่ม ตกใจอุทานเบาๆ
“แม่กัญญา...”
ป้านุ่มรีบเดินไป ช้อยรายงานตุลย์อย่างออกรส

กัญญาป้อนก๊วยเตี๋ยวให้บุญทิ้งที่ร้านอาหารภายในวัด
“กินให้อิ่มๆ นะลูก...”
บุญทิ้งมองกัญญาน้ำตาคลอ กัญญาแปลกใจ
“อ้าว...ทำไมล่ะ ไม่อร่อยเหรอ”
“เปล่าครับ...แต่ผมคิดถึงใครบางคน”
“ใครเหรอ ตัวแค่นี้ รู้จักคิดถึงด้วย”
“เขาบอกว่าเขาเป็นแม่ผมครับ”
บุญทิ้งนึกถึงตอนที่ปานเดือนกอดเขา...ขณะเดียวกันนั้นรถตุ๊กตุ๊กเข้ามาในบริเวณนั้น ภาคินเห็นรีบบอก
“นั่นไงครับบุญทิ้ง”
กัญญาหันไปเห็นภาคินก็ตกใจ รีบลุกขึ้นแล้วหันหลัง เดินไปอย่างเร็ว แม่ค้าตกใจรับเรียกไว้
“อ้าว...คุณ ไม่จ่ายเงินเหรอ”
กัญญารีบวิ่งไปเลย ปานฟ้ามองตาม แต่ไม่อยากสนใจต่อ ตรงมาหาบุญทิ้ง
“บุญทิ้ง พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษนะ ที่ไม่ได้ดูแลบุญทิ้ง ทำให้บุญทิ้งต้องลำบาก”
“ไม่เป็นไรครับพี่ฟ้า...”
ภาคินมองตามกัญญาไปแล้วหันไปถามแม่ค้า
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
แม่ค้าส่ายหน้า
“ไม่รู้ รู้แต่ว่ายังไม่จ่ายค่าอาหารฉันเลย...”
ภาคินส่งแบงค์ร้อยให้ แล้วสาวเท้าตามไป ปานฟ้าหันมาถามบุญทิ้ง
“ใครเหรอบุญทิ้ง”
“ผมก็ไม่รู้ครับ แต่คุณป้าคนนั้นใจดีมากเลยนะครับ เขาช่วยผมไว้”
กัญญาซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่งในวัดไม่ให้ภาคินเห็น เธอตัวสั่นดีใจน้ำตาไหลพราก เม้มปากมิให้เสียงสะอื้นลอดออกมา ภาคินมองหาแต่ไม่เห็น จึงกลับไป กัญญาค่อยๆ โผล่หน้าออกมาดู เห็นด้านหลังของภาคินที่เดินจากไป ก็พูดเสียงเครือเบาๆ
“ลูกแม่...”

ภาคืนกับปานฟ้าพาบุญทิ้งกลับมายังมูลนิธิ ภาคินกำลังสอบถามบุญทิ้ง ที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเขา
“ว่าไงบุญทิ้ง บอกพี่ได้มั้ยว่าทำไมถึงวิ่งหนีออกมาจากบ้านพี่ฟ้า รู้หรือเปล่าว่าทุกคนเป็นห่วง”
บุญทิ้งก้มหน้าน้ำตาคลอ พยักหน้า ปานฟ้าถามบ้าง
“เล่าให้พี่ฟ้าฟังได้มั้ย หรือว่ามีใครรังแกบุญทิ้ง”
บุญทิ้งส่ายหน้า น้ำตาร่วงพรูนึกถึงที่ภูวดลขู่จะฆ่าเขา บุญทิ้งหวาดกลัวจึงไม่กล้าบอกความจริง
“ผมผิดเองครับ พี่ภาคิน ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงผมอีกแล้วครับ”
ปานฟ้านั่งลงแล้วกอดบุญทิ้งไว้ มองข้ามไหล่เด็กน้อยไปยังภาคิน
“ช่างแกเถอะค่ะ อย่าไปคาดคั้นแกเลย...แค่นี้แกก็ขวัญเสียจะแย่แล้ว”
“ไปหาพี่แก้วไป อาบน้ำแล้วก็อ่านหนังสือนะ”
“ครับพี่ภาคิน”

ภาคินกับปานฟ้าเดินคุยกันมาอ้านนอก
“ผมต้องขอขอบคุณคุณฟ้ามากเลยนะครับ ที่ช่วยผมตามหาบุญทิ้งจนเจอ”
“มันเป็นความรับผิดชอบของฉันด้วยค่ะ...แกหายไปจากบ้านฉันแล้วยังเกี่ยวกับความเป็นความตายของคนในบ้านฉันอีก...ยังไงฉันก็ต้องตามแกให้เจอ”
ภาคินส่งเธอที่ข้างรถ ปานฟ้าเปิดประตูฝั่งคนขับทั้งสองสบตากัน
“หวังว่ามูลนิธิของคุณ จะส่งเด็กเข้าประกวดวาดรูปนะคะ เผื่อบางทีเด็กที่มูลนิธิจะได้รับทุนการศึกษา”
“ผมให้เด็กซ้อมมือไว้แล้วละครับ...แล้วก็มั่นใจด้วยว่าเด็กของผมจะต้องชนะเลิศ”
ปานฟ้ายิ้ม
“อีกสองวันเองนะคะ”
“ครับ...ขับรถดีๆนะ”
ปานฟ้าเข้าไปในรถภาคินยืนส่งอยู่ยิ้ม มองตามจนเธอถอยรถออกไปพ้นรั้วของมูลนิธิ...เฟื่องแก้วแอบมองอย่างน้อยใจอยู่มุมหนึ่ง

บุญทิ้งนั่งทานข้าว มีเฟื่องแก้วนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ค่อยๆ ทานก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอไปหรอก”
บุญทิ้งยิ้ม
“ครับ พี่แก้ว...”
บุญทิ้งทานช้าลง เฟื่องแก้วมองบุญทิ้งแล้วก็ตัดสินใจถาม
“บ้านผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้างน่ะ บุญทิ้ง”
บุญทิ้งมองหน้าเฟื่องแก้วงงๆ
“บ้านใครเหรอครับ พี่แก้ว”
“ก็บ้าน...เอ้อ คุณปานฟ้าไง”
บุญทิ้งหน้าเสียไป เมื่อนึกถึงตอนที่ภูวดลขู่เขา แล้วก็นึกถึงเติมบุญที่ใจดีกับตน มาก
“บ้านใหญ่ครับพี่แก้ว ท่าทางบ้านพี่ฟ้าจะรวยมาก”
เฟื่องแก้วหน้าเสียไป
“คุณตาชวนผมไปอยู่บ้านพี่ฟ้าด้วยนะครับ”
เฟื่องแก้วอึ้งไปครู่หนึ่งถามต่อ
“แล้วบุญทิ้งอยากไปอยู่มั้ยล่ะจ๊ะ”
“ไม่หรอกครับ คนที่นั่นใจร้าย”
เฟื่องแก้วยิ้มออก มองบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“งั้นก็อยู่กับพี่แก้ว แล้วก็พี่ภาคินที่นี่แหละบุญทิ้ง”
บุญทิ้งยิ้มออก แล้วก็หน้าเสียไป
“แต่ผมก็ยังอยากเจอหน้าพ่อแม่ผมนะพี่แก้ว...”

วันต่อมา...ทุกคนกำลังจัดข้าวของเตรียมอพยพโยกย้าย ช้อยบ่นดังๆ
“เป็นเพราะนังแม่ครูกัญญา ผู้ประเสริฐเลิศเลอของพวกแกแท้ๆ เลยที่ดันไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องตำรวจเข้า เจ้าของที่เขาก็เลยไม่ให้ปิดวิกที่นี่...ฮึ ทีนี้ละเป็นไง จะเอาอะไรยาไส้เข้าไปล่ะ”
ถมส่ายหน้า
“ถ้าไม่พอใจ ก็ลาออกไปอยู่คณะอื่นได้นะช้อย”
ช้อยตวัดสายตามองถมอย่างไม่พอใจ
“แต่ก่อนไม่มีนังกัญญา พี่ถมก็เอาใจฉันสารพัดพอตอนนี้มีมันมาร่วมคณะ ฉันเหมือนหมาหัวเน่า กรรมอะไรของพี่ถมนะ ถึงได้ตาต่ำไปรักไปหลงคนอย่างนังกัญญาเข้าให้”
กัญญาอึดอัดเดินออกไป ถมตามไปติดๆ ช้อยหงุดหงิด
“โอ๊ย...แม่ไปเต้นโคโยตี้ดีกว่ามั้ง ไม่ต้องทนเล่นลิเกย้ายวิกบ่อยๆ แบบนี้”

ตุลย์กับภาคินนั่งดื่มกาแฟปรึกษากันอยู่ ในห้องทำงาน
“แม่ค้าที่ตลาดยืนยันว่าคนที่ช่วยบุญทิ้งเป็นลิเกเปิดวิกอยู่ที่ท้ายตลาดใกล้วัดโน่น”
ภาคินครุ่นคิด
“ลิเก...อ๋อ รู้สึกว่าผมจะเคยเดินไปแถวนั้น”
ตุลย์แปลกใจ
“คุณภาคินซอกแซกเหมือนกันนะครับ ไปทำไมแถวนั้นครับ”
ภาคินเขินนิดๆ
“ก็พาคุณฟ้าไปกินก๊วยเตี๋ยวน่ะ มีเจ้าอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง”
“โห...แบบนี้ผมจะต้องพาคุณแก้วไปกินบ้างแล้วละ”
“เมื่อไหร่จะลงเอยกันซะทีล่ะหมวด”
ตุลย์ส่ายหน้าๆหมองไป
“ผมว่าคุณแก้วเขายังไม่ค่อยโอเคกับผมเท่าไหร่ ผมเองก็พยายามเอาชนะใจเขาอยู่...ไม่รู้ว่าสวรรค์จะเป็นใจให้หรือเปล่า”
“ผมเอาใจช่วยนะหมวด”
“ว่าแต่คุณภาคินเถอะครับ”
ภาคินทำหน้าไม่รู้เรื่อง
“อะไรครับ”
ตุลย์ยิ้มล้อๆ
“ก็เรื่องคุณฟ้าน่ะสิ แหม...ทำเป็นหน้าตาย ที่แท้ก็ใจเต้นแทบจะออกมานอกเสื้อแล้วละ”
ตุลย์หัวเราะ ภาคินลุกขึ้นยืน
“ผมจะไปที่วิกลิเก หมวดจะไปกับผมมั้ย”
ตุลย์ลุกขึ้นบ้าง ถามขึ้น
“จะไปที่นั่นทำไมครับ”
“บางที ผมอาจได้เบาะแสพ่อแม่ของบุญทิ้งบ้าง...บอกตรงๆ นะว่าผมสงสารแก”
ภาคินถอนใจบางๆ

ถมกับกัญญายืนคุยกันอยู่ด้านนอกของวิกลิเก
“ฉันไม่น่าเป็นภาระของพี่ถมเลย”
“ใครบอกล่ะ ถ้าไม่มีเธอ ใครจะสอนพวกเด็กใหม่ให้เล่นลิเกได้เก่งๆ ใครจะเขียนบทให้พวกเราแสดงความสามารถของเธอทั้งนั้นนะแม่กัญญา”
“ที่เราต้องย้ายวิกครั้งนี้เป็นเพราะฉัน”
“เจ้าของที่มันหาเรื่องมากกว่า...เธอไม่ได้ทำผิดอะไรนี่แค่ช่วยเด็กไม่ให้ถูกรุมทำร้าย ตำรวจน่าจะขอบใจเธอซะอีกนะ”
ช้อยออกมาเท้าเอวลอยหน้าบอกทั้งสองคน
“ตกลงจะเสด็จกันหรือเปล่าเจ้าคะ...นังช้อยจะได้ทำตัวถูก...ถ้าไม่เสด็จ นังช้อยจะได้บรรทมให้สุขารมณ์ไม่ต้องเสด็จหนีไปยังบ้านอื่นเมืองอื่น ให้ชาวพาราทั่วทั้งพระนครเขาค่อนขอดเสียดสี”
ถมเกาหัวแกรก โบกมือไล่
“ไปๆๆ เอ็งนี่นะ ตอนอยู่หน้าคนดู ไม่เห็นเล่นบทบาทให้ออกรสยังงี้ ทีเวลานี้ละก็ตีบทแตก”
กัญญาเดินผ่านหน้าช้อยไปช้อยสะบัดหน้าใส่ ถมเดินตามช้อยฉวยมือถมไว้
“ตกลงพี่ถมชอบนังแม่ครูกัญญาจริงๆ เหรอ...ลืมแล้วเหรอว่ามันเคยมีผัวมาแล้ว...มันไม่ใช่สาวๆ แส้ๆ อย่างฉันซะหน่อย”
“ไม่ใช่…แล้วไง...หา...แล้วไง...นังช้อย”
ถมท่าทางเอาจริง ช้อยหน้าจ๋อยไป พูดเสียงอ่อย
“เอ้อ...เปล่าจ้ะพี่ถม”

ตุลย์กับภาคินเดินมาถึง เห็นโรงลิเกว่างเปล่า
“สงสัยเรามาช้าไปแล้วละครับ”
ภาคินถอนใจ
“นั่นสิ เหมือนเพิ่งย้ายไปใหม่ๆ ไม่น่าเลย...”
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณภาคินสนใจลิเกด้วย”
ภาคินอึ้งไป มองไปรอบๆหน้าเศร้า

