ดุจดาวดิน ตอนที่ 1
คฤหาสน์ของเติมบุญ อัครดำรงกุล มหาเศรษฐีในยามค่ำคืน ดูโอ่อ่าตระการตา กลางสนามด้านหน้าคืนนี้ มีการจัดงานเลี้ยง แขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย เสียงดนตรีจากมุมหนึ่งบรรเลงเบาๆ สร้างบรรยากาศ ทุกคนต่างดื่มกินและพูดคุยอย่างมีความสุข เมื่อถึงเวลาพิธีกรของงานขึ้นมาบนเวทีเข้าประจำที่ส่งเสียงทักทาย
“สวัสดีครับท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย”
เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง แขกเหรื่อทุกคนต่างหันมาสนใจกิจกรรมบนเวทีที่กำลังเริ่มขึ้น
“ขณะนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอเรียนเชิญคุณเติมบุญ อัครดำรงกุลกล่าวเปิดงานในคืนนี้ด้วยครับ”
เสียงปรบมือดังขึ้น เติมบุญเดินยิ้มแย้มขึ้นไปบนเวที
“ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ฝ่ารถติดมางานในคืนนี้”
แขกพากันหัวเราะ เติมบุญรอจนแขกหยุดแล้วพูดต่อ
“อันที่จริงก็ไม่มีงานพิธีการอะไรนักหนา ผมจัดขึ้นก็เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งลูกสาวคนเล็กของผม...ปานฟ้า อัครดำรงกุลไปศึกษาต่อปริญญาตรีและโท ที่ต่างประเทศเพื่อจะได้กลับมาช่วยบริหารห้างสรรพสินค้าของเรา”
เติมบุญผายมือไปข้างเวที ปานฟ้าก้าวขึ้นมาช้าๆ เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง เธอเดินมาหาพ่อ เติมบุญโอบลูกสาวไว้
“นอกจากนั้นก็ เป็นการฉลองครอบรอบหนึ่งขวบ ของทินภัทรหลายชายคนเดียวของตระกูลอัครดำรงกุลด้วย”
เติมบุญหันไปอีกด้านของเวที ปานเดือนอุ้มทินภัทรขึ้นมา เติมบุญเข้าไปรับทินภัทรมาอุ้มไว้เองทั้งกอดทั้งหอมอย่างรักมาก แสงแฟลชวูบวาบทั้งนักข่าวและคนในงานต่างพากันถ่ายภาพน่าประทับใจไว้ เติมบุญอุ้มทินภัทรขนาบข้างด้วยปานฟ้าและปานเดือนยิ้มแย้มให้กล้อง ท่ามกลางเสียงปรบมือดังลั่น
ปานดาวพี่สาวคนโต นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าเวทีมองภาพนั้นด้วยสายตาชิงชัง มุมปากเหยียดยิ้มแกมเยาะ เธอรำพึงอยู่ในใจ
‘มีความสุขกันไปเถอะ อีกเดี๋ยวจะรู้สึก’
เติมบุญอุ้มทินภัทรมาที่โต๊ะ ปานฟ้ากับปานเดือนตามมาด้วย อนิรุทธิ์รีบลุกขึ้นรับตัวทินภัทรมาจากเติมบุญ
“มาหาพ่อเร็ว...คุณตาหนักแย่แล้ว...”
เติมบุญหัวเราะ
“อ้าวพูดแบบนี้ก็ดูถูกกันนี่พ่อรุทธิ์”
ทุกคนได้หัวเราะกันอีก ยกเว้นปานดาวกับภูวดล สามีของเธอที่สบตากันอย่างหมั่นไส้ ทินภัทร หาวออกมา ปานเดือนรีบบอก
“สงสัยลูกจะง่วงแล้วละค่ะ”
ทุกคนมองทินภัทร
“ก็เคยนอนแต่หัวค่ำนี่นา” สายอุษาบอก
ปานเดือนรับลูกจากสามีมาอุ้มแนบอก
“งั้นเดือนพาลูกไปนอนก่อนนะคะ”
ปานดาวรีบขัดขึ้น
“ให้ป้าแก้วพาไปสิจ๊ะ...เดี๋ยวก็จะเปิดฟลอร์แล้ว”
ปานเดือนหัวเราะ
“โธ่พี่ดาวก็...เดือนไม่ค่อยชอบเรื่องเต้นรำหรอกค่ะ”
ภูวดลช่วยเสริม
“นานๆทียืดเส้นยืดสายเสียหน่อยก็ดีนะครับ อีกอย่างคุณเดือนไม่อยู่แล้วคุณรุทธิ์จะเต้นกับใครล่ะ”
ปานฟ้าช่วยตัดสิน
“จริงด้วยค่ะ...นานๆจะสนุกกันที พรุ่งนี้ฟ้าก็จะบินแล้ว ยังไงคืนนี้ก็ไม่ยอมให้พี่เดือนแอบหลบขึ้นตึกไปก่อนแน่ๆ”
ปานฟ้ามองหา
“เอ...แล้วป้าแก้วหายไปไหนเสียละคะ”
“แม่ให้ไปดูผลไม้ที่เรือนครัวนะลูก เห็นยังไม่มีใครยกออกมา” สายอุษาบอก
“ฟ้าไปตามเองค่ะ”
ยังไม่ทันที่ใครจะเอ่ยปากพูดอะไรต่อ ปานฟ้าก็เดินกึ่งวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ปานดาวสบตากับภูวดลอย่างสมใจ
ขณะเดียวกัน ก้องภพซึ่งชอบปานฟ้ามานานแล้ว ชะเง้อมองตามปานฟ้า ที่เดินลิ่วๆลับไปด้านหลังอย่างแปลกใจ
“ฟ้าเขาไปไหนนะ”
“ก็รีบตามไปสิลูก ประกบให้ติดไว้เลยนะ เดี๋ยวตอนเต้นรำแกต้องเปิดฟลอร์กับหนูปานฟ้าให้ได้รู้มั้ย” วิมลวรรณผู้เป็นแม่รีบยุ
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยละคุณหญิง” อานนท์ถามขรึมๆ
“อ้าว...ก็เป็นการเปิดตัวให้ทุกคนรู้ไปเลยไงคะ...ว่าตาภพกับหนูปานฟ้าเป็นแฟนกัน”
อานนท์ส่ายหน้า
“ทำอะไรน่าเกลียด สองคนนี่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ทำรุ่มร่าม คุณเติมบุญจะตำหนิเอาได้”
“โอ๊ยใครจะกล้าตำหนิ ก้องภพนะลูกคุณหญิงวิมลวรรณเชียวนะ ใครได้ไปเป็นเขยก็ถือว่าโชคดีสุดๆแล้วล่ะคุณ”
อานนท์ถอนใจรำคาญ วิมลวรรณหันไปยุลูกชายต่อ
“รีบตามไปสิตาภพ”
“ครับแม่”
ก้องภพรีบลุกไป วิมลวรรณหันมายิ้มกับอานนท์ แต่แปลกใจที่เขาทำท่าเหมือนมองหาใคร
“คุณมองหาใคร”
“ภาคิน...ทำไมไปจอดรถนานจังไม่เห็นเข้ามาสักที”
วิมลวรรณหน้าหงิกเสียงห้วน
“ฉันบอกให้มันไปรอที่โรงครัวเอง”
อานนท์หันขวับ
“อะไรนะ...ภาคินไม่ใช่คนขับรถนะ จะได้ให้ไปรอที่โรงครัว”
วิมลวรรณกระซิบเสียงเข้ม
“แล้วไง...จะให้มันมานั่งชูคอ ประจานทั้งคุณทั้งฉันให้คนอื่นเขา เอาไปนินทาสนุกปากเหรอ”
อานนท์ชักไม่พอใจ
“ประจานอะไร”
วิมลวรรณยิ้มเยาะ
“สำหรับคุณก็คือผู้ชายตัณหาหน้ามืดมั่วไม่เลือก ส่วนฉันก็ผู้หญิงหน้าโง่ให้ผัวสวมเขาให้ไง”
อานนท์สะอึกอึ้งไปพูดไม่ออก วิมลวรรณสะบัดหน้าไปทางอื่นคอแข็งเชิด แต่พอมีคนเดินมาทัก ก็รีบยิ้มแย้มพูดคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภาคินเดินเรื่อยๆมาตามทาง จะเลี้ยวมุมชนกับปานฟ้าที่เดินเร็วๆ ลัดเลาะมาตามทางมาเต็มแรง
“โอ๊ย...”
ปานฟ้าเซจะล้มภาคินเข้ารับไว้ได้ทัน สองคนมองหน้ากันอย่างตะลึง ภาคินได้สติประคองปานฟ้าให้ทรงตัวได้ พูดดุๆ
“ระวังหน่อยสิ...ใส่ส้นสูงขนาดนั้นล้มไปขาพลิกแน่ๆ”
ปานฟ้ารีบพูด
“ขอโทษค่ะ แล้วก็ขอบคุณมาก...”
“ไม่เป็นไรครับ”
ขณะเดียวกัน เสียงก้องภพดังเข้ามาก่อนตัว
“ฟ้า...”
ภาคินชะงัก ก้องภพวิ่งเหยาะๆเข้ามาเห็นภาคิน ก็มองอย่างไม่พอใจ เข้ามากระชากคอเสื้อตวาด
“ไอ้ภาคิน...แกทำอะไรปานฟ้า”
ภาคินนิ่งมาก ปานฟ้าตกใจรีบเข้ามาดึงตัวก้องภพ
“อย่านะก้องภพ...ไม่มีอะไรหรอก”
ก้องภพจำใจปล่อย ปานฟ้ารีบอธิบาย
“ฉันเป็นคนเดินมาชนเอ้อ...คุณคนนี้เอง”
ก้องภพทำท่าฮึดฮัด พอดีป้าแก้วเดินเข้ามาพอดีเห็นสามคนก็ตกใจ
“มีอะไรกันเหรอคะ”
ปานฟ้าหันไปหาป้าแก้ว
“ไม่มีอะไรหรอกป้า...ฟ้ามาตามให้ป้าแก้วไปรับทินภัทรไปนอนนะคะ”
ป้าแก้วพยักหน้า
“อ๋อ...ไปค่ะไป”
ป้าแก้วเดินนำไป ปานฟ้ามองภาคินก่อนรีบตามป้าแก้วไป ก้องภพจ้องหน้าภาคินเหยียดๆแล้วรีบตามปานฟ้าไปติดๆ ภาคินถอนใจจะเดินเลี่ยงไปอีกทางก็ชะงัก เมื่อเห็นกิ๊บติดผมของปานฟ้าหล่นอยู่ข้างหนึ่ง ภาคินก้มเก็บขึ้นมามอง
ป้าแก้วรับทินภัทรจากปานเดือนมาอุ้ม
“มาค่ะมา...ไปนอนกับแก้วนะค่ะคุณหนู”
ปานดาวแววตาเป็นประกาย มองตามทินภัทรกับป้าแก้วไป เสียงพิธีกรกล่าวเปิดฟลอร์ดัวมา ปานดาวรีบทำรื่นเริง
“ว้าว...เวลาที่รอคอยมาถึงเสียที”
ก้องภพยื่นมือมาตรงหน้าปานฟ้า
“ให้เกียรติเปิดฟลอร์กับผมนะครับฟ้า”
ปานฟ้าส่ายหน้า ก้องภพหน้าเสีย
“ฉันตั้งใจว่าจะเปิดฟลอร์กับคุณพ่อนี่คะ...นะคะคุณพ่อเปิดฟลอร์กับฟ้าหน่อย”
เติมบุญหัวเราะ
“ไม่ไหวล่ะยัยฟ้า พ่อแก่แล้วไปเต้นรำกับตาภพเถอะไปค่อยสมกันหน่อย”
ก้องภพยิ้มดีใจ ยื่นมือมาอีก ปานฟ้าหน้ามุ่ย แต่ก็จำใจต้องส่งมือให้เขาพาเธอไปที่ฟลอร์ ภูวดลมองสองคนยิ้มแย้ม
“น้องฟ้ากับก้องภพเขาสมกันดีนะครับ”
สายอุษาไม่ชอบใจนัก
“พูดอะไรอย่างนั้น...ยัยฟ้ายังเด็กอยู่เลย”
“ไม่เด็กแล้วนะคะตอนนี้ล่ะกำลังเป็นสาวเต็มตัว” ปานดาวแย้ง
เติมบุญขัดขึ้นเสียงเรียบๆ
“น้องไม่ใช่แกนี่ยัยดาว จะได้มีผัวตั้งแต่ยังไม่ถึงยี่สิบนะ”
ปานดาวหน้าง้ำ สะบัดหน้าไปพูดกับภูวดล
“ไปเต้นรำกันเถอะคะภู”
ปานดาวลุกขึ้น ภูวดลรีบลุกตามเก้อๆ สายอุษาพูดเบาๆ
“คุณก็...ไม่น่าไปแขวะลูกเลย”
“ผมไม่ได้แขวะนะแต่พูดความจริง ตัวเองนอกรีตนอกรอยไปคนหนึ่ง แล้วยังคิดจะมายุน้องให้เป็นเหมือนตัวอีกหรือไง”
สายอุษานิ่ง รีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ้าพ่อรุทธิ์ ทำไมไม่พาแม่เดือนออกไปเต้นรำล่ะ”
“ครับคุณแม่”
อนิรุทธิ์ลุกขึ้นยื่นมือให้ ปานเดือนจับมือแล้วลุกตามไป เติมบุญมองตาม
“ยังดีน่ะที่แม่เดือนกับยัยฟ้าทำตัวดี แถมแม่เดือนยังมีทินภัทรให้ผมได้ชื่นใจอีก”
สายอุษายิ้มเห็นด้วย แล้วมองไปที่แขกในงาน เห็นวิมลวรรณส่งยิ้มมาให้
“ตายจริง...นั่นคุณหญิงวิมลวรรณ กับคุณอานนท์ยังไม่ได้ไปทักทายเลย”
เติมบุญพยักหน้า
“งั้นก็ไปกันสิ...”
