ดุจดาวดิน ตอนที่ 3
ภาคินคุยเรื่องของหลานชายปานฟ้าที่หายไป กับตุลย์อยู่ภายในห้องทำงาน
“ชื่อทินภัทร อัครดำรงกุลครับ”
“รายละเอียดอื่นๆละครับ”
“ผมก็ไม่รู้อะไรมาก เอาอย่างนี้สิหมวดถ้าคุณไม่รีบกลับ...”
ตุลย์รีบแทรก
“ผมไม่รีบหรอก อยู่ที่นี่อยู่ได้ทั้งวัน ว่าแต่คุณไปล้มใส่หมัดใครมานะ”
ภาคินหัวเราะ
“คนพาลนะอย่าไปสนใจเลย หมวดอยู่ก็ดีครับเพราะช่วงเย็นๆคุณปานฟ้าเธอจะพาพี่สาวที่เป็นแม่ของทินภัทรมาที่นี่ หมวดจะได้คุยรายละเอียดกับเธอ”
“ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย...แหม...ว่าแต่ดูคุณภาคิน จะกระตือรือร้นช่วยเหลือคุณปานฟ้าเป็นพิเศษเชียวนะครับ”
ภาคินหน้าแดง
“ก็...เธอขอความช่วยเหลือมา ผมก็ช่วยไปเท่าที่จะช่วยได้ พิเศษตรงไหน”
ตุลย์ทำหน้าล้อเลียน
“ว่ากันทีจริงคุณปานฟ้าเนี่ยทั้งสวยทั้งน่ารัก แถมเก่งอีกต่างหาก...นี่ถ้าหัวใจผมไม่มีคนจับจองไว้ก่อนละก็เห็นที คุณจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวนะจะบอกให้”
ภาคินหัวเราะแก้เก้อ
“พูดอะไรนะหมวด คุณปานฟ้าเธอจะเสียหาย...ผมไม่คุยกับหมวดแล้ว ขอตัวทำงานต่อก่อนนะครับ”
ภาคินแกล้งสนใจงานตรงหน้า ตุลย์ขำท่าทางเขินๆของภาคิน
ปานฟ้ากำลังทานอาหารกับอนุสรณ์อยู่ในร้านอาหาร อนุสรณ์ตักกับข้าวให้
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ...ที่จริงคุณปานฟ้าไม่น่าลำบากต้องมาเลี้ยงผมเลย”
“ไม่ลำบากเลยค่ะ...น้อยไปด้วยซ้ำที่จะเป็นการขอบคุณ ที่คุณอนุสรณ์กรุณาเป็นสปอนเซอร์ให้”
“เล็กน้อยมากครับ...ผมกับคุณเติมบุญก็รู้จักสนิทสนมกันดี แหมผมอิจฉาคุณเติมบุญจริงๆที่มีลูกสาวทั้งสวยแล้วก็เก่งอย่างคุณ”
ปานฟ้ายิ้มๆ อนุสรณ์ตักอาหารให้อีก ขณะเดียวกันเจษซึ่งเป็นเพือนสนิทของก้องภพ นั่งอยู่อีกโต๊ะ มองปานฟ้า อย่างสนใจ
“ยัยปานฟ้าคนสวยของไอ้ภพนี่หว่า...สนุกละไอ้ภพ”
เจษยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาก้องภพทันที
“ไอ้เจษโทรมาทำไม”
ก้องภพที่ขับรถอยู่ หยิบหูฟังขึ้นมาใส่
“ไงไอ้เจษจะโทรมาบอกข่าวดีอะไร”
“ไม่ใช่ข่าวดีของฉันหรอก แต่เป็นข่าวดีของนายมากกว่า”
“ข่าวอะไรว่ะ”
ก้องภพนิ่งฟังหน้าเปลี่ยนไป ด้วยอารมณ์ที่โมโหสุดๆ ถามเสียงห้วน
“ร้านอะไร อยู่ตรงไหน บอกมาให้ละเอียดนะโว้ย”
ก้องภพฟังจบ กดตัดการติดต่อ ที่เท้าเหยียบคันเร่งลงไป หน้าบึ้งเอาเรื่องสุดๆ
หลังจากทานอาหารเสร็จ อนุสรณ์ไม่ยอมให้ปานฟ้าจ่ายค่าอาหารให้
“โธ่...ดิฉันตั้งใจมาเลี้ยงขอบคุณนะคะ” ปานฟ้าบอกอย่างเกรงใจสุดๆ
“เล็กน้อยนะครับ...คุณปานฟ้าให้เกียรติมาทานอาหารกับผม ผมก็ยินดีอย่างที่สุดแล้ว”
อนุสรณ์มองสายตาเจ้าชู้ ปานฟ้าฝืนยิ้มตามมารยาท พนักงานเดินเอาสลิปบัตรเครดิตมาให้ อนุสรณ์รับมาเซ็นชื่อลงบนสลิป แล้วเก็บบัตรใส่กระเป๋า
“ของที่ส่งไปพอมั้ยครับ...ถ้าไม่พอบอกมาเลยนะ ผมจะให้พนักงานเอาไปเพิ่มให้อีก”
“พอค่ะ...ขอบคุณมากนะคะสำหรับทุกอย่าง”
อนุสรณ์ยิ้มให้
“ด้วยความยินดีครับ”
ขณะเดียวกันที่หน้าร้าน ก้องภพขับรถเข้ามาเบรกเสียงดัง ลงมาอย่างฉุนเฉียว บ๋อยรีบวิ่งเข้ามาโค้งพูดสุภาพ
“ขอโทษครับตรงนี้จอดไม่ได้นะครับ เชิญที่ลานจอดรถเลยครับ”
บ๋อยผายมือไปด้านข้าง ก้องภพตวาดทันที
“ฉันรีบ”
“แต่มันขวางหน้าร้านครับผม”
ก้องภพหงุดหงิดรีบหยิบกระเป๋ากระชากแบงก์ร้อยออกมาใบหนึ่งโยนให้
“เอ้าเอาไป แล้วแกก็ขับไปจอดให้ฉันที”
ก้องภพรีบเข้าไปด้านในเปิดประตูอย่างแรง กวาดสายตามองหาปานฟ้าอย่างรวดเร็ว บ๋อยวิ่งเข้ามาโค้ง ถามนอบน้อม
“กี่ทีครับผม”
ก้องภพไม่ตอบ แต่ผลักไหล่บ๋อยจนเซ เดินเข้าไปหาแต่ไม่มี บ๋อยตามมาถามอีกอย่างสุภาพ
“ขอโทษครับมีอะไร ให้ผมรับใช้มั้ยครับ”
ก้องภพหันมาถามโมโห
“เห็นผู้หญิงสวยๆ แต่งตัวดีๆ มากับผู้ชายคนหนึ่งมั้ย”
บ๋อยคิดๆ
“อ๋อ...คุณผู้หญิงขาวๆแล้วผมยาวใช่มั้ยครับ”
“เออนั้นแหละ”
บ๋อยถามต่อ
“มากับคุณผู้ชายหล่อๆ ท่าทางดีๆ สุภาพๆใช่มั้ยครับ”
ก้องภพฉุนกระชากคอเสื้อบ๋อยอย่างแรง
“แกจะตอบได้หรือยังว่า แฟนฉันอยู่โต๊ะไหน”
บ๋อยตะลึง
“อะ...ออกไปก่อนหน้าคุณเข้ามาแป๊บเดียวเองครับ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย...”
ก้องภพปล่อยบ๋อย อย่างแรงจนเกือบล้มก่อนผละไปอย่างโมโหสุดขีด เขากลับไปขึ้นรถอย่างโมโห
“ต้องเป็นไอ้ภาคินแน่ๆ...แกไอ้ภาคิน เป็นไงเป็นกันสิวะ”
ก้องภพออกรถอย่างฉุนเฉียว
ภาคินเดินออกมาจากห้องทำงาน มองหาตุลย์ บุญทิ้งวิ่งเข้ามาถาม
“พี่ภาคินมองหาใครครับ”
“หมวดตุลย์ไปไหนซะล่ะ”
“ช่วยพี่แก้วซ่อมโต๊ะอยู่ข้างหลังครับ พี่ภาคินต้องการพบหมวดเหรอครับ เดี๋ยวผมไปตามให้”
“ไม่ต้องๆ แค่ถามดูเฉยๆนะ แล้วนี่ยังไม่เสร็จกันอีกเหรอ”
“เสร็จแล้วครับ เหลือแค่ตัดกิ่งต้นไม้ที่มันยื่นเกะกะออกมา”
ภาคินมองตาม
“มันสูงนะใครจะตัด”
“พี่มอสครับเดี๋ยวจะใช้บันไดปีน”
ภาคินเดินไปที่ต้นไม้ บุญทิ้งเดินตาม
“ไปเอากรรไกรมาเดี๋ยวพี่ตัดให้เอง”
ทันใดนั้นเสียงรถมาจอดเบรกดังลั่น ภาคินชะงัก หันไปมองเห็นก้องภพเดินเข้ามา
“ไอ้ภาคิน...คุณฟ้าอยู่ไหน”
ภาคินมองก้องภพอย่างเอือมระอา
ตุลย์ช่วยเฟื่องแก้วซ่อมโต๊ะอยู่ด้านหลังมูลนิธิ ตุลย์ตอกตะปูที่โต๊ะจนมิด ยืดตัวขึ้นไล่ความเมื่อย
“โอ๊ย...เสร็จซะที”
ตุลย์ชะงัก เห็นเฟื่องแก้วนั่งเท้าคางเหม่อๆ ตุลย์ค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ๆทำเสียงดัง
“ตุ๊กแก...”
เฟื่องแก้วตกใจกระโดดโผหาตุลย์
“ว้าย...ตุ๊กแกช่วยด้วย”
เฟื่องแก้วซบกับอกตุลย์หลับตากลัวมาก ตุลย์แอบขำถือโอกาสโอบปลอบ
“โอ๊ะโอ๋ๆๆไม่ต้องกลัวนะคุณแก้ว”
“ยี้...ขยะแขยง...มันไปหรือยังหมวดไล่มันสิ”
ตุลย์ส่งเสียงไล่
“ชิ้วๆๆไปสิไป”
“ไปหรือยังคะ”
ตุลย์กลั้นหัวเราะ
“มันไม่ยอมไปนะคุณแก้ว”
เฟื่องแก้วกลัวตัวสั่น
“ก็ไล่มันดังๆสิ...ฉันกลัว...ขนลุกไปหมดแล้ว”
ตุลย์ทำเป็นไล่
“ชิ้วๆๆๆ สงสัยมันจะหลับนะดูสินอนนิ่งเลย อู้ว์แต่มันจ้องมาทางนี้นะ เฮ้ย...หรือมันจะกระโดดมาหาคุณนะ”
เฟื่องแก้วกรี๊ดเต้นไปด้วย
“ยี้ไม่เอานะ...ว้าย...หมวดไล่มันไป”
ตุลย์กลั้นหัวเราะอยู่คนเดียว บุญทิ้งวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
เฟื่องแก้วลืมกลัวรีบหันมาถาม
“อะไรกันบุญทิ้ง”
“มีใครก็ไม่รู้ มาโวยวายจะเล่นงานพี่ภาคินครับ”
เฟื่องแก้วรีบจับมือบุญทิ้ง
“ไปกันเร็ว”
สองคนกำลังจะไป เฟื่องแก้วนึกได้มองหาตุ๊กแกอย่างหวาดๆ บุญทิ้งถามงงๆ
“พี่แก้วหาอะไรครับ”
“ตุ๊กแก...มันไปไหนแล้วล่ะ”
บุญทิ้งมองๆ
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่ครับ...ตุ๊กแกที่ไหน”
เฟื่องแก้วหันไปมองหน้า ตุลย์กำลังบุ้ยใบ้ ไม่ให้บุญทิ้งพูด แล้วชะงักหัวเราะเจื่อนๆ เฟื่องแก้วรู้ตัวว่าโดนแกล้ง ก็มองแค้นๆ
“ฝากไว้ก่อนเถอะหมวด ไปเร็วบุญทิ้ง”
เฟื่องแก้วจูงบุญทิ้งวิ่งไป ตุลย์โล่งอกรอดตัวแล้วรีบวิ่งตามไปอีกคน
“เอ้ารอผมด้วยสิ”
ภาคินเซเพราะโดนก้องภพผลักอก
“คิดจะแย่งฟ้าจากฉันเหรอไอ้ภาคิน”
ภาคินพยายามข่มใจ
“ผมว่าคุณกลับไปสงบสติอารมณ์เสียดีกว่า”
ภาคินจะเดินหนี ก้องภพตะโกนตาม
“หน้าตัวเมียนี่หว่า”
ภาคินหันมา กำมือแน่น ก้องภพไม่เลิก
“ดีแต่ทำลับหลัง ต่อหน้าไม่กล้า คงติดนิสัยมาจากแม่แกละสิ”
ภาคินพุ่งเข้าชกก้องภพเต็มๆจนเซถลา ชี้หน้า
“คุณจะว่าผมยังไงผมไม่ว่า แต่จำไว้ว่าอย่าก้าวร้าวถึงแม่ผม”
ก้องภพเช็ดเลือด
“ฉันจะไปแจ้งความตำรวจ ว่าแกทำร้ายร่างกายฉัน”
ทันใดนั้นเสียงตุลย์ ดังเข้ามาก่อนตัว
“แจ้งเลยสิครับ...ผมมารับแจ้งให้ถึงที่แล้ว”
ก้องภพหันไปมอง ตุลย์ เฟื่องแก้ว บุญทิ้งเข้ามายืนข้างภาคิน
“แต่ข้อหาบุกรุกนี่ โทษไม่เบาเหมือนกันนะครับ ถ้าคุณภาคินเข้าแจ้งความกลับนะ”
ก้องภพแค้นๆ
“พวกแกรุมฉันเหรอ แบบนี้มันหมาหมู่นี่”
ตุลย์มองเยาะ
“โอโห...พูดจาดูถูกเจ้าพนักงาน ขณะปฏิบัติหน้าที่นี่ก็ติดคุกเหมือนกันนะคุณ”
ก้องภพจ้องหน้าภาคินอย่างแค้นจัด
“ไอ้ภาคินฝากไว้ก่อนเถอะ...แล้วจำใส่กะลาหัวแกไว้ว่า คนอย่างปานฟ้าเขาไม่มีวันลดตัวลงมามองคนอย่างแกหรอก”
ก้องภพจำใจถอยออกไป เฟื่องแก้วมองตาม
“นี่เขามาหาเรื่องคุณภาคิน เพราะคุณปานฟ้าเหรอคะ”
ภาคินไม่ตอบหันไปพูดกับตุลย์
“ขอบคุณมากนะหมวด”
“เรื่องเล็กน่า”
ภาคินเดินหนีทุกคนไปเงียบๆ เฟื่องแก้วโมโหแทน
“นี่คุณปานฟ้า เขาจะรู้มั้ยว่าเขาเป็นต้นเหตุให้คุณภาคินต้องเจ็บตัวนะ”
ตุลย์หันมามองท่าทางเฟื่องแก้วอย่างแปลกใจ
ปานฟ้าขับรถกลับบ้าน อยู่ๆเครื่องสะดุด
“อย่าล้อเล่นนะ”
เครื่องยนต์ดับไปเฉย ปานฟ้าหน้าเสีย เสียงแตรรถคันหลังๆบีบเสียงดัง ปานฟ้าจ๋อยไป
“แย่แล้วเรา...”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...ปานเดือนกำลังแต่งตัว มีป้าแก้วค่อยช่วยจนเสร็จ
“แหม...วันนี้คุณเดือนดูสวยสดใสจังเลยนะคะ”
ปานเดือนยิ้มมีความสุข
“ก็ฉันจะได้ไปหาทินภัทรนี่...ป้ารู้จักลูกชายฉันใช่มั้ยล่ะ”
ป้าแก้วหน้าสลดลง มองปานเดือนที่เดินไปสำรวจความเรียบร้อยหน้ากระจกเงา ป้าแก้วพึมพำ
“ป้าขอโทษนะคะคุณเดือน...เพราะป้าแท้ๆ”
ปานฟ้าจอดอยู่ริมถนนมองหาแท็กซี่ เห็นวิ่งมาคันหนึ่ง ปานฟ้ารีบโบกแท็กซี่เข้ามาจอดด้านหน้ารถ ปานฟ้ารีบวิ่งไปคุยกับคนขับ
“คุณคะ...ช่วยลากรถฉันไปที่อู่หน่อยสิคะ...เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าเสียเวลาให้”
“อู่ไหนละคุณ”
“อู่ไหนก็ได้ค่ะ ที่ใกล้ที่สุดคือฉันรีบนะค่ะ”
แท็กซี่พยักหน้าลงมาเปิดหลังรถหยิบเชือกออกมา ปานฟ้าโล่งอกมองนาฬิกาข้อมือ
สายอุษาเดินเข้ามาชะงักมองขึ้นไปเห็นป้าแก้วจูงปานเดือนลงมา สายอุษายิ้มให้
“ไงจ๊ะแม่เดือน...ได้ข่าวว่ายัยฟ้าจะมารับไปข้างนอกเหรอลูก”
ปานเดือนเดินมาหายิ้มอย่างมีความสุข
“ค่ะ...เดือนจะไปหาทินภัทร คุณแม่ไปด้วยกันมั้ยคะ”
สายอุษาชะงัก ป้าแก้วส่ายหน้าไม่ให้ขัด
“วันนี้แม่คงไม่ไปหรอกลูก แม่เดือนไปเถอะ” สายอุษาจูงปานเดือนไปที่เก้าอี้
ปานเดือนชะเง้อมองออกไปด้านนอก
“ทำไมฟ้ายังไม่มาหรือว่า...”
