xs
xsm
sm
md
lg

ดุจดาวดิน ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดุจดาวดิน ตอนที่ 2

ภาคินกับสิริโสภา เดินคุยกันมาที่เบนซ์สปอร์ตคันหรู

“ขอบคุณมากนะโสภา ที่มาช่วยทำให้เด็กๆ สนุกและมีความสุข” ภาคินบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จ้า...เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นไปดินเนอร์หรูๆกันสักมื้อดีกว่ามั้ง”
“ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือละก็ ผมจะเลี้ยงคุณสักสิบชามเลยเป็นไง”
สิริโสภาแกล้งทำท่าจะเป็นลม
“เฮอะ...ดูพูดเข้า ยังกับคุณนะสิ้นไร้ไม้ตอกเสียเต็มประดา สมบัติพ่อคุณนะกินเข้าไปอีกสิบชาติก็ยังไม่หมดเลยมั้ง”
ภาคินหน้าเคร่งขึ้น
“คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของของผม อย่าพูดอีกเลยนะ”
สิริโสภาเข้ามาใกล้ๆ พูดด้วยอย่างจริงจัง
“ภาคิน...ฉันรู้ว่าคุณมีอุดมการณ์ที่แรงกล้า ถึงได้มาเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิเด็กเร่ร่อน แต่...”
“โสภา...”
ภาคินปรามเสียงจริงจัง โสภาชะงักหยุดพูดไปกะทันหัน แล้วยักไหล่
“โอเคไม่พูดก็ไม่พูด”
สิริโสภาเดินไปที่รถ หันกลับมาบอกก่อนจะเปิดประตู
“ถ้ามีอะไรจะให้ฉันช่วยก็บอกได้เลยนะ...”
ภาคินพยักหน้า
“ขับรถดีๆนะ”
“จ้ะ...บาย...”
สิริโสภาขึ้นรถ แล้วขับรถออกไป ภาคินหันหลังกลับเดินเข้าด้านใน

รถตู้ปานฟ้าขับสวนกับรถของสิริโสภา คนขับหันมาบอก...
“ข้างหน้านี่มีมูลนิธิเล็กๆ คุณปานฟ้าจะทำบุญที่นี่มั้ยครับ หรือจะให้ไปที่มูลนิธิอื่น”
ปานฟ้าชะเง้อมอง
“ที่นี่ก็ได้ ทำบุญกับมูลนิธิเล็กๆสิดี เขาคงต้องการความช่วยเหลือมากกว่า มูลนิธิที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว หรือพี่รุทธิ์ว่าไงคะ”
“พี่เห็นด้วยกับฟ้าจ๊ะ”
คนขับจอดลงหน้ามูลนิธิ แล้ววิ่งลงมาเลื่อนประตูให้ ปานฟ้าก้าวลงมาก่อน ถอดแว่นกันแดดอันใหญ่ออก มองเข้าไปที่ตึกของมูลนิธิ ยิ้มอย่างพอใจก่อนหันกลับไปที่รถ
“พี่รุทธิ์คะพาพี่เดือนลงมาเถอะคะ...”
อนิรุทธิ์ประคองปานเดือนลงจากรถ ปานเดือนมองรอบๆบริเวณอย่างเหม่อๆลอยๆ

ด้านใน...เฟื่องแก้ว กับตุลย์ช่วยเด็กๆเก็บข้าวของจากงานเลี้ยง
“หมวดไม่ต้องหรอกค่ะ เหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว”
ตุลย์ยิ้มแย้ม
“ไม่เป็นไรครับช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ”
สองคนชะงักเห็นปานฟ้า ปานดาว อนิรุทธิ์เดินเข้ามา เฟื่องแก้วรีบทักทาย
“สวัสดีค่ะ”
ปานฟ้ายิ้มรับ
“สวัสดีค่ะ...ฉันกับพี่สาวมาทำบุญนะคะ”
เฟื่องแก้วมองที่ทั้งสามคนไม่เห็นมีของอะไรมา ปานฟ้ารีบพูดต่อ
“คือฉันไม่ได้เตรียมของอะไรมาหรอกคะ แต่ตั้งใจจะมาบริจาคเป็นเงินคงไม่ขัดข้องใช่มั้ยคะ”
เฟื่องแก้วเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องเชิญคุณทั้งสามคน ที่ห้องด้านในเลยค่ะ”
เฟื่องแก้วหันไปทางตุลย์
“หมวดคะ ฉันฝากทางนี้หน่อยนะคะ”
“เชิญตามสบายครับผม”
เฟื่องแก้วหันมาทางปานฟ้า
“เชิญทางนี้ค่ะ”
“ค่ะ...”
เฟื่องแก้วกำลังจะเดินนำทั้งสามคนไป บุญทิ้งถือกล่องกระดาษผ่านมาถามเฟื่องแก้ว
“พี่แก้วครับ กล่องนี้จะให้เอาไปเก็บที่ไหนครับ”
สายตาทั้งหมดหันไปมองที่บุญทิ้ง ปานเดือนจ้องบุญทิ้งตาไม่กะพริบแล้วก็เบิกตาโต ก่อนจะวิ่งพรวดพราดเข้าไปคว้าตัวบุญทิ้ง จนกล่องกระเด็นตกแล้วกอดไว้แน่น ร้องเสียงดังอย่างคนดีใจสุดขีด
“ทินภัทรลูกแม่...ในที่สุดแม่ก็เจอลูก โธ่ลูกจ๋าลูกอยู่ที่นี่เอง ทินภัทร...ทินภัทร แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน...”
ปานเดือดกอดบุญทิ้งพร่ำเพ้อแบบคนสติไม่ค่อยดี บุญทิ้งงงแต่ก็ยืนให้กอดนิ่งไม่ได้ขัดขืน เฟื่องแก้วตกใจ ในขณะที่อนิรุทธิ์เข้าไปพยายามแยกตัวปานเดือนออกมาแต่เธอไม่ยอม ปานฟ้าได้สติรีบขอโทษ
“ขอโทษนะคะเอ้อพี่สาวฉัน...คือลูกชายเธอหายไปนะคะก็เลยเข้าใจผิด คงคิดถึงลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ปานฟ้ารีบเข้าไปช่วยอนิรุทธิ์ที่กำลังปลอบอยู่
“คุณเดือนปล่อยเถอะเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเรานะ”
ปานเดือนไม่ปล่อย แต่หันมาตวาดอนิรุทธิ์อย่างโมโห
“คุณพูดอะไรน่ะ...เดือนไม่ปล่อย เดือนเจอลูกแล้ว ทินภัทรไปกับแม่นะลูกกลับบ้านเรานะ”
“พี่เดือนคะ...ปล่อยเด็กก่อนเถอะคะเชื่อฟ้านะคะ...นะคะพี่เดือน”
เฟื่องแก้วเข้ามาช่วยแยกด้วยจนดึงตัว บุญทิ้งออกได้ ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์จับปานเดือนไว้คนละข้าง ในขณะที่ปานเดือนอาละวาดโวยวายไม่ยอม
“ไม่...เอาลูกฉันมา...อย่าเอาลูกฉันไปอีกเลย...เอาลูกฉันคืนมา”
อนิรุทธิ์กระซิบปานฟ้า
“พี่ว่ากลับก่อนดีมั้ยฟ้า...อาการคุณเดือนกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว”
ปานฟ้ารีบพยักหน้ากระซิบ
“ค่ะ...ก็ดีเหมือนกัน...” ปานฟ้ารีบหันไปบอกเฟื่องแก้ว “เอ้อฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะเรื่องทำบุญไว้ฉันจะมาใหม่อีกทีค่ะ”
“ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
ปานเดือนมองเฟื่องแก้ว กำลังจะพาบุญทิ้งเดินหนีไปเธอสะบัดแขนจากอนิรุทธิ์จนหลุด แล้วหันมาผลักปานฟ้าเต็มแรง วิ่งไปกอดบุญทิ้งไว้แน่น ปานฟ้าเสียหลักเซไปจะล้ม ภาคินเข้ามารับไว้ในอ้อมแขนได้ทัน สองคนมองกันอย่างตกใจจำกันได้

ตุลย์ เฟื่องแก้ว บุญทิ้ง ยืนมอง ภาคินที่กำลังยืนคุยกับปานฟ้าที่รถตู้ ตุลย์โยกหัวบุญทิ้งเบาๆ
“ตกใจหรือเปล่าบุญทิ้ง ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
บุญทิ้งมองที่รถตู้
“ไม่ครับ...”
เฟื่องแก้วทำท่าขนลุก
“น่ากลัวจัง...เห็นหน้าตาท่าทางก็ดี๊ดี ไม่น่าเป็นคนบ้าได้เลย”
“แต่ผมว่าคุณคนนั้น แกน่าสงสารออกนะครับพี่แก้ว” บุญทิ้งแย้ง
“จ้ะก็น่าสงสารอยู่หรอก แต่คงต้องออกห่างๆ นี่ไม่รู้ว่าอาละวาดทำร้ายคนด้วยหรือเปล่า ความจริงถ้ามีอาการทางประสาทแบบนี้ก็ไม่น่าจะพาออกมาเลยนะ...ไปเถอะไปช่วยกันเก็บของต่อดีกว่า”
เฟื่องแก้วหันหลังเดินเข้าไปด้านใน ตุลย์ตามไปด้วย บุญทิ้งหันหลังแล้วชะงักจ้องมองไปที่รถตู้แล้วก็ตัดใจหันกลับ
ภาคินยืนคุยอยู่กับปานฟ้า ขณะที่อนิรุทธ์โอบปลอบปานเดือน ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนรถ
“ฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะ ที่จะมาทำบุญแต่กลับกลายเป็นมาทำความวุ่นวายให้”
“ไม่เป็นไรครับ...มันเป็นเหตุสุดวิสัยไม่มีใครโทษคุณหรอกครับ เอ้อ...ผมขอให้พี่สาวของคุณหายเร็วๆนะครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ...ไว้โอกาสหน้าฉันจะมาใหม่นะคะ”
ปานฟ้ากำลังจะขึ้นรถ ภาคินโพล่งออกไป
“กิ๊บของคุณ...”
ปานฟ้าชะงักหันมาถามงงๆ
“คะ...”
“เอ้อ...คือกิ๊บที่คุณฝากผมไว้”
ปานฟ้านึกได้
“จะบอกว่าทำหายไปแล้วใช่มั้ยคะ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“เปล่าครับ...ผมยังเก็บไว้ให้อย่างดี”
ปานฟ้าอึ้งหน้าแดง
“เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นวันหน้าฉันจะแวะมาเอาค่ะ”
ปานฟ้ารีบขึ้นรถไป ภาคินเดินมาปิดประตูให้ อนิรุทธิ์ก้มหัวและยิ้มให้ ภาคินก้มหัวและยิ้มตอบ เขายืนมองจนรถลับสายตาไป

เมื่อกลับไปถึงบ้าน...ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์พยายามจะพาปานเดือนลงจากรถ แต่ปานเดือนไม่ยอมโวยวายคร่ำครวญเสียงดัง
“ไม่...ไม่ไป...ปล่อยสิปล่อย...”
“พี่เดือนขา ถึงบ้านแล้วลงมาก่อนเถอะนะคะ”
“ไม่ปล่อยพี่...พี่จะไปหาลูก...พี่คิดถึงลูก”
ปานเดือนหันไปเขย่าตัวอนิรุทธิ์อ้อนวอน
“คุณคะ...พาฉันไปหาลูกหน่อยเถอะคะ...ฉันขอร้อง...ฉันคิดถึงลูกนะคะคุณ...นะคะ”
“ตกลงครับคุณเดือน ผมจะพาคุณไปหาลูก ลูกเราอยู่ข้างในไงครับลงมาก่อนนะ”
ปานเดือนตื่นเต้น
“ลูกเราอยู่ข้างในเหรอคะ”
“ครับลงมาก่อนนะ”
ปานเดือนพยักหน้าอย่างว่าง่ายรีบลงจากรถ ปานฟ้าถอนใจโล่งอก สองคนพากันประคองปานเดือนเข้าบ้าน ขณะเดียวกัน ปานดาวยืนมองอยู่ที่หน้าต่างชั้นบนของตัวตึก แล้วเดินมานั่งที่โซฟาในห้อง หัวเราะสะใจ ภูวดลที่นอนดูโทรทัศน์ ละสายตาหันมาถามอย่างแปลกใจ
“ขำอะไรคุณดาว”
ปานดาวยิ้มเยาะ
“ขำนังบ้า มันอาละวาดอีกแล้วนะสิ”
ภูวดลสนใจ
“กลับกันมาแล้วเหรอ”
ปานดาวพยักหน้า หมั่นไส้
“ริจะทำตัวเป็นนางเอก มันได้ใจถือว่าคุณพ่อรักมันอะไรๆก็มัน กับนังเดือนไม่เคยเห็นหัวฉันเลย”
ภูวดลทำหน้าเศร้า
“คงเป็นเพราะคุณ มาได้ผู้ชายต่ำต้อยอย่างผมเป็นสามีล่ะมั้ง ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษที่ผมไม่ดี”
ปานดาวตกใจรีบเข้ามากอดภูวดล
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะภู มันไม่เกี่ยวกับคุณสักนิด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปานดาวหันไปตวาด
“ใคร...”
“พิมเองค่ะ”
ปานดาวรีบไปเปิดประตูแล้วถามทันที...
“เจอตัวมันมั้ย”
พิมพยักหน้า ภูวดลรีบถาม
“ใช่ไอ้พ่วงจริงๆหรือเปล่า”
“ใช่สิ...ไอ้พ่วงตัวเป็นๆเลยล่ะ”
พิมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอไปที่โรงพัก เธอไปที่ห้องคุมขัง เห็นพ่วงยืนพิงลูกกรงเซ็งๆอยู่
“ไอ้พ่วง...”
พ่วงหันมามองอยู่นานแล้วนึกได้
“นังพิม”
พิมมองซ้าย ขวา เข้ามาติดลูกกรง
“เออฉันเอง”
“นี่แกมาเยี่ยมข้าเหรอ แหมไม่คิดเลยว่าคนอย่างแกจะมีน้ำใจ นี่ข้าอยากกินเหล้าจังว่ะไปซื้อใส่ถุงมาทีสิ...ใส่น้ำแข็งมาด้วยนะตำรวจมันจะได้นึกว่าเป็นน้ำอัดลม”
“ตำรวจบ้านพ่อแกนะสิจะได้โง่จนดูไม่ออก นี่ฉันมานี่ไม่ได้มาเยี่ยมแก แต่จะมากำชับแกเรื่องไอ้เด็กคนนั้น”
“เด็กไหนวะ”
“ก็เด็กที่ฉันเอาไปขายให้แกไง จำไว้นะห้ามแกปูดเรื่องนี้กับตำรวจเด็ดขาด”
พ่วงทำท่านักเลง
“แกจะทำไมข้านังพิม”
“ฉันนะไม่ทำไมแกหรอก แต่เจ้านายฉันนะเขามีเงินล้นฟ้า เขาอาจจะจ้างใครสักคนมาติดคุกข้างๆแกแล้วก็เชือดแกแบบนิ่มๆก็ได้ถ้าแกปากโป้ง”
พ่วงหน้าถอดสี
“นังพิม...แกขู่ข้าเหรอ”
“ไม่ได้ขู่แต่เอาจริง”
พิมจ้องพ่วงอย่างน่ากลัวจนพ่วงหงอ
เมื่อเล่าให้ปานดาว กับภูวดลฟัง พิมยืนยันแข็งขัน
“รับรองค่ะมันไม่กล้าปากโป้งแน่ๆ”
ปานดาวยิ้มพอใจ
“ดี...เออแล้วมันบอกหรือเปล่าว่า ตอนนี้ไอ้ทินภัทรมันอยู่ไหน”
“มันก็ว่าขายไปแถวชายแดน ตั้งนานแล้วค่ะ”
ปานดาวหันไปยิ้มกับภูวดลอย่างพอใจ
“ต่อให้น้องสาวคุณ พลิกแผ่นดินหาก็ไม่มีทางเจอ”
“ใช่...ธัญวิทย์ลูกเราเท่านั้นที่จะเป็นทายาทของอัครดำรงกุลเพียงคนเดียว”
ทั้งสามคนยิ้มอย่างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ป้าแก้วกำลังตั้งโต๊ะอาหาร ธัญวิทย์เดินเข้ามาเกาะโต๊ะมองเซ็งๆ
“ข้าวต้มอีกแล้ว...นี่แก...ไม่มีอะไรกินดีกว่านี้แล้วเหรอ”
ป้าแก้วอึ้ง ก่อนจะหันมาตอบอย่างเกรงใจ
“ก็คุณท่านไม่ค่อยสบาย คุณปานเดือนก็ทานได้แต่ของอ่อนๆ คุณผู้หญิงก็เลยให้ป้าทำข้าวต้มนะคะ”
ธัญวิทย์กระชากเก้าอี้อย่างแรง กระแทกตัวนั่งลง
“คนนั่นก็เจ็บ คนนี้ก็ป่วย ทำไมไม่ตายๆกันไปเสียเลยล่ะ”
ป้าแก้วยกมือทาบอกตกใจ
“ตายจริงคุณหนู...ทำไมพูดอย่างนั้นละคะคนป่วยนะไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณตากับคุณน้าของคุณหนูเองนะคะ ทีหลังคุณหนูอย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ”
พิมเข้ามาตะคอกป้าแก้วเสียงดัง
“สะเออะ...เป็นแค่คนใช้ เจ๋ออะไรมาสั่งสอนคุณธัญวิทย์”
พิมหันไปทางธัญวิทย์พูดประจบ
“คุณธัญวิทย์อย่าไปฟังนะคะ คุณมีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
ปานฟ้าเข้ามาก่อน
“แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรที่มาสั่งสอนหลานชายฉัน ให้เป็นเด็กนิสัยไม่ดีพูดจาก้าวร้าวผู้ใหญ่แบบนี้”
พิมชะงัก ธัญวิทย์หน้าจ๋อย ปานฟ้ามองอย่างไม่พอใจมาก พิมเคืองแต่ข่มอารมณ์เพราะรู้ว่าปานฟ้าเอาจริง

