ดุจดาวดิน ตอนที่ 5
ปานฟ้าเดินไปตามทางในห้างสรรพสินค้าอย่างรีบร้อน จะไปตามที่นัดไว้กับภาคิน พบก้องภพยืนยิ้มขวางหน้าอยู่ ปานฟ้าหยุดชะงัก
“ไปไหนเหรอครับคุณฟ้า”
“ธุระค่ะ ต้องออกไปพบลูกค้า...”
“ผมขับรถให้”
“ก้องภพ ฟ้ากำลังจะไปทำงานนะคะ นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดเล่นกัน”
ก้องภพหงุดหงิดเห็นได้ชัด
“ให้มันจริงเถอะ เรื่องงานน่ะ”
“คนไม่เคยทำงานอย่างคุณน่ะ ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าคนทำงานเขายุ่งแล้วก็วุ่นวายกันยังไง ขอตัวค่ะ”
ปานฟ้าเดินไป ก้องภพมองตามอย่างหงุดหงิด
“ฮึ...ทำงาน ให้มันจริงเถอะ...”
ก้องภพรีบตามออกไปทันที เมื่อปานฟ้าขับรถออกไปจากห้าง เขาก็ขับรถตามไปทันที เพราะอยากรู้ว่าเธอไปไหนกันแน่
ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา...ปานเดือนนั่งรถเข็นอย่างเหม่อลอย อุ้มตุ๊กตาที่นอนอยู่บนเบาะ เห่กล่อม อนิรุทธิ์ยืนอยู่ข้างๆ มองดูด้วยสายตาสงสาร
“เอ่..เอ๋ อย่าร้องนะทินภัทรลูกแม่...เดี๋ยวคุณพ่อก็กลับมาจากที่ทำงานแล้วนะลูก...”
ปานเดือนเห่กล่อมลูกน้อย สีหน้ามีความสุข ขณะเดียวกัน ปานฟ้า บุญทิ้ง ภาคินเดินมา
“อยู่นั่นไงครับ”
ทั้งสามคนเห็นปานเดือนเห่กล่อมตุ๊กตาอยู่ ปานฟ้ายืนนิ่ง สงสารพี่สาวจับใจ ภาคินมองดูหน้าปานฟ้าก็เดาได้
“เข้มแข็งนะครับ คุณฟ้า...”
“ค่ะ...”
บุญทิ้งมองดูปานเดือน สงสารจับใจเช่นกัน
“ผมกอดคุณปานเดือนได้มั้ยครับ...”
ปานฟ้าหันมาแล้วนั่งลงพูดกับบุญทิ้ง
“ได้สิ...เข้าไปหาคุณปานเดือนเลยนะบุญทิ้ง...”
บุญทิ้งยิ้ม พยักหน้า แววตาดีใจ วิ่งไปยืนตรงหน้า ปานเดือนเงยหน้าขึ้น แล้วก็ค่อยๆเผยยิ้มออกมา สีหน้าสว่างสดใสผิดกับทีแรก
“ทินภัทรลูกแม่...”
บุญทิ้งโผเข้าหา ปานเดือนกอดไว้แน่น...ร้องไห้
“ลูกแม่ อย่าหนีแม่ไปไหนอีกนะ...หนูอยู่กับแม่นะจ๊ะ...อยู่กับแม่ตลอดไปนะจ๊ะ...สัญญาสิ...”
บุญทิ้งนิ่งไป ไม่รู้จะตอบยังไง ปานฟ้าที่เดินเข้ามาพร้อมภาคินยิ้มให้
“พี่เดือน บุญทิ้งมาเยี่ยม...เดี๋ยวบุญทิ้งก็ต้องกลับ พี่เดือนต้องหาย จะได้อยู่กับบุญทิ้งไงล่ะจ๊ะ”
“หมาย...หมายความว่ายังไง อย่าขัดใจฉันนะ...ไม่งั้นละก็ ฉันจะฆ่าให้หมดทุกคนเลย ใครก็พรากลูกไปจากฉันไม่ได้”
อนิรุทธิ์นั่งลงข้างรถเข็นของปานเดือน พูดปลอบใจ
“คุณเดือน...ใจเย็นๆ สิ ถ้าคุณเดือนไม่ทานยา ไม่นอน ไม่ยอมทำตามที่หมอสั่ง บุญทิ้งก็จะไม่อยู่กับคุณเดือนนะ...ใช่มั้ยบุญทิ้ง...”
“ครับ...”
ปานเดือนยิ้ม กอดบุญทิ้งแน่น น้ำตาไหลพราก
“สัญญากับแม่นะว่า จะไม่หนีแม่ไปไหน...”
“ครับ คุณปานเดือน...”
ปานเดือนชะงัก จับบุญทิ้งห่างตัว พูดเสียงเครือ
“ทำไมไม่เรียกแม่ว่าแม่ละลูก...แล้วใครกันตั้งชื่อลูกของแม่ว่าบุญทิ้ง...ลูกแม่ชื่อทินภัทร...ทินภัทรจำไว้นะลูก...”
ปานฟ้าเมินหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจ น้ำตาคลอ ภาคินส่งผ้าเช็ดหน้าให้ ปานฟ้ารับไป
“ขอบคุณค่ะ”
ปานฟ้าซับน้ำตา อีกด้านหนึ่ง ก้องภพยืนมองอยู่ หน้าเครียด
“มาเยี่ยมคนบ้าด้วยกัน...พี่สาวคุณฟ้านี่นา...ฮึ นี่มันใกล้ชิดกันขนาดนี้เลยเหรอ...”
ก้องภพเดินไปด้วยความหัวเสีย ขณะเดียวกัน ปานฟ้านั่งลงข้างๆปานเดือน
“พี่เดือนต้องอย่าดื้อกับหมอนะคะ จะได้กลับบ้านไวๆคุณพ่อคุณแม่จะได้หมดห่วง...”
“พี่สัญญา พี่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ พี่ได้ทินภัทรลูกพี่กลับคืนมาแล้วนี่ยัยฟ้า...”
ปานฟ้าหันไปสบตากับภาคิน อนิรุทธิ์นั่งลงข้างๆปานเดือน มองเธออย่างมีความหวังว่าจะหายจากอาการนี้
ปานฟ้ากับภาคินเดินมาด้วยกัน บุญทิ้งก้าวนำไปก่อน เดินห่างออกไป
“บุญทิ้งคงคิดหนัก...” ภาคินพูดขึ้นอย่างกังวล
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องคุณปานเดือน...ผมเกรงว่าบุญทิ้งจะหลงดีใจไปว่า คุณปานเดือนเป็นแม่ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง...”
ปานฟ้าหยุดเดินมองหน้าภาคิน
“ไม่มีอะไรสำคัญเท่าชีวิตของพี่เดือน...ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตของคุณพ่อกับคุณแม่ด้วย คุณพ่อท่านก็เคยบอกว่าถ้าบุญทิ้งยอมที่จะเป็นลูกให้พี่เดือน ทุกอย่างก็จบ”
“แน่ใจเหรอว่า ครอบครัวของคุณฟ้ายอมรับบุญทิ้งได้ เด็กอย่างบุญทิ้งน่าสงสารนะครับ รอยแผลเป็นในใจ ที่เกิดจากอดีตที่พร่ามัว มันฝังลึกไม่ลืมได้ง่ายๆหรอกครับ...เด็กที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ หรือว่ามีแต่ก็ไม่สมบูรณ์ ทุกข์ทรมานยังไง ผมทราบดี”
น้ำเสียงของภาคินเศร้าจนปานฟ้ารู้สึกได้ ปานฟ้าจับมือภาคินปลอบใจ
“ฟ้าจะเป็นกำลังใจให้คุณภาคิน และบุญทิ้งตลอดไปค่ะ”
“ขอบคุณครับ...”
ทั้งสองสบตากัน แล้วยิ้มให้กัน
บุญทิ้งเดินมาที่รถของปานฟ้า ก้องภพเดินมาทางด้านหลัง จับตัวบุญทิ้งไว้ ถามเสียงเครียดเชิงขู่
“เด็กข้างถนนอย่างแกน่ะเหรอ จะเป็นลูกชายคุณปานเดือนฝันไปละมั้ง นี่ไอ้ภาคินมันคิดจะหากินกับเด็กอย่างแก เอาไปอุปโลกน์เป็นหลานเศรษฐีเหรอ...”
บุญทิ้งนิ่งตะลึง ปานฟ้ากับภาคินมาถึงพอดี
“ปล่อยบุญทิ้งเดี๋ยวนี้นะก้องภพ”
“ไม่...เด็กคนนี้แหละที่จะเป็นคนบอกกับคนทั้งโลกว่า คนอย่างแกน่ะลวงโลก เป็นพ่อพระแต่เปลือก แท้ที่จริงก็หากินกับเด็กตาดำๆ”
ขาดคำภาคินก็ตรงเข้าต่อยก้องภพ จนก้องภพเซไป บุญทิ้งเสียหลักล้มลงไป ปานฟ้ารีบถลาไปช่วยบุญทิ้ง แล้วดึงออกมา ขณะที่ภาคินกระชากตัวก้องภพเข้ามา จ้องหน้า
“จำไว้นะคุณก้องภพ ผมยอมให้คุณโขกสับผมได้ทุกอย่าง แต่มีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่ผมยอมคุณไม่ได้...เรื่องแม่ของผม กับเรื่องอุดมการณ์ของผม...”
ก้องภพถ่มน้ำลายลงข้างตัว
“วิเศษมาจากไหนวะ ถึงแตะต้องไม่ได้ ก็ไม่จริงหรือไง..”
ภาคินเงื้อหมัดจะต่อยอีก แต่ปานฟ้าถลามาห้ามไว้
“อย่าค่ะ เดี๋ยวมีใครมาจะเรื่องใหญ่...ก้องภพ คุณกลับไปก่อนดีกว่าค่ะ...”
ก้องภพสะบัดออกห่างภาคิน
“คุณฟ้า ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะตาต่ำ มองคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างไอ้ภาคินดีกว่าผม ไม่รู้รึไงว่ากำพืดมันเป็นยังไง...แม่มัน....”
ก้องภพยังพูดไม่ขาดคำ ภาคินก็ต่อยซ้ำเข้าไปอีก ก้องภพเซไป พลางพูด
“ไอ้ภาคิน ฉันจะฟ้องแม่...”
“ผมเตือนคุณแล้วนะ คุณก้องภพ...”
“แล้วแกกับฉันจะได้เห็นดีกัน...ไอ้ลูกนอกสมรส ไอ้ลูกไม่มีแม่ ไอ้...”
ภาคินทำท่าจะเข้าไปทำร้าย ก้องภพหนีหัวซุกหัวซุนไปที่รถของตน บุญทิ้งมองตามไปเศร้าๆ หันไปถามปานฟ้า
“พี่คนนั้นเขาว่าใครหรือครับพี่ปานฟ้า...”
“เขาก็พูดไปยังงั้นแหละจ้ะ บุญทิ้งอย่าไปสนใจเลย” ปานฟ้ากอดบุญทิ้งไว้
ที่โรงลิเก...ช้อยยืนอยู่ที่บนโรงลิเกซึ่งไม่ได้มีการแสดง ทุกคนออกมาจากด้านใน ยืนอึ้งเมื่อเห็นถมเดินหน้าเศร้ามา
“พี่ถม เจ้าของตลาดเขาว่ายังไง...” ช้อยถาม
ถมเงยหน้าขึ้นบอกทุกคน
“เขาไล่เรา...เก็บของ ไปหาที่อยู่ใหม่...”
“โอ๊ย อีกแล้วเหรอ...เร่ร่อนเป็นนกขมิ้นบินไปบินมา หาที่อยู่เป็นหลักแหล่งไม่ได้ซะที...ไหนว่ามีคนระดับแม่ครูมาอยู่ในคณะ แล้วจะโด่งดังคับฟ้าเหมือนคณะอื่นเขาไงล่ะ” ช้อยหันมามองกัญญาอย่างจงใจว่าโดยตรง กระแทกเสียงใส่ “เสียข้าวสุก...”
กัญญามองช้อย ไม่อยากมีเรื่องก็เดินเข้าไปในโรง
“หมั่นไส้ อยากจะตบให้ร่วงตกเวทีเลย..”
ชาวคณะคนอื่นๆยืนขวางกัญญาไว้
“ถ้าทำอะไรแม่ครูนะ โดนดีแน่ จะเอาให้หน้าบวมเป็นนางเอกไม่ได้เลย เอาสิ” คนหนึ่งพูดอย่างไม่พอใจ
ช้อยหงุดหงิด เดินหนีไป อีกคนเบ้หน้าใส่
“นึกว่าตัวเองสวยนักรึไง ถือตัวว่าเป็นนางเอก โธ่เอ๊ย ถ้าย้อนเวลาไปสักห้าปี แกน่ะไม่มีทางเทียบแม่ครูได้หรอก”
ช้อยหันกลับมามองแล้วเดินลงส้นจากไป
กัญญาเดินมาหาถม ที่นั่งซึมอยู่อย่างไม่สบายใจ
“ไปเก็บของซะสิกัญญา...เดี๋ยวเจ้าของตลาดเขามาไล่หรอก...ฉันเสียใจนะที่หาค่าเช่าที่มาให้เขาไม่ทัน...”
“พี่ถมอย่าโทษตัวเองเลย เดี๋ยวนี้คนไม่นิยมดูลิเกแล้ว...ลิเกดังๆเขาก็มีจุดขายอย่างอื่นกันทั้งนั้น เราไม่มีดาราแม่เหล็ก ไม่มีเครื่องไฟและเสื้อผ้าสวยๆ ฉันเองก็แก่เกินกว่าจะดึงคนมาติดคณะเราได้...”
“อย่าโทษตัวเองเลย ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว...ไปเก็บของเถอะ...”
“จ้ะ เดี๋ยวฉันตามไป”
ถมพยักหน้า แล้วเดินไปถึงมุมหนึ่งของโรงลิเก ขณะที่ชาวคณะเก็บข้าวของกันอยู่ ช้อยเดินมาขวาง
“นังกัญญามันไม่ไป ก็ไม่ต้องให้มันไปกับเรา...”
“ใครบอกล่ะ สาระแนเรื่องชาวบ้านนัก เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ...”
ถมเข้าไปในโรงลิเก ช้อยหงุดหงิด พูดตามไป
“นังช้อยพูดอะไรไม่เคยถูก คอยดูนะถ้าวันไหนลิเกคณะนี้ ไม่มีชดช้อย พลอยมณี นางเอกแสนสวยชื่อดังอยู่ประจำคณะนี้แล้วจะอดตายกันหมด..”
ชาวคณะที่ได้ยิน ทำท่าอ้วก ส่งเสียงโอ้กอ้าก ช้อยหันมาแล้วมองแค้นๆ
กัญญาหลบมานั่งตามลำพัง แล้วโทรหาป้านุ่ม ไม่นานนักป้านุ่มมารับสาย
“พี่นุ่มเหรอจ๊ะ”
ป้านุ่มดีใจ รีบหันไปทางหนึ่งไม่เห็นใครก็รีบพูด
“แม่บุษบา ฉันดีใจจังเลย นี่แม่บุษบาโทรมาจากไหนรึจ๊ะ”
“ฉันต้องย้ายวิกอีกแล้วนะ”
“อ้าว จะไปอยู่ที่ไหนล่ะคราวนี้ โธ่ นึกว่าไปตลาดแล้วจะได้เจอกันซะอีก...”
วิมลวรรณเดินมา แล้วคว้าโทรศัพท์ของป้านุ่มไปทันที วิมลวรรณแนบโทรศัพท์กับหูตนเอง เสียงของกัญญาดังมา
“ยังไม่รู้เลยจ้ะ ฝากภาคินด้วยนะจ๊ะพี่นุ่ม...”
วิมลวรรณโกรธจัด พูดตะคอกไป
“นี่แกยังไม่ตายเหรอนังบุษบา...ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าติดต่อมา อย่าลืมสิว่าลูกแกอยู่ในกำมือของฉัน..”
บุษบาตกใจ รีบปิดสัญญาณโทรศัพท์ทันที
“นังบุษบา นังแมวขโมย หนอย หลงคิดว่าแกปีนต้นงิ้วอยู่ในนรกแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังกล้าโทรมาอีก”
วิมลวรรณหันมาเห็นป้านุ่ม ขว้างมือถือของป้านุ่มไปที่โซฟา แล้วเข้ามาตบหน้าป้านุ่มอย่างแรง ดึงผม ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ด้วยความแค้น ป้านุ่มร้องไห้โฮๆ ไม่กล้าทำร้ายตอบ
อานนท์เข้ามาพอดี
“อะไรกัน คุณหญิง...ไม่กลัวมันตายหรือไง...”
อานนท์แยกวิมลวรรณออกมา
“เข้าข้างมันนักใช่มั้ย ฉันจะได้ตบมันให้ตายคามือเลย..”
วิมลวรรณจะเข้าไปทำร้าย แต่เห็นก้องภพเข้ามา เลือดเลอะที่มุมปาก ใบหน้าช้ำบวม
“คุณแม่...”
วิมลวรรณตะลึง
“ตายจริงตาภพ ใครทำอะไรแกน่ะ...”
“ก็จะใครซะอีกละแม่ ก็ไอ้ลูกไม่มีแม่ของคุณพ่อไง...”
อานนท์ตกใจ
“แกไปทำอะไรภาคินเขาล่ะ หา...”
“คุณพี่ ลูกเราเจ็บ ไม่เห็นเหรอไง...ยังจะเข้าข้างไอ้ภาคินอีก”
ป้านุ่มคว้าโทรศัพท์ที่โซฟา แล้ววิ่งออกไปข้างนอก
“อะไรเหรอครับ คุณแม่...”
“นังนุ่ม กลับมานะ กลับมาให้ฉันลงโทษแกซะดีๆ โทษฐานที่กล้าติดต่อกับนังบุษบา...”
ทั้งอานนท์ และก้องภพต่างก็อึ้งไป กับชื่อ...บุษบา...
กัญญายืนหน้าเศร้าอยู่ เมื่อคืดถึงสิ่งที่วิมลวรรณพูด...
‘นี่แกยังไม่ตายเหรอนังบุษบา...ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าติดต่อมา อย่าลืมสิว่าลูกแกอยู่ในกำมือของฉัน..นังบุษบา นังแมวขโมย หนอย หลงคิดว่าแกปีนต้นงิ้วอยู่ ในนรกแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังกล้าโทรมาอีก’
กัญญาน้ำตาไหล
“ภาคิน แม่ขอโทษ...เขาคงโกรธแม่ แล้วทำร้ายลูกของแม่แน่ๆ เลย โธ่...”