ปาเดือนหน้าตาไม่ดี ทำเหมือนจะร้องไห้
“หรือว่าฟ้าหลอกเดือน...ฟ้าหลอกเดือนใช่มั้ยคะ”
สายอุษากับป้าแก้วตกใจ สายอุษารีบปลอบ
“ไม่หรอกลูก...รถคงติดนะรออีกสักครู่นะลูกนะ...เดี๋ยวยัยฟ้าก็มา”
ปานเดือนชักไม่แน่ใจ
“จริงนะคะ...ฟ้าจะมารับจริงๆนะคะ”
สายอุษาหันไปมองป้าแก้วๆรีบช่วย
“มาจริงๆสิคะ...เอ้าอย่างนี้เดี๋ยวดิฉันไปเอาน้ำส้มเย็นๆมาให้ดื่มจะได้ชื่นใจ ใจเย็นๆนะคะ”
สายอุษาพยักหน้าเห็นด้วย ป้าแก้วรีบออกไป สายอุษามองท่าทางเป็นกังวลของปานเดือนอย่างไม่ค่อยสบายใจ
ปานฟ้ามองช่าง ที่กำลังเช็คอยู่กระโปรงหน้ารถก่อนจะหันมาบอก
“จะทิ้งรถไว้มั้ยครับ”
“นานมากเหรอคะ”
“ก็ประมาณชั่วโมงกว่าๆนะคุณ”
ปานฟ้าตัดสินใจ
“ฉันจะรอค่ะ”
ช่างเดินไป ปานฟ้าหยิบโทรศัพท์มากดโทรหาสายอุษา
เสียงโทรศัพท์ดัง สายอุษาบอกปานเดือนอ่อนโยน
“เดี๋ยวแม่ไปรับโทรศัพท์ก่อนนะจ๊ะ”
ปานเดือนเฉย สายอุษาเดินไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ...อ้าวยัยฟ้า...อยู่ไหนล่ะลูกพี่เดือนเขารอหนูอยู่”
ปานเดือนดีใจหันมามอง
“อ้าว...แล้วทำไงละจ๊ะ...อ๋อ...ได้จ๊ะลูก...”
สายอุษาวางโทรศัพท์เดินกลับมาที่ลูกสาวพูดอย่างนุ่มนวล
“แม่เดือน...รออีกหน่อยนะ”
ปานเดือนเสียงแข็ง
“ทำไม...”
“รถน้องเสียจ๊ะ...ตอนนี้กำลังซ่อมอยู่เสร็จปุ๊บยัยฟ้าจะรีบมารับลูกทันทีเลย”
ปานเดือนนิ่ง มือที่ประสานไว้บนตักบีบกันแน่น สายตาเริ่มกร้าวขึ้น
ภาคินมานั่งสงบใจอยู่ในห้องทำงาน เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ภาคินหยิบออกมามองชื่อพึมพำ
“ปานฟ้า...”
ภาคินลังเล แต่แล้วตัดสินใจรับ
“สวัสดีครับ...ตอนนี้คุณอยู่ไหนครับ”
“ฉันให้แท็กซี่ช่วยลากมาที่อู่แล้วล่ะคะ...แต่กว่าจะเสร็จคงนานฉันเป็นห่วงพี่เดือนจังคะ...ก็เลยอยากจะรบกวนคุณภาคินหน่อย พี่เดือนจะได้เจอกับบุญทิ้งเร็วขึ้น”
ภาคินลุกขึ้นกระตือรื้นร้น
“จะให้ผมทำยังไงก็บอกมาเลยครับ”
บุญทิ้งแต่งตัวเรียบร้อยกำลังอวดตุลย์
“หมวดว่าผมหล่อพอหรือยังครับ”
ตุลย์ขำ
“หนอยเจ้าบุญทิ้งทำอย่างกับนัดสาวดูตัวแหน่ะ นะคุณแก้ว”
ตุลย์หันไปทางเฟื่องแก้ว เห็นเธอหน้าง้ำก็แปลกใจ
“นี่คุณยังไม่หายโกรธ แทนคุณภาคินอีกเหรอคุณแก้ว”
เฟื่องแก้วยังไม่ทันตอบ ภาคินเดินรีบร้อนเข้ามา
“บุญทิ้งอยู่นี่เอง...ไปกับพี่เร็ว”
บุญทิ้งงงๆ
“ไปไหนครับ”
“ไปหาคุณเดือนไง”
บุญทิ้งดีใจ เฟื่องแก้วแปลกใจ
“อ้าวไหนว่าคุณเดือนจะมาหาบุญทิ้งที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ”
“พอดีรถคุณปานฟ้าเสียอยู่ที่อู่ มัวแต่รอไปรอมา เธอกลัวคุณเดือนจะหงุดหงิด เลยให้ผมกับบุญทิ้งไปหาที่อู่ รถเสร็จจะได้ไปหาคุณเดือนเลย”
เฟื่องแก้วไม่พอใจ
“แหม...เอาตัวเองสบายคุณภาคินก็ลำบากแย่”
“ไม่เป็นไรหรอกช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไรไปกันเถอะบุญทิ้ง” ภาคินนึกได้ “อ๋อ...หมวดเรื่องที่ขอให้ช่วย แล้วผมจะขอรายละเอียดมาให้แล้วกัน ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”
ตุลย์โบกมือให้
“สบายอยู่แล้ว...”
ตุลย์มองจนภาคินกับบุญทิ้งลับไป เฟื่องแก้วมองตามโกรธๆ พอหันมาเห็นตุลย์มองก็ตวาดใส่
“มองอะไร...ฉันยังไม่ได้เล่นงานหมวดเลยนะ”
ตุลย์หน้าเหวอ
“งานเข้าอีกแล้วไอ้ตุลย์เอ๊ย...”
เฟื่องแก้วลุกขึ้นไล่ทุบเขาระบายอารมณ์ ตุลย์วิ่งหนีไปร้องตะโกนไป
“เจ้าค้าเอ๊ย...ช่วยด้วยตำรวจโดนทำร้ายร่างกายคร้าบผม”
ภูวดล ปานดาวและธัญวิทย์ นั่งอยู่ในร้านอาหาร ภูวดลตักอาหารให้อย่างเอาใจ
“กุ้งทอดกระเทียมของโปรดคุณ...ผมจำได้”
ปานดาวยิ้มพอใจ
“เดี๋ยวฉันก็อ้วนแย่สิคะ”
ภูวดลหยอดคำหวานต่อ
“อ้วนแค่ไหนผมก็รัก”
ปานดาวเขินกระซิบ
“อายลูกน่าภูก็...”
ภูวดลมองไปที่ธัญวิทย์ ที่นั่งเล่นเกมไปเคี้ยวข้าวไปอย่างไม่สนใจใคร ภูวดลโยกหัวลูกชาย
“เห่อเกมใหม่จังนะตาวิทย์”
“พ่อน่า...เดี๋ยวก็ตายกันพอดี”
ปานดาวส่ายหน้าเอ็นดู แล้วชะงักเมื่อเห็นก้องภพเข้ามา เดินไปนั่งที่โต๊ะหนึ่ง
“นั่นมันก้องภพนี่”
ภูวดลเอี้ยวตัวไปมองแล้วหันกลับ
“ไอ้ขี้เก๊กนะเหรอ...บอกตรงๆผมไม่ค่อยถูกชะตากับมันเท่าไร ถือว่าพ่อแม่รวย วันๆไม่เห็นทำงานทำการอะไรลอยไปลอยมา ใครได้ไปเป็นผัวซวยตาย”
ปานดาวยิ้มมีเลศนัย
“เดี๋ยวฉันมานะคะ ขอเข้าไปทักว่าที่น้องเขยหน่อย”
ภูวดลมองตามอย่างไม่สบอารมณ์
ก้องภพกำลังสั่งบ๋อยอย่างหงุดหงิด
“เอาเบียร์มาขวด เร็วๆนะ”
บ๋อยรีบถอยไป ปานดาวเข้ามาแทนที่ทักเสียงหวาน
“อารมณ์เสียอะไรมาคะ...ถึงมาดื่มแต่วัน”
ก้องภพหันมาแล้วรีบเปลี่ยนท่าที ลุกขึ้นอย่างสุภาพ ปานดาวตกใจจะถาม ก้องภพรีบพูด
“สวัสดีครับพี่ปานดาว...อย่าถามเลยนะครับว่าผมโดนอะไรมา พี่ดาวมาคนเดียวเหรอครับ”
ปานดาวยิ้มมองไปที่โต๊ะภูวดล
“มากับสามีแล้วก็ลูกค่ะ...ถ้าพี่จะนั่งคุยด้วยสักนิดคงไม่รังเกียจ”
ก้องภพผายมือที่เก้าอี้ตรงข้าม
“เชิญครับ...”
