ดุจดาวดิน ตอนที่ 10
เด็กๆ ในมูลนิธิ กำลังเข้าแถวเดินขึ้นรถที่มารับ เพื่อส่งต่อไปยังสถานดูแลเด็กอื่นชั่วคราว ภาคิน มองเด็กๆด้วยความเป็นห่วง เฟื่องแก้วน้ำตาไหลลาเด็ก สิริโสภามองอย่างเห็นใจ
“ไม่ต้องห่วงนะทุกคน อีกไม่นานพวกเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก พี่สัญญา”
ภาคินพูดจบ จับหัวเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู ส่งเด็กๆขึ้นรถ เฟื่องแก้วน้ำตาไหลลงมาอีก
“ไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมาแล้วจ้า…เพราะฉันคนเดียว ความผิดของฉันแท้ๆ ถึงต้องเป็นอย่างนี้”
เจ้าหน้าที่เดินมาหาภาคิน
“เราจะให้มูลนิธิอื่นรับเด็กๆ ไปดูแลชั่วคราว จนกว่าจะรู้ผลสอบสวน ถ้าทางคุณบริสุทธิ์ มูลนิธิจะได้เปิดอย่างเก่า แต่ถ้าผลสอบออกมาว่าพวกคุณเอาเด็กไปถ่ายหนังโป๊จริง เจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และที่นี่คงต้องถูกปิดถาวร”
เฟื่องแก้วร้องไห้โฮอย่างเสียใจ ภาคินฟังหน้าเครียด ขมขื่นมาก สิริโสภาเอื้อมมือไปแตะมือภาคินอย่างปลอบใจ
บ่ายวันนั้น ปานฟ้า นั่งรอภาคินอยู่ในร้านกาแฟ คนเดียว อย่างใจจดจ่อ มองนาฬิกาเป็นเวลา บ่ายสองโมงนิดๆแล้ว แต่เขาก็ยังไม่โทรมา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ชั่งใจว่าโทรหาดีมั้ย
ภาคินนั่งคุยกับตุลย์ หน้าเครียดอยู่ในมูลนิธิ มีเฟื่องแก้วและสิริโสภานั่งอยู่ห่างออกไป แต่มองเห็นกัน
“ไปเช็กกล้องวงจรปิดที่ร้านอาหาร ที่คุณแก้วว่าคุณหญิงนัดไปคุยมา” ตุลย์บอก
เฟื่องแก้วร้อนใจ
“เห็นเลยใช่มั้ยคะ ว่าฉันคุยกับเขา มีบันทึกเสียงด้วยเปล่า...ได้ยินมั้ยว่าคุยอะไรกัน”
ตุลย์สั่นหน้า
“ไม่มีเสียง รูปก็ไม่มี มีกล้องวงจรปิดจริง...แต่มันเสีย”
เฟื่องแก้วหน้าเสีย
“อะไรนะ ทำไมซวยแบบนี้”
ภาคินถอนใจ
“งั้นเราก็...ไม่มีหลักฐานอะไรเลย”
“ใช่ คราวนี้ท่าจะซวยจริงๆ อย่างคุณว่าแล้ว”
ภาคินอึ้งไป เฟื่องแก้วหน้าเสีย มือถือภาคินที่วางอยู่ข้างๆ ดังด้วยระบบสั่น สิริโสมองไปเห็นภาคินกำลังคุยกับตุลย์อย่างเคร่งเครียด ก็หยิบมือถือมาดู เห็นชื่อปานฟ้า ก็กดรับ
“สวัสดีค่ะคุณปานฟ้า...ดิชั้นสิริโสภาเองคะ”
ปานฟ้านิ่งฟังอย่างแปลกใจ ย้อนถามเสียงเรียบอย่างหึง ชักไม่พอใจ
“ขอสายคุณภาคินคะ...ไม่ว่าง...ไม่ทราบมีธุระสำคัญอะไรหรอคะถึงขนาดรับโทรศัพท์ไม่ได้...ไม่เป็นไรค่ะ ไม่สะดวกจะบอกก็ไม่เป็นไร...งั้นก็ไม่ต้องบอกเขาด้วยว่าชั้นโทรมา...สวัสดีค่ะ”
ปานฟ้ากดตัดสายอย่างโมโหหึง โกรธจนอยากจะร้องไห้
ปานเดือนนอนหลับสนิทอยู่ในห้องไอซียู อาการดูแย่ ปานฟ้าเดินเข้าห้องมา ยืนเกาะข้างเตียง มองพี่สาวแล้วน้ำตาไหล ร้องไห้อย่างสงสาร ขณะเดียวกันก็คับแค้นใจเรื่องก้องภพ
ก้องภพนั่งเล่นเกมในมือถืออยู่ในมุมนั่งเล่นของโรงพยาบาล สักครู่ก็รู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ตรงหน้า เขาเงยหน้ามอง เห็นปานฟ้ายืนมองมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาขมขื่น
“สิ่งที่ฉันอยากจะบอกคุณให้เข้าใจ การที่ฉันรับหมั้นคุณ มันไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่มัน เป็นความจำเป็นที่ฉันต้องทำ ในเมื่อคุณไร้มนุษยธรรม ก็อย่ามาหวังว่าฉันจะมอบความรู้สึกดีๆ ได้ มันเป็นการหมั้นตามหน้าที่ เพื่อรักษาชีวิตพี่สาวฉันเท่านั้น”
ปานฟ้าพูดจบ จะเดินไปแต่ก้องภพคว้าแขนปานฟ้าไว้
“เดี๋ยว ปานฟ้า”
ปานฟ้า สะบัดแขนอย่างแรง ด้วยความรังเกียจ หันหลังพูดกับเขา
“พี่เดือนต้องการเลือด...ด่วนที่สุด หวังว่าคุณจะเข้าใจนะ ว่าต้องทำยังไง”
ปานฟ้าพูดจบ เดินต่อไป ก้องภพหยิบมือถือในกระเป๋าขึ้นมากด พูดเสียงดังเพื่อให้ปานฟ้าได้ยิน
“แม่เหรอครับ ผมกับปานฟ้า ตกลงจะหมั้นกันแล้วครับ”
ปานฟ้าชะงัก ยืนนิ่งฟังก้องภพคุยโทรศัพท์
“เรา จะหมั้นกัน...ด่วนที่สุด”
ก้องภพ กดวางโทรศัพท์ ยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ ปานฟ้าข่มความรู้สึกกดดันทั้งหมด น้ำตาคลอ แต่ไม่ไหล เดินต่อไป ด้วยความกล้ำกลืน
ค่ำนั้น...ช้อยสอนไข่ตุ๋นรำลิเก ตั้งวงบ้างลีลาเยื้องย่างบ้าง บุญทิ้งถูพื้น อยู่ใกล้ๆ แอบเหลือบมองเป็นระยะๆ บางทีก็แอบทำมือ ทำเท้าตามกัญญา นั่งปักชุดลิเก มองดูบุญทิ้งที่แอบรำไปด้วยอยู่ห่างๆ ช้อยเหลือบเห็นบุญทิ้งทำเป็นสนใจอยากรำลิเก คิดแกล้ง จึงทำเป็นสอนไปเดินไป ชนบุญทิ้ง
“เกะกะจริง เอ็งเนี่ย”
บุญทิ้งหลบไปอีกด้าน ช้อยแกล้งเดินไปหยิบน้ำมาดื่ม แล้วทำหก กะจะโวยให้บุญทิ้งมาถูแต่ไม่ทันได้โวย ไข่ตุ๋นซ้อมรำและหมุน มาเหยียบพื้น ลื่นหกล้มไปก่อน ช้อยตกใจขัดใจอย่างแรง
“ไอ้ไข่ตุ๋น อะไรของเอ็งเนี่ย ลุกเลยนะ...” ช้อยหันไปทำเสียงดังใส่บุญทิ้ง “นี่บุญทิ้ง เอ็งถูพื้นประสาอะไร พื้นถึงเปียกขนาดนี้ เห็นไหมไอ้ไข่ตุ๋นลื่นหัวทิ่มอยู่เนี่ย ไม่ได้เรื่องเลย ถูใหม่ให้หมดเลยนะ ไม่ได้ความ” ช้อยเหลือบมองกัญญา “ไม่รู้จะเก็บมาเลี้ยงทำไม เสียข้าวสุก”
กัญญาเหลือบมามอง ไม่พูดอะไร บุญทิ้งรีบวิ่งมาดูไข่ตุ๋น ด้วยความเป็นห่วง
“ไข่ตุ๋น เจ็บไหม ขอโทษนะ”
“ยังจะร่ำไรอยู่อีก จะต้องให้ฉันหัวคะมำไปอีกคนใช่ไหม”
บุญทิ้งรีบก้มหน้าก้มตาถูพื้น ช้อยมองอย่างสะใจที่ได้จิกหัวด่าบุญทิ้งต่อหน้ากัญญา
บุญทิ้งกำลังนั่งทำท่าดัดมือ เก้ๆ กังๆ กัญญา เห็นจึงเดินเข้ามานั่งพูดคุยด้วย
“อยากหัดเหรอ ไหน...บอกป้าซิ ทำไมถึงอยากเป็นลิเก”
“ผมอยากทำงานครับ จะได้มีเงิน”
“ตัวแค่นี้ จะเอาเงินไปทำอะไร”
“ผมจะเก็บเงิน...ไปตามหาแม่ครับ ผม...อยากเจอแม่”
กัญญามองอย่างเอ็นดู สงสาร
“เป็นลิเกน่ะ ไม่ได้เป็นง่ายๆนะบุญทิ้ง เคยได้ยินคำนี้ไหม กินอย่างหมู นอนอย่างหมา แต่งตัวอย่างราชา นี่แหละชีวิตลิเก เหนื่อยลำบาก อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง บุญทิ้งทนได้เหรอ”
“ทนได้ครับ ลำบากกว่านี้ ผมก็ทนได้”
“ลิเกที่ดีต้องมีครูนะ บุญทิ้งมีแล้วอย่างคือ ครูพักลักจำ”
บุญทิ้งทำหน้างง
“ครูพักพักจำ”
“ไม่ใช่ ครูพักลักจำ หมายถึงเรียนจากการดู จากการจำคนอื่นเค้าทำแต่ยังไม่มีครูสอนจริงๆ ครูที่จะแนะนำ ครูร้องครูรำ ครูพร่ำครูสอน”
“ป้ากัญญาสอนผมได้ไหมครับ รับผมเป็นศิษย์นะครับป้ากัญญา”
บุญทิ้งพูดแล้ว ทิ้งตัวลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น ขอร้อง กัญญาอมยิ้ม
“เรียนลิเก ไม่ง่ายนะบุญทิ้ง แต่ถ้าเธอสัญญาว่าเธอจะตั้งใจและอดทน ฉันก็จะเป็นครูให้เธอ”
“ผมสัญญาครับ ผมจะตั้งใจ จะอดทน จะเป็นลิเกที่ดีให้ได้”
“ลิเก เค้าไม่เรียกครูว่าป้ากันนะ เค้าเรียกครูว่าพ่อ หรือ แม่ ไหนเรียกสิ”
“แม่...แม่กัญญา”
พูดจบบุญทิ้งก้มลงกราบที่ตัก จากนั้นโผเข้ากอดกัญญาแน่น ด้วยความดีใจและ คิดถึงแม่ในคราวเดียวกัน กัญญากอดลูบผมบุญทิ้งด้วยความเอ็นดู
วันใหม่...ภาคิน ยืนเหม่อ ถอนหายใจ เหนื่อยใจกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น สิริโสภาเข้าไปยืนข้างๆ
“ผมจะต้องพิสูจน์ให้ได้ ว่าพวกเราบริสุทธิ์”
“ฉันเชื่อค่ะ ว่าคุณจะทำได้ ทำความดี ยังไงก็ต้องได้สิ่งดีดีกลับมา”
“ผมชักไม่เชื่อแล้วภา ว่าทำดี แล้วจะได้ดี ผมไม่แปลกใจ ว่าทำไมคนถึงทำความดีน้อยลง”
“ถ้าเราไม่ท้อถอย และ แน่วแน่ในการทำความดี อย่างน้อยเราก็ได้ทำ อย่างน้อยเราก็รู้สึกดี”
“ผมไม่เคยคิดเลย ว่าการจะทำดีต้องใช้ความพยายามขนาดนี้ ขอบคุณนะภาที่คอยเป็นกำลังใจให้ผมมาตลอด”
ภาคินยิ้มอย่างซาบซึ้ง สิริโสภาค่อยๆเอื้อมมือไป จับมือของเขา ปานฟ้าเดินเข้ามาเห็นภาคินจับมือกับสิริโสภาพอดี ได้ยินสิ่งที่ สิริโสภา กำลังพูดกับภาคินพอดี
“อย่าท้อนะคะ ภาเชื่อมั่นในตัวคุณ เชื่อคุณจะผ่านเรื่องร้ายๆ คราวนี้ไปได้ ภาอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
ภาคิน เอามืออีกข้างแตะมือสิริโสภาที่จับกันอยู่ เป็นการขอบคุณ ปานฟ้ายืนอึ้ง มองทั้งคู่หน้าเสีย ผิดหวัง ตุลย์เดินมา เห็นเข้าก็ร้องทักเสียงดัง
“อ้าวคุณฟ้า มานานรึยังครับ”
ภาคิน รีบปล่อยมือจากสิริโสภา หันไปมอง ปานฟ้าสบตาภาคินอย่างเย็นชา แววตาน้อยใจ
“คิดว่าคุณไม่สบาย หรือมีปัญหาอะไร ถึงไปตามนัดไม่ได้...แต่เห็นแบบนี้แล้ว คงไม่มีอะไร ขอโทษนะคะที่มารบกวน”
ปานฟ้าเดินไปอย่างน้อยใจ ภาคินอึ้งอย่างพึ่งนึกได้ แล้วรีบเดินตามไป
“คุณฟ้าครับ”
สิริโสภามองตามทั้งคู่ แววตาครุ่นคิด ตุลย์ทำหน้าเสียวไส้แทนภาคินที่รถไฟชนกัน
ปานฟ้าเดินฉับๆ มาที่รถ เอื้อมมือจะเปิดประตูรถ แต่ภาคินเอื้อมมาจับมือเธอไว้
“ขอโทษ...เมื่อวานผมยุ่งมากจนลืมไปว่า...”
