xs
xsm
sm
md
lg

ดุจดาวดิน ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดุจดาวดิน ตอนที่ 7

ในห้องครัวมูลนิธิ...บุญทิ้งเช็ดแก้วที่ล้างแล้วอย่างเหม่อลอย เฟื่องแก้วจัดจานข้าวเก็บเข้าตู้ หันมามองดูอย่างสงสัยในอาการ ระหว่างนั้นบุญทิ้งเหม่อจนแก้วหลุดจากมือ แต่ตุลย์เข้ามารับแก้วไว้ทันอย่างฉิวเฉียด

“อูย... เกือบไปแล้ว”
“บุญทิ้ง เป็นอะไรรึเปล่า นั่งเหม่อตลอดเลย” เฟื่องแก้วแปลกใจ
“นี่ถ้าไม่ได้ วิทยายุทธ์ขั้นเทพ ของพี่ล่ะก็ แก้วที่มันร้าว ไม่นานก็คงจะแตก”ตุลย์พูดเป็นเพลง
เฟื่องแก้วมองตุลย์อย่างหมั่นไส้
“พี่ว่า บุญทิ้งไปพักได้แล้วมั้ง วันนี้ทำงานมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวพี่ทำเอง”
บุญทิ้งอึกอัก
“ไปพักเถอะบุญทิ้ง เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง รับรอง งานเนี๊ยบ คุณเฟื่องแทบไม่ต้องเหนื่อยเลย”
เฟื่องแก้วทำหน้าหมั่นไส้ตุลย์
“งั้น ผม ไปล่ะครับ”
บุญทิ้งเดินออกไปจากครัว
“มามะคุณเฟื่อง จะให้ผมช่วยอะไร บอกมาได้เลยคร้าบบ”
เฟื่องยิ้มแสยะแบบเอือมๆ
เฟื่องแก้วเน้นทีละคำ
“ช่วย...ไป...ไกล...ไกล...ให้พ้นหน้า”
“ก็อยากจะไปอยู่หรอกน้า แต่กลัวไปแล้ว คนแถวนี้จะคิดถึงเค้าอ่ะสิ”
“เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าผู้หมวด ที่ว่าคนอื่นเค้าคิดถึง คิดถึง กับ สาบส่ง มันคนละเรื่องกันนะคุณ ไปไป๊”
ตุลย์ทำท่าอ้อน ทะลึ่งใส่
“แล้วจะให้เค้าไปไหนล่ะ ก็ในเมื่อหัวใจ เค้าอยู่ แถวนี้”
เฟื่องแก้วรำคาญมาก
“ก็ไปที่ชอบที่ชอบไง คุณผู้หมวด”
“อูยย แรงๆๆๆ”
ภาคิน เดินผ่านเข้ามาในครัวพอดี
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” ตุลย์หันไปยอ้มให้
เฟื่องแก้วพูดหวานขึ้นมาโดยทันที
“คุณภาคิน ทานอะไรมารึยังคะ เดี๋ยวเฟื่องเตรียมอาหารให้มั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรครับ แล้วบุญทิ้งอยู่ไหนครับ”
“เฟื่องให้เค้าไปพักค่ะ คุณภาคิน ลองไปดูหน่อยก็ดีนะคะ เฟื่องว่าวันนี้บุญทิ้ง ... ดูแปลกๆ”
ภาคินฟังอย่างสงสัย

บุญทิ้งพลิกหนังสือในมืออ่านไป พลางสายตาก็แอบมองไปทางประตูมูลนิธิพลาง กลัวจะเห็นพ่วง
“บุญทิ้ง”
เสียงภาคินทำให้บุญทิ้งสะดุ้ง ด้วยความตกใจ
“ถึงกับสะดุ้งเลยเหรอ เป็นยังไงฮะเรา คิดอะไรอยู่ล่ะ”
ภาคินมานั่งข้างบุญทิ้ง
“ปะ...เปล่าครับ”
“เป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
บุญทิ้งกังวล อ้ำอึ้ง ใจหนึ่งก็อยากบอกเรื่องพ่วง อีกใจก็กลัว
“พวกโจรลักเด็ก มันจะมาอีกไหมครับ”
ภาคินยิ้มปลอบใจ
“ที่แท้ห่วงเรื่องนี้เอง ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ทั้งคน ไม่ว่าใครก็มาทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
บุญทิ้งอ้ำอึ้ง ที่จะบอกเรื่องเห็นพ่วง
“คือ วันนี้ ผมเห็น เห็น...”
เฟื่องแก้วเข้ามาขัดจังหวะ ก่อนที่บุญทิ้งจะพูดเรื่องที่เห็นพ่วงพอดี
“คุณภาคินค่ะ เกิดเรื่องแล้วค่ะ”
ภาคินสงสัยว่าเรื่องอะไร

ที่ห้องทำงานของภาคิน สายฝนเด็กสาวที่เข้ามาขอความช่วยเหลือร้องไห้โฮๆ ใส่จริตเต็มที่ ตุลย์พยายามปลอบ
“น้องสายฝนครับ พี่ว่าน้องอ่ะ ใจเย็นๆก่อนนะครับ หยุดร้องไห้ก่อน แล้วค่อยๆเล่ามา พี่ภาคิน กับ พี่เฟื่องอยู่นี่แล้ว”
ภาคิน กับเฟื่องแก้วนั่งฟังอย่างตั้งใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“คือ หนูไม่มีใครแล้วจริงๆนะคะ ชีวิตหนูอาภัพ กำพร้าพ่อตั้งแต่เด็ก แม่ก็มาด่วนจากไป หนูต้องอยู่กับพ่อเลี้ยงตามลำพัง ถูกทำร้ายสารพัด และที่หนูต้องหนีออกมาก็เพราะ...เพราะ... พ่อเลี้ยงมัน มันจะข่มขืน หนู ฮือๆๆๆ”
“แต่ที่นี่เรามีกฎที่จะรับเด็กกำพร้าที่อายุต่ำกว่า 15 ปีเท่านั้น น้องอาจจะต้องไปอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉินแทนนะ” ภาคินบอก
สายฝนตกใจเพราะผิดแผน ยิ่งคร่ำครวญเรียกคะแนนสงสารมากขึ้นไปอีก
“ฮือๆๆ...พี่คะ ฝนไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ฝนกลัว ฝนกลัวไปหมดแล้ว กลัวจะถูกทำร้าย กลัวโดนรังแก ฝนไม่กล้าไปอยู่ที่อื่น พี่ๆให้ฝนอยู่ที่นี่เถอะนะคะ ช่วยฝนด้วยนะคะ ฮือๆๆ”
เฟื่องแก้วเดินไปลูบหลังสายฝนปลอบใจ ในฐานะผู้หญิงด้วยกันมองภาคิน เหมือนอยากขอร้องให้ช่วย ตุลย์ออกความเห็น
“เอาอย่างนี้นะน้องฝน พี่ว่าก่อนอื่น เราน่าจะไปจัดการกับพ่อเลี้ยงของน้องก่อน พี่เป็นตำรวจ น้องจะได้ไม่ต้องมากังวลว่าจะมีใครมาทำร้ายอีก”
สายฝนตกใจ รีบปฏิเสธ
“อย่านะคะพี่ ถ้าพ่อรู้ว่าฝน พาตำรวจไปจับ ฝนต้องตายแน่ๆเลยค่ะ ฝนต้องตายแน่ๆ”
“อย่ากลัวไปเลยครับ พวกเราไปด้วยอย่างนี้ เค้าไม่กล้าทำร้ายฝนหรอก”
ภาคินบอก สายฝนทำเป็นสะอื้น ขณะที่ในใจคิดหาแผนไปด้วย

ที่บ้านเช่าร้างแห่งหนึ่ง...สภาพบ้านไม้เก่าๆ รกร้าง ไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียง หรีดหริ่ง ดูน่ากลัว เฟื่องแก้ว มองเข้าไปในบ้านอย่างหวาดๆ เ
“นี่บ้านที่ฝนอยู่จริงๆเหรอเนี่ย”
สายฝนทำท่ากลัว เสียงปนสะอื้น
“ค่ะ บ้านเช่าเก่าๆซอมซ่อ ที่ฝนกับพ่อ ใช้ซุกหัวนอน”
“สภาพมันวังเวงชอบกลแฮะ ไป เข้าไปข้างในกัน”
ตุลย์จะเดินเข้าไป เฟื่องแก้วรีบแย้งอย่างกลัวๆ
“ใครจะเข้าไป คุณนั่นแหละเข้าไป ผู้หมวด”
“เอ้า ไหงงั้น มาด้วยกันก็ไปด้วยกันสิครับ คุณกับผมเนี่ยแหละ เข้าไปด้วยกันเลย”
“เรื่องอะไร ทำเป็นเก่งนักเก่งหนา คุณนั่นแหละ เข้าไปเลย”
“เอ้อ...ก็ได้ งั้นรอกันอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา”
ตุลย์ตั้งท่าพร้อม เดินเข้าไปดูลาดเลา ในบ้านคนเดียว สายฝนแกล้งสำออยเข้าไปเกาะแขนภาคิน
“พี่ภาคินคะ ฝนกลัวจังเลยค่ะ ถ้าพ่ออยู่ เค้าจะต้องโกรธฝนมากๆ แน่ๆ แล้วฝนก็จะ ถูกทำร้ายอีก ฝนกลัวค่ะ ฝนกลัว”
ยิ่งพูด ยิ่งเกาะแขนแน่นจนแทบจะกอดภาคิน เฟื่องแก้ว มองอย่างไม่สบายใจ
“อย่าเพิ่งกลัวอะไรไปเลย เรามากันหลายคน หมวดตุลย์ คงไม่ปล่อยให้ใครถูกทำร้ายแน่ๆ”
ตุลย์เดินออกมาพอดี
“ไม่เจอใครเลยว่ะ แล้วบ้านก็เงียบ สภาพเหมือนไม่มีคนอยู่”
สายฝนรีบแก้ตัว
“สงสัยพ่อเค้าคงขนข้าวขนของ หนีไปแล้วล่ะค่ะ”
ตุลย์ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อเท่าไหร่
“เสียดาย มาช้าไปหน่อย แต่อยู่กันยังไง มันดูรกร้างจริงๆ”
เฟื่องแก้วมองสายฝน
“แล้วเราจะทำยังไงกับน้องฝนดีคะเนี่ย”
สายฝนรีบอ้อนเรียกคะแนนสงสาร
“พี่ภาคินคะ ให้ฝนไปอยู่ที่มูลนิธิของพี่เถอะนะคะ ฝนไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ พี่พี่ ก็เห็นว่าสภาพบ้านฝนเป็นยังไง เกิดฝนมาอยู่ที่นี่ แล้วพ่อเค้ากลับมา ฝนก็คงจะโดนพ่อทำร้ายอีก ให้ฝนไปอยู่กับพี่นะคะ ฝนขอร้องเถอะค่ะ ให้ฝนกราบก็ได้ค่ะ”
สายฝนทำท่าจะกราบ ภาคินรีบประคองขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอกฝน เอาเป็นว่า เราคงจะให้ฝนมาอยู่ที่มูลนิธิชั่วคราวก่อน รอจนกว่าพี่เฟื่องจะทำเรื่องส่งตัวฝนไปอยู่ในที่ๆเค้ารับดูแลได้ ฝนไม่ต้องกลัวนะ”
สายฝนโผเข้าไปกอดภาคินแน่น ทำเป็นร้องไห้ดีใจ
“ฝนดีใจจังเลยค่ะ พี่ภาคิน ขอบคุณพี่ภาคินมากๆนะคะ ฝนจะไม่ลืมพระคุณของพี่เลย พี่ภาคินช่างแสนดี เห็นใจผู้หญิงตัวเล็กๆที่โดนทำร้ายอย่างฝน ขอบคุณพี่มากๆนะคะ”
ตุลย์มองสายฝนอย่างงงๆ เฟื่องแก้วไม่ค่อยพอใจกับท่าทีของเธอเท่าไหร่ สายฝนเหลือกตามาเห็นสายตาเฟื่องแก้ว จึงรีบหลบตา ทำเป็นกระซิกห่อตัวให้น่าสงสารในอ้อมอก ภาคินรู้สึกไม่สบายใจกับท่าทีของฝนเช่นกัน

ที่มูลนิธิ...ปานฟ้าเดินถือถุงขนม มาฝากเด็ก ระหว่างทาง เดินชน กับ สายฝนโดยไม่ตั้งใจ สายฝนมองหน้าอย่างอารมณ์เสีย โดยที่ไม่ขอโทษสักคำ แล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป ขณะเดียวกัน บุญทิ้งและ เด็กๆในมูลนิธิ กรูกันเข้ามาหา ล้อมหน้าล้อมหลัง ด้วยความดีใจ ร้องเรียก...
“พี่ฟ้ามาแล้ว...พี่ฟ้ามาแล้ว”
ปานฟ้ายื่นถุงขนมให้เด็กๆ
“แบ่งกันด้วยนะจ้ะเด็กๆ บุญทิ้ง พี่ภาคินอยู่ไหม”
“อยู่ครับ นั่นไงมาพอดีเลย”
ภาคินเดินออกมาที่ทางเดิน สายฝนได้ยินเสียงปานฟ้าถามถึงภาคิน รีบหันมามองอย่างสงสัยว่าเป็นใคร
“เด็กๆได้ขนมแล้ว ขอบคุณพี่ฟ้า แล้วก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
เด็กๆยกมือไหว้ปานฟ้า และพูดขอบคุณพร้อมๆกัน จากนั้นแยกย้ายกันออกไป สายฝนจับตามมองอยู่ตลอด อย่างไม่พอใจ ภาคินเหลือบมองเห็นสายตาสายฝนแว่บนึง ปานฟ้าหันมองตาม
“นั่นใครเหรอคะ ฟ้าไม่เคยเห็นเลย”
“สายฝนน่ะครับ เพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน”
“ฟ้าเพิ่งรู้ ว่าที่นี่รับอุปการะเด็กโตด้วย”
“เค้ามาอยู่ชั่วคราวน่ะครับ”
“อ่อ ค่ะ ฟ้ามากวนคุณภาคินรึเปล่าคะ พอดีมีเรื่องไม่สบายใจ อยากจะคุยกับคุณหน่อยค่ะ”
“ยินดีครับ เชิญครับ”
ภาคินผายมือเชิญปานฟ้าไปที่มุมหนึ่งในมูลนิธิ สายฝนจับตามองอยู่อย่างครุ่นคิด

ปานฟ้าเดินตามภาคิน มาที่สนามหญ้าแล้วยื่นช่อดอกไม้ให้
“อะไรกันครับ” ภาคินแปลกใจ
“ดอกไม้ เพื่อเป็นการขอโทษ จากฟ้าและครอบครัว รับไว้สิคะ”
ภาคินรับช่อดอกไม้
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยครับคุณฟ้า ผมสิครับต้องขอโทษ ที่ทำให้คุณลำบากใจ”
“ฟ้าไม่ลำบากใจเลยค่ะ เกรงใจคุณมากกว่า ครอบครัวฟ้ารบกวน ณมาตลอด แต่กลับทำท่า...ไม่ดีออกไป”
“ไม่เป็นไรครับ อย่ากังวล ก็ขอบคุณนะครับ ที่เป็นห่วงผม …ชื่นใจจัง”
ภาคินก้มดมช่อดอกไม้ แล้วมองสบตาปานฟ้าหวานฉ่ำ
“วันนี้มีธุระที่ไหนรึเปล่าครับ ผมอยากชวนคุณฟ้าไปที่ที่นึงกับผมหน่อย”
“ได้สิคะ เดี๋ยวฟ้าเป็นสารถีให้เองค่ะ”
ภาคินยิ้ม
“ไม่ต้องเลยครับ ลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมอ่ะ มีปีกซ่อนอยู่ ม่ะ...เกาะปีกผมมาเลยครับ”
ภาคินทำแขนให้ควง ปานฟ้ายิ้มกว้างอย่างมีความสุข แล้วควงแขนภาคินเดินไปด้วยกัน

