ดุจดาวดิน ตอนที่ 9
ที่หน้าประตูห้องโถงใหญ่เวลานั้น ปานดาวกับภูวดลเดินออกมาส่งอนิรุทธิ์ที่จะพาปานเดือนไปหาหมอเพื่อตรวจเช็คร่างกาย บุญทิ้งเดินมาพร้อมปานเดือน
“วันนี้แม่ไปโรงพยาบาลเสร็จแล้ว เราไปซื้อของเล่นกันต่อนะ”
“ครับ” บุญทิ้งพยักหน้ารับ
ปานดาวคว้าตัวบุญทิ้งไว้จากด้านหลัง ทำทีเป็นสวมกอดอย่างรักใคร่ ปานเดือนหันไปมอง
“จะไปไหนจ๊ะบุญทิ้ง แม่เขาจะไปโรงพยาบาล เอาเด็กไปด้วยไม่ดีนะ เดี๋ยวติดเชื้อโน่นนี่ ดาวว่าให้บุญทิ้งอยู่เล่นกับธัญวิทย์ดีกว่าจะได้สนิทกันเร็วๆ เดี๋ยวดาวดูแลหลานให้”
ปานเดือนอึกอักลังเลใจ มองหน้าสามี
“ดีเหมือนกันครับ ไม่รู้ที่โรงพยาบาลจะต้องตรวจนานแค่ไหน”อนิรุทธิ์เห็นด้วย
“แต่เดือนว่า...”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ๊ะ เดือนกลับมาก็เจอกัน เดี๋ยวพวกเราจะเล่นกับบุญทิ้งให้สนุกไปเลย จริงไหมบุญทิ้ง”
ภูวดลแสร้งยิ้มแย้ม บุญทิ้งรู้สึกใจไม่ดี กลัวจะถูกแกล้ง
“ผมว่า...ผมไปกับคุณเดือนดีกว่าครับ”
ธัญวิทย์ตีหน้าเศร้า
“โห...ว่าจะสอนให้เล่นเกมเอ็กซ์บ๊อกส์ออกใหม่ให้บุญทิ้งด้วย น้าเดือนให้บุญทิ้งอยู่เล่นกับวิทย์เถอะนะครับ”
ธัญญวิทย์จับมือบุญทิ้ง ปานเดือนธัญวิทย์มีท่าทางดีกับบุญทิ้งก็ยิ้มให้อย่างคลายกังวล อนิรุทธิ์เดินไปขึ้นรถที่คนขับพยักหน้าให้ปานเดือนขึ้นรถ ปานเดือนมองกลุ่มปานดาวที่แสร้งยิ้ม อย่างไม่ไว้ใจนักก่อนจะขึ้นรถปิดประตู อนิรุทธิ์ออกรถไป ทั้งหมดโบกมือลารถปานเดือนใบหน้ายิ้มแย้ม
บุญทิ้งหันหน้ากลับมา เห็นทั้งหมดหุบยิ้มลงกะทันหันกลายเป็นหน้าเหี้ยม เขารีบเดินหนี แต่ภูวดลคว้าเสื้อจากด้านหลังไว้
“ไอ้ตัวดี...จะหนีไปไหน”
บุญทิ้งหน้าแหย คว้ามือไปมาในอากาศพยายามจะหนี
ปานดาวลากตัวบุญทิ้ง เข้ามาที่ห้องโถงในบ้าน ด้วยการจีบนิ้วหยิบเสื้อที่ไหล่บุญทิ้งอย่างรังเกียจ
ผลักบุญทิ้ง ทำมือขยะแขยง เอามือมาดม
“อี๊...เหม็นจะอ้วก...กลิ่นแกจะติดนิ้วฉันไหมเนี่ย”
บุญทิ้งเซถลาหน้าแทบขมำ
“อ้าว...เมื่อกี้ยังดีกับผมอยู่เลย...ไหงเปลี่ยนเร็วจัง”
ภูวดลยิ้มหยัน ถูมือไปมา
“ปากดีนัก เดี๋ยวจะสอนให้รู้ ว่านรกมีจริง”
พิมจ้องหน้าอย่างเกลียดชัง
“อย่าคิดว่าจะมาอยู่บ้านนี่แบบคุณวิทย์นะยะ ฉันใช้อะไรแกก็ ต้องทำแกต้องอยู่แบบคนรับใช้ ถ้าแข็งข้อละก็จะโดนหนักขึ้นเรื่อยๆ” ปานฟ้าตะคอก “เข้าใจไหม...”