เติมบุญกับสายอุษาเดินมาที่โต๊ะ วิมลวรรณกับอานนท์ รีบลุกขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณเติมบุญ คุณสายอุษา”
“สวัสดีค่ะเจ้าสัว...คุณพี่”
เติมบุญกับสายอุษารับไหว้ เติมบุญหัวเราะ
“อย่าเรียกเจ้าสัวเลยครับ เรียกชื่อดีกว่า”
เติมบุญกับสายอุษา นั่งลงร่วมโต๊ะ
“มีอะไรขาดตกบกพร่อง ก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
อานนท์อ้าปาก แต่ไม่ทันวิมลวรรณ
“อุ๊ย...ไม่มีหรอกค่ะ...งานจัดได้เริ่ดมาก”
สายอุษายิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ...แล้วคุณทั้งสอง ไม่ออกไปเต้นรำบ้างเหรอคะ”
อานนท์อ้าปากอีก แต่ไม่ทันอยู่ดี
“อ๊าย...ไม่ละคะ ดูเด็กๆหนุ่มสาวเขาเต้นกันดีกว่า แหมยิ่งคู่ของตาภพกับหนูปานฟ้า ยิ่งดูยิ่งสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกเลยนะคะคุณพี่...ดูสิค่ะ”
วิมลวรรณชี้ชวนไปที่กลางฟลอร์ สายอุษากับเติมบุญสบตากันยิ้มๆไม่พูดอะไรมองตามไป อานนท์แอบถอนใจ ค่อนข้างละอายแทนวิมลวรรณ
ก้องภพกับปานฟ้าเต้นรำกันในจังหวะลีลาศ โดยมีคู่ของปานเดือนกับอนิรุทธิ์และคู่ของปานดาวกับภูวดล ร่วมเต้นกับคู่อื่นๆอยู่ด้วย...ก้องภพกระซิบที่ข้างหู
“รู้มั้ยฟ้า...คืนนี้ผมมีความสุขมากเลย”
ปานฟ้าหันหน้าไปอีกทางอย่างเบื่อๆ ก้องภพมองที่ผมของเธอ
“เอ๊ะกิ๊บติดผมของฟ้า หายไปไหนข้างหนึ่งล่ะ”
ปานฟ้าตกใจ
“เหรอคะ...” ปานฟ้านิ่งคิด “สงสัยจะตก ตอนที่ฉันชนกับคุณ...เอ้อ...ภาคินมั้ง”
ก้องภพหน้าเปลี่ยน พูดเสียงห้วนทันที
“ทำไมฟ้าจำชื่อมันแม่นจัง”
“อ้าว...ก็ภพเป็นคนเรียกชื่อเขาเองไม่ใช่เหรอ”
ก้องภพอึ้งไป ปานฟ้ารีบถามต่อ
“ภพรู้จักเขาด้วยเหรอ เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เห็นเขาเข้ามาในงานเลย”
ก้องภพหงุดหงิด
“ฟ้าอยากรู้เรื่องมันไปทำไม ก็ไอ้แค่ลูกเมียเก็บของคุณพ่อ มันจะกล้าเสนอหน้าเข้ามาในงานได้ยังไง”
ปานฟ้าแปลกใจ
“ลูกเมียเก็บ”
“ใช่...วันนี้มันมาในฐานะคนขับรถให้ผม รู้แบบนี้แล้วฟ้าก็เลิกสนใจคนอย่างมันได้แล้ว มันกับเราคนละชั้นกัน”
ปานฟ้าชักไม่ชอบใจกับคำพูดของเขา
“ทำไมภพพูดอย่างนั้นล่ะ ถ้าคุณภาคินเขาเป็นลูกของคุณพ่อภพ เขาก็เท่ากับเป็นพี่ชายคุณคนหนึ่ง”
ก้องภพโมโห แต่ก็ระงับอารมณ์ไว้ แต่ก็พูดออกมาเสียงขุ่น
“อย่าเอามันมานับญาติกับผมนะ หยุดพูดเรื่องไอ้ภาคินเถอะผมไม่อยากฟัง”
ก้องภพพาปานฟ้า วาดลวดลายบนฟลอร์อย่างหงุดหงิด ปานฟ้าจำใจเต้นตามไปอย่างไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน
ภาคินยืนหลบใต้เงาต้นไม้ มองที่ฟลอร์เห็นก้องภพพาปานฟ้าเต้นรำอย่างสวยงาม ภาคินก้มมองกิ๊บในมือ ครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจหันกลับ แล้วเจอกับคนรับใช้ถือถาดใส่ผลไม้ผ่านมา ภาคินรีบถาม
“มีประตูทางออกอื่นมั้ย นอกจากประตูหน้า”
คนรับใช้มอง ภาคินรีบอธิบาย
“ฉันจะไปรอที่รถน่ะจอดไว้ด้านนอก”
คนรับใช้เข้าใจ
“มีประตูด้านข้างเลยเรือนครัวไปน่ะ พวกเราเข้าออกกันทางนั้น”
ภาคินพยักหน้า
“ขอบใจ...”
ภาคินเดินไป คนรับใช้มองตาม
“ท่าทางดีดี๊ไม่น่าเป็นคนขับรถเล๊ย...”
ทุกคนยังเต้นรำกันอยู่ ปานดาวเต้นอยู่กับภูวดล เธอมองรอบๆ เลยไปที่โต๊ะอานนท์เห็นเติมบุญกับสายอุษายังคุยกันอยู่
“ถึงเวลาแล้วค่ะภู...อย่าให้พลาดนะ”
ภูวดลมองรอบๆอย่างระวัง
“เชื่อมือผมเถอะน่า”
“แล้วนังพิมล่ะมันมารออยู่เหรอยัง”
ภูวดลพยักหน้า สองคนค่อยๆเต้นเลี่ยงออกไปทีละน้อยจนหลุดออกไปจากฟลอร์
พิมน้องสาวของภูวดล ลับๆล่อๆแอบอยู่ในเงามืดข้างๆประตู ทันใดนั้นมีเสียงประตูเปิดออกมา พิมดีใจรีบวิ่งออกไป
“ฉันรอตั้งนาน...”
พิมชะงักหน้าเหวอไปทันที เพราะคนที่เดินออกมาเป็นภาคิน พิมตะกุกตะกัก
“ฉันเอ้อ...ฉัน...ฉันนึกว่า...เอ้อ...”
ภาคินมองพิมงงๆ
“ไม่เป็นไรครับ”
ภาคินไปไม่ได้สนใจ พิมถอนใจโล่งอกพึมพำ
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” เธอมองเข้าไปด้านในอย่างกระวนกระวาย “มัวทำบ้าอะไรอยู่นะพี่ภู...เดี๋ยวก็ซวยกันหมดหรอก”
ภูวดลแอบมองที่ประตูห้องที่แง้มไว้ เห็นป้าแก้วกำลังเอาผ้าห่มๆให้ทินภัทรที่หลับสนิท
“น่าเอ็นดูจริง หลับง่ายหลับดายดีเหลือเกิน”
ป้าแก้วไปจัดขวดนมข้าวของจิปาถะที่โต๊ะมุมเตียง มองเหยือกน้ำอุ่นแล้วบ่น
“อ้าว...น้ำอุ่นหมดเหรอเนี่ย...ตายจริงเดี๋ยวดึกๆคุณหนูตื่นขึ้นมาหิวนมล่ะยุ่งเชียว”
ป้าแก้วหยิบเหยือกน้ำเดินมาที่เตียง
“เดี๋ยวอิฉันมานะคะ...”
ป้าแก้วหันมาเปิดประตูเดินไปอีกทาง ภูวดลก้าวออกมาแสยะยิ้มร้ายกาจ รีบเดินไปที่เตียงมองทินภัทรอย่างเกลียดชัง
“โทษฉันไม่ได้นะเจ้าหนู ต้องโทษที่ตาของแกมันลำเอียงมากเกินไป”
ภูวดลก้มลงไปอุ้มทินภัทรขึ้นมา
ในงาน...ทุกคนยังเต้นรำกันอยู่ ปานฟ้ากับก้องภพเป็นจุดเด่น ปานเดือนกับอนิรุทธิ์เต้นกันไปพร้อมกับมองๆคู่ของปานฟ้า
“ดูไปดูมา ยัยฟ้ากับก้องภพก็เหมาะกันจริงๆนะคะ หรือรุทธิ์ว่าไง”
อนิรุทธิ์เหลือบไปมอง
“ก็คงเหมาะมั้งครับถ้า สองคนนั้นจะเรียนจบแล้ว”
ปานเดือนย่นจมูก
“คุณนี่เหมือนคุณพ่อเลยโชคดีนะคะที่เรามีลูกชาย ถ้าเป็นลูกสาวคุณคงหวงน่าดู”
อนิรุทธิ์ทำท่าขึงขัง
“รับรอง ผมจะไว้หนวดให้เฟิ้มเลย”
สองคนหัวเราะกัน แล้วปานเดือนก็เซไป
“โอ๊ย...”