ปานดาวนั่งลง ก้องภพนั่งตาม
“ทำไมทำหน้าเบื่อโลกอย่างนั้นคะ...หรือว่าทะเลาะกับยัยฟ้ามา”
ก้องภพมองหน้า เห็นปานดาวยิ้มแย้มหน้าจริงใจมาก
รถแท็กซี่มาจอดหน้าอู่ ภาคินกับบุญทิ้งลงมา ปานฟ้าวิ่งเข้ามาหา
“คุณภาคิน...บุญทิ้ง”
บุญทิ้งรีบไหว้
“สวัสดีครับพี่ฟ้า”
ปานฟ้าลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“สวัสดีจ๊ะ...ขอบใจมากนะที่มา คุณภาคินขอบคุณนะคะเลยทำให้คุณต้องลำบาก เอ๊ะ...หน้าคุณ”
“ไม่มีอะไรครับ...อุบัติเหตุนิดหน่อย...รถละครับ”
“อยู่ทางด้านโน้นค่ะ...เห็นช่างบอกว่าใกล้เสร็จแล้ว”
ปานฟ้ามองภาคินอย่างสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามต่อ พาภาคินกับบุญทิ้งเดินไปที่รถคุยกันไปด้วย
“มันเป็นอะไรครับ”
“ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องหรอกค่ะ...คุณคงต้องถามช่างเขาดูดีกว่า”
สามคนพากันเดินไป
ปานดาวหัวเราะขำ ก้องภพชักไม่พอใจ
“การที่ฟ้ามีคนอื่นนอกจากผม ผมไม่เห็นว่ามันจะน่าขำตรงไหน”
“โธ่...ก็จะไม่ให้พี่ขำได้ยังไง ผู้หญิงทั้งสวยทั้งรวยอย่างยัยฟ้า จะมีผู้ชายมารุมจีบเยอะแยะแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย”
ก้องภพหงุดหงิด ปานดาวยิ่งยุ
“แต่ของอย่างนี้ มันอยู่ที่ใครเร็วกว่า...คนนั้นก็ได้ต่างหากคะ”
“พี่ดาวหมายความว่ายังไง”
“แหมคนฉลาดอย่างคุณ ไม่น่าย้อนถามพี่เลย”
ก้องภพนิ่งคิด
“หมายความว่า...จะให้ผมรวบรัดปานฟ้าเหรอครับ”
“สมัยนี้เขาไม่ถือกันแล้วล่ะคะ อีกอย่างยัยฟ้าก็หัวสมัยใหม่จะตาย ถ้าคุณมัวแต่ต้วมเตี้ยมเป็นเต่าค่อยๆคลานแบบนี้ คุณไม่มีวันเอาชนะกระต่ายหรอก เพราะนี่มันชีวิตจริงไม่ใช่นิทาน ใครไวกว่าเร็วกว่าก็คว้าพุงมันๆไปกิน เหลือเศษเหลือเดนก็เอาไว้ให้คนที่ช้าไงล่ะ”
ก้องภพมองปานดาว อย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน ปานดาวรีบยิ้มหวาน
“ที่พี่กล้าพูดอย่างนี้...ก็เพราะรู้ว่าผู้ใหญ่ของเราชอบๆกันอยู่ คุณกับยัยฟ้าก็คบหากันมาตั้งนาน แต่ถ้าเป็นคนอื่น ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าพี่ก็ไม่เชียร์หรอกค่ะ”
ก้องภพครุ่นคิดตามคำพูดของปานดาว
นาฬิกาห้องโถงบอกเวลาจะห้าโมงเย็น ปานเดือนผุดลุกพรวดขึ้น สายอุษากับป้าแก้วตกใจ
“เป็นอะไรไปลูก”
“ทำไมฟ้าไม่มา...ทำไม”
สายอุษาเข้ามาปลอบ
“ใจเย็นๆนั่งลงก่อนนะลูก เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะจ๊ะนะลูกน่ะ”
ป้าแก้วเข้ามาช่วยปลอบ
“ตอนนี้คงกำลังเดินทางมานะคะ...นั่งก่อนนะคะคุณเดือนใจเย็นๆ”
ปานเดือนค่อยๆทรุดนั่งลง ป้าแก้วกับสายอุษาสบตากันอย่างโล่งใจ พิมเดินผ่านมาชะงักพูดเสียงดัง“อ้าวคุณเดือนยังไม่ไปอีกเหรอคะ...โอ๊ยป่านนี้คุณปานฟ้าเธอลืมแล้วมั้ง แต่งตัวรออยู่ตั้งหลายชั่วโมงแล้วนี่”
ปานเดือนหันขวับจ้องพิมตาขวาง
“อะไรนะ...ฟ้าไม่มาเหรอ...ฟ้าลืมเหรอ”
ปานเดือนร้องโหยหวนขึ้นมาเหมือนเจ็บปวดมาก ท่ามกลางความตกตะลึงของสายอุษากับป้าแก้ว
ภาคินกับบุญทิ้งยืนรออยู่ที่รถ ปานฟ้าถือใบเสร็จเดินเร็วๆมา
“เสร็จเสียที...เรารีบไปกันเถอะค่ะ”
ปานฟ้ากำลังจะเปิดประตูรถเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปานฟ้าดูเบอร์หันมาบอกภาคิน
“ที่บ้านค่ะ...สงสัยโทรมาตาม”
ปานฟ้ารับโทรศัพท์
“ค่ะป้าแก้ว...” ปานฟ้าฟังแล้วตกใจ “อะไรนะ...ค่ะๆๆ ฟ้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ปานฟ้ากดตัดสายหันมาบอกอย่างร้อนรน
“แย่แล้วค่ะพี่เดือนอาละวาดใหญ่แล้ว”
ภาคินรีบอาสา
“ผมขับให้ดีกว่าครับ”
ปานฟ้าพยักหน้าแล้วรีบส่งกุญแจให้ ภาคินเปิดรถขึ้นไปนั่งด้านคนขับ ปานฟ้ากับบุญทิ้งวิ่งไปขึ้นอีกด้าน
ภาคินออกรถไปอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อหน้า 2
ดุจดาวดิน ตอนที่ 3 (ต่อ)
ปานเดือนโผเข้าหาแจกันใบใหญ่แล้วจับทุ่มลงกับพื้น ปัดกวาดข้าวของที่อยู่ใกล้ตัว สะอึกสะอื้นกรีดร้อง ป้าแก้วรีบเข้าห้ามแต่ถูกปานเดือนผลักออกอย่างแรง สายอุษาตกใจ
“ตายจริง ยัยเดือนลูกแม่ ใครก็ได้ช่วยที”
พิมแสยะยิ้ม เดินออกห่างไป ป้าแก้วเห็นจึงเรียกไว้
“นังพิม มาช่วยจับคุณเดือนที”
“อุ๊ย...แบบนี้ต้องส่งโรงพยาบาลบ้าเท่านั้นแหละป้า”
พิมเดินไปไม่สนใจ ป้าแก้วโกรธ
“นังพิม...”
สายอุษาร้องไห้
“ลูกแม่”
สายอุษาโผเข้ากอดปานเดือน แม้ว่าปานเดือนจะดิ้นรน ร้องไห้ แต่สายอุษาก็กอดไว้แน่น ปลอบใจ เสียงเครือ
“เดือน นี่แม่นะ...แม่อยู่ใกล้ๆเดือน ไม่มีใครมาทำร้ายลูกเดือนของแม่ได้ เดือนต้องการอะไร เดือนบอกแม่สิ”
ปานเดือนมองแม่ สายตาอ่อนลง ป้าแก้วเช็ดน้ำตาด้วยความสะเทือนใจ
“โธ่เอ๊ยคุณเดือน...”
ป้าแก้วตวัดสายตาไปทางที่พิมเดินไป แล้วก็ผละตามไปทันที
ปานดาวอยู่ในร้านอาหารพูดโทรศัพท์อยู่ ภูวดลนิ่งฟังปานดาวอย่างสนใจ ส่วนธัญวิทย์เพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า
“ดี...ให้มันอาละวาดไปเลย สะใจนัก...ว่าแต่แกทำอะไรมันเข้าล่ะ พิม”
พิมพูดโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของบ้าน
“อุ๊ย...ก็แค่แหย่ว่าคุณปานฟ้า คงไม่มารับคุณเดือนอย่างที่รับปากไว้เท่านั้นแหละค่ะ”
“นังฟ้าคงจะพามันตระเวนหาลูกอีกละสิ”
“ก็คงงั้นแหละค่ะ แต่ตามยังไงก็ไม่มีวันพบหรอกค่ะ เว้นแต่จะไปตู่เอาลูกชาวบ้านมาเป็นลูกตัวเองเท่านั้นแหละค่ะคุณดาว”
ปานดาวหน้าเสียไปเหลือบมองธัญวิทย์ พูดเสียงเครียด ร้อนตัวขึ้นมาทันที
“แกว่าใครหรือเปล่า...คงไม่ได้หมายถึงฉันด้วยนะ”
พิมได้สติ รีบปฏิเสธ
“อุ๊ย...ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่”
พิมหันไปทางหนึ่งเห็นป้าแก้วยืนอยู่
“แค่นี้ก่อนนะคะ”
พิมวางสายลงแล้วเดินไป ทำทีไม่แยแสป้าแก้ว
“นังพิม...แกวางสายทำไม...” ปานดาวเสียงดัง
“ไม่เอาน่า...เสียงดัง” ภูวดลปราม
ก้องภพหันมองมาพอดี
ป้าแก้วเดินเข้าหาพิม
“มีอะไรเหรอป้า”
“สาระแนนักนะ แกใช่มั้ยที่ทำให้คุณเดือนอาละวาด”
“อุ๊ย ฉันคงไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอกป้า...ทำคนดีให้เป็นคนบ้าได้เนี่ย มันต้องเป็นผู้วิเศษ เว้นแต่ว่าคุณปานเดือนจะเป็นบ้าอยู่ก่อนแล้ว”
“นังพิม...ข้าวบ้านนี้มันไม่มียางเลยหรือไง แกถึงได้คิดเนรคุณคุณปานเดือน ทั้งที่เธอเป็นลูกสาวของเจ้าของบ้านนี้”
“อ้าว...ป้า...ลามปามใหญ่แล้ว นี่ฉันยังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ มาถึงก็ด่ากันฉอดๆ ๆ ยังงี้ ระวังจะไม่แก่ตาย บอกไว้ก่อนนะ ถ้าคนอย่างฉันต้องติดคุก ก็ไม่ขอเป็นฆาตกรฆ่าคนแก่อย่างป้าตายหรอก มันเสียเกียรติ”
พิมเดินลอยหน้าไป ป้าแก้วฉวยมือไว้ พิมหันมา
“อะไรอีกล่ะป้า”
“ทำไมแกต้องโทรรายงานคุณปานดาวด้วย”
“อันนี้ก็เป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน ป้าไม่เกี่ยว...หรือว่าไปติดนิสัยสอดรู้สอดเห็นมาจากใครเหรอป้า...”
พิมสะบัดมือ แล้วเดินไป ป้าแก้วมองตามสายตาแค้นๆ
“ถือว่ามีคุณปานดาวคอยถือหาง ฮึ...ฝากไว้ก่อนเถอะ”
ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์เดินผ่านโต๊ะ ก้องภพยิ้มแย้มให้
“กลับแล้วหรือครับ คุณดาว”
“ใช่...ต้องรีบกลับไปบ้าน จู่ๆ ยัยเดือนก็อาละวาดขึ้นมา”
ก้องภพแปลกใจ
“ตกลงคุณเดือนเธอป่วยเป็นอะไรแน่ครับ บางทีก็เห็นดีๆ แล้วทำไมบางทีก็อาละวาด ผมว่าอาการแบบนี้มันแปลกๆ นะครับ”
“แม่บอกผมว่าน้าเดือนเป็นบ้า” ธัญวิทย์พูดโพล่งขึ้นตามประสาเด็ก
ภูวดลส่งสายตาดุปรามลูก
“ไม่เอาน่าธัญวิทย์...ไปกันเถอะ...”
ปานดาวยิ้มให้ก้องภพ
“ฉันไปก่อนนะ แล้วอย่าลืมเรื่องที่เราคุยกันไว้ล่ะ ฉันน่ะอยู่ข้างเธอเสมอ ทำให้เต็มที่เลยนะก้องภพ...”
“ขอบคุณครับ”
ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์ออกไปจากร้าน ก้องภพยิ้มอย่างย่ามใจที่มีปานดาวเป็นพวก
ภาคินขับรถมาจอดที่หน้าตึก ทั้งหมดลงจากรถมา ปานฟ้ารีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ภาคินกับบุญทิ้งมองไปรอบๆ บุญทิ้งตะลึงในความใหญ่โตของบ้านปานฟ้า
“ทำไมบ้านใหญ่จัง พี่ปานฟ้าคงรวยมากเลยนะครับ”
ภาคินนั่งลง พูดกับบุญทิ้ง ต้องการให้บุญทิ้งเข้าใจเรื่องความแตกต่างของคน
“ความรวยหรือความจน ไม่ได้วัดว่าใครเป็นคนดีหรือคนไม่ดีหรอกนะบุญทิ้ง...พี่ว่าอย่าไปสนใจเลย”
“ครับ พี่ภาคิน”
พิมเดินออกมาแล้วชะงัก เมื่อเห็นบุญทิ้งกับภาคิน
“หรือว่าไอ้เด็กคนนี้ คือคนเดียวกับที่คุณเดือนไปหา...” พิมหน้าซีดไป
ปานฟ้าเข้าไปข้างใน ชะงักเมื่อเห็นข้าวของแตกกระจายอยู่ สายอุษาประคองปานเดือนนั่งลงที่โซฟาพอดี
“พี่เดือน...”
ปานเดือนเห็นปานฟ้าก็ร้องไห้
“ยัยฟ้า...พี่นึกว่าเธอทิ้งพี่ไปแล้ว นึกว่าเธอจะไม่มารับพี่ไปหาลูกบุญทิ้งแล้ว”
ป้าแก้วกับสายอุษา สบตากันด้วยความสะเทือนใจ
“ใครบอกพี่เดือนล่ะคะว่าฟ้าไม่มารับ แต่ฟ้าไปรับใครบางคนมาหาพี่เดือนต่างหาก...”
ปานเดือนตาเป็นประกายดีใจพูดเสียงสั่น
“ใคร...พาใครมาหาพี่...”
ภาคินกับบุญทิ้งเข้ามาในห้องโถง ปานเดือนยิ้มทั้งน้ำตา ดีใจจนปากคอสั่นระริก
“บุญทิ้งลูกแม่...”
ปานเดือนโผมากอดบุญทิ้งไว้แนบอก
“แม่นึกว่าแม่จะไม่ได้เจอบุญทิ้งแล้ว...มาหาแม่แล้วก็มาอยู่กับแม่ซะที่นี่เลยนะลูก...แม่จะไม่ยอมให้ใครพรากลูกของแม่ไปไหนอีกแล้ว...”
บุญทิ้งมองหน้าภาคิน
“คงไม่ได้หรอกครับ คุณเดือน”
ปานเดือนถามเสียงแข็ง
“ทำไม...ก็ในเมื่อเด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน...”
ปานฟ้ารีบแก้สถานการณ์
“ฟังคุณภาคินก่อนสิคะพี่เดือน”
ปานเดือนหันมาทางปานฟ้า
“ไม่ฟัง...เธอก็เหมือนกัน เห็นคนอื่นดีกว่าพี่หรือไง ถึงจงใจให้เขามาพรากลูกไปจากอกพี่”
“โธ่...ไปกันใหญ่แล้วพี่เดือน...”
ปานฟ้าสบตาภาคินกับบุญทิ้ง
“เอ้อ...ผมว่าถ้าคุณเดือนคิดถึงบุญทิ้ง ก็ไปหาที่มูลนิธิได้ หรือว่าจะให้ผมพาบุญทิ้งมาที่นี่ก็ได้”
สายอุษาเห็นด้วย
“นั่นสิ แม่ว่า...”
ปานเดือนส่ายหน้า สะอื้น กอดบุญทิ้งแน่น ร้องไห้โฮๆ
“ใจร้าย...ลูกจ๋า มีแต่คนใจร้ายกับเรา ไม่ยอมให้เราอยู่ด้วยกัน บุญทิ้งเห็นมั้ยลูก แม่ใจจะขาดแล้ว ฮือๆๆ”
“พี่เดือน...มานั่งที่นี่ดีกว่านะคะ” ปานฟ้าหันมาทางป้าแก้ว “ป้าแก้วขาช่วยหาน้ำ หาขนมให้บุญทิ้งกับคุณภาคินด้วยจ้ะ...”
“ค่ะ...”
ป้าแก้วเดินออกไป ปานเดือนพาบุญทิ้งไปที่โซฟา ปานเดือนใช้มือลูบผมและกอดบุญทิ้งไว้อย่างแสนรัก...สายอุษากับปานฟ้าคุยกันเบาๆ ส่วนภาคินนั่งเงียบๆ อยู่มุมหนึ่ง
“ดีนะที่ฟ้ามาทันเวลา ไม่งั้นแม่ไม่รู้จะจัดการยังไง”
“ฟ้าผิดเองค่ะแม่ แต่มันก็สุดวิสัย รถดันมาเสีย...”