ปานฟ้าเดินมาที่รถ มีพิมตามมาอย่างไม่สบอารมณ์ ปานฟ้าหยุดแล้วหันไปมองเสียงเรียบแต่เอาเรื่อง
“ฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินเธอ สอนหลานฉันในทางที่ผิดๆอีกนะพิม”
พิมไม่พอใจแต่จำใจรับคำ
“ค่ะ...”
ปานฟ้าจะขึ้นรถแล้วนึกได้หันไปพูดต่อ
“อ๋อ...แล้วป้าแก้วน่ะแกเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ อยู่มาตั้งแต่เธอยังไม่เกิดด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจะพูดจะจาอะไรก็ขอให้เกรงใจแกหน่อย ถ้ายังอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไป”
ปานฟ้าขึ้นรถขับออกไป พิมมองตามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

เย็นนั้น...บุญทิ้งใช้ไม้ม็อบถูพื้นทางเดินอย่างใจลอย แล้วชะงักครุ่นคิด นึกถึงตอนที่ปานเดือนจ้องเขาตาไม่กะพริบ แล้วก็เบิกตาโตก่อนจะวิ่งพรวดพราด เข้าไปคว้าตัวเขาจนกล่องกระเด็นตกแล้วกอดแน่น ร้องเสียงดังอย่างคนดีใจสุดขีด
“ทินภัทรลูกแม่...ในที่สุดแม่ก็เจอลูก โธ่ลูกจ๋าลูกอยู่ที่นี่เอง ทินภัทร...ทินภัทร แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”
บุญทิ้งเผลอยิ้มอย่างสุขใจ แล้วต้องสะดุ้งเมื่อมือภาคินเข้ามาจับที่บ่า ภาคินมองขำๆ
“เอ้า...เป็นอะไรไปนะบุญทิ้ง ยืนยิ้มคนเดียว”
บุญทิ้งอาย
“เปล่าครับ...คุณเอ๊ย...พี่ภาคินยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
“เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ ขอเคลียร์งานให้เสร็จก่อน”
ภาคินเดินตรงไปที่ห้อง บุญทิ้งถูพื้นต่อ แต่แล้วก็หยุดยิ้มอย่างสุขใจอีกครั้ง

ภาคินเปิดห้องทำงานเข้ามา แล้วชะงักเมื่อเห็นเฟื่องแก้ว กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะทำงานอยู่
“ผมบอกกี่ครั้งแล้วแก้ว ว่าไม่ต้องมาทำความสะอาดโต๊ะให้ผม ผมจัดการเองได้ ลำพังงานของคุณก็เยอะแยะอยู่แล้ว”
เฟื่องแก้วหันมายิ้มหวาน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แก้วเต็มใจทำเพื่อคุณภาคิน”
ภาคินชะงักแล้วทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินมาที่โต๊ะ เฟื่องแก้วพูดต่อ
“ความจริงวันนี้น่าเสียดายจังนะคะ”
“เสียดายอะไร”
“ก็เสียดายที่ผู้หญิงคนนั้น สติแตกขึ้นมาเสียก่อนนะสิคะ ไม่อย่างนั้นน้องสาวเขาคงจะบริจาคให้มูลนิธิเราเยอะอยู่เหมือนกัน ดูท่าทางจะเป็นคนรวยไม่ใช่เล่น”
ภาคินนิ่งคิด แล้วก็ก้มหน้าสนใจงานตรงหน้า เฟื่องแก้วเลยจำใจถอยออกไปเงียบๆภาคินหยุดทำงาน
เงยหน้าขึ้น เผลอยิ้มแล้วรีบสะบัดหัวราวกับจะไล่ความคิดออกไป ลงมือทำงานต่ออย่างเคร่งเครียด

ค่ำนั้น...ตึกห้างสรรพสินค้าเปิดไฟสว่างไสว ปานฟ้ายังอยู่ในห้องทำงาน เลขามองอย่างชื่นชม
“คุณปานฟ้า ขยันจังนะคะ มาถึงยังไม่ทันพักก็มาทำงานเลย”
“สงสารพี่รุทธิ์นะสิ รับภาระหนักมานาน ว่าแต่ตอนนี้ที่ห้างเรามีกิจกรรมอะไรพิเศษบ้างจ๊ะ”
“ที่กำลังจัดอยู่ก็งานแสดงสินค้าสี่ภาคค่ะ แล้วอาทิตย์จะมีการประกวดวาดภาพระบายสี เพื่อส่งเสริมให้เด็กๆใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”
“ฮึ่ม...ความคิดพี่รุทธิ์ดีจังนะ”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปานฟ้าหันไปยังไม่ทันพูดอนุญาต ก็เห็นก้องภพเปิดประตูโผล่แต่หน้าเข้ามา
“เซอร์ไพรส์ครับฟ้า”
ปานฟ้างงๆ
“รู้ได้ไงคะเนี่ยว่าฉันกลับมาแล้ว” ปานฟ้าหันไปบอกเลขา “ออกไปก่อนนะจ๊ะ”
“ค่ะ...”
เลขาเดินออกไป ก้องภพเข้ามามือไขว้หลังไว้ ปานฟ้าเคลียร์เอกสารบนโต๊ะอยู่ชะงักเห็นช่อดอกกุหลาบขาวช่อใหญ่มากยื่นมาตรงหน้า
“ขอต้อนรับการกลับมาเมืองไทยครับ”
ปานฟ้ายิ้มรับไว้
“ขอบคุณค่ะ”

ปานฟ้าเดินดูในห้างฯอย่างสนใจก้องภพเดินตามพูดออดอ้อน
“น่านะไปดินเนอร์กันนะฟ้า ผมมีอะไรจะเซอร์ไพรส์ฟ้า”
“เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
“ก็ต้อนรับที่ฟ้ากลับมาไง”
“เมื่อกี้ก็ให้ดอกไม้แล้วนี่คะพอแล้วล่ะ”
“ถ้าฟ้าปฏิเสธผมเสียใจนะ”
ปานฟ้ายิ้มอ่อนใจแบบคงขัดไม่ได้ ก้องภพยิ้มพอใจ

สองคนเดินมาที่ลานจอดรถ ปานฟ้าเดินไปที่รถ
“อย่าขับเร็วนะคะเดี๋ยวฉันตามไม่ทัน”
“วันนี้ผมไม่ได้เอารถมา”
“รถเสียเหรอคะ”
“ไม่ได้เสียหรอกครับ แต่ผมว่านั่งไปด้วยกันจะดีกว่า ขับตามกันไปไม่เห็นโรแมนติกเลย”
ปานฟ้าจะเปิดรถชะงัก
“จริงสิ...คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าคุณรู้ได้ไง”
“แม่ผมโทรไปหาคุณแม่ฟ้านะสิ ถึงได้รู้เรื่อง พูดแล้วก็น้อยใจที่จริง ผมน่าจะรู้เป็นคนแรกด้วยซ้ำ ผมคิดถึงฟ้ามากรู้มั้ย”
ก้องภพยื่นหน้าเข้ามาเกือบชนแก้ม ปานฟ้าหลบวูบ เสียงแข็งขึ้น
“ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้นะคะ...ฉันไม่ชอบ”
ก้องภพจ๋อย ทำเสียงอ้อน
“ขอโทษครับฟ้า”
ปานฟ้าขึ้นรถด้านคนขับ ก้องภพมองอย่างพอใจ พึมพำเบาๆ
“ยากๆแบบนี้สิท้าทายดีนัก”

ที่ร้านอาหารหรู...พนักงานนำก้องภพกับปานฟ้า มาที่โต๊ะริมกระจกเห็นวิวทิวทัศน์กรุงเทพยามค่ำคืนสวยงามมาก ปานฟ้านั่งลง พนักงานโค้งก่อนจะจุดเชิงเทียนบนโต๊ะแล้วถอยออกไป ปานฟ้ามองโต๊ะรอบๆไม่มีใครสักโต๊ะ
“ทำไมไม่มีคนเลยคะ”
ก้องภพยิ้มทำท่าลับลมคมใน ปานฟ้ารู้ทัน
“อย่าบอกนะคะว่าคุณจองทั้งชั้นนี่”
ก้องภพยิ้มเท่
“ใช่แล้วครับ”
ปานฟ้าไม่ยินดี
“เนี่ยนะเหรอคะเซอร์ไพรส์ของคุณ”
ก้องภพพยักหน้าอย่างคิดว่าเท่สุดๆ ปานฟ้าถอนใจ พิงพนักเก้าอี้กอดอกแล้วมองก้องภพ เหมือนมองเด็กที่ไม่รู้จักโต
“ถ้าคุณเอาเงินตั้งหลายหมื่น ที่จ่ายไปคืนนี้ไปทำบุญ ฉันว่ามันยังจะทำให้ฉันเซอร์ไพรส์ได้มากกว่าที่คุณจะทิ้งเงินไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้”
ก้องภพชักเซ็งแต่พยายามฝืน
“โธ่...ฟ้าก็...เพิ่งจะเจอกันอย่าซีเรียสเลยน่า โอเค...สำหรับคนอื่นมันอาจจะเยอะแต่สำหรับเราขนหน้าแข้งไม่ร่วงสักหน่อย”
ปานฟ้าถอนใจ
“ไม่ใช่เราค่ะ...คุณคนเดียว ถึงฉันจะมีเงินแต่มันก็เป็นเงินของพ่อฉัน กว่าท่านจะมีวันนี้ได้คุณรู้มั้ยว่าท่านต้องลำบากแค่ไหน”
ก้องภพเหลือกตาไปมาแบบอ่อนใจสุดๆ ที่ทุกอย่างพลิกความคาดหมายไปหมด พนักงานลำเลียงอาหารเข้ามาวาง ปานฟ้าข่มความไม่พอใจ หันหน้ามองออกไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก ก้องภพก็เซ็งแต่พยายามเอาอกเอาใจปานฟ้าตักโน่นนี่ให้อย่างน่ารำคาญ ปานฟ้าฝืนกินไปตามมารยาท

หลังจากทานอาหาร ปานฟ้าขับรถมาจอดหน้าบ้าน ก้องภพคะยั้นคะยอ
“ไม่ลงไปหน่อยเหรอครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม
“ไม่ล่ะคะ...ดึกแล้ว”
ก้องภพตื้อ
“แม่คงดีใจมากถ้าเจอคุณ”
“ช่วยเรียนท่านด้วยว่า...ฉันจะมากราบท่านวันหลัง”
ก้องภพผิดหวัง
“แล้วแต่ฟ้าแล้วกัน กู๊ดไน้ต์นะครับ”
“ค่ะ กู๊ดไน้ต์ค่ะ”
ก้องภพจำใจลงจากรถโบกมือให้ ปานฟ้ารีบกลับรถขับออกไป ก้องภพมองตามเตะวืดไปในอากาศอย่างหงุดหงิดใจ

รถปานฟ้าขับมาเรื่อยๆ จู่ๆมีมอเตอร์ไซค์ขับมาประกบแล้วตัดหน้ารถกะทันหัน ปานฟ้ารีบเบรกอย่างตกใจ
“โอ๊ย...บ้าจังขับรถประสาอะไรเนี่ย”
ปานฟ้าเห็นรถมอเตอร์ไซค์ล้มลงก็ตกใจ
“แย่แล้ว...”
ปานฟ้ารีบเปิดประตูลงไป แต่แล้วปานฟ้าก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อชายสองคนลุกขึ้นเหมือนไม่เป็นอะไร แล้ววิ่งเข้ามาจับแขนเธอ ปานฟ้าตะลึง
“อะไรกันเนี่ย...พวกแกจะทำอะไร”
ชายคนหนึ่งชักมีดออกมา
“หุบปากไม่ต้องถาม ขึ้นไปขับรถ”
มันหันไปบอกเพื่อน
“แกขับมอไซค์ตามมา ข้าจะประกบนังคนสวยนี่ไปเอง”
ปานฟ้าตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วย...อุ๊บ...”
ชายคนนั้นชกเข้าที่ท้องเธอเต็มแรง ปานฟ้าตัวงอ
“โอ๊ย...”
“พูดด้วยดีๆไม่ชอบ ชอบเจ็บตัว...”
แล้วเพื่อนของมันก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ
“เฮ้ยมีคนมา”
ปานฟ้าข่มความเจ็บหันไปมอง เห็นภาคินเดินตรงมาเรื่อยๆ ชายคนนั้นผลักปานฟ้าเข้ารถขู่เสียงน่า
“อย่าแหกปากนะไม่งั้นข้ากระซวกแน่”
ปานฟ้าเข้าไปนั่ง ชายคนั้นทำทียืนคุยกับเพื่อน ภาคินเดินมาถึงหันมามองชายสองคนอย่างแปลกใจและก็ตกใจเมื่อเห็นปานฟ้าที่ข่มความเจ็บตะโกนลั่น
“ช่วยด้วย”
ชายสองคนตกใจ ภาคินถลาเข้าไป
“พวกแกจะทำอะไร”
ชายคนหนึ่ง ชูมีดขู่ ภาคินชะงัก
“อยากแส่นักใช่มั้ย เฮ้ยจัดให้มันหน่อย”
เพื่อนมันพุ่งเข้าใส่ ภาคินหลบสองคนสู้กันชุลมุน ภาคินเอาชนะได้ เขาหันมาที่ชายอีกคนสองคนสู้กัน
มันจ้วงแทงแต่เขาหลบได้ หวุดหวิดจะโดน แต่ในที่สุดเขาก็พลาดโดนมีดแทงเข้าที่แขน
ภาคินล้มลง ชายคนนั้นพุ่งคร่อมเงื้อมือจะจ้วงแทงซ้ำ ปานฟ้ากดแตรรถดังลั่น มันตกใจผละจากภาคิน รีบกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ เพื่อนกระโดดตาม แล้วขับหนีไปในความมืด ปานฟ้าวิ่งโซเซมาประคองภาคิน

“คุณภาคิน...คุณเป็นยังไงบ้าง” ปานฟ้าเห็นแผลที่แขนเขาก็ตกใจมาก “คุณโดนแทง!”