ค่ำนั้น...วิมลวรรณแต่งตัวสวยจะไปงานกลางคืน เธอลงบันไดมากับก้องภพมองไปเห็นอานนท์ที่ยังไม่แต่งตัวก็อารมณ์เสีย
“ตายแล้ว...ทำไมคุณยังไม่แต่งตัวอีก นี่น่ะมันงานกาลาดินเนอร์เชียวนะคะ ไม่ใช่งานแซยิดที่จะได้ใส่เสื้อยืดไปงานได้ มันต้องพิถีพิถันกันหน่อย”
“นั่นสิครับ คุณพ่อ ดูอย่างผมสิ...หล่อมั้ย”
ภาคินเข้ามาพอดี วิมลวรรณกับก้องภพรู้สึกว่าบรรยากาศแช่มชื่นหายไปทันที อานนท์หันไปถาม
“ไปงานกับพ่อมั้ยล่ะ”
“ผมไม่ชอบออกงานสังคม” ภาคินตอบนิ่งๆ
ก้องภพหัวเราะในลำคอ
“นายภาคินเขาไม่ชอบหรอกครับ คุณพ่อ งานสังคมหรูๆมันไม่เหมาะกับเขาหรอก อย่างเขาน่ะมันต้องลิเกเท่านั้น”
วิมลวรรณมองเหยียด
“สายเลือดมันเป็นยังงั้น มันจะหนีกำพืดไปได้ยังไง”
ภาคินตรงมาหา ก้องภพหน้าเสียไปหลบหลังแม่ทันที อานนท์ยืนขึ้น มองมา ขณะที่วิมลวรรณแหวใส่ภาคิน
“อย่ามาทำตัวนักเลงในบ้านฉันนะ ถ้าอยากเป็นนักเลงไปเป็นที่อื่น ไป๊...”
“คุณหญิง” อานนท์ปราม
“ไม่เห็นหรือไงว่ามันจะรังแกก้องภพ”
ภาคินมองหน้า
“ผมไม่ทำอะไรคุณก้องภพหรอกครับ คุณหญิง...แต่ผมอยากเตือนคุณหญิงและลูกชายไว้เท่านั้นว่าจะเป็นลิเกหรืออาชีพไหน ก็เป็นคนเหมือนกัน...ศักดิ์ศรีของคนไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นหรอกครับ แต่อยู่ที่ไหนผมไม่ขออธิบาย เพราะคุณหญิงกับคุณก้องภพคงไม่อยากฟัง”
ภาคินเดินไป วิมลวรรณพูดตามหลังไป
“ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองก่อนดีกว่าเจ้าภาคิน...ถึงคิดจะมาเตือนคนอื่น ทุเรศ”
พอภาคินไปแล้ว ก้องภพทำขึงขังทันที
“นี่ถ้าผมไม่เกรงใจคุณพ่อคุณแม่นะ ผมต่อยมันแล้ว”

ปานดาวกับภูวดล แต่งตัวชุดไปงานกลางคืนเข้ามาบอกกับพิมที่ยืนอยู่บริเวณนั้น
“ดูตาธัญวิทย์ด้วยนะ ตื่นมาไม่เจอพ่อแม่จะงอแงเอา”
“ค่ะ คุณดาว”
สายอุษากับเติมบุญเข้ามา ปานดาวรีบบอก
“รีบไปเถอะค่ะคุณแม่ ป่านนี้นักข่าวกลับหมดแล้วเดี๋ยวดาวไม่มีรูปลงหน้าสังคมเหมือนไฮโซคนอื่นๆ”
สายอุษามองสามี
“คุณพ่อสิ...ท่าทางไม่ค่อยอยากไป แม่น่ะอยากให้พ่อเขาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง พบปะนักธุรกิจรุ่นเดียวกัน เผื่อว่าจะได้สบายใจขึ้น”
“แล้วปานฟ้าล่ะ ปานฟ้าไปด้วยหรือเปล่า”
ภูวดลกับปานดาวทำหน้าเซ็งทันที
“ปานฟ้าเขาไม่ชอบออกงานสังคม คุณพ่อก็ทราบนี่คะเรารีบไปกันเถอะค่ะ” ปานดาวตัดบท
เติมบุญหน้าตาไม่เต็มใจนัก สายอุษาเห็นก็ถาม
“หรือคุณจะไม่ไปคะ”
“ไปสิ...แต่ไปรับปานฟ้าก่อน ถ้าดาวอยากไปก่อนก็ไปแล้วไปเจอกันในงาน”
ภูวดลเบื่อหน่าย
“เราไปกันก่อนก็ดีนะจ๊ะคุณดาว”
ปานดาวเชิดหน้า น้อยใจ
“ใช่สิ...ดาวมันไม่ใช่ลูกรักนี่คะ แค่จะเดินด้วยในงานสังคม คุณพ่อก็ยังรังเกียจ ระวังเถอะ ถ้านังฟ้ามันทำงามหน้าขึ้นมาวันไหน ดาวจะหัวเราะให้ลั่นบ้านเลย”
สายอุษาไม่พอใจ
“ยัยดาว พูดอะไรน่ะ ไม่ดีเลยนะ”
“ไปกันเถอะคุณดาว”
ภูวดลแตะแขนปานดาวเป็นการเตือนสติ ปานดาวยอมเดินออกไปกับสามี สายอุษาหันมาหาเติมบุญ
“ถ้างั้น ฉันโทรบอกให้ยัยฟ้าแต่งตัวรอที่บริษัทเลยนะคะ”
“ดีสิ...โทรเลย”
เติมบุญหน้าตาแช่มชื่นขึ้น สายอุษากดโทรศัพท์
“ฟ้าเหรอลูก”
ขณะเดียวกัน ปานฟ้าพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงาน
“ถ้าคุณพ่อต้องการยังงั้น ก็ได้ค่ะ ฟ้าพอมีเสื้อผ้าอยู่ที่ทำงานบ้าง แต่คงไม่งามเท่าพี่ดาวหรือคนอื่นๆ ในงานหรอกนะคะคุณแม่”
ปานฟ้าวางโทรศัพท์แล้วปิดแฟ้มตรงหน้า

พิมเดินฮัมเพลงสบายใจ
“บ้านหลังนี้มันน่าจะเป็นของเรานะ นังพิมจะวางท่าเป็นคุณนายมันทั้งวันเลย”
ป้าแก้วยืนขวางอยู่ พิมชะงัก แต่ก็เชิดหน้า จะเดินไป
“คางคก...” ป้าแก้วพูดขึ้นลอยๆ
พิมชะงักหันขวับมา
“แกว่าใครหา...ว่าฉันเป็นคางคกเหรอ”
“เปล่า...ไม่ได้ออกชื่อใคร...ใครอยากรับก็รับไปสิ”
ป้าแก้วเดินไป พิมมองตามด้วยสายตาชิงชัง แล้วก็มองไปยังประตูห้องปานเดือน เปิดประตูเข้าไปข้างในทันที
พิมเข้ามาในห้องปานเดือน หยุดยืนมองไปรอบๆเห็นรูปถ่ายของปานเดือนกับอนิรุทธิ์ตั้งอยู่มุมหนึ่ง
พิมแกล้งปัดตกลงมากระจกแตก แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนกับที่นอน อนิรุทธิ์เปิดประตูเข้ามาตกใจที่เห็นพิม
“เข้ามาทำไม...
พิมรีบลุกขึ้นนั่ง
“เอ้อ...ก็...ก็เข้ามาทำความสะอาด...”
อนิรุทธิ์มองอย่างไม่เชื่อ ตวาดเสียงดัง
“ออกไป...ผมบอกให้ออกไป”
อนิรุทธิ์เดินเข้าหา ดวงตาดุดัน พิมได้ทีก็ผวากอดอนิรุทธิ์ไว้แน่นแกล้งร้องไห้ดังๆ
“ปล่อย...ปล่อยนะ...ปล่อยสิ”
ป้าแก้วมองเข้ามา ตกใจ พิมมองเห็นสายตาป้าแก้ว ก็ทำเป็นร้องไห้
“ทำไม ไหนคุณรุทธิ์บอกว่ารักพิมไงคะ ได้พิมเป็นเมียแล้วจะมาทิ้งขว้างอย่างนี้ไม่ได้นะคะ...คุณรุทธิ์ต้องรักพิมให้มากๆ ฮือๆ”
ป้าแก้วยืนนิ่งอึ้ง ตกใจ มือทาบอก
“บัดสี...”
อนิรุทธิ์หันไปตกใจ
“ป้าแก้ว...ไม่...ไม่ใช่ยังงั้นนะครับ”
อนิรุทธิ์ผลักพิมหงายหลังลงไปที่เตียง สบถเสียงดัง ฉุนเฉียว
“อีบ้า...”
อนิรุทธิ์วิ่งออกไปข้างนอก พิมลุกขึ้นนั่ง หัวเราะสะใจ

อนิรุทธิ์พยายามอธิบายให้ป้าแก้วเข้าใจ
“มันไม่ใช่อย่างที่ป้าแก้วเห็นนะครับ ป้าแก้วก็ทราบว่าผมไม่มีวันทรยศ ต่อคุณปานเดือนเด็ดขาด”
“ไว้คุณท่านกลับมา คุณรุทธิ์ก็คอยตอบคำถามคุณท่านเองเถอะค่ะ”
พิมเดินมาหยุดยืนมองมาที่คนทั้งสอง อนิรุทธิ์หันขวับไปมองอย่างโมโห
“พิม...เธอจะทำลายชีวิตแต่งงานของผม กับปานเดือนไม่ได้นะ”
พิมส่ายหน้าแสร้งสะอื้น
“ป้าแก้วขา เป็นพยานให้พิมด้วยนะคะ พิมถูกคุณรุทธิ์ข่มเหงน้ำใจมานานแล้วค่ะ”
อนิรุทธิ์ตะลึงตวาดลั่น
“บ้า...บ้าที่สุด เธอก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันไม่จริงเลย”
พิมแสร้งปล่อยโฮเสียงดัง
“คุณรุทธิ์ใจร้าย ฮือๆๆ”
อนิรุทธิ์หัวเสียเดินออกไป ป้าแก้ว หน้าซีด ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด

ภาคินแต่งตัวง่าย ๆ ป้านุ่มเข้ามา
“คุณหนูขา...ไปทานข้าวเถอะค่ะ ป้าตั้งโต๊ะไว้ตั้งนานแล้ว...เขาไปงานกันหมดบ้านเลย”
“ตกลงคุณพ่อ ยอมไปงานกับคุณหญิงเหรอครับ”
“คุณผู้ชายน่ะ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้บ้านนี้สงบที่สุด...น่าเห็นใจท่านนะคะ”
“ป้า...วันนี้ผมไม่ทานข้าวที่โต๊ะอาหารนะ แต่จะทานกับป้าในครัว”
ป้านุ่มมองภาคิน น้ำตาคลอ
“ก็ได้ค่ะคุณหนู”

อนิรุทธิ์เข้ามาในห้องเห็นกรอบรูปตกแตกอยู่ที่พื้น อนิรุทธิ์เก็บขึ้นมาหน้าเสียไป
“คุณเดือน...”
อนิรุทธิ์ตัดสินใจเดินออกไปตรงไปที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ป้าแก้วยืนอยู่
“จะไปไหนคะคุณรุทธิ์”
“ผมจะไปเฝ้าคุณเดือนที่โรงพยาบาลครับ ป้าแก้ว”
“ป้าบอกตรงๆ นะคะว่าไม่สบายใจเลย คนอย่างนังพิมน่ะมันงูพิษดีๆ นี่แหละ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้”
“ผมไม่กลัวหรอกครับ ความจริงก็คือความจริง ผมบริสุทธิ์ใจ ผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา”
“ป้าเชื่อค่ะ...รีบไปเถอะค่ะ คุณเดือนเธอน่าสงสาร”
อนิรุทธิ์เข้าไปในรถ พิมออกมาจากมุมหนึ่ง ยิ้มมุมปาก
“เดี๋ยวแกจะยิ่งสงสารนังปานเดือนยิ่งกว่านี้อีก ฮึๆ”

ภูวดลขับรถอยู่ ปานดาวหงุดหงิดที่รถติดเป็นแพ
“มันจะไปไหนกันนักกันหนานะ รถถึงได้ติดยังงี้...”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานดาวกดรับ
“ว่าไงนังพิม...ตาธัญวิทย์งอแงเหรอ”
“เปล่าค่ะ คือว่า...”
ปานดาวนิ่งฟังแล้วระเบิดหัวเราะออกมา
“ต๊าย...นี่แกเอาสมองส่วนไหนคิดนะนังพิม มันถึงชั่วได้ใจฉันจริงๆ เลย ฉันชักสนุกกับแกแล้วสิ”
“อะไรเหรอดาว...” ภูวดลถามอย่างสงสัย
“ก็นังพิมสิคะ มันช่วยทำให้บ้านมีสีสันขึ้นอีกแล้ว...เดี๋ยวก่อนนะคะภู ให้ฉันทำธุระแป๊บนึง แป๊บเดียวเท่านั้น...”
พิม วางโทรศัพท์ลงอย่างสะใจ ปานดาว กดโทรศัพท์ สนุกกับเกมที่พิมสร้างขึ้น
“ต่อห้องหมายเลข 1124 ด้วยค่ะ”

ปานเดือนนอนอยู่บนเตียง พยาบาลจัดผ้าห่มให้พลางพูด
“พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะค่ะ คุณหมออนุญาตแล้วแต่ว่าต้องทานยาอย่าให้ขาดนะคะ”
ปานเดือนยิ้มตาเป็นประกาย ดีใจที่จะได้กลับบ้าน เสียงโทรศัพท์ของห้องดังขึ้น พยาบาลรับสาย
“ค่ะ...สักครู่นะคะ...ของคุณค่ะ”
พยาบาลส่งโทรศัพท์ให้ ปานเดือนรับไป
“ปานเดือนค่ะ...พี่ดาวเหรอคะ”
ปานดาวพูดโทรศัพท์อยู่สะใจ ภูวดลฟังอยู่ ขณะขับรถไปด้วย
“เดือนน้องรัก พี่ไม่รู้จะเล่าดีหรือเปล่า แต่พี่ก็ไม่อยาก เห็นน้องสาวของพี่เป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น ให้ใครต่อใครนินทาได้”
ปานเดือนหน้าซีด เริ่มควบคุมสติไม่ได้ พยาบาลจัดสายน้ำเกลืออยู่ไม่ห่าง
“รู้มั้ยเจ้าอนิรุทธิ์ผัวเธอน่ะมันได้นังพิมเป็นเมีย ผัวเธอทรยศเธอ ผัวเธอมีเมียน้อย ผัวเธอไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อ เธอเลยนะปานเดือน เพราะอะไรล่ะก็เพราะเธอมันบ้าไม่มีใครเขาทนมีเมียเป็นคนบ้าได้หรอก”
ปานดาวปิดโทรศัพท์ แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะประสานกับภูวดล ปานเดือน นั่งอึ้ง โทรศัพท์ร่วงจากมือ พยาบาลหันมา
“คุณคะ...คุณปานเดือน”
ปานเดือนกรีดร้อง แล้วก็ร้องไห้โฮๆ อนิรุทธิ์เข้ามาพอดี ตกใจ
“เดือน...คุณเดือนครับ...คุณเดือน”
อนิรุทธิ์กอดปานเดือนไว้จะปลอบใจ แต่ปานเดือนผลักไสอนิรุทธิ์ร้องไห้
“ออกไป๊...ออกไป ฉันเกลียดแก ปล่อย ฉันจะกลับบ้านฮือๆ”

พยาบาลกับอนิรุทธิ์ช่วยกันจับตัวปานเดือนไว้

อ่านต่อหน้า 2 วันนี้ เวลา 18.00 น.
ติดตามอ่านเรื่องราวสุดดราม่า รันทดและกินใจ ของ "ดุจดาวดิน" สมบูรณ์ที่สุด ละเอียดทุกลมหายใจ ตรงตามบทโทรทัศน์ช่อง 7 สี ทุกวันทาง "ละครออนไลน์"