ปานฟ้าหันมาพูดอย่างน้อยใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ธุระของฟ้า...ไม่สำคัญอยู่แล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ผมขอโทษจริงๆ นะ ว่าแต่ที่นัดไป มีเรื่องไรเหรอ วันนี้หน้าตาคุณไม่ค่อยสบายใจเลย คุณเดือนเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
ปานฟ้าสบตา แล้วบอกอย่างตัดใจ
“มันไม่สำคัญแล้วล่ะค่ะ”
ปานฟ้าสะบัดมือออกจากมือเขาอย่างแรง แล้วขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว ภาคินถอนใจยาว เหนื่อยใจและเครียดกับปัญหาที่รุมเข้ามา
วิมลวรรณหัวเราะสะใจ เมื่อภาคินมาขอร้องให้ช่วย
“บอกแล้วไง ว่าฉันไม่รู้เรื่อง คน ของแกมันโง่เอง...โง่...เหมือนแกนั่นแหละ”
“ผมขอร้องครับ ให้คุณช่วยพูดความจริง มูลนิธิของผมต้องถูกปิดเด็กๆหลายคนกำลังลำบาก”
“มูลนิธิที่มีแต่เรื่องอื้อฉาว ปิดไปก็ดีแล้วนี่”
“คุณก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าเรื่องทั้งหมดผมถูกใส่ร้าย ทั้งเรื่องสายฝน จนถึงเรื่องนี้ คุณกับก้องภพ เป็นคนอยู่เบื้องหลังทั้งหมด”
“เหรอ...ฉลาดขึ้นมาแล้วนี่ ไง...เห็นรึยังว่าฉันจะทำอะไร ยังไงกับแกกับ แม่ของแก ก็ได้”
ภาคินมองหน้าแม่เลี้ยงอย่างเจ็บปวด
“คุณเกลียดผม ก็ทำกับผมสิ ทำไมต้องให้คนอื่น เดือดร้อน”
วิมลวรรณเหยียดปากหยัน
“ช่วยไม่ได้...จำไว้นะ แกสองคนแม่ลูกจะไม่มีวันได้อะไรทั้งนั้น ฉันจะเป็นคนทำลายทุกอย่างของพวกแกเอง เหมือนกับที่แม่แกเคยทำกับฉัน”
“คนที่คิดแต่เรื่องแย่ๆ อย่างคุณ จะไม่มีวันทำอะไรพวกผมได้”
“เหรอ...เอ๊ะ...นี่ฉันยังไม่ได้บอกข่าวดีอะไรอีกอย่างให้แกรู้ใช่มั้ย ว่าปานฟ้าตกลงรับหมั้นก้องภพแล้ว และจะมีการหมั้นใน เร็วๆนี้ด้วย”
ภาคินไม่เชื่อหู
“ไม่จริง”
“ผู้ชายที่ตกต่ำลงทุกวันๆอย่างแก ใครเค้าจะเอา เจียมกะลาหัวซะบ้าง อย่าคิดมาแข่งกับลูกชายฉัน”
ภาคินช็อคกับเรื่องที่ได้ยิน ผลุนผลันออกจากบ้านทันที วิมลวรรณหัวเราะคนเดียวด้วยความสะใจ หันมาเห็นอานนท์ยืนมองนิ่ง แววตาเย็นชา วิมลวรรณอึ้งไปนิดนึง
อานนท์เดินหนีมาอย่างขมขื่น สลดใจ วิมลวรรณเดินตามมา
“เมื่อกี๊ทำไมไม่ออกมาช่วยลูกชายสุดที่รักของคุณล่ะ”
“เพราะผมรู้ว่าสู้กับคนจิตใจต่ำช้า อย่างคุณไปก็เท่านั้น สู้กรวดน้ำคว่ำขัน จากกันในชาตินี้ ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องพบกันอีก จะดีกว่า”
“คนต่ำช้า นั่นมันคุณกับนังบุษบา คนนึงก็กินไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ อีกคนก็ลักเค้ากินขโมยกิน เลว เลวด้วยกันทั้งคู่”
อานนท์ เข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของภรรยาเขย่าด้วยความโกรธ
“คุณวิมลวรรณ ผมขอบอกคุณให้รู้ตรงนี้ ว่านับจากนี้เราขาดกันจบกันเท่านี้ ผมจะไม่ทนอยู่กับคนชั่วช้าอย่างคุณอีกต่อไป”
อานนท์ผลักแขนวิมลวรรณจนล้มลงไปที่โซฟา
“ผมออกจากบ้านนี้ จะไปตามหาบุษบา ไปหาผู้หญิงที่ผมรัก จะไม่กลับมาบ้านนี้อีก”
อานนท์หันหลังเดินไปอย่างไม่แยแส วิมลวรรณ กรี๊ดๆๆๆ แทบเสียสติ
“ไปเลย จะไปไหนก็ไป คิดเหรอว่าแกจะหามันเจอ ชีวิตนี้แกไม่มีวันจะหานังบุษบาเจอ”
วิมลวรรณพูดด้วยความเคียดแค้นอย่างที่สุด
ภาคินนั่งรอปานฟ้าอยู่ที่โซฟารับแขก สายอุษาเดินเข้าไปหา ภาคินยกมือขึ้นไหว้ สายอุษา รับไหว้ ถามเสียงเรียบ
“เด็กบอกว่าคุณมาขอพบยัยฟ้า”
“ครับ”
“คงไม่สะดวกให้พบนะ ฉันรู้ว่าคุณคิดยังไงกับลูกสาวฉัน ก็ต้องขอบคุณแทนยัยฟ้า รวมทั้งทุกคนในครอบครัว ที่คุณดีกับพวกเรา มาตลอด แต่คุณคงจะรู้ฐานะของตัวเองดีว่าตอนนี้คุณมีปัญหา มากมายเหลือเกินในฐานะแม่ของลูก คงต้องบอกว่า ฉันอยากจะเห็นลูกสาวได้อยู่กับคนที่พร้อมจะดูแลเขาให้มีความสุขได้ ถ้าคุณ หวังดีกับฟ้าจริง คงจะเข้าใจนะ”
ภาคินรับฟังอย่างเข้าใจ สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง และเศร้าในความต่ำต้อยของตัวเอง เขาเดินก้มหน้าออกจากประตูบ้านเติมบุญด้วยความเจียมตัว ค่อยๆหันหน้ากลับมามองไปที่บ้านหลังโต อย่างเศร้าเสียใจในโชคชะตาตัวเอง เขามองไปที่หน้าต่างห้องต่างๆของบ้าน เพื่อหวังว่าจะได้เห็นเงาของหญิงคนรัก...ปานฟ้ายืนหลบมุมอยู่ แอบมองเขาทางหน้าต่างแล้วหันหลัง นั่งร้องไห้พิงผนังห้องด้วยความเสียใจ
วิมลวรรณมองตามป้านุ่มที่เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ป้านุ่มรู้สึกว่ามีคนเดินตาม รีบเดินเร็วจนขึ้นไปบนลานฉันสอง แล้วต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงเรียกอย่างเกรี้ยวกราด
“นังนุ่ม จะไปไหน”
ป้านุ่มสะดุ้งสุดตัว
“เออ...กำลังจะไปจัดห้องคุณอานนท์ค่ะ”
“สอดรู้สอดเห็นอย่างแก คงรู้แล้วนะ ว่าไอ้ภาคิน มันเจอกับอะไรบ้าง”
ป้านุ่มรวบรวมความกล้า
“คุณหญิงคะ นุ่มขอร้อง เลิกจองเวรจองกรรม กับสองแม่ลูกนี่เถอะนะคะ”
“มันมาทำเวรทำกรรมกับฉันก่อนทำไม”
“เลิกอาฆาตแค้นเถิดค่ะคุณ ยิ่งแค้นเท่าไหร่ คุณจะยิ่งไม่มีความสุข”
“ถ้าฉันไม่สุข คนอื่นก็อย่าหวังจะได้อยู่กันอย่างสบายเลย”
“ถ้าคุณยังทำร้ายคุณภาคินไม่เลิกแบบนี้ นุ่มจะไปบอกคุณอานนท์เดี๋ยวนี้ ว่าคุณบุษบาอยู่ที่ไหน”
ป้านุ่มขยับตัว จะเดินไปทางห้องนอนอานนท์ วิมลวรรณเดินเข้ามาขวางหน้าอย่างโกรธจัด แล้วเดินไล่ต้อนป้านุ่มไปทางบันได ป้านุ่นค่อยๆเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ จนถึงบันได
“ปากสว่างทุกเรื่อง ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าถ้าพูดเรื่องนี้เมื่อไหร่แกตายเมื่อนั้น แต่ แกก็ยังแส่ อยากจะพูด อยากจะบอกใครต่อใคร นักใช่ไหม ฝันไปเถอะ...ต่อไปนี้ แกจะไม่มีวันได้พูดอีกต่อไปแล้ว”
ป้านุ่มฟังตาเหลือกด้วยความกลัว วิมลวรรณผลักสุดแรง จนร่างของป้านุ่มกลิ้งตกบันไดลงไปแน่นิ่ง ที่ชั้นล่าง วิมลวรรณสะใจ ในสิ่งที่ตัวเองทำ
กัญญา ทบทวนท่ารำ ให้ไข่ตุ๋นและบุญทิ้ง ร้องเอื้อนเป็นกลอน ไข่ตุ๋นและบุญทิ้ง ทำตามกลอนทีละท่า ทีละท่า
“เทพพนม...ปฐม...พรหมสี่หน้า”
ไข่ตุ๋น ทำท่าพรหมสี่หน้า ไม่ถูกนัก บุญทิ้งต้องสะกิดให้ทำให้ถูก กัญญามองไข่ตุ๋นอย่างดุๆ
“สอดสร้อยมาลา...เฉิดฉิน...”
ท่าเฉิดฉินเป็นท่าที่ต้องยกขาข้างเดียว ทรงตัว เอียงคอ และทำมือทำแขนยาก กัญญาหยุดร้องตรงท่านี้
“ไหน นิ่งๆก่อน นิ่งๆ”
ไข่ตุ๋นกับ บุญทิ้ง อยู่นิ่งในท่า เฉิดฉิน ช้อยกลับมาจากทำธุระข้างนอก เข้ามาเห็นพอดี
“เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องแอบเรียนกันดึกๆดื่นๆแล้วเหรอ แม่กัญญากับ ศิษย์เอก”
“วันนี้บุญทิ้งทำงานเสร็จแล้ว ทำงานหนักทุกวัน เรียนร้องเรียนรำดึก เด็กมันจะไม่ไหวเอา”
“กะอีแค่เด็กจรจัดหลงมา จะต้องเอาใจ สั่งสอนอะไร ถ้าพี่ถมรู้ คงไม่ได้ยืนฝึกอยู่อย่างนี้แน่”
ช้อยกับกัญญาพูดคุยกันอยู่โดยที่ ไข่ตุ๋นและบุญทิ้งยังคงอยู่ในท่า เฉิดฉิน ตลอดเวลา
ไข่ตุ๋นเริ่มมีอาการเซเล็กๆ ถมได้ยินเดินเข้ามาพอดี
“ไงใครสอนสั่งใครไม่ได้”
“ก็แม่กัญญาสิคะ เอาวิชาครูดีๆ ไปสอนเด็กโจรไม่มีหัวนอน ระวังเถอะจะให้โทษ เป็นบ้าไปทั้งครูทั้งศิษย์” ช้อยฟ้อง
“เหลวไหล คนพูดน่ะสิที่บ้า ไม่มีใครเป็นบ้าเพราะตั้งใจดีหรอกไหน บุญทิ้ง...เออ...ลีลาเฉิดฉินไม่เลวนี่หว่า เอียงคอหน่อยๆ” ถมเข้าไปจับคอบุญทิ้งเอียงให้สวย “นั่น มันต้องอย่างนี้”
ช้อยโกรธถมหน้าง้ำที่โดนย้อนจนเสียหน้า
“ไม่เห็นจะได้เรื่อง สู้อย่างไอ้ไข่ตุ๋นก็...”
พูดไม่ทันขาดคำ ไข่ตุ๋นเซจนล้มลงไปกับพื้น ลุกขึ้นมาเกาหัวตัวเองอย่างอายๆ ถมมองขำๆ
“เอ้า กลิ้งเป็นไข่แตกเลย”
ช้อยมองอย่างขัดใจ
“ไม่ได้เรื่องเลย ไอ้ตุ๋น...ทำขายขี้หน้า”
กัญญามองบุญทิ้งอย่างชื่นชม
“ฉันเห็นบุญทิ้งมันตั้งใจ ยิ่งสอนก็ยิ่งเห็นแวว ต้องขอโทษพี่ถมด้วยนะจ๊ะ ที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน”
ถมพยักหน้าอย่างเข้าใจ หันไปคุยกับบุญทิ้ง
“บุญทิ้ง ลิเก ไม่ได้เป็นกันง่ายๆนะ”
“ครับ...ผมจะตั้งใจและอดทน มากๆครับ...พ่อถม”
“เออ...เข้าใจเรียกจริงๆ มีข้าเป็นครูอีกคนแล้วนะเอ็งน่ะ”
ถมขยี้ผมเด็กชายด้วยความเอ็นดู บุญทิ้งกับกัญญา มองหน้ากันอย่างยินดี
ค่ำนั้น...อนิรุทธิ์ดูแลให้ปานเดือนทานอาหารอยู่ ขณะเดียวกันนั้น ภาพในทีวีเป็นรายการข่าว ผู้สื่อข่าวกำลังรายงานข่าว
“มีรายงานด่วนเข้ามา ว่าพบศพเด็กชายอายุไม่เกินสิบปี ลอยน้ำมาติดที่ท่าเรือนนทบุรี จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าถูกทำร้าย จนเสียชีวิต”
อนิรุทธิ์กับปานเดือน ชะงักทั้งคู่ จ้องดูทีวีอย่างตกใจ
“บุญทิ้ง” อนิรุทธิ์อุทาน
ปานเดือนกรีดร้อง
“ทินภัทร...”
เติมบุญ กับ สายอุษา ตกใจกับข่าวที่ได้ยินจากโทรทัศน์เช่นกัน
“คุณคะ นี่คงไม่ใช่...”
“บุญทิ้งหรอ”
เติมบุญส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง สายอุษาใจเสียคิดว่าเป็นบุญทิ้งแน่นอน
ปานดาวหัวเราะชอบใจหลังจากดูข่าวในทีวี พิมยิ้มพอใจ
“ไอ้พ่วงมันโทรมาบอก ว่าวันนี้ให้คอยดูข่าวทีวี เพราะจะมีข่าวดีเรื่องไอ้เด็กบุญทิ้ง”
ภูวดลยิ้มพอใจมาก
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาเงินส่วนที่เหลือไปให้ไอ้พ่วง มันทำงานสำเร็จแล้วก็ให้รางวัลไปอีกหน่อย ต่อไปนี้ทุกอย่างของอัครดำรงกุล ก็จะเป็นของธัญวิทย์ และ...” ภูวดลเข้าไปโอบไหล่ปานดาว “เราสองคน”
พิมค้อนที่พี่ชายลืม
“แล้วพิมล่ะ”
“ก็ให้ไปแล้วไง” ปานดาวหันไปมองสามี “หรือว่าเงินที่ฉันให้คุณไปให้มัน คุณเม้มไว้เองเหรอ”
“เปล่านะ...พิม ได้ไปตั้งเยอะแล้ว จะเอาอะไรอีก”
“ไม่ใช่เรื่องเงิน พิมหมายถึง เรื่องที่พิมขอธัญวิทย์คืน”
ปานดาวโกรธจัด
“ฉันบอกแล้วไง ว่าไม่ให้ ไม่ให้ๆเข้าใจไหม”
“ถ้าคุณไม่ให้ธัญวิทย์คืน คุณก็ต้องให้อย่างอื่นที่มากพอ ที่จะทำให้พิม ไม่พูด คุณอย่าลืมนะ ว่าพิมรู้ทุกเรื่องชั่วๆที่พวกคุณทำกันมาถ้าคิดว่าจะได้สบายกันแค่สองคนล่ะก้อ คิดผิดแล้ว”
ปานดาวตะลึง กับคำพูดของพิม ภูวดลคิดหนัก
พ่วงนั่งกินเหล้าคนเดียวอยู่หน้าทีวี เอารีโมทปิดทีวี แล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม นั่งนึกภาพที่ตัวเองทำไป
ค่ำคืนที่ผ่านมา...พ่วงแอบไปที่วัดขโมยศพเด็ก แล้วนำไปทิ้งลงแม่น้ำ เพราะต้องการให้พวกพิมคิดว่าเป็นบุญทิ้ง
‘ไอ้ทิ้ง ไม่ว่าเอ็งจะอยู่ที่ไหน เป็นตายร้ายดียังไง อย่าได้โผล่หน้ามาให้ใครแถวนี้ให้เห็นอีกเป็นอันขาด ไม่งั้น ทั้งเอ็งทั้งข้า ได้กลายเป็นศพจริงๆ แน่’
อ่านต่อหน้า 2
ดุจดาวดิน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ภายในโรงลิเกเวลานั้น วงมโหรี กำลังตั้งสาย ในห้องนักแสดง นักแสดงกำลังยกข้าวของ ใส่เสื้อผ้า แต่งหน้าทำผม เพื่อเตรียมแสดง ช้อยกำลังโวยไข่ตุ๋นที่ยืนกุมท้องหน้าซีดเซียวอยู่
“โอ๊ย ไอ้ไข่ตุ๋น เป็นตอนไหนไม่เป็น ดันมาเป็นตอนนี้ เดี๋ยวก็ต้องขึ้นเวทีแล้ว ไปสอย มะม่วงคนอื่นมากินแล้วไม่แบ่ง ก็เป็นอย่างนี้ตะกละจนได้เรื่อง”
ไข่ตุ๋นยืนบิดไปมา
“ผมเปล่า ผม ผม ผม...ไม่ไหวแว้ว”
ว่าแล้วไข่ตุ๋นเอามืออีกข้างจับก้นแล้ววิ่งจู๊ดหายไป ถมถอนใจ
“ไข่ตุ๋นแสดงไม่ไหวแน่ ขืนให้ขึ้นไปราดบนเวที วงแตกกันพอดี”
ช้อยเซ็งเลย
“แล้วจะทำยังไงล่ะพี่ จะหาใครแสดงแทนตอนนี้ โธ่เอ๊ย...พอมีงาน ก็ให้มีอุปสรรค แล้วจะเล่นกันยังไง อย่าบอกนะว่างานล่ม”
กัญญาเดินเข้ามาพร้อมบุญทิ้ง ยิ้มอย่างมั่นใจ
“ไม่ล่มหรอก คืนนี้ได้เล่นกันแน่”
ช้อยมองอย่างสงสัย ถมมองหน้าบุญทิ้งอย่างลังเล ครุ่นคิด บุญทิ้งยิ้มอย่างตื่นเต้น
เสียงระนาดรัวโหมโรง บุญทิ้งกำลังแต่งหน้าแต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วชาวคณะทำพิธีไหว้พ่อแก่กันเตรียมความพร้อม เพื่อเปิดตัวบุญทิ้งในฐานะลิเกครั้งแรก
วงมโหรีบรรเลงประกอบการแสดงลิเก บนเวที กัญญากับช้อย แสดงบทปะทะคารมกัน กัญญาร้องลิเกในท่อนท้ายเพื่อเปิดตัวบุญทิ้ง...