สายอุษามองไปที่ปานเดือน
“โธ่เอ๊ย จะตู่เอาลูกคนอื่นมาเป็นลูกตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เวรกรรมอะไรของยัยเดือนนะ”
ภูวดลขับรถไปตามถนน ปานดาวนั่งข้างๆคุยโทรศัพท์อยู่
“ดี...ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ...” ปานดาวปิดโทรศัพท์ “แส่ไม่เข้าเรื่องนะนังฟ้า...”
พิมยิ้ม ขณะที่มือยังถือโทรศัพท์อยู่
“สนุกละทีนี้...”
พิมหัวเราะเบาๆ เดินออกไป ขณะเดียวกัน ภูวดลถามขึ้นอย่างสงสัย
“อะไรหรือคุณ”
“รีบกลับบ้านเถอะค่ะ”
ธัญวิทย์โวยวายขึ้นมาทันที
“ไหนคุณแม่จะพาผมไปเที่ยวไงครับ”
“ไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน แม่จะพาไปเที่ยวเอง”
“แต่พรุ่งนี้ลูกต้องไปโรงเรียนนะ” ภูวดลแย้ง
“หยุดสักวัน คงไม่ทำให้ลูกโง่หรอกน่า”
ธัญวิทย์ยิ้มพอใจ
“จริงครับ คุณแม่”
ภูวดลมองหน้า ปานดาวรีบเร่ง
“ขับเร็วๆ หน่อยสิ”
ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์เข้ามาในบ้านเห็นสายอุษานั่งอยู่ข้างๆปานฟ้า มีภาคินนั่งอยู่ด้วย
พิมออกมาแล้วส่งสัญญาณบอก ว่าบุญทิ้งอยู่ด้านใน ภูวดลเดินเลี่ยงไป ปานดาวนั่งลงข้างๆ ภาคินยกมือไหว้ ปานดาวไม่รับไหว้ แต่ถามขึ้น
“ทำยังไงให้ยัยเดือนอาละวาดได้ นี่เสียงดังไปถึงหน้าบ้านหรือเปล่า ระวังข้างบ้านจะแจ้งตำรวจจับข้อหาเสียงดังเอะอะ จะเดือดร้อนกันไปทั่ว”
สายอุษามองหน้าลูกสาว
“ไม่มีใครเขาคิดร้ายกับบ้านเรายังงั้นหรอก...หวั่นก็แต่คนในบ้านน่ะแหละ...”
ปานดาวแหวใส่แม่ทันที
“หมายความว่ายังไงล่ะคะคุณแม่”
“น้องสาวไม่สบาย แทนที่เธอจะเป็นห่วง กลับพูดจาให้ร้ายน้อง”
ปานดาวสะบัดหน้า น้อยใจ
“ใช่สิ...คนอย่างดาว พูดอะไรไม่เคยถูก ทำอะไรก็ไม่เคยถูก ไม่เคยมีความดีสักนิดในสายตาคุณแม่ ดาวก็แค่อยากจะบอกคุณแม่ว่า คนบ้าก็ต้องอยู่โรงพยาบาลบ้า จะให้มาปะปนกับคนดีๆ อย่างพวกเราไม่ได้”
สายอุษาลุกขึ้นยืนอย่างโกรธจัด
“ยัยดาว...อย่าลืมสิว่ายัยเดือนน่ะน้องสาวของแกนะ”
“อุ๊ย...คนบ้ายังงั้น ยังจะนับมันเป็นญาติอีกเหรอคะ รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น” ปานดาวปรายตามองปานฟ้า “ใครอยากนับก็เชิญตามสบายเถอะย่ะ”
ปานดาวก้าวฉับๆ ออกไปจากห้องโถง สายอุษาระบายลมหายใจ ปานฟ้าหน้าเสียหันมาหาภาคิน
“ฟ้าขอโทษแทนพี่ดาวด้วยนะคะ คุณภาคิน”
ภาคินยิ้มปลอบใจ
“ไม่เป็นไรครับ”
สายอุษาถอนหายใจ
“ชาติก่อนฉันทำกรรมอะไรไว้นะ มีลูกถึงไม่ได้ดั่งใจเลย”
เสียงกรีดร้องของปานเดือนดังมาทันที ทุกคนพรวดพราดวิ่งไป
ธัญวิทย์ปัดจานขนมของบุญทิ้งออกห่าง บุญทิ้งตกใจ ปานเดือนตกใจหวีดร้องขึ้นมา ภูวดลมองอย่างสะใจ
“มันเป็นใครครับพ่อ...” ธัญวิทย์ถามอย่างไม่พอใจ
“พ่อก็ไม่รู้”
ปานเดือนร้องไห้ กอดบุญทิ้งไว้
“ลูกแม่...เป็นอะไรหรือเปล่า” ปานเดือนหันไปด่าธัญวิทย์ “ไอ้เด็กบ้าไอ้เด็กใจร้าย”
ปานดาวเข้ามาพอดี
“นังเดือน แกมีสิทธิ์อะไรมาว่าลูกธัญวิทย์ของฉัน...หา”
บุญทิ้งมองไปที่ธัญวิทย์
“มองทำไม ออกไปจากบ้านฉัน”
ปานฟ้าวิ่งนำทุกคนเข้ามา
“หยุดนะตาวิทย์ เธอไม่มีสิทธิ์พูดยังงั้น...” ปานฟ้าตวาด
ปานดาวหันขวับมาทันที ธัญวิทย์วิ่งไปกอดแม่
“ทำไมธัญวิทย์จะพูดไม่ได้ ไม่จริงหรือไง ไอ้เด็กข้างถนนคนนี้ต่างหากที่มันควรรู้ไว้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของมัน”
ภูวดลมองหน้าปานฟ้า
“หรือว่าคุณฟ้า เห็นเด็กอื่นดีกว่าหลานแท้ๆ ของตัวเอง”
สายอุษารีบห้าม
“พอทีเถอะ ไม่เห็นเหรอว่ายัยเดือนเป็นอะไร”
ปานเดือนท่าทางเหมือนช็อก ตาเหม่อลอย แข็งๆ หอบหายใจแรงๆ แล้วกรีดร้องออกมาสุดเสียง
“กรี๊ด...”
ปานฟ้ารีบกอดปานเดือนไว้ บุญทิ้งผละออกไปหาภาคิน
“พี่ภาคิน...”
ภาคินกอดบุญทิ้งไว้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ปานเดือนค่อยๆ เป็นลมหมดสติ สายอุษาตกใจ
“ยัยเดือน...เร็ว ช่วยกัน...โธ่ เดือนลูกแม่...”
ปานดาวกับ ภูวดลยิ้มเยาะ เดินออกไป ธัญวิทย์เดินตามไปผ่านหน้าบุญทิ้งก็จ้องหน้าเหยียดหยัน
“พาไปส่งโรงพยาบาลดีกว่าครับ...” ภาคินบอก
“ช่วยหน่อยเถอะค่ะคุณ...” สายอุษาขอร้อง
ภาคินอุ้มปานเดือนออกไป สายอุษาร้องไห้ตามไปติดๆ มีป้าแก้ววิ่งตามไปด้วยอย่างเป็นห่วง ปานฟ้าตามออกไป
ภาคินอุ้มปานเดือน มาที่รถของปานฟ้าเปิดประตูเบาะหลังให้ ภาคินประคองปานเดือนนอนที่เบาะหลัง แล้วปิดประตู อ้อมไปที่นั่งฝั่งคนขับ
“คุณแม่...ฝากบุญทิ้งด้วยนะคะ...”
“จ้ะ ขับรถดีๆ นะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณฟ้า ป้าจะดูแลเด็กบุญทิ้งเอง” ป้าแก้วบอก
ปานดาว ภูวดล ธัญวิทย์ และพิมออกมาจากข้างใน ปานฟ้ามองหน้าปานดาว
“จำไว้นะพี่ดาว ถ้าพี่เดือนเป็นอะไรไป ฟ้าจะไม่ให้อภัยพี่ดาวเลย...”
“แกจะว่าพี่ก็ไม่ถูก นังเดือนมันเป็นบ้า พูดนิดพูดหน่อยก็อาละวาด ยังงี้ต่อไป พูดอะไรก็ต้องระวังสิ...โอ๊ย ประสาทตายเลย”
“ถูกต้องค่ะ ตราบใดที่พี่ดาวยังเห็นพี่เดือนเป็นน้องสาว พี่ดาวก็ต้องระวังตัว...”
ปานฟ้าเข้าไปในรถ ปิดประตู รถของปานฟ้าห่างออกไป บุญทิ้งจะตามออกไป แต่ภูวดลกระชากตัวเข้ามาหาตะคอกใส่
“จำไว้นะไอ้หนู อย่ามาที่นี่อีก ไม่งั้นแกตายแน่...”
บุญทิ้งเม้มปาก น้ำตาไหล กลัวภูวดล ทันใดนั้นเสียงเติมบุญดังขึ้น
“ปล่อยเด็กนั่นเดี๋ยวนี้”
ทุกคนหันมาเห็น เติมบุญเดินเข้ามา ปานดาวอึ้งไป
“คุณพ่อ...”
ใกล้ค่ำ...เฟื่องแก้วปิดหน้าต่าง ดูแลความเรียบร้อย มองไปรอบๆอย่างไม่สบายใจ เฟื่องแก้วเดินไปทางหนึ่งจนถึงห้องทำงานของภาคิน เธอเปิดประตูเข้าไป เห็นโต๊ะทำงานว่างเปล่า
“ป่านนี้ยังไม่กลับ สงสัยว่าจะไปด้วยกัน...ฮึ...”
เฟื่องแก้วน้อยใจระคนคับแค้นใจ ตุลย์เดินมาพอดี เฟื่องแก้วหันมาเห็น อารมณ์ขุ่นมัว
“นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก”
“ทำไมต้องรีบ นี่ก็ไม่ใช่เวลาทำงาน ให้ผมนั่งเล่น นอนเล่นเป็นเพื่อนคุณก่อนไม่ได้รึไง”
“ก็ฉันอยากอยู่คนเดียวนี่...”
“อยู่คนเดียวเหงาตาย จะไปสนุกอะไร อยู่สองคนสิ มันถึงจะดี...”
ตุลย์ยิ้มหวาน ส่งสายตาเจ้าชู้ให้ เฟื่องแก้วไม่ใส่ใจ
“เฮ้ย...ไม่ขำโว้ย...”
บุญทิ้งนั่งทานขนมอยู่ มีป้าแก้วคอยดูแลอยู่ เติมบุญนั่งอยู่ด้วย
“อร่อยมั้ยลูก”
“ขนมเค้กนี่ คุณปานฟ้าทำเองเลยนะ” ป้าแก้วบอก
“พี่ปานฟ้าเก่งจังครับ...อร่อยด้วย” บุณทิ้งชื่นชม
เติมบุญหัวเราะเบาๆหน้าตามีความสุข
“พ่อแม่หนูเป็นใครเหรอ เล่าให้ตาฟังบ้างได้มั้ย”
บุญทิ้งหน้าเสียไป
“ผมไม่ทราบครับ...คนที่เลี้ยงผมเล่าว่าพ่อแม่ผมเอาผมมาทิ้งไว้ที่กองขยะ” บุญทิ้งก้มหน้า น้ำตาคลอ
ป้าแก้วสะเทือนใจ เติมบุญโอบศีรษะบุญทิ้งมาแนบกับอกตัวเอง ปลอบใจ
ขณะเดียวกัน...สายอุษาโทรศัพท์บอกอนิรุทธิ์ เรื่องปานเดือนอยู่ในบ้าน
“พ่อรุทธิ์เหรอ รีบไปที่โรงพยาบาลนะ ยัยเดือนกำลังแย่”
สายอุษาหน้าเศร้า ค่อยๆ วางโทรศัพท์ลง
อ่านต่อหน้า 3 วันนี้ 7 ม.ค. 2554 เวลา 18.00 น.
ดุจดาวดิน ตอนที่ 3 (ต่อ)
พิมเปิดประตูห้องปานดาวเข้ามา ปานดาวตะคอกใส่หน้าทันที
“ไหนว่าไอ้พ่วง มันพาเจ้าทินภัทรไปขายที่ชายแดนแล้วไง ทำไมมันถึงกลับมาที่นี่อีก”
ภูวดลยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง มองไปที่ปานดาว พิมจ๋อยไป
“ไอ้พ่วงมันบอกยังงั้นนี่คะคุณดาว...”
“ทำไมแกไม่บีบคอมันให้ตายคามือเลยนะนังพิม ฉันจะได้สบายใจไม่ต้องห่วงว่าลูกนังเดือนมันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
“แต่เด็กบุญทิ้ง คงไม่ใช่คุณทินภัทรหรอกค่ะ”
ภูวดลเห็นด้วย
“ใช่...มันจะเป็นทินภัทรไปได้ยังไง มันก็แค่เด็กข้างถนนพ่อแม่เอามาทิ้งไว้เท่านั้นแหละ อย่าคิดมากเลยน่าคุณดาว”
ปานดาวตวัดสายตาไปยังสามี พูดเสียงเครียด
“ฉันอดคิดไม่ได้นี่ อย่าลืมว่าเราทำทุกอย่างเพื่อให้ ธัญวิทย์ลูกของเราได้สมบัติทั้งหมดของคุณพ่อ ไม่ใช่สิของตระกูลเลยละ ฉันจะไม่ยอมให้ไอ้เด็กนั่นมาเป็นมารขวางทางร่ำรวยของตาธัญวิทย์ได้หรอก”
พิมเผลอยิ้มขึ้นมา
“ใช่ค่ะ คุณดาว”
ปานดาวหันไปเห็นก็แหวใส่
“ใครใช้ให้แกออกความเห็น หา นังพิม”
“ก็พิมดีใจแทนลูก เอ๊ย...คุณธัญวิทย์นี่คะ”
ปานดาวยื่นหน้าไปใกล้ ตาดุวาว
“อย่าปากสว่างไปล่ะ นอกจากธัญวิทย์จะไม่ได้อะไรแล้วอะไรแล้ว แกก็จะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ด้วย จำใส่สมองกลวงๆ ของแกไว้ นังพิม”
พิมก้มหน้าซ่อนความเคียดแค้นไว้ในใจ ธัญวิทย์เปิดประตูเข้ามา ปานดาวรีบปรับอารมณ์ทันที
“ลูกธัญวิทย์ ทำไมไม่ไปเล่นห้องคุณตาล่ะคะ”
“คุณตาอยู่กับไอ้เด็กข้างถนนที่ในสวน...”