อ่านต่อหน้า 2





ดุจดาวดิน ตอนที่ 2 (ต่อ)

ค่ำนั้น...ปานฟ้าใส่ยาที่แผลให้ภาคินอยู่ที่เก้าอี้ยาว ใต้ต้นไม้ในมูลนิธิ ภาคินร้องเบาๆ

“อ๊อย...”
ปานฟ้าชะงัก
“เจ็บเหรอคะ...”
“ครับ...มือคุณหนักจัง เบาหน่อยก็ได้ครับ”
ปานฟ้าทำหน้าหมั่นไส้
“ก็อยากไม่ยอมไปหาหมอนี่คะ...ฉันเองก็ไม่เคยทำแผลให้ใคร นี่ถ้าไปให้หมอทำให้ก็คงไม่เจ็บอย่างนี้หรอกค่ะ”
“ผมไม่อยากให้คุณเป็นข่าวนะสิครับ ผู้หญิงขึ้นหน้าหนึ่งมันไม่ค่อยดีเท่าไร”
ปานฟ้าชะงักแล้วยิ้มอ่อนหวาน
“ขอบคุณนะคะ คุณภาคินที่คิดถึงชื่อเสียงฉัน...ฉันก็ลืมไปเสียสนิท”
ขณะเดียวกันนั้น มีเสียงกุกกักดังมาภาคินหันไปถามดุๆ
“นั่นใคร...”
บุญทิ้งค่อยๆเดินออกมา ภาคินมองอย่างประหลาดใจ
“บุญทิ้ง...ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก”
บุญทิ้งหน้าจ๋อยๆกลัวโดนดุ

ปานเดือนนั่งอยู่ริมหน้าต่างหน้าตาเศร้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง พูดทั้งๆที่มองออกไปนอกหน้าต่าง
“ฉันนอนไม่หลับ...”
อนิรุทธิ์ตวัดผ้าห่มออก ลุกจากเตียงเดินมาคุกเข่าตรงหน้าปานเดือน
“ถ้าอย่างนั้นทานยาหน่อยนะ คุณจะได้หลับสบาย”
ปานเดือนส่ายหน้า น้ำตาไหลรินลงมา
“ฉันเป็นแม่ที่แย่มากใช่มั้ยคะ...ฉันดูแลลูกไม่ได้ ฉันไม่ได้เรื่อง ฉันไม่ควรเป็นแม่คนเลย”
ปานเดือนร้องไห้สะอื้น อนิรุทธิ์ลุกขึ้นโอบกอดเธอไว้
“ไม่คุณเดือน...คุณอย่าโทษตัวเองแบบนี้เลย มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ทำใจดีๆไว้น่ะผมสัญญา ผมจะต้องตามหาลูกทินภัทรให้เจอให้ได้”
ปานเดือนเงยหน้ามองอนิรุทธิ์ ถามทั้งน้ำตา
“ป่านนี้ลูกจะไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนคะ ฉันคิดถึงลูกเหลือเกิน”
สองคนกอดกันอย่างรันทดใจ

ภาคินมองบุญทิ้งพูดอย่างเอ็นดู
“ตัวแค่นี้รู้จักนอนไม่หลับกับเขาด้วย”
บุญทิ้งท่าทางเจียมตัว
“ที่จริงผมหลับไปแล้วครับ แต่ตกใจตื่นขึ้นมาอีก จะปลุกพี่แก้วก็ไม่กล้า พอดีได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกัน ผมก็เลยเดินออกมาดู”
ปานฟ้ารีบถาม
“ฝันร้ายเหรอจ๊ะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งคิดก่อนจะตอบ
“สำหรับผมมันเป็นฝันดีมากเลยครับ”
ภาคินขำๆ
“ไหนเล่าให้ฟังบ้างได้มั้ย”
“คือผมฝันถึงตอนที่โดนเอ้อ...” บุญทิ้งมองปานฟ้าอย่างเกรงใจก่อนจะพูดต่อ “พี่สาวของคุณปานฟ้า”
ปานฟ้ารีบขัด
“เรียกฉันว่าพี่ฟ้าก็ได้จ้ะ...บุญทิ้งฝันเห็นพี่เดือนพี่สาวฉันเหรอ”
“ครับผมฝันเห็นคุณเดือนตอนวิ่งเข้ากอด แล้วก็บอกว่าผมเป็นลูกครับ”
“โธ่...คงยังตกใจไม่หายจนเก็บเอาไปฝัน นี่บุญทิ้งฉันขอโทษแทนพี่เดือนด้วยนะจ๊ะ”
ภาคินมองหน้า
“แล้วทำไมบุญทิ้ง ถึงบอกว่าเป็นฝันดีล่ะ”
บุญทิ้งตอบเสียงเครือๆ
“ก็เพราะไม่เคยมีใครกอดผมอย่างที่...คุณเดือนกอดเลยครับ มันทำให้ผมคิดถึงแม่ ผมอยากให้แม่กอดผมอย่างนี้บ้างจัง...ผม...”
บุญทิ้งหยุดไป ทำท่าจะร้องไห้ ภาคินอึ้งมองด้วยสายตาเศร้ารำพึงในใจ
‘ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอดีบุญทิ้ง’
ปานฟ้าไม่ทันสังเกต เพราะมัวแต่มองบุญทิ้งด้วยความสงสาร

ภาคินเดินมาส่งปานฟ้าที่รถ เมื่อเธอจะกลับ...
“สงสารบุญทิ้งจังนะคะ”
“ครับ...บุญทิ้งเป็นเด็กดี ไม่น่าต้องมาอยู่แบบนี้”
ปานฟ้าหยุดเดิน
“บุญทิ้งอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอคะ”
“บุญทิ้งเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้อาทิตย์เดียวเองครับ”
“แล้วก่อนหน้านี้บุญทิ้งอยู่ที่ไหนคะ”
“บุญทิ้งเป็นเด็กเร่ร่อน ถูกบังคับให้ทำงานหาเงินอยู่ในแก็งค์ขอทานนะครับ”
ปานฟ้ากับภาคินพากันเดินมาถึงรถพอดี
“คุณภาคินทำงานเกี่ยวกับเด็กเร่ร่อนแบบนี้ คุณคงมีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กๆ ที่ถูกลักพาตัวมาสิคะ”
“ครับ...”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือหน่อยได้มั้ยคะ”
“ด้วยความยินดีครับ...ว่าแต่คุณจะให้ผมช่วยเรื่องอะไร”
“ไว้พรุ่งนี้แล้วกันค่ะ...ฉันจะมาคุยรายละเอียดให้ฟัง ว่าแต่คืนนี้คุณจะค้างที่นี่เหรอคะ”
ภาคินขรึมไป
“ครับ...ดึกมากแล้วผมเกรงใจที่บ้าน”
ปานฟ้ามองภาคินอย่างเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะค่ะ”
“ขับรถดีๆนะครับ ระวังตัวด้วย”
“ขอบคุณมากนะคะ...สำหรับเรื่องวันนี้”
ปานฟ้าขึ้นรถ หันมายิ้มให้อีกทีก่อนจะขับรถออกไป ภาคินยืนมองตาม ยิ้มอย่างมีความสุข

เช้าวันใหม่...ปานฟ้าลงบันไดมาอย่างรีบร้อน สายอุษาเดินเข้าด้านหนึ่งทักอย่างอ่อนโยน
“อ้าวยัยฟ้าจะรีบไปไหนลูก”
“จะรีบไปทำงานค่ะ”
“กินข้าวเช้าก่อนสิจ๊ะ”
“ไม่ล่ะคะ...ฟ้ารีบ คุณพ่อล่ะคะ”
“ก็เหมือนเดิมละลูก...แต่ไม่ต้องห่วงนะโรคหัวใจก็แบบนี้ล่ะ ตั้งแต่ทินภัทรหายไปคุณพ่อก็สามวันดีสี่วันหาย...ว่าแต่หนูมีปัญหาอะไรเรื่องงานหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่ใช่เรื่องงานค่ะแต่เป็นเรื่องทินภัทร”
สายอุษาตื่นเต้น
“ทำไม...หรือลูกได้ข่าวอะไร”
“ยังค่ะ...แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงฟ้าก็ต้องตามหลานกลับมาให้ได้”
ปานฟ้าหอมแก้มแม่ก่อนออกไป สายอุษามองตามอย่างมีความหวัง พิมแอบมองอยู่มุมหนึ่งชักเป็นกังวล

พิมรีบนำข้อมูลที่เธอแอบฟัง มาบอกกับปานดาวกับภูวดล
“ไม่มีทาง...ต่อให้มันพลิกแผ่นดินหา ก็ไม่มีทางเจอไอ้ทินภัทร” ปานดาวตวาดบอก
“แต่ท่าทางคุณปานฟ้า เธอเอาจริงเอาจังมากนะคะ”
ภูวดลหัวเราะเยาะ
“สาวสมัยใหม่ก็ดูไฟแรงแบบนี้ล่ะ...อีกไม่นานก็มอด ขนาดพ่อแม่มันยังถอดใจเลย”
พิมพยักหน้าเบาใจ หัวเราะออกมาได้
“นั่นสิ...สุดท้ายสมบัติ ก็ต้องตกเป็นของธัญวิทย์คนเดียวเท่านั้น”
ปานดาวหันขวับตวาดเสียงดัง
“คุณธัญวิทย์...”
พิมจ๋อยไป ปานดาวสำทับเสียงจริงจัง
“จำไว้นะนังพิม...อย่าได้ทำเป็นลืมตัวมาตีเสมอลูกชายของฉัน...ธัญวิทย์เป็นลูกชายของฉันกับคุณภูจำไว้ให้ขึ้นใจ แล้วแกก็จะสบายไปตลอดชาติ”
พิมก้มหน้ารับคำเหมือนเกรงมาก
“ค่ะคุณดาว”
ปานดาวเดินเชิดผ่านพิมไป พิมมองตามแค้นแต่พอสบตาภูวดลที่มองปรามมา พิมข่มใจสะบัดหน้าเดินไปอีกทาง ภูวดลลอบถอนใจโล่งอก

ปานดาวพยายามกล่อมธัญวิทย์ ให้ลุกจากที่นอน
“ไม่เอานะลูก...อาทิตย์นี้หยุดเรียนไปตั้งสามวันแล้วนะ”
ธัญวิทย์คว้าผ้าห่มคลุมโปง
“ก็ผมไม่ชอบเรียนหนังสือนี่แม่ก็”
ปานดาวดึงผ้าห่มออก ธัญวิทย์รีบเอามือปิดหู ปานดาวส่ายหน้ายิ้มอ่อนใจค่อยๆดึงมือลูกชายออก
“เอาอย่างนี้นะ ถ้าลูกยอมไปโรงเรียนแม่จะขึ้นค่าขนมให้”
ธัญวิทย์นิ่งคิด ปานดาวชูสองนิ้ว ธัญวิทย์ส่ายหน้า ชูสี่นิ้ว ปานดาวขำชูสามนิ้ว พูดขึงขัง
“สามร้อยบาทขาดตัว...ถ้าไม่เอาก็ตามใจ”
ปานดาวทำท่าจะลุก ธัญวิทย์รีบกระโดดกอด
“ก็ได้ฮ่ะแม่...สามร้อยก็สามร้อย แต่เทอมหน้าแม่ต้องขึ้นเป็นห้าร้อยนะ”
ปานดาวหัวเราะ เอ็นดูลูกชายมาก
“จ้า...ตัวแค่เนี่ยใช้เงินเก่งจังนะ”
“ก็เรารวยนี่ฮะแม่...แม่เป็นคนบอกผมเองว่าสมบัติคุณตาน่ะ ใช้อีกสิบชาติก็ไม่หมด”
ปานดาวหันมากอดธัญวิทย์
“รู้อย่างนี้แล้ว ลูกก็ต้องหมั่นคอยเข้าไปประจบคุณตาบ่อยๆสิ ลูกรู้มั้ย...”
ธัญวิทย์พยักหน้าเข้าใจ
“ฮ่ะแม่...”
ปานดาวหอมแก้มธัญวิทย์อย่างชื่นใจ

ขณะที่เด็กๆในมูลนิธิกำลังเรียนหนังสือ เฟื่องแก้วเดินดูแต่ละคนจนมาถึงบุญทิ้ง
“ไงบุญทิ้ง ทันเพื่อนๆคนอื่นมั้ย”
บุญทิ้งพยักหน้า
“ทันครับพี่แก้ว”
เฟื่องแก้วมองอย่างทึ่งๆ
“เคยเรียนหนังสือกับเขาด้วยเหรอ”
“ไม่ได้เรียนหรอกครับ แต่ผมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ที่ลุงพ่วงแกซื้อมา คำไหนอ่านไม่ได้ก็ถามพี่ๆที่อยู่ด้วยกัน พวกเขาเคยเรียนมาก็พอสอนผมได้นะครับ”
ภาคินเดินผ่านมาได้ยินพอดี
“ฮึ่ม...ไม่เลวนี่บุญทิ้ง แบบนี้ปีหน้าพี่จะส่งให้เธอเข้าเรียนพร้อมเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน”
บุญทิ้งดีใจมาก
“จริงๆเหรอครับ...ผมจะได้เรียนหนังสือเหรอครับ”
ภาคินเข้ามาลูบหัว
“จริงสิ...ความรู้เป็นสิ่งสำคัญมาก เคยได้ยินมั้ยรู้อะไรก็ไม่สู้รู้วิชา”
บุญทิ้งต่อเสียงแจ๋ว
“รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”
ภาคินกับเฟื่องแก้วมองหน้ากัน แล้วหัวเราะชอบใจ
“เก่งมากบุญทิ้ง รู้มั้ยเด็กๆที่นี่ทุกคนจะได้เข้าเรียนเมื่อถึงเวลา แต่ใครที่อายุยังไม่ถึงพี่แก้วก็จะเป็นคนสอนเบื้องต้นให้”
บุญทิ้งยิ้มอย่างดีใจมาก
“ถ้าได้เข้าเรียนจริงๆ ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเลยครับพี่ภาคิน”
ภาคินพยักหน้า หันไปยิ้มกับเฟื่องแก้ว แล้วหันมามองบุญทิ้งอย่างเอ็นดู

ภาคินกำลังนั่งดูแฟ้มบนโต๊ะ เฟื่องแก้ววางแก้วกาแฟให้ ภาคินเงยหน้ามอง
“ขอบใจ...”
“คุณภาคินดูอะไรคะ ให้แก้วช่วยอะไรมั้ย”
“กำลังดูแฟ้มประวัติของบุญทิ้งที่หมวดตุลย์เขาให้มานะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่อ่านดูอีกทีจากคำให้การของนายพ่วง ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กที่หน้าตาน่ารัก แถมฉลาดอย่างบุญทิ้งจะถูกพ่อแม่ เอามาทิ้งไว้ที่กองขยะอย่างที่นายพ่วงบอก”
“นั่นสิคะ...แต่นายพ่วงก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องโกหกนี่คะ”
“ก็ถูกนะ...เพราะเด็กคนอื่นๆนายพ่วงก็สารภาพความจริงทั้งหมด เฮ้อ...ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”
เฟื่องแก้วยิ้ม กำลังจะออกไปแต่เหลือบมองไปเห็นแผลของเขาเข้า เฟื่องแก้วตกใจ รีบเดินเข้ามาจนชิด
“ตายแล้วคุณภาคิน ไปโดนอะไรมาคะ”
ภาคินมองที่แผลพูดเรียบๆ
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกแก้ว”
เฟื่องแก้วจับที่แขน ท่าทางห่วงมาก
“ไม่หน่อยนะคะ ถึงกับเลือดตกยางออกอย่างนี้”
ภาคินดึงมือเฟื่องแก้วออก แต่เธอไม่ยอมจะดูแผลให้ ได้เลยกลายเป็นเขาจับมือเธออยู่ ภาคินมองข้ามไหล่เฟื่องแก้วไป เห็นปานฟ้ายืนมองอยู่หน้าห้อง ก็ตกใจ
“คุณปานฟ้า...”
ปานฟ้ายืนมองอยู่นิ่งๆ อย่างคาดไม่ถึง ได้สติรีบพูดตะกุกตะกัก
“ขอโทษนะคะ...เห็นประตูไม่ได้ปิดฉันเลยไม่ได้เคาะ”
เฟื่องแก้วถอยออกมา ยิ้มให้ปานฟ้าแล้ว หันไปมองเห็นภาคิดที่มีหน้าตาตกใจก็มองอย่างแปลกใจ
ปานฟ้าเดินเร็วๆมาที่รถ ภาคินเดินตามมาติดๆ
“ทำไมคุณฟ้าจะรีบกลับละครับ”
ปานฟ้าไม่หยุดเดิน พูดห้วนๆ
“ก็ฉันบอกเรื่องที่ห้างฉันจัดประกวดวาดรูปแล้วนี่คะ ถ้าคุณสนใจก็เชิญพาเด็กๆไปได้”
“แต่เมื่อวานคุณบอก มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือผมนี่ครับ
“ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะคะ...เห็นคุณยุ่งๆอยู่ฉันกลับก่อนคงจะดีกว่า”
สองคนมาถึงรถ ปานฟ้าจับประตูรถ ภาคินจับมือเธอไว้ไม่ให้เปิด ปานฟ้าชะงักรีบดึงมือกลับ ท่าทางถือตัวมาก ภาคินรีบพูด
“ขอโทษครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่...”
ตุลย์เข้ามาขัดจังหวะ
“สวัสดีคุณภาคิน...อ้าวคุณนะเองมาทำบุญใหม่เหรอครับ”
ปานฟ้างงแต่แล้วก็จำเขาได้
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับคุณ...”
“ปานฟ้าค่ะ”
ตุลย์ก้มหัวให้
“สวัสดีครับผมตุลย์...มีอะไรจะให้รับใช้ก็เชิญได้ทุกเวลานะครับ” ตุลย์หันไปทางภาคิน “คุณภาคิน...ผมขออนุญาตพาคุณแก้วไปทานข้าวกลางวันน่ะ หวังว่าคุณคงไม่ว่าอะไรถ้าจะออกก่อนเวลาสักหน่อย”
ภาคินยิ้ม
“เชิญตามสบายเลยหมวด”
ตุลย์ยิ้มหน้าบาน หันไปก้มหัวให้ปานฟ้าอีกที
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ปานฟ้ารับคำงงๆ
“ค่ะ”
ภาคินได้โอกาสจึงรีบพูด
“หมวดตุลย์น่ะเขาชอบแก้วอยู่ ส่วนแก้วผมก็ยังไม่เห็นมีใคร ไม่แน่นะผมว่าคู่นี้อาจจะลงเอยกันเร็วๆนี้ก็ได้ ถ้าหมวดตุลย์เขาหมั่นมาทุกวันแบบนี้”
ปานฟ้าท่าทางเก้อๆ ภาคินแกล้งจงใจถาม
“หรือคุณฟ้าว่ายังไงครับ”
“ไม่ทราบค่ะ...ฉันหิวข้าวแล้วตั้งแต่เช้ายังไม่ทานข้าวเลย”
ปานฟ้าเดินไปเปิดประตูรถ ภาคินทำเสียงอ่อย
“ผมก็ยังไม่ทานเหมือนกัน ใจคอคุณฟ้าจะไม่ชวนผมสักคำเลยเหรอครับ”
ปานฟ้าขึ้นรถนั่งเฉย ภาคินจ๋อยไป สักครู่เธอก็กดกระจกลงพูดหน้าตาเฉย
“ไหนว่าหิวไงคะ ทำไมยังไม่ขึ้นรถอีกล่ะ”
ภาคินยิ้มดีใจรีบเปิดประตูรถขึ้นไปอย่างว่องไว ปานฟ้าขับรถออกไปทันที