บุญทิ้งรำออกมาจากม่าน อย่างตื่นเต้น รำผิดรำถูก แต่ด้วยความน่ารัก คนดูกลับเอ็นดูบุญทิ้งปรบมือชอบใจ ถมกับไข่ตุ๋นยืนลุ้นอยู่ข้างเวที ไข่ตุ๋นยกนิ้วโป้งให้บุญทิ้งเพื่อให้กำลังใจ แต่ก็บิดตัวไปมาเพราะปวดท้อง บุญทิ้งร้องลิเกตามบท ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ออกมาอย่างสดใส น่ารัก เรียกเสียงเชียร์จากคนดูมากมาย จนทุกคนปรบมือเกรียวกราว ชื่นชอบในตัวบุญทิ้ง แม่ยกวิ่งเอาพวงมาลัยมาคล้องให้บุญทิ้งมากมาย บ้างก็จับตัวจับแก้มบุญทิ้งด้วยความเอ็นดู ถมกับไข่ตุ๋น ปรบมือดีใจอยู่ข้างโรงลิเก ด้วยความปลาบปลื้ม บุญทิ้งยืนยิ้มอยู่บนเวทีพวงมาลัยเต็มคอ พร้อมเสียงชื่นชม จากคนดูมากมาย
วันใหม่...ตลาดนัดมีของสดของสำเร็จรูปอาหารทะเลของเล่นมาขายมากมาย เติมบุญ สายอุษาปานฟ้าเดินมาด้วยกัน ปานดาวเดินตามหลังทำหน้าเบื่อพอๆกับธัญวิทย์และพิม สายอุษาหันไปบอกปานฟ้า
“ได้ไหว้พระแล้วแม่ค่อยสบายใจขึ้น ช่วงนี้มีแต่เรื่องทั้งนั้น”
เติมบุญเดินเศร้าๆ
“ได้ทำบุญถวายสังฆทานให้บุญทิ้งด้วยก็ดีแล้ว เด็กมันน่าสงสาร”
ปานดาวหน้าหงิก ธัญวิทย์เขย่าแขน
“แม่วิทย์เบื่อจัง ทำไมเราต้องมาไหว้พระ ต้องมาเดินตลาดเชยๆร้อนๆอย่างงี้ด้วย วิทย์อยากเดินห้างเย็นๆ ร้อนชะมัด”
ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งวิ่งเล่นไล่กันอยู่ในตลาด วิ่งกันจนมาถึงกลุ่มเติมบุญ แต่บุญทิ้งเห็นพิมกับเติมบุญไวๆเลยเบรกเอี๊ยด ไข่ตุ๋นเกือบล้มทับ
“หยุดทำไม เกือบเซ ดีนะว่าพระเอกยั้งทัน”
บุญทิ้งแอบข้างเสา มองตามไปที่เติมบุญกับปานฟ้า อยากจะเข้าไปหาไปไหว้แต่ไม่กล้า ได้แต่ยืนมองตาเศร้า ไข่ตุ๋นมองงงๆว่าบุญทิ้งเป็นอะไร
“เป็นไร”
“ปวดท้อง กลับบ้านก่อน”
“มีเอาตัวรอด เออ...ก็ได้ เดี๋ยวไข่ไปซื้อโอเลี้ยงมาดูดสักจ๊วบก่อนค่อยกลับ”
ไข่ตุ๋นวิ่งไปทางกลุ่มเติมบุญ บุญทิ้งทำท่าจะเดินกลับบ้านแต่ได้ยินเสียงโวยวายก่อน ไข่ตุ๋นวิ่งชนธัญวิทย์ ไม่ทันได้ขอโทษ ธัญวิทย์กลับผลักไข่ตุ๋นก้นกระแทกพื้น ไข่ตุ๋นโวยลั่น
“อะไรเนี่ย มาผลักไข่ทำไมเนี่ย”
“แกมาชนฉันก่อนทำไม ไอ้เด็กสกปรก”
ไข่ตุ๋นผลักธัญวิทย์กลับ
“นิสัยไม่ดีนะเรา ไข่พูดดีด้วยแล้วนะเว้ย”
พิมเห็นไข่ตุ๋นกับธัญวิทย์ทะเลาะกันเลยเดินมา ไข่ตุ๋นล็อคธัญวิทย์ไว้เลยรีบตีไข่ตุ๋นแล้วจับแยกออก
“ไปไป๊ ไอ้เด็กเหลือขอ อย่ามายุ่งกับคุณวิทย์นะยะ”
“น้าอย่ามารุมกันเด่ะ เรื่องของเด็กผู้ใหญ่ไม่เกี่ยว”
“เกี่ยวสิยะ หน้าตากวนนักนะ แบบนี้ต้องโดน”
พิมจับไข่ตุ๋นให้ธัญวิทย์ตีคืน
“เฮ้ย...อย่ารุมดิ”
บุญทิ้งเห็นไข่ตุ๋น ถูกรุมเลยเอาหน้ากากอุลตร้าแมนจากคนขายมาสวมแล้วเข้าช่วย พิมจะเข้ามาตีบุญทิ้ง
“ไอ้นี่มาจากไหน อยากโดนอีกคนใช่มั้ย”
เติมบุญกับปานฟ้ารีบเข้ามาห้าม
“หยุดเลยพิม ตาวิทย์ ทำอะไรน่ะเรา”
ธัญวิทย์กับพิมทำท่าฟึดฟัดแต่ก็ยอมหยุด ไข่ตุ๋นได้ทียิ้มเยาะแต่บุญทิ้งก้มหน้า เติมบุญมองธัญวิทย์ปรามๆ
“ไม่ทันอะไรก็ทะเลาะกับเขาอีกแล้ว ไม่เป็นไรนะหนู” เติมหันไปสั่งหลานชาย “ขอโทษเขาเสียสิ”
ปานดาวขึ้นเสียงไม่พอใจ
“คุณพ่อคะ เรื่องอะไรให้วิทย์ไปขอโทษไอ้เด็กพรรค์นี้ พวกจรจัด”
ธัญวิทย์ไม่ยอม เติมบุญทำท่าจะดุ ไข่ตุ๋นรีบบอก
“ไม่เป็นไรจ้าตา ไข่ใจดี ไม่ต้องขอโทษก็ได้”
เติมบุญมองอย่างเอ็นดู สายตาเหลือบไปมองบุญทิ้งสบตากัน รู้สึกคุ้นหน้าเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ บุญทิ้งหลบตาดึงมือไข่ตุ๋นให้วิ่งหนีออกไป เติมบุญมองตามอย่างสงสัย
“เด็กที่ไหน เหมือนคุ้นๆ”
พิมเดินบ่นกระปอดประแปดไป ปานดาวไม่พอใจแต่ไม่พูดอะไร
“จริงๆแล้วไอ้เด็กสองคนนั้นต่างหากค่ะที่มาหาเรื่องคุณวิทย์ ไม่น่าปล่อยมันไปเลย เด็กตลาดพวกนี้นิสัยไม่ดีจริงๆ”
สายอุษาหันมาปรามหลาน
“ทีหลังวิทย์ก็อย่าไปยุ่งกับเขานะลูก จะได้ไม่มีเรื่องกัน”
ปานดาวหงุดหงิดมาก
“ไม่น่ามาเดินเลย เสียอารมณ์ ต้องมาเจอเด็กบ้าๆ”
ปานฟ้ากับเติมบุญมองแล้วส่ายหัว เติมบุญเดินเข้ามาหาธัญวิทย์
“วิทย์เองก็ผิดที่ใจร้อน ไม่น่าไปทะเลาะกับเขา พูดกันดีๆก็ได้ ตาให้ขอโทษก็ไม่ยอม เรานี่ดื้อจริงๆ”
ธัญวิทย์ทำท่าจะเถียงแต่ก็เงียบไป ปานฟ้าเข้าเสริมต่อ
“พิมเองก็ด้วย เป็นผู้ใหญ่แล้วแทนที่จะห้าม ยังไปช่วยตาวิทย์ทะเลาะกับเขา เรามีหน้าที่ดูแลไม่ใช่เหรอ ทีหลังอย่าทำอีกนะ”
พิมพยักหน้ารับ แต่แววตากลับซ่อนความโกรธแค้นไว้
เจ้าหน้าคร่ำเคร่งตรวจเช็ค สมุดบัญชี เอกสารต่างๆที่วางอยู่เต็มโต๊ะ เฟื่องแก้วหอบเอกสารมาวาง
“มูลนิธิของคุณนี่รู้สึกจะเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติเยอะนะคะ เอกสารรูปภาพ มีแต่ต่างชาติเกือบทั้งนั้น”
เฟื่องแก้วได้ยินยิ่งหน้าเครียด
“คณะผู้บริจาคของเราเป็นชาวต่างชาติเยอะค่ะ เพราะมูลนิธิเรามีเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ เลยทำให้คนต่างชาติใจบุญสะดวกขึ้นในการบริจาค”
“ขอตรวจสอบหลักฐานใบลดหย่อนภาษีหน่อยนะคะ อยู่แฟ้มไหน”
เฟื่องแก้ววิ่งไปหยิบให้
“มูลนิธิของพวกคุณต้องสงสัยในคดีค้าเด็ก ดังนั้นเราจึงต้องเน้นตรวจสอบเป็นพิเศษหวังว่าจะเข้าใจนะคะ”
ภาคินพยักหน้าเข้าใจ แต่หน้าเครียด เจ้าหน้าที่ตรวจดูเอกสารเฟื่องแก้วมองภาคินอย่างรู้สึกผิด
หลายชั่วโมงต่อมา...ตุลย์ เฟื่องแก้ว ภาคินออกมายืนส่งเจ้าหน้าที่ พอรถเจ้าหน้าที่ลับไป เฟื่องแก้วกับตุลย์ถอนหายใจทำท่าโล่งอก
“เฮ้อ...เหนื่อยวุ้ย”
“ไม่เหนื่อยก็แปลกแล้ว ถามโน่นถามนี่ รีดข้อมูลหยั่งกับเราฆ่าคนตายมางั้นแหละ กรรมเวรแท้ๆ” เฟื่องแก้วบ่นอุบ
ภาคินหน้าเครียด แต่ตุลย์ยิ้มบางๆ
“รีดไปก็เท่านั้น เพราะพวกคุณไม่ได้ทำไรผิดเลย พวกเด็กๆก็ให้การเป็นอย่างเดียวกัน ว่าเรื่องไปถ่ายหนังโป๊ไม่เคยมี แถมตอนนั้นตัวคุณเองก็ยังพาเด็กหนีด้วยซ้ำ”
เฟื่องแก้วถอนใจ
“ก็แค่คำพูดของเด็ก แต่ถ้าหลักฐานอื่นไม่มี สังคมก็คงไม่เชื่อพวกเราหรอกคะ ชื่อเสียงมูลนิธิเอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว”
“ใครว่าไม่ได้ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าคุณบริสุทธิ์ ชื่อเสียงกลับมาได้อยู่แล้ว”
เฟื่องแก้วหน้าเศร้า ตุลย์โอบไหล่ให้กำลังใจแต่ถูกปัดออก เฟื่องแก้วค้อน
“อย่าฉวยโอกาสย่ะ”
ตุลย์ยิ้มทะเล้น ภาคินมองเห็นซองสีหวานตกลงจากกระเป๋า เฟื่องแก้วก็ก้มเก็บให้
แต่เห็นหน้าซองก็ชะงัก เมื่อเป็นบัตรเชิญงานหมั้นก้องภพกับปานฟ้า เฟื่องแก้วตกใจ
“อุ๊ย...”
ภาคินฝืนยิ้มยื่นส่งให้ เฟื่องแก้วรับมา ตุลย์มองยิ้มๆก่อนจะพูดขึ้น
“บัตรเชิญงานหมั้นคุณฟ้ากับนายก้องภพ ผมก็ได้เหมือนกัน รวดเร็วสายฟ้าแลบปานนี้ชักน่าสงสัยยังไงไม่รู้”
เฟื่องแก้วส่งสัญญาณให้เงียบแต่ไม่ทันแล้ว ภาคินหัวเราะขมขื่น
“สงสัยจะมีแต่ฉันคนเดียวที่ไม่ได้รับเชิญ”
ค่ำนั้น...ปานฟ้านั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ไล่มือตามซองที่เป็นชื่อภาคินแล้วมองเศร้าๆ ปานดาวเดินเข้ามานั่งข้างๆแล้วแกล้งถามเสียงหวาน
“ว่าไงยะ...มีอะไรให้ช่วยมั้ย”
ปานฟ้าถอนใจ จะเก็บการ์ดของภาคิน ปานดาวเห็นแว่บๆ ดึงมาดู แค่นยิ้มเยาะ
“เชิญไอ้กิ๊กเก่าขี้คุกของเธอด้วยเหรอ”
“เขาไม่ได้ติดคุก แต่โดนใส่ร้ายต่างหาก”
ปานดาวยิ้มเยาะ
“เออ...ฉันขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว แต่เธอนี่ก็เก่งนะ กินรวบทั้งพี่ทั้งน้อง คนนึงคู่ควง อีกคนคู่หมั้น เก่งจริงๆ น้องสาวฉัน”
ปานฟ้าดึงซองไว้
“พี่ดาวพูดอย่างนี้หมายความว่าไง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นซื่อหรอกน่า แต่ก็ดี รวบหัวรวบหางทั้งพี่ทั้งน้องมรดกจะได้ไม่ตกไปอยู่กับคนอื่น เธอก็จะได้มีสมบัติติดตัว ไม่ต้องแย่งกับคนที่นี่” ปานดาวหันมายิ้มร้าย พูดน้ำเสียงดุดัน “เพราะสมบัติของบ้านนี้ทั้งหมด ต้องเป็นของธัญวิทย์คนเดียว”
ปานฟ้ามองพี่สาวแบบไม่อยากจะเชื่อที่ได้ยิน ปานดาวปล่อยซองชื่อภาคินลงกับพื้น แล้วเดินเยาะๆไป
ตุลย์มองภาคินที่นั่งอยู่ตรงข้าม แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ...
“ทำไมถึงยอมปล่อยให้คุณฟ้าไปหมั้นกับก้องภพ คุณกับเขาก็รักกันดีไม่ใช่เหรอ แล้วไหง...”
ภาคินหน้าเครียด
“ไม่ได้ยอม ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นด้วย แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อคุณฟ้าเขาต้องการอย่างนั้น ผมจะมีสิทธิ์อะไรไปขอให้เขาอยู่ตัวเองยังเอาไม่รอด ชีวิตตอนนี้แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว”
ตุลย์หยั่งเชิง
“ไม่ทันไรก็ท้อซะแล้ว งั้นผมถามอีกข้อเดียว คุณได้พยายามจะดึงเขากลับมาจากไอ้ก้องภพหรือยัง แถมอีกข้อก็ได้ ตั้งแต่คบกับคุณฟ้ามา คุณเห็นคุณฟ้าเป็นผู้หญิงที่จะทอดทิ้งผู้ชายที่เขารัก ในตอนที่คุณลำบากเหรอ”
ภาคินอึ้งไป ถอนใจ
“ผม...อาจไม่ใช่ผู้ชายที่เขารัก”
ตุลย์มองหมั่นไส้
“มีน้อยใจ แต่คุณก็รักเขาใช่ป่าวล่ะ อย่า ไม่ต้องทำงอน ปฎิเสธ ชีวิตคนเกิดมามีชีวิตเดียวนะ อุตส่าห์ได้เจอคนที่รักแล้ว จะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆเหรอ ไอ้ที่ยื้อจนน่ารำคาญมันก็มี แต่พวกที่ดันปล่อยมือก่อนได้พยายามถึงที่สุดเนี่ย คุณว่ามันบื้อมั้ยวะ”
“เออ...อาจไม่บื้อแต่โง่...โง่มาก ถึงมากที่ซู้ด”
ตุลย์จ้องสบตา ภาคินนิ่งคิดอย่างเริ่มได้คิด เริ่มมีความหวัง
วันใหม่...ภาคินไปที่ห้างสรรพสินค้า เพื่อไปพบปานฟ้า เมื่อไปถึงได้พบเลขาหน้าห้อง
“ผมมาขอพบคุณปานฟ้าครับ”
เลขาอึกอัก
“เอ่อ คุณฟ้าตอนนี้ ไม่อยู่ค่ะ”
“แต่ผมเห็นรถจอดอยู่หน้าตึกนี่ครับ”
“เออ ไม่อยู่ในห้องค่ะ เห็นเดินออกไปข้างนอก แต่ไม่ทราบว่าไปไหน”
ภาคินมองชะเง้อในห้อง เหมือนอยากเข้าไปดู แต่เลขาทำท่ากันท่า จ้องเขาเขม็ง ภาคินเลยได้แต่ผิดหวัง
ปานฟ้านั่งทำงานอยู่ในห้องกำลังเซ็นเอกสาร เลขาเปิดประตูเข้ามารายงาน
“คุณฟ้าคะ เมื่อสักครู่คุณภาคินมาขอพบ แต่หนูบอกว่าคุณฟ้าไม่อยู่ตามที่สั่งไว้นะคะ”
ปานฟ้าพยักหน้า
“จ้ะ ขอบใจมาก กลับไปทำงานได้แล้วจ้ะ”
เลขาเดินออกไป ปานฟ้าทิ้งตัวลงกับเบาะเก้าอี้ถอนหายใจยาวแล้วหลับตาลง
“เธอต้องเข้มแข็งนะปานฟ้า ต้องเข้มแข็ง”
บุญทิ้งในชุดลิเกกำลังยืนอยู่หน้าเวทีกับกัญญา โดยมีช้อยกับไข่ตุ๋นยืนอยู่ข้างหลัง บุญทิ้งจะเดินเข้าไปหากัญญา
“แม่จ๋า แม่...นั่นแม่ใช่ไหมจ๊ะ”
“โถลูกแม่”
บุญทิ้งกับกัญญาโผเข้าหากัน แต่ช้อยกับไข่ตุ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับดึงเอาไว้ ช้อยได้ทีแกล้งผลักบุญทิ้งแรงๆจนเซถลา ไข่ตุ๋นนึกว่ามุกเลยยิ่งแกล้งดึงบุญทิ้งยกใหญ่ คนดูฮือฮาชี้มาทางช้อยทำท่าเหมือนจะด่า
“หนอย จะไปไหนเจ้าลูกคนนี้ กลับมากะแม่ซะดีๆ” ช้อยร้องลิเก “เฝ้าอุ้มชูเลี้ยงดูมา แหมมันน่าน้อยใจนัก เป็นแม่ไก่แม่กาฟักไม่รู้จักสำนึกคุณ อยู่ดีๆจะหนีหาย นี่กระไรน่าฉงน เกิดเป็นคนน่าพิกล เกินจะทนได้ทุกครา” ช้อยหยุดร้อง “มานี่เลยมา กลับมากับฉันเดี๋ยวนี้”
ช้อยกับไข่ตุ๋นดึงแขนบุญทิ้งคนละข้าง กัญญาร้องไห้วิ่งตามบุญทิ้ง แต่ถูกช้อยผลักล้มลงไปกับพื้น คนดูลุกฮืออย่างอิน บุญทิ้งมองที่กัญญาแล้วร่ำร้องหาแม่เสียงเศร้า
“แม่จ๋า แม่เจ็บไหมจ๊ะ”
“อย่านะ อย่าเอาลูกฉันไป ได้โปรดเถอะ อย่าเอาไป”
แม่ยกทนไม่ไหวลุกขึ้นยืน
“เอ๊ะนังนี่ ปล่อยสิยะ แม่ลูกเขาได้เจอกันแล้วยังมาขัดขวางอีก”
แม่ยกอีกคนลุกตาม
“ใช่ ปล่อยนะยะ ไม่งั้นมีตบแน่ ปล่อยสิ ไอ้เด็กอ้วนด้วย ทำหน้าทะเล้นเดี๋ยวเจอฟาดสักทีเหอะ”
ไข่ตุ๋นกับช้อยมองหน้ากันแบบชักกลัว เลยรีบหลบเข้าหลังเวทีไป
ลิเกจบแล้ว นักแสดงออกมายืนหน้าม่าน บุญทิ้งไหว้ขอบคุณไปทั่วโรงลิเกหน้าตาแจ่มใสแช่มชื่น กัญญามองอย่างเอ็นดูแต่ช้อยเบะปากสะบัดหน้าหนี พวกแม่ยกเดินมาหาบุญทิ้งเรียกให้ก้มลงคล้องพวงมาลัยให้
“โถพ่อคุณ ตัวนิดเดียวแต่ร้องเพราะจับใจป้า โตขึ้นต้องดังเป็น พระเอกอันดับหนึ่งแน่ๆ ไหนๆ ขอป้าหอมทีก่อนนะ”
แม่ยกหอมซ้ายขวา บุญทิ้งยิ้มเขินแต่ก็ไหว้ขอบคุณ คนอื่นๆทยอยเดินเอาพวงมาลัยติดแบงก์มาให้จนล้นคอ กัญญาก้มลงขอบคุณรับพวงมาลัยบ้าง ช้อยมองเหยียดๆไม่พอใจ คนดูคนหนึ่งกวักมือเรียก
“นี่ๆ แม่คนนั้นน่ะ คนที่เล่นเป็นแม่เลี้ยงน่ะ”
ช้อยหันไปตามเสียง พนมมือไหว้ชดช้อยยิ้มหวาน ก้มตัวรอรับพวงมาลัยบ้างแต่เก้อไปเพราะไม่มีมาลัย แม่ยกอีกคนยืนเท้าเอวทำหน้าเหี้ยมใส่
“ไม่ต้องมาไหว้ย่ะ อย่าให้ฉันเห็นไปเดินตลาดเชียวนะ ได้เจอหนามทุเรียนแน่ คนอะไรใจร้ายใจดำพรากแม่พรากลูก ร้ายทั้งตัวแม่ตัวลูกเลย ระวังไว้แล้วกัน”
ช้อยหน้าเสียจับหน้าตัวเองเพราะกลัว ไข่ตุ๋นหลบหลังช้อยเอาตัวเองซ่อนด้านหลังสุดๆ
วันต่อมา...ปานฟ้าเดินตรวจงานอยู่ ภาคินนั่งดักรออยู่ลุกขึ้นจะเดินเข้าไปหา เธอเห็นเขารีบเดินเลี่ยงจะหลบฉาก ภาคินรีบเดินตามไปแต่ถูกพนักงานที่กำลังขนหุ่นโชว์เสื้อขวางไว้ เขาชะเง้อมองหาแต่ก็ติดอยู่ไปไม่ได้ พอพ้นจากหุ่นก็เห็นคนคล้ายๆปานฟ้าจึงวิ่งเข้าไปหา แต่คนนั้นหันมาทำหน้างงใส่ ภาคินก้มหัวขอโทษ อย่างผิดหวัง
ปานฟ้าขับรถเลี้ยวเข้ามา หน้าบ้านมีรถภาคินจอดอยู่ เขายืนพิงรถรอ พอเห็นปานฟ้าก็ยิ้มออกแล้วพยายามโบกมือให้จอดคุยกัน หญิงสาวมองขมขื่น ฝืนใจแกล้งทำไม่เห็นขับรถเลยเข้าไปในตัวบ้าน ชายหนุ่มร้อนรนจะตามเข้าไปในบ้าน แต่พิมที่ยืนอยู่กลับลากรั้วปิดใส่หน้ายิ้มเยาะสาแก่ใจ ภาคินเกาะรั้วมองเข้าไปยังรถของเธอ ปานฟ้ามองภาคินจากกระจกส่องหลังอย่างเศร้าๆแต่พยายามข่มไว้
ปานฟ้าอยู่ในร้านเสื้อสุดหรูยืนอยู่หน้ากระจกลองชุดไทยประยุกต์สำหรับวันหมั้น ก้องภพกำลังตื่นเต้นเลือกของอยู่กับเจ้าของร้าน ปานฟ้าปรายตากลับมามองตัวเองในกระจกใบหน้าเศร้าๆ ลูบแขนตัวเองเบาๆอย่างเหม่อลอย ก้องภพเดินมาเอาสร้อยใส่จากด้านหลัง เธอตกใจครู่หนึ่งแต่ก็ยอมให้ใส่ ก้องภพลอบมองใบหน้าปานฟ้าผ่านกระจกแล้วยักไหล่ไม่แคร์ พอใส่เสร็จก็ยิ้มสมใจอยู่คนเดียว
ค่ำนั้น...ภาคินนั่งหมดอาลัยอยู่หน้าบ้าน ก้องภพเดินมาเห็นพอดี ยิ้มร้าย แล้วเดินเข้าไปหา
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ไอ้ลูกเมียน้อยหมาหัวเน่า เป็นไงเคลียร์เรื่องฉาวโฉ่ของไอ้มูลนิธิบ้าบอของแกเสร็จแล้วเหรอ ถึงมาสะเออะนั่งหน้าเศร้าในบ้านได้”
ภาคินจะลุกหนีแต่ถูกขวาง
“ทนฟังไม่ได้หรือไง คนอย่างแกมันไม่เจียมกะลาหัว ริอยากจะคบไฮโซอัพเกรดตัวเอง จะแย่งคุณฟ้าไปจากฉันน่ะฝันไปหรือเปล่า ผู้หญิงดีๆแบบเขาจะมาสนใจอะไรแก มีแต่ตัวจนก็จน แม่ก็เป็น...”