บุญทิ้งเดินแกะกินขนม ที่ปานฟ้าเอามาแจกกับเด็กคนอื่นๆในมูลนิธิ อีก 2-3 คน สายฝนเดินผ่านมาพอดี
“บุญทิ้ง มานี่หน่อยสิ”
บุญทิ้งเดินไปหาสายฝน
“ผู้หญิงที่เอาขนมมาแจกเมื่อกี้นี้ ใครเหรอ”
“พี่ปานฟ้า”
“แล้วพี่ปานฟ้า เค้าเป็นใคร ทำไมดูสนิทกับ...กับ...พี่ภาคินจัง”
บุญทิ้งอมยิ้ม คิกคัก
“ก็...พี่ปานฟ้าเค้าเป็นแฟนกับพี่ภาคินน่ะสิ”
สายฝนตาโต
“เป็นแฟน!”
พูดจบบุญทิ้งก็ยักคิ้วรับ หัวเราะเดินแยกไป สายฝนคิดวางแผนร้ายในใจ

ภาคินกับปานฟ้า เดินมาที่โรงลิเก ปานฟ้ายิ้มขำๆ
“นึกว่าคุณภาคินชวนฟ้าไปไหน ชวนมาดูลิเกนี่เอง”
ภาคินยิ้มขำ
“เปล่าครับ ผมมาหาคน นางเอกลิเกคณะนี้ เค้าช่วยผมตอนที่ถูกแทงครั้งก่อน”
ช้อยเดินออกมาเห็น ถามทันที
“มาหาใครกันน่ะ….”
“คุณกัญญาอยู่ไหมครับ”
“ไม่อยู่”
“แล้ว จะกลับมาเมื่อไหร่พอจะทราบไหมครับ”
“ไม่รู้”
“วันนี้เงียบจังเลยนะคะ ไม่มีการแสดงเหรอคะ”
ปานฟ้าเห็นช้อยพูดไม่ดี ก็พยายามจะชวนคุย
“ไม่เล่น” ช้อยบอกห้วนๆไม่เป็นมิตร
ปานฟ้ามองหน้ากับภาคินว่าจะเอายังไงดี
“คือผมอยากมาขอบคุณ คุณกัญญาที่เค้าช่วยผมเมื่อวันก่อนน่ะครับ”
ช้อยมองหน้าภาคินแล้วนึกออก
“อ๋อ พ่อหนุ่มคนนี้ นี่เอง แม่กัญญานี่เสน่ห์แรงใช่ย่อยนะเนี่ย เจอกันแค่หนเดียว ก็ติดหนึบมาเป็นพ่อยก วัยละอ่อนซะอีกคนแล้ว นังเจ้าตัวก็ไม่รู้ออกไปหาผู้ชายแถวไหน”
ภาคินอึกอัก
“งั้นผมรบกวน ฝากของให้คุณกัญญาด้วยนะครับ บอกว่าจากภาคิน คนที่พี่เค้าช่วยเหลือเมื่อวันก่อน”
ภาคินยื่นถุงขนมให้ ช้อยกระชากมาถืออย่างไม่เต็มใจ
“ขนมที่ซื้อมาฝาก ของอร่อยทั้งนั้นเลยนะคะ ฟ้า กับ คุณภาคินไปหาซื้อ เจ้าที่เด็ดที่สุด และ อร่อยที่สุดมาฝากเลยค่ะ”
ช้อยก้มมองถุงอย่างอยากกินเสียเอง แล้วทำเป็นไม่สนใจ ปานฟ้าเห็นอาการแปลกๆ มองอย่างขำๆ
“เออ เดี๋ยวฉันให้แม่กัญญาเอง ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“ขอบคุณครับ ผมลานะครับ”
ภาคินเดินนำออกไป ปานฟ้าเดินตามหลังไป หันมาย้ำช้อยอีกรอบอย่างรู้ทัน
“ขอบคุณนะคะ ฝากให้คุณกัญญาด้วยนะคะ”
“เออๆๆ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ย้ำเหลือเกิน”
คล้อยหลังปานฟ้านิดเดียว ช้อยแบะปาก มองขนมในถุง แล้วหยิบขึ้นมาแกะกินอย่างไม่แยแส

ภาคินจอดรถใกล้ๆโรงลิเกเดินมาอ้อมมาเปิดประตูรถให้ปานฟ้าขึ้นนั่ง จากนั้น มาขึ้นรถฝั่งคนขับ ปานฟ้าพูดไป ขำไป
“ฟ้าว่า พี่คนตะกี้ เค้าดูแปลกๆนะคะ”
ภาคินนิ่งไปอย่างคิดอะไรบางอย่าง...
“คิดอะไรเหรอคะ”
“ผมเสียดายน่ะครับ ที่ไม่ได้เจอคุณกัญญา ตั้งใจจะมาขอบคุณแต่ก็คลาดกันซะก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวคราวหน้ามากันใหม่ ฟ้าจะมาเป็นเพื่อนอีก”
“ขอบคุณครับ”
ภาคินสตาร์ทรถแล้วขับออกไป

กัญญามารอป้านุ่มที่ตลาด ไม่นานนักป้านุ่มก็มาตามนัด
“แม่บุษบา รอฉันนานไหม”
กัญญามองตามหลังป้านุ่ม กลัวจะมีคนตาม รีบถามอย่างห่วงๆ
“ภาคินเป็นยังไงบ้างจ้ะ ฉันเป็นห่วงลูกเหลือเกิน แผลที่ถูกแทงหายดีรึยัง”
“ไม่ต้องห่วง คุณหนูแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นไรมาก ตอนนี้ก็ไปทำงานตามปกติ วันก่อนยังไปเดินแฟชั่นเครื่องเพชรอยู่เลย”
กัญญายิ้มภูมิใจ
“ฉันเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์แล้ว เดินคู่กับผู้หญิงคนนึงสวยเชียว ไม่รู้เป็นใคร”
“อ๋อ นั่นน่ะคุณปานฟ้า รู้สึก คุณหนูจะแอบชอบอยู่ด้วยนะ”
กัญญายิ้มปลื้มใจ
“จริงเหรอจ้ะ แล้วคุณปานฟ้านี่ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร”
“เห็นว่าเป็นลูกเศรษฐีเจ้าของศูนย์การค้า รวยมาก คุณก้องภพ เองก็หมายตาเธอไว้เหมือนกัน”
กัญญากังวลทันที
“นี่หมายความว่า ภาคิน กับ ก้องภพ รักผู้หญิงคนเดียวกันงั้นเหรอ”
ป้านุ่มพยักหน้าอย่างเซ็งๆ
“ปกติ คุณก้องก็หาเรื่องคุณหนูไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งมาแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน เฮ้อ...ฉันไม่อยากจะคิด เจอหน้ากันทีไร จะชกกันทุกที”
กัญญาฟังอย่างเป็นห่วงภาคินา ขณะเดียวกัน วิมลวรรณสะกดรอยตามป้านุ่มมา แอบอยู่ที่มุมเล็กๆด้านหลัง มองด้วยความโกรธ และ เกลียดกัญญาอย่างที่สุด วิมลวรรณจะปรี่เข้าไปทำร้าย แต่เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าถือดังขึ้น วิมลวรรณรับโทรศัพท์ อย่างขัดใจ
“ฮัลโหล” วิมลวรรณฟังแล้วสะใจทันที “....ดี...ดีมาก งานนี้อย่าให้พลาดเด็ดขาด แล้วฉันจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
วิมลวรรณกดวางโทรศัพท์มือถือมองกัญญา ที่เดินแยกกับป้านุ่มไปไกลแล้ว อย่างสะใจในแผนการของตัวเอง
“นังบุษบา อีกไม่นาน...แกจะได้ตายทั้งเป็น”
วิมลวรรณหัวเราะกับตัวเองอย่างสะใจ

ค่ำคืนนั้น...ภาคินยืนคุยกับปานฟ้าอยู่ที่ลานจอดรถ
“คุณฟ้ามายืนตรงนี้สิครับ ผมมีอะไรจะให้คุณฟ้าดู”
ภาคินชวนให้ปานฟ้า มายืนคู่กันส่องกระจกตรงหน้าต่างข้างคนขับรถ ปานฟ้าเดินมายืนข้างๆเขามองเห็นเงากระจก เป็นเธอกับเขายืนข้างกัน
“มีอะไรคะคุณภาคิน”
“หลับตาก่อนสิครับ”
ภาคินเอามือข้างนึงปิดตาปานฟ้าไว้ มืออีกข้างล้วงหยิบ ปิ่นปักผมที่เป็นดอกไม้พันลวดของลิเกเป็นกระจกคริสตัลวิบวับ ขึ้นมาติดผมให้ปานฟ้า
“ค่อยๆลืมตาสิครับ”
ปานฟ้ามองตัวเองในกระจกของรถ เห็นแสงระยิบระยับจากปิ่นเด่นในที่มืด แววตาปานฟ้าเป็นประกาย
“นี่เป็นดอกไม้พันลวดของลิเกครับ มันอาจจะไม่มีค่ามากนัก...แต่...”
ทั้งสองมองตากัน ผ่านเงากระจกรถ
“สวยจังคะ ฟ้าชอบมากเลย ดอกไม้พันลวดของลิเกนี่ ที่ใช้ใส่แสดงบนเวทีใช่ไหมคะ”
ภาคินยิ้มอย่างมีความสุข ปานฟ้าชอบใจพยักหน้ายิ้มรับ
“เวลาต้องไฟบนเวที ก็สวยงามระยิบระยับเกินราคา พอถึงเวลาอยู่ในที่มืด ก็ยังคงส่องประกาย นี่เป็นสิ่งที่มีค่ามากนะคะ”
ชายหนุ่มกับหญิงสาวยิ้มให้กันอย่างอบอุ่น ภาคินเอามือโอบไหล่เธอไว้ด้วยความรัก
“ขอบคุณคะ”
ทั้งสองสบตาและยิ้มให้กันผ่านกระจกอย่างมีความสุข สายฝนแอบมองไกลๆอย่างหมั่นไส้ ครู่หนี่ง ปานฟ้าขับรถออกไปจากมูลนิธิ สายฝนเห็นจึงรีบเดินเข้าไปหาภาคินเกาะแขนเขาแน่น
“พี่ภาคินคะ ไปไหนมาตั้งนานคะเนี่ย ฝนรอพี่ตั้งน๊าน นาน”
ภาคินขืนตัว พยายามดึงแขนออก แต่สายฝนจับแน่นไม่ยอมปล่อย
“พี่ไปทำธุระมา ฝนมีอะไรกับพี่เหรอ”
“ฝนไม่สบายใจหลายเรื่องเลยค่ะ อยากจะปรึกษาพี่ภาคินหน่อย”
“มีอะไรก็ว่ามาสิ”
“คุยตรงนี้คงไม่สะดวก เราเข้าไปคุยข้างในกันนะคะ”
สายฝนดึงภาคินเดินเข้าไปในมูลนิธิ ภาคินเดินตามแบบเกร็งๆ ไม่สบายใจกับการกระทำของเธอ แต่ก็เดินนำเธอเข้าไปในห้องทำงาน สายฝนจงใจแง้มประตูเปิดไว้
“มีอะไรจะปรึกษาพี่หรือฝน”
“คือฝนอยากจะถามว่า ฝนจะต้องย้ายออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ แล้วที่ใหม่ที่ฝนจะไปอยู่ พี่ๆจะดีกับฝนอย่างที่นี่รึเปล่า”
“คงได้ไปเร็วๆนี้ ส่วนเรื่องที่ใหม่ ฝนก็ไม่ต้องห่วงนะ ที่โน่นเค้าจะดูแลเราอย่างดี อาจจะดีกว่าที่นี่อีก”
สายฝนโผเข้าไปกอด ภาคินอึกอักรีบถอยออกห่าง แต่ฝนเกาะแน่น
“แต่ฝนไม่อยากไปจากพี่ภาคินเลยนะคะ ฝนรู้ค่ะ ว่าฝนทำให้พี่ลำบากใจ แต่พี่ภาคินทำให้ฝนรู้สึกอบอุ่น อย่างที่ฝนไม่เคยรู้สึกมาก่อน ฝนไม่เคยได้รับความรักจากใครอย่างที่ได้จากพี่เลย”
ภาคินค่อยๆแยกฝนออกจากอ้อมอก
“ฝน...ฝนโตแล้วนะ ต้องหัดเข้มแข็ง ไม่มีใครจะมาปกป้องเราได้ตลอดเวลาหรอก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน...จำไว้”
สายฝนทำเป็นร้องไห้น้ำตาไหลกระซิกด้วยความเสียใจ ทำเป็นเหมือนคิดได้
“ฝนนี่มันไม่ได้ความจริงๆ มีแต่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้พี่ภาคิน ต้องลำบากใจ ฝนขอโทษพี่ภาคินด้วยนะคะ”
พูดจบก็หันหลังทำเป็นเหมือนจะเดินออกจากห้อง จากนั้นแสร้งทำเป็นปวดหัวแล้วจะเป็นลม ภาคินรีบเข้าไปประคอง หญิงสาวขยับเสื้อตัวนอกให้หลุดจนเห็นสายเสื้อชั้นใน และเนินอกอวบอิ่ม ทะลักล้นขณะที่เฟื่องแก้วเดินผ่านมาพอดี มองเห็นภาพของสายฝน เสื้อหลุดอยู่ในอ้อมกอดภาคินก็ตกใจ สายฝนเห็นเฟื่องแก้ว ก็เข้าทาง รีบผลักตัวเองจากอ้อมกอดภาคิน แล้วร้องเสียงดัง
“พี่ภาคินปล่อยฝนนะคะ ปล่อยนะคะ พี่เฟื่องๆ ช่วยฝนด้วยค่ะ พี่ภาคิน พยายามลวนลามฝน”
สายฝนวิ่งถลาไปหาเฟื่องแก้ว ภาคินตกใจกับพฤติกรรมของสายฝน
“ทำไมเธอพูดอย่างนั้น พี่ไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนะ”
“พี่ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นเหรอคะ แล้วนี่อะไร เสื้อผ้าฝนหลุดลุ่ยขนาดนี้ ฝนพยายามดิ้นหนี แต่พี่ภาคินก็กระชากขู่บังคับ ถ้าพี่เฟื่องไม่ผ่านมา ฝนคงถูกพี่ปล้ำไปแล้ว”
เฟื่องแก้ว งงไปหมด
“ใจเย็นๆนะฝน พี่รู้จักคุณภาคินมานาน คุณภาคินเค้าไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ”
“นี่พี่เฟื่องก็เข้าข้างพี่ภาคินเหรอคะ พี่เฟื่องไม่เห็นใจผู้หญิงด้วยกันเลยเหรอคะ หรือว่าพี่เฟื่องรู้เห็นเป็นใจให้พี่ภาคินมาทำร้ายฝน ฝนไม่ยอมนะคะ ฝนไม่ยอม”

เฟื่องสบตากับภาคิน กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น

อ่านต่อหน้า 2




ดุจดาวดิน ตอนที่ 7 (ต่อ)

กัญญาเดินกลับไปที่โรงลิเกคนเดียว วิมลวรรณเดินก้าวออกมาขวางทางเอาไว้ กัญญาตกใจคิดไม่ถึงว่าจะเจอวิมลวรรณอีก

“ตกใจมากเหรอ นังบุษบา” วิมลวรรณเรียกชื่อเดิมของกัญญา
กัญญาพูดไม่ออกรำพึงเบาๆ
“คุณหญิง”
“คิดว่าฉันไม่รู้ทันแกรึไง สันดานแมวขโมย ชอบหลบๆ ซ่อนๆลักกินของคนอื่น สันดรขุดไม่ขึ้นจริงๆ”
“คุณหญิงพูดอะไร ดิฉันไม่เข้าใจ”
“แกนัดนังนุ่มออกมา เพราะจะหาทางกลับไปหาลูกแก กลับไปแย่งคุณอานนท์ หาทางแก้แค้นฉันใช่ไหม”
“ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะคะ ฉันแค่คิดถึงลูก และอยากรู้ว่าเค้าเป็นยังไงแค่นั้น”
“โกหก ลิเกตกอับอย่างแก หากินกับร้องกับรำ หลอกพ่อยกแม่ยกไปวันๆ จะพอยาไส้อะไร้ คงจะทนความลำบากไม่ได้แล้วหล่ะสิ เลยอยากมาเป็นคุณนายชูคอจนตัวสั่นหรือไม่งั้น คงหาทาง ลักเค้ากิน ขโมยเค้ากิน อย่างที่เคยทำมาก่อน”
กัญญาอึ้ง มองวิมลวรรณอย่างสลดใจ รู้สึกผิดและเสียใจ
“ดิฉันทราบว่าทำให้คุณหญิงต้องเสียใจมาก แต่ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่เคยคิดอยากทำสิ่งที่ผิด แต่...บางที ชีวิตก็ไม่มีทางเลือกให้เรามาก”
วิมลวรรณโกรธจัด ตบหน้ากัญญาเข้าให้อย่างแรง จนกัญญาหน้าหัน
“ปากดีนักนะ ไม่ต้องสำออยเรียกความสงสาร แกไม่รู้หรอก ว่าแกทำลายครอบครัวฉัน ทำลายชีวิตฉัน”
กัญญาน้ำตาซึม
“ดิฉันทราบ เพราะอย่างนี้ถึงไม่คิดกลับไปที่บ้านนั้นอีก นอกจากอยากรู้เรื่องของลูกเท่านั้น...เท่านั้นจริงๆนะคะ”
“แกอยากจะรู้นักใช่ไหม ว่าลูกแกเป็นยังไง ไปสิไปเห็นกับตาแกเอง”
วิมลวรรณฉุด กระชาก ลากกัญญาไปอย่างแรง