อนิรุทธิ์รีบประคอง
“เป็นอะไรครับคุณเดือน”
“เหมือนจะขาแพลงนะคะ”
“งั้นเข้าไปพักเถอะ”
ปานเดือนพยักหน้า อนิรุทธิ์ประคองปานเดือนกลับมาที่โต๊ะ เห็นปานดาวนั่งอยู่คนเดียว
“อ้าวพี่ดาว...ไม่เต้นรำแล้วเหรอคะ”
“อ๋อ...เหนื่อยนะเพิ่งมาพักเมื่อกี้นี่เอง”
“แล้วคุณภูวดลล่ะครับ” อนิรุทธิ์ถามอย่างแปลกใจ
ปานดาวรีบกลบเกลื่อน
“ไปเอาน้ำให้พี่นะ แล้วเธอสองคนล่ะทำไมหยุดเต้นรำซะล่ะ กำลังสนุกออก”
“เดือนขาแพลงนะคะ...สงสัยห่างฟลอร์ไปนาน”
ปานเดือนมองอนิรุทธิ์ที่นวดขาให้อยู่
“พอแล้วละคะรุทธิ์ดีขึ้นมากแล้ว...ขอบคุณนะคะ”
อนิรุทธิ์นั่งลงข้างๆ สองคนมองไปที่ฟลอร์ ปานดาวร้อนใจแต่พยายามฝืนไว้
‘ภูจัดการเรียบร้อยหรือยังเนี่ย’
พิมรับทินภัทรมาอุ้มไว้อย่างระวัง
“รีบไปจัดการให้เร็วที่สุดนะนังพิม” ภูวดลกำชับ
“รู้แล้วล่ะน่า แล้วเงินค่าจ้างของฉันล่ะ”
“เออ...ไว้ให้เรื่องเงียบก่อนฉันจะเอาไปให้แกเอง เร็วรีบไป”
พิมพยักหน้ามองซ้ายขวา รีบลัดเลาะเข้าในเงามืดหายไป ภูวดลถอนใจโล่งอก
ในห้อง...ป้าแก้วถือเหยือกน้ำอุ่นเข้ามาในห้อง เดินไปวางไว้ที่โต๊ะชงนมจัดโน่นนี้อยู่ครู่ชะงัก ค่อยๆหันไปมองที่เตียง ป้าแก้วตกใจตาเหลือก รีบวิ่งไปยืนจนชิดเตียง
“คุณ...คุณหนู...คุณหนูหายไปไหน”
ป้าแก้วหันซ้าย หันขวามองรอบห้องอย่างลนลาน
“ตายแล้วคุณหนู...” ป้าแก้ววิ่งหน้าตื่นไป
ทางด้านภูวดล ถือแก้วน้ำส้มมาส่งให้ปานดาว
“รอนานมั้ยครับคุณดาว พอดีเจอคนรู้จักเลยทักทายกันนานหน่อย”
ปานดาวยิ้มๆไม่ตอบ พอดีปานฟ้าเข้ามานั่งกับก้องภพ ปานดาวหันไปถามก้องภพยิ้มแย้ม
“อะไรกันคะ...ยังหนุ่มยังแน่นเหนื่อยแล้วเหรอ”
“ผมนะเต้นถึงสว่างยังไหว แต่ฟ้านะสิครับบ่นเมื่อย”
เติมบุญกับสายอุษาเข้ามานั่งที่โต๊ะ เติมบุญเย้าแหย่ลูกสาว
“อ้าว...พ่อกะจะมาเต้นรำด้วยสักหน่อยนะยัยฟ้า”
ปานฟ้ารีบลุกเพราะรำคาญก้องภพ
“ถ้าคุณพ่อท้าละก็ฟ้าไหวอยู่แล้วไปค่ะ”
ปานฟ้าเข้ามาคล้องแขนเติมบุญตะลึง
“หา...เอาจริงเหรอ”
“จริงสิคะ”
ปานฟ้าฉุดแขนพ่อ เติมบุญทำท่ากระปรี้กระเปร่าลุกขึ้น
“เอ้า...แบบนี้ก็คงต้องวาดลวดลายกันหน่อย”
สายอุษาพูดขึ้นลอยๆ
“ให้ใครไปชงยาหอมเตรียมไว้ด้วยล่ะ”
ทุกคนหัวเราะกันใหญ่ ปานฟ้ากับเติมบุญกำลังจะออกไปที่ฟลอร์ ป้าแก้ววิ่งหน้าตื่นมาหอบๆ
“แย่แล้วคุณเจ้าขา...แย่แล้ว”
ทั้งหมดมองป้าแก้ว สายอุษารีบถาม
“อะไรกันแม่คนนี้หึ...โวยวายเป็นเจ็กตื่นไฟไปได้”
ป้าแก้วหายใจลึกๆ
“คุณหนู...คุณหนูค่ะ...”
ปานเดือนรีบถามอย่างตกใจ
“ทินภัทรทำไม...พูดมาเร็วสิป้า”
“คุณหนูหายไปเจ้าค่ะ”
ปานเดือนตะลึงเซจะล้ม อนิรุทธิ์รีบเข้ามาประคอง ทุกคนตะลึง
งานเลี้ยงจบลงทันที...เมื่อแขกกลับไปหมด เจ้าหน้าตำรวจได้มาตรวจหาหลักฐาน ปานดาวกับภูวดล นั่งอยู่ด้วยกันที่โซฟา ป้าแก้วนั่งร้องไห้กระซิกอยู่มุมหนึ่ง
ปานดาวรีบลุกขึ้นทันทีที่เห็นเติมบุญ เดินหน้าเครียดลงบันไดมากับตำรวจ มีปานฟ้าประคองสายอุษา อนิรุทธิ์ประคองปานเดือนตามลงมา
“คุณเติมบุญเคยมีเรื่องบาดหมาง กับใครบ้างหรือเปล่าครับ” ตำรวจถาม
เติมบุญส่ายหน้า
“ไม่มีครับ...ผมทำธุรกิจด้วยความโปร่งใสไม่เคยขัดประโยชน์กับใครเลย คุณตำรวจเช็กดูก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น อาจจะเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถ่”
“มันจะเอาเท่าไร ผมยินดีให้ขอเพียงหลานชายผมกลับมาอย่างปลอดภัย คุณตำรวจต้องช่วยเต็มที่นะครับ”
“ครับ...ระหว่างนี้เราคงต้องรอ ให้ทางคนร้ายติดต่อกลับมา”
ปานเดือนร้องไห้คร่ำครวญ
“โธ่...ทินภัทรลูกแม่...”
ปานเดือนเป็นลมไป อนิรุทธิ์เข้าประคอง
“คุณเดือน...คุณเดือน”
ปานฟ้าตกใจ
“พี่เดือน”
เติมบุญกับสายอุษาก็ตกใจ ทุกคนหันมาสนใจปานเดือน ปานดาวมองภาพความวุ่นวายโกลาหลตรงหน้าอย่างสาแก่ใจ
อนิรุทธิ์อุ้มปานเดือนมานอนในห้องเธอยังสลบอยู่ เขาบีบมือให้รู้สึกตัว ปานฟ้ากับสายอุษามองอย่างเป็นห่วง ปานดาวเข้ามาบอกอย่างกระตือรือร้น
“ภูกำลังโทรตามหมออยู่ค่ะ”
สายอุษาพยักหน้า
“คุณแม่คะ...พรุ่งนี้ฟ้าไม่อยากไปเลยค่ะ” ปานฟ้าหันไปบอกแม่
สายอุษาจับมือปานฟ้า
“ไปเถอะลูกอนาคตของลูกก็สำคัญนะจ๊ะ เรื่องทางนี้แม่เชื่อว่าทางตำรวจเขาต้องจัดการได้”
อนิรุทธิ์เห็นด้วยกับสายอุษา
“นั่นสิครับ...คนชั่วยังไง มันก็ไม่พ้นมือกฎหมายไปได้หรอก”
“เลวจริงๆ เด็กตัวเล็กๆยังจับไปได้...อย่าให้รู้นะว่ามันเป็นใครฟ้าจะไม่มีวันยกโทษให้เลย”
ปานฟ้าบอกอย่างแค้นใจ ปานดาวรีบเสริมเพราะกลัวมีพิรุธ
“จริงๆด้วย...โธ่เอ๊ยทินภัทรหลานป้าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะเฮ้อ...”
ทุกคนพากันเครียดมาก
ในบ้านเก่าๆซอมซ่อ...พ่วงหัวหน้าแกงค์ขอทาน มองทินภัทรที่นอนหลับอยู่ที่พื้น มีผ้าผืนใหญ่คลุมมิดชิดเห็นแต่หน้า
“ผู้ชาย หรือผู้หญิงว่ะนังพิม”
“ผู้ชายแล้วอย่าเสือกปากโป้งไปล่ะ”
พ่วงควักเงินออกมาส่งให้ พิมรับเงินมานับ พ่วงมองพิจารณา
“ท่าทางเป็นลูกผู้ดีมีเงินนี่หว่า แกนี่มันเก่งนะ”
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันไปล่ะ”
“แล้วไอ้ก้านผัวแกไปไหนเสียล่ะ ทำไมวันนี้ไม่มาด้วยกัน”
“โน่น...มันอยู่ในตะรางโน่น”
พ่วงหัวเราะ
“คราวนี้คดีอะไร”
“เหมือนเดิม...เสือกไปขายยาให้สายตำรวจโง่ฉิบ...”
พิมลุกขึ้นรีบเดินออกไป พ่วงตามมาปิดประตู ก่อนจะหันมามองทินภัทรที่ยังหลับอยู่
“เออเลี้ยงง่ายๆอย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เอจะตั้งชื่อให้แกว่าอะไรดีน่ะอึ่ม...บุญทิ้งก็แล้วกัน”
ภูวดลคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องนอน
“ดี...ทำงานรวดเร็วดี”
ทันใดนั้นเสียงประตูห้องเปิด ภูวดลหันมามองรีบพูด
“เออแค่นี้ก่อนนะ...”
ภูวดลกดตัดสาย ปานดาวขมวดคิ้วเข้ามา
“คุยกับใครคะภู”
ภูวดลเข้ามาใกล้ๆกระซิบ
“นังพิม...มันบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว”
ปานดาวยิ้มออก
“ดี...ฉันละสาแก่ใจจนบอกไม่ถูก ตอนที่เห็นหน้าคุณพ่อกับนังปานเดือน ที่รู้ว่าไอ้ทินภัทรหายไป สุขกันมามากแล้ว ถึงเวลาที่จะได้รู้กันเสียบ้างว่า ความเจ็บปวดนะมันเป็นยังไง”
ปานดาวหน้าเหี้ยมมาก สายตามีแต่ความจงเกลียดจงชัง ภูวดลมองปานดาวแล้วแอบยิ้มอย่างพอใจ
อ่านต่อหน้า 2
ดุจดาวดิน ตอนที่ 1 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา คุณหญิงวิมลวรรณนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสนใจ
“ไม่เห็นมีข่าวเลย...สงสัยคุณเติมบุญจะปิดข่าว อ้าวตาภพ...”
วิมลวรรณเงยมองก้องภพ ที่รีบร้อนจะออกไป
“จะไปไหนนะ”
“จะไปส่งฟ้านะครับแม่”
“แม่นึกว่าจะเลื่อนการเดินทางเสียอีก หลานชายหายไปทั้งคน”
“ผมโทรไปถามมาฟ้าเองก็ไม่อยากไป แต่คุณลุงกับคุณป้าขอร้องให้ไป”
วิมลวรรณพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ช่วยถามข่าวคราวแทนแม่ด้วย พูดให้เขารู้ว่าเราเป็นห่วงเป็นใยมากรู้มั้ย เขาจะได้มองว่าเรามีน้ำใจ”
“ครับแม่...วันนี้แม่ไม่ไปไหนใช่มั้ยครับ ผมจะให้ไอ้ช่วงขับรถไปให้รีบๆแบบนี้ไม่อยากขับเองเดี๋ยวโดนตำรวจจับ”
“ไม่ทันแล้วล่ะ พ่อแกเขาใช้ให้ขับรถไปต่างจังหวัดให้ ขี้เกียจขับทางไกลกว่าจะกลับก็พรุ่งนี้”
ก้องภพเซ็ง
“ว้า...แล้วใครจะขับให้ผมล่ะแม่”
วิมลวรรณยิ้มมีเลศนัย ก้องภพชะงักมองหน้าวิมลวรรณต่างรู้กันในที ก้องภพหัวเราะสะใจ
แม้การจราจรจะบางตา แต่ภาคินขับอย่างระวัง ก้องภพนั่งข้างหลังตะคอกใส่
“ขับเป็นเต่าคลานอยู่ได้ ฉันรีบๆๆๆแกได้ยินมั้ยขับให้มันเร็วกว่านี้หน่อย”
ภาคินข่มใจมองกระจกส่องหลัง ก้องภพมองตอบตวาด
“มองอะไร...”
ภาคินนิ่ง ก้องภพไม่เลิก
“ถ้าฉันไปส่งแฟนฉันไม่ทันล่ะก็ ฉันเอาเรื่องแกแน่ไอ้ภาคิน”
ภาคินข่มใจขับรถเร็วขึ้นตามที่ก้องภพต้องการ ก้องภพยิ้มอย่างเหนือกว่า
ที่สนามบิน...ปานฟ้าคุยอยู่กับเติมบุญและสายอุษา
“นี่ถ้าที่บ้านไม่มีเรื่อง ทุกคนก็คงมาส่งลูกกันพร้อมหน้าพร้อมตา” เติมบุญบอกเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ที่จริงฟ้าไม่อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่มาส่งด้วยซ้ำ บอกตรงๆว่าฟ้าเป็นห่วงพี่เดือน ดูพี่เดือนอาการไม่ค่อยดีเลย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกลูก ตั้งใจไปเรียนให้สำเร็จ ทางแม่เดือน พ่อรุทธิ์เขาดูแลได้อยู่แล้ว” สายอุษาบอกให้ลูกสาวสสบายใจ
“นั่นสิ..ถ้าได้ตัวทินภัทรกลับมาเมื่อไหร่ พี่สาวลูกก็คงไม่เป็นอะไรหรอก”
เติมบุญรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เครื่องออกกี่โมงล่ะ”
“อีกครึ่งชั่วโมง ฟ้าคงต้องเข้าไปข้างในแล้วล่ะคะ”
เติมบุญพยักหน้า
“เดี๋ยวฟ้าขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
“ไปเถอะลูก...พ่อกับแม่จะรออยู่ตรงนี้”
ปานฟ้าเดินไป ก้องภพวิ่งหอบๆเข้ามาทักเติมบุญกับสายอุษา
“สวัสดีครับคุณลุง...คุณป้า...” ก้องภพไม่เห็นปานฟ้าก็ตกใจ “ฟ้าเข้าไปแล้วเหรอครับ”
เติมบุญหัวเราะ
“ยังหรอกหลานชาย...ยัยฟ้าไปห้องน้ำเดี๋ยวก็มา”
ก้องภพค่อยยิ้มออกมาได้
ภาคินเดินมาเข้าห้องน้ำ เด็กนักเรียนหิ้วตะกร้าใส่กุหลาบเข้ามาดักหน้า ภาคินหยุดมอง เด็กนักเรียนหยิบกุหลาบสีแดงส่งให้ดอกหนึ่ง
“พี่ขาช่วยซื้อกุหลาบหนูหน่อยนะคะ หนูจะเอาเงินไปเป็นค่าเทอมค่ะ”
ภาคินมองอย่างสงสาร
“ดอกละเท่าไร”
“สิบบาทค่ะ”
ภาคินพยักหน้า หยิบแบงก์ยี่สิบออกมาส่งให้
“เอ้า...ไม่ต้องทอนหรอกพี่ให้...แล้วก็ตั้งใจเรียนนะ”
เด็กพนมมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ...”