ภาคินมองก้องภพด้วยแววตาแข็งกร้าว ก้องภพเลยเงียบเสียงลง
“ผมจะไปนอน แล้วหวังว่าคืนนี้ของเรา คงไม่ต้องจบด้วยเลือดของคุณอีก”
ก้องภพหัวเราะเย้ย
“ฉันไม่กลัวแกหรอกไอ้นอกคอก เตรียมเก็บข้าวเก็บของไสหัว ย้ายออกไปจากบ้านได้เลย เพราะฉันกับเมีย” ก้องภพเน้นเสียง “อยากอยู่กันตามลำพัง หรือถ้าสิ้นคิด ไม่มีที่ไป จะอยู่ดูผัวเมียเขามีความสุขด้วยกันก็ตามใจ ฉันไม่ถือ”
ภาคินกำมือแน่นจนมือสั่น เงื้อมือจะต่อย ก้องภพทำหน้าท้าทาย ภาคินสะบัดมือลงแล้วเดินเบียดไหล่ก้องภพออกไป ก้องภพหัวเราะเยาะเย้ยเสียงดังไล่หลัง
ภาคินกลับไปนั่งซึมอยู่ในห้องนอน เขาเม้มปากแน่นอย่างตัดสินใจ แล้วก็ลุกขึ้นยืนคว้ากระเป๋าใบเล็กมาเปิดแล้วเดินเก็บเสื้อผ้ามาหอบไว้เดินมาที่กระเป๋า อานนท์ยืนอยู่ที่ประตูกำลังมองมาอย่างอ่อนโยนปนสงสาร
“พ่อยังไม่นอนเหรอครับ”
อานนท์เดินเข้ามา
“จะไปไหน ถึงเก็บของใส่กระเป๋าแบบนี้”
ภาคินเม้มปากแล้ววางเสื้อผ้าที่หอบไว้วางบนเตียง เขามองสบตาพ่อสายตาหม่นหมอง
“ตอนนี้ผมไม่เหมาะกับที่นี่แล้วครับ ไม่มีใครต้องการผม ผมทนมานานมากแต่ผมจะไม่ทนต่ออีกไปแล้ว ขอโทษด้วยนะครับที่ตัดสินใจอย่างนี้ ถึงแม่ผมจะเป็นคนมาทีหลัง แต่ผมก็รักเขา ผมทนไม่ได้ที่คนอื่นจะด่าว่าแม่อยู่ทุกวัน”
อานนท์อึ้งไปแววตาเศร้า ภาคินแววตาเจ็บปวดก้มหัวลงไหว้พ่อ
“ผมลาล่ะครับ พ่อ”
ภาคินยัดผ้าลงกระเป๋าจะออกไป แต่อานนท์จับหูกระเป๋าไว้มองสบตากับลูกชายนิ่ง แล้วลงนั่งบนเตียง
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ที่นี่เป็นบ้านของลูก”
“ไม่ใช่ ผมมันแค่กาฝาก เป็นตัวน่าอับอายของตระกูล ของคุณหญิง”
อานนท์เงยหน้าจ้องตา
“ไม่ใช่ ลูก...เป็นลูกที่พ่อภูมิใจ เป็นลูกที่เกิดจากความรักของพ่อกับแม่ ตอนนี้พ่อเองก็กำลังตามหาแม่บุษบาอยู่ อย่าเพิ่งออกไปเลยเรามาช่วยกันตามหาแม่เขากันก่อน ดีมั้ย”
ภาคินได้ยินแววตาก็มีความหวังดูสดใสขึ้น อานนท์ยิ้มรับยกมือตบบ่าเบาๆ
“พ่อได้ข่าวแม่บ้างรึงยังครับ”
อานนท์ส่ายหัว
“พ่อปล่อยให้เรื่องมันผ่านมานานเกินไป แต่ถึงตอนนี้จะยังไม่เจอพ่อก็จะไม่ท้อ จะต้องตามให้เจอแม่บุษบาจนได้”
ภาคินพยักหน้าเข้าใจ อานนท์ลูบไหล่ปลอบลูกชายด้วยความห่วงใย
“พ่อรู้ว่าลูกเจอปัญหาหลายๆอย่างพร้อมกัน ท้อได้ แต่อย่ายอมแพ้อดทนอย่างมีสติ ให้เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนของชีวิต คนเรายังมีเรื่องที่ต้องอดทนอีกมากมาย พ่อหวังว่าภาคินจะผ่านช่วงนี้ไปได้ ลุกขึ้นยืนอย่างเข้มแข็ง”
อานนท์กอดไหล่ลูกชายเบาๆ
“จำไว้...พ่อรักลูก”
อานนท์ย้ำคำ ภาคินเม้มปากแน่นน้ำตาคลอ
ช้อยเดินอารมณ์ดีหิ้วตะกร้าเหวี่ยงไปมา บุญทิ้งกับไข่ตุ๋นเดินตาม ไข่ตุ๋นอดหมั่นไส้ไม่ได้เหน็บไปทีนึง
“แหมน้าช้อย อารมณ์ดีเชียวนะ ร้องเพลงหงุงหงิงๆยังกะนกแก้ว”
ช้อยหันมายิ้มเชิ่ดๆ
“แน่สิยะคุณหลานไข่เน่า คนมันรวยแล้ว คราวนี้ขอซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่ไปกินให้สมใจหน่อยเถอะ อ่ะ เดินเร็วๆสิยะ ต้วมเตี้ยมเดี๋ยวทิ้งซะหรอก”
ช้อยเดินทิ้งเอวเข้าตลาด ไข่ตุ๋นหันไปแกล้งเลียนแบบช้อยใส่ บุญทิ้งยิ้มขำ ช้อยเดินเข้าไปที่เขียงหมูจิ้มเลือกหมูชิ้นโต
“เอาชิ้นนี้นะแม่ค้า แล้วก็เอาตับอีกครึ่งโล”
แม่ค้าเห็นบุญทิ้งที่ตามมาก็นึกจำได้ รีบวางมีดร้องทัก
“อุ๊ย นั่นพ่อลิเกตัวน้อยคืนก่อนใช่ไหมเนี่ย แหมน่าตาน่ารักแล้วยังเป็นเด็กดีออกมาช่วยซื้อของอีก”
ช้อยเบ้ปากบ่นเบาๆ
“พวกขี้เห่อ”
แม่ค้าไม่สนใจ ตะโกนดันขึ้น
“นังปริก นังปริกโว้ย พระเอกตัวน้อยมาร้านข้าโว้ย เอ็งจำได้หรือเปล่า อ่ะนี่พ่อคุณ ไม่ต้องซื้อจ้ะ ป้าให้หมูไปฟรีๆเลย”
แม่ค้าพูดอย่างเอ็นดู พวกพ่อค้าแม่ค้าเริ่มรุมล้อมบุญทิ้งที่ยืนข้างไข่ตุ๋นที่ยิ้มหน้าบาน ช้อยถูกกันออกนอกวงเจ็บใจอยู่คนเดียว แม่ค้าผักเอาผักมาให้
“นี่จ้ะ คะน้าสดๆ เอาไปผัดกินนะลูก”
แม่ค้าขนมเอาชนมมาให้
“ของป้าเป็นขนมกล้วยขนมมัน แล้วก็มีใส่ใส้ เอาไปแบ่งๆกันกินนะจ๊ะ พ่อหนูน้อย”
บุญทิ้งกับไข่ตุ๋นยิ้มแป้น รับของสลับไหว้ทั่ววง ช้อยปรายตามองแล้วสะบัดหน้าพรืดอย่างเสียหน้า
“หนอย เป็นนางเอกมาตั้งชาติไม่เห็นมารุมให้กันอย่างนี้มั่ง ไอ้พวกคนแก่ขี้เห่อ เชอะ ใครสนใจกันเล่า”
ช้อยเดินซื้อๆของหน้าบูดแล้วเอามากองรวมๆไว้ เห็นบุญทิ้งกับไข่ตุ๋นของเต็มมือยิ่งนึกมั่นไส้เลยชี้นิ้วสั่ง
“ไอ้ไข่ตุ๋น ไอ้บุญทิ้ง แกหิ้วของทั้งหมดนี่แล้วตามฉันมา ฉันจะไปหาโอเลี้ยงกิน โอ๊ย...ร้อนจริงๆ”
ไข่ตุ๋นส่ายหน้าแล้วบ่นอุบ
“โอ้ยน้าช้อย ก็ช่วยๆกันถือสิ พวกผมเป็นเด็กจะถือหมดไงไหว”
ช้อยเท้าเอวทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ แม่ค้าที่ยังอยู่รอบๆบุญทิ้งมองหมั่นไส้
“จะอะไรกันนักหนายะแม่คู้น ใช้แต่เด็กได้ไง ของตั้งเยอะหนักจะตาย เอาไปหิ้วเองสิยะ”
ช้อยแหวใส่
“เอ้าป้า ก็มันเป็นเด็กต้องคอยรับใช้ผู้ใหญ่สิ ส่งเสียเลี้ยงดูเปลืองข้าวไปตั้งเท่าไหร่ กะอิแค่ของหนักใช้ๆมันแค่นี้ไม่ตาย ไป ไอ้บุญทิ้ง ไอ้ไข่ตุ๋น รีบๆถือรีบๆตามมา เสียอารมณ์”
แม่ค้าของขึ้น ชี้หน้าช้อย
“หนอยนังนี่ ที่แท้แกก็เป็นนางร้ายเหมือนในลิเก ไอ้คนใจร้ายโหดเหี้ยมอำมหิต นังแม่เลี้ยงใจร้ายพรากลูกพรากแม่”
ช้อยขึ้นเสียงใส่
“เอ๊ะป้า แก่แล้วเลอะเลือนเหรอ จะอินอะไรนักยะ ไปไป๊”
กลุ่มแม่ค้าได้ยินยิ่งไม่พอใจ
“นังนี่ปากดี งั้นขอสักทีแล้วกัน”
แม่ค้าผักโยนผักเน่าใส่ ช้อยร้องกรี๊ดลั่น แม่ค้าทุเรียนที่อยู่ใกล้ๆฉวยเปลือกทุเรียนทำท่าจะตบ ช้อยวิ่งหนีไปเจอแม่ค้าไก่เอาโครงไก่โยนใส่หัว ช้อยกรี๊ดเล่นงานกลับ เลยยิ่งโดนรุมใหญ่ บุญทิ้งกับไข่ตุ๋นจะเข้าไปช่วยก็ไม่กล้ากลัวโดนลูกหลงเพราะกำลังชุลมุน
“เอาไงดีไข่ตุ๋น”
ไข่ตุ๋นส่ายหน้า
“ตอนนี้ไม่เอาว่ะ เข้าไปช่วยมีหวังซี้แหงแก๋ มาแบบนี้ต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี เผ่นก่อนดีกว่า” ไข่ตุ๋นฉวยขนมของกินจับมือบุญทิ้งวิ่งหนี
“ไอ้บุญทิ้ง ไอ้ไข่เน่า แกจะทิ้งฉันไปไหน กลับมา...กลับมาช่วยกันก่อน ไอ้อกกตัญญู ไอ้...ไอ้เด็กบ้า กลับมา”
ช้อยโอดครวญ แม่ค้าได้ยินยิ่งช่วยกันรุมยำอย่างชุลมุน
ช้อยนั่งอยู่บนพื้นมีรอยแผลเต็มตัวร้องโอดโอย ไข่ตุ๋นนั่งทำแผลให้จิ้มยาทา ช้อยสะดุ้งเฮือก
“โอ๊ย เบาๆหน่อยสิยะ มือคนหรือมือควาย โอย...พี่ถมจ๊ะ วันหลังไอ้ตลาดบ้านี่ฉันจะไม่ไปอีกเลย ร้อยวันพันปีไปไม่เคยโดนอะไร แค่ไอ้เด็กเก็บตกไปด้วยครั้งเดียวฉันน่วมไปทั้งตัวเลย ซวยจริงๆ”
ช้อยถลึงตาใส่บุญทิ้งที่นั่งข้างกัญญา ถมหัวเราะ
“เอ้า...นี่ไปด่าเขาไม่ใช่เหรอถึงโดนมาขนาดนี้ ดูๆ ตัวเองทำผิดเองแล้วยังไปว่าเด็กอีก พาลจริงๆ”
ช้อยทำกระเง้ากระงอด ไข่ตุ๋นได้ยินที่ถมพูดก็แอบหัวเราะ ช้อยเขกมะเหงกลงกลางหัว
“ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกนะไอ้ไข่เน่า แกนี่มันไอ้ตัวแสบ แสบมากๆน้าโดนรุมจะตายมิตายแหล่ดันเผ่นแน่บไม่มีช่วยสักนิด”
ไข่ตุ๋นแกล้งร้องโอดโอย
“อ้าวน้าช้อย ขืนไม่เผ่นก็โดนไปด้วยคนอ่ะดิ ไม่เอานา ไข่ไม่อยากงอมพระรามนะคร้าบ”
ช้อยยกมือจะตีแต่ไข่ตุ๋นแว่บหลบทัน กัญญากับบุญทิ้งหัวเราะเบาๆ ถมอมยิ้มตาม
“เอาน่าช้อย ไอ้ที่ตอนนี้กิจการดีคนดูติดคณะเรากันแยะก็เป็นเพราะเจ้าบุญทิ้งๆจริงๆนั่นแหละ ไม่งั้นไม่มีเงินไปจ่ายตลาดหรอกนา แม่ครูกัญญากับช้อยแล้วก็ไข่ตุ๋นต้องช่วยกันดูแลพระเอกใหม่ของเราให้ดีๆแล้วกัน”
กัญญายิ้มรับ
“จ้ะพี่ถม”
ถมมองบุญทิ้ง
“บุญทิ้งเองก็ต้องเป็นเด็กดี หมั่นซ้อมหมั่นฝึกฝนนะ”
“ครับ พ่อครู”
ช้อยค้อนใส่ทุกคนแล้วเชิดหน้า ทำปากมุบมิบๆคล้ายพึมพำด่า
“ใช่ซี้ ไอ้บุญทิ้งตอนนี้มันขึ้นหม้อ กลายเป็นไอ้ลูกเทวดาไปแล้ว เฮอะ...ฉันจะคอยดูว่าจะเห่อกันได้นานแค่ไหน”
ช้อยหัวเราะแต่ก็หยุดลงเพราะแผลที่ปาก พอหายก็หัวเราะอีก
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 18.00 น.