เฟื่องแก้วเดินออกมากับตุลย์ เธอเพ่งมองท้ายรถปานฟ้าที่ออกไปจากมูลนิธิไม่ค่อยพอใจ
“เอ๊ะ...คุณภาคินกับคุณปานฟ้าเขาไปไหนกัน”
ตุยล์มองตามพูดขำๆ
“ก็คงไปกินข้าวนะสิครับ...เราก็ไปกันเถอะ”
เฟื่องแก้วหยุดเดิน
“ไหนเมื่อกี้หมวดบอกว่า จะชวนคุณภาคินไปด้วยกันไงคะ”
ตุลย์อึกอัก
“ก็...ก็คิดไว้อย่างนั้น แต่ตอนนี้จะชวนยังไงละครับ ก็คุณภาคินไปกับคุณปานฟ้าคนสวยแล้วนี่”
เฟื่องแก้วฉุนมากหันกลับ ตุลย์งงรีบวิ่งมาขวาง
“อ้าว...คุณแก้วจะไปไหน รถผมจอดอยู่ตรงโน่น”
“ฉันไม่หิว...ฉันไม่ไปแล้วค่ะ...หลีกทางด้วยคะหมวด”
ตุลย์งงๆ เฟื่องแก้วเดินชนไหล่ตุลย์เข้าไปในมูลนิธิอย่างอารมณ์เสีย ตุลย์มองอย่างไม่เข้าใจ

ปานฟ้าขับรถมาจอดริมถนน ทั้งสองลงมาจากรถ ปานฟ้ามองรอบๆอย่างแปลกใจ
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ”
ภาคินยิ้มมีเลศนัย
“ก็พามาหาอะไรทานนะสิครับ”
ปานฟ้ายกมือป้องแดดมองหาร้านแล้วหันกลับมา
“ไหนละคะร้านอาหาร...ไม่เห็นมีสักร้านเลย”
“ของอร่อยมันก็ต้องหายากหน่อย ไปกันเถอะครับ”
ภาคินพาปานฟ้าออกเดินลัดเลาะลงข้างทางไป ปานฟ้าตามไปอย่างงงๆ...ภาคินพาปานฟ้าเดินมาถึงสะพานไม้ข้ามคลองเล็กๆ เขาหยุดเดินหันไปมอง
“ผมลืมไปคุณจะข้ามได้มั้ยเนี่ย"
ปานฟ้าท่าทางขึงขัง
“ทำไมคะ...ทำไมฉันจะข้ามไม่ได้ คนอื่นเขายังข้ามได้ ฉันก็ต้องข้ามได้สิ”
ภาคินยิ้มๆมองที่รองเท้าส้นแหลมสูงของปานฟ้าแล้วส่ายหน้า
“เอาอย่างนี้คุณจับแขนผมแล้วกัน จะได้ช่วยพยุงให้คุณทรงตัวได้”
ปานฟ้ายิ้มอวดดี
“นี่คุณภาคินเจ้าคะ...ฉันน่ะไม่ใช่คุณหนู หรือไฮโซมาจากไหน เดินแค่นี้ฉันเดินได้สบายมาก ไม่เชื่อคุณก็คอยดู”
ปานฟ้าก้าวฉับๆข้ามสะพานไปอย่างมั่นใจ ส้นรองเท้าทิ่มลงไปตรงช่องระหว่างไม้
ปานฟ้าเสียหลัก
“ว๊าย...”
ภาคินพุ่งเข้ารับร่างของเธอไว้ได้ทัน ปานฟ้าตกใจตาต่อตาสบกันในระยะประชิด ภาคินทำเสียงดุใส่
“คนดื้อ...เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
ปานฟ้าทรงตัวได้ยิ้มเจื่อนๆ
“ขอบคุณค่ะ...”
ภาคินยกแขนขึ้นเป็นเชิงให้เกาะ คราวนี้ปานฟ้าเกาะโดยไม่ลังเล ภาคินขำ ปานฟ้าแอบค้อน สองคนพากันข้ามสะพานไป ตรงไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือริมคลอง เข้าไปนั่งลงที่โต๊ะริมคลอง เธอมองอย่างพอใจ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า จะมีร้ายก๋วยเตี๋ยวเรือ ท่าทางน่าอร่อยซ่อนอยู่ในนี้”
ภาคินซ่อนยิ้ม
“ครับ...ผมรับรองว่าเชลล์ยังต้องขอมาชิม”
ปานฟ้าอมยิ้ม
“ฉันไม่ยักรู้ว่าคุณ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารการกิน”
ภาคินเก้อ ปานฟ้าถามต่อ
“ฉันจะสั่งได้หรือยังคะ”
ภาคินรีบยกมือเรียกเด็ก
“น้อง...”
ปานฟ้ารีบบอก
“ฉันขอเส้นเล็ก ไม่ใส่ถั่วงอก ไม่ใส่เครื่องในนะคะ อ๋อแล้วก็ไม่ใส่น้ำตกด้วย”
ภาคินแปลกใจ
“คุณทานเหมือนผมเลย”
เด็กในร้านเดินมาวางน้ำแข็งเปล่าให้ ปานฟ้ารีบหยิบมาดูดเพราะหิวน้ำมาก ภาคินสั่งอย่างรวดเร็ว
“เล็ก ไม่งอก ไม่ใน ไม่ตก หกชาม”
ปานฟ้าสำลักน้ำ ภาคินตกใจรีบหยิบทิชชูตรงหน้ายื่นให้
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณสั่งมาให้ใครคะตั้งหกชาม ฉันน่ะชามเดียวก็เหลือแล้ว”
ภาคินยิ้มๆไม่ตอบ ปานฟ้าพูดจริงจัง
“ใครสั่งมาต้องรับผิดชอบด้วย...”
ภาคินยิ้มๆ มองบรรยากาศรอบๆร้านอย่างสบายใจ

วิมลวรรณชะงักช้อน ที่กำลังตักข้าวเข้าปาก เงยมองก้องภพที่เดินแกว่งกุญแจรถเข้ามานั่ง
“แหม...ลงมาได้เวลาอาหารกลางวันเชียวนะลูกชายฉัน”
ก้องภพหัวเราะหันไปทางป้านุ่ม
“เอาแต่กาแฟนะ...ฉันยังไม่หิว”
“ค่ะ...”
ป้านุ่มเดินออกไปจากห้องอาหาร ก้องภพแบมือมาตรงหน้าวิมลวรรณ
“ขอสามหมื่นสิครับแม่”
วิมลวรรณตีมือลูกชายพูดห้วนๆ
“แม่ไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มนะจ๊ะ”
“น่าแม่ก็...จะตกปลาตัวใหญ่ ก็ต้องใช้เหยื่อล่อดีๆหน่อยสิครับ”
วิมลวรรณหยุดกินถามอย่างสนใจ
“ตกลงแกเจอหนูปานฟ้าแล้วหรือยัง”
“เจอแล้วแม่...โอโหแม่รู้มั้ยฟ้านะยิ่งโตยิ่งสวย เวลาอยู่ใกล้ๆผมแทบอดใจไว้ไม่ไหว”
“ก็ไม่ต้องอดซี้...รวบหัวรวบหางเสียเลย ถ้าแกขืนชักช้าระวังเถอะ ไอ้หนุ่มหน้าไหนมันจะมาคว้าหนูปานฟ้าไปซะก่อน ทั้งสวยทั้งรวยหาได้ง่ายๆที่ไหนล่ะ”
“ใครกล้ามาแตะของๆผมล่ะก็ ผมไม่เอามันไว้แน่แม่”
ก้องภพหน้าตาเอาเรื่องจริงๆอย่างที่พูด

บนโต๊ะมีชามก๋วยเตี๋ยวชามเล็กๆ ซ้อนกันอยู่สี่ชาม ภาคินกำลังกินก๋วยเตี๋ยวชะงักแอบมองดูปานฟ้าที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ปานฟ้าวางช้อนกับตะเกียบ ยกมือพัดปากประมาณเผ็ดมาก รีบหยิบน้ำมาดูด ภาคินขำๆ
“ไหนใครบอกว่าชามเดียวก็เหลือ”
ปานฟ้าดูดน้ำเสร็จ ยิ้มร่าเริงพูดแบบไม่ยอมจนมุมง่ายๆ
“เหลือแต่ชามไงคะ...ฉันยังพูดไม่จบต่างหาก”
ภาคินส่ายหน้าอ่อนใจ
“อิ่มมั้ยครับต่ออีกมั้ย”
“ไม่ไหวแล้วค่ะ...”
ภาคินเรียกเด็กมาเก็บเงิน ปานฟ้ารีบเปิดกระเป๋าสะพายหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมาเปิดหยิบแบงค์พันมาถือไว้
“ฉันจ่ายเองค่ะ...ฉันอยากเลี้ยงตอบแทนคุณ”
เด็กเข้ามาบอก
“หกสิบบาทพี่”
ปานฟ้าตาโต
“อะไรนะ...ชามละสิบบาทเองเหรอจ๊ะ”
ภาคินหยิบกระเป๋า ดึงแบงค์ย่อยมาจ่ายให้พอดีราคาและตอบแทนเด็กไปด้วย
“ครับ...น้ำแข็งเปล่าฟรีแล้วก็ไม่มีเซอร์วิสชาร์จด้วย”
ปานฟ้ารีบห้ามเด็ก
“น้องคะเอานี่ค่ะ วันนี้ฉันจะเลี้ยง”
เด็กส่ายหน้า
“ไม่มีทอนหรอกพี่”
ปานฟ้าจ๋อย ภาคินมองยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ผมจะถือว่าคุณยังติดเลี้ยงข้าวผมอยู่มื้อหนึ่งก็แล้วกัน”
ปานฟ้ายิ้มออกมาได้ ภาคินเดินไปขยับเก้าอี้ให้เธอลุกขึ้นอย่างสุภาพ ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงระนาดดังแว่วมา ภาคินหันไปถามเด็กอย่างแปลกใจ
“เสียงอะไรนะน้อง”
“อ๋อ...ลิเกท้ายตลาดนี่เองพี่”
ปานฟ้าสนใจ
“ลิเก...”
ภาคินมองขำๆ
“ผมทายได้เลยว่าคุณคงไม่เคยดูลิเก”
ปานฟ้าตื่นเต้น
“ค่ะ...แวะไปดูกันหน่อยได้มั้ยคะฉันอยากเห็นจัง”

ที่โรงลิเกท้ายตลาด ภาคินกับปานฟ้าเห็นกัญญา กำลังรำและร้องลิเกอยู่ มีคนดูไม่มากนัก
“หัวอกแม่แทบจะขาดเมื่อคิดถึงเจ้า แม่เคยเฝ้าอุ้มชูอยู่เช้าค่ำ แต่คนชั่วมาพรากไปให้ระกำ แม่ชอกช้ำอกกลัดหนองต้องตรอมตรม”
ระนาดตีรับ กัญญารำสวยงามทำท่าโศกเศร้า ปานฟ้าดูแล้วตื่นเต้นมาก
“เข้าไปดูใกล้อีกหน่อยได้มั้ยคะ”
ภาคินพยักหน้าเดินเข้าไป กัญญากำลังทำท่าร้องไห้เงยขึ้นมาชะงัก เมื่อเห็นภาคินเดินเข้ามากับปานฟ้า กัญญาตะลึงน้ำตาคลอ แล้วรีบเล่นต่อ
“ลูกแม่...” กัญญาพูดไปตาก็มองภาคินไป “แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน...เวรกรรมอะไรหนอที่ทำให้เราแม่ลูกต้องพลัดพรากจากกัน ลูกจ๋า...แม่...”
กัญญาพูดไม่ออก น้ำตาไหลรินลงมา คนดูชอบใจ ถมมองอย่างแปลกใจพึมพำเบาๆ
“ในบทมันมีด้วยเหรอวะ”
กัญญาฝืนใจเล่นต่อ
“แม่...คิดถึงลูกเหลือเกิน”
กัญญาลุกขึ้นรำหายเข้าไปข้างเวที คนดูตบมือกันใหญ่ ปานฟ้าตื่นเต้น
“โอโห...เขาเล่นเก่งจังนะคะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบจากภาคิน เธอหันมามองเห็น เขาหน้าเศร้ามากก็ตกใจ
“คุณภาคิน...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ภาคินกระพริบตาถี่ๆ
“เปล่าครับ...ผมว่าเราไปกันเถอะ”
ภาคินไม่รอคำตอบเดินผละไป ปานฟ้างงๆ แต่ก็ตามเขาไป กัญญาแอบมองลูกชายอยู่ข้างเวทีอย่างสะเทือนใจมาก น้ำตาของเธอค่อยๆไหลลงมาก่อนจะพึมพำเบาๆ
“ลูกแม่...”
กัญญาเดินมาพักเห็นช้อยกำลังโวยวายกับถม
“พี่ถมก็คอยแต่ให้ท้ายนังกัญญามันอยู่อย่างนี้”
“ให้ท้ายอะไรเล่า นี่ช้อย...แล้วเรียกแม่กัญญาเขาให้มันดีๆหน่อย”
“ทำไม...ก็มันชอบเล่นนอกบท เก่งนักเรื่องขโมยซีนให้คนดูเห็นใจมันน่ะ แบบนี้ฉันก็แย่สิ”
กัญญารีบเข้ามาพูดเสียงอ่อน
“ฉันขอโทษนะช้อย...เมื่อกี้มันอินไปหน่อย ก็เลยเผลอพูดนอกบทไป”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกกัญญา ถึงตอนซ้อมจะไม่มี แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องมันเสียไปนี่นา ตรงข้ามคนดูกลับชอบใจกันใหญ่”
ช้อยแค้น
“อุ๊ย...ทำอะไรก็ดีไปหมด ไม่อยากจะเป็นแล้วโว้ยนังโอ่งนังเอกเนี่ย”
ช้อยสะบัดออกไป กัญญาอึ้งได้แต่หันมามองถม
“ฉันขอโทษจริงๆนะจ๊ะพี่ถม”
“อย่าคิดมากนะ...ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นอะไรนะ”
“พี่ถมอย่าเข้าข้างฉันเลย ผิดก็ต้องว่าตามผิดฉันเข้าใจจ้ะ”
“แต่...”
กัญญารีบพูดขัดขึ้น
“พี่ถมอย่าทำอย่างนี้เลย ยิ่งพี่ดีกับฉันมาก ฉันก็ยิ่งทำตัวลำบาก พี่ปฏิบัติกับฉันเหมือนคนอื่นๆในคณะเถอะนะ ผิดก็ต้องว่าตามผิด”
“ทำไมพูดแบบนี้ละแม่กัญญา แม่กัญญาก็รู้ว่าใจฉันคิดยังไง”
“ฉันรู้จ้ะแต่พี่ก็คงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้...ขอร้องล่ะคิดว่าฉันเป็นน้องเป็นนุ่งคนหนึ่งก็แล้วกันนะ อย่าให้ฉันต้องลำบากใจไปมากกว่านี้เลย”

กัญญาเดินผ่านไป นั่งลบเครื่องสำอางออก ถมยืนอึ้งมองตาม ถอนใจหนักหน่วง

อ่านต่อหน้า 3





ดุจดาวดิน ตอนที่ 2 (ต่อ)

ปานฟ้ากำลังขับรถมาเรื่อยๆ จังหวะหนึ่งเธอหันมามองภาคินที่เงียบขรึมไป

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ว่าแต่เรื่องที่เราคุยค้างกันไว้เมื่อวาน”
“อ๋อ...คืออย่างนี้ค่ะ...ฉันกำลังตามหาหลานชายที่หายไป”
ภาคินหันมาสนใจ
“หลานชาย”
“ค่ะ...เป็นลูกชายของพี่ปานเดือนชื่อทินภัทร...”