ภาคินมองเด็กเดินจากไป ยิ้มอย่างสงสาร จะเดินเข้าด้านห้องน้ำชายแล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นปานฟ้าเดินออกมาจากด้านห้องน้ำหญิง
ปานฟ้าเงยหน้ามาเจอภาคินตกใจ รีบยกมือไหว้ ภาคินรับไหว้งงๆ
“ไหว้ผมทำไม...”
“ก็คุณเป็นพี่ชาย ของก้องภพไม่ใช่เหรอคะ”
ภาคินอึ้ง ยิ้มสมเพชตัวเอง
“ถ้าก้องภพได้ยินคงไม่พอใจนัก ทีหลังไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับมันไม่เหมาะ”
“ฉันโตพอที่จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า อะไรเหมาะอะไรไม่เหมาะ แล้วการตัดสินใจของฉันก็ไม่เกี่ยวกับใครด้วยโดยเฉพาะก้องภพ”
ภาคินอึ้งไปอีก ปานฟ้าไหว้อีกครั้ง
“ฉันไปละคะ”
ปานฟ้าหันหลัง ภาคินรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวครับ”
ปานฟ้าหันมามอง
“อะไรคะ”
“คุณ...ทำกิ๊บติดผมตกไว้ที่สนาม ผมเก็บได้ จะเอาไปให้แต่ไม่มีโอกาส”
ปานฟ้าดีใจ
“เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน อีกหกปีจะกลับมาเอาค่ะ ถ้าคุณไม่ทำหายไปเสียก่อน”
ภาคินอดยิ้มไม่ได้ พอเธอจะเดินไปเขารีบพูด
“ขอให้เดินทางปลอดภัยนะครับ”
ปานฟ้าหันมายิ้ม ภาคินตัดสินใจส่งดอกกุหลาบให้ ปานฟ้าเขินๆขณะรับดอกกุหลาบมาถือไว้
“ขอบคุณค่ะ”
ปานฟ้ารีบหมุนตัวกลับเดินเร็วๆไป ภาคินมองตามจนเธอเดินลับไป
ปานฟ้าเดินกลับมาหาทุกคน ก้องภพดีใจรีบเข้าไปหา
“นึกว่าจะมาไม่ทันส่งฟ้าซะแล้ว”
“ต้องมาทำไมลำบากเปล่าๆ”
สายอุษามองนาฬิกา
“จวนได้เวลาแล้วมั้งลูก”
“ค่ะ” ปานฟ้ากราบที่อกเติมบุญและสายอุษา “ฟ้าไปก่อนนะคะยังไงถ้ามีข่าวหลานช่วยบอกฟ้าด้วย”
สายอุษายิ้มให้ลูกสาว
“จ้ะลูก...”
“ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นนะยัยฟ้า คิดแต่เรื่องเรียนอย่างเดียว พ่อกับแม่จะรอความสำเร็จของลูก” บุญเติมเตือนสติ
ปานฟ้ายิ้มรับ
“ค่ะ...คุณพ่อ คุณแม่”
ปานฟ้าหันมาทางก้องภพ
“ไปก่อนนะก้องภพ ขอบใจมากที่มาส่ง”
“แล้วเมลมาคุยกันบ้างนะฟ้า”
ปานฟ้าพยักหน้า เดินเข้าไปที่ประตูทางเข้า เธออดเหลือบมองหาภาคินไม่ได้ แต่ไม่เห็น เธอก้มลงมองกุหลาบในมือ ก่อนจะหันกลับมาโบกมือให้ทุกคนแล้วตัดสินใจเดินเข้าไป
ภาคินยืนอยู่ด้านนอกสนามบิน มองเครื่องบินบนท้องฟ้านิ่งๆ ก้องภพเข้ามาด้านหลังพูดเยาะๆ
“ท่าทางแกเหมือนหมา มองเครื่องบินไม่มีผิดเลยว่ะ”
ภาคินสะอึก กำมือแน่นระงับอารมณ์เดินไปที่รถจอดอยู่ ก้องภพยิ้มเยาะเดินตามมาขึ้นรถไป ภาคินขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ภาคินขับรถไปเรื่อยๆ ก้องภพนั่งกระดิกเท้าพูดขึ้นลอยๆ
“ป่านนี้ฟ้าคงร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพราะทนคิดถึงฉันไม่ไหวแน่ๆ”
ภาคินเฉย ก้องภพชะโงกมาตรงกลางข้างๆ
“แกว่าแฟนฉันสวยมั้ยไอ้ภาคิน”
ภาคินนิ่ง ก้องภพพูดต่อโดยไม่ต้องการคำตอบ
“เสียดายจริงๆที่ยังไม่ทันได้ฟันก่อนไป แต่ก็ช่างเถอะยังไงๆยัยฟ้าก็ไม่พ้นมือฉันอยู่แล้ว”
ก้องภพถอยกลับไปนั่งกระดิกขา มองออกนอกหน้าต่าง มือภาคินกำพวงมาลัยรถแน่นเกร็งจนเส้นเลือดโปน เขาหักพวงมาลัยอย่างแรง จนก้องภพถลำไปข้างหน้า แต่มีเข็มขัดนิรภัยคาดไว้ ศีรษะชนเข้ากับข้างหน้า อย่างแรง หน้านิ่ว โวยวาย
“ไอ้บ้าเอ๊ย แกขับรถประสาอะไรว่ะ”
ภาคินตอบเรียบๆ
“ขอโทษครับ...คันหน้าแซงปาดเข้ามากะทันหัน ถ้าผมไม่หลบก็คงชน”
ก้องภพหันมองภาคิน แค้นๆ แต่เห็นภาคินหน้านิ่งมากเหมือนไม่ได้แกล้งจริงๆ ก็ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่ ภาคินสายตามีแววสะใจแวบเดียวก็กลับเป็นปกติ ตามองเครื่องบินเหนือฟ้าไกลๆเผลอยิ้มนิดๆ
บนเครื่องบิน...ปานฟ้านั่งอยู่ริมหน้าต่างมองออกไป ก่อนจะหันมามองกุหลาบที่ยังถืออยู่ในมืออดยิ้มให้ไม่ได้
คืนนั้น...ภาคินอยู่ในห้องนอน นั่งมองกิ๊บติดผมในมือ นึกถึงคำพูดของปานฟ้า
‘เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นฉันขอฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน อีกหกปีจะกลับมาเอาค่ะ ถ้าคุณไม่ทำหายไปเสียก่อน’
ภาคินยิ้มนิดๆให้กับกิ๊บติดผมในมือ ก่อนจะลงมือเปิดลิ้นชักโต๊ะหากล่องมาใส่ สักพักเขาก็หากล่องเล็กๆได้ หยิบออกมาเปิดแล้วบรรจงวางกิ๊บของปานฟ้า ลงไปในกล่องอย่างทะนุถนอม
วันใหม่...เติมบุญ สายอุษา ปานเดือน อนิรุทธิ์มาตามคดีที่โรงพัก คุยกับตำรวจอยู่ในห้องร้อยเวร
“อะไรกันคุณตำรวจ จะเป็นเดือนอยู่แล้วทำไมมันไม่มีความคืบหน้าเลย” เติมบุญตบโต๊ะด้วยอารมณ์โกรธ
“ใจเย็นๆครับ...ทางเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ทางคนร้ายก็ไม่ยอมติดต่อมาเลย แบบนี้มันคงไม่ได้คิดจะเรียกค่าไถ่แล้วล่ะครับ” ตำรวจพยายามอธิบาย
ปานเดือนเสียงสั่น
“หมายความว่ายังไงคะ”
“มันอาจจะขโมยเด็กไปเป็นลูก หรืออาจจะเป็นพวกโรคจิต ที่ชอบทำร้ายเด็กก็ได้”
ปานเดือนร้องไห้
“อะไรนะคะ”
อนิรุทธิ์พยายามปลอบ
“ใจเย็นๆคุณเดือน”
สายอุษาร้อนใจ
“ไม่มีทางอื่นเลยหรือคะคุณตำรวจ”
“ผมส่งสายสืบออกตามหาทั่วเลยนะครับ แม้กระทั่งแถวชายแดน ถ้ามันเอาเด็กไปขายละก็ ไม่รอดสายตาไปได้หรอกครับ”
จู่ๆปานเดือนก็กรี๊ดขึ้นมากแล้วสลบไป ทุกคนตกใจมาก เติมบุญกับสายอุษามองลูกอย่างสงสาร
“แม่เดือน...โธ่ เดือนลูก”
“รีบพาคุณเดือน ส่งโรงพยาบาลเถอะครับ เธอช็อกไปแล้ว”
ทั้งหมดกุลีกุจออย่างตื่นตระหนกรวมทั้งตำรวจด้วย
ปานดาวคุยโทรศัพท์ แกล้งร้องตกใจ
“ตายแล้ว...โธ่นี่ยัยเดือนจะเป็นอะไรมาก หรือเปล่าคะคุณแม่”
ภูวดลยืนฟังอยู่ข้างๆลุ้น
“รอหมอตรวจอยู่เหรอคะ...ค่ะ...เดี๋ยวดาวจะรีบไปโรงพยาบาลเลยค่ะๆๆ คุณแม่”
ปานดาวตัดการติดต่อยิ้มเยาะ ภูวดลรีบถาม
“ไงคุณ ถึงกับเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอ อาการเป็นไง”
“ยังไม่รู้ แต่ฉันภาวนาขอให้มันเป็นบ้าไปเลยยิ่งดี”
ปานดาวยิ้มเยาะอย่างร้ายกาจสุดๆ
ปานเดือนนอนซึมอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่มองหน้าใครไม่พูดจา ทุกคนกังวลมาก สายอุษาหันมามองหมอ
“ทำไมลูกสาวฉัน เป็นแบบนี้ล่ะคะหมอ”
“จากการตรวจร่างกายทั้งหมด คุณปานเดือนก็ปกติดี”
เติมบุญสงสัย
“หมายความว่ายังไง”
“ผมคิดว่า น่าจะเป็นอาการทางจิตใจมากกว่าครับ”
อนิรุทธิ์ตกใจ
“อะไรนะครับคุณหมอ คุณเดือนมีอาการทางจิตเหรอครับ”
หมอพยักหน้า
“หมออยากแนะนำ ให้พาคนไข้ไปพบจิตแพทย์ให้เร็วที่สุด”
ทุกคนตกใจ สายอุษาจับแขนปานเดือนคร่ำครวญ
“โธ่แม่เดือนของแม่...เวรกรรมอะไรถึงต้องมาเป็นอย่างนี้”
เติมบุญแน่นหน้าอก ทำท่าจะทรุด อนิรุทธิ์หันมาเห็นร้องตกใจ
“คุณพ่อ...”