ดุจดาวดิน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ภาคินนั่งเปิดดูสมุดบัญชีแล้วถอนหายใจเครียด บนโต๊ะมีเอกสารอายัดบัญชีทรัพย์สิน เฟื่องแก้วเดินเข้ามาหน้าเศร้าๆ ภาคินเห็นเฟื่องแก้วมาก็หยิบกระเป๋าเงินตัวเองขึ้นมา
“ตอนนี้บัญชีของมูลนิธิถูกอายัดอยู่ แต่เรื่องเงินเดือนคุณแก้วไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมยังพอมี”
ภาคินเปิดกระเป๋านับเงินส่งให้
“อ่ะ คุณเอาส่วนนี้ไปใช้ก่อน ที่เหลือผมจะทยอยให้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
เฟื่องแก้วมองเงินในมือภาคิน รู้สึกผิดจนน้ำตาคลอ ส่ายหน้าจะไม่รับ
“ฉันไม่มีหน้ารับเงินนี้หรอกค่ะ เรื่องคราวนี้เป็นเพราะฉันคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน ทุกคนก็คงไม่ลำบากแบบนี้”
ภาคินยิ้มเหนื่อยๆแต่ก็ยัดเงินใส่มือของเธอแล้วจับให้กำไว้
“รับไว้เถอะ คุณต้องใช้ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
เฟื่องแก้วร้องไห้โผเข้ากอดภาคิน
“ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ”
ภาคินกอดตอบลูบหลับเบาๆปลอบใจ ปานฟ้าเดินเข้ามาเห็นภาพกำลังกอดกันพอดี ภาคินเห็นปานฟ้าก็รีบผละออก
“คุณฟ้า”
ปานฟ้ามองอย่างน้อยใจมาก
“ขอโทษค่ะ ที่มารบกวน แต่คิดว่าควรเอาการ์ดงานหมั้น มาเชิญคุณด้วยตัวเอง”
ปานฟ้าฝืนยิ้มเจ็บปวด ภาคินเองก็ส่งสายตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน
ปานฟ้ามองสบตาภาคินอยู่ในสวน เธอฝืนยิ้มร่าเริง
“ขอโทษนะคะที่เมื่อกี้เข้ามาขัดจังหวะคุณกับคุณแก้ว คงกำลังปรึกษางานกันยุ่งๆอยู่ใช่ไหมคะ”
ภาคินส่ายหน้า
“เปล่าครับ ช่วงนี้แทบจะไม่มีอะไรทำเลย งานมูลนิธิเองตอนนี้ก็มีปัญหาต้องหยุดทั้งหมด ยังดีที่แก้วเขาดูแลเรื่องบัญชีผมเลยเบาไปบ้าง”
ปานฟ้าฟังยิ่งน้อยใจ
“แต่คงไปหนักเรื่องอื่นแทนใช่มั้ยคะ ฟ้าเห็นมีสาวๆมาให้กำลังใจหลายคน เหนื่อยหน่อยนะคะ สับรางกันวุ่นวาย”
ภาคินมองปานฟ้าอย่างไม่เข้าใจ
“แก้วเขาก็ช่วยงานผมมาตั้งนาน ส่วนสิริโสภาก็เพื่อนผม ผมคบหากันบริสุทธิ์ใจกับทั้งสองคน ไม่มีอะไรจริงๆ”
“ฟ้าฟังเรื่องของคุณมามากพอแล้วค่ะ ไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว” ปานฟ้าหยิบการ์ดมาถือในมือแล้วยื่นให้ “นี่เป็นการ์ดของคุณค่ะ ฟ้าขอโทษด้วยที่ไม่ได้ส่งมาให้ล่วงหน้า คิดว่าบางทีการทำอะไรให้ชัดเจน คงดีกว่าปล่อยให้คาใจ”
หญิงสาวยื่นการ์ดให้ น้ำตาคลอ ชายหนุ่มไม่ยอมรับแต่มองเธอด้วยสายตาปวดร้าว
“นี่คือความรู้สึกจริงๆของคุณใช่มั้ย”
ปานฟ้านิ่งแล้วปล่อยการ์ดหันหลังจะเดินหนี ภาคินเอื้อมมือไปจับข้อมือเธอไว้ การ์ดค่อยๆร่วงลงบนพื้น
“ผมขอถามคุณแค่คำเดียว คุณรักก้องภพเหรอ”
ปานฟ้านิ่งน้ำตาไหล พูดเสียงสั่น
“มันสำคัญด้วยเหรอคะคำว่ารัก ฟ้าเคยคิดว่าความรักมันคือทุกอย่าง คือสิ่งสวยงาม ผู้ชายคนหนึ่งเขาเคยทำให้ฟ้าคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่ผู้ชายคนเดียวกันก็ทำให้ฟ้าเจ็บ คุณรู้ไหมคะว่าฟ้าเจ็บแค่ไหน ความรู้สึกของคนโง่ ที่หลอกตัวเองให้รอใครคนหนึ่งมาตลอด คุณเคยเข้าใจมั้ยคะ”
ปานฟ้าปาดน้ำตา หันกลับมามอง
“การรอคอยที่ถูกให้ความหวังลมๆแล้งๆ มันร้ายเสียยิ่งกว่าการรอคอยที่ไม่มีหวังอีกนะคะ ฟ้าอยากจะรักคนที่รักฟ้าแค่เพียงคนเดียว ไม่ใช่คนที่จะต้องเผื่อแผ่ให้ใคร คุณภาคินคะ ฟ้าเหนื่อยกับการต้องร้องไห้คนเดียวแล้ว และถ้าความรักมันต้องอดทนขนาดนี้ มันยังเรียกว่ารักได้อีกเหรอคะ”
ภาคินมองสบตารวดร้าว
“คุณรักก้องภพมั้ย ตอบผมสิคุณฟ้า”
ปานฟ้ามองภาคิน น้ำตาค่อยๆไหล
“ฟ้าตัดสินใจหมั้นกับเขาแล้ว และคงจะไม่มีทางเลือกอื่นอีกค่ะ”
“แล้วที่ผ่านมาล่ะคุณฟ้า มันไม่มีค่าเลยใช่มั้ย ความรักของผมที่ให้คุณแค่เพียงคนเดียว ทุกวันเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน ทุกคำพูดทุกคำสัญญา ความสุขในตอนนั้น คุณลืมมันไปหมดแล้วใช่มั้ยคุณฟ้า”
ปานฟ้านิ่งเงียบ น้ำตาไหล
“ถ้าทางเลือกของคุณคือให้ผมออกไปจากชีวิตของคุณ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ผมขอให้คุณมีความสุขกับก้องภพ ขอให้มีความสุข...เหมือนที่ผมได้จากคุณ ลาก่อนครับคุณฟ้า”
ภาคินปล่อยมือหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ ปานฟ้าเดินออกไปช้าๆปล่อยให้น้ำตาไหล กลั้นสะอื้น
อานนท์ยืนเลียบๆเคียงๆอยู่หน้าบ้านของคณะลิเกพอเห็นคนเดินผ่านก็ดึงเรียกไว้
“เอ่อ พอจะรู้จักนางเอกลิเกที่ชื่อบุษบามั้ยครับ”
“บุษบาเหรอ แป๊บนะ” ชายคนนั้นหันไปตะโกนถามคนในวง “เฮ้ย...ใครรู้จักนางเอกลิเกที่ชื่อบุษบาบ้างมั้งวะ คุณคนนี้เขามาตามหาอยู่”
เสียงตอบดังมาว่าไม่มี ชายคนนั้นหันมาส่ายหน้า
“ไอ้พวกฉันมันลิเกรุ่นหลังๆแล้วน่ะ ยังไงคุณลองไปถามคณะนายถมที่ท้ายซอยนู้นก็แล้วกัน นั่นน่ะคณะเก่าแก่ คงจะรู้อะไรมากกว่าพวกฉัน”
ชายคนนั้นเดินหนีไป อานนท์พยักหน้า พึมพำ
“คณะนายถม”
ถมควักเงินออกมาใบหน้ายิ้มแย้มอย่างดีใจ ช้อยตาโตมองเงินเขม็ง
“โหยพี่ถม ไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะเนี่ยจ๊ะ”
ช้อยตาวาว เอื้อมมือไปหยิบๆ
“เอ้า ตาจะหลุดออกมาแล้ว”
ช้อยยิ้มหวานหัวเราะเบาๆ
“พอดีมีรายการทีวีเขามาวางเงินมัดจำไว้ ตอนนี้พ่อพระเอกรุ่นเล็กของเราเขาโด่งดังใหญ่แล้วนา เขาไปได้ข่าวบุญทิ้งมาเลยจะมาขอถ่ายทอดสดตอนเล่นลิเกกัน นอกจากจะได้ออกทีวีแล้ว ยังได้เงินด้วย”
กัญญายิ้มดีใจ
“อาจทำให้เด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจลิเกกันมากขึ้นด้วย”
“ก็คิดอย่างนั้น อยากให้คนรุ่นใหม่อนุรักษ์ของดีของไทย เออ...เดี๋ยวเอาเงินไปซื้อผ้ามาตัดชุดใหม่กัน ของเก่าเรามันเต็มทีแล้ว ได้เวลาเปลี่ยนเสียที”
ถมยื่นเงินให้ กัญญายกมือไหว้ขอบคุณรับเงินมา ช้อยหน้าบึ้ง
“ให้คนเดียวได้ไง แล้วฉันล่ะ เป็นนางเอกจะให้นุ่งชุดเก่าๆ หรอไง”
“บ่นมาก ก็จะให้เดี๋ยวนี้แหละ”
ถมส่งเงินให้ ช้อยรีบรับ ยิ้มหวาน
“ขอบใจจ้ะ...พี่ถมจ๊ะ ฉันจะซื้อเครื่องประดับใหม่ยกหมดครบชุดด้วยนะ ไม่งั้นเดี๋ยวคนดูจะว่านางเอกลิเกวิกนี้ซอมซ่อ”
ถมมองเอือมๆแต่ก็พยักหน้า
“เอ้า อยากไปก็ตามใจ ไปกับกัญญาเลย จะได้ไปช่วยกันถือ”
“ดีเลยจ้ะ จะได้ไปซื้อขนมมาฝากไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งด้วย ต้องขอบคุณกันเสียหน่อย นี่ถ้าไม่มีพ่อจอมทอง คณะเราคงไม่ได้ดังขนาดนี้”
ช้อยทำปากด่ามุบมิบทำนองหมั่นไส้
“จอมทอง...ไอ้ลูกโดนแม่ทิ้งต่างหาก”
ถมเห็นด้วยกับกัญญา
“เออ ก็ดีๆ เดี๋ยวฉันเองก็ว่าจะไปบอกข่าวพวกในตลาดเสียหน่อย”
ช้อยค้อน
“แหม ไม่ยักรู้ว่าพี่ถมก็ขี้เห่อกับเขาเป็นเหมือนกันนะ”
ถมยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร
กัญญากับช้อยเดินออกมาทางหน้าบ้านกำลังรอเรียกรถ อานนท์ขับรถเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กัญญานึกได้
“รอตรงนี้ก่อนนะช้อย ฉันลืมของ”
“อีกแล้ว แก่ก็แบบนี้ อัลไซเมอร์...ลืมตลอด ลืมประจำ”
กัญญาไม่เถียงด้วย เดินกลับเข้าไปในบ้าน ช้อยยืนทำหน้าหงิก อานนท์ขับรถมองหาเปิดกระจกชะลอๆ ทำท่าจะถามช้อย แต่ไม่ทันได้ถาม ช้อยอารมณ์เสียโบกมือไล่
“แถวนี้จอดไม่ได้ ไปเลยไป จอดตรงท้ายซอยโน่น จะมาจอดหน้าบ้านคนอื่นเขาได้ไง ไม่มีความคิด มีเงินซื้อรถแต่ไม่มีสมอง...น่าอายที่สุด”
อานนท์งงๆ แต่ก็ยอมปิดกระจกเลื่อนรถเลยไป พอรถแล่นลับไป กัญญาก็ออกมาจากบ้าน ช้อยเท้าเอวหน้าบูดบึ้ง
“ลืมอะไรอีกหรือเปล่าล่ะ ฉันขี้เกียจรอแล้ว ร้อน รมณ์เสีย”
“ไม่ลืมแล้ว ไปเถอะ”
กัญญากับช้อยเดินออกจากบ้าน รถอานนท์จอดในซอยไกลออกไปนิดหน่อยเขาเปิดรถลงมา มองไปทั่วหวังจะถามหาบ้านถม
ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งกำลังเล่นรถเด็กเล่นเก่าๆกันอยู่ อานนท์เดินเลียบๆเคียงๆเข้ามา
“หนูๆ ที่นี่ใช่คณะลิเกนายถมใช่มั้ย”
“ใช่คร้าบ คุณลุงมาหาพ่อครูเหรอ พ่อครูไม่อยู่นะลุง ไม่รู้ไปไหนแต่ไม่เป็นไร มีอะไรฝากไข่ไว้ได้ ไข่เป็นผอจอกอที่นี่”
อานนท์ส่ายหน้า
“เปล่า ฉันมาถามหานางเอกลิเกที่ชื่อบุษบา หนูพอจะรู้จักไหม”
บุญทิ้งคิดนิดนึงก่อนตอบ
“นางเอกที่นี่ชื่อน้าช้อยครับ แล้วก็มีแม่ครูชื่อแม่ครูกัญญา แต่ตอนนี้แม่ครูไปตลาดน่ะครับ”
“แล้วมีคนชื่อ...บุษบา อยู่ในคณะมั้ย”
บุญทิ้งกับไข่ตุ๋นหันมาสบตา แล้วหันมาส่ายหน้ากับอานนท์
“ไม่มีครับ”
“ชื่อนี้ไม่เคยได้ยิน” ไข่ตุ๋นบอก
อานนท์ถอนใจผิดหวัง
“แล้วนายถมจะกลับมาเมื่อไหร่”
บุญทิ้งส่ายหน้า
“ไม่รู้คับ”
“พ่อครูไม่ได้บอก”
อานนท์นิ่งไป แล้วยิ้มให้อย่างฝืดๆ
“ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวฉันจะมาใหม่ ขอบใจเราสองคนมาก”
ถมเดินกลับมาสวนกับอานนท์ที่เดินออกไปลิบๆ ถมมองตามแล้วเข้ามาหาไข่ตุ๋นกับบุญทิ้ง
“นั่นใคร”
“ใครก็ไม่รู้ มาตามหาสาวชื่อบุษบา...” ไข่ตุ๋นบอก
บุญทิ้งพูดเสริม
“บุษบาที่เล่นลิเกครับ”
ถมชะงักไป...คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่แหลายปีก่อน กัญญาก้มลงไหว้ขอบคุณ ถมจับมือที่ไหว้มองสบตา
“ขอบคุณพ่อครูมากๆนะจ๊ะ ที่ให้โอกาสคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ชีวิตฉันที่ผ่านมามีแต่ความอาภัพ จะมีความสุขกับเขาก็เป็นความสุขที่ทุกข์ทรมาน ชีวิตของบุษบาไม่เคยมีค่าอะไรเลย”
ถมมองสงสาร ลูบไหล่เบาๆ
“งั้นตั้งแต่วันนี้ไป ก็คิดเสียว่าบุษบาได้ตายจากไปแล้ว จะมีแต่กัญญาที่เข้มแข็งและมีความสุขเถอะนะ”
กัญญายิ้มรับก้มลงไหว้อีกครั้ง ถมมองอย่างเอ็นดูสงสาร...