ที่มูลนิธิ ตุลย์พยายามซักไซ้ สายฝนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ภาคินนั่งอยู่ในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“น้องฝนจ้ะ น้องค่อยๆคิดสิจ้ะ ว่าจริงๆแล้ว พี่ภาคินเค้าพยายามลวนลามน้องจริงรึเปล่า น้องอาจจะเข้าใจอะไรผิดนะ”
สายฝน ร้องไห้โวยวายไม่เลิก
“นี่พี่ก็เข้าข้างพี่ภาคินอีกคนเหรอคะ ฝนโดนขนาดนี้ ยังไม่มีใครเห็นใจ ฝนไม่ยอมจริงๆนะ”
เฟื่องแก้วผลุนผลันเข้ามาในห้อง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”
ทันใดช่างภาพนักข่าว มากมาย กรูกันเข้ามาถ่ายภาพ ในห้อง แสงแฟลชวูบวาบ
“พวกเราได้รับแจ้งว่า ที่นี่มีเด็กผู้หญิงถูกกระทำชำเรา ไม่ทราบว่า เป็นจริงรึเปล่าครับ แล้วเหตุการณ์เป็นมายังไง”
ตุลย์พยายามห้ามสื่อ
“พี่ๆนักข่าวครับ ผมหมวดตุลย์นะครับ คือตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนหาความจริงกันอยู่ อย่าเพิ่งถ่ายรูปหรือทำข่าวอะไรไปครับ เกรงว่าอาจจะมีอะไรเข้าใจผิดกันได้”
สายฝนรีบโวยวายทั้งน้ำ ตาเพื่อเรียกร้องคะแนนสงสาร
“พี่ๆคะ คนนี้แหละค่ะ” สายฝนชี้ภาคิน “คุณภาคิน ผู้จัดการมูลนิธิ ที่ใช้กำลังปลุกปล้ำหนู”
นักข่าว ฮือฮา รีบรุมถ่ายภาพภาคินกันใหญ่ เฟื่องแก้วไม่พอใจ
“ฝน ทำไมเธอต้องทำอย่างนี้”
“ก็พี่ภาคินจะปล้ำฝนจริงๆนี่ แล้วพวกพี่ก็ยังปกป้องกันเองอีกข่มขู่ฝนสารพัด ไม่ให้เอาเรื่องเพราะไม่อยากให้มูลนิธิเสียหาย”
ตุลย์ถอนใจ
“ไปกันใหญ่แล้ว ใครกันข่มขู่น้อง”
“ผู้หมวดนี่ก็ด้วยค่ะ บอกให้ฝนหุบปากให้สนิท ไม่งั้นจะหาทางกลั่นแกล้งให้ฝนเข้าคุก”
ตุลย์ปวดหัวไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กสาวจะโกหกได้ขนาดนี้
“ซวย แล้วไงตรู”
“พี่ๆนักข่าวต้องช่วยฝนนะคะ ฝนถูกรังแก ไม่รู้เวรกรรมอะไรนักหนาอยู่กับพ่อเลี้ยงก็ถูกพ่อเลี้ยงพยายามข่มขืน พอหนีมาอยู่ที่นี่ หวังพึงพิงก็กลับถูกรังแกอีก หลักฐานก็มี นี่ไงคะ ฝนนะช้ำไปทั้งตัว”
สายฝนแบะเสื้อออก โชว์เนินอกอวบอิ่ม อย่างตั้งใจ ชี้ให้เห็นรอยแดง
“นี่ค่ะ นี่ค่ะ ฝนช้ำไปหมดแล้ว”
นักข่าวตาโต ตื่นตะลึงในความใจถึงของสายฝน รุมถ่ายภาพกันยกใหญ่

วิมลวรรณขับรถ ด้วยความรู้สึกเคียดแค้นในใจ กัญญาตัวสั่นด้วยความกลัวไปตลอดทาง
“คุณหญิงจะพาฉันไปไหนกันแน่คะ”
“กลัวเหรอ คนบาปอย่างแก ยังต้องกลัวอะไรอีก”
“ดิฉันไม่อยากเจอภาคิน”
“อ้าว ไหนว่าอยากรู้เรื่องมันไง ไป...ไปเห็นหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย”
“หมายความว่ายังไง”
“ถ้าแกยังขืนพยายามกลับมาหาคุณอานนท์อีกล่ะก็ แกจะไม่มีวันได้พบหน้าลูกอีก”
กัญญาขึ้นเสียงแข็งอย่างฮึดสู้
“จะทำอะไรภาคิน อย่านะ”
วิมลวรรณแค่นยิ้มหน้าเหี้ยม
“ไอ้ภาคินจะได้ตายทั้งเป็น ตายในคุก”
“อะไรกันคะ คุณหญิง นี่มันอะไรกันคะเนี่ย”
“เดี๋ยวแกก็จะได้รู้เอง”
วิมลวรรณพูดอย่างสะใจ

ภาคินถูกล็อคกุญแจมือ เดินตามตำรวจออกมาด้านหน้ามูลนิธิ เฟื่องแก้วเดินตามโวยวายไม่ยอม
“ไม่นะคุณตำรวจ คุณภาคินไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย คุณตุลย์ คุณทำอะไรสักอย่างสิ”
ตุลย์บอกอย่างหนักใจ
“ตอนนี้เราคงต้องตามเกมไปก่อน เพราะมีตำรวจหน่วยอื่นเข้ามาจัดการด้วย แต่ผมรับรองว่าจะช่วยภาคินออกมาให้ได้”
“โธ่ คุณภาคิน” เฟื่องแก้วจ้องหน้าสายฝนไม่พอใจ “เธอต้องการอะไร ทำไมเธอต้องทำอย่างนี้ เธอต้องการอะไรกันแน่”
“ฝนไม่ต้องการอะไรหรอกค่ะ แค่ให้คนที่ทำร้ายฝนเข้าคุก ฝนถูกทำมิดี มิร้ายนะคะ พี่ภาคินเค้าจะปล้ำฝน จับไปเลยค่ะคุณตำรวจ จับไปเลย”
เฟื่องแก้วหน้าเสียทำอะไรไม่ถูก ภาคินถูกตำรวจพาเดินขึ้นรถไป

วิมลวรรณขับรถเข้ามาจอด ที่ลานจอดรถ เวลาเดียวกับที่ ตำรวจกำลังนำตัวภาคิน ขึ้นรถตำรวจ
“นั่น ภาคินนี่ ทำไม และ ตำรวจมาทำอะไร”
วิมลวรรณยิ้มเยาะกับภาพที่เห็น ในขณะที่กัญญา แทบช็อค
“ได้เห็นเต็มสองตาของแกแล้วใช่ไหม ว่าฉันจะทำอะไรยังไงกับแกสองแม่ลูกก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าได้แม้แต่จะคิด ที่จะกลับมาแย่งคุณอานนท์ไปจากฉัน”
“คุณหญิงทำอะไร ลูกฉันคะ ได้โปรดเถอะคุณหญิง ช่วยลูกดิฉันด้วยทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ ภาคินเค้าทำผิดอะไร ทำไมต้องถูกใส่กุญแจมือแบบนั้น โธ่...ลูกแม่”
“ผิดอะไรเหรอ ไอ้ภาคินมันผิดตั้งแต่เกิดแล้ว ผิด ที่มันเกิดมาเป็นลูกแกไง...นังบุษบา”
วิมลวรรณ ตะคอกใส่หน้ากัญญา ด้วยความสะใจ กัญญาเสียใจและเป็นห่วงภาคิน อย่างหนัก

ที่โรงพัก...ภาคินนั่งอยู่หน้าห้องขังฝั่งตรงข้ามตำรวจ ตุลย์ยืนอยู่ใกล้ๆ เฟื่องแก้วนั่งห่างออกไปแต่มองด้วยความร้อนรน ภาคินบอกเสียงหนักแน่น
“ผมไม่ได้ทำ”
“พวกที่ทำก็ชอบพูดแบบนี้ทุกคน สารภาพดีกว่าครับ จะได้ปิดคดีให้จบๆไป” ตำรวจซัก
“ผมไม่ได้ทำ จะให้สารภาพว่าอะไร ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมสายฝนถึงเข้าใจผิด จนกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ แต่ผมไม่เคยคิดไม่ดีกับน้องเขาเลย ไม่เคยจะถูกตัวเขาสักนิดด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่คิดจะทำด้วย”
ตำรวจทำหน้าไม่เชื่อ เฟื่องแก้วเห็นแล้วนึกฉุนแทน ลุกเดินเข้ามาหา
“คุณตำรวจมองอย่างงี้หมายความว่าไงคะ ก็คุณภาคินบอกไม่ได้ทำ ก็ไม่ได้ทำสิ คิดจะปิดคดีชุ่ยๆ แบบนี้เหรอ ง่ายไปรึเปล่า”
“ถอยมานี่เถอะคุณ”
ตุลย์ปราดเข้ามาดึงไหล่ แล้วกอดไว้ เฟื่องแก้วทุบแขน ดิ้นไปมา
“มาจับทำไม เป็นตำรวจประสาอะไรรังแกประชาชน เอ๊หมวดปล่อยนะ...บอกให้ปล่อย”
“ใจเย็นๆสิครับคุณแก้ว โวยวายไปก็ไม่ทำให้ภาคินมันหลุดหรอกน่า”
“หมวดก็พูดได้สิ ตัวเองไม่ได้โดนจับนี่”
เฟื่องแก้วเย็นลงสะบัดตัวให้ปล่อย
“ไม่เป็นไรคุณแก้ว ใจเย็นๆ” ภาคินปราม
ตุลย์มองหน้าภาคินอย่างเข้าใจ
“ไม่ต้องห่วงเพื่อน ถ้าไม่ผิดยังไงก็รอด ตะรางไม่ได้มีไว้ขังคนบริสุทธิ์”
ภาคินพยักหน้ารับ เฟื่องแก้วค้อนตุลย์แล้วสะบัดหน้าใส่ สายตามองภาคินอย่างกังวล

สายอุษานั่งดูข่าว ในโทรทัศน์กำลังฉายภาพข่าวของภาคิน นักข่าวรายงานว่า...
“ได้มีการจับกุมนายภาคิน ผู้ดูแลมูลนิธิเด็กกำพร้า ข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงในมูลนิธิ ซึ่งเบื้องต้นทางตำรวจได้แจ้งข้อหา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”
ปานฟ้าเดินผ่านมา สายอุษาเรียกปานฟ้ามาดู ทีวีฉายภาพภาคินถูกจับใส่กุญแจมือขึ้นรถตำรวจแล้วตัดเป็นสัมภาษณ์สายฝนที่กำลังแกล้งร้องไห้
“หนูไม่นึกว่าพี่เขาจะทำแบบนี้ได้ หนูกลัวมากเลยคะ...ขอบคุณพี่ๆ นักข่าวมากคะที่มาช่วย ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มีเด็กโดนแบบนี้กี่คนแล้ว หนูไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับเด็กคนอื่นๆ อีกอยากให้คุณตำรวจจับพี่ภาคินเข้าคุกไปเลย จะได้ไม่มาทำร้ายใครได้อีกแล้ว”
สายอุษาฟังอย่างสงสาร หันมาเห็นปานฟ้ายืนมองทีวีอย่างตกตะลึง ก็หันมาบอก
“เห็นแล้วใช่มั้ยฟ้า หลงนึกว่าดี ที่แท้ภาคินเป็นคนแบบนี้เอง เลิกยุ่งกับนายคนนี้ได้รึยัง”
ปานฟ้ายืนอึ้ง ไม่อยากเชื่อสายตา กับข่าวในทีวี ช่วงเวลาเดียวกันนั้น วิมลวรรณกับก้องภพกำลังนั่งดูทีวีหัวเราะกันอย่างสะใจ วิมลวรรณกดปิดทีวีหันมายิ้มกับก้องภพ
“แหม สะใจจริงจริ๊ง คราวนี้แหละ ไอ้คนดีของพ่อแกไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ โอ๊ย ยิ่งดูยิ่งสะใจ ทำตัวเป็นพ่อพระดีนัก สมน้ำหน้า”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าฟ้าเห็นข่าวนี้จะทำหน้ายังไง”
ก้องภพยิ้มอย่างสะใจ

ปานฟ้าวิ่งอย่างร้อนใจมาจากประตูบ้าน ในมือถือซองเอกสารพอขึ้นรถก็เปิดซองหยิบซองโฉนดที่ดินออกมา พร้อมกับบัญชีเงินฝาก
“โฉนดที่ดิน บัญชีเงินฝาก ต้องใช้อะไรอีก”
ปานฟ้านิ่งคิดอย่างพยายามใช้สติ แล้วสะดุ้งเมื่อก้องภพมาเคาะกระจกข้างคนขับ ปานฟ้าเปิดประตูรถออกมา
“จะรีบไปไหนฟ้า ผมขับรถมาจอดตรงหน้า คุณยังไม่เห็นเลย” ก้องภพมองไปเห็นพวกโฉนดกับสมุดบัญชีเงินฝาก “จะเอาโฉนดไปไหน” ก้องถพนึกได้ แค่นยิ้มหยัน “จะไปประกันตัวไอ้นักโทษปล้ำเด็กหรือไง”
ปานฟ้ามองหน้า
“ยังไงคุณภาคินก็เป็นพี่ชายคุณนะ”
ก้องภพหัวเราะหยัน
“อย่าพูดคำนี้ดีกว่า ชาตินี้ผมไม่เคยนับญาติกับคนอย่างมัน ไอ้ลูกนังลิเก”
ปานฟ้าฟังอย่างแปลกใจ
“คุณแม่คุณภาคิน เล่นลิเกหรอ”
ก้องภพบอกอย่างเหยียดหยาม
“ใช่...นังลิเกกระจอกๆ แม่มันคิดจับพ่อผม ปล่อยตัวเองท้องโต มีไอ้ภาคินออกมาประจานความเลวของมัน ไง...รู้อย่างนี้แล้วยังปลื้มมันอีกมั้ย”
ปานฟ้ามองหน้าก้องภพ
“คุณน่าจะรู้นิสัยฟ้า ถ้าจะคบใครก็คบที่นิสัย เพราะเขาเป็นคนดี ไม่ใช่คบเพราะฐานะ หรือชาติกำเนิด”
ก้องภพชะงัก
“หมายความว่าไง”
“หมายความว่า ฟ้าจะยังคบคุณภาคินต่อไป เพราะเขาเป็นคนดี...ชัดยัง”
ปานฟ้าขึ้นรถแล้วขับออกไป
“โธ่เว้ย...แล้วจะได้รู้กัน...นี่มันยังแค่เพิ่งเริ่มต้น” ก้องภพมองตามอย่างขัดใจ

ตำรวจจับมือภาคินเอานิ้วโป้งไปแปะแท่นประทับ แล้วเอานิ้วไปกดลงบนแผ่นกระดาษ
“ประทับรอยนิ้วมือเสร็จแล้วเตรียมตัวเข้าห้องขังได้ ไปๆ”
ภาคินมองรอยนิ้วมือของตัวเองใบหน้าเศร้าๆ ตำรวจจับบ่าแล้วผลักให้ลุกขึ้นยืน...เฟื่องแก้วแบมือมาตรงหน้าตุลย์ บอกด้วยสีหน้ากังวล เป็นห่วงภาคินมาก
“ขอยืมตังค์หน่อยสิ”
ตุลย์หยิบกระเป๋าเงินออกมานับ
“หนึ่ง...สอง...สาม...หนึ่ง...สอง อ่ะ ผมมีสามร้อยลี่สิบมีแค่นี้แหละ หมดตัวแล้ว...เหลือแต่หัวใจ เอาด้วยป่าวอยากให้นานแล้ว ยอมรับซะทีดิ”
เฟื่องแก้วปัดมือออก
“ไม่ตลก พูดจริงๆ นะเอาเงินมาให้ฉันยืมก่อน เดี๋ยวหาทางมาคืนให้ ถ้าวันนี้ไม่มีค่าประกัน คุณภาคินได้นอนในห้องขังแน่”
“เงินเดือนข้าราชการ ตอนสิ้นเดือนก็เหลือเท่านี้แหละคุณ กระผมไม่ใช่เศรษฐีนะคร้าบ จะได้มีเงินหมื่นเงินแสนพกติดตัว”
“คุณไม่มี ฉันก็ไม่มี แล้วคุณภาคินจะทำยังไง”
เฟื่องแก้วหน้าเสีย พึมพำเบาๆอย่างกังวล