ช้อยเท้าเอวตะโกนมาจากบนเวที
“โอ๊ย หมั่นไส้ อาลัยอาวรณ์อะไรกับที่นี่นักหนา หรือว่ามีผู้ชายหน้าโง่มาหลงหัวปักหัวปำ พี่ถมดูซิ ร้องไห้ยังกะญาติเสีย...”
“ปากเสีย นังช้อย...อยู่หน้าโรงร้องไห้เป็นนางเอกน่าสงสาร ทำไมตัวจริงถึงได้ร้ายนักหนาวะ”
ถมตวาดกลับอย่างโมโห
ป้านุ่มออกมาจากบ้าน เรียกรถแท็กซี่เพื่อไปตลาด ขณะเดียวก็โทรหาภาคินไปด้วย
ที่มูลนิธิ...ตุลย์กำลังมองภาพวาดของบุญทิ้งอยู่
“ฝีมือไม่เลว มีหวังได้รางวัลแน่ๆ จริงมั้ยครับคุณแก้ว..”
“ไม่รู้..”
เฟื่องแก้วตอบเมินๆ ขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ของภาคินที่วางอยู่ดังขึ้น เฟื่องแก้วหยิบส่งให้ภาคินที่เดินเข้ามาพร้อมปานฟ้าพอดี
“ขอบคุณครับ...” ภาคินกดรับสายเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมา “ว่าไงครับป้านุ่ม..”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ คุณหญิงโกรธที่คุณหนูทำร้ายคุณก้องภพ...ป้าว่า...”
ภาคินพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“ป้านุ่มไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมยินดีที่จะกลับไปให้คุณหญิงสอบสวน ถ้าผมผิด ผมก็จะยอมรับผิดเอง..”
“ค่ะ ป้าก็โทรมาเตือนคุณหนูก่อนเท่านั้นแหละค่ะ”
ป้านุ่มวางสายไป ภาคินเดินออกจากมูลนิธิมาที่รถ ปานฟ้า ตุลย์ เฟื่องแก้ว เดินตามออกมาด้วย
“ฟ้าอยู่ในเหตุการณ์ จะให้ฟ้าไปเป็นพยานด้วยมั้ยคะ..” ปานฟ้าถามอย่างกังวล
“ขอบคุณครับคุณฟ้า แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะมีพยานหรือหลักฐาน คุณหญิงก็คงไม่ฟังหรอก ท่านเชื่อความรู้สึกของท่านมากกว่า...”
ภาคินเปิดประตูรถ
“เฮ้ย แล้วตกลงคืนนี้ว่าไงวะ เรื่องจะไปลาดตระเวนกัน” ตุลย์ถาม
ภาคินมองเฟื่องแก้ว
“คุณแก้วไปกับหมวดตุลย์นะครับ เด็กๆทางนี้ ให้ลุงชิดแก ช่วยดูแลก็ได้...ผมไปก่อนนะครับ คุณฟ้า...”
ภาคินขับรถออกไป ปานฟ้ายืนมองด้วยความเห็นใจ
วิมลวรรณทาแผลให้ก้องภพ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โกรธและเกลียดภาคินมาก
“แม่อยากจะฆ่ามันนัก มันทำร้ายลูกแม่ก็เหมือนทำร้ายหัวใจแม่...”
อานนท์หัวเราะในลำคอหึๆ วิมลวรรณตวัดสายตามองอานนท์อย่างไม่พอใจ
“หัวเราะอะไร...อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณรักไอ้ลูกผู้หญิงใจง่ายมากกว่าตาภพลูกเรานะ...”
“ถามจริงเถอะ วันๆจิตใจคุณหญิงเคยสงบสุขกับเขาบ้างหรือเปล่า ว่างๆ ก็เข้าวัดฟังธรรมบ้างนะ จิตใจจะได้เย็นขึ้นบ้าง...”
“ฮึ ฉันเป็นยังงี้ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ..”
ก้องภพหงุดหงิดที่พ่อแม่ทะเลาะกัน
“โอ๊ย ทะเลาะกันอยู่ได้ น่าเบื่อ...”
ภาคินเดินเข้ามา อานนท์หันไปถามทันที
“ภาคิน เกิดอะไรขึ้นเล่าให้พ่อฟังซิ...”
“ทำไมต้องเล่า ฉันไม่อยากฟัง ลูกเราเจ็บเห็นอยู่โทนโท่ยังจะพูดจาเข้าข้างมันอีก...มานี่ มาให้ฉันลงโทษแกซะดีๆ ไอ้ภาคิน”
ภาคินเดินไปตรงหน้า วิมลวรรณตบหน้าจนภาคินหน้าหันไป
“จำไว้ อย่าแตะต้องลูกฉันอีก...”
“ผมก็อยากบอกคุณหญิงไว้ว่า อย่าให้คุณก้องภพแตะต้องถึงแม่ผมอีก ผมจะไม่ออมมือเลย แม้แต่คุณหญิงเองก็เถอะ”
วิมลวรรณตกใจ
“ไอ้ภาคิน แกอย่ามาทำตัวนักเลงในบ้านนี้นะ...นิสัยแบบนี้ ตระกูลฉันไม่มีหรอก...ติดเชื้อชั่วแม่แกมาละสิ...”
ภาคินจ้องหน้าวิมลวรรณ
“ผมยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน...”
ภาคินเดินไป ก้องภพหลบตา
“คุณพี่เห็นมั้ยคะ ไอ้ภาคินมัน...”
“ถ้าใครมาว่าแม่ของก้องภพ คุณคิดว่าก้องภพมันจะโกรธมั้ย”
“ถามได้ โกรธสิ แม่ของตาภพก็ฉันนี่ไง...”
“ใช่ เหมือนผม ใครด่าแม่ผม ผมก็ต้องโกรธ...รู้งี้แล้วตาภพ แกควรไปขอโทษพี่เขาซะ...”
“พี่...คุณพ่อให้ผมนับญาติกับมันเหรอ...ไม่มีทางหรอก...” ก้องภพไม่พอใจ
“งั้นก็ไปให้พ้นหน้าฉัน...”
ก้องภพมองหน้าพ่อผิดหวัง
“คุณพ่อ!”
วิมลวรรณโกรธจัด
“คุณหญิงแม่ของฉัน เคยเตือนแล้วว่าฉันเลือกผัวผิด ฮึ ฉันเพิ่งรู้ว่าเป็นจริงก็วันนี้เอง...” วิมลวรรณดัง “นังนุ่ม...นังนุ่ม หายหัวไปไหนนะ อย่าให้ฉันเจอนะ ฮึ่ม ไม่คิดเลยว่าเลี้ยงงูพิษไว้ในบ้าน”
วิมลวรรณพาลไปทั่ว อานนท์สุดจะทน เดินหนีไปอีกคน...
หน้าโรงลิเก...กัญญาวางกระเป๋าเดินทางใบเก่าๆลง เมื่อเห็นป้านุ่มเดินมา ทั้งคู่จับมือกัน
“แม่บุษบา ไปอยู่ที่ไหนต้องติดต่อกลับมานะ สัญญาสิ”
“ฉันติดต่อแน่ เพราะฉันอยากได้ข่าวภาคิน พี่นุ่ม คุณหญิงโกรธมากใช่มั้ย แล้วเธอจะทำอะไรภาคินหรือ
เปล่า เธอเคยขู่ฉันไว้”
“อย่าคิดมากไปเลย คุณหนูน่ะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เอาตัวรอดได้...ห่วงตัวเองดีกว่านะแม่กัญญา...”
กัญญาจับมือป้านุ่มน้ำตาไหล
“ยังไงฉันก็ฝากลูกด้วยนะแม่นุ่ม”
“จ้ะ...”
กัญญาถือกระเป๋าเดินไป ป้านุ่มมองตามด้วยความสงสาร
“กรรมเวรอะไรของแม่กัญญานะ...”
อ่านต่อหน้า 2
ดุจดาวดิน ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภาคินมองดูรูปตัวเองเมื่อครั้งยังเด็ก แต่ในรูปถ่ายใบนั้นแม่ของเขาหันหลังอยู่จึงไม่เห็นหน้า
“สักวัน...ผมจะทำให้แม่หันหน้ามาทางผมให้ได้ ผมจะต้องรู้ว่าแม่ผมหน้าตาเป็นยังไง”
ภาคินคิดถึงแม่อย่างจับใจ ช่วงเวลาเดียวกันนั้น กัญญานั่งอยู่ในรถสองแถว มองออกไปข้างนอกหน้าเศร้าๆ รำพึงในใจ
‘แม่ต้องหนีไปเรื่อยๆ แม่กลัว...กลัวว่าคุณหญิงเขาจะทำร้ายลูกของแม่อย่าโกรธแม่นะ ภาคิน’
กัญญาปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ว ช้อยมองอย่างหมั่นไส้
ป้านุ่มเปิดประตูเล็กเข้ามา แล้วก็ตกใจ เมื่อเห็นวิมลวรรณยืนแอบอยู่ข้างประตู วิมลวรรณดึงผมของป้านุ่มจนหน้าหันมา
“โอ๊ย คุณหญิงเจ็บค่ะ”
“ฉันสิ เจ็บมากกว่าแกไม่รู้กี่เท่า...บอกมานังกัญญาอยู่ที่ไหน”
ป้านุ่มตกใจ ส่ายหน้า
“อิฉันไม่ทราบค่ะ”
“ก็แกติดต่อกับมันไม่ใช่เหรอ”
“เธอเพิ่งติดต่อมาวันนี้เองค่ะ ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยติดต่อกัน”
“งั้นแกก็สาธยายมาว่า...วันนี้หายหัวไปไหนมา”
“ไปตลาดค่ะ”
วิมลวรรณมองป้านุ่น ไม่เห็นกับข้าวหรือตะกร้าใส่กับข้าว
“ท่าทางแกเหมือนไม่ได้ไปตลาด...ผักชีสักต้นก็ยังไม่มีติดมือ”
วิมลวรรณปล่อยผมของป้านุ่มอย่างแรง จนเซไป อานนท์เข้ามา
“ว่าไงนุ่ม ซื้อหอยแครงไม่ได้เหรอ”
ป้านุ่มสบตาอานนท์ รีบรับมุก
“เอ้อ...ไม่มีค่ะ”
อานนท์ส่งสายตาให้หนีไป ป้านุ่มรีบเดินไป วิมลวรรณคว้าข้อมือของป้านุ่มไว้
“ถ้าวันไหนฉันจับได้ว่าแก ยังติดต่อกับนังหน้าด้านนั่นอยู่ รู้วันไหน ฉันก็จะเฉดหัวแกออกจากบ้านวันนั้น”
วิมลวรรณมองแค้นๆ
ป้านุ่มยืนอยู่ในครัวยังหวาดหวั่นอยู่ไม่หาย ภาคินเดินเข้ามา
“บอกผมได้มั้ยป้านุ่ม...ว่าแม่ผมอยู่ไหน”
ป้านุ่มอึกอัก ส่ายหน้า
“นุ่มไม่ทราบจริงๆค่ะ”
“ป้าอย่าปิดผมเลย...ผมอยากพบแม่”
ป้านุ่มส่ายหน้าเช็ดน้ำตาเดินหนีไป ภาคินมองตามไปด้วยสายตาเศร้าๆ ขณะเดียวกันนั้น เสียงหัวเราะหยันดังมาทางหนึ่ง ภาคินหันไปก็เห็นก้องภพยืนอยู่ ใบหน้ายังมีรอยช้ำบวม
“ไอ้ลูกหลงแม่”
ภาคินเดินหนีไปอย่างไม่อยากมีเรื่องด้วย ก้องภพมองตามยิ้มเยาะ
วันใหม่...อนิรุทธิ์เข็นรถของปานเดือน มาตามทางเดินของโรงพยาบาล ปานเดือนนั่งเหม่อลอย ในมือของเธออุ้มตุ๊กตาแล้วหยอกล้อกับตุ๊กตา คิดว่าเป็นลูก สายอุษาที่มองอยู่สะอื้น ผินหน้ามาทางสามี เติมบุญจับมือภรรยาปลอบใจ ปานฟ้ายืนอยู่ข้างแม่ น้ำตาไหลพราก
“คุณ...นี่ยัยเดือนลูกเราเหรอนี่...ทำไมชะตากรรมของยัยเดือนต้อง เป็นยังงี้ด้วย”
“ใจเย็นๆคุณ...ยัยเดือนต้องหาย เชื่อผมสิ”
ปานฟ้าประคองแม่ อนิรุทธิ์เห็นกลุ่มของปานฟ้า ก็ชี้ให้ปานเดือนดู
“คุณเดือนครับ เห็นมั้ยครับ คุณพ่อคุณแม่แล้วก็คุณฟ้ามาเยี่ยม”
ปานเดือนมองไปที่กลุ่มของสายอุษา อย่างจำไม่ได้
“ใคร...ใครกัน...”
สายอุษากลั้นสะอื้นไว้ไม่ได้ เดินไปหาลูกสาว ทุกคนตามไป
“เดือน...นี่แม่ไง แล้วนี่ก็คุณพ่อ แล้วก็น้องฟ้า”
ปานเดือนเอียงคอมอง ส่ายหน้า แล้วก้มลงเห่กล่อมลูกต่อ
“เอ๊...อย่าร้องนะลูกแม่...ทินภัทรลูกแม่...ทินภัทร โตขึ้นลูกต้องเรียนเก่งๆนะลูก...โอ๋ อย่าร้องนะ...อย่าร้อง...”
เติมบุญมองลูกสาวอย่างสงสารจับใจ
“เรากลับกันก่อนเถอะคุณ ตอนนี้ยัยเดือนยังจำเราไม่ได้หรอก”
ปานฟ้าหันมาถามอนิรุทธิ์
“วันก่อนพาบุญทิ้งมา พี่เดือนก็ดูอาการดีขึ้นแล้วนี่คะพี่รุท”
“นั่นสิ...แต่พอบุญทิ้งหายหน้าไป อาการของคุณเดือนก็กลับมาเป็นอย่างเดิมอีก”
“โธ่ พี่เดือน”
ปานฟ้าเศร้าสลดสงสารพี่สาว
ปานดาวตวัดสายตามองมาสามี พูดเสียงเครียด
“ดาวเคยนึกนะภู ถ้าดาวเจ็บปางตาย พ่อกับแม่จะไปเยี่ยมดาว เหมือนไปเยี่ยมนังเดือนหรือเปล่า”
“จะเครียดไปทำไม ยังไงน้องสาวเธอก็คงกลับมาเป็นปกติได้ยาก”
“อย่าประมาท หมอเดี๋ยวนี้เก่งจะตายไป”
“หมอเก่งหรือจะสู้ผมเก่ง...ตอกย้ำว่ามันเป็นบ้าทุกวันโรคบ้าของ มันก็ไม่มีวันหายหรอก...เชื่อสิ”
พิมเข้ามา หน้าตาตื่น
“คุณดาวคะ คุณผู้หญิงเรียกพิมไปพบ...สงสัยว่าจะเป็นเรื่องคุณเดือน”
“แกน่ะรอบจัดจะตายไป...แค่นี้ก็ต้องกลัวด้วยเหรอ ฉันเชื่อว่าแกเอา ตัวรอดได้ จริงมั้ยคะภู”
ภูวดลพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่...ผมก็เชื่อว่านังพิมน่ะเอาตัวรอดได้”
“ถ้าแกยิ่งพูดให้เจ้ารุทกับนังเดือน มันดูแย่มากเท่าไหร่ ฉันก็จะมี รางวัลให้แกมากเท่านั้น” ปานดาวหันมาบอก
พิมยิ้มมั่นใจสุดๆ
ปานฟ้าเดินไปเดินมาอยู่ในสวน เธอถือโทรศัพท์มือถือ อย่างเป็นห่วงภาคินที่มีเรื่องชกต่อยกับก้องภพ หยิบโทรศัพท์มือถือกดหาภาคิน ไม่นานนักเขารับสาย
“คุณ...ไม่เป็นไรมากใช่ไหมค่ะ”
ภาคินขมขื่นใจ
“ผมไม่เจ็บตัวหรอกครับ แต่เจ็บใจมากกว่า ต้องขอโทษคุณฟ้าด้วย ที่ทำให้กังวลเพราะความใจร้อนของผม”
“เป็นฟ้าก็ไม่รู้จะทนไหวไหม คุณก้องภพไม่ไหวจริงๆเล่นกันถึงพ่อแม่แบบนี้ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย”
ภาคินพูดอย่างน้อยใจ
“ที่เขาพูดก็อาจมีส่วนถูก ความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ”
“แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ดูถูกคุณแบบนั้น ทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันนะค่ะ ไม่ว่าจะเกิดมายังไงก็ตาม”
ภาคินยิ้มอย่างซึ้งใจในน้ำใจของเธอ
“ถ้าทุกคนคิดเหมือนคุณปานฟ้าก็ดีสิครับ”
“คุณอย่าคิดมากนะ...ฉัน...เป็นห่วงและเห็นใจคุณนะค่ะ”
“แค่ได้ยินแบบนี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้วครับ ขอบคุณมาก”
ปานฟ้ายิ้มอย่างคลายกังวล ภาคินยิ้มดีใจอย่างมีความสุขในใจเงียบๆ
ในห้องรับแขก...พิมจิบน้ำส้ม หยิบผลไม้ในถาดมากิน วางมาดคุณนายนั่งบนเก้าอี้รับแขก กดรีโมทดูทีวีอย่างเพลินใจ ปานฟ้าเข้ามาเห็นมองอย่างไม่พอใจ พิมตกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ยังถือถาดผลไม้ติดมือมากิน ตามองทีวี ยิ้มหัวเราะกับรายการทีวี ไม่สนใจ
ปานฟ้ามองอย่างเคือง เดินเข้าไปปิดทีวีแล้วจ้อง พิมทำหน้าไม่พอใจ ถอนหายใจลอยหน้าจะเดินหนีไป
“ไม่ดูก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยว...”