เมื่อนึกถึงอดีต...ถมก็กอนใจออกมาก่อนจะหันไปกำชับเด็กชายทั้งสอง
“เรื่องคนที่มาวันนี้อย่าไปบอกไปถามใครเขาล่ะ ไม่มีใครรู้จักหรอกดีไม่ดี อาจจะเป็นพวกโจรขโมยก็ได้ เข้าใจมั้ยไข่ตุ๋น บุญทิ้ง”
ถมหน้าเครียด แววตาแข็งขึ้น พูดเสียงแข็งก่อนเดินจากไป บุญทิ้งมองตามอย่างสงสัย
“พ่อครูดูแปลกๆ ว่าไหม”
ไข่ตุ๋นเห็นด้วย
“นั่นดิ เสียงแค้งแข็ง ไม่รู้ไปกินอะไรมาเนอะ ผู้ใหญ่นี่แปล๊กแปลก เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหงุดหงิด ไข่ล่ะปวดเฮด”
ไข่ตุ๋นหยิบรถตักดินมาไถเล่น ตรงพื้น ทำท่าขับชนรถในมือบุญทิ้ง แต่บุญทิ้งไม่ยอม เข็นมาชนบ้าง หัวเราะร่า
“อ้าวๆ เดี๋ยวนี้มีสู้ รู้จักท่านไข่ตุ๋นหลานน้าช้อยน้อยไปซะแล้ว”
ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งเล่นรถชนกันไปมา ลืมเรื่องถมไปสนิท
ธัญวิทย์กำลังนั่งเล่นเกมกดในมืออย่างออกรสอยู่ในสวน พิมกับก้านยืนแอบมองอยู่ห่างๆ
“ฉันอยากได้ลูกคืน อยากให้มันรู้ว่าฉันเป็นแม่ ตอนนี้วิทย์ไม่เห็นหัวฉันเลย ดีแต่ไปรักไปเชื่อนังปานดาว นังแม่กำมะลอ”
ก้านบอกยิ้มๆ
“ใจเย็น รอให้ไอ้แก่เจ้าของบ้าน มันยกสมบัติให้ธัญวิทย์ก่อน ถึงตอนนั้นก็ยังไม่สาย”
“พี่ก็พูดได้สิ พี่มันเห็นแก่เงิน มีแต่จะเอาสมบัติๆๆทั้งนั้น”
“แล้วที่เอ็งยอมรับใช้ให้พวกมันโขกสับ ให้เอาลูกไป ไม่ใช่เพราะเงินเหรอวะ เอาน่า ทนมาได้ตั้งนาน ทนอีกนิดจะตายหรือไงจำไว้ เงินมันไม่ใช่พระเจ้า แต่มันเป็นพ่อพระเจ้า ที่ซื้อได้ทุกอย่าง ให้คนเป็นหมาหรือหมาเป็นคนก็ได้...ข้ารู้ว่าเอ็งขัดใจ แต่อดทนไว้ อีกไม่นาน ทั้งสมบัติบ้านนี้และธัญวิทย์จะกลับมาเป็นของเอ็ง”
พิมได้ฟังก็มีท่าทีอ่อนลงยิ้มร้าย
“ได้ ฉันจะรอ แล้วฉันจะคิดค่าตอบแทนในการรอของฉันให้สาสมเลย”
พิมบอกอย่างแค้นใจ
ก้องภพขับรถมาในซอยอย่างเร็ว ก้านขี่มอเตอร์ไซค์ออกมา ก้องภพขับปาดหน้าจนก้านเกือบจะล้ม ก้านโมโหจึงหักหัวรถกลับมาปาดหน้าบ้างจนก้องภพจนเบรกดังลั่น
“เอ้ยอะไรวะ แกมาปาดหน้าฉันทำไม”
ก้องภพหัวเสียลงมาจากรถ ก้านลงมาจากมอเตอร์ไซค์
“ใครกันแน่ที่ทำก่อน เมื่อกี้ข้าขี่ของข้าออกมาดีๆ เอ็งนั่นแหละมาปาดหน้าข้าจนเกือบล้ม แล้วข้าจะทำเอ็งคืนบ้างทำไมจะไม่ได้วะ”
ก้องภพยิ้มเยาะ
“เป็นแค่มอเตอร์ไซค์กระจอกๆ คิดจะแกล้งชนเรียกร้องค่าเสียหายล่ะสิ ไม่โง่ให้หรอกโว้ย หลบไปเกะกะ”
ก้องภพผลัก ก้านไม่ยอมหลบ
“เฮ้ย คนรวยมันพูดขอโทษไม่เป็นเหรอวะ”
“ทำไมฉันต้องขอโทษคนอย่างแก แกสิต้องมากราบเท้าขอโทษฉันที่ทำให้คนรวยเสียเวลา”
ก้องภพจะเดินขึ้นรถ ก้านโกรธมากกระชากคอเสื้อจากด้านหลังแล้วต่อยเปรี้ยง ก้องภพกลิ้งลงไปกับพื้นถนน ก้านตามไปอัดจนก้องภพตัวงอก่อนจะเตะเข้าข้างทาง
“อย่าคิดว่ามีเงินแล้วจะซ่าได้นะโว้ย ระวังจะถูกคนจนมันเหยียบหน้าเอา นี่แค่สั่งสอนเบาะๆ ถ้าข้าเอาจริง เอ็งไม่มีชีวิตไปอวดรวยกับใครได้อีกแน่ จำใส่กะโหลกไว้”
ก้านขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ก้องภพนอนกุมท้องตัวงอไอสำลักเลือด มองตามอย่างเคียดแค้น
กัญญานั่งเย็บผ้าพลางมองไปทางถมที่นั่งนิ่งจ้องมองเธอแต่ไม่พูดอะไร
“พี่ถมมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ เห็นนั่งมองฉันอยู่นานแล้ว” กัญญาวางผ้าลงหันไปหา
“ไม่มีไร” ถมเงียบไป ก่อนจะถามขึ้น “กัญญา ฉันถามหน่อยเถอะ จนป่านนี้แล้ว ฉันยังไม่รู้เหตุผลที่กัญญาต้องมาจากเขาคนนั้นเลย เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย กัญญาก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันเป็นห่วงแค่ไหน”
กัญญานิ่งไป พูดตอบเสียงเบา
“ขอร้องล่ะพี่ถม ฉันไม่อยากพูดถึงมันอีก จบแล้ว ก็ให้มันจบไปเถอะจ้ะ ตอนนี้ฉันขอมีความสุข...ในฐานะแม่ครูกัญญา ฉันไม่อยากกลับไปเป็นบุษบา เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
ถมมองหน้า
“ที่พูดมา...แน่ใจเหรอ”
“แน่ใจจ้ะ”
ถมกับกัญญามองสบตากัน กัญญามีสายตามั่นคง แต่ถมกลับมีร่องรอยความกังวล
ปานฟ้านั่งหน้าเศร้าอยู่บนเตียงของตัวเอง เติมบุญเปิดประตูเดินเข้ามาหาแล้วลูบหัวลูกสาวเบาๆ
“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก”
ปานฟ้าสั่นหน้าเศร้าๆ
“นอนไม่หลับค่ะ คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ”
เติมบุญส่ายหัว นั่งลงข้างๆ
“พ่อน่ะไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เราเถอะ แน่ใจแล้วเหรอว่าจะหมั้นกับก้องภพ”
“พรุ่งนี้แล้วนะคะพ่อ ถึงฟ้าไม่แน่ใจก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว”
เติมบุญโอบกอดลูกสาว ปานฟ้าเอนซบ
“ได้สิลูก ฟ้าเปลี่ยนเรื่องนี้ได้เสมอ เพราะมันเป็นความสุขชั่วชีวิตของลูก พ่ออยากให้ฟ้าได้แต่งงานกับคนที่ฟ้าอยู่ด้วยแล้วมีความสุข คิดทบทวนดีๆ ฟ้ารักก้องภพ หรือกำลังหนีใจตัวเอง”
ปานฟ้าร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ถ้าไม่รัก แล้วจะหมั้นทำไม ยังทันนะลูก พ่อไม่ว่าหรอกถ้าจะยกเลิกงาน ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วงพ่อแม่ ทำตามที่ใจหนูจะมีความสุขเถอะ”
ปานฟ้าปาดน้ำตาเม้มปากแน่น
“ฟ้าตัดสินใจแล้วค่ะพ่อ และก็จะไม่เปลี่ยนใจ ไม่ว่าจะยังไงงานหมั้นพรุ่งนี้ก็ต้องมีค่ะ”
ปานฟ้าแสร้งทำเสียงเข้มแข็งฝืนยิ้มให้ แต่เติมบุญรู้ใจลูกสาวมองด้วยสายตาเป็นห่วง
คณะลิเกกำลังเตรียมตัวเล่น มีเจ้าหน้าที่ของรายการเตรียมการถ่ายทอดสด คนมามุงรอดูอยู่เต็มลาน ถมเดินสั่งงานและคุมงานอยู่ อานนท์เดินเลียงๆเคียงๆแหวกฝูงชนไปหาถม
“คุณครับ คุณใช่คุณถมที่เป็นเจ้าของคณะหรือเปล่า”
ถมพยักหน้า มองงงๆ
“ใช่ มีอะไรเหรอครับ”
“ผมตามหาคุณอยู่ตั้งนาน ได้ข่าวว่าคุณเป็นคณะลิเกเก่าแก่ คุณพอจะรู้จักนางเอกลิเกสมัยก่อนหน้านี้ที่ชื่อบุษบามั้ยครับ ผมกำลังตามหาเขาอยู่”
อานนท์มองอย่างมีความหวัง ถมมองครุ่นคิดเครียดๆ
“ผมรู้จักบุษบา”
อานนท์ฟังอย่างดีใจ มีความหวัง ถมสบตาหน้าเรียบเฉย นิ่งไปนิดนึงแล้วตัดสินใจพูด
“เขากลับมาเล่นลิเก เพราะผิดหวังเรื่องความรัก ผู้ชายคนนั้นทำให้เขาเสียใจมาก”
“ตอนนี้บุษบาอยู่ที่ไหนครับ เขาอยู่ไหน ช่วยบอกผมที ผมอยากเจอเขา...เขาอยู่ที่ไหน"
ถมสบตานิ่ง
“บุษบา...ตายไปแล้ว”
อานนท์อึ้ง ช็อคเซจวนจะล้ม ทั้งเสียใจและผิดหวังมาก
ปานเดือนนอนเหม่อลอยอยู่บนเตียง มองออกไปนอกหน้าต่าง ทีวีเปลี่ยนเป็นรายการถ่ายทอดสด พิธีกรกำลังกล่าวเริ่มรายการ
“สวัสดีครับ ตอนนี้เรากำลังอยู่หน้าเวทีของคณะลิเกที่กำลังมีชื่อเสียง และดาวดวงใหม่ของวงการลิเกไทยที่ผมพูดถึงเป็นเด็กชายที่อายุเพียงไม่กี่ปี ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง จอมทอง ศิษย์ถมทอง”
บุญทิ้งในชุดลิเกเดินออกมารำลิเก ใบหน้าสดใส ปานเดือนเหม่อลอยมองในทีวี เพลงลิเกจากทีวีดังขึ้นเรื่อยๆ ปานเดือนมองเหม่อๆ สักพักก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นจ้อง
“ทินภัทร...ทินภัทรลูกแม่”
ปานเดือนลุกจากเตียงเซๆไปถลาเกาะหน้าทีวี ใบหน้าตื่นเต้นดีใจแปะมือที่จอแล้วใช้นิ้วลูบจอตรงหน้าบุญทิ้ง
“เจอแล้ว ลูกแม่อยู่ที่นี่ ลูกจ๋า”
อนิรุทธิ์เดินเข้ามาในห้อง เห็นปานเดือนก็ปราดเข้าไปหาแล้วประคองไว้
“คุณเดือน ลุกขึ้นมาทำไม กลับไปที่เตียงนะ”
ปานเดือนสะบัดแล้วชี้ไปทางทีวี
“ทินภัทร ลูกอยู่ในนั้น”
อนิรุทธิ์หันไปดู จอขึ้นภาพไข่ตุ๋นเดินออกมาร้องลิเก อนิรุทธิ์ขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่หรอกคุณเดือน ลูกเราจะมาอยู่ในทีวีได้ยังไง กลับไปที่เตียงดีกว่านะครับ จะได้พักผ่อน”
ปานเดือนส่ายหน้า
“ไม่ๆ นั้นลูกของฉัน ลูก ทินภัทร ลูกแม่”
ปานเดือนร้องกรี๊ด พยาบาลวิ่งเข้ามาจับยึดไว้ ปานเดือนสะบัดร้องกรี๊ด หมอรีบเข้ามาฉีดยาให้ เธอหมดสติในอ้อมแขนของอนิรุทธิ์ที่มองภรรยาด้วยแววตาสงสารเจ็บปวด
ในบ้านมีผู้คนเดินขวักไขว่ วิมลวรรณเดินมองรอบๆยิ้มสมใจ
“เดี๋ยวผ้าขาวตรงนั้นจัดให้เรียบร้อยนะ งานหมั้นตาก้องกับหนูฟ้าต้องไม่มีอะไรผิดพลาด เข้าใจมั้ย”
ภาคินเดินเข้ามาในบ้าน เห็นวิมลวรรณกำลังสั่งการ เขามองเศร้าๆแล้วจะเดินเลี่ยงไป วิมลวรรณเห็นเรียกไว้
“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนล่ะภาคิน”
วิมลวรรณเดินไปหา ยิ้มเย้ย ภาคินยืนมองไม่พูดอะไร
“พรุ่งนี้แกคงไม่มีอะไรทำสินะ มูลนิธิก็ปิดไปแล้ว งานหมั้นตาก้องกับหนูฟ้าพรุ่งนี้แกต้องอยู่ร่วมด้วยล่ะ อย่าให้ใครเขาว่าได้ว่าไม่มีมารยาท อ่อ...ฉันหวังว่าแกคงไม่ขี้แยร้องไห้ขี้มูกโป่งกลางงานเพราะทนดูไม่ได้ล่ะ ฉันกลัวขายขี้หน้าแขกเหรื่อ”
ภาคินนิ่ง มองอย่างเก็บอารมณ์ แต่แววตาขมขื่น วิมลวรรณยิ้มสะใจ มองอย่างผู้ชนะ
“แล้วนี่พ่อแกเขาไปไหน ไม่รู้จักมาช่วยกัน”
“ผมไม่ทราบครับ”
“ไม่ทราบๆ อะไรก็ไม่รู้สักอย่าง พ่อแกมันไม่เคยรับผิดชอบอะไรอยู่แล้ว วันๆเอาแต่นิ่ง ทำตัวไร้ประโยชน์ พรุ่งนี้ลูกตัวจะหมั้นอยู่แล้ว ยังมีหน้าไปเร่ตามหานังนางเอกลิเกอีก เชอะ หาไปเถอะ ชาตินี้คงได้เจอหรอก”
วิมลวรรณเบะปาก ภาคินนิ่งไปอย่างสงสัยในคำพูดนั้น...
ภาคินนอนมองเพดานอยู่ในห้อง อานนท์เปิดประตูเข้ามา เขาลุกขึ้นนั่งมองหน้าพ่ออย่างแปลกใจ อานนท์หน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้
“พ่อ...พ่อเป็นอะไรครับ”
อานนท์มองใบหน้ามีความหวังของลูกชายแล้วยิ่งเศร้า เขานั่งลงบนเตียงก้มหน้างอหลังฟุบลงกับเข่า
“พ่อ...พ่อครับ”
ภาคินเป็นห่วงที่พ่อดูเศร้าเหลือเกิน อานนท์ตัดสินใจพูดอย่างเศร้า...
“เป็นความผิดของพ่อเอง พ่อมันขี้ขลาด ไม่กล้าไปตามหาแม่ของลูกตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ บุษบาก็คงไม่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวแบบนี้”
อานนท์พูดอย่างขมขื่น ภาคินช็อคพูดอะไรไม่ออกหน้าเศร้าน้ำตาคลอเงียบๆ
วันใหม่...ในงานหมั้น มีผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ด้วยกัน ปานฟ้านั่งหน้าเศร้าฝืนยิ้ม ก้องภพยังมีรอยบวมปูดแต่ยิ้มสมใจ วิมลวรรณเห็นภาคินเดินเข้ามากับตุลย์ เฟื่องแก้ว สิริโสภาก็ทำท่านึกแผนออก แกล้งเดินเข้าไปหา
“แหม มากันครบเชียว ขอบใจนะที่อุตส่าห์มีน้ำใจมาร่วมงาน เชิญนั่งก่อนจ้ะ อ้อ...ภาคินมานี่แป๊บนึงสิจ๊ะ”
ตุลย์กับเฟื่องแก้วเดินแยกไป ตุลย์มองหน้าก้องภพแล้วหลุดขำ เฟื่องแก้วตีเพี้ยะทำหน้าดุ
“แหมๆ มือไวนะคุณ ว่าแต่หน้าไอ้ก้องภพไปโดนอะไรมา เยินซะ สงสัยแอบไปฟัดกับหมาบ้ามาก่อนแหง”
“เงียบไปเลยหมวด นินทาในงานหมั้นเขาได้ไง”
“พูดถึงหมั้น ยิ่งดูผมยิ่งว่าคู่นี้เขาไม่สมกันเลย อย่างกับนางฟ้ากับหมาบ้า สู้คู่เราก็ไม่ได้ กิ่งทองใบหยกเลี่ยมทองฝังเพชร”
ตุลย์โอบไหล่แต่โดนเฟื่องแก้วถอง
“ทะเล้นแล้วหมวด ใครคู่ด้วย พูดดีๆนะ”
สิริโสภามองยิ้มขำๆ แต่แอบมองภาคินที่อยู่กับวิมลวรรณอย่างเป็นห่วง
วิมลวรรณเดินนำภาคินมาข้างนอก แล้วหันมายิ้มเย้ยแกล้งพูดหวานแต่เชือดเฉือน
“ไหนๆก็ไหนๆ ตอนนี้คนไม่พอ ก็ช่วยกันเสิร์ฟน้ำกับขนมแขกหน่อยนะงานการก็ไม่มีทำ มูลนิธิก็ปิดไปแล้ว ฝึกไว้หลายๆอย่างแหละดี ตกงานไปจะได้ไม่ต้องไปจี้ปล้นใครจนเข้าคุก น้องเขาหมั้นทั้งที แกเป็นพี่ก็ทำตัวให้สมกับเป็นพี่ ช่วยดูแลแขก อย่าทำตัวไร้ค่าไร้ประโยชน์”
ภาคินยืนอึ้ง วิมลวรรณยิ้มสะใจแววตาร้ายกาจ ก้องภพเดินมาตามสวนกับภาคินที่เดินไปยกถาด ก้องภพเบ้ปากมองดูถูก
“แม่เข้างานเถอะครับ ปล่อยให้ไอ้ลูกนอกคอกมันทำไปเหอะ”
ก้องภพหัวเราะแล้วชะงักเพราะเจ็บแผล
“สม เจ็บล่ะสิ รู้ทั้งรู้ว่างานหมั้นจะจัดอยู่วันนี้ยังจะไปมีเรื่องจนหน้าตาแตกมาอีก ฮึ ไม่ดูแลตัวเองเลย”
วิมลวรรณบ่นไปก็แตะแผลลูกชายเบาๆ ภาคินมองด้วยสายตาหม่นหมอง
ปานดาวเข้าประกบสิริโสภา แล้วแกล้งพาตัวมาแนะนำต่อหน้าปานฟ้า สิริโสภาไหว้ทุกคนแล้วยิ้มให้
“แหม คุณสิริโสภานี่สวยไม่เปลี่ยนเลยนะคะ ว่าแต่จะมีข่าวดีเมื่อไหร่คะเนี่ย”