ปานฟ้าเดินแกม วิ่งหอบหลักฐานจะมาประกันตัวภาคิน เธอรุดไปยังโต๊ะตำรวจ
“ขอโทษนะคะคุณตำรวจ ดิฉันจะมาติดต่อขอประกันตัวคุณภาคินค่ะ”
ตำรวจเงยหน้ามอง
“คุณภาคินเหรอ ไม่ได้แล้วล่ะคุณ เสียใจด้วยครับ”
ปานฟ้าหน้าเสีย หันมองไปมาเห็นสิริโสภายืนคุยกับตำรวจ สิริโสภาคุยๆอยู่หันมามองปานฟ้าแล้วสบตากัน


ตำรวจล็อคตัวเดินตีคู่ภาคินมาเดินเข้าห้องขัง ตำรวจควานหากุญแจ จะไขห้องขัง ภาคินมองเข้าไปข้างใน ผู้ต้องหาเก่าเดินวนเวียนทำท่าทางอยากรู้อยากเห็น ภาคินมองเข้าไปข้างในเห็นผู้ต้องหามองมาอย่างนักเลง แววตาท้าทาย แต่เขาไม่สนใจ
“เอ้า...เข้าไป”
ตำรวจผลักไหล่ให้เข้าห้องขัง ภาคินกำลังจะเดินเข้าแต่มีตำรวจอีกคนมาเรียกไว้
“เดี๋ยว...มีคนมาประกันตัวแล้ว”
ภาคินฟังอย่างแปลกใจ แล้วยิ้มนิดๆ อย่างดีใจ

ภาคินเดินออกมา สิริโสภายิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปหา
“เป็นไงบ้างคะ ตอนได้ยินข่าวตกใจหมดเลย”
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอบคุณมากๆภา...คุณฟ้า”
ภาคินเห็นปานฟ้าก็ยิ้มดีใจรีบเดินเข้าไปหา สิริโสภาเดินตามไปหยุดยืน ปานฟ้ามองสิริโสภาอย่างสงสัยว่าใครกัน
“ฟ้า...ฟ้าเห็นในข่าวเลยจะมาประกันตัวคุณ แต่ดูท่าว่าจะไม่จำเป็นแล้ว”
ภาคินซึ้งใจ รีบพูดต่ออย่างดีใจ
“ไม่เป็นไรแล้วครับคุณฟ้า ภาเขาก็เห็นข่าวแล้วรีบมาประกันตัวผมเหมือนกัน ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” ภาคินหันไปหาสิริโสภา “ขอบคุณคุณมากๆนะ ขอบคุณจริงๆที่เป็นธุระให้ผม”
สิริโสภายิ้มหวาน
“ไม่เห็นต้องมาขอบคุณเลยคะ ทำเหมือนเราเป็นคนอื่นกันงั้นแหละ”
สิริโสภาพูดหัวเราะๆ ปานฟ้ามองหน้าสิริโสภา แล้วมองหน้าภาคิน ชักไม่ชอบใจแกมหึงอย่างไม่รู้ตัว
“กลับมูลนิธิกันก่อนดีกว่าค่ะ คุณเหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวไปส่งถึงหน้าห้องนอนเลย”
สิริโสภายิ้มหวานแกล้งพูดอย่างเพื่อนสนิท ปานฟ้าฟังตาโต มองสิริโสภาอย่างยิ่งไม่ชอบใจหนักขึ้นไปอีก

สิริโสภาเดินประกบภาคินไปที่รถตัวเอง ปานฟ้าเดินงอนนิดๆตามไปพร้อมตุลย์กับเฟื่องแก้ว
“เป็นคุณสิริโสภานี่ดีจัง มีทั้งชื่อเสียงทั้งรวย จะประกันตัวใคร หรืออะไรๆก็ง่ายไปหมด น่าอิจฉาจริงๆ”
เฟื่องแก้วแกล้งชมให้ปานฟ้าได้ยิน ตุลย์ยิ้มแซว
“อ้าว แล้วไม่ดีเหรอไงคุณแก้ว ทำพูดเหมือนไม่อยากให้ภาคินได้ประกันงั้นแหละ”
เฟื่องแก้วถลึงตาใส่
“เงียบไปเลยนะหมวด คนกำลังหงุดหงิด อย่าหาเรื่อง”
ปานฟ้าที่เงียบอยู่กระซิบถามตุลย์
“หมวดตุลย์คะ คุณสิริโสภาเขาเป็นใครเหรอคะ เห็นสนิทกันจัง”
ตุลย์ยิ้มแย้มบอก
“อ๋อ เขาเป็นเพื่อนกันครับคุณฟ้า ตั้งแต่สมัยไหนไม่รู้ แต่เห็นว่าสนิทกันม๊ากมากเลยล่ะครับ ไม่งั้นไม่รีบมาประกันตัวอย่างงี้หรอก”
ภาคินยืนอยู่ที่รถมือจับประตูจะเปิด แล้วนึกขึ้นได้หันกลับมามอง ปานฟ้ามองกลับสายตาเรียบเฉย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฟ้าขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณภาคินเองก็มีคนไปส่งแล้ว ฟ้าคงไม่จำเป็นต้องไปที่มูลนิธิด้วย”
ภาคินทำท่าจะพูด แต่เฟื่องแก้วพูดขึ้นก่อน
“งั้นก็แยกย้ายกันกลับนะคะ แต่ตอนนี้แก้วหิวมาก คงต้องแวะหาอะไรกินก่อน”
“ปล่อยเป็นหน้าที่ผมเลยครับ งบไม่อั้นผมเลี้ยงเอง"
เฟื่องแก้วค้อนตุลย์
“มีสามร้อยสี่สิบไม่ต้องมาพูด”
ตุลย์ต้อนเฟื่องแก้วพาไปขึ้นรถ ปานฟ้าฉวยโอกาสหลบฉากออกมามองภาคินขึ้นรถไปกับสิริโสภา เห็นว่าพูดคุยยิ้มแย้มกันสนิทสนมในรถยิ่งน้อยใจ สิริโสภาขับรถออกไป ปานฟ้าถอนใจจะขึ้นรถตัวเองบ้าง แต่เห็นสายฝนเดินหน้าระรื่นทำท่าคุยโทรศัพท์ ปานฟ้านึกแปลกใจเลยแอบตามไปดู
สายฝนเดินคุยโทรศัพท์ทำเสียงอ้อนๆ มีปานฟ้าแอบเดินตามอยู่ใกล้ๆ
“ไม่รู้ค่ะ แต่มีคนประกันตัวนายภาคินไปแล้ว...แหม ก็ฝนไม่ได้อยู่กับมันตลอดนี่นาจะรู้ได้ไงล่ะคะ...อ๋อ ไม่ใช่อ่ะ ไม่ใช่คนชื่อปานฟ้า ชื่ออะไรโสภาๆไม่รู้ ฝนไม่รู้จัก”
ปานฟ้าได้ยินก็ออกจากที่ซ่อนมายืนดักหน้า สายฝนเหลือบตาขึ้นมองตกใจ รีบตัดบท
“แค่นี้ก่อนนะพี่”
สายฝนรีบวางหู แล้วจะเดินหนีไป แต่ปานฟ้ามาดักหน้าไว้
“ใส่ร้ายคุณภาคินทำไม”
สายฝนอึกอัก บอกเสียงแข็ง
“ใส่ร้ายที่ไหนกัน ถูกลวนลามจริงๆ”
“ไม่จริง เธอโกหก คุณภาคินไม่ใช่คนอย่างนั้น”
สายฝนชักโมโห ลอยหน้าลอยตาใส่
“เอ๊าเหรอ...แล้วคุณรู้จักเขาดีแค่ไหนเชียว ถึงกล้ามารับประกันว่าเขาไม่ได้ทำ ถ้าคุณภาคินเป็นคนดีไม่ยุ่งกับผู้หญิงไปทั่วจริง คงไม่มีคนนู้นคนนี้มาวิ่งเต้นประกันให้ทันทีแบบนี้หรอก คิดเอาเองแล้วกัน หรืออยากจะโดนหลอกต่อไปก็ตามสบาย”
ปานฟ้าอึ้งไป สายฝนฉวยโอกาสตอนที่ปานฟ้ากำลังอึ้งเบี่ยงตัววิ่งหนีไป ปานฟ้ารู้ตัววิ่งตาม แต่ก็ไม่เห็นสายฝนแล้ว

บุญทิ้งวิ่งมาหารถสิริโสภาที่แล่นเข้ามาจอด ภาคินเดินอ้อมมาหาสิริโสภา
“ถ้าไม่ได้ภาช่วย วันนี้มีหวังผมต้องค้างในห้องขังแน่ๆ ไม่รู้จะขอบคุณ คุณยังไง”
ภาคินมองอย่างซาบซึ้ง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพื่อน...ก็ต้องช่วยเพื่อนสิ”
บุญทิ้งเห็นภาคินรีบวิ่งเข้ามากอดเอว
“พี่ภาคิน...พี่ภาคิน ผมเป็นห่วงพี่แทบตาย”
ภาคินหัวเราะออกมา ลูบหัวบุญทิ้งเบาๆอย่างเอ็นดู
“พี่ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
บุญทิ้งเงยหน้ามองยิ้มให้ สิริโสภามองแล้วยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเป็นกังวล
“ภาว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ คุณไปทำอะไรให้ใครเขาแค้นหรือเปล่า ถึงงานเข้าขนาดนี้”
สิริโสภาถามหน้าตาจริงจัง ภาคินครุ่นคิด แต่ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ถอนใจ ทั้งสองเดินไปด้วยกัน จะเข้าไปทางอาคารสำนักงานของมูลนิธิ บุญทิ้งมองแล้วจะเดินตามไปห่างๆ

ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีกระสอบคลุมลงมาบนตัวบุญทิ้งอย่างรวดเร็ว บุญทิ้งตกใจดิ้นรนขัดขืน 

อ่านต่อหน้า 3




ดุจดาวดิน ตอนที่ 7 (ต่อ)

บุญทิ้งดิ้นรนขัดขืนสุดแรง พร้อมกับพยายามใช้มือดึงถุงออก พอเปิดออกมาก็เจอเปี๊ยกยืนยิ้มแฉ่งให้ บุญทิ้งโล่งใจ

“ไอ้เปี๊ยก ทำไมเอ็งมาอยู่ตรงนี้ เล่นอะไรวะ ตกใจหมด”
“ก็อยากเจอ ไม่เห็นหน้าตั้งนานคิดถึงว่ะ”
เปี๊ยกมีท่าทางล่อกแลก บุญทิ้งมองอาการแล้วงงๆ
“เป็นไรเนี่ย” บุญทิ้งมองไปรอบๆ เห็นรถเก่าบุโรทั่งจอดอยู่ “นี่รถใคร”
พ่วงเดินมาจากอีกด้าน ใส่แว่นกันแดดอย่างเท่ ก่อนจะถอดแว่นดำออกอย่างไว้มาดแต่สะดุดจนเป๋ไปก่อน พ่วงทำท่าเฉยๆกลบเกลื่อนแล้วเดินมาหา
“ไม่เจอกันนานนะเอ็ง แหม ดังใหญ่ เดี๋ยวนี้มีออกทีวีนะไอ้ทิ้ง”
บุญทิ้งมองเปี๊ยกสลับพ่วง
“ลุงพ่วง”
“เออสิวะ ใช้ได้ ยังไม่ลืมข้า เดี๋ยวนี้ดูมีสง่าราศีขึ้นเยอะ ข้าจะมารับเอ็ง...กลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”
“แต่...ผมต้องเรียนหนังสือ พี่ๆ ที่มูลนิธิ ดีกับผมมาก ผมคงไปกับพ่อไม่ได้หรอกคับ...ผมต้องรีบกลับมูลนิธิก่อน ไปล่ะ”
บุญทิ้งยกมือไหว้แล้วหันหลัง จะรีบเดินไป แต่พ่วงดึงคอเสื้อไว้
“ใครบอกให้ไป ทำมีลีลานะ เดี๋ยวได้โดน ข้าบอกให้กลับไปอยู่ด้วยกัน เอ็งก็ต้องกลับ หนังสือน่ะ ไม่ต้องเรียนมันหรอกเว้ย ไปทำงานหาเงินกันดีกว่า”
บุญทิ้งยกมือไหว้
“แต่ผมไม่อยากไปขอทานแล้ว อย่าเอาผมไปเลยนะ”
“อยาก หรือไม่อยาก เอ็งก็ต้องทำ” พ่วงเน้นคำ “ถ้าเอ็งไม่ไป เพื่อนเก่าเอ็งได้เดือดร้อนแน่ อย่างไอ้เปี๊ยกนี่...หน้าตาหมาไม่กิน แต่ถ้าพิการแขนขาด้วนสักหน่อย ก็คงมีคนสงสารมั่งล่ะวะ”
“อย่านะ...อย่าทำเปี๊ยก”
“เรื่องนี้มันอยู่ที่ไอ้ทิ้ง ไม่ใช่ข้า”
บุญทิ้งหันไปมองเปี๊ยก เปี๊ยกทำตากลัวๆส่ายหน้า มองบุญทิ้งอย่างน่าสงสาร บุญทิ้งมองไปทางพ่วงที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ มองสลับไปมาอย่างตัดสินใจไม่ได้

พ่วงขับรถไปนั่งบิดตัวไป ตดเป็นระยะๆ เปี๊ยกนั่งปิดจมูกแน่น บุญทิ้งถูกมัดอยู่เบาะหลัง พ่วงเลี้ยวรถเข้าปั๊มขนลุก
“ไม่ไหวแล้วโว้ย ไอ้เปี๊ยก เอ็งเฝ้าไว้นะเว้ย ข้าศึกบุกข้าแล้ว”
พ่วงวิ่งไปแต่รถยังติดทิ้งไว้ บุญทิ้งชะโงกมองแล้วคิดแผนได้
“เปี๊ยก แกะเชือกให้หน่อยดิ ข้าจะหนี”
“ได้ไงวะ ข้าไม่เอาด้วยหรอก ให้เอ็งหนีข้าก็ตายสิ มีหวังถูกตัดจนเหลือแต่ตัวแน่”
บุญทิ้งขยับเรื่อยๆ ปมเริ่มคลาย
“งั้นเอ็งหนีไปกับข้า พี่ภาคินใจดี ได้เรียนหนังสือ ไม่ต้องเร่ขอทานแล้ว”
เปี๊ยกลังเล แต่ก็ยกมือกางกั้น
“ข้าไม่ไป ข้ากลัว เอ็งอย่าหนีให้ข้าเดือดร้อนเลยนะ”
บุญทิ้งทำนิ่งเฉยให้ตายใจ พอเปี๊ยกเผลอก็กระโจนพุ่งไปเบาะคนขับ จับที่พวงมาลัยแน่นทั้งๆที่มือถูกมัด เปี๊ยกตกใจ
“เฮ้ย เอ็งจะทำอะไรวะ”
“โทษที ข้าไม่มีทางเลือกเอ็งนั่งอยู่เฉยๆไป ข้าจัดการเอง”
บุญทิ้งมองซ้ายขวา เห็นเกียร์ บุญทิ้งลองดึงเกียร์ถอยดู