ดุจดาวดินตอนที่ 4 (ต่อ)

ขณะที่นั่งอยู่บนรถ ปานดาวหัวเราะสะใจ หันมาบอกภูวดลซึ่งขับรถอยู่

“ฉันชักไม่อยากไปงานแล้วละ...”
“ทำไมล่ะคุณดาว”
ปานดาวหัวเราะในลำคอหยัน
“อยากไปสมน้ำหน้านังเดือนมากกว่า ฉันอยากเห็นครอบครัวนังเดือนมันพินาศ”
ภูวดลหัวเราะ
“งั้นเราย้อนกลับไปหามันที่โรงพยาบาลมั้ย”
ปานดาวนิ่งคิด แต่แล้วก็ยิ้มเยาะ
“ไปงานก่อนดีกว่าแล้วค่อยแวะไป ถ้ามันอาละวาดยังงี้ หมอคงไม่ยอมให้มันกลับบ้านหรอก ให้มันอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดไปน่ะยังงี้แหละ...สะใจดี”
ดุจดาวยิ้มอย่างมั่นใจ

ที่โรงพยาบาล...พยาบาลจับตัวปานเดือนที่นั่งร้องไห้อยู่เอาไว้ อนิรุทธิ์ยืนอยู่ข้างๆ พยายามปรับความเข้าใจ
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเดือนเข้าใจ คุณเดือนก็ทราบว่าผม ไม่มีวันทรยศต่อคุณเดือน ผมรักคุณเดือนยิ่งกว่าชีวิตของผม”
ปานเดือนผินหน้าหนี น้ำตาไหลพราก อนิรุทธิ์จับมือปานเดือน พยายามทำให้เธอสบายใจ
“คุณเดือนต้องมั่นใจผม แล้วก็มั่นใจในความรักของเรานะครับ”
ปานเดือนหันมาสะบัดมือ กรีดร้อง พยายามดันตัวอนิรุทธิ์ออกไป
“ฮือๆออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ คนทรยศฉันเกลียดคุณ ฉันเกลียดคุณ”
อนิรุทธิ์ตะลึง
“คุณเดือน...”
“ออกไปข้างนอกก่อนนะคะ ดิฉันขอร้องค่ะ”
ปานเดือนกรีดร้องดังขึ้น อนิรุทธิ์จำต้องเดินออกไปข้างนอก เขาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา น้ำตาคลอด้วยความเครียด
“คุณเดือน...คุณต้องเข้าใจผม...”

ในห้องจัดเลี้ยง....วิมลวรรณยืนข้างอานนท์ กับก้องภพ ที่มองหาปานฟ้าท่ามกลางผู้คน
“มองหาใครเหรอตาก้องภพ”
“ปานฟ้าครับแม่...”
“เดี๋ยวก็คงมาแหละ...อุ๊ย นั่นพี่สาวยัยฟ้านี่นา”
ปานดาวเดินมากับภูวดล ยิ้มแย้มแจ่มใสให้นักข่าวสังคมถ่ายรูป วิมลวรรณเดินมาหา ก้องภพตามมาติดๆ อานนท์มองตามภรรยากับลูกอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วหันไปพูดคุยกับแขกอื่นๆ ในงาน
ปานดาวกับภูวดลไหว้วิมลวรรณ
“สวัสดีค่ะคุณหญิง”
“สวัสดีจ้ะหลานดาว...” วิมลวรรณมองหาเติมบุญ “คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มาด้วยเหรอจ๊ะ”
“เดี๋ยวก็มาค่ะ”
“แล้วคุณปานฟ้าล่ะครับ” ก้องภพถามทันที
“ใจเย็นๆ สิคะคุณก้องภพ...ยังไงดิฉันก็เชียร์คุณก้องภพเต็มที่ ยัยฟ้าน่ะคงไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”
ปานดาวบอกขำๆ ภูวดลรีบเสริม
“นั่นสิครับ ผมเองก็ไม่เห็นว่าใคร จะเหมาะสมเท่ากับคุณก้องภพอีกแล้ว”
วิมลวรรณหัวเราะ หันมาทางก้องภพ
“เห็นมั้ยล่ะตาก้อง ใครๆ เขาก็เห็นเหมือนแม่ว่า ลูกกับยัยฟ้าน่ะเหมาะสมกัน”
ก้องภพเขิน
“โธ่...คุณแม่ ผมเขินจะแย่แล้ว”
ปานดาว ภูวดล วิมลวรรณ หัวเราะกันร่าเริง อานนท์เดินมาหา
“ผมจะออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ”
บอกแล้วก็เดินออกไปเลย วิมลวรรณหันไปบอกก้องภพ
“ฝากตาก้องภพด้วยนะคะหนูดาว เผื่อว่ายัยฟ้ามาจะได้เจอตาก้อง”
“คุณแม่จะไปไหนเหรอครับ”
วิมลวรรณไม่ตอบ เดินตามอานนท์ไป ปานดาวหันไปหยิบเครื่องดื่มจากบริกรในงาน หันไปมองทางภูวดลก็เห็นเขายิ้มให้หญิงคนหนึ่งในงาน ปานดาวหึงหยิกหมับเข้าที่แขน ภูวดลยิ้มทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก้องภพมองไปรอบๆขณะที่คนเริ่มจับคู่เต้นรำกันที่กลางฟลอร์

อานนท์ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านนอกห้องจัดเลี้ยง วิมลวรรณเดินมาหา
“ฉันไม่เข้าใจเลย มางานสังคมทีไร คุณต้องทำหน้าตาเบื่อหน่าย ทำไม...กลัวคราบผู้ดีมันจะติดตัวรึไง”
“เปล่า ผมรำคาญคุณมากกว่า...”
“รำคาญฉัน...ทำไมไม่คิดบ้างว่าที่ธุรกิจเราอยู่รอดได้ โดยที่เจ้าหนี้ไม่มายึดบ้าน ยึดบริษัทก็เพราะใคร ไม่ใช่ฉันรึ...ฉันต้องปั้นหน้าคะๆ ขาๆ กับนังพวกหญิง คุณนาย ก็เพื่อรักษาหน้าคุณไว้...ฉันไม่มีความดีติดตัวเลยหรือไง”
อานนท์ส่ายหน้า
“แต่ไม่ได้หมายความว่า...จะเอาตาก้องภพ ไปยัดเยียดให้เป็นลูกเขยบ้านอื่น ผมรู้นะว่าคุณคิดยังไง คุณคงอยากได้สมบัติของเขา มาเป็นของเราใช่มั้ยล่ะ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เป็นเพราะก้องภพรักยัยปานฟ้าต่างหาก ฮึ...ยิ่งรู้ว่าไอ้ภาคินหมายปองยัยปานฟ้าด้วยแล้ว ฉันยิ่งอยากเอาชนะมัน...”
อานนท์ถอนใจ
“เมื่อไหร่คุณหญิงจะยอมรับภาคินซะทีนะ”
วิมลวรรณหัวเราะหยันในลำคอ
“เมื่อนังบุษบาตายไป หรือมาก้มกราบแทบเท้าฉัน”
อานนท์จ้องหน้าวิมลวรรณ เมื่อเห็นแขกคนอื่นๆเดินผ่านมาเขาก็รีบผละไป วิมลวรรณมองตามไปด้วยสายตาแค้นเคือง
“ฮึ แตะไม่ได้เลยนะ...นังบุษบามันวิเศษมาจากสวรรค์ชั้นไหนกัน”

ปานดาวยิ้มทักทายแขกอื่นๆ ภูวดลจิบเครื่องดื่มอยู่ไม่ห่าง มองไปรอบๆ ก้องภพมายืนข้างๆ
“ทำไมคุณฟ้ามาช้าจังล่ะครับ”
“รถคงติดน่ะ...ใจเย็นๆ สิคุณก้องภพ ปานดาวเขาก็อยู่ข้างคุณเต็มที่ ปานฟ้าน่ะไม่หนีคุณไปไหนหรอก” ภูวดลออกความเห็น
ปานดาวหันมาเห็นก้องภพก็กลั้วหัวเราะ
“ทำเหมือนอกจะแตกตายยังงั้นแหละ”
“ครับ...ถ้าคุณฟ้าไม่มาภายในห้านาทีนี้ ผมคงขาดใจตายแน่ ดูสิครับ เขาเต้นรำกันมีความสุข ผมน่ะอยากจะเต้นรำกับคุณฟ้าจะแย่แล้ว”
ก้องภพมองไปที่กลางฟลอร์เห็นหญิงชายหลายคู่ลีลาศกันอยู่ เสียงดนตรีแว่วหวานดังคลอ...

ปานฟ้าในชุดราตรีสวย เดินตามเติมบุญกับสายอุษามา คนอื่นๆเข้าไปทักทาย ขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์ของปานฟ้าดังขึ้นเธอกดรับ
“ฟ้าเองค่ะพี่รุทธิ์...อะไรนะคะ”
สายอุษากับเติมบุญหันมา
“ฟ้า เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ปานฟ้าลดโทรศัพท์ในมือลง ใบหน้าซีดเผือด เติมบุญรีบถามอย่างสงสัย
“ใครเป็นอะไร ฟ้า...”
“พี่เดือนค่ะ พี่เดือนอาละวาดอีกแล้ว”
สายอุษาแปลกใจ
“เอ๊ะ ก็ไหนบอกว่า หมอจะให้กลับบ้านพรุ่งนี้แล้วไง”
“นั่นน่ะสิคะ...คุณแม่คะ คุณแม่กับคุณพ่อเข้าไปในงานก่อนได้มั้ยคะ ฟ้าจะลองโทรศัพท์ติดต่อกลับไปหาพี่รุทธิ์อีกที”
สายอุษาเตือน
“จ้ะ แต่แม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก ยัยเดือนอยู่กับหมอ...หมอต้องช่วยยัยเดือนได้”
เติมบุญเห็นด้วย
“นั่นสิ...อย่าลืมว่างานนี้เรามาพบลูกค้าหลายคน พ่อไม่อยากให้เราพลาดโอกาสสำคัญ นานๆ จะได้พบปะกันที”
“ค่ะ คุณพ่อ ขอเวลาฟ้าแป๊บเดียวนะคะ”
สายอุษาสบตาเติมบุญ พยักหน้าให้กัน แล้วก็เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ปานฟ้าเดินผ่านไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ห้องจัดเลี้ยงนั้น
ปานฟ้าเข้ามาในห้องน้ำของโรงแรมอย่างกังวลใจ เธอกดโทรศัพท์หาอนิรุทธิ์อีกครั้ง
“พี่รุทธิ์ ทำไมพี่เดือนถึงได้อาละวาดขึ้นมาอีกล่ะคะ”
“ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกันครับ คุณฟ้า...เอาเป็นว่าเรามาช่วยกันหาทางแก้ไขให้คุณเดือนกลับมามีอาการดีขึ้นดีกว่า”
“ฟ้านึกออกแล้วค่ะว่าจะทำยังไง...พี่รุทธิ์รอฟ้าอยู่ที่โรงพยาบาลนะคะ”
ปานฟ้าวางสายจากอนิรุทธิ์ แล้วโทรหาภาคินทันที ไม่นานเขารับสาย...
“ครับ คุณฟ้า...”
“คุณภาคินคะ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ฟ้าต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ด่วนที่สุดค่ะ...”
“คุณฟ้า...เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“ไม่ใช่ฟ้าค่ะ แต่เป็นพี่เดือน คุณรีบไปที่มูลนิธิได้มั้ยคะแล้วพบกันที่นั่น”
“ได้สิครับ คุณเดือน”
ปานฟ้ารีบออกไป ประตูห้องน้ำห้องหนึ่งเปิดออก วิมลวรรณออกมามองตามปานฟ้าไป
“ไอ้ภาคิน...แกเกิดมาเป็นมารหัวใจลูกชายฉันจริงๆ เลยอย่าหวังเลยว่าแกจะเอาชนะก้องภพได้...ฮึ...”

ภาคินแต่งตัวง่ายๆ ลงบันไดมา เป็นจังหวะที่โทรศัพท์ดังขึ้น ป้านุ่มปราดไปรับ
“ค่ะ คุณหญิง...เอ้อ” ป้านุ่นหันมองทางภาคิน “กำลังจะออกไปข้างนอกพอดีเลยค่ะ”
วิมลวรรณเดินพูดโทรศัพท์มา เสียงฉุนเฉียว
“แกทำยังไงก็ได้ อย่าให้มันออกไปข้างนอกได้”
“แต่ว่า...”
วิมลวรรณโมโห
“อย่าเรื่องมากนังนุ่ม หรือว่าแกอยากโดนเฉดหัวออกจากบ้าน...หา...”
ป้านุ่มหน้าซีดเผือด
“เอ้อ....ค่ะๆๆ”
ป้านุ่มรีบวางโทรศัพท์แล้วตามภาคินออกไป วิมลวรรณเดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง

ภาคินกำลังจะออกจากบ้าน ป้านุ่มรีบพูดตามหลังไป
“คุณหญิงห้ามไม่ให้คุณหนู ออกไปข้างนอกค่ะ”
ภาคินมองหน้าป้านุ่ม
“แต่ก่อนป้านุ่มไม่เคยขัดใจผม...แล้วทำไม...”
ป้านุ่มหน้าเสียไป
“แต่คุณหญิงท่านสั่งห้ามเด็ดขาด...”
“คุณหญิงมีเหตุผลอะไร”
ป้านุ่มอึ้งไป เพราะไม่รู้เหตุผล
“เอ้อ...”
ภาคินไม่ใส่ใจ เดินออกไปทันที ป้านุ่มตกใจ เห็นภาคินเข้าไปในรถ แล้วขับออกไป
“เรื่องใหญ่แน่...” ป้านุ่มมองตามอย่างไม่รู้จะทำยังไง