พิมโยนถังน้ำพลาสติกให้ บุญทิ้งมองอย่างเศร้าๆ
“เอาไปใส่น้ำแล้วไปถูบ้าน”
ธัญวิทย์ยิ้มสะใจ
“นี่ไง เกมที่ฉันจะให้แกเล่น...เกมถูบ้าน”
ธัญวิทย์หัวเราะดัง บุญทิ้งก้มลงจะเก็บถัง ธัญวิทย์เอาขามาเหยียบบนถัง
“ก่อนไปถูบ้าน ผูกเชือกรองเท้าให้ฉันก่อนสิไอ้เด็กโสโครก”
บุญทิ้งมองหน้าธัญวิทย์ เริ่มชักมีอารมณ์โกรธ ภูวดลทำหน้าเหี้ยมเข้าใส่
“จะหือเหรอวะ จะทำไมทำ”
บุญทิ้งหวาดกลัว จำใจค่อยๆผูกเชือกรองเท้าให้ธัญวิทย์อย่างเจ็บใจ ปานดาวหัวเราะลั่น
“ก็แค่นั้น...แล้วอย่าเอาเรื่องที่พวกฉันเล่นกับแกแบบนี้ไปบอกใครนะ ไม่งั้นแกเละกว่านี้แน่ จะดูสิว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ”
ทุกคนหัวเราะสะใจกันใหญ่ บุญทิ้งก้มหน้าผูกเชือกให้ธัญวิทย์อย่างกล้ำกลืน
ธัญวิทย์นั่งเล่นเกมไปกินขนมไป บุญทิ้งถูพื้นห้องอย่างเหนื่อย ธัญวิทย์หัวเราะจนขนมติดคอ ไอจนพิมต้องเข้ามาช่วยทุบหลังให้ บุญทิ้งปิดปากหัวเราะ
บุญทิ้งซักผ้าในกะละมังใหญ่ พิมยืนท้าวสะเอวดื่มน้ำส้ม ชี้นิ้วสั่งแบบคุณนาย หันหลังบิดก้นกลับไป พลาดลื่นน้ำแฟ็บที่หกล้นจากกะละมังแทบล้ม บุญทิ้งยิ้มขำ
บุญทิ้งตัดหญ้า กวาดสนาม ปานดาว ภูวดล เอาเข่งเศษหญ้าไปเทใส่สนามใหม่ให้บุญทิ้งกวาดเพิ่ม ภูวดลสาดเศษหญ้าไปทั่วๆสนาม เข่งหลุดมือแทบจะมาคลุมหัวเมีย ปานดาวหันไปมองอย่างเคือง ตีสามีใหญ่หาว่าแกล้ง บุญทิ้งหันมามองยิ้มขำ มิวายปาดเหงื่ออย่างเหนื่อย
ใกล้ค่ำ...ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่โต๊ะอาหารยิ้มแย้มมีความสุข บุญทิ้งเหนื่อยและเพลียมากจากการถูกใช้งานทั้งวัน นั่งทำท่าจะหลับ พิมตักข้าวให้ทุกคน
“ตั้งแต่ทินภัทรหายไป วันนี้พ่อมีความสุขที่สุด เพราะเราได้เด็กที่น่ารักคนนึงมาแทน” เติมบุญหยิบแก้วขึ้นมา “เอ้า พวกเรามาฉลองให้บุญทิ้งกันหน่อย”
ทุกคนหยิบแก้วมาชนกัน บุญทิ้งทำตาปรือ พิมตักข้าวให้บุญทิ้งเสร็จ ลอบเอาศอกแกล้งกระทุ้งหลัง จนบุญทิ้งสะดุ้งตื่น พิมยื่นหน้าไปใกล้ๆกระซิบ
“หยิบแก้วตามคุณท่านสิยะ...เคยใช้แต่ขันรึไง”
บุญทิ้งงัวเงีย หยิบผิดๆถูกๆไปคว้าส้อมยกชูขึ้น ธัญวิทย์หัวเราะกิ๊ก รีบเอามือปิดปาก ปานเดือนหันมามองรีบเอามือไปจับส้อมที่บุญทิ้งถือลดลง แล้วหยิบแก้วใส่มือแทนก่อนจะหันมายิ้มกับ เติมบุญ สายอุษาที่มองมาอย่างงงๆ