พ่วงเดินผิวปากโล่งสบายมาจากห้องน้ำ แต่ต้องตกใจเพราะเห็นรถตัวเองกำลังถอยมาหาลุ่นๆ
“เฮ้ยๆๆๆ รถข้าๆ เฮ้ยๆๆ อย่าถอยมา”
รถถอยมาหาอย่างรวดเร็ว บุญทิ้งหน้าตาตื่น ตกใจที่เห็นรถถอยหลังเปี๊ยกหน้าตื่นตกใจ
“จะชนแล้วไอ้บุญทิ้ง จะชนแล้ว หยุดรถสิวะ”
“ข้าหยุดไม่เป็น ตรงไหนวะ ข้าไม่เคยขับ”
“งานเข้าแล้วเอ็ง หลบไปโว้ย”
พ่วงหน้าตาตื่น จะก้าวขาหนีก็ไม่ออก เปี๊ยกตัดสินใจกระโจนไปเบาะหน้าแล้วช่วยจับพวงมาลัย
“เหยียบเบรกโว้ย เหยียบบบ”
บุญทิ้งหน้าตาตื่น
“ตรงไหนล่ะเบรก บอกเร็วๆ”
“ขวามั้ง ขวาๆ เหยียบเลยจะชนแล้ว”
เปี๊ยกช่วยจับพวงมาลัยหมุน บุญทิ้งเหยียบคันเร่งจนหน้าหงายทั้งคู่ รถเฉียดพ่วงไปหวุดหวิดแต่ดันพุ่งถอยหลังหมุนออกถนนใหญ่ พ่วงล้มเค้เก้หน้าห้องน้ำ แต่ได้สติก็ลุกขึ้นมาวิ่งตามรถที่จะออกถนนใหญ่ไปอย่างโมโห
“ไอ้พวกตัวแสบ”
เปี๊ยกมองไปข้างหน้าเห็นรถบรรทุกกำลังวิ่งมา พอหันกลับมาดูก็เห็นพ่วงวิ่งหน้าเริ่ดตามมา หน้าตาน่ากลัว
“ซวยแล้วเอ็ง หน้าก็ตายหลังก็ไม่รอด เอาไงดีวะไอ้ทิ้ง”
“แกะเชือกก่อนเร็ว”
เปี๊ยกลังเล รถก็ใกล้จะมาแล้วแถมยังถอยเรื่อยๆ
“แกะสิ ไม่งั้นตายหมู่แน่ เร็วๆดิวะ”
เปี๊ยกตัดสินใจแกะให้
“แกะแล้วทำไงต่อ”
“เอ็งข้าคนละทาง เปิดประตูแล้วโดดเลย”
เปี๊ยกทำหน้าสยอง
“เอ็งแน่ใจเหรอวะ” เปี๊ยกมองพื้นถนน “จะดีเหรอไอ้ทิ้ง”
บุญทิ้งพยักหน้า
“ถ้าไม่โดด หน้าก็ตาย หลังก็ตาย แต่ถ้าลองซ้ายขวาเผื่อรอดข้านับหนึ่งสองสามแล้วโดดพร้อมกันนะ หนึ่ง สอง...”
บุญทิ้งกับเปี๊ยกโดดออกมาคนละทางแล้วกลิ้งลงบนกอหญ้า รถปัดท้ายเข้าไปเสยฟุตบาทแน่นิ่ง พ่วงวิ่งมาถึงรถรีบปราดเข้าไปดู
“อิ๊บอ๋ายแล้วรถข้า โอย...ถลอกปอกเปิกหมดเลยลูกพ่อ”
พ่วงเดินวนลูบๆคลำๆรอบรถแล้วทำท่านึกได้
“ไอ้ทิ้ง”
พ่วงวิ่งไปดูฝั่งบุญทิ้ง ไม่เห็นใครเลยวนไปด้านเปี๊ยก เจอเปี๊ยกกำลังจะวิ่งหนีแต่วิ่งเป๋ๆ พ่วงวิ่งตามไปหิ้วคอเสื้อ
“แสบนักนะไอ้เปี๊ยก” พ่วงเขกหัวเปี๊ยก “รถข้าพัง ไอ้ทิ้งก็หนีได้กลับไปโดนหนักแน่ ข้าไม่ปล่อยให้เอ็งรอดหรอก”
“ไอ้เปี๊ยกตายแน่”
พ่วงกระชากตัวเปี๊ยกเดินไปด้วยหน้าตาถมึงทึง เปี๊ยกตามไปอย่างหวาดกลัว

บุญทิ้งตัวถลอก วิ่งเขยกเข้ามาใบหน้าหวาดหวั่นกังวลเข้ามาในมูลนิธิ ภาคินคุยอยู่กับสิริโสภารีบเข้าไปหา
“พี่ภาคิน ผมมีเรื่อง...”
ภาคินไม่สนใจ หันไปคุยกับสิริโสภาต่อ
“แป๊บนึงนะบุญทิ้ง...ผมคิดว่ามันก็บังเอิญเกินไปจริงๆ เรื่องนี้...เหมือนถูกจัดฉาก แต่ใครเป็นคนทำ”
สิริโสภาแตะมือภาคินอย่างปลอบใจ
“ความลับไม่มีในโลกคะ ต่อไปเราต้องได้รู้แน่ ว่าเป็นฝีมือใคร”
บุญทิ้งเห็นภาคินครุ่นคิด คิดหนักเรื่องของตัวเอง ก็พูดไม่ออก ได้แต่เดินหน้าเศร้าไปนั่งตามลำพัง น้ำตาค่อยๆไหลออกมาอย่างหวาดกลัว ก่อนจะสะอึกสะอื้นอย่างรู้สึกโดดเดี่ยว

ตุลย์โยนเอกสารลงบนโต๊ะภาคินบอกอย่างไม่แปลกใจ
“เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด น้องสายฝน หายตัวไปแล้ว”
“ไปไหน”
“ถึงเป็นตำรวจ ก็ไม่ได้จะรู้ทุกเรื่องนะ แล้วไอ้บ้านที่คุณน้องเขาอุปโลกน์ว่าเป็นบ้านพ่อเลี้ยงน่ะ ที่แท้มันเป็นบ้านร้างมาหลายปีแล้ว ไม่มีพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงคนไหน อยู่ทั้งนั้น”
“หมายความว่า”
“คุณน้องคนเซ็กซี่จงใจสร้างเรื่อง เพื่อขอเข้าไปอยู่ในมูลนิธิ”
ภาคินอึ้งไปครุ่นคิดหนัก
“งั้น…”
“งานนี้ต้องหาให้ได้ ว่าไอ้โม่งที่สั่งการ...เป็นใคร”
ภาคินเครียดทันทีเมื่อได้ฟังอย่างนั้น

ที่โรงพยาบาล...อนิรุทธิ์นั่งบีบมือปานเดือนเบาๆ มองใบหน้าอย่างเศร้าๆ
“ผมอยากให้ปาฏิหาริย์มีจริง คุณจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทินภัทรก็ไม่หายไป เราจะได้อยู่ด้วยกันพ่อแม่ลูก”
อนิรุทธิ์จูบมือปานเดือนเบาๆ ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยหันไปดู เติมบุญเดินจับมือบุญทิ้งหอบหิ้วขนมกับผลไม้มาเยี่ยม บุญทิ้งไหว้ แต่อนิรุทธิ์แค่พยักหน้าด้วยใบหน้าเรียบๆ
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เติมบุญทักทาย
“มาได้สักพักแล้วครับ แล้วเด็กนี่มาทำไมเหรอครับ”
“เออ ถามแปลกๆ พามาที่นี่ก็มาเยี่ยมเดือนเขาสิ”
อนิรุทธิ์ถอนใจ ยิ้มเยาะ
“ที่ผมสงสัยคือเด็กนี่ไม่ใช่ลูกคุณเดือน ญาติก็ไม่ใช่ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ผมไม่อยากให้มายุ่ง เดี๋ยวอาการคุณเดือนจะทรุดอีก”
บุญทิ้งหน้าเสีย
“ผม...ขอโทษครับ”
เติมบุญบีบไหล่ปลอบใจ
“ขอโทษอะไร ใครจะไปรู้ ถ้าพามาแล้วยัยเดือนเห็นบุญทิ้งอาจจะอาการดีขึ้นก็ได้ ไม่ลองไม่รู้เสียหน่อย”
อนิรุทธิ์นิ่งไปมองหน้าบุญทิ้ง เด็กชายสบตาพยายามยิ้มสู้แต่ถูกอนิรุทธิ์เมิน ปานเดือนได้ยินเสียงคนเลยขยับตื่นขึ้นมา ตอนแรกแววตาเลื่อนลอย แต่พอมองเห็นบุญทิ้งก็ตาโตยิ้มอย่างดีใจ
“ทินภัทร...ลูกแม่...ลูกจ๋า กลับมาหาแม่แล้วใช่ไหมลูก”
บุญทิ้งยกมือไหว้ ปานเดือนลุกนั่ง
“ลูกจ๋า ขอแม่กอดหน่อย...มาหาแม่นะลูก ลูกจ๋า ขวัญเอ๊ยขวัญมากลับมาอยู่กับแม่นะลูกนะ”
บุญทิ้งเดินไปหาปานเดือน กางแขนโอบเอวไว้ ปานเดือนกอดอย่างทะนุถนอม มีรอยยิ้มจับใบหน้า
กอดได้แป๊บเดียวก็เอะใจ ดันตัวออกแล้วลูบตามเนื้อตัวที่ถลอกของบุญทิ้ง
“ตายแล้วลูก นี่ไปโดนอะไรมา ถลอกปอกเปิกไปหมด”
“พอดี...” บุญทิ้งนิ่งไปนิดก่อนจะโกหก “หกล้มน่ะครับ”
ปานเดือนลูบเนื้อตัว เป่าตามรอยแผลให้แล้วดึงเข้ามากอดอีกครั้ง
“ทีหลังอย่าซนนะลูก แม่เป็นห่วง”
อนิรุทธิ์มองอึ้งๆแล้วเหลือบตามองพ่อตา เติมบุญยิ้มจางๆแล้วมองปานเดือนกับบุญทิ้งอย่างพอใจ

อนิรุทธิ์นั่งครุ่นคิดอยู่ในสวนของโรงพยาบาลหน้าเคร่งเครียด สักครู่เติมบุญเดินมา มองอนิรุทธิ์ แล้วมานั่งข้างๆ
“เดือนน่ะเขาต้องการกำลังใจมากๆ เพื่อให้ตัวเองเข้มแข็งพอที่จะหาย บุญทิ้งก็เป็นกำลังใจชั้นเยี่ยม พ่อดูไม่ผิดหรอก”
“ผมไม่อยากให้ตัวกำลังใจแบบนั้นเข้ามา เด็กนั่นอาจจะมีแผนการอะไรก็ได้ ถึงได้มาตีสนิทกับพวกเราแบบนี้”
“แกก็คิดมาก บุญทิ้งเป็นแค่เด็กน่าสงสาร ไม่มีพิษมีภัยอะไรกับใครเขาหรอก”
อนิรุทธิ์แค่นยิ้ม
“เด็กอาจจะไม่มีหรอกครับ แต่ไอ้ผู้ใหญ่ที่คอยหนุนหลังแล้วใช้เด็กเป็นเครื่องมือนี่สิ”
เติมบุญจ้องเขม็ง
“รุทกำลังหมายถึงอะไร ไม่สิ หมายถึงใคร ใครหนุนหลังบุญทิ้ง”
อนิรุทธิ์ทำท่าจะพูด แต่พอสบตากับเติมบุญก็เงียบลง ไม่อยากว่าปานฟ้ากับเติมบุญเพราะรู้ว่าพูดไปเติมบุญก็ไม่เชื่อ

ปานฟ้าเดินลงมาจากตัวตึก ก้องภพโผล่มาจากด้านข้างพร้อมช่อดอกไม้สวย เอามายื่นให้ตรงหน้า พวก พนักงานพากันมองซุบซิบยิ้มๆ
“ดอกไม้สวยๆสำหรับคนพิเศษของผม”
ปานฟ้าไม่รับ
“ให้ในโอกาสอะไรคะ”
“โอกาสที่อยากเห็นฟ้ายิ้มหวานๆ ให้ผม รู้ว่าทำไม่ดีไว้เยอะ ให้คุณไม่พอใจแต่ผมไม่อยากเห็นคุณเหนื่อยคุณเครียดแบบนี้ รับไว้สิจ๊ะ”
“ไม่เห็นต้องหมดเปลืองขนาดนี้เลยค่ะ แค่น้ำใจฟ้าก็ยินดี นี่ดอกไม้ช่อนึงตั้งแพงแถมยังเก็บไว้ได้ไม่นานอีก”
ก้องภพดันดอกไม้จะให้ปานฟ้ารับ
“สำหรับฟ้า มากกว่านี้อีกสิบเท่า ก็ไม่มีคำว่าเปลือง ถือเป็นการขอ โทษตอนงานเดินแฟชั่นที่ผมหงุดหงิดจนทำตัวไม่น่ารัก รับไว้นะครับ แทนคำขอโทษจากก้อง”
ขณะเดียวกัน ภาคินยืนอยู่หน้าตึกไกลๆ เห็นปานฟ้ารับช่อดอกไม้มาถือ เธอละสายตาจากดอกไม้เห็นภาคินยืนอยู่ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น ภาคินหันหลังเดินกลับไปอย่างเศร้าๆ ปานฟ้าแม้จะยิ้มอยู่แต่นัยน์ตาเศร้า มองตามภาคิน
ภาคินขับรถออกมาอย่างเหม่อลอย ภาพปานฟ้ารับดอกไม้และกระซิบข้างหูก้องภพแวบเช้ามา ภาคินขับรถไปเรื่อยๆมือกำพวงมาลัยแน่น รู้ตัวอีกทีก็เห็นคณะลิเก ภาคินชะลอรถมองเข้าไปครู่หนึ่งเห็นช้อยกับกัญญายืนอยู่ ภาคินจึงถอยรถจอดข้างแนวรั้ว

เติมบุญนั่งด้านหลังคู่กับบุญทิ้ง เด็กชายมองออกไปข้างนอกแต่ท้องดันร้อง บุญทิ้งหันมาสบตาเติมบุญยิ้มเขินๆ
“หิวข้าวใช่ไหม ฉันก็ลืมไปว่านี่มันก็บ่ายแล้ว ยังไงแวะหาอะไรกินที่บ้านฉันก่อนแล้วกัน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับไปกินที่มูลนิธิได้”
“กว่าจะถึงมูลนิธิ อีก 2 ชั่วโมงได้ เราหิวตาย”
บุญทิ้งยิ้ม
“ไม่หรอกครับ ผมทนหิวเก่ง เมื่อก่อน ไม่ได้กินข้าวทั้งวันยังบ่อยไป”
เติมบุญมองอย่างปราณี
“ลำบากขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย”
บุญทิ้งถอนใจเศร้า
“ก็ผมไม่มีแม่ ถ้ามี แม่คงไม่ให้ผมต้องหิวหรอกครับ”
บุญทิ้งน้ำตาคลอ คิดถึงแม่ เติมบุญโอบไหล่อย่างนึกสงสารจับใจ

ภาคินเดินเข้าไปข้างใน แอบยืนดูอยู่ข้างเสา กัญญากับช้อยกำลังต่อบทโดยมีถมนั่งดูห่างๆ
“แสนสงสารยิ่งนัก เมื่อลูกรักมาจากไกล หัวอกแม่หมองไหม้...โอ๊ย” ช้อยหยุดร้อง “แป๊บนึงนะฉันจำไม่ไหวแล้ว จะยากไปไหนเนี่ยนางเอกปวดกบาล”
ช้อยกุมหัวทำท่ามึน แต่หันมาเห็นภาคินเลยตกใจ
“อุ๊ยว้าย นึกว่าใคร” ช้อยวิ่งไปหาถม “พี่ถมจ๊ะพี่ถมจ๋า ไอ้หนุ่มที่วันก่อนมาเฝ้าแม่ครูของพี่มาอีกแล้วจ้ะ แหม ไม่รู้ติดอกติดใจอะไรนักหนา ไม่ทันไรก็แล่นมาอีกแล้ว ไม่เกรงอกเกรงใจกันมั่งเลย”
กัญญามองไปเห็นภาคิน อยู่หลังเสาก็ยิ้มดีใจรีบปราดเข้าไปหา
“ลูก...เอ่อ คุณภาคิน มาที่นี่ได้ยังไงคะ แล้วนี่หมดเรื่องคดีแล้วใช่มั้ย ฉันเป็นห่วงอยู่ตั้งหลายวัน”
ภาคินมองสงสัย
“ผมขับรถมาเพลินๆเลยแวะนิดหน่อย ว่าแค่คุณน้ารู้เรื่องคดีด้วยเหรอครับ ทราบมาจากทางไหน”
กัญญาหน้าซีด รีบเบี่ยงเรื่อง
“อ่อ เอ่อ...ก็เรื่องที่ถูกแทงเมื่อวันก่อนไงคะ เห็นมีแผลขนาดนั้นนึกว่าคุณจะแจ้งความกับตำรวจ”
“เรื่องนั้นผมไม่ได้บอกตำรวจหรอกครับ”
ถมมองภาคินอย่างไม่พอใจ แต่ช้อยมีแววสะใจเล็กๆ
“ดู๊ดู ดูนะพี่ถม แม่ครูคนดีของพี่ถึงกับปรี่ระริกระรี้เข้าไปหา ก็อย่างนี้ละน้า สาวแก่กับหนุ่มเอ๊าะก็เหมือนเสี่ยหัวงูกับเด็กสาว ปุบปับ แป๊บเดียวก็สนิทสนมกันไปไหนถึงไหน ท่าทางไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ใช่ย่อยนะพี่ถม ถึงกับกล้ามาหาถึงบ้านอย่างนี้ ท่าทางจะต้อง เสียดุลให้คนแก่แน่ๆ คอนเฟิร์ม”
ช้อยพูดไปหัวเราะคิกคักอย่างสะใจไป แต่ถมยิ่งได้ยินก็ยิ่งเครียด
“พูดมากน่าช้อย ไม่มีอะไรหรอก”
ช้อยขัดใจแต่ยังไม่เลิกรา
“จ้า...ไม่มี๊ไม่มี ถ้าอยากเชื่ออย่างงั้นก็ตามใจ”
ถมมองไปทางกัญญากับภาคินหน้าเครียดเจือไม่พอใจ ช้อยแอบยิ้มร้ายสะใจอยู่คนเดียว