ทางด้านก้องภพ ยืนขวางทางปานฟ้าที่กำลังจะออกไปจากงานไว้
“เต้นรำกับผมเพลงเดียว คุณฟ้าก็ยังไม่ยอม นี่ถ้าเป็นไอ้ภาคิน คุณฟ้าคง...”
ปานฟ้าพูดสวนมาทันที
“ไม่มีใครบังคับฉันได้”
ปานฟ้าผินตัวจะเดินออก ก้องภพฉวยมือปานฟ้าไว้ กระชากให้หันกลับมา ปานดาว ภูวดล เติมบุญ สายอุษาหันไปมอง ท่ามกลางแขกคนอื่นๆ
“ฟ้า...นี่คุณเห็นไอ้ภาคิน มันสำคัญกว่าผมเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องใครสำคัญกว่าใครหรอกค่ะ แต่เวลานี้ฉันไม่ว่าง...ขอโทษค่ะ”
ปานฟ้าสะบัดมือออก ก้องภพตกใจ
“ปานฟ้า...”
ปานฟ้าเดินแทรกแขกคนอื่นๆ ออกไปข้างนอก ก้องภพตามไปติดๆ สายอุษากับเติมบุญหน้าเสียไป
“คุณ...ไปดูยัยฟ้าหน่อย เร็ว...”
ปานดาวหันมา
“คู่รักเขางอนกัน เดี๋ยวก็ดีกันค่ะคุณแม่ อย่าไปยุ่งดีกว่า”
สายอุษามองหน้าลูกสาวด้วยสายตาตำหนิ
“ใครบอกแก ยัยดาว ว่าเขาเป็นคู่รักกัน”
วิมลวรรณกำลังยืนคุยกับแขกอื่น หันไปเห็นก้องภพเดินตามปานฟ้าไป วิมลวรรณรีบผละไป
“ขอตัวนะคะ”
วิมลวรรณเดินไป เติมบุญเดินแทรกแขกออกไปข้างนอก อานนท์รีบวางแก้วเครื่องดื่มที่มุมหนึ่งแล้วตามออกไปเช่นกัน ปานดาวหันมาพูดกับแม่
“คุณแม่นี่ก็แปลก อยากเห็นยัยฟ้าขึ้นคานรึไง”
สายอุษาพูดเบาๆ พอได้ยินกับปานดาวเพียงสองคน
“ถ้าความวุ่นวายเกิดจากคนนอกบ้าน แม่ไม่ใส่ใจหรอก กลัวว่าเกิดจากคนในบ้านซะมากกว่า รู้มั้ยว่ายัยเดือนอาการหนักอีกแล้ว”
ปานดาวเบ้หน้า
“นังเดือนมันบ้า...คนบ้าจะให้เป็นคนดีได้ยังไง ทำใจซะเถอะค่ะ คุณแม่ ยังไงก็ทำให้มันหายเป็นปกติเหมือนเราไม่ได้หรอก”
สายอุษามองลูกสาวอย่างผิดหวัง
“ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะใจร้ายยังงี้...ปานเดือนมันเป็นน้องสาวแกนะยัยดาว”
สายอุษาเมินหน้าจากลูกสาวไปทางหนึ่ง แล้วเดินไป ภูวดลพูดใส่ไฟทันที
“ดูซิคุณดาว...เราสองคนอุตส่าห์มางาน เพื่อรักษาเกียรติของครอบครัว แต่กลับไม่มีใครใส่ใจเลย...ทั้งพ่อคุณ แม่คุณ แล้วก็น้องสาวคุณด้วย”
ปานดาวเจ็บปวดตามคำของภูวดล เม้มปากแค้นเคือง

ปานฟ้าเดินอย่างเร็วไปที่ล็อบบี้ ก้องภพตามมาทัน
“คุณฟ้า...รีบร้อนไปไหน โกรธผมเหรอ เราไม่ต้องเต้นรำกันก็ได้ แต่ขอให้ผมได้ยืนข้างคุณในงานได้มั้ย”
“เป็นเด็กขาดความอบอุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่...ฉันมีธุระด่วนต้องรีบทำ”
“หวังว่าคงไม่ใช่ธุระกับไอ้ภาคินหรอกนะ”
ปานฟ้าจ้องหน้าก้องภพ
“ใช่หรือไม่ คุณก็ไม่เกี่ยว”
ปานฟ้าเดินไป ก้องภพยืนนิ่ง วิมลวรรณมาพอดี แกล้งพูดดังๆ
“ตายจริง ก้องภพไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย ทำไมไม่ไปส่งคุณฟ้าล่ะจ๊ะ”
ปานฟ้าหันมา พูดเสียงหนักแน่น
“ขอบคุณค่ะ แต่ดิฉันไปเองได้”
วิมลวรรณอึ้งไป แต่รีบปรับท่าที
“หนูฟ้าอย่าปฏิเสธน้ำใจของเราสองคนแม่ลูกเลย...ดิฉันขอร้อง...ดูสิ คนมองมากันใหญ่แล้ว”
คนอื่นๆในล็อบบี้ มองมาที่ปานฟ้ากับก้องภพ แต่ปานฟ้าไม่แคร์เดินไป ก้องภพหันมามองแม่ว่าจะให้ทำยังไงต่อ วิมลวรรณพยักหน้าให้เดินตามไป ก้องภพรีบตามออกไป
อานนท์มองอยู่มุมหนึ่ง เห็นวิมลวรรณเดินออกไป ก็เดินออกไปบ้าง สายอุษามาพอดีรีบถามเติมบุญที่ยืนอยู่ที่ล็อบบี้
“ยัยฟ้าล่ะคุณ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ลูกสาวเราเอาตัวรอดได้...รีบกลับเข้าไปในงานเถอะ ทักทายแขกแล้วก็รีบกลับไปดูยัยเดือนกันดีกว่า”
“ค่ะ...”
ทั้งสองเดินเข้างานไปอย่างเครียดๆ

ปานฟ้าเดินมาที่ลานจอดรถของโรงแรม เธอเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง แต่ก้องภพตามมาจับประตูไว้ไม่ยอมให้เธอปิด วิมลวรรณยืนมองอยู่มุมหนึ่ง อานนท์ยืนอยู่ด้านหลังของวิมลวรรณ ทั้งสองมองไปที่ปานฟ้ากับก้องภพ
“เอามือออกค่ะ ฉันรีบ”
“ก็บอกมาสิว่าจะไปไหน”
ปานฟ้ามองหน้าก้องภพนิ่ง ไม่พอใจ
“ฉันไม่คิดเลยว่าคุณก้องภพจะเป็นคนไร้มารยาท ชอบวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น”
วิมลวรรณสีหน้าไม่พอใจ ปานฟ้าไม่สนใจ สตาร์ทรถแล้วกระชากรถออกไป ประตูเด้งใส่ก้องภพจนล้มลงไป ปานฟ้ากระชากประตูปิด ขับรถออกไป วิมลวรรณตกใจ
“ก้องภพ...”
วิมลวรรณวิ่งไปที่ก้องภพ ประคองขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง เจ็บมากมั้ยลูก”
“ไม่ครับ แต่เจ็บใจมากกว่า”
ก้องภพเจ็บแค้นใจรีบยืนขึ้น มองตามรถของปานฟ้าไป อานนท์เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาหาสองแม่ลูก
“คุณฟ้ารีบ แกก็เห็น...ทำไมถึงต้อง...”
อานนท์ยังพูดไม่จบ วิมลวรรณแหวใส่ทันที
“เงียบเถอะ ถ้าไม่เห็นว่าก้องภพเป็นลูกชายสุดที่รัก ก็กรุณาอย่าสำรอกอะไรออกมา จนฉันทนไม่ได้”
อานนท์ส่ายหน้า
“หยาบคายทั้งกิริยาแล้วก็วาจา...รู้จักระวังกิริยาบ้างสิ”
“คุณพ่อรู้มั้ยว่าคุณฟ้าไปไหน ไปหาไอ้ภาคิน เขานัดกัน” ก้องภพโวยวาย
วิมลวรรณหันมาทางอานนท์
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย...คอยดูนะ ฉันจะไม่มีวันให้ไอ้ภาคินมันชนะตาก้องได้หรอก ไม่ว่าเรื่องอะไร...ไป ตาก้อง”
วิมลวรรณเดินนำก้องภพกลับเข้าไปในโรงแรม อานนท์ระบายลมหายใจเหนื่อยหน่าย

ปานฟ้าขับรถ กดโทรศัพท์หาภาคิน ครู่หนึ่งเขารับสาย
“อยู่ที่ไหนแล้วคะ”
“ใกล้ถึงมูลนิธิแล้วละครับ”
“คุณช่วยรับบุญทิ้งมาที่โรงพยาบาลทีได้มั้ยคะ นะคะนึกว่าช่วยพี่เดือน...อาการพี่เดือนกำลังแย่”
“ได้สิครับ...”
ปานฟ้าขับรถไปที่โรงพยาบาลทันที

วิมลวรรณกับก้องภพ เดินกลับเข้ามาในงาน อานนท์เดินตามมา สายอุษากับเติมบุญหันไปมอง สายอุษากับวิมลวรรณประสานสายตากัน
“ไปทางโน้นเถอะคุณ” เติมบุญแตะเอวภรรยา
“ค่ะ...”
สายอุษาถือแก้วเครื่องดื่มหันไปทักทายกับคนอื่น แล้วเดินตามเติมบุญไป วิมลวรรณหันมาพูดกับก้องภพ เบาๆพอได้ยินกันสองคน โดยไม่เห็นว่าอานนท์ยืนอยู่ด้านหลัง
“นี่ถ้าไม่เห็นว่าก้องภพหลงรักนังปานฟ้าล่ะก็ แม่ตบมันคว่ำกลางงานแล้ว หมั่นไส้ ทำเป็นผู้ดีแปดสาแหรกเก้าไม้คาน โธ่เอ๊ย...ก็แค่วาสนาได้ผัวรวย ชูคอเป็นคางคก...เฮอะ ระวังจะตกมาจากวอสักวัน”
ก้องภพแปลกใจ
“คุณแม่หมายถึงใครเหรอครับ”
“ก็นังสายอุษาน่ะสิ...ถ้าก้องภพได้นังฟ้ามาเป็นเมียแล้วเบื่อก็ทิ้งมันเลยนะ ให้มันเป็นข่าวฉาวโฉ่ในสื่อทุกฉบับ อยากรู้นักว่านังสายอุษาจะชูคออยู่ได้หรือเปล่า”
ก้องภพส่ายหน้า
“แต่ผมรักคุณฟ้า ผมไม่มีวันทิ้งเธอหรอกครับ คุณแม่”
วิมลวรรณหันมาเห็นอานนท์
“มายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่ใช่นักโทษของคุณนะ”
“ก็ต้องยืนคุมสิ ไม่รู้ว่าคุณจะแสดงความเถื่อน หยาบช้าออกมาเมื่อไหร่”
วิมลวรรณโกรธจี๊ด
“คุณ...”
“กลับกันดีกว่า...ไปสิ...”
มืออานนท์กุมมือวิมลวรรณแน่น บีบมือแล้วจ้องหน้าเมียดึงออกไปจากงาน วิมลวรรณแทบจะกรีดร้องออกมา แต่มีแขกคนหนึ่งหันมายิ้มให้ เธอรีบหันไปยิ้มตอบหน้าเครียดๆ แล้วเดินตามอานนท์ออกไป ก้องภพมองตามไป ปานดาวกับภูวดลเดินเข้ามา
“เป็นไงคะ ตามยัยฟ้าไม่ทันเหรอ” ปานดาวรีบยุ “รวบหัวรวบหางเลยสิ ขืนชักช้าเงื้อง่าราคาแพงอยู่ โดนคนอื่นคาบไปแน่”
ปานดาวยิ้มเหมือนไม่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองพูด เป็นเรื่องร้ายแรงอะไร ก้องภพมองหน้าปานดาวเครียดๆ

อานนท์ยืนอยู่ข้างรถ วิมลวรรณเดินตามหลังมา พูดด้วยเสียงไม่พอใจ
“คอยดูนะ ถึงบ้านเมื่อไหร่ฉันจะเล่นงานไอ้ภาคินให้แสบเลย”
อานนท์มองหน้าเมียแล้วส่ายหน้า วิมลวรรณแหวใส่
“ทำไม...แตะต้องไม่ได้เลยเหรอไง”
อานนท์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง เปิดประตูเข้าไป ปิดดังปัง วิมลวรรณยืนเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งปิดประตูเสียงดังพอกัน

เฟื่องแก้วเดินออกมาเมื่อ เห็นรถของภาคินเข้ามาจอดที่หน้ามูลนิธิ
“คุณภาคิน...”
ภาคินรีบบอกอย่างร้อนใจ
“คุณแก้ว...รีบไปพาบุญทิ้งมาหาผมหน่อยสิครับ”
เฟื่องแก้วแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคะ”
“เถอะน่า” ภาคินเสียงขุ่น
“แต่นี่มันดึกแล้วนะ คะ แกก็หลับแล้วด้วย”
ภาคินมองหน้าเฟื่องแก้ว แล้วรีบเดินไป เฟื่องแก้วได้สติ
“คุณภาคิน...คุณภาคินคะ...ไม่เป็นไรค่ะ แก้วแค่อยากทราบเหตุผลเท่านั้น”
“แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...เอางี้ ผมไปด้วยดีกว่า”
เฟื่องแก้วเดินไปกับภาคิน

ภาคินอุ้มบุญทิ้งมาเดินตรงมาที่รถ เฟื่องแก้วรีบเปิดประตูที่เบาะหลังให้ ภาคินอุ้มบุญทิ้งนอนที่เบาะหลัง เฟื่องแก้วมองบุญทิ้ง แล้วพูดขึ้น
“ถ้าตื่นมาแล้วงอแง คุณภาคินจะลำบาก ให้แก้วไปด้วยนะคะ บางทีแก้วจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
“งั้นเชิญเลยครับ...จะเปลี่ยนเสื้อก่อนมั้ย”
เฟื่องแก้วยิ้มออกมา
“งั้น รอแก้วหน่อยนะคะ”
เฟื่องแก้วเดินไป
“เร็วๆนะครับ คุณแก้ว”
ภาคินมองตามเฟื่องแก้วไป

อนิรุทธิ์ยืนมองปานเดือน ซึ่งนอนหลับสนิทอยู่ที่เตียง เขามองเมียรักอย่างรู้สึกผิด
“ผมจะไม่ยอมให้ใครมารังแกคุณเดือนของผมอีก...ผมสัญญา”
ไม่นานนัก ปานฟ้ามาถึง เธอหันไปถามพี่เขย
“พี่เดือนอาการดีขึ้นมาก จู่ๆ ก็ทรุดลงอีก เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ เล่าให้ฟ้าฟังได้มั้ยพี่รุทธิ์”
อนิรุทธิ์ถอนใจ ส่ายหน้า
“ผมไม่รู้จะอธิบายกับคุณฟ้ายังไง...ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ต้องมีเหตุสิคะ...เราต้องช่วยกันนะคะพี่รุทธิ์”
ปานเดือนตื่นขึ้นมา อนิรุทธิ์ดีใจ
“คุณเดือน”
ปานเดือนร้องไห้
“ออกไป...ออกไป...ฉันไม่อยากเห็นหน้าคนทรยศ”
“พี่เดือน ใคร...ใครทรยศ”
ปานฟ้ามองอนิรุทธิ์
“ผมจะไปตามพยาบาลมาให้ครับ”
อนิรุทธิ์ออกไป ปานฟ้ากอดปานเดือนไว้
“เชื่อฟ้านะคะพี่เดือน ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้นค่ะ ไม่มีใครทำร้ายพี่เดือนได้อีกแล้ว ฟ้าสัญญา ฟ้าจะดูแลพี่เดือนเอง”
ปานเดือนพูดเสียงสั่น
“จริงๆนะ ฟ้าสัญญากับพี่นะ”
“จริงสิคะพี่เดือน”