“มีอะไรเหรอค่ะ” พิมน้ำเสียงยียวน
“เธอชักจะเอาใหญ่แล้วนะ อย่าให้ฉันเห็นพฤติกรรมแบบนี้อีก...ครั้งนี้ฉันให้อภัย”
พิมแสยะยิ้มเดินตรงมาสบตาปานฟ้า
“พิมทำอะไรผิดเหรอค่ะ คุณฟ้าถึงต้องให้อภัย พิมดูทีวีอยู่ดีๆ คุณฟ้า มาปิดทีวีเฉย พิมต้องให้อภัยคุณฟ้าสิค่ะ...มันถึงจะถูก”
หน้าประตูเข้าห้องโถง เติมบุญกับสายอุษา เดินหน้าเศร้าคุยกันมา ภูวดลและปานดาวเดินตามหลัง ขณะที่ปานฟ้าชักโมโหในความเหิมเกริมของสาวใช้ เธอตะเบ็งเสียงอย่างโกรธจัด
“มากไปแล้วนะพิม เธอกล้าดียังไง มาเถียงฉันขนาดนี้”
พิมเถียงอย่างไม่คิดเกรงใจ
“ก็กล้าแบบนี้...ใครจะทำไม...พิมไม่ผิดนี่นา”
สายอุษาเดินมาเห็นพิมเถียงปานฟ้าฉอดๆ ก็ตวาด
“นังพิม...หุบปากของแกเดี๋ยวนี้”
พิมตกใจหันไปมอง เห็นสายอุษาเอาจริงไม่กล้าเถียงต่อ นั่งลงกับพื้น หน้ามุ่ยกระฟัดกระเฟียด
“แค่นั่งดูทีวีนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่กันไปได้” พิมจ้องปานฟ้าอย่างไม่เกรง “พิมก็เมีย คุณรุทธิ์คนหนึ่งนะ จะไม่มีสิทธิ์มีเสียงทำอะไรในบ้านนี้เลยหรือไง”
ภูวดลกับปานดาวยิ้มหยันอย่างสะใจในคำพูดพิม ปานฟ้าโกรธจัด
“ทำเรื่องบัดสีขนาดนั้น แล้วยังจะมาอ้างสิทธิ์อีกคนบ้านนี้ไม่สนใจเรื่องต่ำๆแบบนั้น ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ก็ต้องรู้ว่าตัวเป็นใคร”
พิมเบะปากใส่อย่างไม่แยแส
“พิมก็จะเป็นตัวพิมนี่แหละอย่าหาเรื่องกันดีกว่า” พิมลุกยืนกอดอก “พิม...เป็นเมียคุณรุท...เป็นมานานแล้วด้วยไหนๆเรื่องก็แดงออกมาแล้ว ทุกคนในบ้านนี้ก็ต้องยอมรับ”
เติมบุญหน้าเครียด
“อะไรนะ...”
สายอุษาตะลึง
“เป็นไปไม่ได้...ใครจะไปยอมรับแก โอยยย...ฉันจะเป็นลม”
พิมเชิดหน้าไม่ยอม
“ต้องได้สิคะ...แต่ถ้าคิดจะเฉดหัวพิม ทิ้งไปง่ายๆ ล่ะก้อ...อย่าหวัง ไม่งั้นได้เห็นฤทธิ์กันแน่”
ทุกคนอึ้ง สายอุษากุมขมับ ปานฟ้ากับเติมบุญเครียด ปานดาวสบตากับภูวดลอย่างสะใจและชอบใจในมารยาของพิม
สายอุษานั่งที่เตียงนอน เติมบุญนั่งอยู่ไม่ห่าง ปานฟ้าถือแก้วน้ำส้มมาส่งให้แม่ สายอุษารับมาดื่ม
“แม่ไม่เข้าใจ นายรุทธิ์ไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงอย่างนังพิมได้ยังไง”
ปานฟ้ายังโมโหไม่หาย
“แทนที่จะนึกอาย นับวันพิมยิ่งอวดดี วันนี้ฟ้าอดไม่ได้จริงๆ แล้วดูท่าพิมสิค่ะ กร่างซะ...”
เติมบุญส่ายหน้า
“ถ้ามันวุ่นกันนัก ก็ให้พิมไปอยู่ที่อื่น”
“อุ้ย...ไม่ได้หรอกคุณ อยู่กับเราแบบนี้ มันไปไหนเรายังรู้ ถ้าไปอยู่ข้างนอก แล้วไปอาระวาดกับลูกเดือน มิแย่เข้าไปใหญ่เหรอค่ะ”
ปานฟ้าเหนื่อยใจ
“คุณพ่อขา...ทำไมบ้านเราถึงมีแต่เรื่องนะ”
“บ้านเรามันโชคร้ายตั้งแต่ทินภัทรหายไป” เติมบุญสบตาสายอุษา “ถ้าหลานกลับมาเมื่อไร ผมมั่นใจว่าเดือนต้องหายเป็นปกติแน่นอนถึงตอนนั้น...ทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเก่า”
ปานฟ้ามองสายอุษาอย่างเชื่อมั่น
“ฟ้าจะพยายามหาตัวหลานให้เจอ แล้วพากลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน”
ปานฟ้าโอบแม่อย่างเห็นใจ สายอุษาเหมือนจะร้องไห้ เติมบุญจับมือให้กำลังใจ
พิมสีหน้าระรื่น นับธนบัตรใบละพันในมือหลายสิบใบ นับเสร็จเอามาดมอย่างชื่นใจ ปานดาวกับภูวดล แสยะยิ้ม
“แกเนี่ย นางร้ายในละครยังแพ้ ตีบทซะแตกกระเจิง เริ่มแล้ว ก็ต้องสานต่อให้จบ เอาให้ผัวนังเดือนมันกระเด็นออกจากบ้านนี้ให้ได้”
พิมยัดเงินใส่ยกทรง ยักคิ้วได้ใจ
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณขา แค่เนี่ยจิ๊บๆ เดี๋ยวแม่จะเอาให้เละทั้งผัวทั้งเมียเลยคอยดู คืองี้ค่ะคุณดาว พิมจะ...”
ภูวดลรีบตัดบท
“ไม่ต้องโม้มากนังพิม แกทำให้ได้เหมือนพูดเถอะ” ภูวดลสบตาแล้วสั่งเสียงแข็ง “ขยี้มันให้เละ มารยามีเท่าไรขุดมาใช้ให้หมด ยิ่งแกทำกับอนิรุทธิ์เท่าไร เมียมันจะยิ่งบ้าหนักเท่านั้น”
ปานดาวแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ยิงนกตัวเดียว กำจัดได้สองคนเลย ไหนนังฟ้าจะเสร็จไอ้ก้องภพอีก” ปานดาวหัวเราะสะใจ “โอ้ย...คิดแล้วมันสุขจริงจริ๊งงงง...ทุกอย่างในบ้านนี้และทุกสิ่งในตระกูลนี้ต้องตกเป็นของฉันคนเดียว”
ปานดาวปรบมือหัวเราะชอบใจในฝันที่จะเป็นจริง พิมจ้องปานดาวปรายตาอิจฉา ไม่ต่างกับภูวดลที่แค่นยิ้มชอบใจดวงตาฉายแววชั่วร้ายมีเล่ห์เหลี่ยม มากกว่าที่ปาดดาวจะรู้ได้
วันต่อมา...บุญทิ้งหัดวาดรูปลายดินสอ ใบหน้าผู้หญิงลงในกระดาษ ภาคินกับปานฟ้านั่งอยู่ใกล้ๆ มองบุญทิ้งอย่างครุ่นคิด
“ฉันตัดสินใจแล้วคะ ทางเดียวที่จะทำให้พี่เดือนดีขึ้น คือต้อง ให้พี่รุทธิ์กับพี่เดือนรับบุญทิ้งเป็นลูกบุญธรรม”
บุญทิ้งมองปานฟ้าตกใจปนดีใจ ภาคินส่ายหน้าอย่างหนักใจ
“ยากครับ เพราะคุณเดือนกำลังป่วยหนัก การจะรับเด็กไปอุปการะพ่อแม่บุญธรรมต้องมีสุขภาพกายสุขภาพจิตสมบรูณ์ ผมว่าตอนนี้ที่ทำได้ดีที่สุด คือทุกคนต้องดูแลให้กำลังใจเธอ ให้หายป่วยเร็วที่สุด”
บุญทิ้งหน้าเศร้าสงสารปานเดือน
“พี่ฟ้าพาผมไปหาคุณเดือนหน่อยสิครับ ผมคิดถึงคุณเดือน”
ปานฟ้าลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“พี่ก็อยากพาไป แต่ตอนนี้ทางโรงพยาบาลให้พี่เดือนพักผ่อนมากๆ บุญทิ้งเองก็ต้องฝึกวาดให้เยอะ เพราะใกล้ถึงวันแข่งขันแล้ว ไว้อีกพัก พี่ค่อยพาไปนะ”
บุญทิ้งอิดออด
“แต่ผม...อยาก...ไป ก็พี่ภาคินบอกว่า ทุกคนต้องช่วยกัน”
ภาคินปรามนิดๆ
“ไม่เอาน่าบุญทิ้ง อย่ารบเร้าพี่ฟ้าแบบนี้ เกรงใจพี่เขาบ้าง”
ปานฟ้ายิ้มให้บุญทิ้งที่ทำหน้าผิดหวัง บุญทิ้งถอนใจ ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เฟื่องแก้วเล่นกับเด็กอยู่ในสนามอย่างสนุกสนาน บุญทิ้งแต่งตัวหล่อกว่าทุกวัน แอบดูอยู่ข้างมุมตึก เด็กชายคิดไปคิดมา คิดไม่ตก แล้วตัดสินใจ วิ่งอย่างเร็วไปอีกมุมตึก หลบเฟื้องแก้วและไม่ให้ทุกคนเห็น ลุงยามที่ประตูฟุบหลับ สัปหงกอย่างเหนื่อยล้า บุญทิ้งย่องไปที่ประตู เปิดประตูออก รีบออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
บุญทิ้งวิ่งเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างกลัวใครจะตามมา เด็กชายวิ่งมาหยุดหอบหายใจรัว หันซ้ายขวา ไม่รู้จะไปทางไหน ขณะเดียวกันนั้น ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เด็กชายรีบถามเสียงหอบ
“น้าๆ...โรงบาล...” บุญทิ้งนึกๆ “สี...สี...กันยา ไปทางไหนครับ”
“โรงบาลอะไร ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้จัก”
ชายคนนั้นเดินผ่านไป บุญทิ้งมองตามอย่างงงงวย หันมาเจอหญิงแต่งตัวดีอีกคนเดินผ่านมา เข้าไปจับแขน รีบเอ้ยถาม
“น้าๆ ช่วยบอกผมหน่อย ทางไปโรงบาล สีกันยา ไปยังไงครับ”
หญิงคนนั้นเลี่ยงตัวหลบสะบัดแขนหนี มองหัวจรดเท้า ทำท่ารังเกียจ เดินเลี่ยงไปอย่างเร็ว บุญทิ้งเริ่มใจเสีย แต่ยังพยายามมองหาคนถามรายต่อไป พ่อดีมีลุงแก่ๆเดินมา บุญทิ้งรีบเข้าไปถาม
“ลุงครับ ลุงรู้จักโรงบาล สีกันยาไหม”
ลุงมองบุญทิ้งอย่างงงๆ
“สีกันยาไหนว่ะ...ข้าเคยได้ยินแต่ ศรีธัญญา โรงบาลบ้า”
บุญทิ้งยิ้มอย่างดีใจที่มีคนเข้าใจ เข้าไปจับแขนลุง
“เออ...นั้นแหละ...สีทันยา...ผมจำชื่อผิด ลุงบอกทางไปหน่อย”
ลุงเกาหัวทนบุญทิ้งรบเร้าไม่ไหว ชี้มืออธิบายทาง ชี้ไม้ชี้มือวกวนไปมา บุญทิ้งพยักหน้ารับอย่างตั้งใจฟัง
พระอาทิตย์แผดแสงแดดร้อนเปรี้ยง บุญทิ้งเงยมองพระอาทิตย์ตาหยี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยผุดเหงื่อ เด็กชายเอาชายเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ
“ไหนว่าใกล้ๆ เดินเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ถึง”
บุญทิ้งเดินผ่านด้านหน้าอาคารที่ด้านในมีตึกใหญ่ แต่ปิดประตูรั้วไว้ เด็กชายดีใจ รีบวิ่งไปเกาะประตู มองรอดเข้าไปข้างในใจหวังเห็นใครสักคนจะได้เรียก ทันใดนั้นหมาตัวใหญ่กระโจนมาประจันหน้าเกือบโดนหน้าบุญทิ้ง เห่าเสียงดังดุมาก บุญทิ้งหน้าหงาย ล้มลงไปกับพื้น ยามออกมาไล่
“เดี๋ยวเอ็งได้โดนไอ้นี่มันขย้ำคอตาย...ไปขอทานที่อื่นไป”
บุญทิ้งหน้าเสีย ตกใจกลัวทั้งหมาทั้งยาม
“ที่นี่ไม่ใช่โรงบาลสีทันยาเหรอครับ”
ยามเกาหัว กระบองเขี่ยไล่
“โอ๊ย...ไอ้เด็กบ้าเอ้ย จะไปโรงบาลบ้าที่ไหนก็ไป...ไป”
บุญทิ้งรีบลุกทำท่าจะร้องไห้ มองยาม หมาเห่าเสียงดัง ยามยกกระบองขึ้นจะตี บุญทิ้งรีบหลบ วิ่งหนีไป
เย็นนั้น...เมฆดำเริ่มปกคลุมพระอาทิตย์ ฝนเริ่มตั้งเค้า ฟ้าร้องเสียงดัง บุญทิ้งเดินอย่างอิดโรยผ่านหน้ารถเข็นขายกล้วยแขก หยุดยืนมอง ลูบท้อง กลืนน้ำลาย ป้าขายกล้วยแขก เอาที่ปัดแมลงวันทำท่าปัดไล่ บุญทิ้งสะดุ้งเดินผ่านไป
ฝนเริ่มลงเม็ดหนัก ฟ้าคำรามอย่างน่ากลัว บุญทิ้งเงยหน้ามอง เม็ดฝนที่ตกใส่หน้า รีบหาที่หลบฝน เด็กชายเนื้อตัวเปียกปอนไปทั้งตัว สีหน้าหมดหวังทิ้งตัวนั่งชันเข่าอย่างอ่อนล้าอยู่ที่ซอกตึกรกๆแห่งหนึ่ง มองดูเม็ดฝนที่ตกมาอย่างหนัก เด็กชายน้ำตาคลอ เริ่มจะร้องไห้ พูดเสียงเครือ
“ผมจะเจอคุณไหมครับ...คุณเดือน”
บุญทิ้งเอามือปาดน้ำตา ร้องไห้หนักขึ้น สายฝนตกกระหน่ำ เด็กชายนั่งร้องไห้อย่างโดดเดี่ยวในซอกตึก ฟ้ามืดค่ำ ลงไปทุกที
เมื่อฝนขาดเม็ด ถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ป้าขายกล้วยแขกเข็นรถผ่านมา มองเห็นบุญทิ้งนอนขดอยู่ซอกตึก ป้าหยิบถุงกล้วยแขกเดินไปโยนตรงหน้าบุญทิ้ง เด็กชายสะดุ้ง ตาตื่นลุกนั่งงัวเงีย เหลือบเห็นกล้วยแขก รีบคว้ามากินอย่างหิวโหย ป้ามองอย่างเอ็นดู
“ยัดแบบนั้น เดี๋ยวได้ติดคอตาย ไม่มีอะไรตกถึงท้องทั้งวันสิท่า” ป้ายิ้มขำ “ข้าเห็นเอ็งยืนน้ำลายยึด มองกล้วยแขกตั้งแต่เย็นแล้วฟ้ารั่วแบบนี้ ...ให้เอ็งกินยังดีกว่าต้องเททิ้ง”
ป้าปัดเม็ดฝนออกจากเสื้อ บุญทิ้งยิ้มแก้มตุ่ย ยกมือไหว้ป้าขายกล้วยแขก พูดกล้วยแขกเต็มปาก
“ขอบคุณคับ ป้าใจดีจัง...” เด็กชายรีบกลืนกล้วย นึกได้รีบถาม “ป้ารู้จักโรงบาลสีทันยาไหม”
ป้าแค่นหัวเราะขำๆ
“ไม่รู้ได้ไง ข้าเคยอยู่”
บุญทิ้งยิ้มมองป้าด้วยแววตาเป็นประกายมีความหวังอีกครั้ง ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น
“ไชโย...เย้ๆๆๆ...”