ภาคินนั่งอยู่บนแคร่มองไปรอบๆ กัญญาเดินเข้ามาพร้อมถาดขนมผลไม้และน้ำ เขาลุกขึ้นรับ
“ขอบคุณครับ จริงๆไม่ต้องลำบากก็ได้ ผมแค่แวะมาเยี่ยม”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วนี่แผลคุณหายดีแล้วใช่ไหม”
ภาคินพยักหน้าไม่พูดอะไร ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม กัญญาลองมองเห็นเขามีสีหน้าไม่สบายใจก็เป็นห่วง
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย มีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่าคะ” กัญญาแตะหลังมือลูกชายเบาๆ “ถึงเพิ่งรู้จักกัน แต่ฉันก็รู้สึกว่า...คุณเหมือนลูก...เหมือนหลาน ถ้าไม่สบายใจอะไร ก็บอกได้เผื่อจะได้ช่วยกันหาวิธีแก้ไข”
ถมแอบมองอยู่ไกลๆเห็นกัญญาแตะมือภาคินก็ยิ่งไม่พอใจ ภาคินมองกัญญาอย่างรู้สึกอบอุ่นในใจ ยิ้มแห้งๆก่อนจะส่ายหน้า
“แค่เรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย อย่าใส่ใจเลยครับ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ภาคินก็ยังเศร้า กัญญาบีบมือเบาๆ
“งั้นทานขนมก่อน น้าทำลอดช่องน้ำกะทิไว้ เย็นๆชื่นใจ”
ถมมองกัญญาที่ยืนถ้วยขนมให้อย่างเอาใจ แล้วได้แต่มองอย่างไม่พอใจ แต่ไม่พูดอะไรออกมา

เติมบุญกับบุญทิ้งนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น บุญทิ้งดูโทรทัศน์อย่างสนใจ...
“เอ้า มัวแต่ดูทีวี ลืมขนมหมดแล้ว”
เติมบุญลูบหัว บุญทิ้งหันมายิ้มให้แล้วรีบตักขนมกินต่อ ตาดูทีวีไปด้วย ภูวดลเดินเข้ามากับธัญวิทย์ หน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีที่เห็นบุญทิ้ง ธัญวิทย์เบ้ปากอย่างรังเกียจ บุญทิ้งเห็นภูวดลก็แทบจะทิ้งขนมในมือแววตาหวาดกลัว ทำตัวลีบๆพยายามก้มหน้า ภูวดลถลึงตาใส่ บุญทิ้งเอาแต่ก้มลงมองถ้วยขนม กินไม่ลงแล้ว
“คุณพ่อพาไอ้เด็กสกปรกนี่เข้ามาในบ้านทำไมครับ จะมาประจบเอาใจเอาอะไรอีกฮึแก”
บุญทิ้งมองกลัวจนเกือบตัวสั่น แต่ธัญวิทย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังกลับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อย่างสนุกสนาน
เติมบุญไม่ชอบใจ
“ที่ไหนสกปรก บุญทิ้งเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน มารยาทก็ดี แล้วนี่ก็บ้านฉัน ฉันจะพาใครมา แกมีปัญหาอะไรเหรอภูวดล”
เติมบุญพูดจบก็มองธัญวิทย์ที่ยังทำหน้าทะลึ่งแกล้งบุญทิ้ง ธัญวิทย์เห็นสายตาก็รีบทำเฉย แอบด้านหลังภูวดล แต่ไม่วายทำหน้ารังเกียจใส่
“ผมไม่กล้ามีปัญหากับคุณพ่อหรอกครับ แต่ไอ้เด็กคนนี้ มันไว้ใจได้ที่ไหน เป็นสายโจรเข้ามาดูในบ้านเรารึเปล่าก็ไม่รู้”
เติมบุญชะงัก ไม่พอใจ
“พูดเหมือนบุญทิ้งไม่เคยมาบ้านนี้ มาตั้งกี่หนแล้ว ไม่เห็นจะเคยมี เรื่องอะไร อย่ามองเด็กในแง่ร้ายนักเลย” เติมบุญมองธัญวิทย์ที่แลบลิ้นใส่บุญทิ้ง “ทำอะไรเจ้าวิทย์ ขนาดตาอยู่ตรงนี้ทั้งคน ยังทำทะลึ่งทะเล้น...หัดสอนลูกมั่ง อย่าให้ท้ายมันมากนัก”
“ทั้งตัวผมคุณดาว แล้วยังธัญวิทย์ ไม่เคยทำถูกใจคนบ้านนี้อยู่แล้ว”
“ที่เตือน เพราะเห็นเป็นหลาน ถ้าเป็นคนอื่น ไม่พูดให้เสียปากหรอก”
ภูวดลยืนอึ้งโกรธ พิมที่แอบฟังอยู่ข้างประตูโกรธจนกำมือแน่น มองตามเติมบุญ และบุญทิ้ง ที่เดินไป ด้วยความเกลียดชัง
“หนอยไอ้แก่ กล้าด่าลูกฉันเรอะ สักวัน ได้โดนนังพิมเอาคืนแน่”

ปานดาวเดินเข้ามาในบ้าน สวนกับภูวดลที่เดินหน้างอโมโหออกมาจากในห้อง ปานดาวหมุนตัวกลับไปดึงแขนไว้
“เป็นอะไรคะภู หน้ายุ่งเชียว เครียดอะไรกันอีก”
ภูวดลฟึดฟัด สะบัดแขนเสียงดังใส่
“ผมไม่อยากพูด คุณเข้าไปดูเองแล้วกันว่าคุณพ่อสุดที่รักของคุณพาใครมา อีกหน่อยคงรับมาเลี้ยงในบ้านเลยมั้ง”
ภูวดลกระแทกเสียงซ้ำแล้วเดินฉุนเฉียวออกไป ปานดาวมองตามขมวดคิ้ว
“อะไรของเขา...”
ปานดาวรีบเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ธัญวิทย์นั่งหน้าหงิกกับบุญทิ้งที่นั่งหน้าเศร้า ดูเครียด ถือถ้วยขนมไว้ในมืออย่างกินไม่ลงแล้ว ปานดาวเห็นบุญทิ้งก็โกรธมาก เดินไปกระชากขนมในมือบุญทิ้งจนหกเลอะเทอะ
“แกเข้ามาที่นี่ได้ยังไงไอ้เด็กบ้า ตายแล้ว แกจะเข้ามาขโมยของใช่มั้ย ตาวิทย์ มานี่มาลูก เดี๋ยวมันฆ่าปาดคอเอา”
บุญทิ้งมองอึ้ง แววตาเสียใจ
“มองทำไมยะ สันดานอย่างแก โตไปไม่เป็นขโมย ก็เป็นโจร”
ธัญวิทย์กอดเอวอ้อน
“แม่ต้องไล่มันออกไปนะครับ มันแย่งขนมผมกิน แถมยังนิสัยไม่ดี ผมไม่ชอบมัน มันอ้อนคุณตาจนผมถูกดุด้วย ผมเกลียดมัน”
“ต๊าย เด็กอะไรร้ายกาจ อันธพาล เฮอะ เด็กไม่มีพ่อมีแม่ก็อย่างนี้แหละ ไม่มีใครอบรมสั่งสอน ไม่มีมารยาท เก่งแต่ปะเหลาะจะเอานู่นนี่ อ๋อ นี่แกหวังจะอ้อนเอาอะไรจากที่นี่ใช่มั้ย ฝันไปเหอะ ของที่นี่ทั้งหมดต้องเป็นของคุณธัญวิทย์เท่านั้น คนอื่นน่ะสลึงนึง ก็อย่าหวังว่าจะได้ จำใส่กะโหลกไว้ด้วย”
ปานดาวเอานิ้วจิ้มหัวบุญทิ้งจนเซ ธัญวิทย์มองอย่างสะใจ พิมที่ยืนอยู่ด้วยก็ยิ้มสะใจแล้วค่อยๆเดินเข้ามา
“ไล่มันไปเถอะค่ะคุณดาว อยู่ที่นี่นานไปเดี๋ยวเสนียดติด”
บุญทิ้งจะอ้าปากบอกว่าเติมบุญพามา แต่ก็กลัว ปานดาวจับไหล่บุญทิ้งดึงกึ่งลาก
“ไปไป๊ ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยไอ้เด็กสลัม ไปซะ แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก ฉันขี้เกียจล้างตัวเสนียดบ่อยๆ ไป๊ ไม่ไปใช่มั้ย งั้นฉันลากแกไปเอง”
ปานดาวกับพิมจับแขนบุญทิ้งคนละข้าง เด็กชายตกใจจะร้องไห้...สายอุษากับเติมบุญกำลังเดินมา ได้ยินเสียงเอะอะในห้องเลยรีบเข้าไปในห้องรับแขก เห็นพิมกับปานดาวลากแขนบุญทิ้งคนละข้างจะออกนอกห้อง เติมบุญโมโหเอ็ดเสียงดัง
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะยัยดาว หยุดรังแกเด็กเสียที”
พิมสะดุ้งเฮือก ปล่อยบุญทิ้งแล้ววิ่งไปหลบข้างหลัง ปานดาวทำหน้าหยิ่งๆไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยทำไมคะ ไอ้เด็กนี่มันแกล้งตาวิทย์ของดาว ดาวเป็นแม่ก็ต้องจัดการมันถึงจะถูก”
เติมบุญทนไม่ไหวเดินไปดึงมา
“แกล้งงั้นเหรอ ถ้าจะมีคนแกล้งน่าจะเป็นเจ้าวิทย์มากกว่า แกเป็นแม่น่าจะรู้นิสัยลูกดีไม่ใช่หรือไง ใครกันแน่ที่เกเร บอกตามา”
ธัญวิทย์หลบตาเติมบุญแล้วหลบข้างหลังปานดาวอีกที ปานดาวเห็นเติมบุญไม่เข้าข้างหันไปหาสายอุษาแทน
“งั้นคุณแม่ละคะ คิดว่าใครทำ ตาวิทย์หรือไอ้เด็กเปรตนั่น”
สายอุษาอึกอักเพราะรู้ดี
“แม่ว่าบุญทิ้งคงไม่กล้าทำอะไรวิทย์หรอกดาว”ง
ปานดาวได้ยินก็ชะงัก หน้าเปลี่ยนเป็นโกรธจัดทันที จ้องมองบุญทิ้งที่แอบอยู่ด้านหลังเติมบุญอย่างคลั่งแค้น
“อ๋อ เข้าข้างกันนี่เอง แปลกนะคะ ทั้งที่ตาวิทย์เป็นหลานแท้ๆ...แต่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ กลับไปเข้าข้างเด็กสกปรกข้างถนน วันนี้พาเข้าบ้านไม่รู้วันหน้าจะถึงขั้นทำพินัยกรรมยกมรดกให้หรือเปล่า อ่อ...ไม่สิ ไม่แน่ไอ้เด็กนี่อาจจะยกพวกเข้ามา ขนสมบัติที่หวงนักหวงหนาไปจนหมดก็ได้ ถึงวันนั้นดาวจะขำให้กลิ้งเลย คอยดู”
"หรือไม่อีกที ลูกหลานแท้ๆอาจจะผลาญสมบัติฉันหมดก่อนมีใครขนไป แกว่าอย่างงั้นมั้ยยัยดาว”
เติมบุญมองสายตาท้าทาย ปานดาวได้ยินยิ่งโมโหกระชากแขนธัญวิทย์ให้เดินจะออกนอกห้อง พิมเดินตามสีหน้าเป็นห่วง เพราะธัญวิทย์ร้องโอดโอย
“ไปตาวิทย์ ไม่ต้องอยู่ให้ตายายแท้ๆ มาถากถาง ด่าหลานในไส้ ที ไอ้พวกนอกไส้ล่ะ...รักกันนัก”
“โอ๊ยแม่ วิทย์เจ็บ”
ปานดาวไม่สนใจพูดต่อ
“ขอบอกให้คุณพ่อคุณแม่ทราบ ไม่ว่ายังไง ดาวไม่มีวันรับไอ้เด็กคนนี้ มาเป็นหลานแน่ๆ ลูกเสือลูกตะเข้ ใครจะเอา ก็เอาไปเถอะ”
ปานดาวลากธัญวิทย์ออกไปพิมวิ่งตาม บุญทิ้งมองเศร้าๆ...เติมบุญพาบุญทิ้งไปนั่งที่โซฟา สายอุษามองอย่างสงสาร บุญทิ้งกลัวปานดาว ใบหน้าเศร้าน้ำตาจะหยด
“ไม่เป็นไรนะบุญทิ้ง อย่าคิดมากเลย คุณปานดาวเขาก็เป็นอย่างนี้แหละ พอหายโมโหแล้วก็ดี”
บุญทิ้งยกมือไหว้ขอโทษ
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณปานดาวโกรธ”
สายอุษามองเอ็นดู
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก บุญทิ้งไม่ต้องกลัว”
“วันนี้พาบุญทิ้งไปเยี่ยมเดือนมา อาการลูกเรา ดีขึ้นผิดหูผิดตาเลยล่ะคุณ” เติมบุญหันไปพูดกับบุญทิ้ง “ไว้ฉันจะรับไปเยี่ยมคุณเดือนของเราบ่อยๆ ดีมั้ย”
บุญทิ้งยิ้ม พนักหน้าแรงๆ
“ไปครับ ผมชอบคุณเดือน คุณเดือนใจดีที่สุดเลย”
สายอุษาสะท้อนใจ
“น่าเอ็นดู...ถ้าทินภัทรเป็นคนพูดฉันคงดีใจมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า ไม่รู้ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง...อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”
“จะใครพูดก็เหมือนกัน บุญทิ้งพูดก็เหมือนทินภัทรพูดนั่นแหละ”
สายอุษาส่ายหน้า
“ไม่เหมือนหรอกค่ะ ถึงเป็นเด็กดีแค่ไหน แต่ยังไงบุญทิ้งก็ไม่ใช่หลานเราอยู่ดี”
เติมบุญอึ้งไปกับคำพูด บุญทิ้งยังพยายามยิ้มทั้งๆที่หน้าเศร้า