ปานฟ้ากอดพี่สาวอย่างปลอบใจ

อ่านต่อหน้า 3-4 พรุ่งนี้ จันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555




ดุจดาวดิน ตอนที่ 4 (ต่อ)

ภาคินอุ้มบุญทิ้งเข้าไปในโรงพยาบาล เฟื่องแก้วเดินตามมาติดๆ อนิรุทธิ์ซึ่งนั่งซึมอยู่ หันมาเห็นก็ยิ้มให้

“บุญทิ้ง”
ภาคินเข้าไปถาม
“คุณเดือนอยู่ห้องไหนครับ”
อนิรุทธิ์รีบพาไป
“ทางนี้ครับ”
ทุกคนเดินมา อนิรุทธิ์หน้าดีขึ้นทันที
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ผมว่าคุณเดือนต้องอาการดีขึ้นแน่”
เฟื่องแก้วมองบุญทิ้ง
“ห่วงก็แต่บุญทิ้งยังงัวเงียอยู่น่ะสิคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกคุณแก้ว”
ทั้งหมดเดินไปอย่างมีความหวัง

ปานเดือนกับปานฟ้าหันมา เห็นภาคินอุ้มบุญทิ้งมา มีเฟื่องแก้วตามมาด้วย อนิรุทธิ์ยืนอยู่หลังสุด ปานเดือนดีใจพูดเสียงเครือ
“บุญทิ้ง...บุญทิ้งมาหาแม่มาลูก”
ปานฟ้ายิ้มให้ภาคิน แล้วหันมาสบตาด้วยสายตาเป็นมิตรให้เฟื่องแก้ว แต่เฟื่องแก้วได้แต่ยิ้มมุมปากตอบ บุญทิ้งงัวเงีย หันมาเห็นปานเดือน ก็ยิ้ม ภาคินส่งบุญทิ้งให้นั่งบนเตียงคนไข้ ปานเดือนลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนหมด หอมแก้มกอดจูบบุญทิ้ง ปานฟ้ายิ้มพอใจ
“พี่เดือนคงสบายใจแล้วนะคะ”
“ใช่...ใช่ พี่ได้ลูกทินภัทรคืนมาแล้ว พี่ก็สบายใจ พี่ดีใจ ทินภัทรอย่าทิ้งแม่ไปไหนอีกนะลูก”
บุญทิ้งมองหน้าภาคิน
“สักวันแกคงได้อยู่กับคุณปานเดือนแน่นอนครับ แต่ว่าตอนนี้แกคงต้องกลับไปพักผ่อนก่อน คุณปานเดือนก็ต้องพักผ่อนนะครับ”
ปานเดือนหน้าเสียไป กอดบุญทิ้งไว้แน่น ไม่ยอมให้ใครเอาบุญทิ้งไป
“ไม่...ไม่ ฉันไม่ยอม”
“พี่เดือนอย่าดื้อสิคะ ทางโรงพยาบาลไม่อนุญาต ให้เด็กนอนบนเตียงคนไข้หรอกนะคะ ถ้าจะนอนในห้องนี้พี่เดือนไม่กลัวเหรอคะว่า เด็กจะนอนไม่หลับ หรืออาจได้รับเชื้อโรคอะไรบางอย่างได้”
“ก็...ก็ได้ แต่ฟ้าต้องสัญญากับพี่นะว่าพรุ่งนี้จะต้องพาลูกมาหาพี่...สัญญานะ”
บุญทิ้งหันมาบอกปานเดือน
“ผมจะมาหาคุณเดือนครับ...พี่ภาคินพาผมมานะครับ...พี่แก้วด้วย”
ปานเดือนยิ้มให้ ภาคินกับเฟื่องแก้ว
“คุณสองคนต้องพาแกมาให้ฉันนะ”
อนิรุทธิ์เดินเข้ามาหา
“คุณเดือน...”
ปานเดือนหันมองอนิรุทธิ์ สีหน้ายังไม่วางใจ ปานฟ้ารีบปลอบ
“ตลอดเวลาที่พี่เดือนไม่สบาย พี่รุทธิ์ไม่เป็นอันกินอันนอนเลยนะคะ ฟ้ายืนยันได้เลย พี่เดือนต้องไว้ใจพี่รุทธิ์นะคะ ทุกคนรักพี่เดือน ไม่มีใครทรยศพี่เดือนหรอกค่ะ”
ขณะเดียวกัน ปานดาวกับภูวดลผลักประตูเข้ามา ปานดาวพูดต่อทันที
“แน่ใจเหรอ...ยัยฟ้า แกไม่รู้อะไร นังพิมมันสารภาพแล้ว ผัวนังเดือนมีอะไรกับมันมานานแล้ว”
อนิรุทธิ์หันขวับไปทันที
“ไม่จริง หยุดใส่ร้าย หยุดทำครอบครัวเราแตกแยกซะทีเถอะครับ”
ปานเดือนปากคอสั่น ริมฝีปากสั่นระริก ปานดาวมองหยัน
“เฮอะ หยุดใส่ร้าย ยัยฟ้า มีแต่พวกเราแหละที่โง่งมมาซะนาน ไม่เคยรู้อะไรเลย”
ภูวดลยิ้มสะใจ ปรายตามองอนิรุทธิ์เยาะๆ ภาคินกับเฟื่องแก้วอึดอัดมองหน้ากัน ปานเดือนร้องไห้กอดบุญทิ้งไว้แน่น ปานดาวใส่ความต่อ
“ฮึ ผัวสุดที่รัก สวมเขาให้เมียที่เป็นบ้า”
ปานเดือนร้องไห้โฮ ภูวดลจ้องหน้าบุญทิ้ง บุญทิ้งเงยหน้าขึ้นมาสบตาภูวดลพอดี บุญทิ้งหวาดกลัวขึ้นมาทันที ผลุนผลันกระโดดลงจากเตียง วิ่งออกไปจากห้อง เฟื่องแก้วตกใจ
“บุญทิ้ง...บุญทิ้ง...”
เฟื่องแก้ววิ่งตามออกไป ภาคินหันไปบอกปานฟ้า
“ผมไปก่อนนะครับ คุณฟ้า”
ภาคินตามออกไป อนิรุทธิ์จ้องหน้าปานดาวอย่างแค้นเคือง
“มีความสุขนักหรือครับ คุณดาวที่เห็นครอบครัวคนอื่นแตกแยกกันน่ะ”
ปานเดือนร้องไห้ ปานฟ้ากอดปานเดือนไว้อย่างสงสารพี่สาวจับใจ
“ฉันพูดให้ทุกคนตาสว่าง ฉันผิดด้วยเหรอ”
“ผิดสิครับ...ผิดที่เรื่องที่คุณดาวพูดมันไม่เป็นความจริง”
อนิรุทธิ์เดินออกไปอย่างโกรธจัด ภูวดลมองตาม สายตาแค้นๆ ปานฟ้าหันไปมองหน้าปานดาว
“กลับไปเถอะค่ะพี่ดาว เรื่องในครอบครัวของเรา น่าจะไปพูดกันที่บ้าน”
ปานดาวหันไปมองปานเดือน
“งั้นแกก็กลับกับฉัน ปล่อยให้อีบ้านี่มันอยู่ที่นี่แหละ”
ปานฟ้ามองพี่สาวอย่างผิดหวัง
“ไม่ได้หรอกค่ะ คืนนี้ฟ้าจะต้องอยู่กับพี่เดือน”
ปานดาวยิ้มหยัน
“แม่พระ...แน่จริงก็ทำให้มันหายสิ ทุเรศ กลัวคนเขาไม่รู้รึไงว่าเป็นคนดี...” ปานดาวหันไปหาสามี “กลับกันเถอะค่ะ ขืนอยู่ฉันคงสำลักความดีของนังฟ้าตายแน่”
ปานเดือนยิ้มเยอะแล้วเดินออกจากห้องไป

ภาคิด เฟื่องแก้ว บุญทิ้ง เดินมาที่รถ
“ไม่มีอะไรแล้วนะบุญทิ้ง นอนหลับให้สบายไปเลย” เฟื่องแก้วเปิดประตูหลังให้บุญทิ้งเข้าไป
“ครับพี่แก้ว”
ทางด้านอนิรุทธิ์ตรงไปที่รถของตน แล้วขับออกไปทันที ปานดาวกับภูวดลออกมา
ทั้งสองมองตามรถอนิรุทธิ์
“ผมอยากกระทืบมันให้จมดินเลย”
ปานดาวมองตามไปอย่างเคียดแค้น
“ถ้ามีโอกาสก็ไม่ต้องรีรอ”
ปานดาวหันมาเห็นภาคินกับเฟื่องแก้วจะเข้าไปในรถ ก็รีบสาวเท้าไปหา ภูวดลตามไปติดๆ
“เดี๋ยว”
ภาคินกับเฟื่องแก้วชะงัก หันมา ปานดาวสาวเท้าไปใกล้ พูดเย้ยหยันใส่ภาคิน
“เกิดมาพ่อแม่ก็ไปคนละทาง คิดว่าคนทั้งสังคมเขาไม่รู้หรือไง ครอบครัวฉันสนิทกับคุณหญิงวิมลวรรณมาก รู้เรื่องทุกอย่างในครอบครัวของคุณ”
ภาคินมองหน้า
“ผมก็ไม่เคยปิดบังเรื่องราวของผม ความจริงก็คือความจริง ไม่เคยคิดเอาความร่ำรวยของครอบครัวมาสร้างความเด่นดังให้ตัวเอง คุณปานดาวไม่ต้องห่วงหรอกครับ...ขอบคุณที่กรุณาเป็นห่วง...คุณปานดาวควรเป็นห่วงคนใกล้ตัวจะดีกว่า”
ภาคินมองไปทางภูวดล แล้วจะเข้าไปในรถ แต่ปานดาวพูดขึ้นก่อน
"อย่าคิดว่าฉันจะให้น้องสาว แต่งงานกับคนไม่มีอนาคตอย่างแก เลิกเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงได้แล้ว”
เฟื่องแก้วแอบดีใจ แต่สะกดความรู้สึกไว้ ทั้งภาคินกับเฟื่องแก้วเข้ามาในรถ ภูวดลเดินเข้ามาใกล้รถเป็นจังหวะที่บุญทิ้งลุกขึ้นพอดี มองออกไปเห็นสายตาของภูวดลที่จ้องเขม็งมา บุญทิ้งรีบนอนลง หันหน้าเข้าหาเบาะ รถเคลื่อนออกไป ปานดาวกับภูวดลมองตามไปด้วยสายตาแค้นๆ

พยาบาลฉีดยาให้ปานเดือน ซึ่งนอนไม่รู้สึกตัว
“คนไข้คงจะหลับไปถึงเช้า คุณจะกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ”
พยาบาลยิ้มแล้วออกไป ปานฟ้าขยับผ้าห่มให้พี่สาวมองด้วยสายตาสงสาร

ขณะที่ภาคินขับรถ เฟื่องแก้วที่นั่งนิ่งอยู่ หันมองหน้าเขาแล้วตัดสินใจพูด...
“เอ้อ...ท่าทางคุณปานดาว ไม่อยากให้คุณปานฟ้า มาสนิทสนมกับคุณภาคินเลยนะคะ”
ภาคินหันมา แววตาไม่พอใจ แต่ไม่ตอบขับรถต่อไป
“แก้วขอโทษค่ะ ที่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ แก้วก็พูดตามที่แก้วเข้าใจ”
“ไม่เป็นไร” ภาคินบอกเสียงขุ่นนิดๆ

กลางดึกคืนนั้น...เติมบุญกับสายอุษานั่งรออยู่ในห้อง ด้วยความกระวนกระวาย ป้าแก้วเอาเครื่องดื่มร้อนๆ มาเสิร์ฟ
“โอวัลตินค่ะ”
ทั้งสองไม่ได้สนใจเครื่องดื่ม เมื่อหันไปเห็นอนิรุทธิ์เดินเข้ามาในบ้าน สายอุษารีบถามขึ้น
“ยัยเดือนเป็นไงบ้าง”
อนิรุทธิ์อึดอัดใจมาก เติมบุญมอง
“ว่าไงล่ะ”
“คุณพ่อคุณแม่ ถามคนที่ตามมาข้างหลังเองดีกว่าครับ”
อนิรุทธิ์เดินขึ้นบันไดไป ทุกคนมองตาม แล้วมองหน้ากัน ปานดาวกับภูวดลเข้ามา สายอุษาถามทันที
“ยัยดาว แม่อยากรู้เรื่องยัยเดือน”
ปานดาวพูดสวนมาทันที
“มันก็ยังอาละวาดเหมือนเดิมแหละค่ะ คุณแม่”
สายอุษาหน้าเสีย
“โธ่...”
ปานดาวหาว ไม่อยากคุยด้วย แล้วเดินไป ภูวดลเดินตาม สายอุษาทรุดตัวลงนั่ง เติมบุญหันมาพูดปลอบให้กำลังใจ
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ยัยฟ้าคงดูแลยัยเดือนได้น่า”
สายอุษาร้องไห้
“ตอนเด็กๆ ลูกเราสามคนรักกันมาก ฉันยังดีใจว่าครอบครัวเราอบอุ่นดีกว่าครอบครัวอื่น ทำไมตอนนี้มันถึงเป็นยังงี้ล่ะ มันกรรมเวรอะไรของเราคะคุณ”
“น่า...สักวันทุกสิ่งทุกอย่างต้องดีขึ้น เชื่อผมสิ ห่วงแต่คุณแหละ ถ้าไม่สบายเป็นอะไรไป จะแย่กันไปหมด”
เติมบุญพยายามปลอบใจ