“ต่อไปนี้...บุญทิ้งคือหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเรานะ ขอให้ทุกคนให้ความรักเอ็นดูกับบุญทิ้งมากๆ” สายอุษาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“และเขาคือ คนที่ทำให้พี่เดือนกลับมานั่งทานข้าวกับเราได้ที่บ้าน” ปานฟ้าย้ำ
บุญทิ้งฟังไป ตาเริ่มรี่เล็กลงเรื่อยๆ หัวเริ่มโยกเยกไปมา ปานเดือนหันมามอง สะกิดใต้โต๊ะให้ตื่น
“จะไม่มีใครพรากลูกไปได้อีกแล้ว ทินภัทรบุญทิ้งของแม่”
ปานดาวมองปานเดือนงงๆส่ายหน้า
“เรียกชื่อยังผิดๆถูกๆ ผสมกันมั่ว แบบนี้จะไหวเหรอคะ”
เติมบุญรีบตัดบทพูดกับปานฟ้า
“ได้ยินว่าบุญทิ้งมีความสามารถหลายอย่าง ร้องเพลงเพราะมาก เคยร้องออกทีวีด้วย แต่พ่อไม่เคยเห็นสักที” เติมบุญหันมาหาบุญทิ้ง “วันนี้โชว์หน่อยนะบุญทิ้งหลานตา เอ้า...ทุกคนปรบมือหน่อย”
ทุกคนปรบมือ มองไปทางบุญทิ้งที่นั่งยิ้มแต่ตาปรือ หัวเหวี่ยงไปหน้าทีหลัง ทีด้วยความง่วงและเพลียสุดๆ ทุกคนลุ้นตาม สายอุษาโยกหัวตามอย่างให้กำลังใจ ปานฟ้าหน้าเสีย ทันใดนั้นหน้าบุญทิ้งก็ทิ่มไปในจานข้าวอย่างจัง ธัญวิทย์หัวเราะดังสุดๆ
“เพลงเพราะจังเลยน้าฟ้า เพลงฉันหลับคาจานข้าว”
ธัญวิทย์ชี้บุญทิ้งหัวเราะลั่น ปานดาว ภูวดล พิม อดยิ้มหัวเราะไม่ได้ ปานเดือนรีบปลุกแต่บุญทิ้งฟุบหลับไปเสียแล้ว เธอได้แต่หันมายิ้มแห้งๆให้ทุกคน
เช้าวันใหม่...ถมและพวกเดินมาถึงตลาดสดอีกแห่ง ปาดเหงื่ออย่างเหนื่อย
“ข้าไม่ไหวแล้วนะ ตลาดนี้ขอเป็นตลาดสุดท้าย ถ้าไม่ได้เห็นทีได้กลับบ้านนอกอย่างนังช้อยว่าแน่”
ถมทำท่าจะเดินเข้าไป ไข่ตุ๋นร้องห้ามเสียงลั่น
“เดี๋ยวลุง...ตลาดนี้ไอ้ตุ๋นขอ...”
ไข่ตุ๋นเดินยืดอกอย่างมั่นใจ เข้าไปหาเจ๊เจ้าของตลาดที่เดินเก็บเงินหน้าแผง พอไปถึงตรงหน้าเจ๊ ไข่ตุ๋นยกมือไหว้อ่อนช้อยแบบลิเก มือตั้งวงขึ้นสูง เจ๊อึ้งและงง ไข่ตุ๋นเริ่มร้องลิเก
“สวัสดีคร๊าบบบ...คุณน้าคนสวย แม่ช่างสำรวย เหมาะเจอะ ไข่ตุ๋น มาร้องลิเกแสนไพเราะ จะได้ช่วยแม่ขายให้หมดพลัน ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ไข่ปลา อีกทั้งคาวหวานเลิศรส พืชผักผลไม้ล้วนเก็บมาสดๆรสชาติ...หว๊านนนนจับใจ...เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๊ง...”