ขณะเดียวกันนั้น รถเก๋งแล่นมาอย่างเร็ว ผ่านน้ำที่เจิ่งนองที่ฟุตบาท น้ำกระจายมาโดนบุญทิ้งยิ้มแย้มกระโดดโลดเต้นไม่หยุด เปียกไปทั้งตัว ป้าขายกล้วยแขกพลอยโดนน้ำไปด้วย ตะโกนด่าเสียงลั่นด้วยความโมโห
ค่ำนั้น...ภาคิน ปานฟ้า และเจ้าหน้าที่มูลนิธิ 2 คน วิ่งมาบรรจบกันที่สามแยก ต่างหอบเหนื่อย หน้าหมดหวัง ส่ายหน้า
“หาจนทั่วแล้วครับ ไม่เจอเลย เดี๋ยวผมไปหาทางโน้นอีกรอบ”
เจ้าหน้าที่ 2 คนเดินจากไป ปานฟ้าปาดเหงื่อที่หน้าผากเอามือพัดหน้าอย่างร้อน เป็นห่วงบุญทิ้งมาก
“แจ้งไปทาง จส.100 กับร่วมด้วยแล้ว แต่ยังไม่มีใครเจอบุญทิ้งเลยคะ”
ภาคินยิ้ม มองปานฟ้าอย่างซึ้งน้ำใจ
“ขอบคุณมากครับ คุณเลยต้องมาลำบากด้วย”
ภาคินหยิบผ้าเช็ดหน้าให้ ปานฟ้ายิ้มรับมาซับเหงื่อตามหน้า แล้วส่งสายตาห่วงใยให้เขา
“มีปัญหาก็ต้องช่วยกันสิคะ คุณทั้งเหนื่อยทั้งเครียดกว่าฉันเยอะเดี๋ยวไปซื้อน้ำให้นะคะ”
ภาคินยิ้มอย่างชื่นใจในความเป็นห่วงจากปานฟ้า
“ไม่เป็นไรครับ แค่รู้ว่าคุณเป็นห่วง ผมก็หายเหนื่อยแล้ว”
ปานฟ้ายิ้มเขิน ทำอะไรไม่ถูก ภาคินทำท่าครุ่นคิด นึกอะไรได้บางอย่าง
“เดี๋ยวก่อน...ผมนึกได้แล้ว...บุญทิ้งต้องไปที่นี่แน่ๆ”
ปานฟ้าหันมามองเป็นเชิงถาม อย่างสงสัย
รถเมล์แล่นมาจอดหน้าโรงพยาบาลศรีธัญญาแล้วแล่นออกไป บุญทิ้งยืนอยู่หน้าโรงพยาบาลทำปากมุบมิบสะกดคำ
“ศอศาลา...รออี...รี...ศอนรี...ศรี”
บุญทิ้งยิ้มอย่างมีความหวัง ตั้งใจอ่านชี้มือไปที่ป้าย อ่านทีละตัว
“ทอธง ไม้หันอากาศ ยอ...ยักษ์...เอ้ย...ยอ...หญิง ธัญ...ธัญญา...ศรีธัญญา...” เด็กชายยกมือดีใจ ที่อ่านออก “เย้...ใช่แล้วที่นี่”
บุญทิ้งรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล ก้านเดินสวนออกมาชนบุญทิ้งจนตัวเซแทบล้ม ก้านมองหน้าเฉย แววตาดุ เด็กชายมองชายแปลกหน้าอย่างหวาดๆ รีบหลีกจะเดินหนีไปอีกทาง ก้านคว้าคอเสื้อไว้ ถามเสียงห้าว
“เดี๋ยวไอ้หนู...จะรีบไหนวะ”
บุญทิ้งอึกอัก นึกกลัว
“หน้าตา ผิวพรรณแบบนี้ มันลูกคนมีกะตังนิหว่า เอ็งหนีออกจากบ้านใช่ไหม” ก้านรวบตัวบุญทิ้งไว้ “ไหนมาดูสิในกระเป๋ามีเท่าไร”
ก้านล้วงกระเป๋ากางเกง บุญทิ้งสะบัดจะหนี
“ปล่อยนะ...บอกให้ปล่อย”
“เฮ้ย...นิ่งๆสิวะ เดี๋ยวจับตัวไปเรียกค่าไถ่หรอก”
ก้านล้วงกระเป๋าไม่เจอสักบาท ก็โยนตัวบุญทิ้งเซเกือบล้ม
“โอ๊ย”
“ถุย...ลูกเศรษฐีอะไร ไม่มีสักบาท”
บุญทิ้งมองก้านด้วยความกลัว รีบวิ่งหนีไป ก้านแสยะปากตามหลังอย่างสุดชั่ว
บุญทิ้งวิ่งหนีเตลิดด้วยความกลัว วิ่งไปซ้ายที ไปขวาที อย่างผิดๆถูกๆ ไม่รู้จะไปทางไหนดี ผู้ป่วยสติไม่ดี หน้าตาแปลกๆ เดินผ่านมา มองบุญทิ้งสายตาแปลกๆ ยิ้มกวักมือเรียกแบบคนสติไม่ดีให้มาหา บุญทิ้งถอยกรูด ยิ่งกลัวหนัก วิ่งหนีไป
บุญทิ้งวิ่งไปก็เหลียวหลังไป กลัวว่าก้านจะตามมาจนชนเข้ากับชายคนหนึ่ง ที่โผล่มาโดยบังเอิญอย่างจังชายคนนั้นจับตัวบุญทิ้งไว้ บุญทิ้งหลับตาร้องเสียงหลง
“โอ๊ย...ปล่อยๆๆๆ ผมไม่ใช่ลูกเศรษฐี...ไม่ใช่”
ภาคินเขย่าตัวบุญทิ้งจนลืมตา
“นี่พี่เอง บุญทิ้ง....ตกใจอะไรมาเนี่ย”
บุญทิ้งลืมตา เรียกชื่อภาคินเสียงดังลั่น
“พี่ภาคิน...”
เด็กชายกอดภาคินไว้อย่างดีใจหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยังกลัวก้านไม่หาย ภาคินลูบหลังเบาๆให้ผ่อนคลาย
ลูกบิดประตูห้องปานเดือนขยับจะเปิดออก ปานเดือนในสภาพโทรมๆเพราะอดนอนนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ขณะเดียวกันนั้น หน้าที่เศร้าสร้อยของเธอกลับเปลี่ยนเป็นดีใจ หันไปทางประตูห้อง
“ทินภัทร...นั่นลูกใช่ไหม...ทินภัทร”
พิมก้าวเข้ามาในห้อง มองปานเดือนหน้าเรียบเฉย ตาฉายแววชั่วร้ายเลือดเย็น ปานเดือนชะงัก
“จำพิมได้ไหมคะคุณเดือน ผอมไปเยอะเลยนี่ พิมเป็นห่วง แวะมาเยี่ยม”
ปานเดือนยังหันซ้ายขวา แต่ไม่เห็นบุญทิ้ง ขยับลุกจากเตียง เข้ามาใกล้ประจันหน้า จนพิมชะงัก
“ลูกฉันไปไหน เธอเอาไปซ่อนใช่ไหม” ปาเดือนจับไหล่พิมเขย่า “บอกมานะ ลูกฉันอยู่ไหน”
พิมจ้องมอง ยิ้มส่ายหน้าช้าๆ
“โถ...อกแม่แทบแตก น่าเห็นใจจริงจิ๊ง ลูกหายค่อยๆหา เดี๋ยวก็เจอ”
พิมรั้งมือปานเดือนออกสะบัดแรง ถมึงตาใส่ ขึ้นเสียงอย่างไม่กลัว
“แต่ถ้าผัวหาย หาเท่าไรมันก็ไม่เจอ”
พิมหัวเราะใส่หน้า ปานเดือนอึ้ง จ้องมองพิมอย่างงงๆ
“เธอพูดอะไร...ผัวใคร...”
พิมแสยะยิ้มกลับอย่างเหนือกว่า
“จะผัวใครล่ะ ก็พูดกันอยู่ 2 คน ไหนๆก็บ้าไปแล้ว มีผัวไว้ก็ใช้อะไรไม่ได้ ให้พิมช่วยเอาไปใช้แล้วกันนะ รับรองจะดูแลอย่างดี”
ปานเดือนโกรธจนสั่น กำหมัดแน่น
“เธอพูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง...ไม่อยากพูดด้วยแล้ว ออกไป...ไป”
ปานเดือนหน้าเครียด ปวดหัว เอามือปิดหูไว้ทั้งสองข้างส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากรับฟัง เริ่มร้องไห้ พิมเข้าไปใกล้ ถมึงตาใส่ แสยะยิ้ม
“ไม่อยากพูด งั้นฟังให้ดี วันๆ เพ้อถึงแต่ลูก จนผัวเบื่อจนไม่รู้จะเบื่อแค่ไหนแล้ว...แกมันเสียจิตจนโดนผัวทิ้ง” พิมหัวเราะใส่ “สำนึกกะลาหัวไว้ด้วย”
ปานเดือนหลับตา สะบัดมือ ข้อศอกอย่างแรง แต่กลับไปโดนหน้าพิมอย่างจังแบบตั้งใจ
“โอ๊ย...บ้าแล้วยังฤทธิ์มากอีกนะ”
พิมมองปานเดือนอย่างฉุนๆ ลูบหน้าไปมาด้วยความเจ็บปวด
“ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้ รุทธิ์ไม่มีวันทิ้งฉัน เขารักฉัน เธอโกหก”
พิมจ้องมองปานเดือนอย่างโกรธจัด
“เล่นฉันก่อนเรอะ...อยากลองของกับนังพิมหรือไง”
พิมจิกผมปานเดือน ลากหัวกดตัวจนปานเดือนลงไปนั่งกับพื้นข้างขาเตียงเหล็ก ตะคอกใส่
“นังบ้า อยู่ไปก็รกโลก เอาหัวโขกเสาให้ตายเลยดีมั้ย”
ปานเดือนมองพิมด้วยแววตาหวาดกลัว
บุญทิ้งดื่มน้ำอย่างหิวกระหาย หันมามองภาคิน แล้วดื่มต่อ ภาคินมองด้วยสายตาสังเวชใจ
“ผู้ชายคนนั้น น่ากลัวมากเลยครับ เขานึกว่าผมเป็นลูกเศรษฐีล้วงกระเป๋าหาตังค์ใหญ่เลย...แต่ ผมไม่มีสักสลึง”
ภาคินมองบุญทิ้งอย่างเอ็นดู
“เขาคงล้อเล่น แกล้งบุญทิ้ง ว่าแต่เรานี่ ดูไปก็คล้ายลูกเศรษฐีเหมือนกันนะ”
บุญทิ้งมองแขนขาตัวเอง คุยทับ
“ใครๆ ก็ชอบพูดแบบนี้ แต่ไม่เห็นมีเศรษฐีมาขอไปเลี้ยงสักที”
ปานฟ้ามองบุญทิ้งอย่างขำๆ
“ต่อไปต้องระวังตัวนะ อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว แก๊งค์ลักเด็กมันมีเยอะไม่ว่ารวยว่าจน มันจับหมด อย่าหายตัวไปเหมือน....”
ปานฟ้าพูดต่อไม่ออก บุญทิ้งมองหน้าเชิงถาม
“เหมือน...ทินภัทร หลานพี่”
บุญทิ้งมองหน้าปานฟ้าที่เศร้าลงเมื่อพูดถึงทินภัทร ภาคินมองปานฟ้าอย่างเห็นใจ
“ผมจะช่วยคุณ ตามหาทินภัทรให้พบให้ได้ แต่ถ้าหาแล้วไม่เจอ...” ภาคินเหลือบมองบุญทิ้ง “ก็เอาบุญทิ้งไปแทน ดีไหมบุญทิ้ง”
ปานฟ้ายิ้มหันมองบุญทิ้งที่พยักหน้างึกๆ ยิ้มแก้มแทบปริ
พิมจับตัวปานเดือนให้นั่งลงกับพื้น ยิ้มให้อย่างเลือดเย็น ปานเดือนมองพิมอย่างหวาดระแวง
“จะทำอะไร...อย่านะ ฉันกลัว”
พิมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ พิมจะสอนให้เล่นอะไรสนุกๆ คุณเดือนอยู่ว่างๆก็นั่งทำไป ลองเอาหัวโขกกับขาเตียงนี่สิค่ะ เดี๋ยวพิมจะสอนให้ ทำแบบนี้...” พิมจับหัวปานเดือนโขกเสาเตียง “นั้นแระ...ไหนทำเองสิค่ะ”
ปานเดือนเอี้ยวคอมองพิมอย่างงงๆ แต่เห็นพิมหน้าดุเอาจริงก็กลัว
“ไม่เห็นสนุกเลย มันเจ็บนะ”
พิมยิ้มหยัน
“จะทำเองหรือให้ฉันทำให้...ลองทำไปเรื่อยๆ สิค่ะ สนุกจะตาย ยิ่งโขกยิ่งหายปวดหัว”
พิมหัวเราะสะใจ ปานเดือนหน้าเสียเหมือนจะร้องไห้ เธอกลัวเสียงตวาด ของพิมจึงเอาหัวตัวเองโขกขาเตียงเหล็ก ตาคอยหันกลับมามอง พิมหัวเราะอย่างสะใจ
“อยากเกิดมารวย มีพร้อมทุกอย่าง แกก็ต้องโดนแบบนี้ บ้าแล้วก็อย่าอยู่ต่อไปเลย โขกอีกสิ แรงอีก เบาแบบนั้นจะสนุกอะไร มันต้องแรงๆ”
พิมตรงเข้าไปจับหัว ปานเดือนดิ้นสะบัดมือและขาอย่างหวาดกลัว มือเลยฟาดเข้าหน้าพิมอย่างไม่ตั้งใจ โดนตาจนพิมหน้าหงายไป
“โอ๊ย...ฟาดมาได้นังบ้านี่”
ปานเดือนลุกหนี เอามือลูบหน้าผากเจ็บ
“ไหนว่าสนุก...เจ็บจะตาย” ปานเดือนยิ้มแบบคนเสียสติ ชี้หน้าพิมแล้วหัวเราะ “หรือว่าเธอชอบ” ปานเดือนตรงเข้าหาพิม “เอาสิ ทำให้ฉันดู”
พิมหน้าตื่น จะถอยหลัง
“เฮ้ย...อย่าเข้ามานะ”
ปานเดือนตรงเข้าไปจับหัวพิม กดลงที่เสาเตียงแล้วโขกซ้ำๆหลายที
“โอ๊ย...ยายโรคประสาทเอ๊ย...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ชอบแบบนี้เหรอ...ฉันช่วยนะ...อย่างนี้สนุกกว่า...ยิ่งโขกยิ่งหาย ปวดหัวใช่ไหม...” ปานเดือนหัวเราะดังลั่น “...สนุกเนอะ สนุกจังเลย ชอบ”
ปานเดือนหัวเราะไป โขลกหัวพิมไป อนิรุทธิ์เข้ามาเห็นก็ตกใจ ตรงเข้าไปจับตัวปานเดือนออกมา ปานเดือนตาลอย หัวเราะ อนิรุทธิ์หน้าเครียดจับไหล่ปานเดือนสั่น
“เดือน....หยุดเดี๋ยวนี้นะ...กำลังทำอะไร...รู้ตัวรึเปล่า”
พิมฉวยจังหวะ คิดจะวิ่งหนี อนิรุทธิ์เห็น วิ่งไปคว้าตัวเอาไว้
“ปล่อยนะ พิมกลัวคุณเดือน คุณเดือนบ้าไปแล้วจริงๆ”
“ใส่ร้ายฉันยังไม่พอ ยังจะมาก่อกวนเมียฉันถึงนี่ เธอต้องการอะไร”
อนิรุทธิ์จ้องหน้าเขม็ง พิมอึ้งไป นิ่งคิดหาเรื่องโกหกเอาตัวรอด
พิมเดินมาลงนั่ง ยกมือคลึงหน้าผากอย่างเจ็บ อนิรุทธิ์เดินมาลงนั่งใกล้ๆ
“ทำไมต้องใส่ร้ายฉัน ...ว่า...ไปทำอะไรเธอ...ว่าไง ทำไมต้องสร้างเรื่องโกหกทุกคน ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจ”
พิมอ้ำอึ้ง นึกหาทางเอาตัวรอด
“พิมก็ไม่อยากทำคุณรุทธิ์หรอกคะ แต่...”
“แต่อะไร”
“พิมต้องการใช้เงิน...แล้ว...พิม...พิมไม่กล้าบอกคุณรุทธิ์หรอกค่ะเดี๋ยวคุณคนนั้นเขาว่าเอา”
“คุณคนไหน...ว่าไง...บอกมาเดี๋ยวนี้”
พิมทำท่านึกสุดท้ายก็โพล่งออกมา
“คุณฟ้าค่ะ”
อนิรุทธิ์อึ้ง นึกไม่ถึง
“ปานฟ้าเนี่ยนะ...”
พิมทำพยักหน้า
“คุณปานฟ้าเป็นคนคิดแผนการทั้งหมด”
พิมตีหน้าเศร้าอย่างน่าสงสาร อนิรุทธิ์ฟังแบบแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
อ่านต่อหน้า 3 วันพรุ่งนี้ พุธที่ 11 ม.ค 2555
ดุจดาวดิน ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภาคินกับปานฟ้า และบุญทิ้ง ยืนมองปานดาว ที่นั่งเอาหัวโขกข้างฝา แววตาเลื่อนลอย
“เขาว่าสนุกดี สนุกจัง แต่ฉันเจ็บหัว”
ปานเดือนถูไปมาที่หน้าผาก พยาบาลพยายามให้ปานเดือนนอนลง
“ก็เจ็บสิค่ะโขกแบบนั้น พอแล้วค่ะ อย่าทำอีก คุณพักผ่อนทำใจให้ สงบนะ”
“อาการพี่เดือนเป็นแบบนี้ได้ไง ใครบอกให้พี่เล่นอย่างนี้”
ปานเดือนมองปานฟ้าไม่ตอบอะไร
“เมื่อกี๊มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเยี่ยม พอดิฉันเข้ามา คนไข้ก็เป็นแบบนี้แล้ว เมื่อเช้าอาการยังสงบดีอยู่เลยคะ”
ภาคินแปลกใจ
“น่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง แล้วคุณอนิรุทธิ์ไม่ได้มาเฝ้าเหรอครับ”
“มาค่ะ แต่เดินไปกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว” พยาบาลเล่า
ปานเดือนตาลอยๆ ชี้ไม้ชี้มือไปมา หันไปเห็นบุญทิ้ง ยิ้มดีใจ กรากเข้าไปหา ดึงตัวมากอดแน่น บุญทิ้งไม่ทันตั้งตัว ยืนตัวแข็งทื่อให้ปาดเดือนกอด ปานเดือนหน้าเศร้า
“ทินภัทรลูกแม่...” ปานเดือนลูบหัว “อย่าทิ้งแม่ไปอีกคนนะ แม่ไม่เหลือใครแล้ว อยู่กับแม่นะลูก แม่คิดถึงทินภัทรเหลือเกิน”
บุญทิ้งอึดอัดหายใจไม่ออก
“ผม...เจ็บ...ปล่อยก่อนครับ ผมไม่ทิ้งคุณเดือนไปไหนหรอก”
“ไม่ ถ้าแม่กอดไม่แน่น เดี๋ยวลูกหนีไปไหนอีก ทินภัทร...อยู่กับแม่นะลูก อย่าทิ้งแม่ไป”
ปานเดือนกอดบุญทิ้งแน่นขึ้น บุญทิ้งพยายามจะเอี้ยวตัวหนี
ภาคินเข้ามาใกล้ปานเดือน พูดปลอบ
“บุญทิ้งเขาคิดถึงคุณเดือนนะครับ ใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวเราค่อยๆนั่งคุยกัน”
ปานเดือนมองภาคินตาขวาง ส่ายหน้า กอดลากบุญทิ้งออกห่าง
“คุยไปกอดกันไปแบบนี้หละ ถ้าปล่อยไป เดี๋ยวคนอื่นแย่งไปอีก แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”
ปานเดือนทั้งกอด ทั้งหอมบุญทิ้งอย่างรักมาก บุญทิ้งโดนกอดจนอึดอัด เริ่มหน้าเสีย มองภาคินและปานฟ้าอย่างขอให้ช่วย
ปานฟ้าเข้ามาใกล้ ปานเดือนถอยห่าง
“พี่เดือนทำแบบนี้ บุญทิ้งจะยิ่งกลัวนะคะ”
ปานเดือนมองทุกคนตาขวาง
“บุญทิ้งอะไร นี่ทินภัทรต่างหาก ฉันจะอยู่กับลูก ใครไม่เกี่ยวออกไปให้หมด ไป อย่ามาเอาลูกฉันไปอีกนะ ฉันไม่ยอมแล้ว”
“ท่าจะไม่ไหวแล้วคุณ เดี๋ยวเด็กจะเป็นอะไรไปนะค่ะ คุณผู้ชายช่วยจับตัวผู้ป่วยไว้หน่อย”
พยาบาลเตรียมเข็มฉีดยา ภาคินตรงเข้าไปจับตัวปานเดือนรั้งออกมาจากบุญทิ้ง ปานเดือนตะโกนลั่น
“ปล่อยฉันนะ...ฉันไม่เหลือใครแล้ว ฉันจะอยู่กับลูก อย่าเอาลูกฉันไป อย่า...เอาลูกฉันคืนมา เอาลูกฉันคืนมาเดี๋ยวนี้ ทินภัทร เอาทินภัทรคืนมา”
ปานเดือนยังรั้งตัวบุญทิ้งไว้แน่น แต่สู้แรงภาคินไม่ไหว ปานฟ้าเข้าไปดึงตัวบุญทิ้งออกมาพยาบาลรีบเข้าไปฉีดยานอนหลับเข้าที่แขนปานเดือน
บุญทิ้งหลับตาซบปานฟ้า ค่อยๆหรี่ตามองปานเดือนที่เริ่มเคลิ้ม หมดแรงเพราะฤทธิ์ยา
อนิรุทธิ์นั่งคุยอยู่กับพิม เขามองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อคำพูดนัก พิมแสร้งตีหน้าเศร้าด้วยความเห็นใจ
“คุณฟ้าจะเอาเด็กบุญทิ้งมาใกล้ชิดคุณเดือน ให้หลงคิดว่าเป็นลูกชายที่หายไป ส่งพิมมาแกล้งคุณ คุณเดือนจะได้เป็นบ้าไปเลยจริงๆ”
อนิรุทธิ์มองพิมอย่างระแวง
“น้องฟ้าไม่ใช่คนแบบนั้น เธอโกหกอีกแล้วใช่ไหม”
“เปล่านะ พอคุณเดือนเสียสติไปจริงๆ คุณฟ้าก็จะรับเป็นผู้ปกครองของบุญทิ้ง ที่อุปโลกน์ขึ้นมาให้เป็นคุณทินภัทร คุณปู่ท่านไม่ค่อยชอบคุณธัญวิทย์อยู่แล้ว คุณก็รู้ สุดท้ายสมบัติทั้งหมดจะตกไปที่ใครละค่ะ ถ้า ไม่ใช่...”