เช้าวันใหม่...ธัญวิทย์แต่งชุดนักเรียนเดินออกมากับปานดาว พิมเดินถือกระเป๋ามาให้ด้วย สายอุษากับป้าแก้ว เดินดูดอกไม้อยู่ที่หน้าบ้าน ปานดาวหันไปบอกลูก
“สวัสดีคุณยายหรือยังจ๊ะลูกธัญวิทย์”
ธัญวิทย์หันมา ไหว้สายอุษา
“ไหว้พระเถอะจ้ะ ตั้งใจเรียนนะลูก”
“ทำไมผมต้องเรียนด้วยล่ะครับ คุณยาย น่าเบื่อ”
สายอุษามองหน้าหลานชาย
“ทำไมพูดยังงั้นล่ะจ๊ะธัญวิทย์ เรียนหนังสือสูงๆ โตขึ้นจะได้มีงานทำ มีเงินใช้เยอะๆ ไงล่ะจ๊ะ”
“คุณพ่อบอกว่าบ้านเรารวย มีเงินมากมาย ตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติก็ใช้ไม่หมด”
สายอุษาอึ้งไป ก่อนจะตัดบท
“รีบไปโรงเรียนเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะสาย...แล้วนี่ต้องไปยังไง”
“รถโรงเรียนมารับที่หน้าบ้านค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้วค่ะ” พิมบอก
ปานดาวหันไปบอกลูกชาย
“รีบไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวรถโรงเรียนคอย เพื่อนๆ เขาจะว่าเอาได้”
“ลองว่าสิ ผมจะต่อยให้กลิ้งเลย”
ป้าแก้วกับสายอุษาสบตากันอย่างไม่ค่อยชอบใจ พิมพาธัญวิทย์เดินไป สายอุษาหันมาหาลูกสาว
“ผัวเราน่ะ ไม่น่าสอนลูกยังงี้...สอนให้ไม่เรียน ไม่ทำงานแบบนี้มันไม่ดีนะยัยดาว”
“คุณแม่พูดประชดดาวใช่มั้ย เห็นดาวกับภูไม่มีงานทำ”
“แกคิดไปเองนะ แม่พูดถึงตาธัญวิทย์ต่างหาก...ไม่ได้พูดถึงผัวเรา”
“คุณแม่เพิ่งพูดอยู่หยกๆ ยังจะไม่ยอมรับอีก ที่ดาวกับภูเป็นยังงี้เพราะใครล่ะคะ ถ้าไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่...ฮึ...”
สายอุษาชะงักอึ้ง
“ยัยดาว...”
ภูวดลเดินมาพอดี ห้ามปานดาว
“เงียบเถอะครับ คุณดาว...พูดไปก็เปล่าประโยชน์ คุณแม่คุณไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเราสองคนหรอก”
สายอุษาหันไปบอกป้าแก้ว
“แก้ว พาฉันเข้าไปข้างในที”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
ปานฟ้าขับรถผ่านหน้า พิมกับธัญวิทย์เข้าไปในบ้าน
“คุณน้าปานฟ้าของคุณธัญวิทย์น่ะเป็นคนไม่ดี” พิมใส่ไฟทันที
ธัญวิทย์มองหน้าพิม
“ทำไมล่ะ”
“อ้าว...ก็แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากคุณพ่อ คุณแม่ของคุณธัญวิทย์ไงคะ...ระวังเถอะ เงินทอง ทรัพย์สมบัติจะไม่เหลือตกถึงคุณธัญวิทย์ ต่อไป คุณธัญวิทย์จะต้องทำงานหนัก ไม่งั้นก็ต้องอดตาย...คุณธัญวิทย์เคยเห็นขอทานตามข้างถนนมั้ยล่ะคะ”
ธัญวิทย์หน้าเครียด
“ผมไม่มีวันเป็นยังงั้นหรอก”
“อุ๊ย รถโรงเรียนมาแล้วค่ะ”
พิมลอบอมยิ้มด้วยความสะใจ ที่ทำให้ธัญวิทย์เกลียดปานฟ้า

ปานฟ้าเข้ามาในบ้าน จะรีบขึ้นบันไดไปห้องของตนด้วยท่าทางรีบร้อน ไม่ทันเห็นแม่ สายอุษาต้องเรียกไว้
“ยัยฟ้า...”
ปานฟ้าหันมา เห็นท่าทางแม่ไม่สบายก็รีบกลับลงมา
“ฟ้าขอโทษค่ะ กลับมาเอาเอกสาร จะต้องรีบไปประชุมเลยไม่ทันได้มองคุณแม่”
ปานฟ้านั่งข้างๆ
“ยัยเดือนเป็นยังไงบ้าง”
“อยู่ในมือคุณหมอแล้ว คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกเราต้องช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่เดือนนะคะคุณแม่ ห่วงก็แต่จะมีใครบางคน ทำให้พี่เดือนไม่สบายใจ”
ปานฟ้าหันมาทางป้าแก้ว แต่ป้าแก้วรีบก้มหน้าไม่อยากสบตา
“ป้าแก้ว เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฟ้าฟังได้บ้างมั้ยคะ”
เติมบุญยืนอยู่ที่บันไดขั้นบนๆ พูดขึ้น
“ฉันก็อยากรู้ เรียกทุกคนมารวมกันที่นี่ดีกว่า”
สายอุษาอึ้งไป
“คุณพี่...”
ป้าแก้วกับปานฟ้ารีบขึ้นบันไดไปประคองเติมบุญ

ปานดาวขว้างหวีในมือลงพื้น อย่างระบายอารมณ์ พิมหลบได้ทัน หน้าเสียไป
“แกต้องพูดดีๆนะ อย่าให้ความเดือดร้อนทั้งหมด ตกอยู่กับฉันแล้วก็คุณภู”
“ไม่ต้องห่วงน่า เรื่องนี้นังพิมมันเก่งมาตั้งแต่เกิดแล้ว” ภูวดลบอกอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ปานดาวตวัดสายตาถาม
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องปั้นน้ำเป็นตัว ทำคนชั่วให้เป็นคนดี ทำคนดีให้เป็นคนร้ายได้”
“ก็ขอให้เก่งอย่างที่พูดเถอะ”
“วางใจเถอะค่ะ ขออย่างเดียว พิมเป็นทัพหน้า คุณทั้งสองช่วยสนับสนุนพิมก็แล้วกัน”
พิมบอกเสียงหนักแน่น

ในห้องรับแขก...ทุกคนนั่งที่อยู่โซฟา อย่างรอฟังว่าระหว่างอนิรุทธิ์ กับพิมมีอะไรกันจริงหรือเปล่า ขณะที่พิมกับป้าแก้วนั่งที่พื้น
“คุณอนิรุทธิ์แอบชอบพิมมานานแล้วล่ะค่ะ พิมสู้อุตส่าห์ไม่บอกเรื่องนี้แก่ใคร เพราะไม่อยากให้ทุกคนเดือดร้อน แต่คุณอนิรุทธิ์ก็ไม่ยอมหักห้ามใจ มันก็เลยเกิดเรื่องขึ้นมา...”
สายอุษาส่ายหน้า อย่างไม่เชื่อ ปานฟ้าขัดขึ้น...
“พี่รุทธิ์ไม่ใช่คนยังงั้น เธออย่าใส่ร้ายเขาเลย พิม”
ปานดาวแหวใส่
“เอ๊ะ ยัยฟ้า ต้องการความจริง แต่พอนังพิมมันพูดความจริงก็หาว่ามันใส่ร้าย ฉันอยากจะรู้ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่”
“ต้องการความจริงค่ะพี่ดาว”
“ก็มันพูดความจริงแล้วไง...”
ภูวดลช่วยพูด...
“อย่าลืมนะครับว่าพิมมีพยาน ป้าแก้วไง”
ป้าแก้วอึกอัก
“เอ้อ...เอ้อ...”
สายอุษาถามย้ำ
“ว่าไงแก้ว...”
“อิฉัน...”
ป้าแก้วพูดไม่ออก เติมบุญหันไปสั่ง...
“พูดไป ไม่ต้องกลัวใคร ฉันอยู่ที่นี่ เป็นประธานของบ้านหลังนี้ แกไม่ต้องกลัว”
“อิฉันเห็นแม่พิม วิ่งออกมาจากในห้องคุณปานเดือนค่ะ”
พิมรีบพูด
“คุณอนิรุทธิ์ฉุดพิมเข้าไปในห้องนี่คะ พิมต่อสู้ดิ้นรนแล้วก็หนีออกมา”
“มีพยานรู้เห็นยังงี้ ยังจะสงสัยอะไรกันอีกล่ะครับ...”
ภูวดลเสริมทันที เติมบุญส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ
“เอาเถอะ ฉันจะฟังจากปากนายรุทธิ์อีกที...เรื่องนี้ถือว่ายังไม่ยุติ...”
“คุณพ่อไม่ยุติธรรม...นี่ถ้าหากว่าเป็นภูก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็คงไล่ภูออกไปจากบ้านแล้วใช่มั้ยล่ะคะ”
ภูวดลมองหน้าปานดาวให้หยุด แต่ปานดาวไม่หยุด
“รักลูกไม่เท่ากัน แล้วยังรักลูกเขยไม่เท่ากันอีก นี่ถ้าเจ้าทินภัทรไม่หายไปจากบ้าน คุณพ่อคุณแม่ก็คงรักหลานไม่เท่ากันอีกใช่มั้ยล่ะคะ”
สายอุษาตวาด
“หยุดนะยัยดาว...”
“ไม่หยุดค่ะ...”
ปานฟ้ารีบบอก
“พี่ดาวคะ ฟ้าขอร้องค่ะ...คุณพ่อไม่สบาย พี่ดาวก็ทราบ”
“แกไม่ต้องมาทำตัวเป็นแม่พระแถวนี้...แน่จริงแกก็โกนหัวบวชชีไปเลยสิ...ไปกันเถอะค่ะภู ดาวทนอยู่ท่ามกลางคนไม่ยุติธรรมไม่ได้...”
“ครับ คุณดาว...”
ภูวดลประคองปานดาวออกไป พิมตามออกไปติดๆ เติมบุญหลับตาเหนื่อยอ่อน ถอนใจ สายอุษารีบปลอบ
“คุณคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
เติมบุญยกมือห้ามไม่ให้สายอุษาพูด
“ฉันอยากไปหาปานเดือน ออกไปนอกบ้านบ้างคงดีกว่านี้”
“ค่ะ คุณพ่อ ถ้างั้นฟ้าจะเลื่อนการประชุมไปเป็นตอนบ่าย” ปานฟ้าตัดสินใจทันที

อานนท์เห็นภาคินกำลังจะออกไปทำงาน จึงเดินมาคุยด้วย
“พ่อว่าจะซื้อรถคันใหม่ให้เรา...จะได้ขับไปทำงาน”
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่รับ...”
“แกอย่าทิฐิ บ้านนี้ก็เป็นบ้านของแก ยังไงบ้านนี้ก็ยังมีพ่ออยู่...”
ภาคินส่ายหน้า
“ผมไม่อยากมีปัญหา...”
“งั้น แกใช้รถคันเก่าของพ่อไป พ่อจะซื้อคันใหม่ ห้ามปฏิเสธ”
อานนท์ยื่นกุญแจรถให้ พูดแกมบังคับ
“ต่อไปนี้จะใช้รถ จะได้ไม่ต้องขออนุญาตพ่อ...”
ภาคินจำใจรับมา
“ขอบคุณครับ...”
ก้องภพกับวิมลวรรณเดินมาทางหนึ่ง ก้องภพสะกิดให้แม่ดู วิมลวรรณสาวเท้าไปหาทันที“อย่าบอกนะว่ารถคันใหม่ที่คุณจะซื้อน่ะ ซื้อให้ไอ้เด็กเหลือขอ พ่อ แม่ไปคนละทางอย่างมัน”
“ใช่ ผมตั้งใจซื้อให้ภาคิน แต่เขาไม่รับ ผมก็เลยให้คันเก่าเขาแทน...พอใจหรือยัง”
“น่าจะเก็บไว้ให้ผมขับเล่น...” ก้องภพไม่พอใจ
“รถแกก็มี...ทำไมต้องเบียดเบียนภาคินด้วย...”
วิมลวรรณพูดแทน...
“ตาภพไม่ได้เบียดเบียนใคร แค่อ้างสิทธิ์ในสมบัติของตัวเองเท่านั้น ตาภพผิดตรงไหน”
“นั่นสิครับ คุณแม่”
ภาคินฟังสองแม่ลูกแล้วรำคาญ ยื่นกุญแจคืนอานนท์
“คุณพ่อครับ ผมไม่รับดีกว่า”
ก้องภพกับวิมลวรรณอมยิ้มที่ยั่วอารมณ์ภาคินได้สำเร็จ อานนท์พูดเสียงแข็ง
“ไม่ได้ ถ้าแกไม่รับ แกก็ไม่ต้องนับถือว่าฉันเป็นพ่อ”
ภาคินอึ้งไป หันไปบอกกับวิมลวรรณและก้องภพ
“ถ้ายังงั้น ผมก็จำเป็น...ขอบคุณอีกครั้งครับ”
ภาคินไหว้อานนท์แล้วเดินไป
“จองหอง...” วิมลวรรณหันขวับมาหาสามี “ต่อไปนี้ ถ้าจะให้อะไรมันละก็ปรึกษาฉันก่อนนะคะ...อย่างน้อยฉันก็เป็นเมียคุณ ไม่ใช่เมียข้างถนนอย่างแม่มัน”
อานนท์ไม่อยากพูดด้วย เดินหนีเซ็งๆ

ขณะที่ภาคินขับรถอยู่ โทรศัพท์เข้ามา ภาคินกดดูก็เห็นเป็นชื่อปานฟ้า ความรู้สึกแช่มชื่นขึ้นทันที
“ครับ คุณฟ้า...”
ปานฟ้าพูดโทรศัพท์อยู่ เสียงใส
“ฟ้ามีเรื่องขอความช่วยเหลือคุณหน่อยค่ะ”
“ว่ามาเลยครับ...”