ไข่ตุ๋นทำเสียงเลียนรัวระนาด แม่ค้าและลูกค้าในตลาดที่มุงดูปรบมือกันลั่น เจ๊เจ้าของตลาดยิ้มมองไข่ตุ๋นอย่างเอ็นดู ถม กัญญา ช้อยที่เข้ามามุงดูด้วย ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“เอ็งเป็นขอทานเหรอว่ะไอ้หนู ทำไมร้องลิเกเพราะอย่างนี้” เจ๊ถามอย่างชื่นชม
“ไม่ใช่ขอทานจ๊ะน้า แต่จะมาขอที่ตั้งโรงลิเก รับรอง พวกหนูจะช่วยพ่อๆแม่ๆในตลาดนี้ขายของให้เกลี้ยงแผงทุกวันเลย ดีไหมจ๊ะ”
คนมุงดูปรบมืออีก เจ๊ยิ้มเอ็นดู
“เออ...ไอ้เด็กนี่ความคิดมันเข้าท่า เอาสิว่ะ ถ้าของในตลาดข้าขายดีขึ้น ข้าจะไม่คิดค่าที่พวกเอ็งเลย มาได้ข้าอนุญาต”
คนมุงดูปรบมือลั่น ไข่ตุ๋นไหว้เจ๊แบบลิเก นอบน้อมสุดๆ หันมายักคิ้ว ยิ้มหวานให้ถมกับช้อยและกัญญา
ปานดาวมองโชว์คลิปภาคิน ดูคล้ายจะหอมแก้มปานฟ้าในโทรศัพท์มือถือแล้วยิ้มหยันอย่างได้ที พิมนั่งพื้นชูคอเสนอหน้า
“และแล้วลูกสาวคนที่พ่อแม่รักที่สุด ก็กลายมาเป็นนางเอกคลิปฉาว” ปานดาวหัวเราะเสียงดัง “บัดสีที่สุด นี่ขนาดในบ้านยังกล้าขนาดนี้ นอกบ้านมิไปถึงไหนๆกันแล้วเหรอคะคุณแม่”
สายอุษานั่งหน้าชา อึ้ง ทำหน้าไม่ถูก มองปานฟ้าที่อึ้ง เสียใจ
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่ดาวคิด คุณแม่ต้องเข้าใจฟ้านะคะ แล้วใครมาแอบอัดคลิปบ้าๆไร้สาระพวกนี้ ฟ้าอยากจะรู้จริงๆ”
ปานฟ้ามองพิมที่ลอยหน้าลอยตาอย่างกวนมาก สายอุษาส่ายหน้า
“ภาพมันฟ้องแบบนี้ แม่จะเป็นลม ฟ้าทำไปได้ยังไง คนอยู่กันเต็มบ้านไม่นึกอายมั่งหรือไง”
ปานฟ้าส่ายหน้าปฎิเสธ
“เปล่านะคะคุณแม่ มันเป็นมุมกล้อง ทำให้เห็นเหมือนฟ้ากับคุณ ภาคินทำแบบนั้น เราไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียด ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยคะ”
ปานดาวแว๊ดใส่
“แก้ตัว เดี๋ยวฉันจะฟ้องคุณพ่อ ให้รู้บ้างว่าลูกสุดที่รัก ทำตัวฉาวโฉ่ขนาดไหน”
สายอุษารีบห้าม
“อย่านะดาว คุณพ่อมีเรื่องกลุ้มใจมากพอแล้ว” สายอุษาหันมาทางปานฟ้า “แม่ขอห้าม ต่อไปอย่าติดต่อ เกี่ยวข้องกับนายภาคินนั่นอีก”
ปานดาวมองหน้าน้องสาวอย่างเกลียดชัง
“มีของดีไม่รู้จักเลือก ก้องภพ ทั้งหล่อทั้งรวย ดันโง่ไปไปเกลือกกลั้วทำไมกับไอ้ลูกเมียน้อย รสนิยมเธอนี่ ต่ำเตี้ยติดดินดีแท้”
“ฟ้าคบกับคุณภาคิน เพราะเราคุยกันรู้เรื่อง แล้วถ้าจะเลือกใคร ก็จะเลือกที่ความดีของเขา ไม่ใช่ ฐานะหรือหน้าตาในสังคม”
สายอุษาหน้าเครียด
“ขนาดแม่ห้าม ฟ้ายังจะไม่ฟังแม่หรือไง คุณหญิงวิมลวรรณมาสู่ขอฟ้าให้ก้องภพแล้วนะ”