ปานดาวกระแทกส้นเท้าเดินปังๆดึงธัญวิทย์ที่ร้องโอดโอยน้ำตาไหลเดินตามมาในห้อง
“แกจะร้องทำไมตาวิทย์ ร้องไปตายายแกก็ไม่สนใจหรอก”
พิมวิ่งตามมาในห้อง
“ปล่อยคุณวิทย์นะคะคุณดาว คุณวิทย์เจ็บ”
ธัญวิทย์คร่ำครวญ
“แม่...ผมเจ็บ โอ๊ย...โอ๊ย”
“นังพิม แกอย่ามาแส่ ออกไปเดี๋ยวนี้”
ปานดาวไม่ยอมปล่อย ธัญวิทย์ร้องไห้ด้วยความเจ็บสะบัดมือปานดาวออกแล้ววิ่งไปหาพิม พิมกอดลูกรับขวัญแล้วเอาซ่อนไว้ด้านหลัง
“คุณจะทำคุณวิทย์ให้ได้อะไรคะ หมามันยังไม่กัดลูกมัน นี่ลูกของ” พิมทำท่าจะหลุดปาก “...ลูกของคุณแท้ๆ ยังทำได้ลงคอ”
ปานดาวโมโหที่ถูกสั่งสอน
“เดี๋ยวนี้แกกล้าสั่งสอนฉันเหรอนังพิม...ตาวิทย์ แกจะเป็นลูกเจ้านายอย่างแม่หรือจะเป็นลูกนังพิมคนใช้ เลือกเอาแล้วกัน ถ้าจะเป็นลูกแม่ ก็มานี่ เลือกดีๆนะ อย่าโง่”
ธัญวิทย์มองปานดาวสลับกับพิม แล้วปล่อยมือจากพิมเดินกล้าๆกลัวๆไปหาปานดาวแทน พิมอึ้ง มองธัญวิทย์ อย่างเสียใจ ผิดหวัง แล้วเลยไปมองปานดาวอย่างแค้นๆ ปานดาวยิ้มเหยียดอย่างผู้ชนะกอดธัญวิทย์แล้วพูดยิ้มๆ
“ดีมาก ลูกแม่ต้องเลือกให้ได้อย่างงี้สิ แล้วถ้าลูกเห็นไอ้เด็กบุญทิ้งนั่นมาอีกไม่ต้องกลัว แกล้งได้ให้แกล้ง ใส่ความมันได้เท่าไหร่ยิ่งดีไม่ต้องสงสาร เพราะมันจะมาเอาสมบัติของลูกไป ลูกต้องอย่ายอมแพ้มันเด็ดขาดเข้าใจมั้ย”
ธัญวิทย์ปาดน้ำตายิ้มร้ายพยักหน้ารับ
“แล้วคนอื่น” ปานดาวมองหน้าพิม “ทีหลังฉันไม่ถามไม่ต้องสาระแน ฉันเป็นแม่มีสิทธิ์สอนได้ทุกอย่าง ไม่ใช่แม่ อย่ามายุ่ง”

ปานดาวกอดธัญวิทย์แน่น แต่ส่งรอยยิ้มร้ายๆ ให้ พิมได้แต่นิ่งเงียบเก็บความไม่พอใจไว้

อ่านต่อหน้า 4




ดุจดาวดิน ตอนที่ 7 (ต่อ)

ภูวดลเดินมองซ้ายมองขวามาที่สวน เจอพิมยืนรออยู่แล้วด้วยหน้าตาบึ้งตึง

“มีอะไรพิม ดึกๆ ดื่นๆ แล้ว”
“ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ โดนด่าแดกดันยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เสี้ยมสอนลูกฉันให้เลวเสียเด็กอีก”
ภูวดลทำหน้าเบื่อๆ
“นึกว่าอะไร เรื่องแค่นี้ค่อยไปสอนให้ดีตอนโตก็ได้ ตอนนี้ให้มันร้ายก่อนน่ะดีแล้ว เพราะถึงยังไงผู้ใหญ่ก็ยังไม่กล้าด่ามาก จะแกล้งเด็กก็ต้องใช้เด็กนี่แหละทำ ดีเสียอีก ให้วิทย์มันลับคมไว้โตไปจะได้ไม่โง่ถูกใครหลอกไง”
พิมนิ่งไป ไม่พอใจ
“แต่นั่นมันลูกพิมนะพี่”
“ยังจำสัญญาไม่ได้หรือไง ให้เป็นลูกพี่กับคุณดาวแหละดีแล้ว สมบัติจะได้เป็นของเราอย่างเดียว”
พิมฮึดฮัด
“จำไม่ได้ ฉันไม่ทนอยู่อย่างงี้หรอก พี่ไปบอกนังเมียพี่ด้วยแล้วกันว่าอย่าให้มากไปนัก ถ้าด่าประชดฉันอีก คราวนี้ฉันจะเอาลูกไปจากบ้านนี้ ให้อดสมบัติกันทั้งหมดแน่”
พิมพูดขู่อย่างเอาเรื่อง แววตาเอาจริง


ตุลย์ในคราบหนุ่มเจ้าสำอาง ใส่สูทหล่อเนี้ยบยืนอยู่ใกล้ๆหน้าคลับ หยอกล้อสาวๆ บ้าง บ๊ายบายบ้าง ขณะเดียวกัน ภาคินเดินเร็วๆมาในชุดเสื้อโปโล กางเกงแสล็ค มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ตุลย์ถอดแว่นกันแดดจุ๊ปาก
“โหยภาคิน แต่งตัวมาเที่ยวผับนะเว้ยไม่ใช่งานบวช เอาแบบฮิปๆ ชิคๆตามสมัยหน่อยดิ นี่ ดูซะก่อน วันนี้คุณตุลย์หล่อระเบิด สาวรักสาวหลง” ตุลย์ทำท่าขยับสูท “ต่อให้คุณแก้วก็เหอะ เจอวันนี้มีกรี๊ด”
ภาคินแอบขำ
“ให้ฮิปให้แนวยังไงล่ะ แต่งแค่นี้ พอแล้ว”
“โน้วๆ ด๊อนท์วอรี่ ในฐานะผู้นำแฟชั่น อุปกรณ์เสริมพร้อมจัดเต็มๆ เนื้อๆเน้นๆ ไม่หล่อเท่ากันให้มันรู้ไป”
ตุลย์ส่งสูทสีดำแบบเก๋ๆ ให้พร้อมกับแว่นกันแดด ภาคินรับมาใส่
“อย่างนี้แหละคูล ป่ะ ไปข้างในกันดีกว่าเพื่อน สาวตรึม”
ตุลย์โอบบ่า ภาคินกระซิบ
“แน่ใจนะหมวดว่าอยู่ที่นี่”
ตุลย์ยิ้มกว้างทำท่าเท่
“เดี๋ยวก็รู้”


ในคลับ...นักเที่ยวกำลังเต้นดื่มกินกันอย่างเมามัน ภาคินกับตุลย์แทรกอยู่ในกลุ่มคน มีเครื่องดื่มวางบนโต๊ะ ตุลย์ชี้ให้ดูคนที่เดินผ่านไปซึ่งถือแก้วเหล้าสองแก้ว
“นั่น...คนนั้นเลย น้องสายฟ้าฟาดใช่ไหม”
ภาคินมองเห็นสายฝนแล้วพยักหน้า
“ใช่ คนนั้นแหละ เข้าไปถามกันเลยดีกว่า”
ภาคินทำท่าจะเดินไป แต่ตุลย์จับแขนไว้
“เดี๋ยว รอดูไปก่อน เผื่อเจออะไรดีๆ”
สายฝนนุ่งสั้นเซ็กซี่เดินยิ้มหวานไปหาคนที่นั่งหันหลัง เด็กสาวสะกิดให้หันมา ก้องภพคว้าตัวสายฝนมานั่งตัก สายฝนก้มลงจูบแก้มซ้ายขวาหัวเราะคิกคัก
ภาคินยืนตะลึงด้วยความคาดไม่ถึง ตุลย์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แอบถ่ายคลิปวิดีโอ ไว้ทันที
“นึกว่าใครที่ไหน คนกันเองทั้งน้าน ไปรอที่รถได้เลย ทางนี้ผมจัดการเอง หึหึ”
ตุลย์ยืนถ่ายคลิป ด้วยความสะใจที่ได้เจอหลักฐานเด็ด ภาคินมองภาพข้างหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

สายฝนเดินออกจากห้องน้ำ ตุลย์เข้ามาฉุดดึงตัวสายฝนไปที่มุมหนึ่งของผับที่ปลอดตาคน สายฝนตกใจมากที่เห็นหน้าตุลย์
“อะไรกันคะ ผู้หมวดมาจับฝนอย่างนี้ทำไมคะ”
“เลิกทำไร้เดียงสาได้แล้ว บอกความจริงมาเลยดีกว่า น้องมาทำอะไรที่นี่ แล้วมาสนิทสนมกับก้องภพ ได้ยังไง”
“อะไรคะ ฝนไม่เข้าใจ ฝนไม่รู้เรื่อง”
ตุลย์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดคลิปวิดีโอที่ถ่ายไว้ให้สายฝนดู สายฝนตกใจกับภาพที่เห็น
“นี่ หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ ยังจะทำปากเแข็งอีกเหรอสายฝน บอกความจริงมาดีกว่า เรา ที่หาว่าโดนลวนลาม ที่แท้ก้องภพเป็นคนวางแผนให้ใช่มั้ย“
“ไม่รู้ค่ะ ฝนไม่รู้”
“จะยอมพูดดีๆ หรืออยากให้ฉันไปขุดประวัติของเธอมาประจาน ว่าจริงๆแล้ว หากินเป็นเด็กเสี่ยมากี่คน ส่วนพ่อก็ตายตั้งแต่เธอยังเด็ก ไม่มีใครจะข่มขืนเธอหรอก หลอกลวงอย่างนี้โดนข้อหาต้มตุ๋น และอีกหลายกระทงนะน้อง”
สายฝนหน้าเสีย
“อย่านะคะ หมวด ฝนขอร้องค่ะ ฝนไม่รู้จริงๆนะคะ ฝนไม่ได้ตั้งใจ คุณก้องภพเค้าจ้างให้ฝนทำ ฝนก็ทำแค่นั้นเองค่ะ ฝนไม่รู้จริงๆ”
สายฝน สะบัดจนหลุดจากตุลย์ แล้ววิ่งหนีไป ตุลย์เดินเข้ามาหาภาคินที่รอที่รถ
“ที่แท้ยัยเด็กสายฝน ก็คือตัวละครที่นายก้องภพ ส่งไปทำลายชื่อเสียงคุณ กับมูลนิธิ”
“ผมก็รู้ ว่าก้องเกลียดผมมาตลอด แต่นึกไม่ถึงว่าจะใช้วิธีสกปรก ทำลายกันขนาดนี้”
“รู้แบบนี้แล้ว ก็เตรียมตัวรับมือได้เลยเพื่อน ลูกของพ่อนายคนนี้มันไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่”
ภาคินถอนใจยาวอย่างขมขื่นเป็นกังวล

วันต่อมา...ปานฟ้ามาที่มูลนิธิพบภาคิน ก็ทำเมิน ไม่อยากมองหน้า ภาคินยิ้มดีใจที่ได้พบเธอ
“มารับบุญทิ้งไปเยี่ยมคุณเดือนหรือครับ”
ปานฟ้ามึนตึง
“ค่ะ”
“นั่งพักทานน้ำก่อนดีมั้ยครับ”
“ขอบคุณค่ะ แต่ฟ้ามีธุระไปอีกหลายที่ ไม่รบกวนดีกว่า บุญทิ้งอยู่ไหนล่ะคะ”
ภาคินมองสบตา
“คุณฟ้าไม่เคยรบกวนอะไรผมหรอกครับ ทุกอย่างที่ผมทำให้คุณฟ้า เป็นความเต็มใจ แล้ว...”
ปานฟ้าเห็นบุญทิ้งเดินมาก็ตัดบท
“บุญทิ้ง...”
บุญทิ้งเข้ามา
“สวัสดีครับพี่ฟ้า...พี่ภาคินครับ มีคนมาขอพบครับ”
“ใครเหรอบุญทิ้ง”
บุญทิ้งทำอึกอัก ปานฟ้าสงสัยท่าทีของบุญทิ้ง


สิริโสภายิ้มสดใสให้ภาคิน ปานฟ้า และบุญทิ้งที่เดินเข้าไปหา
“ภาคิน”
“ภานี่เอง นึกว่าใคร”ภาคินยิ้มให้
“เรามีนัดกัน คงไม่ลืมนะคะ”
สิริโสภาเข้าไปกอดแขนภาคินอย่างสนิทสนม ปานฟ้ามองอย่างเก็บความรู้สึก สิริโสภาหันไปทักปานฟ้า
“คุณฟ้า เจอกันอีกแล้วนะคะ มารับบุญทิ้งเหรอคะ”
“ค่ะ งั้นฟ้าขอตัวนะคะ”
ปานฟ้าเดินแยกไปกับบุญทิ้ง ภาคิน มองตามปานฟ้าอย่างเป็นห่วงความรู้สึก สิริโสภามองเห็นแววตาของภาคินที่มองปานฟ้าอย่างสังเกต


สิริโสภาเปิดดูเอกสารของมูลนิธิ พูดคุยถึงโครงการที่จะระดมทุนให้มูลนิธิกับภาคิน แต่ภาคินมีอาการเหม่อลอย
“โห ภาคิน คุณบริหารมูลนิธิมาได้ยังไงคะเนี่ย ด้วยเงินแค่นี้ เด็กตั้งมากมาย อยู่กันอย่างนี้ลำบากแย่เลยนะคะ ภาว่าถึงเวลาที่เราต้องจัดกิจกรรมอะไรบางอย่าง เพื่อระดมทุน”
สิริโสภา เงยหน้ามองภาคินที่กำลังเหม่อ
“ภาคิน...ภาคิน ใจลอย คิดถึงใคร”
ภาคินสะดุ้ง
“เปล่าครับ ภาว่าต่อสิครับ”
“แน่ใจนะคะ ว่าฟังภาพูดอยู่ ไม่ได้กำลังคิดถึงใครบางคน ภากำลังพูดว่า เราน่าจะจัดงานระดมทุนเพื่อช่วยมูลนิธิของคุณ เราไปจัดที่ห้างสรรพสินค้าของคุณฟ้ากันดีไหมคะ”
“เอ่อ...เราอย่ากวนคุณฟ้าเค้าเลยครับ”
“อ้าว ภาก็คิดว่า คุณสนิทกับเธอซะอีก เห็นห่วงกันขนาดนี้”
“ห่วงอะไรกัน”
“อย่านึกว่าไม่รู้นะ แค่มองตาภาก็รู้แล้ว ว่าคุณคิดอะไรกับ คุณฟ้า”“อย่างผม...ไม่กล้าคิดอะไรหรอก”
“ให้มันจริงเถอะ แต่อย่าลืมนะคะ ว่าคุณยังมีภาอยู่ข้างๆเสมอ”
“ขอบคุณมาก...เพื่อนรัก”
ภาคินมองสิริโสภาด้วยความขอบคุณ


บุญทิ้งพาปานเดือนออกมานั่งรถเข็นที่สนามหญ้า เพื่อสูดอากาศ ปานเดือนใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
“สบายจัง”บุญทิ้งบอก
ปานเดือนยิ้มอย่างสุขใจ
“แม่ก็ชอบ ลูกพาแม่มาบ่อยๆ นะ...ทินภัทร”
“ครับ ถ้าผมมาเยี่ยมคุณเดือนอีก ผมจะพาคุณเดือนมานั่งที่สนามนี้นะครับ”
“เรียกแม่สิ ทำไมเรียกคุณเดือน เรียกแม่ สิลูก”
บุญทิ้งอึกอัก ลำบากใจ
“ครับ...แม่”
ปานเดือนโผกอดบุญทิ้ง
“ทินภัทร ลูกแม่...แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน อย่าทิ้งแม่ไปไหนอีกนะลูก”
บุญทิ้ง อยู่ในอ้อมกอดของปานเดือน แต่สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจเพราะตัวเองไม่ใช่ทินภัทรของปานเดือนจริงๆ อนิรุทธิ์ มอง ภาพปานเดือนกอดกับบุญทิ้ง ด้วยความรู้สึกดี ที่เห็นปานเดือนอาการดีขึ้นและมีความสุข ปานฟ้าเดินเข้ามาคุยด้วย
“ถ้าไม่ได้บุญทิ้ง พี่เดือนคงแย่ พี่รุทคะ พอดีฟ้ามีประชุมด่วน จะขอรบกวนให้ช่วยไปส่งบุญทิ้ง ที่บ้านได้ไหมคะ คุณพ่อท่านบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับบุญทิ้ง”
“เรื่องสำคัญ...เด็กนั่น ชักจะสำคัญกับคนบ้านนี้มากขึ้นทุกวันแล้ว”
“หมายความว่ายังไงคะพี่รุท”
อนิรุทธ์มองหน้า
“น้องฟ้าน่าจะรู้ดี แล้วก็อย่าคิด ว่าคนอื่นจะโง่”
อนิรุทธิ์เดินหน้าเฉยไป
“อะไรของเขา พักนี้พูดไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”ปานฟ้างง