ภาคินฟังโทรศัพท์ ด้วยความรู้สึกมีความสุข เขารู้สึกว่าเสียงของปานฟ้าทำให้บรรยากาศแย่ๆของเช้านี้ สดใสขึ้นมา

อ่านต่อหน้า 4




ดุจดาวดิน ตอนที่ 4 (ต่อ)

เด็กน้อยบุญทิ้งนั่งซึมอยู่ที่หน้ามูลนิธิ ขณะที่เด็กอื่นๆ วิ่งเล่นออกกำลังกายยามเช้ากันอยู่ เฟื่องแก้วเดินมาหาถามอย่างแปลกใจ

“บุญทิ้ง ทำไมไม่ไปเล่นกับเพื่อนๆล่ะ”
“ผมไม่นึกอยากเล่นครับ...”
“มีปัญหาอะไรก็คุยกับพี่แก้วได้นะจ๊ะ...คิดมากเรื่องเมื่อคืนเหรอ ท่าทางบุญทิ้งเหมือนกลัวใคร บอกพี่แก้วได้มั้ยจ๊ะ”
“ผมสงสารคุณเดือน”
“โถ ตัวแค่นี้รู้จักสงสารแล้ว”
บุญทิ้งหันมายิ้มเศร้าๆให้ ภาคินขับรถเข้ามาพอดี เฟื่องแก้วยิ้มทันที
“ไปหาคุณภาคินกันเถอะ...”
เฟื่องแก้วจูงมือบุญทิ้งมา ในขณะที่ภาคินออกมาพอดี
“คุณแก้วคงต้องอยู่ที่มูลนิธิคนเดียวแล้วละวันนี้”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“คุณฟ้าขอให้ผมพาบุญทิ้ง ไปหาที่โรงพยาบาลตอนนี้เลย...เห็นว่าคุณเดือนเศร้าซึมมาก...”
บุญทิ้งกระตือรือล้นทันที...
“พาผมไปนะครับ ผมอยากไปหาคุณเดือน...ผมสงสารคุณเดือน”
ภาคินรีบเปิดประตูหน้าให้บุญทิ้งเข้าไปในรถ แล้วตนก็อ้อมไปฝั่งคนขับ เฟื่องแก้วยืนอึ้ง มองผ่านกระจกลงไป เห็นภาคินกำลังใส่เข็มขัดนิรภัยให้บุญทิ้ง ด้วยท่าทีอ่อนโยน แล้วขับรถออกไป เธอมองตามอย่างซึมๆ


ในห้องอาหารในมูลนิธิ...เฟื่องแก้วดูแลเด็กๆรับประทานอาหาร ตุลย์เดินเข้ามาทักทาย
“คุณแก้ว...”
เฟื่องแก้วหันไปมองอย่างไม่ใส่ใจนัก ตุลย์เดินตาม
“หิวจัง มีอะไรเหลือถึงผมบ้างมั้ยเนี่ย...”
“ก็มีอย่างที่เด็กๆทาน ที่นี่เด็กทานอะไร เราก็ทานยังงั้น”
“น่าอร่อยออก...หิวไส้จะขาดอยู่แล้วนะคุณแก้ว...แล้วคุณแก้วล่ะทานอะไรหรือยัง...”
เฟื่องแก้วส่ายหน้า ไม่ตอบ ตุลย์มองหน้าเฟื่องแก้ว ดูออกว่าเธออารมณ์ไม่ดี
“ถ้าคุณแก้ว ไม่อยากเห็นหน้าผม ผมก็จะไม่มาที่นี่อีกเลยจะย้ายไปประจำที่อื่น แล้วให้ตำรวจนายอื่นมาประสานกับมูลนิธิแทนผม”
เฟื่องแก้วหันขวับมาทางตุลย์
“ขู่เหรอ...”
ตุลย์ยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างทะเล้น เฟื่องแก้วมองค้อน แต่ก็เดินนำไป ตุลย์เดินผ่าน เห็นเด็กคนหนึ่งยักคิ้วให้ตุลย์แบบแก่แดด ตุลย์ยักคิ้วตอบ อมยิ้มกระหยิ่มอย่างคนเจ้าชู้

ปานดาวยืนหน้าเครียด มองปานฟ้าที่ขับรถออกไป
“แห่กันไปเยี่ยมนังเดือน ทำเหมือนกับฉันไม่ได้เป็นลูกสาวของบ้านนี้...เจ็บใจนัก...”
ภูวดลเดินมาหา
“จะเจ็บใจ น้อยใจไปทำไมล่ะ ไปโรงพยาบาลสิดี…”
ปานดาวหันมา
“หมายความว่ายังไงคะภู...”
พิมนั่งฟังทั้งสองคนคุยกัน อย่างช่วยคิดหาวิธีแกล้งปานเดือนด้วย ภูวดลนึกๆแล้วบอก
“ก็ทำให้นังเดือนมันอาละวาด โชว์พ่อแม่มันเป็นขวัญตาเลยสิ...”
“ทำไงดีล่ะ แหม ดาวชักนึกสนุกแล้วล่ะค่ะ ภูนี่หัวสมองใสจริงๆเลย...”
“ไม่ยากหรอกค่ะ...พิมจัดการเอง...”
พิมบอกแล้วตรงไปที่โทรศัพท์ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา

ในห้องคนไข้...ปานเดือนนั่งที่เตียง มีอนิรุทธิ์ป้อนข้าวให้
“ทานเยอะๆ นะคุณเดือน จะได้หายไวๆ”
“สัญญานะรุทธิ์ สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเดือน...”
อนิรุทธิ์ยิ้มอ่อนโยนให้
“สัญญาสิ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีวันทรยศต่อคุณเดือนเด็ดขาด ให้พูดกี่ร้อยกี่พันครั้ง ผมก็จะพูดเหมือนเดิม”
ปานเดือนยิ้ม อนิรุทธิ์ใช้กระดาษทิชชู่เช็ดปากให้ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อนิรุทธิ์กดรับ
“อนิรุทธิ์พูดครับผม...”
พิมพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวน
“พิมเองค่ะคุณรุทธิ์ พิมคิดถึงคุณเหลือเกิน...พิมก็เลยเสียมารยาทโทรมาหา...ทั้งที่รู้ว่า...คุณคงไม่สบายใจ”
อนิรุทธิ์อึ้งไปทำอะไรไม่ถูก หันไปที่ปานเดือนก็เห็นเคี้ยวข้าวตาลอยๆ อนิรุทธิ์เบี่ยงตัวหลบ พูดเสียงแข็งแต่เบาพอให้ปลายสายได้ยิน
“เลิกราวีกับครอบครัวผมได้แล้ว...ผมขอร้อง”
“ฟังพิมก่อนสิคะ พิมโทรมาก็เพราะอยากขอโทษคุณรุทธิ์...ที่คุณปานเดือนเป็นยังงี้ ต้นเหตุก็มาจากเราสองคนที่รักกันมาก แต่ไม่สมหวังในความรัก เรื่องเลวร้ายทั้งหมดก็เลยเกิดขึ้น อย่าเพิ่งโกรธพิมนะคะ”
อนิรุทธิ์ตกใจที่พิมพูดอย่างนั้น เรียกเสียงดังขึ้น
“พิม”
ปานเดือนหันมาทางอนิรุทธิ์ หน้าซีด ปากสั่น ตกใจ ขณะที่พิมฉอเลาะยั่วเหมือนเดิม
“พิมสัญญาว่าพิมจะไปจากที่นี่ ขออย่างเดียวนะคะรุทธิ์ ขออย่างเดียวว่าคุณรุทธิ์อย่าหมดรักพิม คุณต้องรักพิมเหมือนที่คุณพูดกับพิมเมื่อคืนก่อน”
อนิรุทธิ์เสียงดังขึ้นด้วยความโมโห
“หยุดพล่ามได้แล้วพิม...”
“คุณรุทธิ์”
“ผมบอกให้คุณหยุดพูดยังไงล่ะพิม...”
ปานเดือนตวัดหน้ามาหาอนิรุทธิ์ ควบคุมตัวเองไม่ได้
“พิม...นังพิม...นังพิมมันโทรมาใช่มั้ย”
อนิรุทธิ์ตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ปานเดือนปัดจานข้าว และข้าวของตรงหน้าตกเกลื่อนกระจายแล้วก็กรีดร้องสุดเสียง
อนิรุทธิ์ไม่สนใจโทรศัพท์ทิ้งลงที่เตียง แล้วตรงเข้ากอดปานเดือน เรียกเสียงดังให้สติของเธอกลับคืนมา
“คุณเดือน...คุณเดือน...”
ปานเดือนยังคงร้องไห้ แล้วส่งเสียงร้องกรี๊ดๆอยู่ พยาบาลเข้ามารีบเข้าไปช่วยจับตัวเธอไว้
“ดิฉันบอกแล้วไงคะ ว่าอย่าทำให้คนไข้กระทบกระเทือนจิตใจ...”
อนิรุทธิ์ยืนซึม มองดูพยาบาลที่กอดปานเดือน ซึ่งร้องไห้อยู่

พิม ภูวดลและปานดาวหัวเราะสะใจ
ขณะเดียวกันนั้น ป้าแก้วยืนอึ้งไป แอบมองทุกคนที่เดินขึ้นบันไดไป ด้วยสีหน้าแช่มชื่น หัวเราะกัน
“ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะฉลาดยังงี้ นังพิม...” ภูวดลชื่นชม
ปานดาวหันมาทางพิม ถามกลั้วหัวเราะ
“แกคิดได้ยังไงนะ...แบบนี้ฉันต้องพาแกไปเลี้ยงข้าวสักมื้อแล้วละ ให้ตาธัญวิทย์กลับมาก่อน...ป่านนี้นังเดือนคงอาละวาดจนขาดใจตาย ต่อหน้าคุณพ่อ คุณแม่แล้วละ”
“ก็ดีสิ ถ้าเป็นงั้นจริงสมบัติเราก็มีตัวหารน้อยลง...”
ปานดาวกับภูวดล หัวเราะกันขึ้นบันไดไป พิมยืนอยู่ที่ด้านล่าง ไม่ได้ขึ้นบันไดไปด้วย ยิ้มอย่างสะใจ พลางพึมพำ
“สมบัติทุกอย่าง จะต้องตกเป็นของธัญวิทย์ลูกฉันคนเดียว”
“นังพิม...”
พิมหันไปก็เห็นป้าแก้วยืนหน้าถมึงทึงอยู่
“มีอะไรป้า”
“ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะ...คราวก่อนน่ะรอดตัวไป อย่าให้นังแก้วมีหลักฐานมากกว่านี้นะ นังแก้วนี่แหละจะฟ้องคุณผู้หญิงให้เฉดหัวแกออกไปจากบ้านหลังนี้”
พิมเชิดหน้า หัวเราะ
“กลับไป เขียนแปะไว้ที่หัวนอนเลยนะ จะได้เตือนใจแกด้วยว่าจะทำต้องทำให้สำเร็จ...เพราะถ้าแกไม่ทำ ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนเฉดหัวแกออกไปจากบ้านนี้แทน...”
พิมเดินไป ป้าแก้วด่าตาม
“อี...โอ๊ย ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันดี ถึงจะสาแก่ใจ”

ปานฟ้าพาเติมบุญกับสายอุษา เข้ามาในโรงพยาบาล พบบุญทิ้งกับภาคินยืนอยู่หน้าลิฟต์
บุญทิ้งยิ้มดีใจ
“คุณตา...”
บุญทิ้งยกมือไหว้ทุกคน ภาคินไหว้เติมบุญกับสายอุษา
“บุญทิ้งมายังงี้ ยัยเดือนคงดีขึ้นแน่...”
“โชคดีจังนะคะ...นี่ถ้ายัยเดือนหายนะ ไม่รู้จะตอบแทนคุณภาคินกับหนูบุญทิ้งยังไงดีเลย...”
ภาคินยิ้ม
“ไม่ต้องหรอกครับ บุญทิ้งก็อยากมาหาคุณเดือน...น่าแปลกนะครับ สองคนนี่ผูกพันกันเหมือนกับ...”
ภาคินยังไม่ทันพูด เติมบุญก็พูดต่อ
“เป็นแม่เป็นลูกกันจริงๆ”
ลิฟต์มาพอดี
“ลิฟต์มาแล้วค่ะ...”
ทั้งหมดเข้าไปในลิฟต์...

อนิรุทธิ์นั่งซึมอยู่หน้าลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ปานฟ้าเดินนำออกมา มองอย่างแปลกใจ
“พี่รุทธิ์ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะคะ”
“คุณเดือนอาละวาดเมื่อเช้า...หมอบอกว่าจะต้องส่งไปรักษากับทางโรงพยาบาลเฉพาะทาง...”
“ตายจริง อย่าบอกนะว่า...”
อนิรุทธิ์พูด ก้มหน้า
“ใช่ครับ ศรีธัญญา...”
สายอุษาทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาข้างๆ ปานฟ้าจับมือแม่ เติมบุญนั่งข้างๆ ภรรยา
“ถ้าคิดในแง่ดี ก็จะทำให้คุณเดือนรักษาได้ถูกทางนะครับ ทางนี้อาจมีแต่แผนกจิตเวช รักษาอาการป่วยของคุณปานเดือนไม่ได้ผลพอ...”
บุญทิ้งเดินไปมุมหนึ่ง น้ำตาคลอ ภาคินมเดินเข้ามาหา...
“บุญทิ้งเป็นอะไร...”
บุญทิ้ง น้ำตาไหล
“ผมสงสารคุณปานเดือนครับ...”
ภาคินกอดบุญทิ้งปลอบใจ
“คุณเดือนไม่เป็นอะไรหรอก...”
“แล้วหมอเขาจะพาพี่เดือนไปเมื่อไหร่ล่ะคะ”ปานฟ้าถามอนิรุทธิ์
“วันนี้แหละครับ ประสานงานระหว่างโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว กำลังทำใบส่งตัวอยู่...”
ปานฟ้านั่งลงข้างสายอุษา จับมือแม่บีบปลอบใจ
“กรรมเวรอะไรของยัยเดือน นะคะคุณ...”
เติมบุญถอนใจ...
“ไม่ใช่กรรม ไม่ใช่เวรของยัยเดือนหรอก...กรรมของเราต่างหาก”
สายอุษาหน้าเศร้าสบตากับเติมบุญ น้ำตาไหลอาบแก้ม
ปานฟ้ารีบบอก
“ฟ้าว่าคุณพ่อ คุณแม่กลับไปพักผ่อนดีกว่าค่ะ...”
“ผมเห็นด้วยครับ แล้วเราค่อยไปเยี่ยมคุณเดือน...” ภาคินออกความเห็น
บุญทิ้งรีบบอก
“พี่ภาคินต้องให้ผมไปด้วยนะครับ...”
“ไปสิ...”
ภาคินพยักหน้ารับ

รถของปานฟ้าแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ป้าแก้ววิ่งมาเปิดประตูให้เติมบุญ สายอุษาเปิดประตูเองลงอีกด้านหนึ่ง
“ฟ้าต้องรีบไปประชุมนะคะ ป้าแก้วฝากดูแลท่านด้วย” ปานฟ้าหันมาบอก
“อย่าห่วงเลยค่ะคุณฟ้า...” ป้าแก้วยิ้มให้
สายอุษากับเติมบุญเข้าไปในบ้าน ป้าแก้วมองหน้าปานฟ้าที่พูดด้วยเบาๆ
“พี่เดือนถูกส่งไปศรีธัญญา...”
“หา....”
“ดูแลท่านด้วยนะป้าแก้ว...”
“ค่ะๆ คุณฟ้าไม่ต้องห่วงทางนี้นะคะ”
ป้าแก้วรีบกลับเข้าบ้านทันที