เฟื่องแก้วเดินมาถึงหน้าห้องภาคิน มองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ลังเลก่อนยกมือจะเคาะประตูแต่ยกค้างเพราะเสียงบุญทิ้งดังมา
“พี่ภาคินยังไม่กลับเข้ามาเลยครับ”
เฟื่องแก้วหันไปมองเห็นบุญทิ้งหอบกล่องดินสอ กล่องสีหลายกล่องพร้อมกระดาษวาดรูปยืนอยู่
“แล้วนี่จะเอาอุปกรณ์วาดรูปไปไหนน่ะ หอบเป็นบ้าหอบฟางเชียว เดี๋ยวก็ตกเลอะเทอะหมดหรอก ซนเหมือนกันนะเรา” เฟื่องแก้วถามอย่างหงุดหงิด
“ผมเปล่าซนนะครับ แค่จะเอาไปให้เพื่อนๆ ลองฝึกวาดกันก่อนวันจริงนะครับพี่แก้ว”
เฟื่องแก้วงงๆ
“ฝึกทำไมกัน พูดยังกับว่าจะไปประกวดที่ไหนกันอย่างนั้นแหละ”
“อ้าวนี่พี่แก้วไม่รู้เรื่องเหรอครับ ก็พี่ภาคินจะพาพวกเราไปวาดรูปประกวดที่ห้างสรรพสินค้าของพี่ฟ้าไงครับ”
เฟื่องแก้วพยักหน้าเข้าใจพึมพำ น้ำเสียงดีขึ้น
“อ๋อ...ที่แท้คุณภาคินไปกับคุณปานฟ้าเรื่องนี้เอง โธ่เอ๊ย...คิดมากไปได้”
เฟื่องแก้วขำตัวเอง หันมาลูบหัวบุญทิ้งอย่างอารมณ์ดี
“มา...ให้พี่ช่วยนะจ๊ะ...เอ๋ว่าแต่จะวาดรูปอะไรกันดีล่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ช่วยคิดก็แล้วกัน”
เฟื่องแก้วดึงของในมือบุญทิ้งไปช่วยถือยิ้มแย้ม บุญทิ้งมองแล้วเกาหัวตัวเองอย่างงงๆ

รถก้องภพกำลังจอดติดไฟแดง วิมลวรรณบ่นอย่างหงุดหงิด
“มันจะติดอะไรกันนักกันหนานะ เดี๋ยวก็ไปประชุมไม่ทันกันพอดี”
“ที่จริงคุณแม่น่าจะใช้รถที่บ้านนะครับ ไม่น่าให้ผมขับมาให้เลย เซ็งชะมัด”
“แหมตาภพ...เวลาขอเงินแม่ไม่เห็นบ่นแบบนี้เลย”
ก้องภพหัวเราะขำ แล้วก็หัวเราะค้างเมื่อเห็นรถปานฟ้าขับผ่านมาจากอีกฝั่ง ปานฟ้ากำลังคุยกับภาคิน สองคนหัวเราะกัน ก้องภพตาเหลือกตกใจมาก
“มองอะไรลูก...”
ก้องภพหันกลับมาหงุดหงิด
“ปานฟ้าครับแม่...ทำไมถึงมากับไอ้ภาคินได้”
วิมลวรรณตกใจ
“ฮ้า...ลูกมองผิดหรือเปล่า มันจะเป็นไปได้ยังไง”
“แต่มันเป็นไปแล้วนี่แม่...โธ่เว้ย”
ก้องภพหงุดหงิดจนเผลอตบลงไปที่แตรรถเสียงดังลั่นขึ้นมา แท็กซี่คันหน้าโมโหลงมาโวย
“รถมันติดไฟแดงไม่เห็นเหรอไอ้โง่ บีบทำไมว่ะ”
ก้องภพฉุนมาก กดแตรซ้ำเปิดกระจกตะโกนกวนสุดๆ
“รถฉันฉันจะกดแกจะทำไม”
“อ้าวพูดหมาๆแบบนี้ แน่จริงลงเลยสิไอ้หนู”
ก้องภพทำท่าจะลงไป วิมลวรรณต้องทั้งดึงทั้งห้ามชุลมุนวุ่นวาย
“ไม่เอานะตาภพ นั่นไฟเขียวแล้วไปเถอะลูก อย่าเอาทองไปลู่กระเบื้องเลย...ไปสิก้องภพแม่บอกให้ออกรถไงล่ะ”
ก้องภพเหยียดยิ้มกวนสุดๆ ก่อนจะหักรถออกไปอีกทาง ปล่อยให้แท็กซี่ตะโกนด่าลั่นถนน

รถปานฟ้ามาจอดที่หน้ามูลนิธิ ภาคินลงมาแล้วเดินอ้อมด้านคนขับ ปานฟ้ากดกระจกลง
“ผมจะลองประสานกับตำรวจให้ คิดว่าหมวดตุลย์น่าจะช่วยได้เยอะ”
“ขอบคุณมากนะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“อย่าลืมพาเด็กๆไปร่วมกิจกรรมนะคะ”
“ครับ...กิจกรรมดีๆแบบนี้ผมไม่ลืมแน่...ขับรถดีๆนะครับ”
ปานฟ้ายิ้มก่อนจะออกรถไป ภาคินมองตามจนรถปานฟ้าลับไป จึงเดินเข้าไปในมูลนิธิไป

ภาคินเห็นเฟื่องแก้วกำลังดูแลบุญทิ้งและเด็กๆวาดรูป ท่าทางเด็กๆมีความสุข ภาคินมองอย่างพอใจ บุญทิ้งเงยหน้าจากรูปที่กำลังวาดหันไปทักภาคิน
“พี่ภาคินกลับมาแล้วเหรอครับ”
เฟื่องแก้วรีบหันไปมองแล้วลุกขึ้นอย่างดีใจ
“คุณภาคิน...”
“เด็กๆวาดรูปเป็นยังไงบ้างแก้ว”
“ก็วาดใช้ได้กันทุกคนนะคะ...แต่มีอยู่คนหนึ่งวาดได้ดีมากเลยค่ะขนาดที่แก้วคิดว่า ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งก็ต้องที่สองละคะ”
ภาคินแปลกใจ
“ขนาดนั้นเชียว...ใครกันน้า”
เฟื่องแก้วเดินไปที่บุญทิ้งๆยิ้มๆ ภาคินเดินไปดูจับหัวบุญทิ้งโยก
“เรานะเหรอไอ้หนูไหนดูสิ...พี่แก้วเค้าพูดเกินความจริงหรือเปล่า”
ภาคินเห็นรูปที่บุญทิ้งกำลังระบายสี เป็นรูปแม่กำลังกอดลูก มีตัวหนังสือโย้เย้เขียนไว้ใต้ภาพ
“ไม่มีอ้อมกอดไหน จะอบอุ่นเท่าอ้อมกอดของแม่”
ภาคินอึ้งนิ่งไป

ภาคินหยิบรูปในกระเป๋าเงินซึ่งเป็นรูปตอนเด็ก ในรูปเขากำลังยิ้มอยู่ในอ้อมกอดของแม่แต่กัญญาหันหลังไม่เห็นหน้า เขานั่งมองอย่างเศร้ามาก พึมพำเบาๆ
“แม่ครับ...ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป แต่ผมอยากเจอแม่เหลือเกิน”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น กัญญาอยู่ในห้องพักเล็กๆ กำลังมองรูปภาคินที่ได้มาจากป้านุ่ม กัญญาเช็ดน้ำตา
“ลูกแม่...”
เสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงเรียกของคนในคณะดังขึ้น
“แม่กัญญากินข้าว...”
กัญญารีบเก็บรูปลูกชายลงกล่องขนมปังเก่าๆซ่อนไว้ใต้ตู้เสื้อผ้า ก่อนจะตะโกนบอกไป
“จ้ะ...ไปเดี๋ยวนี้แหละจ๊ะ”

ปานฟ้ายืนมองป้ายกระดาษประชาสัมพันธ์ เชิญชวนเด็กๆ มาร่วมกิจกรรมวาดรูป ตั้งอยู่ ใกล้ๆ บันไดเลื่อนภายในห้างสรรพสินค้า เธอพยักหน้าพอใจหันมาคุยกับพนักงานที่ยืนรออยู่ข้างหลัง
“ใช้ได้...มีทุกชั้นหรือเปล่า”
“ค่ะ...เราติดในลิฟต์ทุกตัวด้วยค่ะคุณปานฟ้า”
“ดีจ้ะ...แล้วเรื่องสถานที่ตกลงจัดชั้นสองใช่มั้ย”
“ค่ะ”
ปานฟ้าพอใจเดินตรวจงานไปพร้อมกับพนักงาน กนั้นได้เดินกลับมาที่ห้องทำงาน เลขาหน้าห้องรีบลุกขึ้นบอก
“คุณปานฟ้าคะ มีแขกมารอพบอยู่ในห้องค่ะ”
ปานฟ้าแปลกใจ
“ใคร...”
“คุณก้องภพค่ะ”
ปานฟ้าถอนใจเบื่อๆ
“เธอไม่ได้บอกเขาเหรอว่าฉันไม่ว่าง เธอก็รู้นี่ว่าอีกสิบห้านาทีฉันต้องเข้าประชุม”
เลขาหน้าเสีย
“ดิฉันบอกแล้วค่ะ แต่คุณก้องภพบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก ต้องคุยกับคุณปานฟ้าให้ได้ค่ะ ดิฉันก็...”
ปานฟ้าตัดบท
“เอาล่ะ...ฉันเข้าใจแล้ว”
ปานฟ้าเปิดประตูเข้าไปอย่างข่มใจเต็มที่ ก้องภพหมุนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานปานฟ้าหันมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด ปานฟ้าฝืนยิ้มตามมารยาท
“มีอะไรด่วนกับฉันเหรอคะภพ เดี๋ยวฉันต้องเข้าประชุม”
ก้องภพลุกขึ้นถามห้วนๆ
“เมื่อตอนบ่ายคุณไปไหนมา ปานฟ้าชะงัก ก่อนจะหัวเราะเหมือนขำทั้งๆที่หน้าเรียบเฉยมาก
“อ๋อ...เพิ่งรู้ว่าฉันจะไปไหนมาไหน ต้องรายงานคุณด้วยเหรอคะ”
ก้องภพไม่สน เสียงแข็งกว่าเดิม
“ถ้าคุณไปกับคนอื่นผมไม่ว่า แต่นี่คุณไปกับไอ้ภาคิน...”
ปานฟ้าไม่พอใจ
“กรุณาสุภาพหน่อยค่ะก้องภพ คุณภาคินเขาเป็นพี่คุณนะ”
“ผมไม่เคยนับญาติกับมัน”
เสียงโทรศัพท์มือถือปานฟ้าดังขัดจังหวะ ปานฟ้าดูเบอร์แล้วรีบรับ
“ค่ะพี่รุทธิ์...อะไรนะคะ ค่ะฟ้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ปานฟ้าวิ่งไปที่โต๊ะคว้ากระเป๋า จะวิ่งออกจากห้อง ก้องภพเข้ามาขวาง
“เดี๋ยวสิฟ้า...เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
ปานฟ้าจ้องก้องภพเสียงจริงจังมาก
“สำหรับฉันตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าพี่เดือนแล้วค่ะ”
ปานฟ้าวิ่งออกไป ทิ้งให้ก้องภพหันรีหันขวางอย่างฉุนมาก สุดท้ายเดินไปกวาดนิตยสารบนโต๊ะรับแขกตกกระจายเกลื่อน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งอย่างหงุดหงิด
“โธ่เว้ย...”

ปานฟ้าวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างรีบร้อน ตรงมาที่สายอุษา อนิรุทธิ์ที่รออยู่อย่างกระวนกระวาย ป้าแก้วนั่งหน้าซีดอยู่มุมหนึ่ง
ปานฟ้าจับมือสายอุษาหน้าซีดเผือดน้ำเสียงร้อนรน
“จะทำยังไงดียัยฟ้า...โธ่แม่เดือนของแม่”
“ใจดีๆไว้นะคะคุณแม่ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นคะ”
สายอุษาหันไปมองอนิรุทธิ์ ที่ร้อนใจไม่แพ้กันเป็นเชิงให้เล่า
“พี่ก็เพิ่งกลับมาครับ ป้าแก้วแกอยู่กับคุณเดือนเป็นคนสุดท้าย บอกว่าเห็นคุณเดือนหลับ แกก็เลยออกไปเข้าห้องน้ำ พอกลับเข้ามาก็ไม่เห็นคุณเดือนแล้ว”
ปานฟ้าหันไปมองป้าแก้ว
“ทีแรกป้าก็เข้าใจว่าเธอลงมาเดินเล่นค่ะ แต่หาจนทั่วแล้วก็ไม่มี” ป้าแก้วทำท่าจะร้องไห้ “ป้าขอโทษค่ะ...ขอโทษจริงๆที่ดูแลคุณเดือนไม่ดี ทั้งๆที่คุณๆก็สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ทิ้งเธอไปไหน”
“ช่างเถอะป้า ไม่ใช่ความผิดของป้าหรอก”
ปานดาวรีบแทรกอย่างหมั่นไส้
“ทำไมจะไม่ผิด...ผิดมากเชียวแหละแบบนี้มันสมควรไล่ออก”
ป้าแก้วสะดุ้ง หน้าซีด
“ป้าแก้วแกเป็นแค่คนใช้ แต่แกก็คอยดูแลพี่เดือนมาตลอด ตั้งแต่พี่เดือนไม่สบาย แล้วพี่ดาวละคะ พี่ดาวเป็นพี่แท้ๆวันๆฟ้าก็ไม่เห็นพี่ทำอะไร ทำไมไม่เคยมาช่วยดูแลพี่เดือนบ้าง ถ้าพี่ดาวสนใจใส่ใจพี่เดือนบ้าง พี่เดือนก็คงไม่หายไปหรอกค่ะ”
ปานเดือนโต้อย่างเหลืออด ปานดาวโมโหพูดเสียงดัง
“เอ๊ะ...ยัยฟ้านี่เธอว่าฉันเหรอ”
“ฟ้าไม่ได้ว่าแต่ฟ้าพูดความจริง พี่เดือนไม่สบายขนาดนี้ ฟ้าไม่เคยเห็นพี่ดาวจะรู้สึกรู้สมอะไร ดีแต่คอยพูดย้ำแต่ว่าพี่เดือนเป็นบ้า”
“ก็แล้วมันบ้าจริงมั้ยล่ะ”
สายอุษาทนไม่ไหว
“พอ...พอทีเถอะ ยัยดาวถ้าลูกไม่ห่วงน้อง ก็กลับเข้าห้องตัวเองไปซะ ส่วนฟ้ากับพ่อรุทธิ์ก็รีบช่วยกันออกตามหายัยเดือนเถอะ อย่ามัวแต่เถียงกันอยู่เลย”
“แล้วนี่คุณพ่อว่ายังไงคะ”
“แม่ไม่ได้บอกเพราะคุณพ่อหลับอยู่...แม่กลัวโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาอีก”
“ดีแล้วค่ะ...ถ้าอย่างนั้น อย่าให้คุณพ่อรู้ว่าพี่เดือนหายไป”
ปานฟ้าหันไปทางอนิรุทธิ์
“แยกกันไปแล้วกันนะคะพี่รุทธิ์...ถ้าใครได้เรื่องยังไงส่งข่าวด้วย”
“ครับ...”
ปานฟ้ากับอนิรุทธิ์ พากันวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน สายอุษาถอยไปทรุดนั่งอย่างหมดแรง
ปานดาวบ่นต่อ...
“คุณแม่คะ...ยัยฟ้าชักจะเอาใหญ่แล้วนะคะ พูดจากับดาวไม่มีความเกรงอกเกรงใจ คุณแม่ต้องจัดการให้ดาวนะคะ”
สายอุษามองหน้าปานดาวนิ่งๆ ก่อนจะพูดเรียบๆ
“เวลานี้แม่ไม่อยากฟังเรื่องอะไรทั้งนั้น แก้วพาฉันขึ้นข้างบนที”
ป้าแก้วลุกเข้ามาประคองสายอุษาพาขึ้นบันไดไปช้าๆ ปานดาวมองตามขึ้นไปอย่างไม่พอใจ