ปานฟ้าตกใจ รีบบอก
“คุณแม่ ไม่นะคะ”
สายอุษานิ่งคิด
“ถึงก้องภพจะดูไม่ค่อยเอางานเอาการ แต่ก็ฐานะวงศ์ตระกูลก็ไม่น้อยหน้าใคร เป็นลูกคุณหญิง ไม่ใช่ลูกเมียเก็บเมียลับ ให้เราต้องขายขี้หน้า แม่ตัดสินใจแล้ว จะให้ฟ้ารับหมั้นก้องภพ”
ปานฟ้าอึ้ง พูดไม่ออก ปานดาวยิ้มหยันอย่างสะใจมากไม่ต่างกับพิม
อานนท์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ วิมลวรรณและก้องภพยิ้มแย้มดีใจ
“สมใจอยากละสิตาก้อง ทางบ้านโน้นบอกให้เตรียมตัวไว้ให้พร้อม กำลังดูฤกษ์กันอยู่”
ก้องภพกอดแม่อย่างดีใจ
“ไชโย...รอวันนี้มานานหลายปีแล้ว ฤกษ์บ้าบอไม่ต้องสนใจแล้วอาทิตย์หน้า...หมั้นพร้อมแต่งไปเลย”
“โอย...ลูกคนนี้ ใจร้อนจริง ให้เวลาฝ่ายหญิงเขาบ้างสิจ๊ะ อย่าระริกระรี้ให้มันมากนัก”
ก้องภพเอามือจับที่หัวใจ
“หัวใจผมแทบจะเต้นออกมาข้างนอกแล้วครับ...แม่เห็นไหม”
อานนท์ส่ายหน้าเบื่อหน่าย
“ก่อนจะตกลงว่าวันนี้วันไหน ถามเจ้าตัวฝ่ายหญิงเขาสักคำหรือยัง”
วิมลวรรณมองอานนท์อย่างไม่สบอารมณ์
“เอ๊ะคุณนี่ยังไง...คุณสายอุษาเขาตกปากรับคำแล้ว อยากดองกับเราจะแย่ ไม่เห็นต้องนั่งพิรี้พิไรถามอะไรกันอีก...ฉันละสะใจจริง ทำเป็นหยิ่ง เล่นตัวนัก สุดท้ายยัยฟ้าก็คลานมาหาตาก้องจนได้”
ก้องภพกับวิมลวรรณ หัวเราะอย่างมีความสุข ภาคินแอบยืนฟังนอกห้องอย่างเศร้าใจ
ค่ำคืนนั้น...ปานฟ้านอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาหยิบมือถือขึ้นมาจะโทรหาแล้วกดทิ้ง เธอหันไป หยิบดอกกุหลาบที่ภาคินเคยให้มาดูอย่างเศร้าๆ ทันใดนั้นโทรศัพท์ดังขึ้น หญิงสาวรีบรับไม่ทันดูเบอร์กลายเป็นเสียงก้องภพ
“ดึกปานนี้ยังไม่หลับ...โธ่...เข้าใจครับว่าตื่นเต้น คนไม่เคยหมั้นไม่เคยแต่งก็แบบนี้ เดี๋ยวก็ชินต้องใช้เวลาหน่อย” ก้องภพหัวเราะกระหยิ่ม
ปานฟ้ารำคาญ
“คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ...ไร้สาระมาก มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดระหว่างแม่กับฟ้า อย่าคิดไปไกลถึงโน่นสิคะ”
“เขินล่ะสิ...ผมรู้น่า...งั้นให้เวลาสักเดือนพอไหม เดี๋ยวจะจัดคนไปวัดตัวตัดชุดไว้ให้เลือกสักสิบชุดเป็นไง พอไหมจ๊ะ”
“เลิกบ้าสักที เรื่องหมั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วนี้มันก็ดึกแล้วด้วย ฉันจะนอน แค่นี้นะคะ”
ปานฟ้ากดโทรศัพท์ทิ้งอย่างอารมณ์เสีย ก้องภพมองโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยๆ
“ผู้หญิงเนี่ยน้า...ปากกะใจไม่ตรงกันจริงๆ”