“บุญทิ้ง....”
“เด็กนั่นก็แค่หุ่นเชิด คนที่อยู่เบื้องหลังอย่างคุณฟ้าต่างหาก ที่จะได้ทั้งหมด เงินทำให้พี่น้องฆ่ากันตายมาเยอะแล้ว ไม่เชื่อก็ดูต่อไปสิ”
อนิรุทธิ์อึ้ง ไม่อยากจะเชื่อ พิมแอบยิ้มอย่างสมใจ นึกรู้ว่าทำให้อนิรุทธิ์ระแวงขึ้นมาได้แล้ว
เมื่อออกมาจากห้องปานเดือน บุญทิ้งนั่งนิ่ง ยังตกใจและกลัวไม่หาย ภาคินปลอบใจขณะที่ปานฟ้านั่งไม่ห่าง
“คุณปานเดือน เขาคิดถึงลูกมากสะเทือนใจมาก เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายบุญทิ้งนะ”
บุญทิ้งมองภาคินพยักหน้าช้าๆ
“ลูกชายที่หายไปใช่ไหมครับ”
“ใช่จ้ะ พี่เดือนเห็นเด็กที่ไหน ก็จะคิดว่าเป็นลูกไปหมด แต่อาการไม่หนักเท่ากับของบุญทิ้ง”
“คุณเดือนคงรู้สึก ถูกชะตากับบุญทิ้งมากน่ะครับ”
ปานฟ้าจับมือบุญทิ้ง ขณะที่อนุริทธิ์เดินมาที่มุมตึกไม่ห่างจากที่ทั้งสามคนนั่งอยู่
“บุญทิ้งช่วยมาเป็นลูกของพี่เดือนได้ไหม มาเป็นลูกจริงๆแทนทินภัทร…นะ”
บุญทิ้งอึ้ง หันมองภาคินอย่างลังเลใจ อนิรุทธิ์แอบฟัง สีหน้าเครียด เริ่มเชื่อคำพูดของพิม
ปานฟ้าเดินมาส่งภาคินและบุญทิ้งที่รถ...
“ผมกลับก่อนนะครับ คุณก็เหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนบ้างเถอะ”
ปานฟ้ายิ้มให้อย่างชื่นใจ
“ขอบคุณนะค่ะที่เป็นห่วง อีกสักครู่ก็จะกลับเหมือนกันค่ะ”
ภาคินพาบุญทิ้งขึ้นรถ ปานฟ้าหันหลังกลับ เห็น อนิรุทธิ์ยืนมองด้วยสายตาเย็นชา ปานฟ้ายิ้มให้
“อ้าวพี่รุทธิ์ ไปดูพี่เดือนมายังค่ะ ทำไมอาการกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว”
“ไม่ดีใจหรือไง ที่เห็นเดือนเป็นแบบนั้น”
อนิรุทธิ์มองปานฟ้าอย่างเคืองๆ เดินหน้าบึ้งจากไป ปานฟ้างง
“เป็นอะไรของเขา...พูดแปลกๆ”
เมื่อกลับมาที่มูลนิธิ ภาคินพาเข้าไปนั่งคุยที่หเองทำงาน...
“เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคราวนี้ พี่จะยกโทษให้ แต่ต่อไปไม่ว่ายังไงห้ามหนีออกไปคนเดียวอีก ไม่งั้นจะโดนลงโทษตามกฎของที่นี่”
บุญทิ้งก้มหน้าสำนึกผิด
“ผมขอโทษครับ แต่ผมสงสารและคิดถึงคุณเดือนจนทนไม่ไหว”
ภาคินนิ่งมองบุญทิ้ง
“ทำไมเราถึงถูกชะตากับคุณเดือนนักนะบุญทิ้ง”
บุญทิ้งส่ายหน้าช้าๆ
“ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เจอหน้าคุณเดือนครั้งแรกผมก็ชอบเธอแล้ว คุณเดือนใจดี ผมอยากมีแม่แบบนี้ ยิ่งตอนที่เธอกอดผม” บุญทิ้งหลับตา ยิ้มอย่างสุขใจ “รู้สึก...มีความสุขที่สุดเลยครับ มันอุ่นๆแบบบอกไม่ถูก…แต่วันนี้กอดแน่นไป ผมเลยกลัวไปหน่อย”
ภาคินมองบุญทิ้งอย่างเข้าใจ
“คุณเดือนน่าสงสาร คิดถึงลูกจน...ไม่สบาย”
บุญทิ้งพยักหน้า ถามภาคินเสียงเศร้า
“คุณเดือนรักลูก แต่ทำไม แม่ผมถึงไม่รักผม...ทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป”
“แม่เขาคงมีเหตุผลอะไรสักอย่าง”
บุญทิ้งเสียงสั่นเครือ
“ผมรู้...เพราะแม่ไม่รักผม...ไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย...เลยเอาผมมาทิ้ง”
ภาคินได้แต่กอดบุญทิ้งที่ร้องไห้อย่างนึกสงสาร
“ถ้าพี่ถามได้ ก็คงอยากรู้เหมือนกัน ว่าทำไมแม่ถึงทิ้ง...ทิ้งเราไป”
ภาคินกอดลูบหัวบุญทิ้ง ในใจคิดถึงเรื่องแม่ตัวเองอย่างปวดร้าว
ภูวดล ปานดาว นั่งฟังพิมเล่าเรื่องที่ไปก่อกวนปาดเดือนที่โรงพยาบาล ภูวดลหัวเราะในลำคอ ปานดาวมองพิมยิ้มอย่างสะใจ
“แกสร้างความร้าวฉานได้ดีมาก อีกไม่นานปานเดือนจะเป็นบ้าเต็มขั้น เจ้ารุทธิ์กับปานฟ้าก็มาระแวงกันเองอีก สุดยอดมาก”
“นี่พึ่งแค่เริ่มต้นนะพี่...เอ๊ย คุณภู ต่อไปพิมจะทำยิ่งกว่านี้”
พิมยิ้มหน้าบาน ภูวดลหัวเราะอย่างสะใจ ปานดาวอดมองทั้งคู่ไม่ได้ อย่างตระหนักถึงความร้ายกาจ
“ดีมาก ไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
ปานดาวมองพิมที่เดินไป
“นังพิมนี่ร้ายเกินคิด เราต้องระวังไว้บ้างนะคุณ เผื่อวันไหน มันแว้งกัดขึ้นมา คนเลวทำได้ทุกอย่างแหละ”
ภูวดลพูดทีเล่นทีจริง
“ไม่ต้องห่วง ถึงมันเลว แต่ผมชั่วกว่า ใครที่ว่าแน่ มาเจอผมแล้วมันจะหนาว”
ปานดาวมองหน้าภูวดลอย่างรู้สึกแปร่งหู ภูวดลทำยิ้มเอาใจ แต่แอบมองปานดาวด้วยแววตาเบื่อหน่าย
หลังโรงลิเก...ระนาดบรรเลงเพลงจังหวะเศร้า คนซ้อมระนาดหน้าม่าน กัญญานั่งน้ำตาคลอเบ้า ในมือถือรูปภาคินตอนเด็ก น้ำตากัญญาหยดที่รูป รีบปาดออก “ไม่รู้ชาตินี้จะมีวาสนาเจอกันอีกไหม....คิดถึงเหลือเกิน”
กัญญาร้องไห้อย่างสะอื้น ถมแอบได้ยินคำพูดกัญญา เดินเข้ามามองกัญญาอย่างคิดสงสารเห็นใจ
กัญญาหันไปมอง รีบเก็บรูปใส่กระเป๋าเสื้อที่หน้าอก ปาดน้ำตาหันไปทางอื่น ถมหน้าขรึม มองอย่างห่วงใย
“ร้องไห้อีกแล้ว อะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไปเถอะ...”
กัญญานั่งชันเข่า ป้ายน้ำตาออกจากหน้า ถมมองอย่างสงสาร
“ขอบใจที่เป็นห่วงจ๊ะพี่ถม เดี๋ยวฉันก็ดีขึ้นเอง”
ถมเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ
“คนในรูปคงสำคัญมากซินะ แม่กัญญาถึงได้ลืมยากขนาดนี้กี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่ฉันเห็นแม่กัญญาในสภาพแบบนี้”
กัญญามองถมน้ำตาคลอ
“ฉันไม่มีวันลืมเขา...เขาเป็นชีวิตจิตใจของฉัน...พี่ไม่เข้าใจหรอก”
“จมอยู่กับวันเก่าๆให้ตัวเราเศร้าไปทำไม แม่กัญญาน่าจะคิดถึงคนที่คอยห่วงอยู่ตอนนี้ดีกว่า ... อย่าง ...”
ถมถอนหายใจหนัก มองกัญญาอย่างคิดอายที่พูดความในใจออกไป เดินจากไปหน้าโรงลิเก กัญญามองตามนึกรู้ความรู้สึกของถม
อานนท์นั่งอย่างเดียวดายในห้องรับแขก มองทอดสายตาไปในสวน ได้ยินเสียงฝีเท้าหันไปมอง ภาคินเดินมานั่งข้างๆ
“คุณพ่อครับ...ช่วยเล่าเรื่อง ... เรื่องแม่ให้ผมฟังหน่อยสิครับ”
อานนท์อึ้ง ตั้งตัวแทบไม่ติดกับคำขอของภาคิน แต่ก็พูดขึ้นมาเบาๆ
“ตั้งแต่เราสองคนต้องเลิกกัน ไม่มีวันไหนเลยที่พ่อจะไม่คิดถึง...แม่แก... เขาเป็นคนนิสัยอ่อนโยน จิตใจดี”
ภาคินมองอานนท์อย่างสงสัย
“แม่เป็นคนแบบนั้น แทนที่พ่อจะเห็นใจ กลับทิ้งแม่ได้ลงคอ...”
อานนท์เสียงเครือ
“ชีวิตคนเรา บางครั้งก็ต้องทำ...ในสิ่งที่ไม่อยากทำ”
“ทำไมแม่ไม่เอาผมไปด้วย ถ้าแม่ทิ้งผมไว้ที่นี่ อย่างน้อยน่าจะติดต่อมาบ้าง แต่นี่..หน้าผมก็ไม่เคยเห็น เสียงผมก็ไม่เคยได้ยิน ทำไม...แม่...ใจร้าย กับผมได้ขนาดนี้”
อานนท์หน้าเครียด พยักหน้าอย่างปวดใจ เดินเข้ามาใกล้ภาคิน ลูบที่บ่าภาคินปลอบใจ
“แม่เขาไม่ใช่คนใจร้ายอย่างนั้นหรอกภาคิน แต่บางที เขาก็ต้องจำใจทำ ทั้งๆที่มันเจ็บเหลือเกิน” อานนท์บีบที่ไหล่ภาคิน “แม่เขาต้องมีเหตุผล”
ภาคินส่ายหน้าอย่างน้อยใจ หน้าเศร้าแววตาหม่น
“มันเป็นเหตุผลของแม่ แต่แม่ไม่เคยนึกถึงจิตใจผมเลย ว่าชีวิตลูกที่โดนแม่ทิ้ง...มันจะเจ็บแค่ไหน...”
อานนท์นิ่งมองภาคิน ตาแดงเรื่อ อ้าแขนจะเข้าไปกอด แต่ภาคินมองหน้าอานนท์แล้วถอยห่าง
“ขอบคุณครับพ่อ...ผมโตมาคนเดียวจนชินแล้ว...พ่อไม่จำเป็นต้องมาสงสารผมตอนนี้หรอกครับ”
อานนท์อึ้ง
“คือ....พ่อ....”
ภาคินมองอานนท์อย่างโกรธละคนน้อยใจ เดินออกไปจากห้องแต่ไม่วางสายตาจากอานนท์
“เดี๋ยวก่อน....ภาคิน....ฟังพ่อก่อน....”
อานนท์มองตามลูกชายอย่างขมขื่น เต็มไปด้วยความเศร้ารันทดใจ
หลายวันต่อมา....หน้างานประกวดวาดภาพศูนย์การค้า มีป้านติดไว้...
“งานประกวดวาดภาพคุณหนู กับคนที่คุณรัก”
หน้างานมีเด็ก และผู้ปกครอง ผู้เข้าชมงาน คึกคัก ภาคิน เฟื่องแก้ว เดินมากับบุญทิ้งจะถึงงาน ปานฟ้าหันหน้าไปมอง ยิ้มให้ภาคิน รีบจะเดินมาต้อนรับ กุหลาบแดงช่อใหญ่ ในมือก้องภพเข้ามาขวางไว้ ปานฟ้างง
“เนื่องในโอกาสอะไรค่ะ”
ก้องภพแต่งตัวสุดหล่อ ยิ้มหวาน
“แสดงความยินดีกับผู้บริหารคนเก่ง ในการเปิดงานวันนี้ไงครับ”
ปานฟ้ายิ้มรับไว้อย่างเสียมิได้ ภาคินมองอย่างไม่สบอารมณ์ เฟื่องแก้วลอบมองสายตาภาคินอย่างจับผิด บุญทิ้งยิ้มเขินแทนปานฟ้า
“สงสัยแฟนพี่ฟ้าแน่ๆ”
บุญทิ้งปิดปากหัวเราะกิ๊ก เฟื่องแก้วมองภาคินแกล้งถาม
“หวานกันจังเลยนะค่ะคู่นี้”
ภาคินหันมองบุญทิ้ง ตาขุ่น
“เป็นแฟนกันที่ไหน บุญทิ้งก็พูดไปเรื่อย”
“แหม...บุญทิ้งแค่แซวเล่น...” เฟื่องแก้วยิ้มขำ “ทำเป็นจริงจังไปได้”
ภาคินตัดบท เดินนำไปหาปานฟ้า สองคนเดินตามมา ก้องภพเห็นภาคิน มองอย่างไม่สบอารมณ์
“มาร่วมงานกับเขาด้วยเหรอ...งานนี้เขาต้องมีบัตรเชิญนะ”
ปานฟ้าออกหน้ารับแทน
“ฟ้าเชิญมูลนิธิคุณภาคินมาเองล่ะค่ะ”
ก้องภพมองภาคินอย่างเหยียด
“คุณฟ้าทั้งสวยทั้งจิตใจเมตตานะครับ ห้างหรูหราขนาดนี้ยังไปให้เกียรติกับมูลนิธิไร้ชื่อเสียงแถมคนทำงานก็กระจอกๆด้วย”
ภาคินนึกหมั่นไส้ก้องภพ สวนให้ด้วยสายตาเอาเรื่อง
“เก็บคำว่ากระจอก ไว้ใช้กับตัวคุณเองดีกว่ามั้งครับ ผมเจียมตัวเสมอ” ภาคินเหลือบมองปานฟ้า “ว่าผมอยู่ในสถานะอะไร แต่ไม่เคยทำตัวไร้ค่า แม้แต่งานยังหาทำไม่ได้ อาศัยกินบุญเก่าที่บ้านไปวันๆ”
ภาคินพาบุญทิ้งและเฟื่องแก้ว เดินผ่านหน้าก้องภพเข้าไปในงาน ปานฟ้าเดินตามไป ก้องภพอึ้ง ชี้นิ้วอย่างอาฆาต มองภาคินเดินจากไป ได้แต่จุกเถียงไม่ออก
“แก...ไอ้ภาคิน....”