หมอรีบเข้ามาช่วยประคอง ทุกคนวุ่นวายโกลาหลกันยกใหญ่
เติมบุญนอนนิ่งอยู่บนเตียง ในห้องพักผู้ป่วยสายอุษานั่งอยู่ข้างเตียง มองแล้วหันมาพูดกับอนิรุทธิ์
“แม่เดือนก็แย่ คุณพี่ก็โรคหัวใจกำเริบ”
“ตั้งสติไว้นะครับคุณแม่” อนิรุทธิ์ปลอบ
สายอุษาถอนใจ
“ทุกอย่างมันเกิด เพราะทินภัทรหายไปแท้ๆ”
อนิรุทธิ์หน้าเศร้าสลดลง
“ใช่ครับ ถ้าตามลูกกลับมาได้ทุกคนคงดีขึ้น”
สายอุษาหน้าเครียดหนักใจ
“แล้วเราจะไปตามทินภัทรได้ที่ไหนล่ะ ขนาดตำรวจยังไม่เจอเลย”
“ยังไงๆ ผมก็ต้องตามทินภัทรกลับมาให้ได้”
อนิรุทธิ์น้ำตาคลอ แต่ใบหน้าและสายตาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ภูวดลกับปานดาวมาหาพิมที่ห้องเช่าเก่าๆ แล้วส่งเงินให้ พิมกระตุกเงินจากมือภูวดลไป
“นึกว่าจะไม่ได้ซะแล้ว หายหัวไปเลยนะพี่”
“ก็บอกแล้วไงว่าต้องรอให้เรื่องมันเงียบซะก่อน ว่าแต่แกก็ได้เงินที่ขายไอ้ทินภิทรไป ใช้หมดแล้วเหรอไง”
“ไม่หมดได้ไง ก็ตอนนี้ฉันต้องทำมาหากินคนเดียว ไม่ได้สุขสบายเหมือนพี่นี่นา”
พิมมองปานดาวอย่างไม่ชอบหน้า
“กลับเถอะภู...อึดอัดจนหายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว” ปานดาวรำคาญลุกขึ้น
พิมมองหมั่นไส้ ปานดาวจ้องพิม
“จำไว้น่ะอย่าเผลอไปหลุดปากเรื่องนี้เด็ดขาด ต่อให้เธอเป็นน้องของภูฉันก็เอาตายแน่”
พิมกระแทกเสียง
“รู้แล้วล่ะค่ะ”
พิมลุกตาม แล้วเซจะล้มภูวดลรีบรับ
“แกไม่สบายเหรอนังพิม”
“อาการปกติของคนท้องน่ะไม่เป็นไรหรอก นี่ก็ยังคิดๆอยู่ว่าจะไปเอาออกแต่ก็กลัวๆกล้าๆอยู่เนี่ย ขืนออกมาก็จะพากันอดตาย”
พิมส่ายหัวเซ็งๆ ภูวดลมองพิมอย่างครุ่นคิด
ภูวดลขับรถมาจอดริมถนน หันไปบอกปานดาวว่าจะเอาลูกของพิม มาเลี้ยงเป็นลูกตัวเอง ปานดาวฟังแล้วตกใจ
“อะไรนะ...คุณพูดใหม่สิ”
ภูวดลยิ้มอย่างมีแผน
“ผมบอกว่า...เราน่าจะเอาลูกนังพิมมาเป็นลูกของเราเสีย...ตอนนี้ทินภัทรก็ไม่อยู่แล้วถ้าคุณมีลูกแล้วเกิดเป็นลูกชาย สมบัติพ่อคุณจะไปไหนเสีย”
ปานดาวคิดตามอย่างเริ่มสนใจ
“แล้วน้องคุณจะยอมเหรอ”
“นังพิมน่ะไม่มีปัญหาแน่...มันเองก็ไม่อยากได้ลูกอยู่แล้ว”
“แล้วท้องฉันล่ะ...จะทำยังไงไม่ให้ใครๆสงสัย”
“ไม่ยาก...ไอ้เรื่องที่ผมเป็นหมันก็ไม่มีใครรู้...กลับไปนี่คุณก็แกล้งทำเป็นแพ้ท้อง แล้วก็บอกใครๆว่าท้อง จากนั้นก็ขอคุณแม่ไปเมืองนอก อ้างว่าแพ้อากาศเมืองไทยหรืออะไรก็ได้ รอจนนังพิมคลอด เราก็อุ้มเด็กกลับมาอุปโลกน์ว่าเป็นลูกเรา ใครจะมาสงสัย...”
ปานดาวพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่เลว...แต่ถ้าถึงตอนนั้น นังพิมมันเกิดเสียดายลูกขึ้นมาล่ะ”
“ก็ให้มันมาอยู่กับลูกมันก็ได้นี่...ให้มันเป็นคนเลี้ยงเด็กก็ได้”
“แน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหา”
“นังพิมนะถึงมันจะล้นๆไปบ้าง แต่มันก็เกรงผมมาก ผมรับรองว่ามันไม่ทำให้เราเดือดร้อนหรอก คุณว่าไง...คุณดาว”
ปานดาวคิดหนัก ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
สองปีต่อมา....ปานฟ้านั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค คุยกับอนิรุทธิ์กับสายอุษาผ่านเว็บแคม
“ฟ้าผอมไปนะลูก”
“นิดหน่อยค่ะแม่ ใกล้จะสอบแล้วช่วงนี้ฟ้าอยู่ดูหนังสือดึกๆทุกคืน แล้วพี่เดือนละค่ะ”
อนิรุทธิ์มองสายอุษา ก่อนจะรีบพูดยิ้มแย้ม
“หลับไปแล้วจ้ะ”
“ว้าทุกทีเลย ไม่ได้คุยกับพี่เดือนสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นฟ้าฝากบอกพี่เดือนด้วยนะคะว่าให้หายเร็วๆ คุณพ่อล่ะคะคุณแม่”
“อ๋อ...คุณพ่อไปงานเลี้ยงนะจ้ะ นี่ก็บ่นถึงลูกอยู่บ่อยๆ”
“ก็ยังดีนะคะ ที่พี่ดาวมีธัญวิทย์มาช่วยแก้เหงา ให้คุณพ่อหายคิดถึงทินภัทรได้บ้าง”
สายอุษาอึ้งๆไปเมื่อนึกถึงธัญวิทย์ ลูกชายของปานดาว อนิรุทธิ์รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ตกลงปิดเทอมนี้ ฟ้าจะไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ...ฟ้าได้งานก็เลยอยากลองทำดู จะได้เป็นประสบการณ์ด้วย อีกอย่างฟ้าเสียดายค่าเครื่องบินนะคะ เอ้อจริงสิธัญวิทย์กี่ขวบแล้วคะ”
“ขวบกว่าๆแล้วจ้ะ”
“คงกำลังน่ารักน่าดูเลย”
สองคนยิ้มเจื่อนๆ แต่ปานฟ้าไม่ทันสังเกต
ธัญวิทย์ ปัดจานข้าวตกกระจายร้องงอแง
“ไม่กินๆๆๆ”
พิมมองอย่างเหลืออด จะเข้ามาตี
“ไอ้เด็กบ้าดื้อชะมัด...ตีซะทีดีมั้ยเนี่ย”
“หยุดนะนังพิม” เสียงปานดาวดังขึ้น
พิมชะงัก ปานดาวเข้ามาอุ้มธัญวิทย์ไป
“แกจะทำอะไรคุณธัญวิทย์”
“ไม่ทำอะไรหรอกค่ะ...แต่คุณดูสิคะ...ดื้อเป็นบ้าเลยพิมจะไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ถ้าแกไม่ไหวก็ไสหัวไป”
พิมชะงัก ปานดาวมองหน้า
“แต่ถ้าแกจะอยู่ต่อ ก็ต้องทำให้ได้ และอย่าบังอาจมาแตะต้องลูกฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแกโดนดีแน่นังพิม”
ปานดาวอุ้มธัญวิทย์เดินไป พิมมองเยาะ
“ลูกฉันๆๆเชอะ...พูดได้ไม่อายปาก นี่ถ้าไม่เห็นแก่สมบัติไอ้แก่ล่ะก็ นังพิมไม่อยู่ให้สับโขกอย่างนี้หรอก”
พิมถอนใจอย่างหัวเสีย
ปานฟ้าปิดโน้ตบุ๊คลงมา หยิบหนังสือเดินมาที่เตียงจะอ่าน เปิดไปเจอดอกกุหลาบที่ทับไว้จนแห้ง เธอหยิบดอกกุหลาบออกมาดูมองยิ้มๆพึมพำ
“ป่านนี้เจ้าของกุหลาบดอกนี้ จะยังเก็บกิ๊บของเราไว้ให้หรือเปล่าน้า”
ปานฟ้าลุกเดินไปยืนมองนอกหน้าต่าง เหมือนจะมองข้ามขอบฟ้าไปให้ถึงเมืองไทย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...ภาคินมองกิ๊บในมือแล้วยิ้มๆ
“สองปีแล้วสิ...เหลืออีกสี่ปีกว่าเจ้าของเขาจะมาเอาคืน หรือไม่ป่านนี้เขาก็ลืมเจ้าแล้วล่ะเจ้ากิ๊บน้อย”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาคินรีบวางกิ๊บลงในกล่องเก็บใส่ลิ้นชักตามเดิม เดินไปเปิดประตูเห็นป้านุ่มยืนอยู่
“ป้า...มีอะไรเหรอครับ”
“คุณพ่อให้มาตามคุณหนูไปพบค่ะ”
ภาคินแปลกใจ
เมื่อภาคินมาพบอานนท์ที่ห้องทำงาน เขาถามเสียงอ่อนโยน...
“เรียนจบแล้วสินะเรา”
“ครับ”
“ดีแล้วจะได้มาช่วยงานที่บริษัท เริ่มพรุ่งนี้เลยดีมั้ย ไปพร้อมพ่อก่อน แล้วพ่อจะดูรถดีๆให้ใช้สักคัน”
ภาคินมองหน้า พูดอย่างเกรงใจแต่เด็ดเดี่ยว
“ผมได้งานแล้วครับ”
อานนท์หน้าเปลี่ยนเป็นเครียด
“งานอะไร”
“เป็นอาสาสมัครมูลนิธิเด็กกำพร้าครับ”
อานนท์ส่ายหน้า
“นึกยังไงจะไปทำงานแบบนั้น บริษัทเราก็มีแกน่าจะมาช่วยพ่อมากกว่า”
ทันใดนั้นเสียงวิมลวรรณดังเข้ามา
“จะไปฝืนใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำไมกันคะ”
วิมลวรรณเข้ามานั่งข้างๆอานนท์
“ควรจะให้เจ้าตัวเขาทำงานที่ใจรักมากกว่า ฉันว่างานที่เขาอยากทำก็เหมาะสมกับตัวเขาอยู่แล้ว” วิมลวรรณเน้นเยาะๆ “มูลนิธิเด็กกำพร้า ไม่เลว...ไม่เลวทีเดียว”
วิมลวรรณหัวเราะเหมือนกับขำมาก ภาคินนิ่งอย่างพยายามข่มความรู้สึก
ภาคินเดินมาหยุดหอบๆ เพราะพยายามข่มอารมณ์สุดๆ เขาเงยหน้ามองดาวบนฟ้า ส่ายหน้าถามอย่างอัดอั้น
“แม่ครับ...แม่อยู่ที่ไหนทำไมแม่ถึงทิ้งผมไป...ทำไม...ทำไม”
ภาคินทรุดลงคุกเข่าอยู่กับพื้น ป้านุ่มเข้ามาจับที่บ่า ภาคินหันมามอง
“ป้านุ่ม...”