ปานดาวเข้ามาในห้องโถง เห็นเติมบุญกับสายอุษานั่งเศร้าๆ ป้าแก้วกำลังเสิร์ฟน้ำอยู่
“ยัยเดือนเป็นยังไงบ้างคะ”
“หมอเขาจะส่งไปศรีธัญญา” สายอุษาตอบ
ปานดาวแทบกลั้นหัวเราะด้วยความดีใจไว้ไม่ได้ แต่ก็ต้องสะกดกลั้นไว้
“ตายจริง...ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะคุณแม่”
“ฉันอยากรู้ว่าใครกัน ที่ทำให้ปานเดือนเป็นยังงี้...”
“อุ๊ย คุณพ่อพูดเหมือนกับจะหาว่าดาว เป็นต้นเหตุให้ยัยเดือนต้องเป็น...บ้า” ปานดาวเน้นคำว่าบ้าด้วยความสะใจ
พิมแอบฟังอยู่ข้างประตู ปิดปากกลั้นหัวเราะ
“ถ้าแกไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ต้องกินปูนร้อนท้อง” สายอุษามองลูกสาวคนโตอย่างไม่พอใจ
“โอ๊ย พูดนิดพูดหน่อยไม่ได้เลย เห็นดาวเป็นลูกบ้างหรือเปล่าเนี่ย”
สายอุษายืนขึ้น โกรธจัด
“หยุดนะยัยดาว เมื่อไหร่แกจะเลิกก้าวร้าวกับพ่อกับแม่ซะที เชื่อผัวจนหัวสมองแกนี่มีแต่คำว่าเนรคุณเต็มหัวแล้ว...”
ปานดาวกำหมัดแนบตัว อยากจะกรีดร้องออกมา
“ใช่สิ ดาวไม่ใช่ลูกที่พ่อแม่รักนี่ พูดอะไรก็ผิดหมด...ทำไมไม่ยกนังเดือนกับนังฟ้าใส่พานแล้วก็ทูนไว้บนหัวซะเลยล่ะคะ”
ขาดคำ สายอุษาก็ก้าวออกมาแล้วตบหน้าปานดาวอย่างแรง
“จำไว้ยัยดาว นรกมันจะกินหัวแก...”
ปานดาวกุมแก้ม น้ำตาร่วงพรู
“คุณแม่...”
ปานดาวผละวิ่งขึ้นบันไดไป ร้องไห้โฮๆ เติมบุญหายใจรวยริน หอบ เหมือนหิวอากาศ
“แย่แล้วค่ะ คุณผู้หญิง...”
สายอุษาหันกลับมาที่เติมบุญก็ตกใจ
“คุณพี่...”
สายอุษาปราดมาหาเติมบุญ บอกป้าแก้วเสียงสั่น
“โทรตามหมอทีแก้ว”
“ค่ะๆๆ”
แก้วปราดไปที่โทรศัพท์ พิมค่อยๆโผล่หน้ามามอง เบ้ปาก
“อีกหน่อยก็คงตายกันหมดบ้าน สะใจ” พิมเดินกลับไป โดยไม่สนใจ

ในห้องนอน...ปานดาวซบหน้าสะอื้นกับอกของภูวดล
“อย่าร้องคุณดาว...นึกถึงชัยชนะเราสิ ตอนนี้มันใกล้เข้ามาแล้วนะ...” ภูวดลพยายามปลอบใจ
ปานดาวเงยหน้าทั้งน้ำตา
“ชัยชนะ”
“อย่างน้อย นังเดือนก็ได้ไปอยู่โรงพยาบาลบ้าแล้ว ต่อให้มันหาย คนก็ยังเรียกมันว่าเป็นบ้าอยู่ พ่อแม่คุณดาวก็แก่มากแล้ว จะอยู่ได้อีกกี่ปี ทรัพย์สมบัติมหาศาลจะไปไหนเสีย คอยเล่นงานให้ประสาทกันทั้งบ้านแบบนี้แหละดี ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยเหมือนน้องสาวคุณด้วย...”
ปานดาวยิ้มทั้งน้ำตา
“จริงสิ...ตาธัญวิทย์ก็จะเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเลยนะคะ...”
“ใช่...”
ทั้งสองคนยิ้มให้กัน อย่างพอใจกับอนาคตที่มั่นใจว่าสดใส

ในห้องประชุม...ปานฟ้าทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมอยู่ โยมีสิริโสภา กับอนุสรณ์มาประชุมด้วย เมื่อฟังความเห็นจากทุกคนแล้ว เธอจึงสรุป...
“เป็นอันว่ารูปแบบงานประกวดวาดภาพ หัวข้อครอบครัวอุ่นรัก เป็นไปตามที่ประชุมกันนะคะ ดิฉันว่าจะเรียนเชิญคุณสิริโสภาเป็นประธานในการมอบรางวัลครั้งนี้ค่ะ ไม่ทราบเห็นด้วยหรือเปล่าคะ”
“เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ” อนุสรณ์พูดขึ้น
“ดิฉันเห็นว่าคุณอนุสรณ์นั่นแหละ ในฐานะสปอนเซอร์รายใหญ่ของงานนี้ น่าจะได้รับเกียรตินี้ค่ะ” สิริโสภาออกความเห็น
“แต่คุณสิริโสภามีภาพลักษณ์ ว่าทำงานเพื่อเด็กมาเป็นเวลานาน จะยิ่งทำให้งานการกุศลของเรามีความชัดเจนขึ้นนะครับ กรรมการท่านอื่นเห็นด้วยกับผมมั้ยครับ” อนุสรณ์ถาม
กรรมการท่านอื่นๆ พยักหน้าว่าเห็นด้วย
“ดิฉันก็เห็นว่าคุณสิริโสภาเหมาะสมที่สุด...ถ้ายังงั้น ดิฉันขออนุญาตปิดประชุมเลยนะคะ แล้วก็จะขอเชิญทุกท่านไปดูบริเวณที่ใช้จัดงาน เผื่อว่าบางท่านจะมีข้อเสนอแนะให้กับทางฝ่ายออกแบบฉากแล้วก็ดูแลสถานที่บ้างค่ะ เชิญค่ะ”
ปานฟ้าสรุป ท่ามกลางเสียงตอบรับที่พอใจของทุกคน จากนั้นเธอได้พาทุกคนมาดู บริเวณลานกว้างสำหรับใช้จัดงานอีเวนต์ต่างๆ ภายในห้าง
“ตรงบริเวณนี้แหละค่ะ ทางนี้จะเป็นเวที ส่วนเด็กๆ ก็จะนั่งวาดรูปกันตรงนี้นะคะ บริเวณนี้น่าจะเป็นบอร์ดนิทรรศการแล้วก็จัดแสดงผลงานของเด็กๆค่ะ”
“ก็เหมาะสมดีแล้วนี่คะคุณฟ้า...” สิริโสภาบอก
“สมบูรณ์มากที่สุดเลยครับ คุณปานฟ้า...” อนุสรณ์เสริม
ปานฟ้ายืนอธิบายกับกรรมการอื่นๆ ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่พอใจกับการทำงานของเธอ

ในมูลนิธิ...ภาคินยืนมองบุญทิ้งวาดรูปอยู่
“พี่ภาคิน...สวยมั้ยครับ...”
บุญทิ้งส่งรูปให้ดู ภาคินนั่งลงข้างๆ
“สวยนี่ แต่อย่าหวังเรื่องรางวัลนะบุญทิ้ง อาจจะมีเด็กอื่นที่เก่งกว่าเราอีกมาก”
“ผมไม่หวังหรอกครับ แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด”
“นั่นแหละยิ่งกว่าชัยชนะอีกนะ...”
“ผมจะวาดให้คุณปานเดือน เป็นของขวัญ บางทีอาจจะทำให้คุณปานเดือนหาย...”
ภาคินยิ้ม เอามือลูบหัวบุญทิ้งด้วยความเอ็นดู
“งั้นพี่ไม่กวนบุญทิ้งแล้ว วาดต่อไปเถอะ”
บุญทิ้งยิ้ม แล้วตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปต่อไป

ในห้องนอน...ธัญวิทย์เหวี่ยงดินสอสีราคาแพงกระจายไปทั่วห้อง
“อ้าว ทำไมทำยังงั้นล่ะคะ คุณธัญวิทย์” พิมถาม
“จะทำ มีอะไรมั้ย...”
“อุ๊ย ไม่มีหรอกค่ะ แต่ระวังคุณพ่อคุณแม่มาเห็น คุณธัญวิทย์จะถูกดุนะคะ...”
“แกต่างหากล่ะที่จะถูกดุ...”
ปานดาวเดินเข้ามาพอดี
“ใช่ แกมีสิทธิ์อะไรมาสอนตาวิทย์ลูกฉัน...เก็บเข้าสิ...แล้วก็ไสหัวไป จำไว้นะอย่าทำให้ตาวิทย์ไม่พอใจ”
“ค่ะ คุณดาว...”
พิมเก็บดินสอสี ธัญวิทย์ลุกขึ้น แล้วเตะดินสอสีให้กระจายไปทั่วห้อง ภูวดลเข้ามาเห็นก็ หัวเราะ ปานดาวก็หัวเราะด้วย ยิ่งพิมก้มลงเก็บ ธัญวิทย์ก็ยิ่งเตะไม่ให้พิมเก็บได้
“เดี๋ยวนังพิมก็เป็นลมไปหรอกลูก” ภูวดลแกล้งว่า
“ดีสิครับ คุณแม่”
ภูวดลชอบใจ
“นี่ไงคุณดาว ที่เขาบอกว่าเด็กซนเป็นเด็กฉลาด ลูกเราฉลาดก็เลยต้องซน...”
“ใช่ค่ะ”
ปานดาวมองธัญวิทย์อย่างชื่นชม ขณะที่ธัญวิทย์ยังสนุกกับการเตะ พิมก้มหน้าเก็บดินสอด้วยความน้อยใจ

ค่ำคืนนั้น ขณะที่ภูวดลยืนรับลมอยู่ที่สนาม พิมย่องมาหา
“พี่ภู...”
ภูวดลหันมา กวาดตาไปทั่ว
“ระวังคนได้ยิน เขาจะจับได้ว่าเราเป็นอะไรกัน...”
“เงินที่มันกำลังจะทับพี่ตาย ทำให้ความเป็นพี่น้องของเรา ต้องขาดสะบั้นเลยเหรอพี่...”
“ไม่เอาน่า รอให้สมบัติในบ้านนี้เป็นของเราก่อนสิ แกก็เลี้ยงตาวิทย์ ในฐานะลูกได้เต็มที่ ส่วนคนในบ้านนี้ก็ให้มันตายลงทีละคนสองคน...ว่าแต่แกเถอะ มีอะไรกับฉัน”
“พิมอยากไปเยี่ยมบ้าน ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ก้านออกจากคุกหรือยัง...”
ภูวดลปรามพิมด้วยสายตา พูดเบาๆ
“เบาๆนังพิม ระวังคนเขาจะรู้ว่าผัวแกน่ะติดคุกอยู่ ถ้าเรื่องแตกละก็ บรรลัยกันหมดเลยนะ...”
“บอกไว้ก่อน เผื่อพี่จะหาเงินให้ฉันสักก้อน อยากเอาไปให้พี่ก้าน วันหน้าวันหลังจะได้ขอความช่วยเหลือจากผัวฉันได้บ้าง”
“แล้วจะจัดการให้ ไปได้แล้ว...”
ขณะเดียวกัน ปานฟ้าแอบมองอยู่ห่าง ๆอย่างสงสัยว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน ทำไมถึงมีท่าทางสนิทสนมกันนัก

พิมวิ่งกลับมาทางห้องพัก แต่เห็นปานฟ้ายืนอยู่ พิมหน้าเสียไป
“คุณฟ้า...”
“ไปไหนมา...”
“ก็เดินเล่น...รับลม...อากาศดียังงี้ คุณฟ้าก็คงมาเดินเล่นเหมือนกันเหรอคะ”
“ตอบให้ตรงคำถาม”
“ก็ตอบแล้วนี่คะ”
“ตะกี้นี้คุยอยู่กับใคร ถ้าตาฉันไม่ฝาด คุณภูวดลใช่มั้ย...”
“เห็นแล้วทำไมต้องถาม...”
ปานฟ้ามองพิม ดวงตากร้าว
“อย่าทำอะไรให้บ้านฉันวุ่นวายไปมากกว่านี้นะพิม...อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ทันเธอ”
พิมจ้องมองตอบ
“ขอตัวค่ะ ฉันต้องไปดูคุณธัญวิทย์”
พิมเดินไป ปานฟ้ามองตามไปอย่างกังวลว่าพิมจะสร้างปัญหาให้ครอบครัวเธอ

เฟื่องแก้วเอากาแฟมาให้ภาคินในห้องทำงาน ขณะที่ภาคินพูดโทรศัพท์อยู่
“ได้เลยครับคุณฟ้า...ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย...”
ปานฟ้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม...
“งั้นเดี๋ยวพบกันค่ะ ฟ้าจะขอเคลียร์งานแป๊บนึงนะคะ”
ภาคินมองหน้าเฟื่องแก้ว ซึ่งสีหน้ามีแววน้อยใจอยู่ แต่ภาคินไม่ได้สนใจอะไร
“บุญทิ้งทำอะไรอยู่”
“ฝึกวาดรูปอยู่ค่ะ...”
“บอกให้มาพบผมด่วน ผมจะรอที่รถ...”
“คุณภาคินจะไปไหนเหรอคะ...”

ภาคินไม่ตอบ เดินออกไป เฟื่องแก้วมองตามด้วยความน้อยใจ ที่ภาคินแสดงท่าทีห่างเหินกับเธอมากขึ้นทุกวัน

อ่านต่อ ตอนที่ 5 พรุ่งนี้ อังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ติดตามอ่านเรื่องราว...ดราม่าสุดขีด ซาบซึ้งกินใจสุดชีวิต ของ “ดุจดาวดิน” สมบูรณ์ที่สุด ตรงตามบทโทรทัศน์ ช่อง 7 สี มากที่สุด ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร ทุกวัน 2 เวลา ทางละครออนไลน์ คือ 9.30 น. และ 18.00 น.



ดุจดาวดิน ตอนที่ 3
ดุจดาวดิน ตอนที่ 3
ภาคินคุยเรื่องของหลานชายปานฟ้าที่หายไป กับตุลย์อยู่ภายในห้องทำงาน “ชื่อทินภัทร อัครดำรงกุลครับ” “รายละเอียดอื่นๆละครับ” “ผมก็ไม่รู้อะไรมาก เอาอย่างนี้สิหมวดถ้าคุณไม่รีบกลับ...” ตุลย์รีบแทรก “ผมไม่รีบหรอก อยู่ที่นี่อยู่ได้ทั้งวัน ว่าแต่คุณไปล้มใส่หมัดใครมานะ” ภาคินหัวเราะ “คนพาลนะอย่าไปสนใจเลย หมวดอยู่ก็ดีครับเพราะช่วงเย็นๆคุณปานฟ้าเธอจะพาพี่สาวที่เป็นแม่ของทินภัทรมาที่นี่ หมวดจะได้คุยรายละเอียดกับเธอ” “ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย...แหม...ว่าแต่ดูคุณภาคิน จะกระตือรือร้นช่วยเหลือคุณปานฟ้าเป็นพิเศษเชียวนะครับ” ภาคินหน้าแดง “ก็...เธอขอความช่วยเหลือมา ผมก็ช่วยไปเท่าที่จะช่วยได้ พิเศษตรงไหน” ตุลย์ทำหน้าล้อเลียน
กำลังโหลดความคิดเห็น