หน้างานประกวดวาด มีโต๊ะลงทะเบียน เด็กและผู้ปกครองเข้าแถวลงทะเบียนวาดภาพ ธัญวิทย์เดินเข้ามาแทรกคิว เด็กผู้ปกครองทำหน้าไม่พอใจ
ธัญวิทย์ทำกร่างไม่สนใจ ยักคิ้วให้ หันมาพูดกับพนักงานห้างที่รับลงทะเบียน
“ผมชื่อ ธัญวิทย์ คุณตาผมชื่อเติมบุญ จำเป็นต้องลงทะเบียนไหมครับ”
พนักงานทำท่าอึกอัก ไม่รู้จะทำยังไง ปานฟ้าเดินเข้ามาหา ธัญวิทยิ์เกาะแขนเธอทันที
“น้าฟ้า ผมจะเข้าประกวดด้วยครับ”
ปานฟ้ายิ้มอธิบาย
“ลูกหลานพนักงาน ไม่มีสิทธิเข้าประกวดนะจ๊ะธัญวิทย์”
ปานดาวเดินมา
“ใครไม่มีสิทธิแต่ลูกฉันมี แล้วธัญวิทย์ก็ไม่ใช่ลูกหลานพนักงานธรรมดา แต่เป็นหลานเจ้าของศูนย์การค้านี้ เธอมันจะอะไรกันนักหนา ให้หลานร่วมสนุกสักคนไม่ได้หรือไง เรื่องมากไปได้”
ปานฟ้าอึกอัก
“แต่มันเป็นกฎของบริษัทนะคะพี่ดาว”
“กฎของเธอเอาไว้ใช้กับพนักงาน...ไม่ใช่ฉันกับลูก...” ปานดาวจูงมือธัญวิทย์ “อ้อ อีกอย่างนะ ต่อไปนี้คุณพ่อให้ฉันมาช่วยดูแลที่นี่แล้ว เพราะงั้นอย่าว่าแต่เรื่องแค่นี้เลย แต่ไม่ว่าเรื่องอะไร ฉันก็ทำได้ทั้งนั้น ไปวิทย์...ลูกแม่ซะอย่าง ใครจะกล้าแตะ”
ธัญวิทย์ชูมือดีใจ เดินตามปานดาวเข้าไปหาที่นั่งเพื่อเตรียมตัววาดภาพ ปานฟ้ามองด้วยความระอาใจ
เด็กๆที่เข้าร่วมประกวด เดินหาที่นั่ง บุญทิ้งเดินเลือกว่าจะนั่งตรงไหนดี ธัญวิทย์เดินผ่านบุญทิ้งเหลือบมองอย่างไม่ถูกชะตา เมื่อเห็นถุงดินสอสีเก่าๆของบุญทิ้งกระชากมาดู หยิบดินสอสีแท่งกุดๆชูขึ้นหน้าบุญทิ้ง แล้วบุ้ยหน้าใส่
“แกเก็บมาจากถังขยะที่ไหน...วาดไปเลอะกระดาษเปล่าๆ”
บุญทิ้งแย่งคืน ธัญวิทย์ยื้อไว้แล้วโยนถุงดินสอสีทิ้งกับพื้น แล้วเหยียบกระทืบจนดินสอหักหมด บุญทิ้งโกรธจัด กำหมัดแน่น จ้องหน้าธัญวิทย์อย่างโมโห ธัญวิทย์ผลักไหล่บุญทิ้ง
“แกจะชกฉันเหรอ...ฉันช่วยทิ้งให้ไง...ยังไม่ขอบคุณอีก”
เฟื่องแก้วเข้ามาถึงตัวธัญวิทย์ จับให้ห่างออกจากบุญทิ้ง เห็นเศษดินสอสีแตกเต็มพื้น เอ็ดใส่ธัญวิทย์
“นี่มันอะไรกัน หนูทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน พ่อแม่อยู่ไหนเนี่ย”
ธัญวิทย์กระทืบบนดินสอสีอีกที
“ดินสอสีเก่าๆ ขยี้เล่นแบบเนี้ย” ธัญวิทย์ขยี้เท้าบนดินสอสี “สนุกกว่าเยอะ”
เฟื่องแก้วทนไม่ไหว ดึงธัญวิทย์ให้หยุด ธัญวิทย์ไม่ยอม ยื้อกันไปกันมา ปานดาว ภูวดลเข้ามารีบดึงตัวธัญวิทย์ออกห่าง ปานดาวหันมาด่าเฟื่องแก้ว
“แกถือดียังไงมาทำร้ายลูกฉัน รู้ไหมว่าเด็กคนนี้เป็นใคร”
ปานฟ้ารีบเข้ามาห้าม
“หยุดเถอะค่ะทุกคน...ฟ้าขอร้องเถอะ”
ภูวดลมองบุญทิ้งตาดุ
“เจอกันอีกแล้วนะไอ้หนู...คราวนี้ไม่รอดแน่”
ภูวดลทำหน้าเหี้ยม บุญทิ้งมองภูวดลอย่างกลัว หน้าซีดจะเป็นลม
ในห้องพักผู้ประกวด...เฟื่องแก้วยังฉุนความเกเรของธัญวิทย์ไม่หาย บุญทิ้งสีหน้าหวาดกลัวไม่มั่นใจ ภาคินนั่งข้าง
“เด็กผีอะไรไม่รู้ เกเรร้ายกาจ พ่อแม่ไม่สั่งสอน เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ถือว่าเป็นลูกหลานเจ้าของห้าง นึกจะรังแกใครก็ได้ นี่ถ้าเป็นเด็กที่มูลนิธิ แก้วฟาดไม่ยั้งแล้ว เขามาแกล้งเธอก่อนใช่ไหมบุญทิ้ง เราไม่ได้ไปหาเรื่องเขาก่อนนะ”
บุญทิ้งหันมองเฟื่องแก้ว แต่นึกถึงภูวดลขู่ไว้ ได้แต่นิ่งไม่พูดจานั่งก้มหน้า ภาคินถอนใจ
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหาว่าใครถูกใครผิด บุญทิ้งมีพี่ทั้งสองคนมาด้วย ไม่ต้องกลัวใคร ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น”
บุญทิ้งเงยหน้ามอง ภาคินยิ้มให้ เฟื่องแก้วให้กำลังใจต่อ
“ใช่แล้ว...บุญทิ้งซ้อมมาอย่างดี รับรองชนะแน่ อย่าหมดความ มั่นใจเพราะเด็กเกเรคนเดียวสิจ๊ะ เอาชนะเขาให้ได้ด้วยฝีมือเรา เอาให้จอมซ่าส์นั้นหน้าหงายกลับบ้านไปเลยดีไหม”
บุญทิ้งใจชื้น รู้สึกดีขึ้น พยักหน้ามองทั้งสองคนที่ยิ้มเป็นกำลังใจให้
ในห้องประกวด...ปานฟ้าส่งกล่องดินสอสีใหม่อย่างดีให้ บุญทิ้งไม่กล้ารับ หันมองภาคิน
“รับไว้สิจ๊ะ พี่ขอโทษแทนธัญวิทย์นะ เขาเป็นหลานพี่เอง ที่จริงก็เป็นเด็กน่ารัก แต่ถูกตามใจมากไปหน่อย บุญทิ้งอย่าไปสนใจเลยนะ”
เฟื่องแก้วกอดอก พูดเหน็บให้
“น่าจะให้เจ้าตัวเขามาขอโทษเองนะค่ะ”
ปานฟ้าทำหน้าไม่ถูก ภาคินพยักหน้าให้บุญทิ้งรับ บุญทิ้งรับกล่องดินสอสีไว้“ขอบคุณมากครับคุณฟ้า ที่จริงไม่น่าต้องลำบากเพราะวันนี้คุณคงยุ่ง ต้องรับแขกเยอะแยะ”
ปานฟ้ามองภาคินอย่างอ่อนโยน
“ลำบากที่ไหนกันค่ะ...คุณพูดเหมือนเราไม่สนิทกันเลย” ปานฟ้าหันมองบุญทิ้ง “จริงไหมบุญทิ้ง”
ปานฟ้าลูบหัวบุญทิ้งอย่างเอ็นดู บุญทิ้งยิ้มๆ ภาคินยิ้มให้ปานฟ้า ขณะที่เฟื่องแก้วมองหึงๆ ไม่สบอารมณ์นัก
เด็กผู้เข้าแข่งขันเดินเข้าไปจับจองที่นั่ง บุญทิ้งเดินมานั่งโต๊ะด้านริมสุด ธัญวิทย์เห็นเดินตรงเข้ามาหา
“โต๊ะตัวนี้ของฉัน แกไปนั่งที่อื่น”
บุญทิ้งมองซ้ายขวา เห็นโต๊ะข้างๆว่าง
“นั่งตรงไหนก็เหมือนกันนิครับ” บุญทิ้งบุ้ยหน้าชี้ “โต๊ะข้างๆก็ว่าง”
ธัญวิทย์ยื่นหน้าใกล้บุญทิ้ง
“เมื่อกี้ยังไม่เข็ดใช่ไหม แกจะลุกเองหรือจะให้ฉันจับแกโยนไป”
บุญทิ้งมองอย่างแค้นแต่เหลือบไปเห็นภูวดลที่มองอยู่ว่า สองคนพูดอะไรกัน บุญทิ้งหน้าเสียไม่อยากเกิดเรื่อง ลุกขึ้นย้ายโต๊ะ
“ก็แค่นั้น...รู้ไว้สะด้วย ที่นี่ใครใหญ่”
เด็กๆวาดภาพกันอย่างขะมักขะเม้น บุญทิ้งวาดอย่างคล่องแคล้ว ต่างกับธัญวิทย์ที่คอยลอบมองอย่างอิจฉา แต่ก็วาดเหมือนบุญทิ้งทุกอย่าง บุญทิ้งเห็นรีบเอามือป้องไว้ ปานดาวเดินเข้ามา ธัญวิทย์ชี้ไปทางบุญทิ้ง
“แม่ครับ เด็กคนนี้มันลอกผม”
ปานดาวเดินเข้าไปที่โต๊ะบุญทิ้ง ปัดมือบุญทิ้ง กระชากกระดาษบนโต๊ะมาดู
“นี่มันอะไรกัน ไม่มีสมองหรือยังไงมาลอกของลูกฉัน” ปานดาวเอากระดาษไปเทียบกับของธัญวิทย์“ดูสิเหมือนกันเป๊ะเลย”
บุญทิ้งอึ้งมองปานดาวอย่างตกใจ ธัญวิทย์ยิ้มเยาะอย่างสะใจเป็นที่สุด
“ดีนะที่ผมมองไปเห็นก่อน ไม่งั้นมันลอกผมหมดแน่”
บุญทิ้งเถียงอย่างโกรธ
“ผมไม่ได้ลอก”บุญทิ้งมองธัญวิทย์ “เขานั้นแหละ แอบมองผมตลอด”
ปานดาวว่าให้อย่างโมโห
“หนอย....พอจับได้แก้ตัวน้ำขุ่นๆเลยนะ”ปานดาวตะเบ็งเสียง “เด็กโสโครกเอ้ยยย....”ปานดาวทำท่าจะฉีกกระดาษ “อย่าวาดมันเลย”
บุญทิ้งลุกขึ้นเอื้อมมือไปยื้อกระดาษ
“อย่า......”
บุญทิ้งยื้อแย่ง ปานดาวถือกระดาษหลบไปหลบมา ปานฟ้ารีบวิ่งมา พูดเสียงแข็ง“พี่ดาว...ถ้าพี่ไม่หยุด หนูจะไม่ให้ธัญวิทย์ลงแข่งวาดภาพนะค่ะ อย่าให้มีเรื่องกันอีกเลย หนูขอร้อง” ปานฟ้าแบมือ “ขอกระดาษนั้นให้บุญทิ้งวาดต่อเถอะค่ะ”
ปานดาวมองปานฟ้าอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เห็นปานฟ้าเอาจริง ร่อนกระดาษลงพื้นให้บุญทิ้งเก็บ
“คืนก็ได้ แต่ฉันขอยืนใกล้ลูกฉัน เดี๋ยวไอ้เด็กจรจัดมันจะมาลอกธัญวิทย์อีก”
ปานดาวยืนบังบุญทิ้ง คอยหันกลับมามองบุญทิ้ง ดูภาพวาดของธัญวิทย์แล้วชี้ที่กระดาษ
“ลงสีแดงเพิ่มอีกหน่อยสิลูก ตรงนั้นแหละ ลงเยอะๆ”
บุญทิ้งเก็บกระดาษที่ยับยู้ยี่มาดูอย่างเสียดาย รีบปาดมือทำให้กระดาษเรียบ ปานฟ้ามองปานดาวอย่างเอื้อมระอา ผู้คนหันมองปานดาว ซุบซิบว่าทำผิดกฎ
แต่ปานดาวไม่สนใจกลับสอนธัญวิทย์ต่อ
ภาคินยืนมองบุญทิ้งวาดภาพอย่างเอาใจช่วย ก้องภพเดินเข้ามาใกล้
“แกไม่สงสารคุณฟ้าบ้างเหรอว่ะ ที่เขาต้องอึดอัดเอาพวกแกมาร่วมลงแข่งด้วย”
ภาคินมองก้องภพอย่างเอื้อมๆ
“ผมก็ไม่เห็นเขาพูดอะไรนี่ครับ”
ก้องภพยิ้มหยัน ชี้ให้ดูเด็กที่นั่งวาด
“แหกตาดูมั่ง เด็กแต่ละคนลูกผู้ดีมีเงินทั้งนั้น” ก้องภพชี้ที่บุญทิ้ง “มีแต่ไอ้เด็กขยะที่แกพามาคนเดียว” ก้องภพมองหน้าภาคิน “ไม่เจียมกะลาหัว”
“ผมไม่คิดแบบนั้น คนเรารวยจน ก็มีศักดิ์ศรีความเป็นคนเท่ากัน”
ก้องภพหัวเราะในลำคอ
“คุณปานฟ้าเขาไม่มาสนศักดิ์ศรีบ้าบอของแกหรอก ถึงแม้เขาไม่พูดแต่เขาก็คิด วันหลังถ้าเขาเชิญทำอะไรอีกก็ปฎิเสธซะ ไม่ใช่รีบเสนอหน้ามาแบบนี้ ทำให้แฟนฉันเขาลำบากใจเปล่าๆ...เข้าใจไหม”
ก้องภพมองภาคินอย่างข่ม ภาคินนิ่งไม่แสดงอารมณ์
ภูวดลเดินเข้ามาวนไปมารอบโต๊ะบุญทิ้ง คอยทำหน้าดุใส่ บุญทิ้งเหลือบมองอย่างหวาดๆแล้วรีบก้มหน้าวาดภาพต่อ ภาคินเห็นเดินเข้าไปหา
“คุณทำแบบนี้เด็กไม่มีสมาธินะครับ กรุณาถอยห่างไปด้วย”
ภูวดลหันมองภาคินไม่สบอารมณ์
“แค่มายืนคุมเจ้าเด็กนั่น ไม่ให้มันขี้โกง”
ภาคินมองภูวดลเอือมๆ เดินหาบุญทิ้ง
“บุญทิ้งอยากย้ายโต๊ะนั่งไหม หรือขยับออกมาหน่อยก็ได้”
ภาคินขยับโต๊ะบุญทิ้งให้เคลื่อนออกมาห่างธัญวิทย์นั่ง บุญทิ้งลุกตาม
ภูวดลตรงรี่เข้าไปเลื่อนโต๊ะบุญทิ้งกลับที่เดิม จ้องมองอย่างดุจนบุญทิ้งหน้าเสีย ภูวดลใช้สองมือยกโต๊ะกระแทกกับพื้นเสียงดัง
“เก่งจริงก็ต้องนั่งที่นี่ ไอ้หนูเอ้ย ฉันอยากจะรู้นัก มีฉันจับตามองแบบนี้ ยังจะกล้าลอกลูกฉันอีกไหม”
บุญทิ้งนั่งลง รีบก้มหน้าวาดภาพมือสั่น ภาคินมองอย่างเริ่มโมโหแต่พยายามเก็บอารมณ์ไว้
“ผมว่าเลื่อนโต๊ะออกมาแล้วคุณก็ไม่ต้องมาคอยเฝ้า มันดีกับทุกฝ่ายนะครับ”
ภูวดลทุบโต๊ะที่บุญทิ้งกำลังวาดภาพเสียงดังโครม จนกล่องสีตกจากโต๊ะ หกกระจาย บุญทิ้งสะดุ้งสุดตัว
“ห้างนี้ให้มูลนิธิอย่างคุณร่วมงานด้วยก็บุญแค่ไหนแล้ว ยังจะทำเรื่องมากย้ายโน่นย้ายนี้ เด็กคนอื่นเขาไม่เห็นเรื่องมากเหมือนสองคนนี้เลย”
ผู้ปกครองและเด็กหลายคนมองมาที่ภาคินและบุญทิ้ง ภาคินมองภูวดลอย่างสะกดอารมณ์โกรธ ปานดาวเดินมาหาธัญวิทย์
“อย่าไปสนใจลูก เราทำของเราต่อไป เด็กเหลือขอแบบนั้นปล่อยให้พ่อเขาจัดการ”
ธัญวิทย์มองบุญทิ้ง ยิ้มอย่างเหนือกว่า ก้มหน้าวาดภาพต่ออย่างสบายอารมณ์ ภูวดลยังคงทำหน้าดุเดินไปเดินมารอบโต๊ะบุญทิ้ง ภาคินมองแบบทำอะไรไม่ได้ เฟื่องแก้วเดินเข้ามาหาภูวดลอย่างหมดความอดทน
“ทำไมพวกคุณไร้เหตุผลแบบนี้ ทำแบบนี้บุญทิ้งวาดไม่เสร็จกันพอดี”
ภูวดลแสยะยิ้ม พูดอย่างยียวน
“ไม่เสร็จก็เพราะไม่มีความสามารถเอง” ภูวดลจับไหล่บุญทิ้ง“เก่งแต่ลอกคนอื่นหรือเปล่า ...ไอ้เจ้าหนู”
ดินสอสีหล่นจากมือ บุญทิ้งหน้าถอดสี ปานฟ้ามารับดินสอสีไว้ส่งให้บุญทิ้ง มองหน้าภูวดล
“บุญทิ้งวาดต่อไปให้เสร็จ อย่าไปสนใจอะไรทั้งนั้น”
ภาคินเข้าไปใกล้บุญทิ้ง
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่สองคนอยู่กับบุญทิ้ง มีสมาธิหน่อย”
บุญทิ้งส่ายหน้า ถอดใจ
“ไม่ไหวแล้วครับ ผม....วาดต่อไม่ได้แล้ว”
ภาคิน ปานฟ้าหันมามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
อ่านต่อหน้า 4
ดุจดาวดิน ตอนที่ 5 (ต่อ)
บุญทิ้งเดินมาที่ห้องพักผู้ประกวด ยืนก้มหน้าตาละห้อย ภาคินมองอย่างเห็นใจ เฟื่องแก้วไม่พอใจสักเท่าไรที่บุญทิ้งไม่วาดรูปต่อ
“ไม่น่าทิ้งกลางคันแบบนี้เลย อุตส่าห์ฝึกวาดมาตั้งนาน” เฟื่องแก้วจับไหล่บุญทิ้ง “กลับไปตอนนี้ยังทันนะ เอาไหม พี่จะบอกกรรมการให้ลองสู้ดูอีกหน”
บุญทิ้งลังเลใจ
“แต่ผมวาดเสร็จและส่งไปแล้วนะครับ”
“เสร็จแบบนั้นมันจะไปดีอะไร เอามาลงสีให้สวยกว่านั้นเถอะ”
“คือ....ผม...วาดต่อไม่ออก เห็นพี่คนนั้นจ้องมา ตื้อไปหมด”
เฟื่องแก้วไม่พอใจ
“โห...ไม่สู้เลย บุญทิ้ง”
บุญทิ้งหน้าเสียมองภาคิน
“ได้แค่ไหนก็แค่นั้นเถอะน่า อย่าผลักดันบุญทิ้งมากเลย ทำดีที่สุดก็พอแล้ว”
เฟื่องแก้วหน้ามุ้ย
“ก็แค่เสียดายโอกาส อยากสนับสนุนเด็กให้ถึงที่สุด แต่ถ้าจะตามใจบุญทิ้งแบบคุณว่าก็แล้วแต่ค่ะ”
ภาคินยิ้มให้
“ผมรู้คุณหวังดี แต่เด็กก็คือเด็ก เราให้เขาประกวด เพื่อให้มีประสบการณ์ ให้เขาสนุกสนาน มีความสุข ไม่ใช่ให้มาเป็นทุกข์นะ”
ปานฟ้ายืนฟังอยู่ที่ประตูห้อง มองภาคินอย่างชื่นชม เฟื่องแก้วสะบัดหน้าจากภาคินผ่านหน้าปานฟ้า
“งั้นเชิญโอ๋กันตามสบาย ไปดูกรรมการให้คะแนนดีกว่า เดี๋ยวจะมีการใช้เส้นสาย” เฟื่องแก้วปรายตามองปานฟ้า “แค่นี้ก็เส้นใหญ่จนอืดแล้ว”
ปานฟ้ามาส่งภาคินกับบุญทิ้งที่รถ พูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ฉันไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ทำไมคนรอบตัวฉันถึงได้...ฉันขอโทษแทนพวกเขาด้วยนะคะ”
ภาคินยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“คนเราคิดไม่เหมือนกันหรอกครับ พี่น้องคลานตามกันมา ได้รับการเลี้ยงดู ฐานะความเป็นอยู่เหมือนกันทุกอย่าง ยังมองโลกต่างกันเลย”
ปานฟ้ายิ้มให้ภาคินอย่างปลื้ม
“คุณเป็นคนเข้าใจโลกจังคะ ถ้าพวกเราคิดได้อย่างคุณ สักนิดก็ยังดี”
“ผมไม่ได้เข้าใจโลกมากมายอะไรหรอกครับ เพียงแต่เจออะไรมาเยอะจนคิดได้แล้ว คุณฟ้านะสิที่เข้าใจโลก เห็นความสำคัญของทุกคน ไม่ เว้นแม้แต่คนที่ด้อยกว่า”
ภาคินมองปานฟ้าที่ยิ้มให้อย่างชื่นชม ปานฟ้าเขินลูบหัวบุญทิ้ง
“ดูลูกพี่เธอสิบุญทิ้ง ชมพี่สะตัวลอยเลย”
บุญทิ้งยิ้มหัวเราะ
“ไม่ลอยหรอกครับ” บุญทิ้งจับต้นแขนปานฟ้า “เดี๋ยวผมจับไว้ให้”
สามคนยิ้มหัวเราะให้กัน ก้องภพเดินมามองอยบ่างไม่พอใจ
“จะรบกวนคุณฟ้าไปถึงห้างปิดเลยไหม คุณฟ้ามีงานเยอะแค่ไหนพวกแกไม่รู้หรอก” ก้องภพมองปานฟ้า “คุณก็จะดีไปถึงไหนนะ หรือว่ากลัวพวกนี้หลงทาง ไม่เคยมาสถานที่ดีๆแบบนี้”
ปานฟ้ามองก้องภพอย่างระอา ขณะที่ภาคินเฉย ไม่แสดงสีหน้าอะไร พาบุญทิ้งขึ้นรถไปอย่างไม่อยากมีเรื่อง ก้องภพเดินมาเคาะที่กระจกรถ ภาคินเลื่อนกระจกลง ก้องภพพูดเสียงเบากับภาคิน
“อย่าให้ฉันเจอแกที่นี่อีก แล้วก็อย่าพาไอ้เด็กสกปรกแบบนี้มาเลอะห้างคุณปานฟ้าอีก”ก้องภพจ้องหน้าภาคิน “เข้าใจไหม”
ภาคินออกรถเร็ว จนก้องภพหลบแทบไม่ทัน ได้แต่มองตามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
กรรมการเดินดูภาพวาดเพื่อให้คะแนนทีละภาพ ปานดาว ภูวดล เฟื่องแก้วเดินตามหลังมาไม่ห่าง ภาพต่างๆของเด็กวางเรียงเป็นแถวยาว ก้องภพเดินตามปานฟ้าอย่างเบื่อหน่าย เอื้อมมือไปสะกิดเธอ
“ไปหากาแฟนกินกันเถอะ งานอะไรไม่รู้ น่าเบื่อจะตาย”
“ไปคนเดียวเถอะ ฟ้าต้องดูกรรมการให้คะแนน”
“ฟ้า คุณไม่สนใจผมเลยนะ ทีไอ้พวกชั้นต่ำ...”