ปานดาวอึ้งไป
“อะไรนะ...พิม พาคุณธัญวิทย์ไปเล่นข้างนอกก่อน”
“ไปเล่นกับพิมนะคะ...”
“ไม่...”
“อย่าดื้อสิคะคุณธัญวิทย์”
ธัญวิทย์หันไปต่อรองกับแม่
“พรุ่งนี้คุณแม่ต้องพาผมไปเที่ยวนะครับ คุณแม่สัญญาก่อน”
“จ้ะ แม่สัญญา...”
“งั้นก็ไปเล่นกับพิมนะคะ”
พิมพาธัญวิทย์ออกไปปิดประตู ปานดาวก็โผมาที่หน้าต่างทันทีเห็นเติมบุญนั่งอยู่กับบุญทิ้ง มีป้าแก้วนั่งอยู่ด้วย
“คุณ หาทางทำอะไรสักอย่างสิ...ฉันไม่สบายใจเลย...เราจะปล่อยให้นังเดือนเอาเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า มาอุปโลกน์ว่าเป็นลูกที่หายสาบสูญไปไม่ได้”
“ทำไมถึงคิดว่าปานเดือนจะทำยังงั้น”
ปานดาวพูดด้วยความน้อยใจ
“นังเดือนมันไม่คิดหรอก แต่คุณพ่อคุณแม่รักนังเดือนมาก ยิ่งมันมาเสียสติยังงี้ ท่านก็ยิ่งสงสารมัน คิดดูสิ หากรับไอ้เด็กบ้านั่นเข้ามาแล้วทำให้ยัยเดือนมีอาการดีขึ้น มีหรือที่คุณพ่อคุณแม่จะไม่ทำ”
ภูวดลเริ่มเห็นด้วยกับภรรยา
“จริงสิ ผมลืมไป...ถ้างั้นเราต้องหาทางกำจัดไอ้เด็กนั่นให้พ้นทางของเรา ไม่ต้องห่วงหรอก ตัวแค่นั้น มันไม่รอดมือผมไปได้หรอก...”
ปานดาวมองลงไป ก็เห็นเติมบุญเอ็นดูบุญทิ้งอยู่ มีป้าแก้วอยู่ข้างๆ
“ดูสิ...คุณพ่อโอ๋มันยังกะเป็นทินภัทรตัวจริง โอ๊ย...แค่เห็นฉันก็จะประสาทตายอยู่แล้ว ทำไงดีคะภู”
เติมบุญคุยกับบุญทิ้ง ป้าแก้วนั่งอยู่ใกล้ๆ
“บุญทิ้ง...ถ้าอยากมาบ้านตาก็บอกนะ ตาจะให้รถไปรับ”
บุญทิ้งชะงักไป
“ตา...”
เติมบุญยิ้มเอ็นดู ลูบผมบุญทิ้ง
“ก็เรียกตาว่าตาไง...หรือว่าบุญทิ้งไม่อยากเป็นหลานตา”
บุญทิ้งยิ้มดีใจ
“อยากสิครับ...”
ป้าแก้วยิ้ม บอกบุญทิ้ง
“งั้นก็ไหว้คุณตาซะสิ ขอบคุณท่านด้วยที่ท่านเมตตาเราบุญทิ้งไหว้เติมบุญ”
บุญทิ้งยกมือไหว้
“ขอบคุณครับคุณตา...”
ธัญวิทย์กับพิมยืนอยู่ พิมหน้าเครียด
“เห็นมั้ย คุณธัญวิทย์ ไอ้เด็กขอทานนั่นมันกำลังจะแย่งความรักจากคุณตา ไปจากคุณธัญวิทย์”
ธัญวิทย์หน้าบึ้งตึง เดินมาแล้วตบหัวบุญทิ้งอย่างแรง
“โอ๊ย...”
ป้าแก้วตกใจ
“ว้าย...”
เติมบุญไม่พอใจ
“ธัญวิทย์ทำไมทำยังงี้ ไปเอานิสัยก้าวร้าวมาจากใคร...ลูกหลานตาจะต้องไม่เป็นคนยังงี้...ใครสั่งใครสอนให้เราทำยังงี้...หา”
เติมบุญโกรธจนตัวสั่น พิมกอดธัญวิทย์หน้าเสียไป
“คุณธัญวิทย์ ไม่ได้ตั้งใจค่ะคุณท่าน”
“ไม่ใช่เรื่องของแก...นังพิม” เติมบุญหันไปดุธัญวิทย์ “นิสัยเสียยังงี้ ระวังตาจะไม่รักเรานะ ธัญวิทย์”
พิมหน้าเสีย ธัญวิทย์สะบัด
“คุณตาไม่รักผม ผมก็ไม่รักคุณตา...”
ธัญวิทย์จะตบหัวบุญทิ้งอีก แต่ป้าแก้วตีมือ ธัญวิทย์สะบัดมือเร่าๆ
“นังแก้ว ผมจะฟ้องแม่”
เติมบุญโมโหมาก
“พูดไม่เพราะอีก...ยัยพิม จับตัวเจ้าธัญวิทย์ไว้ ฉันจะตีสั่งสอนมัน”
พิมไม่ยอม กอดธัญวิทย์ไว้แน่น
“อย่าทำอะไรคุณธัญวิทย์เลยค่ะ...แกยังเด็ก”
“ปล่อยนังพิม...” เติมบุญตวาด
สายอุษาวิ่งมา
“อะไรกันคะคุณ...”
“คุณยายช่วยด้วย...ช่วยผมด้วย ฮือๆๆ คุณตาจะตีผม”
ธัญวิทย์สะบัดออกจากพิมไปกอดสายอุษาหลบหลัง เติมบุญโมโหมาก
“ตัวแค่นี้นิสัยเกเรแล้ว ต่อไปจะเป็นคนดีกับเขาได้ยังไง...”
ปานดาวมองมาที่หน้าต่าง เห็นธัญวิทย์ร้องไห้ก็หน้าเสียไป
“เร็วเข้าคุณ ไอ้เด็กนั่นก่อเรื่องแล้ว โธ่ ธัญวิทย์ลูกแม่”
ปานดาวออกไป ภูวดลรีบตามไป
เติมบุญจะตีแต่ธัญวิทย์หลบรอบกายสายอุษา ร้องไห้ พลางตะโกน
“คุณตาใจร้าย คุณยายช่วยวิทย์ด้วย...ช่วยด้วย...”
“คุณคะ ค่อยๆ พูดกันนะคะ”
“ขืนปล่อยไป โตขึ้นมันจะนิสัยเสีย”
เติมบุญตีถูกธัญวิทย์หนึ่งที ธัญวิทย์สะบัดวิ่งหนีไปหาภูวดลกับปานดาวที่วิ่งมา ปานดาวโกรธมาก
“คุณพ่อ ตีลูกของดาวทำไมคะ”
“ก็ตีให้มันเป็นเด็กดีน่ะสิ...”
“คุณแม่ คุณตาตีผม...ฮือๆๆ”
พิมหน้าเครียด มองเติมบุญ สายตาไม่พอใจ ภูวดลหันไปสั่งพิม
“พาตาธัญวิทย์ไปที่ห้องก่อน ไปสิ”
“ค่ะ คุณภู...ไปสิคะคุณธัญวิทย์ เดี๋ยวคุณแม่ก็จัดการให้เองแหละค่ะ”
ธัญวิทย์มองไปที่บุญทิ้ง ซึ่งอยู่กับป้าแก้ว บุญทิ้งหน้าเสียไป
“คุณพ่อเห็นไอ้เด็กกำพร้าสกปรกดีกว่าหลานแท้ๆเหรอคะ ดาวจะได้รู้ว่าดาวกับลูกไม่มีความหมายในสายตาคุณพ่อ...”
“ยัยดาว...อย่าพูดกับคุณพ่อยังงั้น” สายอุษาปราม
“ดาวจะพูด ตาวิทย์เป็นลูกดาวนะคะ ดาวก็ต้องปกป้อง ลูกดาวไม่ผิด”
“ผิดสิ ผิดที่แกรักลูกในทางผิดๆ ไง เพาะเชื้อให้มันเป็นคนชั่วช้าสารเลว...” เติมบุญปรายตาไปทางภูวดล “เลือดข้างฉันไม่มีแบบนี้หรอก”
ภูวดลไม่พอใจ รู้ว่าเติมบุญกระแทกใส่ตัวเอง ปานดาวไม่ฟังเสียง ตรงเข้าไปกระชากตัวบุญทิ้งออกมา ป้าแก้วร้องออกมาสุดเสียง
“ว้าย...อะไรกันคะคุณ”
ปานดาวไม่ฟัง ตีบุญทิ้งไม่นับ บุญทิ้งร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น เติมบุญตวาด
“หยุด...ฉันบอกให้หยุด...ยัยดาว แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ปานดาวไม่ฟัง ป้าแก้ววิ่งเข้ากระชากมือของปานดาวออกมา แต่ภูวดลกระชากป้าแก้วเซออกไป
“อย่ายุ่ง...อีแก่”
“หยุด...หยุด” เติมบุญหน้านิ่ว เสียงขาดหาย “ฉัน บอก...ให้ ห...หยุด...”
เติมบุญจะเป็นลมหมดสติ สายอุษาเห็นท่าสามีไม่ดีก็ร้องขึ้น
“คุณคะ คุณ...โอ๊ย ช่วยด้วย...”
ปานดาวหันมา เห็นพ่อจะเป็นลม ก็ปล่อยบุญทิ้งจนล้มลง ร้องไห้จ้า...ป้าแก้วรีบเข้ามาประคองเติมบุญออกไป สายอุษาช่วยอยู่ข้างๆ ภูวดลรีบยุเมีย
“ไปดูคุณพ่อ...ไปสิ”
ปานดาวรีบตามไป
“คุณพ่อขา...คุณพ่อเป็นยังไงคะ...”
ปานดาวพยายามจะเข้าไป ช่วยแต่สายอุษาหันมาจ้องหน้า
“หลีกไปยัยดาว...”
ปานดาวยืนนิ่งมองตามกลุ่มของสายอุษาไป ดวงตาเคียดแค้น ภูวดลจับตัวบุญทิ้งขึ้นมา เขย่า ตวาดใส่
“ไสหัวแกออกไปจากบ้านนี้ ก่อนที่ฉันจะบีบคอแกตายคามือ...ไป๊...”
ภูวดลผลักบุญทิ้งออกห่าง บุญทิ้งเซไปแล้วยืนสะอึกสะอื้น ภูวดลเงื้อมือจะฟาดบุญทิ้งรีบวิ่งไป พลางเช็ดน้ำตาสะอึกสะอื้น ภูวดลยืนมองสะใจ
อนิรุทธิ์เข้าไปที่โรงพยาบาล ตรงไปที่แผนกจิตเวช เขาเดินด้วยความเร่งรีบผลักประตูเข้าไป ปานเดือนนอนหมดสติอยู่ ปานฟ้ากับภาคินยืนคุยกับหมอปรัชญาอยู่
“พี่รุทธิ์มาพอดีเลย ฟ้ากับคุณภาคินจะต้องรีบกลับไปรับบุญทิ้ง”
“ไม่เป็นไร พี่อยู่กับเดือนได้...” อนิรุทธิ์หันไปถามปรัชญา “หมอครับ คุณเดือนเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนไข้กระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง ระยะนี้ต้องระวัง หมอเกรงว่าหลังจากหายจากอาการคลุ้มคลั่งแล้วคนไข้ อาจเข้าสู่ระยะที่เรียกว่าซึมเศร้า ถึงตอนนั้นอาจมีอาการหลงผิด”
ปานฟ้าชะงักอึ้ง
“หลงผิด...เป็นยังไงคะ”
“ก็อาจจะเห็นภาพหลอน หรือหูแว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่างบางทีก็อาจจะคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องในอดีต...ตอนนี้ฉีดยาให้แล้วตื่นขึ้นมาก็คงดีขึ้น พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้”
อนิรุทธิ์มองปานเดือน สงสารจับใจ จับมือบีบเบาๆ
“โธ่ คุณเดือน...”
ปานฟ้ากับภาคินสบตากัน
“ผมว่าเราไปกันเถอะครับ ป่านนี้บุญทิ้งคงรอแย่แล้ว”
“ฝากพี่เดือนด้วยนะคะ พี่รุทธิ์”
“ผมต้องดูแลคุณเดือน เท่าชีวิตของผมอยู่แล้วละครับ...”
ปานฟ้ากับภาคินยิ้มแล้วออกไป อนิรุทธิ์จับมือปานเดือน
“คุณเดือน หายไวๆ นะครับ...”
ขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน บุญทิ้งเดินร้องไห้ไปตามริมถนน รถราแล่นมาฉวัดเฉวียน บุญทิ้งเหลียวมองไปรอบๆ เป็นสถานที่ ตนไม่รู้จักบุญทิ้ง น้ำตาไหลพราก
ทางด้านเติมบุญนอนเหยียดยาวอยู่ที่โซฟา ป้าแก้วเอายาดมอังที่จมูกให้ สายอุษาบีบนวดให้
“คุณคะ คุณอย่าเป็นอะไรไปนะคะ”
ปานดาวกับภูวดลเข้ามา
“นี่ถ้าไม่เป็นเพราะคุณพ่อ หลงผิดไปโอ๋ไอ้เด็กบ้านั่นเข้า คุณพ่อก็คงไม่เป็นยังงี้หรอก...”
“หยุดพูดเถอะยัยดาว แม่ไม่อยากได้ยิน”
“แต่ดาวพูดความจริงนี่คะ...”
สายอุษาหันขวับมาเห็นปานดาวยืนอยู่ ภูวดลยืนอยู่ไม่ห่าง
“ฉันบอกให้แกหยุด แล้วก็ไปให้พ้นหน้าฉันด้วย ไปสิ”
ปานดาวทำท่าจะตอบโต้ แต่ภูวดลจับแขนปานดาวไว้ ห้ามไม่ให้พูด เติมบุญลืมตาขึ้นพูดแผ่วเบา
“บุญทิ้งล่ะ...บุญทิ้ง...”
“โอ๊ย...ป่านนี้เตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้...”
สายอุษาหันมาทางปานดาว ภูวดลยักไหล่ แล้วเดินออกไป
“เด็กมันรู้ค่ะว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านมัน....มันก็ต้องไปตามทางของมันสิคะคุณแม่...”
ปานดาวออกไป เติมบุญหน้าเสียไป
“แก้ว...ไปดูบุญทิ้งซิ”
ป้าแก้วอึกอัก
“เอ้อ...เอ้อ...”