“ยังไม่ได้กำหนดเลยค่ะ แต่ว่าถ้ามีเมื่อไหร่รับรองว่าต้องเชิญทุกคนแน่ๆค่ะ”
ปานดาวยิ้มร้ายที่เห็นปานฟ้าหน้าซีด วิมลวรรณได้ทีช่วยเสริม
“แต่ก็คงหลังงานแต่งตาก้องกับหนูฟ้าสินะคะ คู่นี้เขาล่วงหน้าหมั้นกันก่อนแล้ว คงแต่งเร็วๆนี้ล่ะค่ะ”
ปานฟ้าตกใจ รีบแย้ง
“คงอีกสักพักค่ะ ฟ้ายังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานเลย”
วิมลวรรณไม่ชอบใจนัก
“หนูฟ้าล่ะก็ จะหมั้นนานๆทำไมล่ะจะ หมั้นแล้วรีบแต่งเลยดีกว่า จะได้มีลูกทันใช้ มีหลานหลายๆ คนให้เราชื่นใจ ใช่มั้ยคะคุณสายอุษา”
ปานดาวรีบเสริม
“จริงด้วยยัยฟ้า จะรออะไร หมั้นวันนี้แต่งพรุ่งนี้ยังได้ มัวแต่ลีลาเดี๋ยวก็ได้ขึ้นคานพอดี”
ปานฟ้าหันมองแม่ สายอุษามองหน้าลูกสาวแล้วพูดขึ้น
“อันนั้นก็แล้วแค่ความเหมาะสมค่ะ ดูฤกษ์ยามกันก่อนค่อยว่ากัน”
เติมบุญแย้งทันที
“หมั้นกันไว้สักพักก่อนดีกว่าครับ รอให้ต่างฝ่ายต่างศึกษากันให้แน่ใจกว่านี้แล้วค่อยกำหนดวัน อะไรๆมันยังเปลี่ยนแปลงได้ ให้เวลาลูกๆเราตัดสินใจดีๆก่อน”
สิริโสภามองปานดาวกับวิมลวรรณแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ลอบสบตากับปานฟ้าอย่างสงสาร เธอเอ่ยขอตัว
“ยังไงภาขอตัวก่อนนะคะ” สิริโสภาจะเดินเลี่ยงไปแต่แอบกระซิบปานฟ้า “คุณฟ้าควรจะเชื่อใจคนที่รักคุณนะคะ ภาบอกได้แค่นี้”
ภาคินเดินเสิร์ฟน้ำและขนมในงาน บนเวทีเตี้ยๆ ประธานงานหมั้นนั่งอยู่ ก้องภพกับปานฟ้านั่งพับเพียบด้านหน้ามีสินสอดทองหมั้นและแหวนหมั้นใส่พานไว้ วิมลวรรณบ่นก้องภพเบาๆ
“จะหมั้นทั้งที หน้าเยินเชียว ขยันก่อเรื่องจริงลูกชายชั้น ไปซัดกับใครมา”
ก้องภพเมินหน้าอย่างเจ็บใจ ไม่อยากเล่า ภาคินมองปานฟ้าบนเวทีอย่างขมขื่น ปานฟ้าก้มหน้าไม่ยอมสบตาหน้าหม่นหมอง ภาคินเหม่อมองเรื่อยๆจนเดินไปชนภูวดล
“เฮ้ย แกเดินประสาอะไรวะไอ้ภาคิน เห็นมั้ยเสื้อฉันเลอะหมดแล้ว” ภูวดลโวยวายลั่น
ภาคินตกใจ
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
แขกทุกคนหันมองภาคิน วิมลวรรณเดินออกมาต่อว่าเสียงดัง
“ซุ่มซ่ามจริงๆ เหม่ออะไรกันนักหนาคนทั้งคนไม่เห็นหรือไง สะเพร่า ไปเลยไป ไปเสิร์ฟที่อื่นเลย” วิมลวรรณก้มลงกระซิบ “ทนดูลูกฉันหมั้นกับหนูฟ้าไม่ได้หรือไง ไอ้ลูกเมียน้อย”
ภาคินเก็บอารมณ์มองหน้าวิมลวรรณ เหลือบไปมองปานฟ้าที่มองมาอย่างเป็นห่วงแล้วหลบตาเดินห่างไป วิมลวรรณหันไปพูดกับคนอื่นๆ
“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ แค่เด็กมันซุ่มซ่าม”
แขกคนอื่นๆเลิกสนใจ หันไปหางานหมั้นต่อ ก้องภพมองภาคินในสภาพคนเสิร์ฟอย่างสะใจ ภาคินยืนถือถาดเสิร์ฟมองบนเวที มีแขกเรียกขอแก้วก็รีบเดินเอาไปให้ ก้องภพหยิบแหวนขึ้นมาแล้วจับมือปานฟ้ามาสวม ปานฟ้าลังเลแต่ก็ยื่นมือให้ ก้องภพบรรจงสวมแหวน พอถูกสวมเข้าไปจนสุดน้ำตาของปานฟ้าก็ไหลออกมา แขกปรบมือให้เพราะนึกว่าปานฟ้าตื้นตันใจ ปานฟ้าเงยหน้าขึ้นมอง
ภาคินสบตาปานฟ้าด้วยแววตาเศร้าไม่แพ้กัน
อ่านต่อหน้า 4 วันที่ 21 ม.ค. 55
ดุจดาวดิน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ภาคินกำลังไขกุญแจเข้าไปในห้องทำงาน ภายหลังจากที่มูลนิธิถูกสั่งปิดชั่วคราวแล้ว เขามองไปรอบๆอย่างใจหาย สภาพมูลนิธิว่างเปล่าไร้ผู้คน ใบไม้รกกลาดเกลื่อน ของเล่นถูกวางทิ้งในสนาม
ยิ่งคิดภาคิดยิ่งใจหายที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิด ไม่คิดว่าชีวิตจะตกต่ำถึงเพียงนี้
ภาคินหน้าเศร้าเดินมาทรุดนั่งที่โต๊ะทำงานอย่างหมดแรง เหมือนพลังชีวิตหายไปสิ้นทุกเรื่องรุมเร้าจากทุกด้าน ใจก็เจ็บเมื่อปานฟ้าหมั้นกับก้องภพ ซ้ำอานนท์มาทำลายความหวังเรื่องแม่ ภาคินส่ายหน้าไม่อยากยอมรับความจริง
“ทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว” อานนท์ท้อแท้อย่างหนัก
ที่โรงลิเก...ช้อยนั่งดูแหวนเพชร สร้อยข้อมือ สร้อยคอทองเส้นโตหน้าตายิ้มแย้ม มีความสุข ถม บุญทิ้ง กัญญานั่งใกล้กันถัดออกไป ไข่ตุ๋นนั่งบีบนวดหลังให้ช้อย มองทองหยองที่ช้อยใส่ เอามือมาคว้าสร้อยทองที่คอช้อยเอามาถูๆ
“โห...ถูนิดเดียวเหลืองติดมือเลย...เอาไปชุบใหม่เถอะน้า”
ถมหัวเราะ กัญญากับบุญทิ้งมองแล้วแอบยิ้ม ช้อยเหวี่ยงแขนใส่ ไข่ตุ๋นหลบ
“หนอยเอ็ง...ของจริงโว้ย...คนมันรวย ช่วยไม่ได้”
ถมพยักพเยิดปราม
“ใส่เข้าไปเถอะ เดี๋ยวได้โดนอุ้ม แล้วจะหาว่าไม่เตือน”
ช้อยยิ้มเชิด ชูมือส่องเพชรที่แหวน มองอย่างภาคภูมิใจ
“คงกลัวหรอก แถวนี้มีแต่พ่อยกแม่ยกเราทั้งนั้น ใครมันจะกล้าเพชรพลอย ทองหยอง เขามีไว้ให้ใส่ ไม่ใช่ให้เก็บ”
ถมฟังอย่างหน่ายๆ หันมายิ้มให้บุญทิ้งอย่างปลื้มๆ
“งานนี้เพราะ จอมทอง ศิษย์ถมทอง แท้ๆทำให้พวกเราเฟื่องฟูขนาดนี้เล่นไม่กี่วัน ได้เท่ากับที่เคยเล่นทั้งปี...เรานี่เป็นตัวนำโชคให้คณะถมทองจริงๆ”
บุญทิ้งยิ้มหวานรับ ช้อยขัดคออย่างหมั่นไส้ แค่นยิ้มหยัน
“แหม มันก็ช่วยๆกันล่ะน่า ถ้านังช้อยไม่ส่งบทให้จะดังไหม...จะเป็นลิเกชายเดียวได้ไงยะ”
กัญญายิ้มอ่อนโยน ลูบหัวบุญทิ้ง
“มีตังค์แล้วอยากได้อะไรละลูก”
บุญทิ้งนึก แล้วส่ายหน้า
“ไม่อยากได้อะไรครับ ผมอยากเก็บไว้...” บุญทิ้งยิ้มตาประกาย “ให้แม่”
กัญญาโอบบุญทิ้งมากอด
“โธ่...ลูก”
“เงินเรา พ่อฝากไว้ในบัญชีให้แล้วนะ กว่าจะเจอแม่ตัวจริง บุญทิ้งได้เป็นเศรษฐีแน่”
ถมบอก บุญทิ้งดีใจแต่นึกสักครู่แล้วก็หุบยิ้ม
“มีเงินไปก็เท่านั้น...ไม่รู้แม่อยากเจอผมไหม”
“อยากเจอสิ ต้องอยากเจอแน่”
บุญทิ้งหน้าเศร้าอย่างไม่ค่อยเชื่อ กัญญากับถม ได้แต่มองบุญทิ้งอย่างเห็นใจ
เวลาผ่านไป...กัญญานั่งปักเหลื่อมเสื้อลิเกอยู่มุมหนึ่งข้างๆโรงลิเก บุญทิ้งนั่งซึมอยู่ข้างๆ กัญญาหันไปปลอบโยน
“แม่ทุกคน...รักลูกทั้งนั้น”
“รัก...แล้วทำไมต้องทิ้งผม”
กัญญาน้ำเสียงจริงจัง พูดกับบุญทิ้งแต่ใจกลับนึกถึงเรื่องตัวเอง
“บางที...เพราะรัก ถึงจำเป็นต้องทิ้ง ถึงจำเป็นไม่ให้รู้”
บุญทิ้งจ้องหน้ากัญญา
“ผมไม่เข้าใจ แม่ครูหมายถึงใครครับ”
กัญญาน้ำตาคลอ เสียงเครือยิ้มเศร้า กอดบุญทิ้งแต่ตาเหม่อลอยมองไกลออกไป
“บุญทิ้ง...แม่ครูนี่แหละ...ทิ้งลูกแท้ๆเหมือนกัน”
บุญทิ้งสบตากัญญาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ปานฟ้ากับทุกคนในบ้าน รวมทั้งกองภพ ยืนล้อมเตียงคนไข้ ปานเดือนดีใจที่ทุกคนมาเยี่ยม ตื่นเต้นที่จะได้บอกว่าเห็นบุญทิ้งในโทรทัศน์เธอจับมือปานฟ้า
“พี่เห็นจริงๆนะ ทินภัทรมาอยู่ในนี่” ปานเดือนชี้ที่โทรทัศน์ “เราออกไปตามหาทินภัทรกันเถอะ ฟ้า...พาพี่ไปนะ”
ปานฟ้ายิ้มปลอบใจปานเดือน
“พี่เดือนแน่ใจเหรอคะว่าใช่ เห็นพี่รุทธิ์บอกว่าเป็นรายการ...ลิเก”
อนิรุทธิ์ส่ายหน้ากับอาการของภรรยา ปานเดือนเขย่าแขนน้องสาวยิ้มอธิบายอย่างตื่นเต้น
“นั้นแหละ รุทธิ์ก็เห็นแต่เขาจำไม่ได้ แต่พี่จำได้ ทินภัทรเป็นพระเอกเลยนะ แต่งชุดเพชรแพรวพราวเต็มไปหมด แต่งหน้าซะหล่อ ร้องลิเกก็เพราะมากเลยฟ้า” ปานเดือนตั้งวงแขนรำลิเก “หนอย...นอย...น้อย...นอย...น้อย...”
อนิรุทธิ์ถอนใจ
“ร้องอย่างนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วครับ บอกให้หยุดก็โกรธ ร้องไห้”
ปานดาวยิ้มขำอย่างสมเพศ ในอาการท่าทางปานเดือนที่ร้องรำลิเก
“แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศเลยไหมเดือน...” ปานดาวหัวเราะหันมองภูวดล “เพ้อเข้าขั้น...สงสัยจะกู่ไม่กลับแล้ว”
ก้องภพหัวเราะขำอย่างเผลอตัว ปานฟ้าหันมามองอย่างไม่พอใจ ก้องภพเลยรีบหยุดหัวเราะ ภูวดลมองปานเดือนอย่างครุ่นคิด ชักนึกสงสัย เอะใจ
ปานฟ้าเดินคู่กันกับก้องภพ มาตามทางเดินในโรงพยาบาล เธอครุ่นคิดหนักใจ
“เห็นพี่เดือนเป็นแบบนี้แล้วฟ้ายิ่งกลุ้ม นึกว่าจะค่อยยังชั่วแล้วกลับแย่ลงกว่าเดิม”
“จะไปคิดมากทำไม ก็แค่อาการเพ้อของคนเป็นโรคประสาท หมดลิเกเดี๋ยวดูรายการอื่นก็หันไปบ้าเรื่องอื่นต่อ ทึกทักเอาเด็กคนโน้นคนนี้เป็นลูกตัวเองตลอด อาการแบบนี้หมอเห็นยังส่ายหน้า”
ปานฟ้าหยุดเดิน มองก้องภพอย่างเซ็งๆ
“ให้กำลังใจมากเลยนะ”
“ก็แค่พูดเรื่องจริง ผิดอีกเหรอไง”
ปานฟ้าบ่นอย่างเบื่อๆ
“ตามมาทำไมไม่รู้”
“คู่หมั้นเขาก็ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้ว ไม่เอาน่า...อย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทะเลาะกันดีกว่า ยังไงพี่สาวคุณก็บ้าไปแล้ว”
ก้องภพจับต้นแขนปานฟ้าเหมือนจะโอบ เธอปัดรีบขยับหนี
“เราแยกกันตรงนี้เถอะ ฟ้าจะไปธุระต่อ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปเอง”
ก้องภพไม่ยอม
“ไม่เอา...ฟ้าไปไหนผมไปด้วย”
ปานฟ้าถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“ฉันจะไปห้องน้ำผู้หญิง...คุณจะตามไปไหม”
ก้องภพชะงัก ปานฟ้ามองอย่างเคือง ขมขื่นในนิสัยและการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของเขามาก
ปานดาวกับภูวดลออกมาจากห้องพักปานเดือน หยุดคุยกันหน้าห้อง ปานดาวยิ้มอย่างสบายใจ
“ยัยเดือนมีหวังได้บ้าสมบูรณ์แบบแน่”
ปานดาวมองหน้าสามีที่ดูจะครุ่นคิดอะไรอยู่
“ไม่ดีใจเหรอไง คุณคิดอะไรอยู่ หน้าเครียดเชียว”
ภูวดลบอกอย่างสงสัย
“ไม่รู้สิ...ผมดูอาการพี่สาวคุณแล้ว เหมือนจริงจังกับเด็กที่ร้องลิเกนั่นมาก...มากกว่าที่จะเป็นการเพ้อของคนเสียสติ”
ปานดาวชะงักแต่ก็ยังปักใจเชื่อ
“คุณนี่ระแวงจริง ทินภัทรก็หายสาบสูญไปจากโลกแล้ว ไอ้บุญทิ้งก็ได้ไปเกิดใหม่แล้ว พี่เดือนเห็นเด็กที่ไหนก็ทึกทักเป็นลูกทั้งนั้นแหละ คิดมากระวังเถอะ...ได้บ้าตามไปอีกคน”
ภูวดลนิ่งไป แต่ก็ไม่วางใจนัก
ปานฟ้ายืนลังเลใจอยู่หน้ามูลนิธิที่สภาพทรุดโทรมมาก เธอนึกถึงตอนที่ยืนคุยกับตุลย์ในงานหมั้น…
“ตอนนี้มูลนิธิโดนคำสั่งปิด เพื่อสอบสวนชั่วคราว ภาคินกำลังตกที่นั่งลำบาก”
ปานฟ้านึกเป็นห่วงมากแต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกไว้ เธออ่านเอกสารที่ถูกปิดหน้ารั้วทางเข้ามูลนิธิอย่างเศร้าใจ เห็นประตูรั้วแง้มเปิดอยู่ ก็สองจิตสองใจ สุดท้ายก็เปิดเข้าไป
ปานฟ้าเห็นสภาพมูลนิธิว่างเปล่ารกร้างผู้คน ทรุดโทรมลงมาก เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นสภาพมูลนิธิที่เปลี่ยนไป เธอเดินเข้ามาถึงอาคารที่ทำการ เห็นภาคินฟุบเมาหลับรอบข้างเต็มไปด้วยขวดเหล้าขวดเบียร์ สภาพเขาโทรมมาก หญิงสาวมองอย่างตกใจและแปลกใจ เข้าไปเขย่าตัว
“คุณ...ทำไมคุณเป็นแบบนี้เนี่ย...คุณภาคิน”
ภาคินรู้สึกตัว เงยหน้ามองปานฟ้าอย่างคนเมาแล้วเบือนหน้าไม่สนใจ
“แล้วคุณมายุ่งอะไรด้วย นี่มันชีวิตของผม จะทำอะไรก็เรื่องของผม”
ปานฟ้าไม่พอใจขึ้นเสียง
“พอได้แล้วคุณภาคิน คุณไม่เคยทำตัวแย่แบบนี้นะ จะทำร้ายตัวเองไปถึงไหน”
ภาคินลุกขึ้น เดินเข้ามาสบตาใกล้จนหน้าประชิดหน้า ปานฟ้าถอยตัวหนี
“ถึงผมทำร้ายตัวเอง แต่ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยทำให้ใครเสียใจ คุณจะมาที่นี่ทำไมอีก กลับไปหาคู่หมั้นคุณเถอะ...ไป”
ปานฟ้ามองเขาอย่างเจ็บลึกในใจ น้ำตาคลอเสียงสั่นเครือ สายตาตัดพ้อ
“คุณรู้ไหมตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง”
“ถามผิดคนแล้วคุณปานฟ้า...คุณต้องถามพี่ก้องของคุณโน่น”
“คุณ...ทำฉันเจ็บมาก...ไม่เคยนึกว่าคุณจะไร้หัวใจขนาดนี้”
“ผมเนี่ยนะไร้หัวใจ...ก็ยังดีกว่าคุณ ที่แจกหัวใจคนไปทั่ว ผมก็ไม่นึกเหมือนกันว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”
ปานฟ้าตบหน้าเขาจนหน้าหัน แต่ตัวเองน้ำตาร่วง ภาคินสะบัดหน้าส่างเมา
“ใครกันแน่ที่แจกหัวใจไปทั่ว ฉันหรือคุณ คิดดูให้ดีคุณภาคิน คุณเคยถามสักคำไหมว่าทำไมฉันต้องหมั้นกับก้อง เชิญคุณทำตัวแย่ๆต่อไปเถอะ เดี๋ยวก็มีคนมาปลอบใจเยอะแยะ”
“ชีวิตผมไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว”
ภาคินเดินออกไปจากห้อง เหมือนไม่อยากจะเจอใครบนโลกนี้ ปานฟ้ามองอย่างสะเทือนใจ
ภาคินเดินเข้ามาอีกห้อง ปานฟ้าตามมาดักไว้ มองหน้าอย่างเป็นห่วง แต่เขาหลบสายตายกมือปัดเธอที่ขวางตรงหน้า
“หลีกไป...”