ปานฟ้าขัดขึ้น
“อย่าดูถูกใครแบบนี้นะคะ ไม่ชอบ”
“หรือมันไม่จริง”
“ค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ฐานะ หรือชาติกำเนิด”
ก้องภพมองหน้าไม่ชอบใจ
“เข้าข้างมันจริงนะ เข้าข้างตลอด…แล้วจะรู้ ว่าคุณคิดผิด”
ก้องภพเดินไปอย่างขัดใจ ปานฟ้าถอนใจ แล้วหันหลังเดินกลับไปอย่างไม่สนใจ ก้องภพจำต้องเดินออกไปด้วยความเซ็ง
กรรมการที่ดูรูปประกวดต่างก็พอใจรูปของเด็กๆ
“วาดได้ดีกันทุกคนเลย ตั้งใจวาดกันมาก
ทั้งหมดเดินดูไปเรื่อยๆ กรรมการคนหนึ่งหยิบภาพวาดของธัญวิทย์มาดูแล้วพยักหน้ากับกรรมการที่ยืนข้างๆ
“ชิ้นนี้สิเยี่ยม ลายเส้นก็สวย ลงสีได้น้ำหนักดีมาก ผมว่าชิ้นนี้แหละ เหมาะที่สุด”
กรรมการยิ้มพยักหน้าเห็นด้วย ปานดาวตบมือดีใจ ภูวดลยิ้มอย่างผยองหันมายักคิ้วให้ปานดาว เฟื่องแก้วหน้าเสีย
“ชนะเห็นๆ เป็นไงค่ะคุณ ฝีมือลูกเรา เก่งเหมือนแม่ไม่มีผิด”
“ผมก็เห็นด้วยนะ” กรรมการอีกคนบอก หันไปเห็นภาพของบุญทิ้ง “แต่....เดี๋ยวก่อน”
กรรมการหยิบรูปของบุญทิ้งขึ้นมา เทียบกับรูปธัญวิทย์
“ชิ้นนี้ไม่ได้ด้อยกว่าเลยนะ พอมาเทียบกันแล้ว” กรรมการชี้ที่รูปธัญวิทย์ “ชิ้นนี้ออกแนวดุดันก้าวร้าว ลงสีฉูดฉาดดี ได้ความเฉียบคม”
กรรมการอีกคนมองภาพของบุญทิ้งอย่างพิจารณา พยักหน้า ชี้ที่ภาพบุญทิ้ง
“แต่ชิ้นนี้ให้สีได้ธรรมชาติมาก ดูสดใสอ่อนโยนคล้ายภาพฝัน แต่รู้สึกแฝงไว้ด้วยความเศร้าลึกๆ”
เฟื่องแก้วยิ้มสะใจ หันมองภูวดล ปานดาวที่หน้าเสีย
“ใครเอาสองคนนี้มาเป็นกรรมการ ห่วยแตก ไม่ได้เรื่อง” ปานดาวบ่น
“พวกตาถั่วเอ๊ย ดูรูปไม่เป็นหรือไง เฮงซวยชะมัด” ภูวดลเสริม
เฟื่องได้ยินหันมองภูวดลอย่างไม่สบอารมณ์
“ให้เกียรติกรรมการหน่อยนะค่ะคุณ ท่านก็ให้คะแนนตามฝีมือเด็ก ภาพวาดมักจะสะท้อนอารมณ์ของผู้วาด”
ปานดาวกับภูวดล มองหน้าเฟื่องแก้วอย่างไม่ชอบใจอยากด่า ขณะเดียวกัน กรรมการมองไปรอบๆ
“เราได้ผลการประกวดอย่างเป็นทางการแล้วนะครับ ผู้ชนะเลิศ ได้แก่ เด็กชายบุญทิ้ง เจ้าของภาพนี้ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”
กรรมการชูภาพที่บุญทิ้งวาดขึ้นมา เฟื่องแก้วตบมือเฮลั่น ปานฟ้ายิ้มอย่างดีใจ ภูวดลตาค้าง ส่ายหน้า ขณะที่ปานดาวหน้าเสียโกรธจัด กรี๊ดลั่น ชี้หน้ากรรมการ
“ไม่ได้นะ รางวัลนี้ ต้องเป็นของลูกฉันเท่านั้น”
ทุกคนในงานหันมามองเป็นตาเดียวกัน ปานดาวเดินไปหยิบภาพวาดธัญวิทย์ถือไว้ในมือ แล้วเดินไปกระชากภาพวาดของบุญทิ้งในกรรมการผู้ประกาศผลออก
“ผู้ชนะเลิศคือคนวาดภาพนี้” ปานดาวยัดภาพวาดธัญวิทย์ใส่มือกรรมการ “ประกาศใหม่สิค่ะ ให้ทุกคนได้ยินชัดๆเลยค่ะว่าธัญวิทย์ชนะเลิศ”
กรรมการมองภาพในมืองงๆ เฟื่องแก้วเห็นท่าจะเกิดเรื่องรีบวิ่งเข้ามาหาปานดาว
“นี่คุณจะบ้าหรือไง ไร้สาระมาก อย่าทำตัวน้ำเน่าหน่อยเลย เอารูปบุญทิ้งคืนมาเดี๋ยวนี้นะ บุญทิ้งคือเด็กที่ชนะเลิศ”
เฟื่องเข้าไปยื้อแย่งภาพวาดของบุญทิ้ง ปานดาวไม่ยอมให้ เอาภาพหลบทางโน่นที่ทางนี้ที
“ไม่ให้...ใครจะทำไมฉัน...อยากได้มาก...เดี๋ยวแม่ฉีกซะนี่”
ปานดาวทำท่าจะฉีก เฟื่องรีบห้าม ยื้อแย่งภาพกัน จนเฟื่องได้ภาพบุญทิ้งมาไว้ในมือ ปานดาวเข้าแย่งกลับคืนแต่เฟื่องชนปานดาวแบบไม่ได้ตั้งใจ เซถลาแทบล้ม
“โอ๊ย....นี่แกใช้กำลังเหรอ”
ภูวดลรีบเข้ามาพยุงปานดาว
“รปภ.หายหัวไปไหนกันหมด...เล่นแบบนี้อยากมีเรื่องใช่ไหม”
ปานฟ้าส่งเสียงดัง
“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้นะ...คำตัดสินของกรรมการถือว่าเป็นเอกฉันท์ค่ะ...แล้วภาพของธัญวิทย์ก็ไม่มีสิทธิรับรางวัลอะไรด้วย”
ปานดาวงง
“เธอว่าอะไรนะ นี่หลานของเธอแท้ๆนะ”
“พี่ดาวเงียบเถอะค่ะ...หรืออยากให้ฟ้าเอาคลิปมือถือที่มีคนถ่ายไว้ว่า พี่ดาวช่วยธัญวิทย์วาดภาพมาให้กรรมการดู”
ผู้ชมงานซุบซิบนินทา ปานดาวอึ้งพูดอะไรไม่ออก แต่ก็ขยับตัว เชิดหน้าไม่แคร์ใคร
“ฉันไม่เอาก็ได้ รางวัลห่วยๆ ให้เด็กเหลือขอไปเถอะ..ไปลูกวิทย์ กลับ ...เดี๋ยวแม่ไปซื้อถ้วยรางวัลชนะเลิศให้เองเอาให้ใหญ่กว่ามันอีก”
ธัญวิทย์ยิ้มดีใจ ปานดาวจูงมือธัญวิทย์เดินออกจากงานอย่างฉุนเฉียวพร้อมภูวดล
ปานฟ้าส่ายหน้าอย่างเอื้อมระอาในตัวปานเดือน
ปานฟ้ายื่นถ้วยรางวัลพร้อมซองเงินรางวัลให้บุญทิ้งที่ยิ้มอย่างไม่อยากเชื่อ
“ดีใจด้วยนะจ๊ะ คนเก่ง ได้ที่หนึ่งเลยนะ ไม่เสียแรงที่พี่ฟ้าเชียร์”
บุญทิ้งรับของมาอย่างตกตะลึง
“ที่หนึ่งเลยเหรอครับ ผมว่าไม่ได้ที่โหล่ก็บุญแล้ว”
ภาคินยิ้มดีใจแต่ไม่แสดงออกมาก
“ไม่หรอกบุญทิ้ง นี่คือรางวัลของความตั้งใจ”
บุญทิ้งยิ้มดีใจ ปานฟ้าดีใจด้วย
“แบบนี้ต้องฉลอง ให้บุญทิ้งเลือก อยากไปไหน”
“ผม...อยากไป...”
บุญทิ้งคิดถึงสวนสนุกด้วยรอยยิ้ม...
ภาคิน ปานฟ้าจับมือบุญทิ้งที่อยู่ตรงกลาง วิ่งเข้าไปในสวนสนุก ที่มีเครื่องเล่นต่างๆมากมาย
บุญทิ้งมองเครื่องเล่นเหล่านั้นอย่างตื่นเต้นมาก ทั้งหมดเดินมาหยุดที่หน้าเครื่องเล่น ภาคินหันมายิ้มกับปานฟ้าอย่างมีความสุข หญิงสาวตาเป็นประกายสดชื่น หันพูดกับบุญทิ้ง
“วันนี้เรามาสนุกให้เต็มที่เลยนะบุญทิ้ง”
เด็กชายพยักหน้ายิ้มกว้าง ปานฟ้าหันมองภาคินที่ทำหน้าแหยๆ มองดูเครื่องเล่นที่น่าหวาดเสียว
“อ้าว...เป็นอะไรไปคะ มาสวนสนุกทั้งที ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
ภาคินชี้มือไปที่เครื่องเล่นที่ขึ้นที่สูง
“ผมเห็นแล้ว...จะเป็นลม...”
“อย่าบอกนะว่าคุณกลัว แบบเนี่ยแกล้งสนุกชะมัดเลย”
ปานฟ้าจับมือภาคิน จูงไปทางเครื่องเล่น ภาคินยื้อตัวเอาไว้ ขัดขืน ปานฟ้าหันมามองทำหน้างอน
“ถ้าไม่ขึ้นแสดงว่าไม่ซี้กันจริง เนอะบุญทิ้ง”
“ไม่จ๊าบเลยพี่ภาคิน...ผมยังไม่กลัวเล้ยยย...หรือว่ากลัวฉี่ราด”
ปานฟ้าหัวเราะกับบุญทิ้งเสียงดังลั่น ภาคินหน้าซีด
“คือ...ผม...”
ปานฟ้าและบุญทิ้ง ช่วยกันดึงมือภาคินแทบจะลากไป
“โอ๊ย...เดี๋ยวสิ ทำใจก่อน”
บนรถไฟเหาะเสียงผู้คนร้องกรี๊ดกันลั่น ภาคินหลับตาปี๋กลัวมาก เผลอไปจับมือปานฟ้าเอาไว้ หญิงสาวหันมองหน้า ชายหนุ่มรีบเอามืออออกยิ้มให้เขินๆ ปานฟ้ายิ้มเขินอาย บุญทิ้งสนุกมาก พอลงมาจากรถไฟเหาะ ภาคินรีบยกมือโบกไม่เอาอีกแล้ว อัดยาดม 2 ปืด เขาเดินหนี สองคนวิ่งตาม ลากกลับจะขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสามเข้ามาในบ้านผีสิง...ภาคินปลอมเป็นผี เข้าไปหลอกปานฟ้าและบุญทิ้ง วิ่งหนีกันกระเจิง เขารีบไปดักอีกทาง ปานฟ้าถอยหลังมาชน ตกใจกลัวผีมากจะวิ่งหนีผี แต่ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวไว้ก่อนจะถอดหน้ากากออก ปานฟ้าทุบที่เขามาหลอกเป็นผี ภาคินจับข้อมือเธอไว้ จ้องหน้าอย่างหวาน จนปานฟ้ายิ้มเขินอาย
หลังจากเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ภาคินซื้อขนม ไอศครีม น้ำแข็งใสมาให้ทั้งคู่ ปานฟ้าและบุญทิ้ง ทั้งสามคนสนุกสนานมีความสุขกันมาก บุญทิ้งเอาแต่กินไอศครีม ปานฟ้าตักน้ำแข็งใสกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ทันเห็นว่าภาคินแอบมองอยู่แล้วยิ้มขำ
“เวลาทำงานคุณดูจริงจังมาก แต่พอมาเที่ยวแบบนี้ เหมือนเด็กเลยนะครับ”
ปานฟ้างงๆ
“เป็นยังไงค่ะ เหมือนเด็ก”
“ก็ทั้งสดใส ร่าเริง เหมือนได้ปลดปล่อยยังไงไม่รู้”
ปานฟ้ายิ้มเขิน
“ฟ้าไม่ค่อยได้มีโอกาสมาแบบนี้หรอกค่ะ วันๆก็ทำแต่งาน กลับบ้านก็เจอแต่เรื่องปวดหัว มาแบบนี้เลยเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่” ปานฟ้าตักน้ำแข็งใสเข้าปาก “นี่อร่อยจังเลย หว๊าน หวาน ชื่นใจจัง”
ภาคินมองปานฟ้ายิ้มหวานให้
“หวานครับ...ชื่นใจ...น่ารักด้วย”
ปานฟ้าได้ยินไม่ถนัด
“อะ...อะไรนะค่ะ น่าอะไรนะ”
ภาคินรีบส่ายหน้า
“ปะ...เปล่าครับ น่า...น่าทานครับ”
ปานฟ้ายิ้มให้อย่างรู้ทัน สบตากับภาคินที่ทำเขินตักไอศครีมเข้าปาก แกล้งหันไปถามบุญทิ้ง
“เป็นไงบ้างเรา สนุกไหม”
บุญทิ้งพูดทั้งไอศกรีมเต็มปาก
“ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยมาสวนสนุกวันนี้แหละครับ เพิ่งรู้ว่าสนุกแบบนี้นี่เอง จะได้มาอีกเปล่าเนี่ย”
ทั้งสองนึกรักและสงสารบุญทิ้งมาก
“มาสิ ไว้พี่จะพามาอีก ชวนคุณฟ้าด้วย”
ปานฟ้ายิ้มรับ
“เด็กสนุกแล้ว ต่อไปจะพาผู้ใหญ่ไปเที่ยวบ้าง วันนี้ยังอีกยาว”
บุญทิ้งชูมือยิ้มดีใจ
“เฮๆๆ”
ปานฟ้าฟังตาโต ทั้งดีใจและตื่นเต้น
ยามเย็น...ในคลองแห่งหนึ่งสวยสงบ ร่มรื่น ภาคินลงไปในเรือพายรับตัวบุญทิ้งลงตาม เขายื่นมือให้ปานฟ้าจับ ยิ้มพยักหน้าให้ลงเรือ หญิงสาวลังเล
“อย่าบอกนะว่าคุณกลัว...แต่ผมไม่แกล้งคนอื่นเหมือนใครบางคนหรอก ลงมาสิครับ”
ปานฟ้าหน้าซีดๆ
“ไม่แกล้งแน่นะ...คือฟ้า...ว่ายน้ำไม่ค่อยแข็งนะค่ะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมอยู่นี่ทั้งคน”
หญิงสาวยิ้มยื่นมือให้เขาจับ ก้าวจากฝั่งขึ้นเรือ ด้วยความกลัว เหยียบเรือโคลงไปโคลงมา เธอจะล้มตกน้ำ
“โอ้ย...ช่วย...ด้วย...ทำไมเรือมันโคลงแบบนี้...ว๊าย...”