สายอุษา
“ไปสิ...”
ป้าแก้วรีบลุกไป เติมบุญบอกกับสายอุษา
“ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้คือทินภัทร...หลานของเรา”
สายอุษาส่ายหน้า
“มันจะเป็นไปได้ยังไงคะคุณ...”
ป้าแก้วออกมาดูที่หน้าบ้าน มองหาบุญทิ้งแต่ไปเห็นพิมยืนอยู่ พิมมองยิ้มเยาะ
“ตามหาไอ้เด็กไม่มีพ่อมีแม่เหรอป้า”
“แกไม่มีสิทธิ์ไปว่าคุณหนูบุญทิ้งยังงั้น นังพิม...”
“นี่เรียกมันว่าคุณหนูเลยเหรอ”
“เห็นหรือเปล่าล่ะ”
“มันคงไปตามหาพ่อหาแม่มันแล้วมั้ง มันไปแล้วจะอาลัยอาวรณ์อะไรกันนักกันหนา”
ป้าแก้วเดินเข้ามาหา ท่าทางเอาจริง พิมถอยกรูดไป
“หะ...อะไรกันป้า”
“ข้าน่ะไม่ได้เป็นคนอาลัยอาวรณ์หรอกโว้ย แต่คุณท่านต่างหาก ปากเสียยังงี้ จะให้ข้าฟ้องคุณท่านมั้ยนังพิม”
พิมเท้าเอวลอยหน้า ไม่กลัว
“เชิญขี่ม้าสามศอกไปบอกเถอะย่ะ”
พิมสะบัดหน้าเดินไป แก้วมองตามด้วยสายตาเคียดแค้น
ปานฟ้ารับโทรศัพท์ ภาคินขับรถอยู่ข้างๆ
“อะไรนะป้า...เป็นไปได้ยังไง...” ปานฟ้าตกใจ
ป้าแก้วพูดโทรศัพท์น้ำตาไหลพราก
“นี่ป้ายังไม่รู้จะบอกท่านยังไงเลยค่ะว่าเด็กบุญทิ้งหายไปแล้ว...”
ปานฟ้าหันมาทางภาคิน หน้าเสียไป ทั้งสองสบตากัน กังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ใจเย็นๆ นะคะ บอกท่านว่าคุณภาคินมารับแกไปแล้วดีกว่า ท่านจะได้ไม่เป็นห่วง...”
ป้าแก้วยิ้มออกมาได้
“ค่ะๆๆ ดีเหมือนกัน...”
ปานฟ้าหันไปบอกภาคิน
“บุญทิ้งหายไปจากบ้านค่ะ”
ภาคินหันขวับมาที่ปานฟ้าทันที
“อะไรนะ”
ค่ำนั้น...ดวงจันทร์สุกสกาวบนฟ้า ปานดาวทิ้งตัวลงบนที่นอน หน้าเครียด
“คุณพ่อหลงคิดว่าไอ้เด็กนั่นเป็นทินภัทร มีหวังว่าจะต้องเอามันมาเชิดชูอยู่ในบ้านนี้แน่...ทำไงดีล่ะคะภู”
“ผมไม่น่าขู่มันเลย ป่านนี้ไม่รู้เตลิดไปไหนแล้ว...เราต้องหาทางทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มันมาที่นี่ได้”
พิมเข้ามา ปานดาวถามทันที
“ธัญวิทย์นอนแล้วเหรอ”
“ค่ะ...คุณธัญวิทย์บอกว่าให้เรียนคุณดาวด้วยว่าพรุ่งนี้ อย่าลืมพาเธอไปเที่ยว...”
“ฉันมีสติหรอก รู้ว่ารับปากอะไรไว้กับลูก อย่าสะเออะมาเตือน...แล้วนี่เสนอหน้าเข้ามาทำไม”
พิมก้มหน้าคับแค้นใจ ภูวดลมองไปที่น้องสาวรู้สึกสงสาร
“มีอะไรเหรอพิม”
“คุณปานฟ้ายังไม่กลับมาเลยค่ะ พิมว่าคงไปตามหาเด็กบุญทิ้งนั่น”
ปานดาวนิ่งคิด แล้วยิ้มออกเมื่อนึกบางอย่างได้ คว้าโทรศัพท์มากด
ก้องภพแต่งตัวลงบันไดมา วิมลวรรณซึ่งกำลังเปิดกล่องเพชรดู ปราดไปหา
“ก้องภพจะไปไหนลูก ดึกแล้วนะ”
“ผมจะไปบ้านปานฟ้า”
วิมลวรรณยิ้มดีใจ
“ต๊าย...นี่แม่ดีใจจริง ๆเลย ความรักของลูกกับปานฟ้าคืบหน้าไปถึงขนาด นัดพบกันตอนกลางคืนแล้วเหรอแล้วนี่ บอกรักเขาหรือยังล่ะ”
ก้องภพได้ยินอย่างนั้นก็หงุดหงิดทันที
“ผมรีบ...”
“ก้องภพ...จะรีบอะไรนักหนา แหม คนหนุ่มก็ยังงี้แหละ เรื่องแบบนี้ปรึกษาแม่ได้นะ...แม่น่ะผ่านความรักมาก่อน รู้ดีว่าผู้หญิงอย่างปานฟ้าที่กำลังหลงรักลูกของแม่น่ะกำลังรู้สึกยังไง”
ก้องภพตวาดใส่แม่
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่เข้าใจ...แต่ตอนนี้ปานฟ้ากำลังไปไหนต่อไหนกับไอ้ภาคิน”
วิมลวรรณแหวขึ้นมาทันที
“ไอ้ภาคิน...”
อานนท์เดินออกมาจากด้านใน มองไปที่ก้องภพกับวิมลวรรณ
“แม่มันก็เป็นมารหัวใจของแม่คนหนึ่งแล้ว นี่มันยังจะมาเป็นมารหัวใจของลูกอีกเหรอ”
อานนท์เดินมาหา
“หนูปานฟ้าเขาบอกรักแกหรือยัง ก้องภพ”
“คุณพ่อถามทำไม”
“ถ้ายัง หนูปานฟ้าก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเลือกคบใครก็ได้”
วิมลวรรณไม่พอใจรุนแรง
“แต่ใครคนนั้นต้องไม่ใช่ไอ้ภาคิน”
“แล้วถ้าเป็นภาคินล่ะ”
“ฉันไม่ยอม...ก้องภพจะแพ้มันไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น อย่าลืมสิคะว่าก้องภพเป็นลูกของเรา”
“ภาคินมันก็ลูกผมเหมือนกัน...”
วิมลวรรณโมโห ผลักอานนท์ด้วยอารมณ์รุนแรง อาละวาด
“ก็แค่ไอ้ลูกแม่ทิ้ง ลูกติดจากผู้หญิงไร้สกุลรุนชาติ เป็นลิเกเร่ไปเร่มาไม่รู้นอนกับใครมาบ้าง คุณก็ยังคิดยกมาเชิดชูเป็นลูกออกหน้าออกตา รู้มั้ยว่าคนในสังคมเขาพูดถึงคุณว่ายังไง...บอกตรงๆว่าฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”
“ก็ไว้ที่บ่าคุณไง หรือถ้าที่ไว้ไม่ได้ ก็บอกจะหาให้”
วิมลวรรณกรี๊ด แล้วตรงเข้าทุบอานนท์ไม่นับ ก้องภพส่ายหน้าเดินออกไป วิมลวรรณกำลังจะด่าอานนท์หันไปมองแล้ววิ่งตามไป
“ก้องภพ...ถ้าเจอหน้ามันก็ไม่ต้องปรานีมันเลยนะลูก กระทืบมันให้ตายต่อหน้าหนูปานฟ้าเลยยิ่งดี”
“คุณแม่ได้เห็นมันยับเยินกลับมาแน่...ฮึ่ม...”
ก้องภพออกไป วิมลวรรณยิ้มเยาะ หันมามองอานนท์
“คุณหญิงควรจะยุติธรรมบ้าง เจ้าภาคินมันไม่เคยทำความเดือดร้อนให้เรา มีแต่ก้องภพแหละ เรียนก็ไม่จบงานการก็ไม่ทำ เอาแต่ผลาญเงินไปวันๆ”
อานนท์เดินไป วิมลวรรณระเบิดอารมณ์ตามไป
“ใช่ซี้ ไหนจะประเสริฐเลิศเลอเท่าลูกลิเกเร่ใจง่ายอย่างไอ้ภาคินล่ะ”
ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน
ปานฟ้ากับภาคินขับรถมา พลางมองหา
“ถ้าหาบุญทิ้งไม่เจอ พี่เดือนคงอาการทรุดหนักลงกว่านี้อีก โธ่...”
ภาคินหันมามองหน้าปานฟ้า
“ใจเย็นๆครับ ผมเชื่อว่าเราต้องตามหาแกพบ...”
ทันใดนั้น ทั้งสองเห็นคนมุงอยู่กลางถนน ภาคินชะลอรถแล้วจอดริมทาง
“คงอุบัติเหตุน่ะ...”
ภาคินลงไปจากรถ ปานฟ้าตามไปติดๆ ทั้งสองแหวกกลุ่มคนเข้าไป เสียงชาวบ้านคุยกันอยู่
“ชนแล้วหนี...ตายหรือเปล่าวะ”
“นั่นสิ...”
ปานฟ้ากับภาคินเห็นเด็กตัวเท่าบุญทิ้งนอนคว่ำหน้าอยู่ เลือดเต็มตัว ปานฟ้าตกใจมาก
“หา...บุญทิ้ง...”
ภาคินปราดไปอุ้มเด็กชายขึ้น แต่พอหงายหน้าขึ้น เป็นเด็กอื่น ไม่ใช่บุญทิ้ง ปานฟ้าระบายลมหายใจจะเป็นลม ภาคินอุ้มเด็กขึ้นมา
“หลีกหน่อยครับ...”
ภาคินอุ้มเด็กไปที่รถ ปานฟ้าวิ่งตามไป ปานฟ้าเปิดประตูรถเบาะหลังให้ ภาคินเอาเด็กใส่ไว้ที่เบาะหลัง
ปานฟ้านั่งซึมอยู่ที่เก้าอี้ในโรงพยาบาล ภาคินเดินมา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
“แกถึงมือหมอแล้ว...คงไม่เป็นอะไรแล้วละ...”
ปานฟ้าหันมา น้ำตาไหลพราก
“เราจะเจอบุญทิ้งมั้ยคะ...”
“ต้องเจอสิ” ภาคินจับมือปานฟ้า “กลับบ้านก่อนเถอะครับ คุณพ่อคุณแม่ของคุณจะเป็นห่วง ระหว่างที่คุณปานเดือนยังอยู่โรงพยาบาล เราอาจจะโชคดีได้พบแก”
ปานฟ้าพยักหน้า
อ่านต่อหน้า 3
ดุจดาวดินตอนที่ 3 (ต่อ)
ปานฟ้ากับภาคิน ขับรถผ่านป้ายรถเมล์แต่ไม่เห็นบุญทิ้งซึ่งนั่งร้องไห้เบาๆ อยู่ รถแล่นผ่านไป
“ผมคงต้องให้เจ้าตุลย์ช่วยตามหาบุญทิ้งด้วย”
“ดีค่ะ...เราให้รางวัลคนที่พบตัวแกดีมั้ยคะ เผื่อว่าจะมีคนช่วยตามหาแกอีกแรง”
“อย่าเพิ่งเลยครับ ตำรวจพอจะรู้ว่าเด็กเร่ร่อนอยู่ที่ไหน ผมเกรงว่ารางวัลที่จะให้จะกลายเป็นแรงจูงใจพวกมิจฉาชีพ...”
“จริงด้วย...ฉันลืมคิดไป” ปานฟ้ามองออกไปด้านนอก “ขอให้เจอบุญทิ้งทีเถอะ”
ปานฟ้ากังวล
ที่มูลนิธิ...เฟื่องแก้วผุดลุกผุดนั่ง หันมองที่หน้าต่างก็ไม่เห็นภาคินมา
“คุณภาคิน นี่คุณไม่รู้จักหัวใจของแก้วเลยเหรอคะว่าแก้วคิดยังไงกับคุณ”
เฟื่องแก้วถอนใจ ลุกไปที่หน้าต่าง แรงหึงบวกกับความเป็นห่วงทำให้เฟื่องแก้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทำท่าจะกดแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ โยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงอย่างหงุดหงิด
ทางด้านภาคินขับรถมาจอดที่หน้ารั้วบ้านของปานฟ้า แสงไฟจากหน้ารถเห็นรถคันหนึ่งจอดขวางอยู่ ภาคินมองไปก็รู้ว่าเป็นรถของก้องภพ
“ก้องภพ”
ก้องภพเดินออกมายืนขวางไว้ ภาคินกับปานฟ้ามองหน้ากัน ปานฟ้าลงจากรถ ตรงไปหาก้องภพ ภาคินตามออกมา ก้องภพถลามาต่อย ภาคินไม่ทันระวังตัว เซไป ปานฟ้าตกใจ
“หยุดนะ อย่ามาทำตัวนักเลงแถวนี้...”
ก้องภพหันมาเสียงดังใส่ปานฟ้า
“นักเลงเหรอ ผมไม่ฆ่ามันก็ดีเท่าไหร่แล้ว...”
ก้องภพปราดไปต่อยภาคิน แต่คราวนี้ภาคินสู้ ก้องภพถูกต่อยล้มลงไป ปานฟ้ายืนตะลึง
“กลับไปเถอะค่ะ คุณก้องภพ ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจัดการ”
“ดีสิ จะได้จับไอ้แมวขโมยนี่เลย”
“ไม่ใช่ ข้อหาบุกรุกต่างหาก...”
ก้องภพอึ้งไป
“ปานฟ้า แล้วไอ้ภาคินล่ะ”
“เขาเป็นแขกของฉันค่ะ เชิญ...”
ก้องภพมองภาคินกับปานฟ้าอย่างแค้นๆ กุมแผลที่ปากเข้าไปในรถ ภาคินถอยรถห่างออกไป ก้องภพมองดูรถของภาคิน ที่หลีกให้รถของตนอย่างเครียดแค้น
“ไอ้ภาคิน”
ก้องภพถอยรถแล้วขับไปอย่างเร็ว ปานฟ้าถามภาคินด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บหรือเปล่าคะ”
“นิดหน่อยครับ...”
“คุณเจ็บตัวเพราะฉัน หลายหนแล้วนะคะ...”