ป้านุ่มทำความสะอาดห้องรับแขก เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ป้านุ่มมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหูโทรศัพท์ ปรากฏว่า วิมลวรรณชิงตัดหน้ามารับโทรศัพท์แทน
“ไม่ต้อง ฉันรับเอง”
ป้านุ่มสะดุ้งรีบถอยจากโทรศัพท์
“ฮัลโหล...”
ปลายสายเงียบไป
“ฮัลโหล นั่นใครน่ะ นี่คุณหญิง…อ้าว...ทำไมไม่พูด”
ป้านุ่มรู้ทันทีว่าปลายสายต้องเป็นบุษบาแน่ๆ จึงคิดจะช่วย
“เอ่อ...ให้อิฉัน คุยให้ไหมคะ”
วิมลวรรณหันไปตะคอกใส่
“ไม่ต้องยุ่ง” วิมลวรรณหันมาพูดโทรศัพท์ต่อ “นั่นแกใช่ไหมนังบุษบา ยังจะกล้าโทรมาที่บ้าน หลังนี้อีกเหรอ ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าให้ออกไปจากชีวิตฉัน ถ้าขืนแกยังมาวอแว กับครอบครัวฉันอีกล่ะก้อ ฉันจะตามไปรังควานแกให้ถึงที่โรงลิเก จำไว้นะ ว่าไปให้พ้นจากชีวิตฉันได้แล้ว ไปผุดไปเกิดสักทีนังบุษบา”
อานนท์เดินมาได้ยิน
“นั่นคุณคุยกับใคร”
วิมลวรรณรีบวางหู แล้วทำหน้าเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ อานนท์จ้องหน้าสงสัย ถามเสียงเรียบเอาจริง
“ผมถามว่าคุณคุยโทรศัพท์กับใคร บุษบาใช่ไหม”
“ถ้าใช่ แล้วคุณจะทำไม”
“นี่คุณรู้ใช่ไหม ว่าบุษบาอยู่ที่ไหน”
“จะรู้ไปทำไม อ้อ...ยังอาลัยอาวรณ์ มันอยู่อีกหรอคะ”
อานนท์จับไหล่วิมลวรรณคาดคั้น
“บอกผมมานะว่าตอนนี้บุษบาอยู่ที่ไหน”
วิมลวรรณสะบัดตัวจากอานนท์
“เรื่องอะไรฉันจะบอกให้โง่ ถ้ารักมันมากนัก ก็หามันให้เจอเองสิ”
วิมลวรรณ เดินจากไปด้วยความโกรธ อานนท์ หันไปมองป้านุ่ม
“นุ่ม เธอรู้เรื่องบุษบาเหมือนกันใช่ไหม บอกฉันมาสิว่าบุษบาอยู่ที่ไหน”
ป้านุ่มมองวิมลวรรณ ที่ถลึงตาใส่อย่างสุดโหดเลยอึกอัก พูดไม่ออก
“เอ่อ...นุ่มไม่ทราบค่ะ คุณอานนท์”
“บอกฉันมาเถอะนุ่ม ว่าแม่บุษบาเป็นยังไง อยู่ที่ไหน”
วิมลวรรณจ้องตาแข็ง
“นุ่ม ไม่รู้จริงๆค่ะท่าน”
ป้านุ่มพูดจบรีบเดินออกไป เพราะกำลังจะถูกอานนท์คาดคั้น วิมลวรรณมองอานนท์ที่ผิดหวัง อย่างเยาะหยัน สะใจ


ป้านุ่มรีบเดินออกจากห้องรับแขก หนีจากเรื่องวุ่นวายที่เจอ แต่มาสะดุ้งสุดตัว เมื่อวิมลวรรณโผล่มาจากมุมหนึ่ง มองด้วยสายตาโกรธแค้นเต็มกำลัง
“นังนุ่ม”
ป้านุ่มตกใจสุดขีด วิมลวรรณค่อยๆเดินเข้าไปหา ป้านุ่มนั่งลงกับพื้นก้มหน้างุด
“ฉันหวังว่าแกคงจะรู้นะ ว่าต้องทำตัวยังไง”
วิมลวรรณจับหน้าของป้านุ่มให้เงยขึ้นเพื่อมองตา
“แก...ต้องไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนังบุษบาทั้งนั้น วันไหนที่แกพูดเรื่องมันขึ้นมา วันนั้น จะเป็น วันตาย ของแก...เข้าใจมั้ย”
วิมลวรรณผลักหน้าของป้านุ่มจนหงาย แล้วเดินจากไป ป้านุ่มสะอื้นด้วยความเจ็บและกลัวกับพฤติกรรมของวิมลวรรณ


บุญทิ้งนั่งรถมากับอนิรุทธิ์ เลี้ยวเข้าบ้าน มอเตอร์ไซค์ที่สะกดรอยตามมาจอดเยื้องกับประตูหน้าบ้าน ชายคนที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกกันน็อคออก เป็นพ่วงนั่นเอง ที่ตามสะกดรอยมาถึงบ้านเติมบุญ
“ไอ้ทิ้ง เข้าออกบ้านเศรษฐีเป็นว่าเล่นเชียวนะเอ็ง หึหึ”
พ่วงมองอย่างมีแผน
ทางด้านบุญทิ้งเข้ามาในห้องรับแขก ก้มลงกราบที่ตัก เติมบุญ และ สายอุษา
“ดีมาก กราบไหว้ ผู้มีพระคุณ ผู้อาวุโส มีแต่คุณ พบแต่ความสุขความเจริญนะหลาน สอนง่ายจริงๆนะเรา” เติมบุญลูบหัวด้วยความเอ็นดู
สายอุษายิ้มให้
“ฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัย ไปไหนก็มีแต่คนเอ็นดูนะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งยิ้มตอบ
“ครับผม ผมจะจำไว้ครับ”
“เป็นเด็กดีอย่างนี้ มาอยู่ด้วยกันซะที่นี่เลยดีไหมบุญทิ้ง” เติมบุญเอ่ยชวน
สายอุษาหนักใจ
“มันจะเร็วไปไหมคะคุณ ยัยเดือนก็ยังอยู่ในโรงพยาบาล แล้วยังธัญวิทย์อีกล่ะคะ หลานจะน้อยใจเรารึเปล่า”
“เป็นหลานแท้ๆ แต่เคยจะเฉียดมาให้เราชื่นใจอย่างนี้ไหมล่ะ เจอก็ไม่เคยคิดจะกราบไหว้ บางทีแทบจะเหยียบหัวตา เลยด้วยซ้ำ”
สายอุษา คิดหนัก
“หลานยังเด็ก แต่ถึงวิทย์จะเกเรบ้าง แต่ก็ไม่จำเป็นถึงกับต้องให้บุญทิ้งมาอยู่บ้านหลังนี้เลยนี่คะ”
“เอาเป็นว่า บุญทิ้งก็มาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆแล้วกันนะ คนแก่จะได้ไม่เหงา”
บุญทิ้งก้มลงกราบ เติมบุญ และ สายอุษา
“ขอบคุณครับ ผมจะไม่ลืมพระคุณ ท่านทั้งสองเลยครับ”
เติมบุญยิ้มอย่างชื่นใจ สายอุษามองบุญทิ้งด้วยแววตาเอ็นดูเล็กๆ แต่ก็ไม่ถึงกับปลื้ม


วันต่อมา...ปานฟ้ามารับบุญทิ้งที่มูลนิธิ พบภาคินที่กำลังเดินดูงานในมูลนิธิอยู่กับสิริโสภา แต่ไม่ได้ทักทายอะไรกัน ปานฟ้าเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าเพื่อสวัสดี จากนั้นก็พาบุญทิ้งขึ้นรถออกไป ภาคินมองตามด้วยความอาลัย
เมื่อมาที่บ้านเติมบุญ บุญทิ้งยกชามาเสิร์ฟให้สายอุษา โดยมีป้าแก้วคอยบอก คอยสอนให้ทำอย่างไร สายอุษามองบุญทิ้งอย่างอดเอ็นดูไม่ได้ เด็ชายนวดขาให้สายอุษาอย่างเต็มใจ ธัญวิทย์โผล่มา ถือดาบของเล่น กระโดดทับขาสายอุษาไปมา เหมือนจะสู้กับศัตรูเพื่อแกล้งบุญทิ้ง สายอุษาส่ายหน้าระอาในความเกเร ของธัญวิทย์ และลูบหัวบุญทิ้งเพื่อเป็นการปลอบใจ

เช้าวันต่อมา...ปานฟ้า มารับบุญทิ้งเหมือนเคย แต่ครั้งนี้มาเจอภาคินเข้าพอดีจึงยิ้มน้อยๆเพื่อทักทาย แล้วกำลังจะเดินเลี่ยงไปรับบุญทิ้ง แต่ภาคินเรียกเพื่อขอคุยด้วยก่อน
“คุณฟ้าครับ ผมทำอะไรให้คุณฟ้าไม่พอใจรึเปล่าครับ”
“เปล่านี่คะ”
“แล้วทำไมตอนนี้ทุกครั้งที่เราเจอกัน คุณฟ้าถึงทำเหมือนผมเป็นคนอื่น”
หญิงสาวมองเขาด้วยความน้อยใจ
“ฟ้าต่างหากล่ะคะ ที่เป็นคนอื่น”
พูดจบเธอก็หลังกลับ ภาคินพูดไล่หลังไป
“ผมไม่เคยเห็นคุณฟ้าเป็นคนอื่นนะครับ ผม...ผม เข้าใจมาโดยตลอด ว่าเรา...เรา...”
ภาคินอึกอัก หญิงสาวหันกลับมามองตาชายหนุ่ม เพื่อรอคำพูดต่อไปจากเขา แต่เขาไม่อาจเปิดเผยความในใจออกมาได้ เธอจึงพูดด้วยความน้อยใจ
“เราแค่เป็นคนที่บังเอิญได้รู้จักกัน และช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามที่จำเป็น แค่นั้น...ใช่มั้ยคะ แค่นั้นจริงๆ”
หญิงสาวหันหลังกลับ และ เดินจากไปด้วยความน้อยใจ ชายหนุ่มมองตามอย่างเสียใจ และ โกรธที่ตัวเองไม่กล้าเผยความในใจ


เติมบุญนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ สายอุษานั่งปักผ้าอยู่ บุญทิ้งคอยนวดขาให้เติมบุญ
“แก้วไปไหนแล้วนะ จะให้ช่วยร้อยด้ายให้สักหน่อย” สายอุษาถามขึ้น
“ผมทำให้ไหมครับ”
เติมบุญมองยิ้มๆ
“ร้อยด้ายเป็นด้วยเหรอบุญทิ้ง”
“ได้สิครับ ผมน่ะมือหนึ่งเลยนะครับ แต่ผมรบกวนขอเส้นผมท่านสักเส้นได้มั้ยครับ”
สายอุษายิ้ม
“จะถอนหงอกกันซะแล้วเหรอ เอ้า...ลองดูสิ จะทำยังไง”
สายอุษาถอนผม ให้บุญทิ้ง 1 เส้น เด็กชายรับมาพูดไป ทำไป สายอุษากับเติมบุญมองอย่างเอ็นดู
“ง่ายนิดเดียวครับ ผมก็แค่เอาผมของท่าน มัดกับด้ายอย่างนี้” บุญทิ้งชูให้ดู “จากนั้น ก็สอดผม ซึ่งจะมีความแข็งมากกว่าด้าย เข้าไปที่รูเข็ม มันจะสอดง่ายมากๆครับ อย่างนี้...เห็นไหมครับ ได้แล้ว จากนั้น เราก็สามารถเอาด้ายร้อยใส่รูเข็มเล็กๆได้อย่างสบายเลยครับ นี่ครับ”
บุญทิ้งยื่นเข็มร้อยด้ายให้ สายอุษารับไปแล้วยิ้มให้กับเติมบุญ เหมือนรู้สึกอะไรบางอย่าง
“เธอรู้ไหมบุญทิ้ง ว่าวิธีนี้ ไม่ทำให้ฉันแปลกใจเลย เพราะเคยมีบางคนร้อยด้ายให้ฉันอย่างนี้เหมือนกัน”
เติมบุญอึ้งไป
“ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเธอก็จะมีเทคนิคร้อยด้าย แบบเดียวกับแม่เดือนเลย”
บุญทิ้งแปลกใจ
“คุณปานเดือนน่ะเหรอครับ”
“ใช่ ยัยเดือนน่ะ มือหนึ่งตัวจริงเลยนะ ถ้าเธอคิดว่าเธอเองก็เป็นมือหนึ่ง สงสัยสักวันฉันต้องให้เธอกับยัยเดือนมาประลองฝีมือกันแล้ว ว่าใครจะร้อยด้ายได้ไวกว่ากัน ดีไหมคุณ”
เติมบุญชอบใจ
“ฮ่าๆๆ เตรียมตัวให้ดีเลยนะบุญทิ้ง แม่เดือนฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆนะเอ้า”
สายอุษา เติมบุญ และ บุญทิ้ง หัวเราะไปด้วยกัน ด้วยความสุข


ธัญวิทย์นั่งโวยวายอยู่ที่โต๊ะอาหาร มีพิมคอยตามใจ
“ไม่กิน แค่เห็นก็กินไม่ลงแล้ว วันๆไม่คิดจะทำอย่างอื่นที่มันดีกว่านี้ให้กินรึไง ฉันจะกินพิซซ่า พิซซ่าๆๆ”
“นั่นสิคะ ไอ้ข้าวต้มเนี่ยทำมาอยู่ได้ ข้าวต้ม คุณธัญวิทย์กำลังโตแทนที่จะหาอาหารดีๆให้ทาน ดันทำอาหารคนป่วยให้กิน”
ป้าแก้วเดิน พาบุญทิ้งเข้ามาร่วมโต๊ะ
“อิฉัน ก็ทำตามคำสั่งคุณท่านนะคะ ท่านเห็นว่า มื้อนี้น่าจะทานอะไรที่เบาท้องบ้าง คืนนี้จะได้นอนหลับสบาย เพราะเล่นมาทั้งวันแล้ว คุณบุญทิ้งทานได้ไหมคะ”
บุญทิ้งพยักหน้ารับ
“ได้ครับ”
ธัญวิทย์หมั่นไส้
“คุณบุญทิ้ง แหวะๆๆ”
พิมมองป้าแก้วไม่พอใจ
“แล้วนี่ป้า เอาเด็กจรจัดมาร่วมโต๊ะกับคุณธัญวิทย์เลยเหรอ”
สายอุษาเดินเข้ามาพอดี
“พูดให้ดีนะพิม ถ้ากินข้าวร่วมกันแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องกิน”
พิมเงียบหน้าง้ำ ป้าแก้วหันไปถามเด็กๆ
“จะรับอะไรกันคะ มีข้าวต้มกุ้ง กับข้าวต้มหมูค่ะ”
ธัญวิทย์กระแทกเสียงไม่พอใจ
“ข้าวต้มกุ้ง”
“ผมขอข้าวต้มหมูนะครับ พอดีผมแพ้กุ้ง”
“ป้าแก้ว จัดให้เด็กๆกินกันให้เรียบร้อยนะ กินเยอะๆนะบุญทิ้ง”
สายอุษาลูบหัวบุญทิ้ง ด้วยความเอ็นดู แล้วเดินออกจากห้องอาหารไป ธัญวิทย์หันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับพิม ป้าแก้วตักข้าวต้มเสิร์ฟเด็กๆ
“นี่ค่ะ ข้าวต้มกุ้งของคุณธัญวิทย์ และ นี่ข้าวต้มหมูของคุณบุญทิ้ง เดี๋ยวป้าไปเตรียมผลไม้ให้นะคะ”
ป้าแก้วเดินออกไป พิมทำตามแผนทันที
“คุณหนูธัญวิทย์ กับ บุญทิ้ง จะดื่มน้ำอะไรกันคะ”
“ฉันจะกินน้ำแดงซ่าๆ น้ำแดงซ่าๆๆๆ”
“เอ่อ น้ำเปล่าก็ได้ครับ”
“ตายจริง มือพี่น่ะโดนเศษแก้วบาดเมื่อวันก่อน จะจับจะถืออะไรก็ลำบาก บุญทิ้งช่วยพี่ ไปยกน้ำให้หน่อยได้ไหมจ้ะ”
“ได้สิครับ”
พิมพาบุญทิ้ง เดินตามเข้าไปในครัว

คล้อยหลังพิมและบุญทิ้งที่เดินออกไป ธัญวิทย์ก็แอบเอาข้าวต้มกุ้งของตัวเอง ผสมลงไปในถ้วยข้าวต้มหมูของบุญทิ้ง

อ่านต่อตอนที่ 8 พรุ่งนี้ 16 ม.ค.55



กำลังโหลดความคิดเห็น