ปานเดือนป่วยเป็นไข้หวัดนอนซมบนเตียง อนิรุทธิ์นั่งใกล้ๆ เอาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดมือแขนให้ เขาหาวง่วงนอน บุญทิ้งนั่งไม่ห่างอย่างเป็นห่วงปานเดือน
“ท่าฉันจะไม่ไหวแล้ว ง่วงจัง”
บุญทิ้งเอาผ้ามาจากมืออนิรุทธิ์ เช็ดตัวให้ปานเดือน อนิรุทธ์มองแปลกใจ
“ทำเป็นด้วยเหรอ”
“ลุงพ่วงหัวหน้าแก๊งค์ขอทาน ที่ผมเคยอยู่ด้วยสั่งให้ทำประจำล่ะครับ พวกน้องๆที่เล็กกว่า ผมดูแลมาหมดแล้ว”
อนิรุทธิ์ยิ้มอย่างนึกเห็นใจ
“ถ้างั้นฝากคุณเดือนด้วย ฉันขอไปนอนสักงีบ”
อนิรุทธิ์บอกแล้วลุกไป
เที่ยงคืน...บุญทิ้งร้องเพลงกล่อมเพราะๆ และนั่งเช็ดตัวให้ปานเดือนอย่างนิ่มนวล เอาผ้าโปะไว้ที่หน้าผาก ปานเดือนหลับตาพริ้ม ยิ้มน้อยๆอย่างสุขใจ
บุญทิ้งเช็ดแขนปานเดือนไป นั่งสับปะโงกไป แต่ก็สะดุ้งตื่นรีบเช็ดต่อ แล้วฟุบหลับข้างเตียงไปในที่สุด
ตีสี่...อนิรุทธิ์ตื่น หันไปดูไม่เห็นบุญทิ้งข้างเตียงปานเดือน
“ว่าแล้ว...ไม่น่าไว้ใจบุญทิ้ง ไม่มีความรับผิดชอบเลย”
อนิรุทธิ์รีบลุกไปดูภรรยาใกล้ๆ เห็นผ้าวางบนหน้าผากเรียบร้อย ปานเดือนลืมตามองยิ้มให้
“คุณเป็นไงบ้าง” อนิรุทธิ์จับหน้าผากแล้วยิ้ม “ไข้ลดแล้วนิ”
“ใช่ค่ะ รู้สึกดีขึ้นมากเลย ที่คุณไม่เห็นทินภัทร เพราะเดือนบอกรู้สึกหิว ลูกเลยลงไปหาอะไรให้เดือนทาน”
บุญทิ้งเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดข้าวต้มร้อนๆหอมกรุ่น น้ำส้มคั้นและนม ปานเดือนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“ข้าวต้มหอมมากเลย แต่ดึกป่านนี้ใครทำให้น่ะลูก”
บุญทิ้งยิ้ม
“ผมทำเองครับ ทานข้าวต้มร้อนๆ ได้หายเร็วๆ”
บุญทิ้งตักข้าวต้มป้อน ปานเดือนลองชิมแล้วยิ้ม อร่อยมากเธอหันไปกอด
“โธ่ลูกแม่...แม่ชื่นใจจริงๆ รุทธิ์รู้ไหมค่ะ ตลอดเวลาที่นอน เดือนรู้สึกตัวตลอดแต่ลุกไม่ขึ้น ทินภัทรคอยเช็ดตัวให้ทั้งคืน บอกให้ไปนอนก็ไม่ไป”
อนิรุทธิ์มองบุญทิ้งอย่างสำนึกผิด ที่คิดอคติกับเด็กคนนี้มาตลอด ปานเดือนกอดบุญทิ้งอย่างรักใคร่
“ลูกจ๋า...แม่ขอบใจนะ”
ปานเดือนกับภูวดลสั่งให้พิมติดต่อพ่วง เพื่อมาจับตัวบุญทิ้งไปอีกครั้ง พิมจึงเดินมาหลบๆที่มุมบ้าน แล้วโทรหาพ่วงอย่างระวังตัว
“แกเตรียมรถพร้อมแล้วใช่ไหม ซุ่มไว้ให้ดีนะ อย่าให้พลาดอีก”
“ทุกอย่างเตรียมไว้อย่างดี ถ้าพลาดคราวนี้ฉันให้แกฆ่าเลย” พ่วงตอบอย่างมั่นใจ
“ฉันฆ่าแกแน่ ถ้าแกไม่ฆ่าเด็กคนนั้น”
พ่วงหน้าเสีย
“ขอข้าเก็บไว้ใช้งานสักปีสองปีไม่ได้เหรอวะ เด็กหาตังค์เก่งอย่างไอ้ทิ้งหาไม่ได้ง่าย”