ปานฟ้ากับภาคินสบตากัน ระบายยิ้มสื่อถึงกันด้วยความเข้าใจ
ภาคินเข้ามาในบ้านเห็นวิมลวรรณยืนหน้าเครียดรออยู่ก็ชะงัก วิมลวรรณเข้ามาตบหน้าภาคินอย่างแรง
“เนรคุณ”
ภาคินกุมหน้าตกใจ
“คุณแม่...”
“ฉันไม่ใช่แม่แก...เมื่อไหร่จะจำใส่กะโหลกซะที...”
อานนท์เดินเข้ามา
“คุณหญิง...”
วิมลวรรณหันมา แหวใส่สามี
“ฉันพูดผิดตรงไหนเหรอคะคุณ...ก็ฉันไม่ได้เบ่งมันออกมานี่ ฉันจะเป็นแม่มันได้ยังไง คุณก็รู้ว่าฉันกับแม่มันต่างกันราวฟ้ากับดิน ผู้ดีอย่างฉัน ไม่มีวันเป็นผู้หญิงใจง่ายอย่างแม่มันหรอก”
ภาคินมองหน้าวิมลวรรณ ทนไม่ได้ เดินไปทันที วิมลวรรณหัวเราะ
“ทำไม...ยอมรับความจริงไม่ได้เหรอไง เจ้าภาคิน”
อานนท์จับตัววิมลวรรณเขย่า ตะคอกใส่หน้า
“ใช่...คุณหญิงพูดถูก แม่ของภาคินเทียบกับคุณหญิงไม่ได้หรอกต่างกันราวฟ้ากับดิน ตรงที่แม่ของภาคินแสนดี ส่วนคุณหญิงน่ะชั่วช้าจนหาใครมาเปรียบไม่ได้ต่างหากล่ะ”
วิมลวรรณสะบัดผลักไสอานนท์
“คุณ...นี่คุณด่าฉันเหรอ”
“ใช่”
อานนท์เดินไป วิมลวรรณกรี๊ดตามหลัง คับแค้นใจ
“บ้าเอ๊ย”
ภาคินยืนซึมอยู่ในห้อง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณภาคินคะ ป้านุ่มเองค่ะ”
“เข้ามาสิป้า...”
ป้านุ่มเปิดประตูเข้ามา
“คุณหนูอย่าคิดมากนะคะ คุณหญิงท่านก็อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆอย่างนี้แหละ...ว่าแต่ทำไมถึงได้ลงไม้ลงมือกันล่ะคะ”
“ป้าเลี้ยงผมมา ป้าก็ทราบว่าผมไม่เคยทำใครก่อน”
“ป้ารู้...แล้วคุณหนูเจ็บหรือเปล่าคะ”
ภาคินมองไปอย่างเศร้าๆ ส่ายหน้า
“ไม่เจ็บหรอกครับ แต่เจ็บใจมากกว่า ป้าครับ...ทำไมผมถึงไม่มีแม่เหมือนคนอื่น”
“มีสิคะ...ไม่มีใครหรอกค่ะที่ไม่มีแม่...ทุกคนก็ต้องมีแม่กันทั้งนั้น คุณหนูอย่าคิดมากสิคะ”
“ถ้างั้น แม่ผมก็คงเป็นผู้หญิงใจร้ายที่สุดในโลก ถึงได้ทิ้งลูกไปได้ลงคอ...”
ป้านุ่มตกใจ รีบยกมือห้าม
“อย่านะคะ...คุณหนู พูดยังงั้นจะบาปค่ะ...เชื่อป้านะคะสักวัน คุณหนูจะได้พบหน้าแม่ แล้วคุณหนูจะทราบว่า เธอเป็นคนดีที่สุดในโลก แล้วก็เป็นแม่ที่รักลูกไม่น้อยไปกว่าแม่คนอื่น...คุณหนูพักผ่อนนะคะ...”
“ครับ ป้า ผมยังโชคดีที่บ้านนี้ยังมีป้านุ่มเป็นคนคอยให้กำลังใจผม...”
ป้านุ่มเดินมาป้ายน้ำตาออกมาจากห้องภาคิน เธอสงสารเขาเหลือเกิน
“คุณหนูขา...คุณหนูจะรู้หรือเปล่าคะว่าคุณแม่ของคุณหนูก็รักและห่วงคุณหนูยิ่งกว่าใคร”
ป้านุ่มชะงัก เมื่อเห็นอานนท์ยืนขวางอยู่ ป้านุ่มก้มหน้า ค้อมตัวจะเดินผ่านไป
“นุ่ม...”
“ขา...”
“ไม่ได้ข่าวบุษบาบ้างเลยเหรอนุ่ม...”
ป้านุ่มอึกอักส่ายหน้า
“ไม่...ไม่ทราบเลยค่ะคุณท่าน...”
อานนท์พยักหน้า หน้าเศร้าๆ
“เธอจะรู้หรือเปล่านะว่าลูกชายของเธอน่ะเป็นหนุ่มแล้ว”
ป้านุ่มยิ้มเศร้าบางๆ มองอานนท์ด้วยความเห็นใจ ทันใดนั้นเสียงวิมลวรรณดังขึ้น
“อะไรกัน...”
อานนท์กับนุ่มหันไป ตกใจเมื่อเห็นวิมลวรรณยืนอยู่
“ถึงกับต้องปรับทุกข์กับคนใช้เลยหรือคะคุณพี่...หรือว่าหน้ามืด คิดพิศวาสนังนุ่มขึ้นมา”
ป้านุ่มหน้าเสีย อานนท์มองอย่างเกลียดชัง
“ผมนึกว่าปากคุณจะสกปรกอย่างเดียว ใจคุณก็สกปรกด้วย ทำตัวให้เป็นเทพธิดาเหมือนเวลาอยู่ในงานสังคมหน่อยสิ คุณหญิง”
อานนท์เดินไป วิมลวรรณเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำหมัดแน่น ไม่รู้จะตอบยังไง
ป้านุ่มเข้ามาในห้องพักรำพึงกับตัวเอง
“น่าสงสารคุณหนูจังเลย”
ป้านุ่มมองดูโทรศัพท์ หยิบขึ้นมามองแล้วตัดสินใจโทรหากัญญา
โรงลิเก เลิกจากการแสดงแล้ว เก้าอี้สำหรับผู้ชมยังตั้งเรียงรายอยู่ กัญญากดรับโทรศัพท์
“พี่นุ่ม...มีอะไรหรือจ๊ะ”
“แม่กัญญาเป็นยังไงบ้าง รู้มั้ยวันนี้คุณผู้ชายบ่นถึงเธอด้วยนะ...”
“ฉันไม่เคยนึกถึงเขาหรอกจ้ะ ห่วงก็แต่ตาหนูเท่านั้น...ภาคินเป็นยังไงบ้าง”
ป้านุ่มกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ได้ พูดเสียงเครือ ปิดบังความจริง
“คุณหนูสบายดี”
“ฉันอยากเจอพี่นุ่มจังเลย คิดถึง”
“ได้สิ...ที่เดิมก็แล้วกัน พรุ่งนี้นะจ๊ะ”
ช้อยยืนแอบฟังอยู่ กัญญาปิดโทรศัพท์หันมาเห็น
“คุยกับชู้รักหรือจ๊ะ แม่ครู...”
“ธุระของฉัน ไม่เกี่ยวกับเธอ”
“อ้าว ไหนว่าอยู่คณะเดียวกัน ควรจะรักกัน พอฉันถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กลับหาว่าฉันยุ่ง...โอ๊ย อย่าให้พี่ถมจับได้ก็แล้วกัน”
กัญญาไม่ใส่ใจเดิน ผ่านหน้าไป ช้อยกอดอกเบ้ปากให้อย่างไม่แคร์
เช้าวันใหม่...กัญญาแต่งตัวออกไปข้างนอก ถมออกมาเห็นจึงถามขึ้น
“จะไปไหนเหรอกัญญา”
“ไปตลาดน่ะพี่ถม พี่ถมจะฝากซื้ออะไรมั้ย”
“กับข้าวกับปลาก็เยอะแล้ว จะไปซื้ออะไรมาเพิ่มอีกรึ”
“เปล่าหรอกจ้ะ คือว่า...เอ้อ เมื่อคืนฉันฝันร้ายน่ะจ้ะ ก็เลยอยากจะไปถวายสังฆทานหน่อย...เดี๋ยวฉันก็กลับ”
ถมพยักหน้า ไม่ขัดข้อง กัญญาเดินไป ช้อยแอบมองอยู่
เฟื่องแก้วช่วยเด็กกวาดใบไม้อยู่ ภาคินขับรถเข้ามา เฟื่องแก้วเดินมาหา
“เมื่อคืนแก้วรอทั้งคืน ไม่เห็นคุณภาคินพาบุญทิ้งมาส่งที่นี่” เฟื่องแก้วมองไปที่รถ “แล้วบุญทิ้งล่ะคะ หรือว่าผู้หญิงคนนั้นเธอรับอุปการะบุญทิ้งเป็นลูกแล้ว...”
ภาคินส่ายหน้า
“บุญทิ้งหายไป เฟื่องแก้ว ช่วยโทรตามหมวดตุลย์มาพบผมหน่อยสิ ด่วนเลยนะ”
เฟื่องแก้วทำท่าจะถาม แต่แล้วตัดสินใจไม่ถาม
“ค่ะๆ”
ภาคินเดินเข้าไปในสำนักงาน เฟื่องแก้วหน้าเสียไป แล้วตรงรี่ไปที่โทรศัพท์
“ขอสายหมวดตุลย์หน่อยค่ะ”
ภาคินนั่งลงแล้วดูรูปถ่ายของบุญทิ้ง อย่างกังวล เฟื่องแก้วหยุดยืนอยู่ที่ประตู เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม
“มีอะไรเหรอคุณแก้ว”
“คุณมีอะไรให้แก้วช่วยมั้ยคะ”
“ไม่ครับ ขอบคุณ...”
ภาคินก้มดูรื้อค้นแฟ้มอย่างเครียดๆ เฟื่องแก้วเข้ามายืนตรงหน้า
“หาอะไรเหรอคะ ให้แก้วช่วยมั้ยคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“แก้วเป็นคนทำหน้าที่จัดเอกสารทั้งหมดของที่นี่ บางทีแก้วอาจจะช่วยคุณภาคินได้นะคะ...”
ภาคินยิ้มบางๆ
“คุณแก้วไปดูเด็กๆ เถอะครับ...เดี๋ยวผมหาเอง...”
เฟื่องแก้วขยับจะถาม ภาคินยิ้มให้อีกครั้งเป็นเชิงเตือน ทำให้เธอต้องออกไปข้างนอก
เฟื่องแก้วเดินหน้าเครียดมา ผ่านเด็กๆที่วิ่งเล่นกันอยู่
“คุณภาคินนะคุณภาคิน ไม่เห็นความหวังดีของแก้วเลย”
เด็กคนหนึ่งวิ่งมาถามเฟื่องแก้ว
“พี่แก้วครับ บุญทิ้งหายไปไหนล่ะ หรือว่าบุญทิ้งเจอพ่อแม่แล้ว”
“คงเป็นยังงั้นมั้ง...”
“ดีจัง...บุญทิ้งได้เจอพ่อแม่แล้ว ผมสิ...เมื่อไหร่จะได้เจอพ่อกับแม่ก็ไม่รู้”
เด็กชายหน้าเศร้าไป เฟื่องแก้วขยี้ผมปลอบใจ
“คงอีกไม่นานหรอกจ้ะ ไปเล่นกับเพื่อนๆ ก่อนนะจ๊ะ”
“ครับพี่แก้ว...”
เด็กวิ่งไป เฟื่องแก้วมองออกไป พูดเบาๆ
“ถ้าได้เจอพ่อแม่แล้วก็คงดีนะ ผู้หญิงคนนั้นจะได้ไม่ต้องมาที่นี่อีก...”
ตุลย์เดินยิ้มเข้ามา
“หวัดดีครับ คุณแก้ว...”
เฟื่องแก้วหันไป ยิ้มเจื่อน
“เอ้อ สวัสดีค่ะ...”
“แหม...พอเห็นหน้าผมละก็หน้าซีดเชียว แสดงว่ากำลังแอบคิดถึงผมอยู่ละสิ...พอผมมาจริงๆ ก็เลยตกใจ...รู้มั้ยแบบนี้เขาเรียกว่าหัวใจของเราสองดวงมันถวิลหากัน...จริงมั้ยครับคุณแก้ว”
เฟื่องแก้วเชิดหน้าขึ้น
“วันไหนตกงาน ก็ไปเล่นลิเกนะคะคุณผู้หมวด”
“อ้าว...จ๋อยเลยเรา”
ตุลย์ยิ้มหน้าทะเล้น
“รึว่าไม่จริงล่ะ...”
“ผมพูดเป็นกับคนบางคนเท่านั้นแหละครับ...ผมไปก่อนดีกว่า ท่าทางเจ้าภาคินมันรีบร้อนมาก”
ตุลย์เดินไป เฟื่องแก้วระบายลมหายใจ
“นี่ถ้าเป็นคุณภาคินพูดหยอกล้อกับเรายังงี้บ้าง เราคงมีความสุขมากกว่านี้”
กัญญาเดินมาตามทาง ช้อยสะกดรอยตามมาไม่ห่าง กัญญาหันไป ช้อยรีบหลบ กัญญารีบเดินไปยังจุดนัดพบ
“นังนี่ ท่าทางมันแปลกๆ หรือว่ามันแอบคบชู้ ดีละนังช้อยจะได้รายงานให้พี่ถมรู้ พี่ถมจะได้ตาสว่างซะที ฮึ...”
ช้อยรีบเดินไปตามที่นัด
วิมลวรรณเดินมาที่โต๊ะอาหาร แต่ไม่เห็นใคร อาหารเช้าจัดวางไว้เรียบร้อย
“คนบ้านนี้เขาไม่รู้จักมารยาทหรือไง ถึงไม่ลงมาทานอาหารเช้า”
ป้านุ่มเดินออกมา
“คุณภาคินออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วล่ะค่ะ”
“ไปไหน...”
“อิฉันไม่ทราบค่ะ”
วิมลวรรณตวาดใส่ป้านุ่ม
“ทีหลังก็หัดถามซะบ้าง เอะอะก็ไม่ทราบ...ไม่ทราบน่ารำคาญ”
อานนท์เดินมา แต่งชุดทำงาน
“ทำไมไม่ถามถึงลูกชายสุดที่รัก ของคุณบ้างล่ะ”
“ก้องภพไม่สบาย โดนอันธพาลหัวไม้ทำร้ายเอา คุณก็รู้ยังจะให้ลูกรีบตื่นขึ้นมาทำไม ที่นี่บ้านก้องภพนะคะแกไม่ได้อาศัยใครอยู่ จะได้รีบตื่นมาเสนอหน้าเจ้าของบ้าน...”