ป้านุ่มคุกเข่าลงข้างๆ น้ำตาคลอ
“อดทนไว้นะคะคุณหนู เชื่อป้าเถอะค่ะว่า คนดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายย่อมคุ้มครอง สักวันคุณหนูก็ต้องได้รับสิ่งดีๆตอบแทน”
“ผมไม่ต้องการอะไรเลยครับป้านุ่ม ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงผมขอให้แม่กลับมาหาผม อย่าทิ้งผมไปอย่างนี้ ผมก็พอใจแล้ว”
“แม่ของคุณหนู ไม่ได้อยากทิ้งคุณหนูไปหรอกนะคะ”
ภาคินชะงัก ถามละล่ำละลัก
“ป้า...ป้ารู้จักแม่ของผมเหรอครับ ป้ารู้เรื่องแม่ใช่มั้ย...ใช่มั้ยครับป้านุ่ม”
ภาคินมีความหวัง ป้านุ่มอึกอักรีบส่ายหน้า
“ป้าไม่รู้หรอกค่ะ...เพียงแต่ป้าเชื่อว่าคนเป็นแม่ ไม่มีวันที่จะทิ้งลูกของตัวเองหรอก ถ้ามันไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ”
ภาคินก้มหน้าหมดหวัง ป้านุ่มได้แต่มองอย่างสงสารจับใจ
วิมลวรรณจ้องอานนท์ตาเขียว
“ทำไมฉันแตะต้องมันไม่ได้เลยเหรอ”
“ผมไม่เข้าใจคุณจริงๆ ทำไมคุณชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ คุณมีความสุขมากนักเหรอคุณหญิง กับการที่ได้พูดจากระทบกระแทกแดกดันผมกับภาคิน”
“ฉันไม่ได้มีความสุข ฉันมีแต่ความเจ็บปวดที่โดนผัวตัวเองสวมเขาให้”
อานนท์ข่มใจ
“ผมขอโทษคุณกี่ร้อยหนแล้ว”
“อ๋อ...คุณนึกว่าแค่ขอโทษ มันก็ลบล้างความชั่ว ที่คุณกับนังบุษบาร่วมมือกันทำร้ายจิตใจฉันได้อย่างงั้นเหรอ”
ภาคินเดินผ่านหน้าห้องมาถึงชะงักฟัง ทันใดนั้นประตูเปิดออกมาอย่างแรง ภาคินรีบหลบเข้าหลังประตู เขาเห็นพ่อเดินหัวเสียออกไป เสียงวิมลวรรณยังดังตามออกมาอย่างแค้นๆ
“ไปเลยจะไปลงนรกที่ไหนก็ไปเลย...ไป๊”
ภาคินสีหน้ามีความหวังขึ้น พึมพำออกมา
“บุษบา...แม่ชื่อบุษบา”
ค่ำคืนนั้น....เสียงดนตรีและเสียงร้องลิเกจากด้านหน้าเวทีดังจนมาถึงด้านหลัง นักแสดงคนอื่นๆ เตรียมการแสดงอยู่
บุษบาที่เวลานี้เปลี่ยนใหม่ชื่อเป็นกัญญา เปิดนิตยสารฉบับหนึ่งค้างไว้ ภาพในนิตยสารเป็นภาพของวิมลวรรณ อานนท์ และก้องภพ ถ่ายรูปครอบครัวด้วยสีหน้าและท่าทางอบอุ่นร่วมกันแต่ไม่มีรูปของภาคิน เธอไล้มือไปที่ภาพนั้น น้ำตารื้น รีบเปิดอ่านข้อความสัมภาษณ์อย่างรวดเร็วแล้วเงยหน้าขึ้น พึมพำกับตัวเอง
“ทำไมไม่มีลูกแม่...” กัญญาน้ำตาคลอ “ไม่มีใครพูดถึงลูกเลยสักคนหรือว่า...โธ่ลูก”
กัญญาร้องไห้ ถมเดินเข้ามา
“ถึงคิวแล้วแม่กัญญา อ้าว...ร้องไห้อีกแล้ว”
กัญญารีบเช็ดน้ำตา
“คิดถึงลูกอีกล่ะสิ”
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละพี่”
กัญญาจะลุก ถมจับมือไว้ มองอย่างเห็นใจมาก
“ลูกแม่กัญญาก็ตายไปนานแล้ว หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ เห็นเธอโศกเศร้าบ่อยๆ อย่างนี้ฉันเป็นห่วงนะ”
ช้อยเป็นนางร้ายประจำคณะแต่งชุดลิเกอยู่มุมหนึ่ง ชะงักหยุดมองอย่างไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดไป กัญญาดึงมือออกอย่างสุภาพ
“จ้ะ...พี่ขอบใจมาก”
กัญญารีบเดินออกไป ถมถอนใจพึมพำ
“เมื่อไรเธอจะยอมใจอ่อนกับฉันซะทีนะแม่กัญญา”
ช้อยยืนมองกัญญา เดินมาถึงอย่างหมั่นไส้พูดขึ้นลอยๆ ปรายตาไปทางถม
“เคยเห็นแต่นางเอก ต้องคอยง้องอนเจ้าของคณะ เพิ่งจะเห็นคณะนี้แหละที่เจ้าของต้องคอยงอนง้อเอาใจแม่นางเอก อีกหน่อยคงต้องกราบให้มาเล่นเลยละมั้ง”
กัญญาชะงัก แล้วตัดใจไม่สนเดินผ่านช้อยไปข้างเวทีเตรียมตัวขึ้นแสดง ช้อยยังพูดต่อ
“พี่ถม ก็ช่างกระไร สาวๆสดๆไม่สน สนแต่พวกแตงเถาตายอย่างนังกัญญาเชอะ”
กัญญาหันกลับมาแต่ช้อยเดินเชิดไป กัญญาได้แต่ถอนหายใจข่มใจตัวเองไม่ให้โกรธ
เมื่อออกไปหน้าเวที...กัญญาร้องลิเกตามบทบาท เสียงร้องไพเราะจับใจผู้ชม จนผู้ชมปรบมือให้ ถมโผล่หน้าออกมาดูจากด้านข้างของโรงลิเก
“เพราะจริงๆ แฟนลิเกของแม่กัญญานี่เหนียวแน่นจัง ไปแสดงที่ไหน คนเยอะทุกที่”
ที่ด้านข้างเวทีอีกข้างหนึ่ง ช้อยมองดูกัญญาร้องลิเกด้วยสายตาหมั่นไส้
“หมั่นไส้ สักวันฉันจะเฉดหัวแกออกจากคณะนี้ให้ได้”
ช้อยคำรามในลำคอ
อ่านต่อหน้า 3
ดุจดาวดิน ตอนที่ 1 (ต่อ)
เช้าวันต่อมาป้านุ่มถือตะกร้าออกมาจากบ้าน เดินมองหารถพึมพำ
“วันนี้พวกวินมอเตอร์ไซค์ มันหายหัวไปไหนหมด”
เสียงกัญญาเรียกดังมาเบาๆ
“พี่นุ่ม...พี่นุ่ม”
ป้านุ่มหันซ้ายขวา
“ใครเรียก”
ป้านุ่มตาโต เมื่อเห็นกัญญาแอบอยู่มุมหนึ่ง ป้านุ่มรีบลนลานเข้าไปหา
“แม่บุษบา...นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
“ฉันเองจ้ะพี่นุ่ม”
ป้านุ่มมองซ้ายขวาร้อนรน
“ไปหาที่คุยกันที่อื่นเถอะ...ไปเร็ว”
กัญญาพยักหน้าเห็นด้วย
ในตลาดสด...ผู้คนจับจ่ายซื้อของกันมากมายมากมาย กัญญากับป้านุ่มนั่งคุยกันอย่างตื่นเต้น อยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ
“ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอกันอีก นี่แม่บุษไปอยู่ที่ไหนมาล่ะ แล้วยังเล่นลิเกอยู่หรือเปล่า หรือทำมาหากินอะไร โอ๊ย...ฉันดีใจจริงๆ”
“ฉันก็ยังเล่นลิเกเหมือนเดิม แต่อยู่ไม่ค่อยเป็นที่เป็นทางหรอกจ้ะ ที่ไหนเล่นดีก็ปักหลักนานหน่อย ถ้าไม่มีคนก็เร่ไปเรื่อยแล้วแต่เจ้าของคณะเขา”
ป้านุ่มพยักหน้าน้ำตาไหล
“ลำบากแย่สินะแม่คุณเอ๊ย...ดูผอมดำไปนะ”
กัญญาตื้นตันพูดไม่ออกน้ำตาไหลเหมือนกัน ป้านุ่มรีบเช็ดน้ำตา
“เออแล้วมานี่ มีอะไรเดือดร้อนหรือเปล่า”
ป้านุ่มควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจะเปิดหยิบเงิน
“ฉันก็ไม่มีเงินติดตัวมามากนัก แค่เอามาซื้อกับข้าว แม่บุษเอาไปก่อนก็แล้วกัน”
กัญญารีบห้าม
“ฉันไม่ได้มาหาพี่นุ่มเพราะเรื่องเงินหรอกจ้ะ”
ป้านุ่มชะงัก กัญญารีบพูดต่อ
“ฉันอยากรู้ข่าวคราวเรื่องลูก...เขาเป็นยังไงบ้างป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้วสิน่ะ”
ป้านุ่มอึ้งมองกัญญา ที่ร้องไห้ออกมาอีกอย่างสงสาร
“ลูกคงโกรธและเกลียดฉันมาก” กัญญาบอกอย่างเสียใจ
“ไม่หรอก...คุณหนูแค่เสียใจ เพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมแม่บุษ ถึงต้องทิ้งเธอไป”
ป้านุ่มมองกัญญา ที่กำลังร้องไห้อย่างสงสาร
“ฉันเองก็น้ำท่วมปาก จะพูดอะไรก็ไม่ได้ แม่บุษก็คงเข้าใจฉันนะ”
“ฉันเข้าใจดีจ้ะพี่นุ่ม ยังไงฉันก็ฝากภาคินด้วย ฉันมันคนมีกรรมมีลูกก็ไม่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูเขาเลย”
ป้านุ่มนึกขึ้นได้ หยิบกระเป๋าเงินออกมา ดึงรูปถ่ายภาคินครึ่งตัวออกมายื่นให้
“นี่ไงรูปคุณหนู ตอนเรียนจบเห็นว่าต้องไปถ่ายติดใบสมัครงานอะไรนี่ละ เอามาอวดฉัน ฉันก็เลยขอไว้ เอ้าฉันให้แม่บุษ”
กัญญาดีใจมากรับรูปมามือสั่น ตาจ้องรูปภาคินอย่างปลื้มใจ
“ภาคิน...โตเป็นหนุ่มขนาดนี้เชียวเหรอ”
“โอ๊ย...รูปร่างสูงใหญ่ดูสิได้เค้าหน้า ทั้งพ่อทั้งแม่มาเชียว”
กัญญาค่อยๆเอามาแนบอกอย่างทะนุถนอม ป้านุ่มมองแล้วเบือนหน้าไปเช็ดน้ำตาอย่างสะเทือนใจ
ภาคินอยู่ในห้องทำงานของมูลนิธิเด็กเร่ร่อน เขากำลังดูแฟ้มประวัติของเฟื่องแก้วที่มาสมัครงานอย่างพอใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเธอที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ผมพอใจประสบการณ์ของคุณมาก”
เฟื่องแก้วตาโต
“หมายความว่า...”
ภาคินลุกขึ้นยื่นมือไปตรงหน้า
“ยินดีที่เราจะได้ร่วมงานกัน”
เฟื่องแก้วรีบยกมือไหว้ มองภาคินหน้าแดง
“ขอบคุณมากค่ะ...แก้วจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด”
“ผมเชื่อ...ว่าแต่คุณจะเริ่มงานได้เมื่อไร”
“เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
ภาคินงง
“แต่คุณต้องพักอยู่ที่นี่นะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ตอนเลิกงานแก้วจะกลับไปเอากระเป๋าที่หอพัก แก้วอาศัยเพื่อนอยู่น่ะค่ะ”
ภาคินพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ทำความรู้จักกับเด็กๆก่อน ส่วนเรื่องตารางกิจกรรมต่างๆอยู่ที่ห้องด้านนอกคุณลองไปศึกษาดูไม่เข้าใจอะไรก็มาถามผมได้”
“ค่ะ...คุณภาคิน”
ภาคินก้มหน้าทำงานต่อ เฟื่องแก้วมองเขาอย่างพอใจมาก
เมื่อออกมานอกห้อง เฟื่องแก้วเดินมาหยุดเคลิ้มๆ หันไปมองทางห้องทำงานของภาคิน
“หล่อจัง...ฮึ่ม...”
เฟื่องแก้วหันกลับมาจะเดินต่อชนกับตุลย์เต็มแรง
“โอ๊ย...”
เฟื่องแก้วเซจะล้ม ตุลย์รีบคว้าเอวไว้ดึงเข้ามากอด แล้วมองตาเฟื่องแก้วอย่างซึ้งมาก เขาครุ่นคิดในใจ
‘โอโห...เหมือนในละครเลยแหะ...สงสัยจะเป็นเนื้อคู่เราแน่ๆ’
เฟื่องแก้วได้สติ ผลักเขาออกเต็มแรง แถมตบหน้าฉาดใหญ่
“หน่อยแน่...แตะอั๋งฉันเหรอไอ้บ้า”
ตุลย์ตะลึงลูบแก้มอย่างงงๆกลืนน้ำลายพึมพำ
“ไม่เห็นเหมือนในละครเลย”
ภาคินเข้ามาด้านหลังทักเสียงดัง
“อ้าวหมวดตุลย์...สวัสดีครับ”
ตุลย์กับเฟื่องแก้วหันไปมองภาคิน
“สวัสดีคุณภาคิน”
“แก้วรู้จักร้อยตำรวจตรีตุลย์ พิบูลย์รังสรรค์ไว้สิ หมวดทำหน้าที่ประสานงานกับมูลนิธิเรา...นี่คุณเฟื่องแก้วครับหมวดเจ้าหน้าที่คนใหม่” ภาคินแนะนำ
เฟื่องแก้วยิ้มเจื่อนๆ
“เอ้อ...ขอโทษนะคะหมวด...ฉัน...”