“เหล้ามันมีแต่โทษ คุณก็รู้ ดื่มจนจะหมดสภาพแล้ว คุณอ่อนแอจนทำให้ฉันผิดหวัง เหมือนไม่ใช่ภาคินคนที่ฉัน...”
“ภาคิน...คนที่โดนคุณหลอกมาตลอด เห็นสภาพผมแบบนี้ คุณก็กลับไปได้แล้ว...ต่อไปก็ไม่ต้องมายุ่งกับผม จะไปไหนก็ไป...”
ปานฟ้าน้ำตาร่วงหน้าชา
“ก็ได้...ถ้าคุณอยากให้ฉันไป ฉันจะไป และจะไม่กลับมาหาคุณอีก”
หญิงสาวร้องไห้เจ็บปวดในหัวใจ เดินจากไปอย่างเศร้าหมอง ชายหนุ่มมองด้วยแววตาเศร้าปวดร้าวเช่นกัน
ปานฟ้าเดินออกจากมูลนิธิอย่างสุดเศร้า ร้องไห้เสียใจ ผิดหวังในตัวภาคิน
เช้าวันใหม่...อานนท์เดินลงมาจากบ้าน เจอภาคินหลับอยู่ที่พื้นชั้นล่างอย่างหมดสภาพ เข้าไปเขย่าตัวแต่เขาก็ไม่รู้สึก
“ภาคิน...ตื่นเถอะลูก ภาคิน ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้...ไปนอนข้างบนไป”
วิมลวรรณเดินมาเห็น มองอย่างสะใจ
“ลูกชายสุดที่รักของคุณ เมาแล้วเหมือนไอ้ขยะเน่า ขยะที่ประจานความมักง่ายของคนเป็นพ่อ”
“นี่คุณด่าพอหรือยัง ไม่เหนื่อยบ้างรึไง”
“ไม่เหนื่อย ฉันจะด่าจนกว่าคุณกับไอ้ภาคินจะตาย”
“ฉันไม่ตายง่ายๆ รอเธอตายก่อนแล้วกัน”
วิมลวรรณชักฉุน
“เดี๋ยวนี้คุณต่อล้อต่อเถียงฉันเหรอ ร้ายขึ้นทุกวันนะ”
“คุณดีแต่โทษคนอื่น เคยหันไปมองตัวเองบ้างมั้ย จะบอกให้ถ้าเมียดี ผัวไม่ไปมีผู้หญิงคนอื่นหรอก”
อานนท์พยุงภาคินที่เมาอย่างหมดสภาพให้ลุก วิมลกรี๊ดอย่างเจ็บใจ
ภูวดลแอบย้อนกลับมาหาปานเดือนที่โรงพยาบาล เธอนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ ตาลอยนั่งดูแต่โทรทัศน์รอทินภัทร
“เป็นไงบ้างคุณเดือน...สบายดีไหม”
ปานเดือนหันมามองภูวดลตาขวาง แล้วรีบหันกลับไปมองโทรทัศน์
“อย่ามายุ่ง ฉันจะเฝ้าลูกฉัน ลูกฉันต้องมาอีก” ปานเดือนชี้ที่โทรทัศน์ “มาอยู่ในนี้อีก...ลูกแม่มาสะทีสิ แม่รอมาหลายวันแล้ว”
“ผมจะช่วยตามหาลูกเธอให้...เอาไหม”
ปานเดือนหันมองภูวดลอย่างมีความหวัง ตาเป็นประกาย
“จริงนะ...อย่าหลอกฉันนะ...ฉันคิดถึงลูกมาก”
ภูวดลยิ้มอย่างใจเย็น
“ว่าแต่จำเพลงที่ทินภัทรร้องได้ไหม ผมจะได้ตามหาให้ถูกคน”
ปานเดือนยิ้มอย่างมีความหวัง
“ได้สิ...จำแม่นเลย...ทินภัทรเขาชื่อลิเกว่าจอมทอง...เป็นเด็กกำพร้า...เขาร้องว่า...” ปานเดือนร้องลิเกทำท่ารำ “จอมทองฝากตัวและใจไว้แนบอก...บรรดาแม่ยกใจพระ”
ภูวดลหยิบมือถือรีบถ่ายคลิปและอัดเสียงไว้
“อย่าหาว่าจอมทองเกะกะ มารบกวนจิตใจ ออกตามหาแม่แต่เล็กตอนยังเป็นเด็กแบเบาะ อยากหาแม่ยกไว้ออเซาะ จะร้องลิเกเพราะๆให้ฟังเตร็ง...เตร็ง...เตร็ง...เตร็ง”
ปานเดือนร่ายรำแบบลิเกอย่างเพลินใจ ภูวดลยิ้มอย่างพอใจที่ได้ข้อมูล
เมื่อกลับมาที่บ้าน ภูวดลเปิดคลิปปานเดือนร้องลิเกให้พิมดู พิมหัวเราะเยาะ
“ลิเกกับคนบ้านี่ของคู่กันจริงๆ...อาการแบบนี้อยู่โรงบาลบ้าถาวรแน่”
“ที่ข้าให้เอ็งดู ให้จำเนื้อร้องไว้”
พิมงงๆ
“จำไปทำไม...ฉันไม่เห็นจะอยากเล่นลิเก”
“อีบ้าเอ้ย...ตอนเนี่ยนังเดือนไม่เป็นอันกินอันนอน ใจคิดถึงแต่เด็กที่ร้องลิเกเพลงนี้ ข้าอยากให้เอ็งไปบอกไอ้ก้าน ตามหาเด็กเล่นลิเกที่ร้องเพลงนี้ให้ได้...เจอเมื่อไหร่...คงรู้นะว่าต้องทำไง”
พิมมองภูวดลอย่างชั่งใจ
“อย่าบอกนะว่าจะ...บุญทิ้งก็ตายไปแล้ว จะต้องฆ่าใครอีกเนี่ย”
“จะฆ่าทุกคนที่นังปานเดือนคิดว่าเป็นทินภัทร”
พิมมองภูวดลอย่างกลัวในความเลือดเย็น
ค่ำนั้น...ก้านลับๆล่อๆมองคณะลิเก ที่มีเด็กแสดงนำ พอลับตาคนก็ลอบไปหลังเวที เสียงพิมดังก้องในหัว
‘มาถึงขั้นนี้แล้ว...ถอยไม่ได้...ยังไงก็ต้องกันไว้ก่อน ถ้าแกเจอเด็กคนไหนน่าสงสัย จัดการให้หมด อย่าให้ใครมาแย่งสมบัติลูกเราได้’
ก้านค่อยๆเดินเข้าไปช้างหลังของเด็กลิเกคนนึ่ง พอเด็กหันมามองเขาก็เอากระสอบครอบจับตัวไป
เช้าวันใหม่...ถมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หน้าตาจริงจัง ช้อยนั่งปักเลื่อมเสื้อผ้าลิเก ไข่ตุ๋นนอนเล่นไม่ไกลจากถม
“เดี๋ยวนี้จิตใจคนโหดร้ายขึ้นทุกวัน มันทำได้ยังไงว่ะ กับเด็กกับเล็กดูสิ อายุมันไล่ๆกับไอ้ตุ๋นไอ้ทิ้ง โดนปาดคอซะงั้น”
ไข่ตุ๋นสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง คลานเข่ามาดูหนังสือพิมพ์ ถมชี้ให้ดู ไข่ตุ๋นหน้าเสีย
“เฮ้ย...จริงด้วยน้าช้อย...สยองจริงๆ...มันน่าจะฆ่าแบบปราณีซะหน่อย”
ช้อยมองค้อน
“พูดดีไปเถอะเอ็ง เดี๋ยวเจอเข้ากับตัวแล้วจะพูดไม่ออก ไอ้โจรมันโรคจิต ชอบฆ่าเด็ก ข่าวออกจะดัง...เอ็งกับไอ้ทิ้งระวังตัวให้ดี อย่าซ่าให้มาก คณะเรายิ่งดังๆ โดนมันหมายตาไว้ป่าวก็ไม่รู้”
“มาไม่กลัว กลัวไม่มานะสิน้า ไอ้ทิ้งมันเป็นหวัด ไม่สบาย คืนนี้ คงเล่น ไม่ได้ งั้นขอเป็นพระเอกสักวันนะ ถ้าโจรมาจะได้เล่นมันให้น่วมเลย”
ไข่ตุ๋นยิ้ม ช้อยมองอย่างเป็นห่วงไข่ตุ๋น
ค่ำนั้น...ไข่ตุ๋นในชุดลิเกร่ายรำอย่างสนุกสนานอยู่บนเวที เรียกเสียงปรบมือจากคนดู ก้านปรบมือช้าๆแล้วเปลี่ยนเป็นประสานมือยืดเส้นสาย ยักไหล่ซ้ายขวา เตรียมลงมือ
“ไอ้นี่ก็อีกคน...ท่าจะปล่อยไว้ไม่ได้”
ก้านมองไข่ตุ๋นอย่างหมายมาด
วันต่อมา...ไข่ตุ๋นเล่นฟุตบอลกับบุญทิ้ง แต่แล้วบุญทิ้งเตะบอลโด่งไปไกล
“เอ้ย...แรงไปหน่อย ไอ้ตุ๋นไปเก็บมาเร็ว”
ไข่ตุ๋นหัวเสีย
“อะไรวะ ข้าอีกแระ”
ไข่ตุ๋นรีบวิ่งไปเก็บ แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอลูกบอล
“หายไปไหนว่ะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่”
ไข่ตุ๋นก้มๆเงยๆหาลูกบอล ทันใดนั้นเสียงก้านก็ดังขึ้น
“หาลูกบอลนี่หรือเปล่าไอ้หนู”
ไข่ตุ๋นเงยหน้าขึ้นมาเจอก้านที่ถือลูกบอล ยิ้มด้วยสายตาเหี้ยม เด็กชายชะงัก มองด้วยความหวาดกลัว
ช้อยเดินออกมาดูไข่ตุ๋นและบุญทิ้ง มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็น เท้าสะเอวอย่างหัวเสีย
“มันหายไปไหนของพวกมันว่ะ เวลาว่างไม่รู้จักซ้อมร้องซ้อมรำ ไอ้เด็กพวกนี้ไม่ไหวจริงๆ”
ก้านถือลูกบอลในมือ ไข่ตุ๋นยื่นมือคว้าลูกบอล แต่ก้านยื้อไว้
“เอาคืนมานะ”
“ไปเล่นกับข้าดีกว่า สนุกกว่าเยอะ”
ก้านปาลูกบอลทิ้ง หันมาจดๆจ้องๆกางมือออก กะรวบตัวไข่ตุ๋นถอยกรูตั้งหลัก
“เอ้ย...เอ็ง...จะทำอะไร”
ก้านตวาด
“เสียงดังไปทำไมว่ะ...พูดดีไม่ฟัง หรืออยากเจ็บตัวว่ะไอ้หนู”
ก้านพุ่งเข้าใส่ไข่ตุ๋น คว้าได้แต่ลม ตัวเซถลาเพราะเด็กชายก้มตัวหลบว่องไวหนีไปอีกทาง รีบวิ่งไปหยิบลูกบอล ทุ่มใส่หัวก้านอย่างจัง
“โอ้ย...ไอ้เด็กเวร...วันนี้เอ็งตายแน่...ฤทธิ์เยอะนัก”
ไข่ตุ๋นหันหลังวิ่งหนี แต่ไม่ทันก้านที่กระโจนเข้าไปจับตัวไว้ คว้าคอเสื้อจากด้านหลังจนไข่ตุ๋นตัวลอย แกว่งไม้แกว่งมือในอากาศ เสื้อรัดคอหายใจไม่ออก
“ปล่อยนะ...โอย...หายใจไม่ออก...” ไข่ตุ๋นตัดสินใจตะโกนเสียงดัง “ช่วยด้วย”
ก้านเอามือปิดปาก
“ตัวกะเปียก เสียงดังอย่างกับนกหวีด”
บุญทิ้งวิ่งมาเห็นตะโกนลั่น
“ตำรวจ...ตำรวจมา”
ก้านชะงัก หันมองต้นเสียง ไข่ตุ๋นได้จังหวะที่ก้านเผลอ กัดมืออย่างแรง ก้านสะบัดมืออย่างเจ็บปวด ผลักไข่ตุ๋นกลิ้งไป
“โอ้ย...กัดมาได้...ไอ้เด็กเปรตเอ้ย”
ไข่ตุ๋นวิ่งไปทางบุญทิ้ง สองคนกำหมัดสู้ แต่เดินถอยหลัง ก้านสบัดมือเจ็บปวด กร่างเข้าหาไข่ตุ๋นและบุญทิ้ง
“สู้ไม่สู้ดีวะ”
บุญทิ้งหวาดๆ ไข่ตุ๋นพูดอย่างไม่เกรงกลัว
“สองต่อหนึ่งเอ็งกลัวอะไร มันมีแค่สองขา เรามีตั้งสี่ขา ยังไงเราก็เร็วกว่ามัน”
ไข่ตุ๋นหันหน้ามองหน้าบุญทิ้งแล้วตะโกน
“วิ่งสิโว้ย...”
เด็กชายทั้งสองวิ่งโกยแนบ ก้านชี้นิ้ววิ่งตามอย่างเอาจริง
ไข่ตุ๋นวิ่งหน้าตื่นมาหน้าเวทีลิเก ที่มีเก้าอี้คนดูตั้งเรียงรายมากมายหลายแถว ก้านวิ่งตามมาไม่ห่างบุญทิ้งวิ่งนำ ไข่ตุ๋นเข้าไปตามช่องว่างที่เก้าอี้ตั้งเรียงกันอยู่เป็นแถว ไข่ตุ๋นหยุดหันมาเอาเก้าอี้ขวางทางไว้ แล้ววิ่งต่อ
ก้านวิ่งตามมาเกือบชนเก้าอี้ หยุดไม่ทัน คว้าเก้าอี้โยนทิ้ง วิ่งตามต่อ บุญทิ้ง ไข่ตุ๋นวิ่งกลับมาในช่องว่างของเก้าอี้แถวถัดไป ก้านวิ่งตามคว้ามือแต่ไม่ถึง จึงถีบเก้าอี้ล้ม บุญทิ้งสะดุดเก้าอี้ล้มไข่ตุ๋นที่วิ่งตามหยุดไม่ทัน สะดุดล้มตามก้านตรงเข้าไปหิ้วสองคนไว้คนละมือ
“ดีโว้ย...จับทีเดียวได้สองคนเลย”
บุญทิ้งกับไข่ตุ๋นร้องลั่น
“โอย...ปล่อยนะ...ช่วยด้วย”
ช้อยวิ่งจากหลังเวที ในมือถือครกกับสากที่ตำน้ำพริกยังไม่เสร็จติดมือมาด้วย ตาก็มอง มือก็ตำ แต่พอเห็นก้านจับตัวไข่ตุ๋นและบุญทิ้ง ช้อยชี้สากกะเบือไปที่ก้าน
“เฮ้ย...ไอ้ตุ๋น...ไอ้ทิ้ง”
ก้านหน้าเหี้ยม ตะคอกใส่หน้า หัวเราะสะใจ
“นึกว่าจะรอดเหรอวะ...อย่างพวกเอ็ง ขยี้นิดเดียวแหลกเป็นผงแล้ว”
“หนอย...” ช้อยตะเบ็งเสียง “เอ็งนั้นแหละที่จะโดนขยี้...มาดูฤทธิ์แม่นี่...”
ช้อยเขวี้ยงสากกะเบือลอยควงมาในอากาศ ก้านหันมาหน้ารับสากกะเบือเข้าลูกตาพอดี ร้องเสียงหลง
“โอ้ย...ลอยมาจากไหนวะเนี่ย”
ก้านปล่อยตัวเด็กสองคนลงกระแทกพื้น ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งหน้าจุกเจ็บปวด รีบคลานหนี ก้านกระทืบเท้าไปมา ขยี้มือที่ลูกตาด้วยความแสบเผ็ดร้อนจากพริกขี้หนูที่ติดปลายสากกะเบือ
“โอ้ย...แสบ...ตาข้า...”
ช้อยวิ่งตรงมาหาก้านอย่างไม่กลัว
“ไอ้หน้าตัวเมียชอบรังแกเด็ก...ขอข้าสักดอกเถอะวะ”
ช้อยถกผ้าถุง ถีบที่ก้นก้านอย่างจังจนเซถลาไป คว้าครกที่หล่นอยู่กับพื้นไว้ได้ หลับหูหลับตาขว้างใส่ช้อย ครกลอยในอากาศ มาตกใส่หัวช้อยพอดี ช้อยตกใจทำอะไรไม่ถูก วิ่งไปวิ่งมาช้อย
“โอ้ย...ช่วยด้วย...เอาครกออกที”
ก้านได้จังหวะ รี่เข้าไปหา
“เอ็งใช่ไหมเขวี้ยงสากติดพริกใส่ลูกกะตาข้า...แสบนักนังนี่...อย่าอยู่เลย”
ก้านบีบคอช้อยที่มีครกคว่ำอยู่บนหัว ช้อยแลบลิ้นหายใจไม่ออก ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้ง มองด้วยความตกใจ ตะโกนลั่น
“น้าช้อย...”
ไข่ตุ๋นตรงเข้าไปหลังก้าน เตะผ่าหมากเข้าเป้าอย่างจัง ก้านมือหนึ่งกุมเป้า มือหนึ่งขยี้ตา ร้องโอดโอย ตกใจผลักจนช้อยล้มไปกับพื้น
“โอย...ตาข้า...ไข่ข้า...ไอ้เด็กบ้า”
บุญทิ้งรีบไปหยิบครกออกจากหัวช้อยที่นอนกองกับพื้น ช้อยไอกระแอม หายใจหอบ ไข่ตุ๋นเข้าไปช่วยประคอง ทั้งหมดฉวยจังหวะรีบวิ่งหนี ช้อยตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย...ไอ้พี่ถม...ช่วยด้วย”
บุญทิ้งกับไข่ตุ๋นร้องลั่น
“ช่วยด้วย...แม่กัญญา...ช่วยด้วย”
ถมและกัญญาวิ่งมาถึง
“เอ้ย...หนีอะไรกันมาว่ะ...ว่าไงนังช้อย”
ช้อยหอบไม่มีแรงพูดได้แต่ชี้มือไปทางก้าน
“มัน...มันจะฆ่าฉัน”
ถมมองไปทางที่ช้อยชี้แต่ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 11