ภูวดลรออยู่ในห้องอย่างร้อนใจ เห็นปานดาวเปิดประตูเข้ามาหน้าตาบูดบึ้งก็เข้าไปถาม
“เป็นยังไงบ้างคุณดาว...มีใครสงสัยอะไรมั้ย”
ปานดาวเดินผ่านไปนั่งที่เตียง ค่อนข้างแรงเสียงเหี้ยม
“รู้มั้ยภู...ฉันไม่เคยเสียใจสักนิดเดียว ในสิ่งที่ฉันทำกับนังเดือน ไม่ว่าจะกับลูกของมันหรือกับตัวมัน”
ภูวดลแอบยิ้ม ก่อนจะเดินมานั่งตรงหน้าจับมือปานดาวขึ้นมาจูบ
“คุณแม่คุณคงพูดอะไร ให้คุณสะเทือนใจอีกละสิ”
ปานดาวน้ำตาคลอ
“บางทีนะ...บางทีฉันก็เคยคิดเล่นๆว่า ฉันอาจไม่ใช่ลูกคุณพ่อกับคุณแม่ก็ได้ ทำไมคะภูแค่ฉันเรียนหนังสือไม่เก่ง เพราะฉันไม่ชอบเรียน แค่ฉันต้องออกจากมหาลัยกลางคัน เพราะฉันได้พบรักแรกของฉันคือคุณเนี่ย ฉันผิดตรงไหนเหรอคะ”
ภูวดลลูบมือปลอบอ่อนโยน
“ที่รัก...คุณไม่ผิดเลยสักนิดเดียว”
ปานดาวพล่ามต่ออย่างเจ็บใจ
“หึ...นังเดือนกับนังฟ้ามันดีกว่าฉันตรงไหน แค่นังเดือนมันจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นังฟ้ามันจบจากนอก แล้วเป็นไงนังเดือนก็ไม่เห็นจะได้ผัววิเศษตรงไหน ทำเป็นขยันทำงานโธ่เอ๊ยก็อยากจะได้สมบัตินั่นแหละ”
“ใช่...ผมนะเป็นคนไม่ชอบประจบสอพลอ ไม่อย่างนั้นผมก็ไปทำงานที่ห้างแล้ว พอผมไม่ไปทำงานคุณพ่อ คุณแม่คุณก็กลับไม่ชอบหน้าผมอีก ผมบอกตรงๆว่าผมนะทำตัวไม่ถูกเลย”
ภูวดลเช็ดน้ำให้ปานดาว แล้วกระซิบถาม
“ว่าแต่ว่าตอนคุณเข้าไปในห้องปานเดือนนะ ไม่มีใครเห็นแน่น่ะ”
ปานดาวพยักหน้า นึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่ปานเดือนจะหายไป

ปานดาวเดินมาตามทางเดินชั้นบน ชะงักเมื่อเห็นป้าแก้วกำลังออกมาจากห้องปานเดือนพอดี เธอรีบหลบแอบข้างเสาต้นใหญ่ รอจนป้าแก้วลงไปข้างล่าง ปานดาวยิ้มร้ายกาจมองไปที่ห้องปานเดือน แล้วรีบเดินไปที่หน้าห้อง มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร เปิดประตูเข้าไป
ปานดาวค่อยๆย่องเข้าไปที่เตียงซึ่งปานเดือนหลับอยู่ เธอมองน้องสาวอย่างเกลียดชัง พึมพำเบาๆ
“ลูกแกก็ไปตั้งนานแล้ว แกยังจะมาอยู่เป็นมารทำไมกัน...ตั้งแต่แกไม่สบาย คุณพ่อคุณแม่ก็ยิ่งประคบประหงมเอาใจใส่ดูแลแก ยังกับไข่ในหินเชียวนะ...แกเกิดมาโชคดีจริงๆปานเดือนไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็มีแต่คนรุมรัก...”
ดางตาปานดาววาวโรจน์ด้วยความเกลียด ค่อยๆนั่งลงข้างๆ เขย่าตัวกระซิบกระซาบ
“เดือน...ปานเดือนตื่นเถอะ...เดือน”
ปานเดือนงัวเงียลืมตา ขยับลุกขึ้นมองปานดาวแบบงงๆ
“มาปลุกฉันทำไม”
ปานดาวยิ้มพูดอ่อนหวาน
“เธออยากพบลูกไม่ใช่เหรอ”
ปานเดือนเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น
“ใช่ฉันอยากพบลูก...”
“อยากพบลูก ก็ออกไปตามหาลูกสิ”
ปานเดือนนิ่งคิด ปานดาวยุต่อ
“ไปสิ...ออกไปเลย...ไปตามหาลูก ป่านนี้ลูกเธอรอแย่แล้วล่ะ”
ปานเดือนพยักหน้าพูดคนเดียว
“ใช่...ใช่...ลูกรอฉัน...ฉันต้องออกไปหาลูก”
ปานดาวสะใจมาก…ภูวดลโอบปานดาวเข้ามากอด เมื่อฟังเรื่องที่เธอเล่า
“เมียผมเนี่ยเก่งจริงๆ”
ปานดาวยิ้มรับคำชมอย่างพอใจ ด้วยท่าทางของผู้ชนะ ภูวดลลอบมองเมียรักด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูถูก ไม่มีร่อยรอยของความชื่นชมเหลืออยู่เลย

ปานฟ้ารถไปเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ริมถนน เธอชะลอรถให้ช้าลง พยายามมองหาปานเดือน
“พี่เดือน...พี่ไปไหนเนี่ย”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปานฟ้ากดบลูทูธ
“ค่ะพี่รุทธิ์...ฟ้าก็ยังไม่เจอเลย...ฟ้าก็คิดไม่ออกนะคะว่าพี่เดือนจะไปที่ไหนได้ พี่เดือนไม่ได้ออกไปไหนมาไหนมานานแล้วนะค่ะ ค่ะ...ค่ะ...”
ปาฟ้ากดปิดการติดต่อ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก เธอกดรับ
“ว่าไงคะพี่รุทธิ์...” ปานฟ้าแปลกใจ “คุณภาคิน”
ปานฟ้าฟังปลายสายอย่างตื่นเต้น

สายอุษานั่งอยู่ข้างเตียง มองเติมบุญที่นอนหลับท่าทางอ่อนโรยอยู่บนเตียงอย่างเศร้าๆ ป้าแก้วนั่งอยู่ที่พื้นใกล้ๆ
“นี่ถ้าหาแม่เดือนไม่เจอ คุณผู้ชายมิยิ่งทรุดหนักเหรอแก้ว”
“ทำใจดีๆไว้ก่อนนะคะคุณขา คนดีๆอย่างคุณเดือนพระต้องคุ้มครองค่ะ”
“โธ่ลูกหนอลูกสติสตังก็ยิ่งไม่ดีอยู่ ป่านนี้จะไปถึงไหนก็ไม่รู้”
สายอุษายกมือไหว้
“คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง ให้ลูกเดือนกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด...”
สายอุษาถอนใจเฮือกใหญ่ อย่างเป็นกังวล

ปานฟ้าขับรถเข้ามาจอดอย่างเร็ว เธอลงมาเห็นภาคินยืนรออยู่ก่อนแล้วก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“คุณภาคิน...ไหนคะพี่เดือน”
“ใจเย็นๆครับคุณฟ้า...”
ภาคินพาปานฟ้าไปแอบมอง ปานเดือนที่นั่งคุยกับบุญทิ้งอย่างมีความสุข ปานฟ้ามองอย่างแปลกใจ
“พี่เดือนมาหาบุญทิ้งเหรอคะ”
“ผมก็ไม่ทราบครับ ว่าเธอจงใจมาหาหรือว่าบังเอิญ”
ขณะเดียวกัน อนิรุทธิ์พรวดพราดเข้ามาหอบเหนื่อย
“ฟ้า...คุณเดือนล่ะ”
อนิรุทธิ์ชะงักมองไปที่ปานเดือนกับบุญทิ้ง เขามองอย่างรันทดใจมากก่อนจะพึมพำเบาๆ
“โธ่คุณเดือน...”
“ผมว่าอย่าทำให้เธอรู้สึกตกใจจะดีกว่านะครับ” ภาคินแนะ
อนิรุทธิ์พยักหน้ารับ
“ผมเห็นด้วย...ว่าแต่คุณภาคินเจอคุณเดือนได้ยังไงกันครับ”
ภาคินเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ ภาคิน เฟื่องแก้ว กำลังเดินอยู่กับเด็กๆ ในบริเวณมูลนิธิ
“จำไว้นะ...ก่อนนอนทุกคนอย่าลืมช่วยพี่แก้ว ดูปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยล่ะ อาศัยลุงชิดคนเดียวไม่ไหว แกแก่แล้วหูตาไม่ค่อยดี” ภาคินสั่ง
เด็กๆรับคำ เฟื่องแก้วยิ้มแย้ม
“คุณภาคินไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
“ถ้ามีเรื่องอะไรโทรหาผมได้ทุกเวลานะแก้ว”
“ค่ะ”
ภาคินมองไปเห็นบุญทิ้ง จ้องเขม็งไปที่ประตูหน้ามูลนิธิ
“มองอะไรนะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งไม่ตอบ ภาคินหันไปมองตามอย่างแปลกใจแล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า ปานเดือนยืนเกาะประตูรั้วมูลนิธิ มองเข้ามาหน้าตายินดีมาก
ปานฟ้าฟังอย่างแปลกใจมาก ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“พี่เดือนไม่ได้โวยวายอาละวาดเลยหรือคะ”
“ไม่เลยครับ...ตอนผมเดินไปเปิดประตูให้เธอ เธอก็เข้ามาปกติ เพียงแต่ว่าเธอสนใจแต่บุญทิ้งคนเดียว ผมก็เลยให้บุญทิ้งคุยเป็นเพื่อนเธอ แล้วก็โทรตามคุณนั่นแหละครับ”
เฟื่องแก้วเผลอพูดออกมา
“ท่าทางก็เหมือนคนปกตินะคะ”
ภาคินหันมามอง เฟื่องแก้วนึกได้พูดเสียงอ่อย
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ปานฟ้ายิ้มๆ
อนิรุทธิ์ค่อยๆเดินเข้าไปหาเรียกเบาๆ
“คุณเดือน...”
ปานเดือนหันมาแล้วยิ้มให้
“เรียกฉันเหรอ”
อนิรุทธิ์ข่มความสงสาร เดินเข้าไปประคอง
“ครับ...ผมมารับคุณกลับบ้าน”
ปานเดือนพยักหน้าเศร้าๆพูดกับบุญทิ้ง
“ฉันต้องกลับบ้านแล้ว...หนูจะกลับไปกับฉันได้มั้ย”
บุญทิ้งจับมือปานเดือน
“ผมไปกับคุณไม่ได้หรอกครับ แต่คุณมาหาผมที่นี่เมื่อไรก็ได้”
ปานเดือนตื่นเต้น
“จริงเหรอ...หนูไม่หนีไปไหนใช่มั้ย ฉันมาหาหนูได้ใช่มั้ย”
ปานฟ้าเช็ดน้ำตารีบเข้ามาช่วยเสริม
“ค่ะพี่เดือน...พี่เดือนจะมาเมื่อไร บอกฟ้ากับพี่รุทธิ์นะคะ เราสองคนจะพาพี่เดือนมาเอง พี่เดือนอย่ามาคนเดียวแบบวันนี้นะค่ะ”
ปานเดือนก้มหน้าจ๋อยๆ
“ก็พี่กลัวโดนดุ”
อนิรุทธิ์เข้ามากอดไว้
“ไม่มีใครดุคุณหรอกครับ...วันนี้กลับก่อนเถอะนะบุญทิ้งจะได้พักผ่อน”
ปานเดือนลังเล บุญทิ้งรีบพูด
“ผมเป็นเด็ก เด็กต้องไม่นอนดึกครับ เดี๋ยวผมไม่สบาย คุณเดือนไม่ห่วงผมเหรอครับ”
ปานเดือนตกใจรีบลุกขึ้น ดึงบุญทิ้งให้ลุกด้วย
“ก็ได้จ้ะ...ฉันกลับก่อนก็ได้ หนูจะได้รีบนอนอย่าเป็นอะไรไปน่ะ”
ปานเดือนกอดบุญทิ้งสะอื้น
“อย่าไม่สบายนะ...ไม่สบายแล้วเดี๋ยวตาย...ฉันไม่อยากให้หนูจากฉันไป”
ทุกคนสะเทือนใจ รวมทั้งบุญทิ้งน้ำตาคลอรับคำ
“ครับ...ผมจะไม่เป็นอะไร คุณเดือนกลับบ้านเถอะนะครับ”
ปานเดือนพยักหน้าแต่ไม่ยอมปล่อยบุญทิ้ง อนิรุทธิ์ค่อยๆแกะมือปานเดือนออกอย่างอ่อนโยนประคองปานเดือนจะพาเดินไป แล้วชะงักหันมามองบุญทิ้งยิ้มให้
“ขอบใจมากนะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
อนิรุทธิ์พยักหน้า ประคองปานเดือนที่เดินไปแล้วก็ค่อยหันกลับมามองบุญทิ้งตลอดทาง ภาคิน ปานฟ้า เฟื่องแก้ว ก็พากันเดินตามไปส่ง บุญทิ้งน้ำตาไหล พยายามเช็ดแต่น้ำตาก็ไม่หยุดไหล บุญทิ้งหมุนตัวกลับวิ่งเข้าไปในมูลนิธิ

ภาคินกับปานฟ้า ยืนมองจนรถของอนิรุทธิ์ออกไป ปานฟ้าถอนใจหันมามองภาคิน
“ฉันต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ”
“ดูท่าทางคุณเหนื่อยๆ”
เฟื่องแก้วไม่พอใจรีบพูด
“งั้นก็น่าจะรีบกลับไปพักน่ะค่ะ”
“ค่ะ...คุณสองก็เหมือนกัน ยังไงฉันก็ต้องขอโทษแทนพี่เดือนด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ปานฟ้าฝืนยิ้ม ภาคินรีบพูด
“อย่าคิดมากเลยครับ...แค่คุณปานเดือนปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ปานฟ้ารู้สึกโหวงๆแต่ฝืนไว้
“ค่ะ...ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ครับ...”
ปานฟ้าจะเดินไปที่รถแต่กลับเซ ภาคินตกใจรีบประคอง
“คุณปานฟ้า...”
ปานฟ้าเป็นลมหมดสติพับอยู่คาอ้อมแขนของเขา ภาคินตกใจ
“คุณปานฟ้า...คุณปานฟ้า”
ภาคินเป็นห่วงปานฟ้ามาก เฟื่องแก้วมองภาพตรงหน้าอย่างขัดใจ

ภาคินอุ้มปานฟ้ามานอนอยู่ที่โซฟาตัวยาว จ่อยาดมที่จมูกไว้ แล้วเรียกอย่างเป็นห่วง
“คุณฟ้า...ปานฟ้า...”
ปานฟ้ายังนอนนิ่ง ภาคินปัดผมที่หล่นลงมาปรกหน้าเบาๆ จ้องหน้าเธอนิ่งอยู่อย่างนั้น เฟื่องแก้วถือแก้วยาหอมเข้ามามองอย่างไม่พอใจ แกล้งปิดประตูดังๆ ภาคินรู้สึกตัวถอยออกมา พูดแก้เก้อ
“ยังไม่ฟื้นเลยแก้ว...หรือว่าเราจะพาคุณปานฟ้าไปหาหมอ”
“ไม่ต้องมั้งคะ...เธอคงตกใจบวกกับเหนื่อยมากเลยเป็นลม”
ขณะเดียวกันนั้นปานฟ้าค่อยๆรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นสายตาพร่าเลือนเห็นหน้าภาคินเบลอแล้วค่อยๆชัดขึ้น เธอตกใจขยับลุกจะนั่ง ภาคินรีบบอก
“ช้าๆ ครับเดี๋ยวจะหน้ามืดไปอีก”
ปานฟ้านั่งจนได้ หันมาเห็นเฟื่องแก้วอยู่ด้วย สีหน้าดีขึ้น
“ฉัน...ฉันเป็นอะไรไปคะเนี่ย”
“คุณเป็นลมไปนะครับ”
ปานฟ้ามองรอบๆเห็นว่าอยู่ในห้อง
“แล้วฉัน...มาอยู่นี่ได้ยังไงคะ”
เฟื่องแก้วข่มความไม่พอใจตอบเสียงห้วนๆ
“ก็คุณภาคินอุ้มคุณมานะสิคะ...นี่ค่ะยาหอม...ทานแล้วจะได้ดีขึ้น”
เฟื่องแก้วยื่นแก้วยาหอมให้ ปานฟ้ารับมาหน้าแดงหลบสายตาภาคินที่กำลังมองมาอย่างเป็นห่วง

ภาคินอาสาเป็นคนขับรถให้ปานฟ้านั่งข้างๆ ขณะขับอยู่บนท้องถนน ปานฟ้าหันไปมองหน้าภาคินแล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันบอกว่าขับกลับเองได้คุณก็ไม่เชื่อ”
“ผมเชื่อครับ แต่อยากให้แน่ใจว่าคุณจะถึงบ้านแน่ไม่ไปเป็นลมที่ไหนอีก”
ปานฟ้านิ่งไปหันไปมองภาคิน
“ขอบคุณนะคะ”
ภาคินหันมายิ้มตอบ สองคนสบตากันปานฟ้าหน้าแดงรีบหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงเฟื่องแก้วดังขึ้นในความคิด ‘ก็คุณภาคินอุ้มคุณมานะสิคะ’

ปานฟ้ารู้สึกเก้อเขิน

อ่านต่อหน้า 4





ดุจดาวดิน ตอนที่ 2 (ต่อ)

ภาคินขับรถเข้ามาจอดรอที่หน้าประตูรั้ว ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ รถจอดนิ่งเครื่องยนต์ดับลง ทั้งสองลงมาจากรถ ปานฟ้าเดินอ้อมไปด้านคนขับ