ตุลย์รีบยิ้มหน้าทะเล้น
“ไม่เป็นไรครับ...ผมถือว่าฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน”
ภาคินงงๆ
“พูดเรื่องอะไรกันครับเนี่ย...”
สองคนสบตากันแล้วขำ ภาคินมองอย่างไม่เข้าใจ
ภาคินเดินนำตุลย์เข้าไปในห้อง แล้วหัวเราะเสียงดัง
“ก็วันนี้หมวดไม่ได้ใส่เครื่องแบบ แก้วเขาคงนึกว่าพวกโรคจิต ชอบฉวยโอกาสกับผู้หญิงล่ะมั้ง”
ตุลย์ตาเหลือก
“นี่หน้าตาผม เหมือนไอ้พวกโรคจิตอย่างงั้นเหรอ”
ภาคินขำมากขึ้น
“เปล่าๆผมไม่ได้หมายความว่ายังงั้น”
ตุลย์มองค้อน ภาคินพยายามหยุดหัวเราะ
“ว่าแต่หมวดมานอกเครื่องแบบอย่างนี้ สงสัยไปสืบอะไรเด็ดมาอีกล่ะสิท่า”
ตุลย์เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ผมกำลังตามตัวไอ้หัวหน้าใหญ่มันอยู่ ไอ้นี้มันร้ายมาก จับกี่ทีก็ได้แต่พวกกระจิ๊บกระจ้อย ส่วนตัวมันหนีไปได้ทุกที เจ้าหน้าที่ชุดเก่านะล่ามันมาหลายปีแล้ว”
“ไม่ว่าจะกี่ปี เราก็ต้องกำจัดพวกขยะสังคมพวกนี้ให้หมด ไม่อย่างนั้นจะต้องมีเด็กที่ถูกลักพามาใช้แรงงานอย่างทารุณอีกนับไม่ถ้วน” ภาคินบอกอย่างจริงจัง
“ถูก...คุณนี่อุดมการณ์แรงกล้าจริงๆ อย่างนี้สิเราถึงร่วมมือกันได้”
“แล้วไอ้ตัวหัวหน้านี่มันชื่ออะไรครับหมวด”
“ไอ้พ่วง...”
แม้จะรู้ตัวหัวหน้า แต่การจับกุมไม่สามารถทำได้ในช่วงเวลานั้น...
หลายปีต่อมา...ค่ำคืนหนึ่ง พ่วงนั่งรอรับเงินอยู่ในบ้าน เด็กๆหน้าตามอมแมมเข้าแถวมาส่งเงินที่หาได้ทั้งวันให้ พ่วงรับเงินจากเปี๊ยกยิ้มพอใจ
“แจ๋วมากไอ้เปี๊ยก วันนี้แกได้กินข้าวอิ่มแน่”
เปี๊ยกยิ้มออกเดินหลบไป บุญทิ้งเป็นรายต่อไป ส่งเงินให้น้อยนิด พ่วงรับมาแล้วตวาดเสียงดัง
“ไอ้บุญทิ้ง...ทำไมได้แค่นี้ว่ะ...อมเงินข้าเหรอ”
บุญทิ้งรีบปฏิเสธอย่างกลัวๆ
“เปล่านะลุง...วันนี้ฉันหาได้แค่นี้จริงๆ”
พ่วงลุกขึ้นกระชากบุญทิ้งมาค้นทั่วตัวอย่างไม่ปรานี แต่ไม่เจอก็โมโหมาก
“เฮ้ย...นี่มันยังได้ไม่ถึงครึ่งของทุกวันเลย แกอู้หรือเปล่าไอ้บุญทิ้ง”
“เปล่านะลุง ฉันไม่ได้อู้แต่วันนี้ไม่มีใครให้ฉันเลย”
“ไม่จริง...แกนะมันตัวทำเงินจะตาย ใครเห็นแกเขาก็อยากให้ทั้งนั้น แกต้องอู้แน่ๆไอ้เด็กเวรนี่คิดจะลองดีกับข้าใช่มั้ย”
พ่วงกระชากบุญทิ้งมาตีอย่างไม่ฟัง บุญทิ้งร้องลั่น
“โอ๊ย...ลุงพ่วง ฉันเจ็บ...โอ๊ย”
บุญทิ้งได้แต่วิ่งหนีไปรอบๆตัวพ่วง เพราะพ่วงกระชากเสื้อไว้มือหนึ่งอีกมือก็ตีตามตัวไม่หยุด
“มานี่ มาให้ข้าตีซะดีๆ ไอ้ทิ้ง...จับตัวได้ เอ็งหลังลายแน่ ไอ้ทิ้ง”
กลางดึก...บุญทิ้งนั่งกอดเข่าร้องไห้สะอื้นอยู่มุมหนึ่ง เปี๊ยกย่องๆออกมายื่นชามข้าวให้ บุญทิ้งรีบรับมากินอย่างหิวโหย กินไปปาดน้ำตาไป เปี๊ยกมองอย่างสงสาร
“เอ้า...ช้าๆเดี๋ยวก็ติดคอตายหรอกไอ้บุญทิ้ง”
บุญทิ้งชะงักทำท่าติดคอขึ้นมาจริงๆ วางชามรีบวิ่งไปที่ตุ่มคว้าขันตักน้ำมากินทำท่าโล่งอก เดินกลับมานั่งหงอยๆ มองเปี๊ยกแล้วถามเบาๆ
“ทำไมลุงพ่วงแกใจร้ายกับพวกเราจัง”
เปี๊ยกทิ้งตัวนั่งลงถอนใจ
“ก็เพราะเราไม่ใช่ลูกใช่หลานเขานี่”
“แล้วทำไมเราต้องอยู่กับลุงพ่วงด้วยล่ะ ทำไมเราไม่หนี”
เปี๊ยกรีบหันมาเอามือปิดปากบุญทิ้ง ห้ามอย่างตกใจ
“เอ็งอย่าไปพูดให้ลุงพ่วงได้ยินนะไอ้บุญทิ้ง เอ็งตายแน่”
เปี๊ยกปล่อยมือ บุญทิ้งแหงนมองฟ้าเห็นไฟเครื่องบินไกลๆ
“ฉันอยากให้มีนางฟ้า เหาะลงมาช่วยพวกเราจังเลย ฉันอยากไปให้พ้นจากที่นี่”
เปี๊ยกมองตาม
“เฮ้อ...นางฟ้าที่ไหนวะไอ้บุญทิ้งมาทางเครื่องบิน รีบกินๆเข้าจะได้ไปนอนพรุ่งนี้ต้องไปหาเงินแต่เช้า ลุงพ่วงแกยิ่งคาดโทษเอ็งไว้อยู่”
บุญทิ้งคว้าชามมากินข้าวอย่างฝืดคอ
ปานฟ้ากลับจากต่างประเทศ หลังจากำเร็จการศึกษา เมื่อมาถึงบ้าน เธอรีบตรงไปที่ห้องของเติมบุญ เธอเข้าไปกราบพ่อที่นอนอยู่บนเตียง สายอุษามองอย่างดีใจ เติมบุญลูบหัวลูกสาว
“กลับมาเสียทีนะฟ้า ที่นี้พ่อก็คงหมดห่วงเรื่องงานเสียที”
“ทำไมไม่มีใครบอกฟ้าเลยว่า คุณพ่อไม่สบายมากขนาดนี้”
ปานฟ้าหันมาหาแม่ เติมบุญรีบบอก
“พ่อเป็นคนสั่งเองล่ะยัยฟ้า ไม่อยากให้ลูกกังวลจนไม่เป็นอันเรียน”
“อาการคุณพ่อทรงๆทรุดๆนะลูก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรมารบกวนใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่คุณหมออยากให้คุณพ่อพักเยอะๆ” สายอุษาอธิบาย
เติมบุญหันมองลูกสาว
“แล้วทำไมไม่บอกล่วงหน้า มาคนเดียวมืดๆค่ำแบบนี้มันอันตรายนะลูก”
“ก็ฟ้าอยากจะมาเซอร์ไพรส์น่ะสิคะ...เอ้อแล้วพี่เดือนละคะเป็นยังไงบ้าง”
สายอุษากับเติมบุญหน้าเศร้า
ปานเดือนอยู่ในห้องนอน มองปานฟ้าเหม่อๆ ดวงตาเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย อนิรุทธิ์กับสายอุษาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ปานฟ้ามองพี่สาวอย่างเศร้าสลด
“พี่เดือนเป็นมากขนาดนี้เชียวเหรอคะ”
“นี่ถือว่าดีขึ้นแล้วนะฟ้า ใหม่ๆมีอาละวาด กรีดร้อง บางทีดึกๆก็ลุกขึ้นมาร้องไห้ แต่หลังๆมานี่แค่ซึมๆเศร้าๆ” อนิรุทธิ์เล่า
“แล้วพาไปหาหมอต่อเนื่องหรือเปล่าคะ”
“แม่ให้จิตแพทย์มาดูแกทุกเดือน”
“หมอว่ายังไงบ้างคะ”
“ก็เป็นอาการทางจิตที่ไม่ยอมรับความจริง คุณเดือนจะเพ้อถึงทินภัทรอยู่เรื่อย หมอแนะนำให้พาไปไหนๆบ้างเพื่อผ่อนคลาย และอย่าพยายามพูดถึงเรื่องเก่าๆไม่อย่างนั้นจะไปกระตุ้นให้คุณเดือนคลั่งขึ้นมาได้”
ปานฟ้าจับมือพี่สาวไว้
“โธ่...พี่เดือน ฟ้ากลับมาแล้วนะคะ...ฟ้าจะต้องหาหลานให้เจอให้ได้”
ขณะเดียวกัน พิมแอบดูอยู่หน้าห้องอย่างตื่นเต้น รีบกลับไปบอกให้ปานดาวรู้
“อะไรนะ” ปานดาวย้อนถามอยางแปลกใจ
“พิมว่าคุณปานฟ้ากลับมาแล้วค่ะ แล้วยังบอกว่าจะตามหาทินภัทรให้เจอให้ได้”
ภูวดลหมั่นไส้
“กลับมาถึงก็ทำตัวเป็นนางเอกเชียว”
“ช่างมัน...ฉันก็อยากจะดูน้ำหน้ามันเหมือนกัน ว่าจะเก่งสักแค่ไหน ป่านนี้ไอ้ทินภัทรมันไปอยู่มุมไหนของโลกแล้วก็ไม่รู้”
ปานดาวเยาะหยัน
วันต่อมา...พ่วงวิ่งหน้าตื่น ตามด้วยบุญทิ้งและเด็กๆเร่ร่อนหลายคน ชนข้าวของในตลาดกระจาย ชนคนที่เดินจับจ่ายซื้อของ ผู้คนรวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าร้องวี๊ดว้ายอย่างตกใจ
ภาคิน ตุลย์กับตำรวจลูกน้องอีกจำนวนหนึ่ง วิ่งตามกันมาหยุดมองหา พ่วงกับเด็กๆพากันวิ่งหลบไปคนละทาง ตุลย์ตะโกนบอกลูกน้อง
“กระจายกำลังกันจับให้ได้น่ะ”
ลูกน้องกระจายกำลังตามคำสั่ง แยกย้ายกันไป ตุลย์หันมาพยักหน้ากับภาคินพากันวิ่งไปอีกทาง
พ่วงวิ่งมาหลบที่ตรอกแคบๆ หายใจหอบๆ
“ไอ้ตำรวจบ้าเอ๊ย โจรขโมยเยอะแยะไม่ไปจับมาจับพวกข้าอยู่ได้”
บุญทิ้งวิ่งพรวดพราดเข้ามาเห็นพ่วงดีใจ
“ลุงพ่วงช่วยผมด้วย”
พ่วงฉุนกึก
“ไอ้บุญทิ้งไอ้เด็กเวร...เพราะพวกเอ็งทีเดียวทำมาหากินไม่เสือกดูตาม้าตาเรือ...นี่แหนะ”
พ่วงกระชากบุญทิ้งเข้ามาตีอย่างโมโห บุญทิ้งร้องลั่น
“โอ๊ย...ลุงพ่วง ผมเจ็บ...โอ๊ย”
ภาคินเข้ามากระชากตัวบุญทิ้งออกไป พ่วงตกใจตะลึงมองภาคิน ตุลย์กระโดดเข้ามาล็อคตัวพ่วงไว้ได้พ่วงโวยวายดิ้นหนี
“ปล่อยข้าสิ...ปล่อยสิโว้ย...ปั๊ดโธ่มาจับข้าทำไมเนี่ย”
ตุลย์มองอย่างหมั่นไส้
“ยังจะมีหน้ามาถาม แกลักพาลูกชาวบ้านเขามาเร่ร่อนขอทานแบบนี้ ติดคุกหัวโตแน่”
“จะบ้าเหรอคุณตำรวจ พวกมันเป็นลูกๆหลานๆข้าทั้งนั้น”
ตุลย์ไม่สนเอาตัวพ่วงเดินไป ภาคินก้มลงมองบุญทิ้งที่ร้องไห้สะอื้นอยู่
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันรับรองว่าเธอจะได้กลับไปเจอพ่อแม่แน่ๆ”
บุญทิ้งมองภาคินด้วยแววตาเศร้าๆ
ปานเดือนนั่งอยู่บนรถตู้สายตาเหม่อๆ อนิรุทธิ์ยืนอยู่ข้างรถพูดด้วยอย่างอ่อนโยน
“เดี๋ยวเราจะไปทำบุญกันนะครับ คุณเดือน”
ปานเดือนเฉย ขณะเดียวกันนั้นเสียงปานฟ้าดังเข้ามา
“รอฟ้านานหรือเปล่าคะ”
ปานฟ้าเดินมาอย่างสง่า ยิ้มแย้มมีแว่นกันแดดอันใหญ่คาดอยู่บนผม เธอเดินมาถึงรถ มองปานเดือนก่อนจะกระซิบถามอนิรุทธิ์
“พี่เดือนเป็นยังไงบ้างคะ”
อนิรุทธิ์กระซิบตอบ
“พี่ว่าวันนี้อาการดีกว่าทุกวันนะ”
ปานฟ้าพยักหน้าพูดเสียงดัง
“เราไปกันเถอะค่ะ”
ปานฟ้ากำลังจะก้าวขึ้นรถ ปานดาวเข้ามาพูดเยาะๆ
“แน่ใจแล้วเหรอที่จะเอาคนบ้าออกไปข้างนอกนะ เดี๋ยวก็ได้อาละวาดฟาดหัวฟาดหางจนชาวบ้านเขาแตกตื่นกันหมดหรอก”
ปานฟ้าชะงัก หันกลับมามองปานดาวอย่างไม่พอใจ
“ทำไมพี่ดาวพูดแบบนี้ล่ะคะ พี่เดือนแค่ไม่สบายไม่ได้บ้า”
“พี่ก็แค่หวังดี เห็นเธอเพิ่งกลับมาอาจจะยังไม่รู้อะไร แต่ถ้าเธออยากทำตัวเป็นนางเอกก็ตามใจ”
“ค่ะ...ฟ้าชอบเป็นนางเอก ไม่ชอบเป็นนางร้ายหรือนางอิจฉา”
ปานดาวมองปานฟ้าฉุนๆ
“เธอว่าใคร”
“เปล่านี่คะ...ฟ้าก็พูดไปเรื่อยๆไม่ได้เจาะจงว่าใคร แต่ถ้าใครจะร้อนตัวเพราะพฤติกรรมคล้ายพวกนางอิจฉาอันนี้ก็ช่วยไม่ได้”
ปานดาวโมโห จะพูดต่อก็ชะงักไป เมื่อพิมหน้าตื่นเข้ามาเรียก
“คุณปานดาวคะ”
ปานดาวตวาด
“อะไร”
“คุณภูให้มาตามค่ะ”
ปานดาวจะด่า พิมรีบเน้น
“ด่วนค่ะ”
พิมจ้องตาปานดาวแบบมีเลศนัย ปานดาวชะงัก หันไปมองปานฟ้าที่มองอยู่แบบไม่กลัว
แล้วสะบัดหน้าเดินเข้าไปในบ้าน พิมรีบวิ่งตามไปติดๆ ปานฟ้าถอนใจเฮือกใหญ่หันมาบอกอนิรุทธิ์
“ไปกันเถอะค่ะพี่รุทธิ์”
“ครับ...”