ภาคินรีบเข้ามาประคอง ปานฟ้าเซถลา หลับตาปี๋กอดภาคินไว้อย่างกลัวจะตกน้ำ เรือกลับโคลงหนัก
“อย่าดิ้นสิครับ เดี๋ยวได้ตกน้ำกันหมด กอดผมไว้แน่นๆ ค่อยๆทรงตัว”
หญิงสาวหันมาสบตาเขา ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างลึกซึ้ง อบอุ่น ปานฟ้ารู้สึกตัว ถอนตัวออกจากอ้อมกอดมองเขาอย่างเขินอาย
“ขอโทษค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟ้านั่งเรือแบบนี้”
ภาคินมองยิ้มขำ
“ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมพามานั่งบ่อยๆ จะได้ชิน ไม่ล้มมากอดผมอีก”
“ไม่เอาด้วยหรอก...คนขี้แกล้ง”
ปานฟ้ามองหน้าเขาด้วยกาการงอนนิดๆ ยิ้มให้น้อยๆอย่างสุขใจ บุญทิ้งทำหน้ามุ่ยๆเกาหัว
“เมื่อไรจะออกเรือสักทีล่ะครับ”
ภาคินนั่งลงท้ายเรือ ปานฟ้านั่งกลางลำ หันหน้ามาทางเขา ส่วนบุญทิ้งนั่งหัวเรือ
“ไปเดี๋ยวนี้ละจ้า...พ่อบุญทิ้ง”
ภาคินพายเรือออกจากฝั่ง วิวสองข้างทางร่มรื่น ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างชื่นหัวใจเป็นที่สุด ปานฟ้าเห็นเขามองเธอไม่วางตาก็เขินอาย รีบหันมองบรรยากาศรอบๆ แต่มิวายหันมาสบตากับเขา ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก ต่างคนต่างเขินอายท่ามกลางตะวันสีอุ่นกำลังจะลับขอบฟ้าแสนงดงาม
ภาคินพายเรืออย่างมีความสุข ปานฟ้ายิ้มสดชื่นกับบรรยากาศ บุญทิ้งมองวิวสวยงามสองข้างทางอย่างเพลิน ปานฟ้าหลับตา สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด
“ฟ้าไม่ได้รู้สึกโล่งใจ สดชื่น สบายแบบนี้มานานมากแล้วขอบคุณมากนะค่ะ วันนี้สนุก...และมีความสุขมาก”
“ผมต่างหากครับที่ต้องขอบคุณคุณฟ้า ที่เสียเวลาอันมีค่า มาพาบุญทิ้งกับผมเที่ยว”
“เวลาตอนนี้สิค่ะ มีค่า ไม่ใช่เวลาที่ฟ้าทำงานหรืออยู่กับคนอื่น”
“ผมมีค่าสำหรับคุณฟ้า ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
ปานฟ้าสบตาภาคินแล้วถามตรงๆ
“แล้วฟ้ามีค่าสำหรับคุณขนาดไหนละค่ะ”
ภาคินอึกอัก เหมือนความในใจจะทะลักทะลาย
“คือ...คุณฟ้าครับ ผมว่า...ผมชอบ...”
ภาคินมองบุญทิ้ง ลังเลใจไม่กล้าพูดต่อ บุญทิ้งชี้มือไปที่น้ำ
“ปลา...ปลาตัวใหญ่จังเลยครับพี่ฟ้า ดูสิ”
ปานฟ้าหันไปมอง ภาคินผิดหวังที่โดนบุญทิ้งขัดจังหวะ รีบจ้วงไม้พาย พายเรือใหญ่ บุญทิ้งเสียดาย
“โห...พี่ภาคิน รีบพายไปไหน กำลังดูปลาเพลินๆเลยครับ”
ปานฟ้าหันมองภาคินอย่างสงสัยว่าเขาจะพูดอะไร
สามคนขึ้นจากเรือ บุญทิ้งไปวิ่งเล่น ภาคินเดินคุยกับปานฟ้า
“บุญทิ้งสนุกมากนะครับวันนี้ คงจะประทับใจไปอีกนาน ผมก็มีความสุขมาก จนไม่อยากให้วันนี้เราจากกัน”
ปานฟ้าหยุดเดินหันมาสบตาเขา
“เราจะจากกันที่ไหน เราก็เจอกันได้บ่อยๆนิค่ะ”
“ผมอยากเจอคุณฟ้าทุกวัน...ทุกคืน”
หญิงสาวเขิน
“ไม่เบื่อฟ้าแย่เหรอค่ะแบบนั้น”
“เราจะเบื่อคนที่มาทำให้ชีวิตเราสดชื่น เบิกบานได้ยังไงละครับ ชีวิตผมไม่เคยมีค่า มีใครมาสนใจ แต่วันนี้ผมได้ความรู้สึกดีๆ...จากคุณ”
ปานฟ้าสบตายิ้มให้
“ฟ้าอยู่ใกล้ๆคุณแล้ว ก็รู้สึกสบายใจคะ เหมือนอยู่กับคนที่เข้าใจกัน คุยกันรู้เรื่อง”
ภาคินจับมือเธอมากุมไว้ สบตาหญิงสาวอย่างหวานซึ้ง
“คุณฟ้าครับ...คุณทำให้ชีวิตผมมีค่า”
สองคนสบตากัน ปานฟ้าเอ่ยถามขึ้นอยากอยากรู้
“คุณรู้สึกยังไงกับฟ้าค่ะ”
“ผม...ว่า...ผม...คือ...ไม่รู้จะออกตัวแรงไปหรือเปล่า”
ปานฟ้าลุ้น ภาคินอ้ำอึงนึกขำ
“อึกอักอยู่นั้นแระ ไม่ออกตัวก็ไม่ต้องออกแล้ว ไปวิ่งเล่นกับบุญทิ้งดีกว่า”
ปานฟ้าทำจมูกย่นใส่เขา
“เดี๋ยวสิครับคุณฟ้าขอผมตั้งสติหน่อย...คนมันไม่เคย...จะรีบไปไหน”
ปานฟ้าโบกมือบ๊ายบายให้ภาคิน รีบวิ่งไปหาบุญทิ้ง ภาคินวิ่งตามไป
ภาคิน ปานฟ้า บุญทิ้งเดินมาด้วยกัน เมื่อเย็นมากแล้ว...
“เดี๋ยวฟ้าแวะไปส่งที่มูลนิธินะค่ะ” ปานฟ้าหันมาบอก
“อย่าเลยครับ แยกกันตรงนี้ดีกว่า คุณฟ้าขับรถอีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านแล้ว ไม่ต้องย้อนไปส่งผม เดี๋ยวผมกลับแท็กซี่กับบุญทิ้งเอง”
ปานฟ้ายิ้มให้
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะ วันนี้ฟ้ามีความสุขมาก”
“ผมคงจะจำวันนี้ไปอีกนาน ขอบคุณเช่นกันครับ”
เสียงปะทัด พลุ ดอกไม้ไฟ ดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง เห็นเด็ก 2-3 คนเล่นดอกไม้ไฟพวยพุ่ง บุญทิ้งรีบบอก
“สงสัยแถวนี้มีงานวัดแน่ๆเลย ไปเที่ยวกันต่อนะครับพี่ฟ้า
“ค่ำแล้วบุญทิ้ง ยังไม่เหนื่อยอีกเหรอ พี่ว่ากลับบ้านเถอะ”
ถ้างั้นผมขอไปดูเขาจุดดอกไม้ไฟตรงนั้นแปปนะครับ เดี๋ยวมา”
ภาคินยิ้มส่ายหน้า
“รีบไปแล้วรีบกลับมานะ”
บุญทิ้งยิ้มพยักหน้ารับ รีบวิ่งไปดูการจุดดอกไม้ไฟ
“ถ้างั้นฟ้ากลับก่อนนะค่ะ”
ปานฟ้ายิ้มให้แล้วเดินข้ามถนนไป ภาคินมองอย่างเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ยังไม่กล้าพอ ปานฟ้าข้ามถนนไปอีกฝั่ง ภาคินตะโกน
“คุณฟ้าครับ...”
ปะทัด พลุ ดอกไม้ไฟ ด้านฝั่งถนนปานฟ้าถูกจุดขึ้น เต็มไปหมด ปานฟ้าไม่ได้ยินภาคินเรียก เดินต่อไป ภาคินเดินตามอีกฝั่งถนน เอามือป้องปาก เดินไปก็ตะโกนเรียกไป
“คุณฟ้าครับ...ได้ยินผมไหมคุณฟ้า...ที่คุณถามผมว่ารู้สึกยังไง ผมมีคำตอบให้แล้วครับ”
ปานฟ้าหันมามอง เห็นเขาที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาอยู่อีกฝากถนน พยายามที่จะตะโกนอะไรสักอย่าง เธอมองอย่างสงสัย รถวิ่งสวนกันไปมา ประกอบกับเสียงพลุ ปานฟ้าชี้ที่หู ทำท่าบอกเขาว่าไม่ได้ยิน ภาคินหยุดเดินป้องปากตะโกน
“คุณฟ้าครับ...ผมชอบคุณ...ผมชอบคุณมากนะครับ...”
ปานฟ้าทำหน้างงๆ ไม่ได้ยินที่ชายหนุ่มบอก เธอส่ายหน้า ภาคินยิ้มอย่างเป็นสุขที่สุด โบกมือให้หญิงสาวไปมา ปานฟ้ายิ้มอย่างหวานมาก โบกมือให้เขา พลุดอกไม้ไฟที่กระจายลูกไฟออกมาเต็มฟุตบาตด้านหลังปานฟ้า
“คุณคือท้องฟ้าที่สดใสในชีวิตผมครับ...คุณปานฟ้า”
ปานฟ้ายืนยิ้ม มองมาทางภาคินด้วยสายตาแห่งความรัก...
ในห้องนั่งเล่น...เติมบุญ กับสมาชิกในบ้าน นั่งดูข่าวนักโทษแหกคุกในทีวี ตำรวจให้สัมภาษณ์ว่า การหลบหนีของผู้ต้องขังในครั้งนี้คงได้รับการช่วยเหลือจากนักโทษเก่า เพราะดูจากรูปการ การหนีแล้ว ผู้ที่ช่วยเหลือให้หลบหนีได้ ต้องเคยอยู่ในคุกนี้มาก่อนแน่นอน ภูวดลหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ
“พวกนี้มันเก่งนะ สงสัยวางแผนตอนอยู่ด้วยกันในคุก พวกที่ออกมาเลยกลับไปช่วยเพื่อน สุดยอดจริงๆ”
ปานดาวส่ายหน้าเอื้อมๆ
“สุดยอดด้านชั่วน่ะสิไม่ว่า น่าจับประหารชีวิตให้หมด เลี้ยงไปก็ เปลืองข้าวแดงคุก ทำชั่วแล้วไม่ยอมรับกรรม ดันแหกคุกหนีอีก”
พิมค้อนปานดาวอย่างไม่พอใจ
“คนเราไม่ได้เกิดมาโชคดีทุกคน ไม่มีใครอยากทำชั่ว แต่บางทีมันก็จำเป็น คนรวย สบายทุกอย่างก็พูดได้สิค่ะ ไม่เคยลำบากเหมือนพวกเขา”
ปานดาวกระแทกเสียง
“แกหมายถึงใคร...นังพิม”
“หนูก็บ่นไปเรื่อยแหละค่ะ” พิมปรายตามองปานดาว “ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแต่ถ้าคุณดาว....”
พิมเหลือบไปเห็นภูวดลมองมาถลึงตาใส่เธอ จนพิมไม่กล้าพูดต่อ ได้แต่นั่งอัดอั้นใจ
“แต่ถ้าอะไร...กล้าพูดให้จบหน่อย” ปานดาวไม่พอใจ
พิมลอยหน้าลอยตาอย่างกวนๆ ปานฟ้าเดินเข้ามาหน้าตาสดชื่นแจ่มใส อารมณ์ดี ทุกคนหันไปมอง สายอุษาเขม่นตามอง
“เมื่อวานไปไหนมาทั้งวัน กลับมาจนค่ำ”
ปานฟ้ายิ้มเดินมานั่งข้างสายอุษา
“เอารางวัลไปให้บุญทิ้ง แล้วพาไปเที่ยวฉลองกันนิดหน่อยค่ะ”
“เห็นว่า เด็กบุญทิ้งวาดภาพได้สวยมาก พ่อชักอยากจะเห็นแล้วสิ” เติมบุญบอกอย่างสนใจ
“ไว้วันหลังหนูชวนบุญทิ้ง มาวาดภาพที่บ้านนะค่ะคุณพ่อ”
เติมบุญพยักหน้ายิ้มให้ ปานดาวมองด้วยความขัดใจ
“พี่ไม่เข้าใจเธอจริงๆ ทำไมถึงชอบไปเสวนา ยุ่งเกี่ยวกับพวก...ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้น แล้วก็ไม่ต้องชวนเด็กข้างถนน นั่นมาเข้าบ้านนี้อีก เดี๋ยวมาเล่นกับธัญวิทย์แล้วติดเห็บติดเหา ขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ”
ปานฟ้าอึ้ง อย่างไม่เข้าใจในความคิดของปานดาว เติมบุญก็นิ่งไปในความร้ายของลูกสาว พิมแอบยิ้มสะใจ
ภาคิน ตุลย์ เฟื่องแก้ว นั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานด้วยกัน ต่างก็มีสีหน้าหนักใจ...
“คราวนี้ไอ้พวกตัวแสบ แหกคุกหนีไปได้หลายคน รวมทั้งหัวโจกแก๊งลักเด็ก” ตุลย์บอกเสียงเครียด
ภาคินครุ่นคิด
“นายพ่วง...นี่มันแหกคุกมาได้อีกเหรอเนี่ย”
ตุลย์พยักหน้ารับ
“ระวังเด็กในมูลนิธิให้ดีด้วย”
ขณะเดียวกัน บุญทิ้งยืนแอบฟังอยู่นอกห้องด้วยความตกใจ
“ทำไมคะ คิดว่ามันจะกลับมาหาเด็กๆ พวกนี้อีกงั้นเหรอ” เฟื่องแก้วถาม
“ไม่ใช่แค่มาหา แต่จะเอาตัวไปขอทาน หาเงินให้มันอีกต่างหาก ผมสังหรณ์ใจ...ว่ามันต้องกลับมาแน่”
ภาคินกับเฟื่องแก้วเป็นกังวล บุญทิ้งหน้าเสียนึกกลัวว่าพ่วงจะจับตัวไปอีก
บุญทิ้งนั่งมองไปนอกหน้าต่าง คิดถึงแม่แล้วถอนใจยาว หน้าเศร้า น้ำตาจะหยด เงยหน้าขึ้นเห็นพ่วงยืนอยู่ พ่วงเดินมาหา
“ลุง”
พ่วงเดินมาหา
“ไป ข้ามารับเอ็งกลับบ้าน เราจะไปอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน เอ็งจะได้ไปขอทาน หาเงินให้ข้า”
พ่วงจับตัวไว้ บุญทิ้งดิ้นสุดแรงจะหนี
“ไม่เอา ผมไม่อยากไป ผมจะอยู่ที่นี่...ปล่อยผม”
พ่วงยกตัวบุญทิ้งจนลอย หัวเราะลั่น
“เอ็งไม่มีวันหนีข้าพ้น...ไอ้บุญทิ้ง”
บุญทิ้ง ร้องไห้โฮ
“ไม่ไป...อย่า...อย่า”
บุญทิ้งสะดุ้งตื่น ถึงได้รู้ว่าที่แท้ตัวเองฝันไป ภาคินเข้ามาอย่างตกใจ
“เป็นอะไรบุญทิ้ง ร้องอะไรเสียงดัง”
บุญทิ้งวิ่งมากอดภาคิน ร้องไห้
“ผมกลัว...ลุงพ่วงมา...จะจับผม พี่อย่าให้เขาจับผมไปนะ”
ภาคินมองบุญทิ้งอย่างเห็นใจ
“ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ยอมให้ใครเอาตัวบุญทิ้งไปไหนทั้งนั้น...ไม่ต้องกลัว แค่ฝันร้าย ไม่มีอะไรหรอก”
ภาคินกอดปลอบใจ แต่บุญทิ้งฟังอย่างไม่ไว้วางใจ สังหรณ์ใจว่าพ่วงจะต้องกลับมาหาตน
อ่านต่อตอนที่ 6