“ภาคินก็ไม่ได้อาศัยใครอยู่เหมือนกัน”
อานนท์นั่งลง ป้านุ่มเปิดชามข้าวต้มร้อนๆ ซึ่งใส่ในชามกระเบื้องเนื้อดี มีฝาปิดไว้อย่างสวยงาม พร้อมช้อนกระเบื้องลายเดียวกันวางอยู่ข้างๆ อานนท์ไม่ใส่ใจ ตักข้าวต้มเข้าปาก วิมลวรรณนั่งลง ป้านุ่มเปิดฝาชามข้าวต้ม วิมลวรรณมองอานนท์ ไม่พอใจที่เห็นเขาไม่รู้สึกรู้สากับอารมณ์หงุดหงิดของตน
“ไม่กินแล้ว ไม่มีอารมณ์”
วิมลวรรณเดินไป อานนท์ส่ายหน้าถอนใจ
“คุณท่านคะ วันนี้อิฉันจะขอลาไปหาญาติที่ซอยตรงข้ามนี้แหละค่ะ เที่ยงๆ ก็คงกลับ”
“ไปเถอะนุ่ม...”
ป้านุ่มยิ้มแล้วยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
ภาคินกับตุลย์ คุยกันอยู่ในห้องทำงาน...
“ผมว่าบางที แกอาจจะหาทางกลับมามูลนิธิไม่ถูก เอางี้ผมจะให้ตำรวจหาบุญทิ้งตามเส้นทางจากบ้านคุณปานฟ้า แต่ผมมั่นใจว่าแกต้องอยู่ตามตลาด”
ภาคินแปลกใจ
“ทำไมหมวดคิดยังงั้นล่ะครับ”
“อย่าลืมว่าแกเคยถูกบังคับให้หากินตามตลาด วิชามารที่ไอ้พ่วงมันเคยสอนไว้ น่าจะถูกนำมาใช้ในยามที่แกหิวโหย”
ภาคินคล้อยตาม
“ถ้างั้นก็รีบดีกว่า...จากบ้านคุณปานฟ้า ตลาดอะไรที่อยู่ใกล้ที่สุด”
ตุลย์นึกได้ยิ้มออกมา
“ผมพอนึกออกแล้ว...”
เฟื่องแก้วเข้ามาพอดี พร้อมกาแฟในถาดสองถ้วย แต่ภาคินกับตุลย์ลุกขึ้นด้วยความรีบร้อน
“ขอบใจนะเฟื่องแก้ว แต่เราต้องรีบไป”
เฟื่องแก้วยืนอึ้ง มองตุลย์กับภาคินที่ออกไปอย่างไม่พอใจแต่กดข่มไว้ วางถาดลงแล้วเดินออกมา
ภาคินกับตุลย์ออกมาจากด้านใน เห็นปานฟ้าลงมาจากรถพอดี ตุลย์หันไปยิ้มให้ภาคิน ปานฟ้าเดินมาหา
“ฉันเป็นห่วงบุญทิ้งน่ะค่ะ ก็เลย...”
“เรากำลังจะออกไปตามหาแกอยู่พอดี” ภาคินบอก
“งั้นให้ฉันไปด้วยนะคะ...”
“ยินดีครับ...”
ตุลย์หันไปบอกกับภาคิน
“ถ้างั้นผมจะรีบประสานงานไปทางสถานีตำรวจ ให้จัดส่งกำลังมาช่วยกันตามหาแกด้วยครับ”
ภาคินยิ้มรับ
“ขอบใจหมวด”
“ไปรถฟ้าก็ได้ค่ะ”
ภาคินยิ้ม พยักหน้า
“ขอบคุณครับ...”
เฟื่องแก้วน้อยใจรีบพูดขึ้น
“ให้แก้วไปด้วยได้มั้ยคะ”
“อยู่กับเด็กๆ ที่นี่ดีกว่าครับ คุณแก้ว เผื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทางนี้จะได้ช่วยเด็กๆ ด้วย...”
เฟื่องแก้วจ๋อยไป ภาคินขึ้นนั่งคู่กับปานฟ้า เธอถอยรถออกไปส่วนตุลย์ตรงไปยังรถของตนที่จอดไว้หน้ามูลนิธิ หันมาส่งยิ้มให้แต่เฟื่องแก้วเมินหน้าไปทางอื่น ตุลย์จ๋อยไปเล็กน้อย เฟื่องแก้วเดินไปทางหนึ่ง อย่างไม่พอใจ
ช้อยแอบมองกัญญาจากมุมหนึ่ง เห็นกัญญามองไปรอบๆ ด้วยท่าทีร้อนรน ไม่ไกลจากกันนัก บุญทิ้งจดๆ จ้องๆ มองที่ร้านอาหาร เห็นชายคนหนึ่งกำลังทานข้าวอยู่คุยโทรศัพท์ไปด้วยสักครู่ก็พยักหน้าท่าทางรีบร้อน วางเงินไว้ข้างจาน แล้วลุกออกมา บุญทิ้งตัดสินใจเข้าไปรีบกินอาหารที่เหลืออยู่อย่างหิวโหย ลูกค้าหญิงคนหนึ่งมองอย่างรังเกียจ
“ว้าย...สกปรก แม่ค้า ไล่ไปทีสิ...”
แม่ค้าในร้านเห็นก็ตวาดเสียงดัง
“เฮ้ย...จับที...”
บุญทิ้งตกใจวิ่งหนี ลูกจ้างในร้านวิ่งไปแต่บุญทิ้งวิ่งหนีเข้าไปในตลาดหลบหนีไปอย่างชุลมุน โดยมีลูกจ้างของร้านวิ่งตามไปติดๆ
ช้อยชะเง้อมองกัญญา แล้วก็ตกใจที่เห็นคนเอะอะชุลมุน บุญทิ้งชนเข้ากับช้อยอย่างแรง ช้อยไม่ทันระวัง เสียหลักล้มไป
“ว้าย...ไอ้เด็กบ้า”
กัญญาหันไปจึงเห็นช้อยกำลังลุกขึ้น กัญญาหน้านิ่วพูดขึ้นเบาๆ
“ช้อย...”
บุญทิ้งวิ่งมาที่กัญญา เด็กลูกจ้างเงื้อหมัดจะทุบใส่ บุญทิ้งสะดุดเสียหลัก กัญญารีบห้ามไว้
“อย่าทำแกเลย แกทำอะไรเสียหายเหรอ ฉันจะชดใช้ให้”
“ไอ้เด็กจรจัด หัวขโมย แบบนี้มันต้องจับส่งตำรวจ...คุณอย่าไปช่วยมันเลย”
“ตัวแกนิดเดียวเอง ฉันขอละนะ เอ้า...ฉันให้...”
กัญญาส่งเงินให้สองร้อยบาท ลูกจ้างรับไป คนเริ่มมามุงดูมีบางคนจำได้
“ลิเกนี่ ฉันจำได้...”
กัญญายิ้มแหยๆ พยักหน้ารับ แล้วรีบดึงตัวบุญทิ้งออกมาที่ริมถนน รถตุ๊กๆ ผ่านมาพอดี กัญญารีบโบกเรียกแล้วขึ้นไปบนรถ พร้อมกับบุญทิ้ง ช้อยมองตามอย่างงงๆ
“อะไรของมัน...”
กัญญากอดบุญทิ้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่รถสามล้อแล่นไป
“ไม่ต้องร้องนะหนู...โอ๋...บ้านอยู่ที่ไหนกันจ๊ะ...”
บุญทิ้งไม่ตอบ แต่ซบหน้ากับร่างกัญญาสะอื้น
“โถ...”
กัญญากอดบุญทิ้งไว้ ภาพในอดีตผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง...วันนั้น กัญญาเกาะราวบันไดบ้านของวิมลวรรณแน่น วิมลวรรณทุบตีพยายามแกะมือเธอให้หลุดออก
“ไป...ไปสิ...”
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...ฮือๆ”
“กลัวตายใช่มั้ย ทียังงี้ทำไมกลัว เวลาหน้าด้านแย่งผัวคนอื่น ทำไมไม่กลัวบ้าง...สวยนักเหรอ ดีละ วันนี้ฉันจะฆ่าแก ไม่งั้นก็จะทำให้แกเสียโฉม แกจะได้ไม่ต้องใช้ความสวยไปแย่งผัวชาวบ้านอีก”
วิมลวรรณถีบที่ท้องอย่างแรง จนมือกัญญาหลุดจากราวบันได จะร่วงลงไป แต่ก็คว้าไว้ได้ วิมลวรรณตามมาด้วยความอาฆาตแค้นรุนแรง จะถีบให้ตกบันได อานนท์วิ่งมาพอดี ตวาดเสียงดัง
“หยุดนะ วิมลวรรณ”
วิมลวรรณเชิดหน้า ก้าวลงมาที่บันไดขั้นที่กัญญานั่งร้องไห้อยู่ จิกผมของกัญญาจนหน้าหงาย
“ไม่หยุด จนกว่า คุณจะเป็นคนออกปากไล่นังนี่ให้ไปพ้นจากชีวิตของเรา ไม่งั้นฉันจะยอมเป็นฆาตกรถีบนังหน้าด้านนี่ ให้ตกบันไดตายต่อหน้าต่อตาคุณ”
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะใจร้ายยังงี้”
วิมลวรรณกระชากผมอย่างแรง กัญญาร้องไห้ ป้านุ่มวิ่งมายืนอยู่ด้านหลังอานนท์ มองกัญญาด้วยความสงสาร
“ฉันหรือใจร้าย คุณกับนังนี่ต่างหากที่ใจร้ายกับฉันทรยศฉัน...หนอย เอามันมาเล่นลิเกฉลองครบรอบวันแต่งงานของเรา ฉันยังหลงคิดว่าคุณช่างแผลงๆ เอาลิเกมาเล่นในบ้าน คงอยากให้พวกนักข่าวมันตื่นเต้นที่ไหนได้ คุณกลับหลงเสน่ห์มัน...สวยมากใช่มั้ย”
วิมลวรรณดึงผมอย่างแรง กัญญาร้องไห้โฮ
“พอได้แล้ว วิมลวรรณ...”
“ไม่...”
อานนท์พยายามเดินเข้าหา เจรจาให้วิมลวรรณอ่อนลง
“บุษบาเขาไม่ผิด แต่ผมต่างหากที่ทำร้ายเขา ตอนนี้เขากำลังท้อง นึกว่าสงสารเด็กในท้องเถอะนะ”
วิมลวรรณมองดูกัญญาด้วยสายตาชิงชัง แล้วก็ปล่อยมือจากผมอย่างแรง จนกัญญาแทบหงายไป
“ก็ได้...เมื่อคุณต้องการให้ฉันสงสารมัน ฉันจะยอมให้มันอยู่ในบ้านนี้ นังนุ่ม”
ป้านุ่มน้ำตาไหล สงสารกัญญา
“ขา...”
“เอามันไปอยู่เรือนคนใช้ ส่งข้าวส่งน้ำมัน อย่าให้มันออกไปไหน จนกว่าไอ้มารหัวขนมันจะออกมาดูโลก”
กัญญาร้องไห้กอดบุญทิ้งไว้ บุญทิ้งเงยหน้าทั้งน้ำตา
“คุณป้าร้องไห้ทำไมครับ”
“ก็...ป้า...ป้า สงสารหนูไงลูก...”
กัญญากอดบุญทิ้งไว้ รถสามล้อแล่นไป ภาพในอดีตแว่บเข้ามาในความคิดอีกครั้ง กัญญาอุ้มลูกอยู่ในห้อง วิมลวรรณซึ่งท้องแก่เดินมา ป้านุ่มหน้าซีด ยืนขวางไว้
“คุณผู้หญิง”
“หมดเวลาของแกแล้ว...”
กัญญาเงยหน้ามองวิมลวรรณอย่างตกใจ
“เว...เวลาอะไร”
“ออกไปจากบ้านของฉัน...ไสหัวออกไป ถ้ายังไม่อยากตาย”
กัญญากอดลูกไว้แน่น ป้านุ่มพยายามแย้ง
“แต่แม่กัญญา เพิ่งคลอดลูกนะคะคุณผู้หญิง”
วิมลวรรณหันไปตวาดป้านุ่ม
“นังนุ่ม ไม่ต้องพูดมาก เอาลูกมันมา...เมื่อผัวฉันรักไอ้เด็กคนนี้มากนัก ฉันก็จะเลี้ยงมันไว้เอง”
ป้านุ่มกับกัญญาตกใจ
“หา...”
กัญญากอดลูกกระถดหนี วิมลวรรณตรงเข้าหา
“นังนุ่ม ฉันสั่งแกว่ายังไง เร็วสิ...”
กัญญากอดลูกร้องไห้แล้วพนมมือขึ้นก้มลงกราบ วิมลวรรณซึ่งยืนอยู่
“ถ้าให้ฉันไปจากที่นี่ ฉันก็จะไป แต่ฉันจะต้องเอาลูกไปด้วย...ฉันรักลูก...”
วิมลวรรณแสยะยิ้ม นั่งลง จ้องหน้ากัญญา พูดเสียงเครียด
“ฉันรู้...แล้วแกก็จงจำไว้ด้วยว่าอะไรที่แกรัก ฉันจะพรากมันไปจากแกให้หมด ไสหัวออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ววันไหนที่แกกลับมาเป็นมารชีวิตฉัน ลูกแกต้องตาย...ด้วยมือของฉัน...เอามา...”
วิมลวรรณกระชากเบาะเด็กไป จากอ้อมกอดของกัญญาเด็กทารกร้องไห้จ้า ป้านุ่มปล่อยโฮสะอื้นเสียงดัง
รถตุ๊กตุ๊กวิ่งมาถึงหน้าวัดแห่งหนึ่ง คนขับรถตุ๊กๆ มองทางกระจกมองหลังเห็นกัญญากอดบุญทิ้งสะอื้น ก็ถามขึ้น
“จะลงไหนกันครับ...”
กัญญาได้สติ
“จอดแถวนี้ก็ได้”
คนขับจอดรถเข้าข้างทาง กัญญาส่งแบงก์ร้อยให้ แล้วอุ้มบุญทิ้งลงมาจากรถตุ๊กตุ๊กแล้วมองไปที่วัด
อ่านต่อตอนที่ 4 พรุ่งนี้ 8 มกราคม 2555