“ลำบากคุณแย่เลย”
“ไม่เป็นไรครับ...คุณรีบเข้าบ้านเถอะ”
“ขอบคุณจริงๆค่ะ”
“ครับ...”
ภาคินเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่งแล้วปิดประตู ก้มมองอยู่ ปานฟ้าเปิดกระจก
“หลับฝันดีนะครับ”
ปานฟ้ายิ้มรับ
“ค่ะ...”
ปานฟ้าขับรถเข้าบ้าน ตามองที่กระจกส่องหลัง เห็นภาคินยังยืนมองอยู่จนลับสายตาไป เธอยิ้มอย่างมีความสุข

ภาคินนั่งรถแท็กซี่มาที่หน้าบ้าน แล้วเปิดประตูใหญ่เดินเข้าไป ขณะที่ใกล้ถึงตัวบ้าน จู่ๆก้องภพโผล่พรวดออกมาเสียงดัง
“ไอ้ภาคิน”
ภาคินไม่ทันระวังตัว โดนก้องภพพุ่งเข้ามาชกจนเซถลาล้มลงไป ก้องภพถลาเข้าไปกระชากขึ้นมา
“วันนี้ ฉันจะเอาเลือดชั่วของแกออกมา”
ก้องภพชกอีก ภาคินเซไป
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาคุณก้องภพ คุณมาชกผมทำไม”
ก้องภพชี้หน้า
“แกไม่ต้องมาถาม วันนี้ฉันจะสอนให้ไอ้เด็กกำพร้าอย่างแกรู้จักเงาหัวของตัวเองเสียบ้าง”
ก้องภพพุ่งเข้าใส่ ภาคินหลบแล้วสวนกลับ ก้องภพถลาเป็นนกปีกหัก
“ผมต่างหากที่จะสอนให้คุณรู้ว่า ผมไม่ใช่ลูกไล่ของคุณ”
ก้องภพพุ่งเข้าใส่ภาคิน สองคนสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ป้านุ่มผ่านมาเห็นตกใจรีบวิ่งไปด้านใน

ในห้องรับแขก วิมลวรรณกระชากหนังสือพิมพ์ออกจากมืออานนท์
“นี่คุณ...อย่ามาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนน่ะ”
อานนท์ถอนใจรำคาญ
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง”
“อ้าว...คุณก็ต้องเรียกไอ้ภาคินมาถามให้รู้เรื่องสิ”
“นี่คุณหญิง ภาคินเขาโตแล้วการที่จะไปไหนมาไหนกับใคร ก็เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของเขา แล้วอีกอย่างหนูปานฟ้าเขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับตาภพ สองคนนั้นเขาอาจจะติดต่อกันเรื่องงานก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้”
“จะได้หรือไม่ได้คุณจะต้องมาวุ่นวายอะไร เจ้าภพมันยังไม่เห็นเดือดร้อนสักหน่อย”
ป้านุ่มวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณขาแย่แล้วค่ะ”
วิมลวรรณตวาด
“อะไร”
“คุณภาคินกับคุณก้องภพ ต่อยกันใหญ่แล้วค่ะ”
ทั้งอานนท์และวิมลวรรณตะลึง

ก้องภพเซถลาล้มไปที่สนามอย่างหมดสภาพ ภาคินมองแล้วทำท่าจะเดินหนีไป ก้องภพเจ็บใจที่สู้ไม่ได้ตะโกนด่า
“ไอ้ลูกไม่มีแม่...ไอ้ลูกเมียน้อย...ไอ้ลูกผู้หญิงใจง่าย”
ภาคินชะงักแค้นมาก หันกลับมาย่างสามขุมเข้าหา ก้องภพตกใจรีบลุกขึ้นจะวิ่งหนี ภาคินเข้ามากระชากแล้วชกเต็มแรง ก้องภพเซถลาไปล้มที่เท้าวิมลวรรณ
“ว้าย...ก้องภพ...ก้องภพลูกแม่” วิมลวรรณชี้หน้าภาคิน “ไอ้สารเลว...ไอ้บ้า นี่แกกล้าดียังไงมาทำลูกภพของฉันเสียหน้าตาแตกยับเยินอย่างนี้...หา”
ภาคินยืนนิ่งหันไปมองอานนท์ ที่มองมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ทั้งหมดเข้าไปในห้องนั่งเล่น ก้องภพใส่ความภาคินทันที
“ผมแค่ถามมันดีๆ มันก็เล่นงานผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเลยครับ”
วิมลวรรณแค้นมาก
“คุณอานนท์คุณต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับมันนะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมจริงๆด้วย”
อานนท์ถอนใจมองภาคินที่ยืนนิ่ง
“ไหนเล่าความจริงมาสิภาคิน”
วิมลวรรณรีบพูดแทรกขึ้น
“ไม่ต้องถามอะไรแล้วเห็นอยู่ชัดๆว่า มันริทำตัวเป็นนักเลงเป็นอันธพาล แบบนี้มันจะอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้แล้ว”
อานนท์ตวาดเสียงดัง
“หยุดทีเถอะ...ให้ภาคินพูดก่อนได้มั้ยแล้วผมจะตัดสินเองว่าใครมันผิดใครมันถูก เอ้าภาคินพูดมา”
ภาคินมองก้องภพอย่างเจ็บใจ ก้องภพหลบตาหันไปสำออยกับวิมลวรรณ
“โอ๊ยเจ็บจังครับแม่...”
วิมลวรรณโอ๋ลูก
“จ๊ะๆๆเดี๋ยวแม่จะประคบให้น่ะลูกน่ะ”

อานนท์กลับเข้ามาที่ห้องนอน วิมลวรรณเดินตามเข้ามาในห้องโวยวายเสียงดัง
“คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง คุณให้ท้ายมันแบบนี้ อีกหน่อยมันคิดอยากจะตบฉันมันก็คงตบเข้าให้”
อานนท์หันขวับกลับมา
“คนอย่างภาคินถ้าได้ลงมือตบผู้หญิงสักคนละก็ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นสมควรโดนตบจริงๆ”
วิมลวรรณแทบเต้น
“นี่คุณ...คุณเข้าข้างมันมากไปแล้วน่ะ”
“การที่เจ้าภพมันไปหาเรื่องชกต่อยภาคินก่อน แถมพูดจาดูถูกแม่เขาน่ะ ผมว่ามันยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นผม...ผมก็จะทำอย่างที่ภาคินทำนั่นแหละ และผมก็เชื่อถ้าใครมาด่าคุณเจ้าภพมันก็คงไม่ยอมเหมือนกัน”
วิมลวรรณโมโหจนพูดไม่ออก
“จบได้แล้วนะคุณหญิง...ผมจะนอน”
อานนท์เดินไปที่เตียงหันตะแคงไปอีกทาง วิมลวรรณยืนมองอย่างอัดอั้นแทบกระอัก

ป้านุ่มใช้ผ้าประคบที่บริเวณหน้า ภาคินสะดุ้ง
“เจ็บเหรอคะ...คุณหนูขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับป้า...ผมดีขึ้นมากแล้วป้านุ่มไปนอนเถอะ”
ป้านุ่มถอนใจพูดฉุนๆ
“คนอะไร้...พาลจริงๆ นี่ยังดีนะคะ ที่คุณผู้ชายท่านเป็นคนยุติธรรม”
ภาคินนิ่ง ป้านุ่มรีบพูดต่อ
“เห็นมั้ยคะ คุณพ่อนะรักคุณหนูนะ”
“แต่ไม่รักแม่ผมใช่มั้ยป้านุ่ม”
“ทำไมคุณหนูพูดอย่างนั้นละคะ”
“ถ้าพ่อรักแม่...ทำไมแม่ถึงหนีไปละครับ...แล้วทำไมเวลาผมถามถึงแม่ พ่อถึงไม่ยอมบอกอะไรเลย”
“คุณหนูคะ...บางทีการที่คุณท่านไม่พูดถึงคุณแม่ของคุณหนู ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่รักไม่คิดถึงนะค่ะ แต่บางทีถ้าเราพูดถึงแล้วมันเจ็บปวด สู้ไม่พูดเสียยังจะดีกว่า”
ภาคินอึ้งไป คิดตามคำพูดของป้านุ่มอย่างไม่แน่ใจ

เช้าวันใหม่...ก้องภพขับรถออกมาเห็นภาคินเดินอยู่ข้างหน้า ก้องภพเหยียดยิ้มแล้วเหยียบคันเร่งเฉี่ยว ภาคินกระโดดหลบมองอย่างไม่พอใจ แต่ก็ข่มใจเดินต่อ ก้องภพจอดรถเสียงดัง รอจนภาคินเดินมาถึงจึงกดกระจกลงถามห้วนๆ
“ไอ้กาฝาก...ทีหลังมาเดินขวางถนนแบบนี้ จะชนซะให้ขาหักเลย”
ภาคินนิ่งไม่โต้ตอบ ก้องภพหัวเราะสะใจก่อนจะออกรถไปอย่างรวดเร็ว ภาคินข่มใจจะเดินต่อแต่ก็ต้องชะงัก เพราะรถของอานนท์มาจอดข้างๆ อานนท์กดกระจกลงเรียกอ่อนโยน
“ขึ้นรถสิภาคิน พ่อจะไปส่ง”
ภาคินลังเลก่อนจะตอบอย่างสุภาพ
“ขอบคุณครับ แต่ผมไปเองได้”
อานนท์ทำเสียงดุ
“พ่อสั่งให้ขึ้นรถ”
อานนท์ปิดกระจกนั่งรอ ภาคินจำใจต้องเดินอ้อมไปขึ้นอีกด้าน รถออกไป วิมลวรรณยืนมองอย่างไม่พอใจมาก

วิมลวรรณเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ป้านุ่มกำลังจัดแจกันบนโต๊ะสะดุ้งหันมาทำท่าจะถอยออกไป วิมลวรรณตวาดแว๊ด
“ทำไม..เห็นฉันยังกับเห็นผีต้องตกใจถึงขนาดนั้นเชียวเหรอนังนุ่ม”
ป้านุ่มรีบพูดนอบน้อม
“เปล่านะเจ้าคะ”
วิมลวรรณเข้ามานั่ง
“แกไม่ต้องมาโกหก..ฉันรู้ว่าแกคิดยังไง แกคงคิดอยู่ในใจมาตลอดละสิว่าฉันนะใจร้ายใช่มั้ย”
ป้านุ่มอึ้ง วิมลวรรณพูดเสียงขมขื่น
“แกมันไม่เคยมีผัว แกไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกของคนที่ถูกผัวนอกใจนะมันเป็นยังไง”
ป้านุ่มพูดเสียงอ่อน
“ใช่ค่ะ...อิฉันอาจจะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นตัวเองฉันก็จะคิดเสียว่า มันเป็นกรรมตั้งแต่ชาติก่อน จะไม่ก่อกรรมทำเข็ญให้มันเป็นเวรเป็นกรรมโยงกันไปมาไม่รู้จบ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวรไงคะคุณ”
วิมลวรรณหันขวับ
“นังบ้า...ฉันไม่ได้ให้แกมาเทศน์สั่งสอนฉันน่ะ...ไป๊ จะไปทำอะไรก็ไป”
นุ่มอ่อนใจเดินออกไปจากห้อง วิมลวรรณเจ็บแค้น
“สำหรับฉัน ใครทำให้ฉันเจ็บมันต้องเจ็บกว่าฉัน เป็นร้อยเป็นพันเท่า”

รถอานนท์วิ่งมาท่ามกลางการจราจรแออัด ในท้องถนนยามเช้าของกรุงเทพ
“เมื่อคืนก่อนทำไมไม่กลับบ้าน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ พอดีที่มูลนิธิยุ่งๆผมก็เลยค้างที่นั่น”
อานนท์พยักหน้า
“ทำไมไม่เอารถที่บ้านไปใช้ รถเรามีตั้งหลายคัน พ่อเคยบอกแล้วว่า...”
ภาคินรีบพูดตัดบท
“ผมไม่ชอบขับรถครับ”
อานนท์อึ้งไป ถอนใจแบบอ่อนใจ
“งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าต้องการอะไรขอให้บอกพ่อ”
ภาคินหันมามองอานนท์ ถามไม่แน่ใจ
“จริงเหรอครับ”
อานนท์รีบตอบกระตือรื้อร้น
“จริงสิ...รู้มั้ยภาคิน ว่าพ่อไม่สบายใจเลย ที่ลูกไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรจากพ่อเลย แม้นแต่เรื่องเรียนลูกก็สอบชิงทุนเอาเอง ให้พ่อได้ให้อะไรลูกบ้างสิ”
“ผมอยากรู้ว่า...แม่ของผมอยู่ที่ไหน แล้วทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป”
อานนท์อึ้งนิ่งไปอย่างเจ็บช้ำ
“ได้มั้ยครับพ่อช่วยบอกผมหน่อย”
“พ่อบอกลูกได้แต่เพียงว่า...แม่ของลูกเป็นผู้หญิงที่พ่อรักมากที่สุด ลูกรู้ไว้แค่นั้นก็พอแล้ว...”
ภาคินมองอานนท์อย่างแปลกใจ ที่น้ำเสียงอานนท์เศร้าสะเทือนใจมาก

ปานฟ้าเข้ามาหาปานเดือนในห้องนอน ปานเดือนจับมือน้องสาวแล้วอ้อนวอน
“นะ..ช่วยพาพี่ไปหาเด็กคนนั้นหน่อยนะจะให้ไหว้ก็ได้นะ”
ปานเดือนทำท่าจะไหว้จริงๆ ปานฟ้ารีบห้าม
“อย่าทำอย่างนี้สิคะพี่เดือน”
อนิรุทธิ์มองปานเดือนอย่างสะเทือนใจ
“ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก็ร่ำร้องอ้อนวอนจะให้พี่พาไปหาบุญทิ้งให้ได้”
ปานเดือนนึกได้
“ใช่แล้วบุญทิ้ง...ทินภัทร...ลูกแม่...นะพาไปหน่อยขอร้องล่ะ”
ปานฟ้าข่มความสะเทือนใจยิ้มแย้ม
“ตกลงค่ะ”
ปานเดือนดีใจเหมือนเด็ก
“จริงๆนะ...เธอใจดีจัง”
ปานเดือนโผเข้ากอดน้องสาว ปานฟ้าพยักหน้ากับอนิรุทธิ์ แล้วดันตัวพี่สาวนออกพูดอย่างขึงขัง
“แต่ต้องเป็นบ่ายๆนะคะ เพราะฟ้าต้องไปเคลียร์งานก่อน”
“งานยุ่งมากเหรอฟ้ามีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย” อนิรุทธิ์ถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่หรอกค่ะ...แต่ตอนเที่ยงฟ้ามีนัดทานข้าวกับสปอนเซอร์ ที่จะร่วมจัดงานประกวดวาดภาพของเด็กๆไงคะ บ่ายๆคงเสร็จ”
ปานเดือนรีบพูด
“ได้ๆๆบ่ายๆก็ได้...พี่จะแต่งตัวรอบ่ายแน่นะ”
“แน่ค่ะ...ฟ้ารับปากแล้วก็ต้องพาไปแน่ๆ”
ปานฟ้าลุกขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นฟ้าไปทำงานก่อน...พี่รุทธิ์ละคะจะไปพร้อมกันเลยมั้ย”
“ฟ้าไปก่อนเถอะ...พี่จะอยู่กับคุณเดือนอีกสักพักพอดีช่วงเช้าไม่มีอะไร”
ปานฟ้าพยักหน้า หันไปยิ้มกับปานเดือนที่โบกมือให้ยิ้มแย้มกำชับ
“อย่าลืม...อย่าลืมนะ”
ปานฟ้ายิ้มเศร้าใจสงสารปานเดือนมาก

ธัญวิทย์นั่งห้อยเท้าอยู่ที่เตียง พิมนั่งคุกเข่าใส่ถุงเท้าให้...
“คุณธัญวิทย์ตั้งใจเรียนนะคะ โตขึ้นจะได้เก่งๆแล้วก็ฉลาดๆ”
ธัญวิทย์ชักเท้าหนีโมโห
“นี่แกจะว่าฉันโง่เหรอ”
พิมตกใจ คว้าเท้าไว้ลูบปลอบ
“ไม่ใช่ค่ะ...พิมแค่อยากให้คุณธัญวิทย์นะเก่งกว่าคนอื่นๆ”
ธัญวิทย์ทำท่าผยอง
“ฉันไม่จำเป็นต้องเก่งหรอกเพราะฉันมีเงิน คุณแม่บอกว่าเงินนะซื้อได้ทุกอย่าง”
ปานดาวเข้ามาในห้อง
“ถูกแล้วล่ะลูก เงินนะซื้อได้ทุกอย่างจริงๆ”
ธัญวิทย์กระโดดลุกขึ้นวิ่งไปกอดแม่ พิมมองตามอย่างไม่ค่อยพอใจ
“แม่ครับ...วันนี้วันหยุดผมอยากไปเที่ยวบ้าง ไม่ต้องไปเรียนพิเศษสักวันไม่ได้เหรอครับนะแม่นะ”
ปานดาวก้มมองลูกชายอย่างรักใคร่
“ก็ได้...วันนี้แม่อารมณ์ดี เราไปเที่ยวกันดีกว่าเดี๋ยวชวนคุณพ่อไปด้วยดีมั้ย”
ธัญวิทย์กระโดดหอมแก้มแม่
“ไชโย...แม่ใจดีที่สุดในโลกเลย งั้นกินข้าวเช้าแล้วไปกันเลยนะ”
ปานดาวพยักหน้า ธัญวิทย์วิ่งออกไปจากห้อง พิมลุกขึ้นพูดไม่ค่อยพอใจ
“ที่จริงคุณดาวน่าจะให้คุณธัญวิทย์ไปเรียนพิเศษนะคะ แกยิ่งเรียนไม่เก่งอยู่ด้วย ผลสอบครั้งที่แล้วก็เกือบจะตกตั้งหลายวิชา”
ปานดาวถามเสียงเรียบ แต่เย็นชาจนน่ากลัว
“ฉันขอความเห็นแกเหรอ...”
พิมอึ้ง ปานดาวจ้องหน้าพิมเขม็ง
“ลูกฉัน...ฉันรู้ว่าฉันต้องทำยังไง แกมีหน้าที่แค่คอยดูแลรับใช้คุณธัญวิทย์ ไม่ได้มีหน้าที่ออกความเห็น อย่าลืมเสียสิ”
พิมโกรธแต่ข่มอารมณ์ ก้มหน้านิ่งเหมือนสำนึก ปานดาวเหยียดยิ้มก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป พิมเงยหน้ามองปานดาว ด้วยสายตาชิงชัง
“ลูกฉัน...ลูกฉัน...เชอะนังแม่กาเอ๊ย...”

ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์เดินคุยกันมาอย่างอารมณ์ดี ทั้งหมดชะงักที่เห็นสายอุษา
นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว ป้าแก้วยืนรออยู่ใกล้ๆ พอเห็นทั้งสามคน ป้าแก้วก็รีบไปหยิบโถข้าวมาตัก ทั้งสามรีบเข้ามานั่งอย่างสำรวม
“ขอโทษค่ะคุณแม่...ดาวนึกว่าคุณแม่จะทานบนห้องเสียอีก”
“ไม่เป็นไร แม่ก็เพิ่งลงมา”
ปานดาวเอาใจ
“เห็นคุณแม่ทำใจได้อย่างนี้ดาวก็เบาใจค่ะ...คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะถ้าวันนี้ยังไม่เจอตัวยัยเดือน เดี๋ยวดาวจะให้ภูไปแจ้งความเองใช่มั้ยคะภู”
ภูวดลรีบรับคำ
“ครับคุณแม่ ผมตั้งใจอยู่แล้วแต่รอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเสียก่อน ไม่อย่างนั้นตำรวจเขาก็ไม่รับแจ้ง”
“แจ้งทำไม...”
“อ้าว...ก็ยัยเดือน”
“พ่อรุทธิ์เขาพาตัวกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ปานดาวและภูวดลตกใจ มองหน้ากันอย่างมีพิรุธ ภูวดลเผลอไอ ธัญวิทย์หันไปถามอย่างไม่รู้เรื่อง
“อะไรติดคอเหรอฮะพ่อ”
ภูวดลสะดุ้ง สายอุษากับป้าแก้วหันไปมอง ภูวดลรีบคว้าแก้วน้ำดื่มรวดเดียว ปานดาวทำเนียนถามไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่หน้าเจื่อนๆ
“แล้วยัยเดือนเขาบอกมั้ยคะว่าเอ้อ...ทำไมเขาถึงออกไปจากบ้าน”
สายอุษาส่ายหน้า ตักอาหารพูดไปเรื่อยๆ
“ดาวก็รู้ว่าน้องเป็นยังไง ถึงซักไปก็พูดไม่รู้เรื่อง แค่กลับมาอย่างปลอดภัยแม่ก็พอใจแล้ว คราวหน้า คราวหลังก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะแก้ว”
ป้าแก้วรีบรับคำ
“ค่ะคุณผู้หญิง อิฉันจะไม่ทิ้งคุณเดือนไว้คนเดียวอีกแล้วค่ะ”
ปานดาวแอบถอนหายใจโล่งอกสบตากับสามี ภูวดลรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วนี่คุณฟ้ายังไม่ตื่นเหรอครับ...สงสัยเมื่อคืนคงจะเหนื่อยมาก”
“ยัยฟ้าไปทำงานแต่เช้าแล้ว พูดถึงยัยฟ้าแม่ละสงสารไหนจะต้องทำงานแทนพ่อ ไหนจะต้องวิ่งมาดูแลยัยเดือน เห็นแล้วเหนื่อยแทน”
ปานดาวแอบทำหน้าเซ็ง สบตากับภูวดลบุ้ยใบ้ ปานดาวแกล้งยิ้มอ่อนหวาน
“ดาวก็เห็นใจยัยฟ้านะคะ ที่จริงดาวก็อยากไปช่วยที่ห้างฯแต่กลัวยัยฟ้าเขาจะหาว่าดาวไปจุ้นจ้าน”
สายอุษาชะงักพูดนิ่งๆ
“คิดยังไงขึ้นมาถึงอยากไปช่วยงานน้อง อยู่มาตั้งนานแม่ไม่เห็นเธอเคยอยากทำงาน เห็นแต่คอยรอรับเงินเดือนเท่านั้น”
ปานดาวอึ้ง
“ก็เพราะไม่เคยมีใครเห็นความสำคัญของดาวนะสิคะ...อย่างว่าแหละนะก็ดาวมันไม่มีปริญญานี่ ทุกคนก็เลยมองข้ามหัวดาวไปหมด”
สายอุษาชะงัก รวบช้อนถอนใจหันไปบอกป้าแก้ว
“ฉันอิ่มแล้วแก้ว...เดี๋ยวเอาผลไม้ขึ้นไปให้ที่ห้องด้วยนะ”
“ค่ะคุณ...”
ปานดาวหน้าตึง มองแม่ที่ลุกไปจากโต๊ะอย่างโมโห เธอรวบช้อนเสียงดัง ธัญวิทย์ถามอย่างไม่รู้เรื่อง
“คุณแม่อิ่มแล้วเหรอครับ”
ปานดาวไม่ตอบลุกออกไป ธัญวิทย์มองภูวดลงงๆ
“ลูกกินต่อเถอะ พ่อจะไปดูแม่เขาเอง”
ภูวดลรีบลุกตามไป เหลือธัญวิทย์นั่งกินข้าวอยู่คนเดียวอย่างไม่สนใจใคร

ปานดาวยืนกอดอกอย่างเจ็บใจ ภูวดลเข้ามาโอบด้านหลังพูดปลอบโยน
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอกครับคุณดาว”
ภูวดลจับเมียรักให้หันมา ปานดาวเชิด
“ฉันไม่เคยเสียใจ ให้กับคนที่บ้านนี้ไปนานแล้วล่ะ”
“ดีครับ...คุณต้องเข้มแข็งอย่างนี้สิที่รัก”
ปานดาวเกาะแขนอ้อน
“เราไปเที่ยวกันดีกว่า ฉันเบื่อบ้านเต็มที”
ภูวดลโอบ
“ผมรู้แต่คุณต้องอดทนสิ ผมว่าไม่เลวเลยนะที่คุณบอกว่าจะไปช่วยงานปานฟ้านะ”
“ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เรื่องทำงานนะไม่เคยอยู่ในสมองฉันหรอก”
“แต่ผมกลับคิดตรงข้ามกับคุณ”
ปานดาวมองภูวดลอย่างไม่เข้าใจ
“ยิ่งสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมว่าเราจะนอนใจไม่ได้ น้องสาวคุณคนนี้ไม่ใช่เล่นนะคุณน่าจะเข้าไปดูแลกิจการบ้าง เกิดน้องสาวคุณยักย้ายถ่ายเท เราจะได้แก้เกมทัน”
“จริงสิทำไมฉันคิดไม่ถึงเลย”
“ก็คุณมีผมคอยช่วยคิดอยู่แล้วไง”
ธัญวิทย์วิ่งเข้ามา
“ไปกันหรือยังครับคุณพ่อคุณแม่”
ปานดาวมองลูก
“แต่วันนี้ฉันรับปากลูกไว้ว่าจะพาไปเที่ยว”
ภูวดลยิ้มร่าเริง
“ไม่มีปัญหา...วันนี้ผมจะพาคุณกับลูกเที่ยวให้สนุกเลย ไปลูก”
ภูวดลโอบธัญวิทย์เดินไป ปานดาวคล้อยตามคำยุยงของสามี
“ฉันจะไม่มีวันยอมแพ้แกหรอก...นังปานฟ้า”

ปานฟ้ากำลังเซ็นเอกสารง่วนอยู่ในห้องทำงานแล้วส่งให้เลขาที่ยืนรอ เลขารีบบอก
“คุณปานฟ้าจะเข้ามาอีกมั้ยคะ”
“คงไม่ล่ะ...ทานกลางวันกับคุณอนุสรณ์ แล้วฉันจะกลับบ้านเลย”
“คุณอนุสรณ์ท่านใจดีจังนะคะเห็นแจ้งว่าจะเอาทั้งนม น้ำผลไม้แล้วก็ขนมมาแจกเด็กๆทั้งหมดนะค่ะ”
“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่ารู้จักตอบแทนสังคม กิจการของเขาถึงเจริญเอาๆไงล่ะ แต่ก่อนแค่ผลิตนมนะ เดี๋ยวนี้ครบทุกอย่างเลยที่เกี่ยวกับเด็กๆนะ”
ปานฟ้าคว้ากระเป๋าลุกขึ้น
“ฉันไปล่ะ”
“ค่ะ...”
ปานฟ้าเดินเร็วๆออกไปมีเลขาเดินตามไปด้วยก่อนจะปิดประตูห้องเรียบร้อย

ปานฟ้าขับรถเลี้ยวออกไป ครู่หนึ่งก้องภพขับรถมาอีกทางเลี้ยวเข้ามาอย่างรวดเร็วอย่างอารมณ์ของคนขับได้ดี
หน้าห้องปานฟ้า ...เลขากำลังคุยโทรศัพท์ตกใจ ที่ก้องภพเดินเร็วๆผ่านหน้าไป เลขารีบวางสายอย่างร้อนรน
“แค่นี้ก่อนนะเธอ...”
เลขาลุกขึ้นวิ่งไปดักหน้าก้องภพ
“เดี๋ยวค่ะคุณ”
ก้องภพมองเหยียดๆ
“หลีกไป...ฉันมีเรื่องจะเคลียร์กับเจ้านายเธอ”
“คุณปานฟ้าไม่อยู่ค่ะ”
ก้องภพตวาด
“โกหก...”
เลขาเจื่อนแล้วกลับโมโหบ้าง
“ฉันจะโกหกคุณทำไมคะ”
ก้องภพผลักเลขากระเด็นไป เปิดประตูเข้าไปอย่างแรง
“ฟ้า...”
ก้องภพไม่เห็นปานฟ้าในห้องก็ฉุนมากหันกลับมา เลขายิ้มสะใจ
“ดิฉันบอกคุณแล้ว”
“ปานฟ้าไปไหน”
“ดิฉันบอกไม่ได้หรอกค่ะ...ถ้าเจ้านายไม่ได้สั่ง”
ก้องภพข่มใจสุดๆ ชี้หน้าเลขาประมาณฝากไว้ก่อน ผละไปอย่างหงุดหงิดมาก

ก้องภพทุบพวงมาลัยรถอย่างฉุนสุดขีด
“ไปไหนว่ะ...หรือว่าไปกับไอ้ภาคิน”
ก้องภพคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทร สายไม่ว่าง เขาโมโหมาก
“คุยบ้าคุยบออะไรอยู่...เห็นสายซ้อนเข้าทำไมไม่รับ เธอจะหยามฉันมากไปแล้วนะปานฟ้า”
ก้องภพเจ็บใจสุดๆ ออกรถเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ขณะเดียวกันนั้น...ภาคินพูดโทรศัพท์ยิ้มๆ
“บุญทิ้งคงดีใจมาก ดูท่าทางจะถูกชะตากับคุณปานเดือนซะด้วย”
ปานฟ้าคุยผ่านบลูทูธขับรถไปด้วย
“ค่ะ...ฉันก็ดีใจที่เห็นพี่เดือนมีความสุข...แล้วเจอกันนะค่ะ”
ปานฟ้าทำท่าจะกดตัดการติดต่อ ภาคินรีบพูด
“เดี๋ยวครับคุณฟ้า...เอ้อทานข้าวกลางวันให้อร่อยนะครับ”
ปานฟ้าขำ
“ค่ะ...”
ปานฟ้ากดตัดการติดต่อ หยิบโทรศัพท์มาดูพึมพำรำคาญ
“สายก้องภพ”
ปานฟ้าขับรถต่อไปไม่สนใจ

เฟื่องแก้วยืนมองเด็กๆ รวมทั้งบุญทิ้งช่วยกับทำความสะอาดเก็บกวาดใบไม้ คนที่โตหน่อยช่วยกันตัดหญ้า ภาคินเดินเข้ามาเฟื่องแก้วตกใจ
“คุณภาคินไปโดนอะไรมาคะ”
ภาคินยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่เป็นไรนะนิดหน่อย...เด็กๆขยันกันดีจริงนะ”
เฟื่องแก้วยังสงสัย แต่ไม่กล้าซักต่อ
“ค่ะ...เห็นแล้วชื่นใจนะคะที่เด็กๆมูลนิธิเราไม่เกเรไม่เคยก่อเรื่องเหมือนที่อื่น”
ภาคินพยักหน้า มองที่บุญทิ้งที่กำลังกวาดใบไม้ผ่านมา
“บุญทิ้ง...”
บุญทิ้งหยุดหันมา เห็นภาคินกวักมือเรียกก็รีบวิ่งมาหา
“พี่ภาคินมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ เอ๊ะ...”
บุญทิ้งมองหน้าภาคินตกใจ ภาคินรีบพูด
“ไม่มีหรอก แต่จะบอกว่าเย็นๆคุณปานเดือนจะมาหา”
บุญทิ้งดีใจ
“จริงเหรอครับ”
ภาคินพยักหน้า เฟื่องแก้วรีบถาม
“จะมากับใครคะ”
ภาคินมองหน้า
“ถามทำไมเหรอ”
เฟื่องแก้วอึกอัก
“อ๋อ...ก็แก้วเห็นเธอไม่ค่อยสบาย ก็คงมาคนเดียวไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ”
“คุณปานฟ้าจะพามา” ภาคินมองบุญทิ้ง “บุญทิ้งคงไม่กลัวคุณปานเดือนใช่มั้ย”
“ไม่เลยครับ...”
ภาคินพยักหน้า เดินกลับไปที่ห้องทำงาน บุญทิ้งดีใจวิ่งไปกวาดใบไม้ต่อ เฟื่องแก้วพึมพำไม่พอใจ
“จะมาทำไมบ่อยๆ...พี่หรือน้องกันแน่ที่อยากมา”
เฟื่องแก้วสะบัดหันไป ตกใจที่เจอตุลย์ยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง
“อุ๊ย...หมวดเนี่ย...ตกใจหมดทำไมมาเงียบๆ”
“ผมก็มาปกติธรรมดานี่น่า ไม่ได้ลอยมาแต่หัวสักหน่อย ว่าแต่เมื่อกี้ได้ยินบ่นพึมพำว่าใครมาบ่อยๆครับ”
เฟื่องแก้วตกใจแล้วรีบพูดใส่หน้า
“ว่าหมวดไง...ไม่รู้จะมาทำไมบ่อยๆไม่มีงานการทำเหรอ”
“เอ้า...งานเข้าเลยเราไงมาลงที่ผมล่ะเนี่ย”

เฟื่องแก้วสะบัดไปอย่างรำคาญ ตุลย์มองงงๆ

โปรดติดตามอ่าน "ดุจดาวดิน" ต่อ ตอนที่ 3




ดุจดาวดิน ตอนที่ 1
ดุจดาวดิน ตอนที่ 1
คฤหาสน์ของเติมบุญ อัครดำรงกุล มหาเศรษฐีในยามค่ำคืน ดูโอ่อ่าตระการตา กลางสนามด้านหน้าคืนนี้ มีการจัดงานเลี้ยง แขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย เสียงดนตรีจากมุมหนึ่งบรรเลงเบาๆ สร้างบรรยากาศ ทุกคนต่างดื่มกินและพูดคุยอย่างมีความสุข เมื่อถึงเวลาพิธีกรของงานขึ้นมาบนเวทีเข้าประจำที่ส่งเสียงทักทาย “สวัสดีครับท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย” เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง แขกเหรื่อทุกคนต่างหันมาสนใจกิจกรรมบนเวทีที่กำลังเริ่มขึ้น “ขณะนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอเรียนเชิญคุณเติมบุญ อัครดำรงกุลกล่าวเปิดงานในคืนนี้ด้วยครับ” เสียงปรบมือดังขึ้น เติมบุญเดินยิ้มแย้มขึ้นไปบนเวที “ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ฝ่ารถติดมางานในคืนนี้”
กำลังโหลดความคิดเห็น