อนิรุทธิ์เบี่ยงตัวหลบให้ปานฟ้าขึ้นไปนั่งคู่กับปานเดือน แล้วขึ้นตามไป คนขับวิ่งมาปิดประตูแล้วอ้อมไปขึ้นรถ ขับออกไป
ปานดาว อ่านหนังสือพิมพ์ในมือที่มีรูปพ่วงที่ถูกจับ
“ตำรวจทลายแก๊งค์ขอทานรวบหัวหน้าใหญ่ได้ทันควัน”
ปานดาวเงยมองภูวดล ถามอย่างโมโห
“คุณให้นังพิมไปตามฉันมาอ่านข่าวบ้าๆเนี่ยน่ะ”
ปานดาวขว้างหนังสือพิมพ์ลงพื้นหงุดหงิด ภูวดลรีบบอก
“มันไม่ใช่แค่นั้นคุณดาว เห็นรูปไอ้ตัวหัวหน้ามั้ยนังพิมมันบอกว่าเป็นไอ้พ่วง”
ปานดาวตกใจหันไปมองพิม ที่กำลังเก็บหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางออก ปานดาวกระชากมาดู
ใหม่ แล้วมองพิมถามเสียงเครียด
“แกแน่ใจเหรอ”
“ค่ะ...แหมทำไมพิมจะจำมันไม่ได้...พิมจำมันแม่นเลยค่ะ ก็พิมเอาไอ้ทินภัทรไปขายให้มันกับมือ”
ปานดาวกระชากพิมเข้ามากระซิบเสียงเข้ม
“นังพิม...แกจะพูดออกมาทำไม...”
ปานดาวเดินไปที่ประตู เปิดออกมองไปข้างนอกแล้วหันกลับมาปิดประตู น้ำเสียงร้อนใจ
“แล้วนี่ถ้ามันเกิดบอกตำรวจล่ะ”
“ใจเย็นๆไว้ก่อนน่ะคุณดาว” ภูวดลปราม
พิมคิดๆ
“จริงด้วยค่ะ...มันจะบอกทำไมในเมื่อไอ้ทิน...เอ๊ย...เด็กคนนั้นก็ไม่ได้อยู่กับมันแล้ว”
“แกรู้ได้ยังไง”
“พิมเคยเจอมันหลังจากคืนนั้น มันว่ามันขายเด็กไปแถวๆชายแดนแล้วค่ะ”
ปานดาวพยักหน้าโล่งใจ
“แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งไว้ใจมัน แกไปที่โรงพักทำทีเป็นญาติไปเยี่ยม แล้วกำชับมันให้ดีให้มันหุบปากให้สนิทไม่อย่างนั้นมันตาย”
ปานดาวบอกด้วยน้ำเสียงเหี้ยมสุดๆ
ที่โรงพัก...พิมเดินเข้าไปอย่างลับๆล่อๆ มองไปทั่วๆ ตุลย์เดินมาเห็นทักอย่างใจดี
“อ้าว...มาเยี่ยมใครครับ”
พิมตกใจอึกอัก
“อ๋อ...เปล่าๆจ๊ะ ฉันมารอญาตินะ”
“มารอทำไมจะแจ้งความเรื่องอะไรเหรอ”
“คือ...อ๋อ...บัตร...บัตรประชาชนเขาหาย ว่าจะมาแจ้งความนัดกันไว้นะจ๊ะผู้กอง”
ตุลย์ขำ ชี้ดาวสองดวงบนบ่า
“ผมแค่ร้อยโทยังเป็นหมวดอยู่ครับ...ไม่ต้องเลื่อนยศให้หรอก งั้นก็เชิญนั่งรอก่อน”
“ขอบคุณจ้า”
ตุลย์เดินออกไปจากโรงพัก พิมมองหาพ่วงอย่างร้อนใจ
ที่มูลนิธิคุ้มครองเด็กเร่ร่อน...มีการจัดงานเพื่อเด็กๆ สิริโสภาซึ่งเป็นดาราดัง กำลังร่วมร้องเพลงกับเด็กๆหลายคนอยู่บนเวทีอย่างสนุกสนาน ตุลย์และเฟื่องแก้วยืนมองอยู่
“คุณสิริโสภาเธอเป็นกันเองกับเด็กๆมากเลยนะครับ”
เฟื่องแก้วยิ้มๆ
“ค่ะ...เธอจะมาทุกครั้งที่ว่าง ถ้าไม่มาเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆก็เอาหนังสือดีๆมาให้ เธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหา’ลัยของคุณภาคินนะคะ”
ตุลย์ทำหน้าทึ่งๆ
“เหรอครับ...เอ...แต่แปลกนะ ทำไมไม่เห็นมีนักข่าวมาทำข่าวเลย”
“ก็เพราะเธอไม่ได้สร้างภาพนะสิคะ เธอถึงไม่ได้ให้ข่าว ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ชอบเลยเวลาพวกดารา หรือคนดังที่จะมาเลี้ยงข้าวเด็กสักมื้อ ก็ต้องขนพวกสื่อมาถ่ายรูปทำข่าวกันเสียครึกโครม”
หน้าตาเฟื่องแก้วจริงจัง จนตุลย์มองแล้วอดหัวเราะไม่ได้
“ท่าทางคุณจะไม่ชอบเอาจริงๆเลยนะครับเนี่ย”
“ก็จริงนี่คะ...สร้างภาพชัดๆ”
ตุลย์ยิ้มๆแล้วมองไปที่เด็กๆด้านล่างที่นั่งตามโต๊ะยาว มีถาดหลุมอยู่ตรงหน้าบางคนก้มหน้าก้มตาทานอาหารที่สิริโสภานำมาเลี้ยง บางคนนั่งจ้องตาแป๋วไปบนเวที บรรยากาศครึกครื้นสนุกสนาน เฟื่องแก้วหันมามองตุลย์ แล้วเลยมองตามไปก่อนจะถาม
“หมวดมองหาใครคะ...อ๋อคงจะเป็นบุญทิ้ง”
“ครับ...ทำไมผมไม่เห็นบุญทิ้งเลยล่ะ”
“คุณภาคินเรียกไปพบนะค่ะ”
ตุลย์พยักหน้ารับรู้
ภาคินยืนหันหลังอยู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา...”
บุญทิ้งเปิดประตูเข้ามาแล้วยืนนิ่งมองตรงมาที่เขา ภาคินยิ้มให้ผายมือไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาน้ำเสียงอ่อนโยน
“นั่งสิบุญทิ้ง...”
บุญทิ้งเดินมานั่ง ภาคินเดินอ้อมโต๊ะทำงานมานั่งที่โต๊ะทำงานตรงหน้า มองลงมาที่บุญทิ้งเห็นก้มหน้านิ่ง น้ำตาไหลเป็นทางลงมาเงียบๆแล้วรีบปาดน้ำตาทิ้ง ภาคินถอนหายใจอย่างสงสาร
“ไม่ต้องห่วงนะบุญทิ้ง ถึงเธอจะไม่มีพ่อแม่มารับ เหมือนเด็กคนอื่นๆที่โดนจับมาด้วยกัน แต่เธอก็ยังอยู่ที่นี่ได้ จนกว่าเราจะพบพ่อแม่ของเธอ”
บุญทิ้งส่ายหน้า
“ผมคงไม่มีวันได้พบพ่อ กับแม่หรอกครับ”
ภาคินขมวดคิ้ว
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ...หมวดตุลย์กำลังตามหาพ่อแม่ให้เธออยู่”
“ลุงพ่วงบอกว่าผมไม่มีพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เอาผมมาทิ้งไว้ที่กองขยะ ตั้งแต่ผมยังเล็กอยู่ ลุงพ่วงไม่ได้จับผมมา เหมือนเด็กคนอื่นๆ”
ภาคินอึ้งไป เขาตบบ่าเด็กชายเบาๆ เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกระปรี้กระเปร่า
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็คิดเสียว่า ที่มูลนิธินี้เป็นบ้านของเธอก็แล้วกัน”
บุญทิ้งเงยหน้ามอง พร้อมกับยกมือไหว้
“ขอบคุณครับคุณภาคิน”
ภาคินหัวเราะเบาๆ
“เรียกฉันว่าพี่ก็ได้ คิดเสียว่าฉันเป็นพี่ชายของเธอคนหนึ่งก็แล้วกัน ตกลงมั้ย”
บุญทิ้งยิ้มออกมาได้
“ตกลงครับพี่ภาคิน”
ภาคินลุกขึ้นยืน พร้อมกับจับตัวบุญทิ้งให้ยืนขึ้นด้วยกัน
“เอาล่ะ...ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปทานอาหาร แล้วก็ร่วมสนุกกับเพื่อนๆได้แล้ว”
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาคินหันไปมองเห็นเฟื่องแก้วเปิดเข้ามา
“คุณภาคินคะ...คุณสิริโสภาจะกลับแล้วค่ะ”
ภาคินพยักหน้ารับรู้
โปรดติดตามอ่านต่อตอนที่ 2