“เงินที่เอ็งจะได้ถ้าฆ่าเด็กนั้น มันมากกว่าที่เด็กนั้นจะหาให้เอ็งหลายร้อยเท่า...อย่าให้เหลือซาก”
พ่วงฟังอย่างสยองในความโหดเลือดเย็นของพิม ปานฟ้ามาแตะไหล่ พิมสะดุ้งสุดตัว รีบกดโทรศัพท์ทิ้งแล้วเดินหนีมา มือก็ลบเบอร์พ่วงออกจากเครื่อง ปานฟ้าเดินตามาติดๆ มองอย่างสงสัยมาก
“เธอทำอะไรพิม ลบเบอร์โทรออกเหรอ”
ปานฟ้าเอื้อมมือคว้ามือถือ แต่พิมหลบทัน จนลบเบอร์ออกได้ รีบปฎิเสธ
“ปะ...เปล่าค่ะ...พิมโทรหาเพื่อน...นี่ก็ส่งข้อความไปให้มัน”
“ฉันสังเกตมานานแล้ว เธอทำอะไรลับๆล่อๆตลอด ทั้งใส่ความใส่ไฟพี่เดือนกับพี่รุทธิ์ ทั้งอัดคลิปฉันกับคุณภาคินไปฟ้องคุณแม่ เธอต้องการอะไรแน่ อย่านึกว่ามีพี่ดาวคอยให้ท้าย แล้วจะทำอะไรก็ได้”
“โธ่...คุณฟ้าพูดจนพิมดูชั่วช้าสามานย์ สมควรไปเกิดใหม่”
“หรือมันไม่จริง ฉันขอเตือนว่าถ้าไม่ปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้น เธอไม่ได้อยู่บ้านนี้แน่”
พิมยิ้มหยัน
“เก่งจริงก็หาหลักฐานมาสิคะ ไม่ใช่มากล่าวหากันลอยๆแบบนี้”
ปานฟ้าจ้องพิมอย่างเอาจริง
“ได้เลย...เธอท้าฉันใช่ไหม แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
พิมมองปานฟ้าที่เดินจากไปอย่างเคียดแค้น ยิ้มเบะปากให้อย่างหมั้นไส้
ภาคินนั่งเหม่อเศร้าในห้องทำงาน สิริโสภายื่นขนมให้พร้อมยิ้มหวาน
“รับของหวานๆสักคำนะคะ จะได้สบายใจขึ้น คุณเศร้าแบบนี้ภาเห็นแล้วไม่สบายใจเลย”
ภาคินเบี่ยงหน้าไปอีกทาง
“ผมไม่หิว...ทานไม่ลงจริงๆ”
สิริโสภาดึงมือกลับ เอาขนมเข้าปากตัวเองแต่ตามองภาคิน ยิ้มเย็น
“คุณนี่เป็นเอามากนะ จีบใครต้องใจเย็นๆสิคะ งอนกันนิดกันหน่อย ทำมานั่งน้อยใจไปได้”
“ไม่ใช่แค่งอน มันเรื่องใหญ่กว่านั้น”
สิริโสภาเขี่ยขนมเล่นมองหน้าภาคินอย่างนึกถึงอดีต
“คุณนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ...สมัยก่อนที่คุณจีบฉันก็แบบนี้...ฉันยังจำได้ คุณป้อนขนมฉันแล้วฉันไม่ทาน คุณกลับมางอนฉัน”
ภาคินนึกถึงอดีตแล้วยิ้มได้
“จริงสินะ...ผมลืมไปหมดแล้ว...นี่คุณยังจำได้อีกเหรอ”
“อะไรที่เกี่ยวกับคุณ ฉันจำได้ทั้งนั้น…ไม่เคยลืมเลยคะ”
ปานฟ้ากำถุงขนมแน่นยืนนิ่งพิงผนังหน้าประตูห้อง ใจหนึ่งลังเลจะไป อีกใจก็คิดอยากจะอยู่ให้รู้แน่ใจปานฟ้าเต้นรัวอย่างกระหายใคร่รู้...ภาคินยิ้มขำ
“อดีตแห่งความประทับใจเนอะ...ชีวิตวัยรุ่นมีแต่เรื่องสนุก”
สิริโสภายิ้มหวาน
“และแล้วคุณก็ยิ้มได้สักที แหม...ใช้ความพยายามอยู่ตั้งนาน งั้นทานขนมนี่หน่อยนะ อาจแก้ช้ำในได้ อะ...ภาป้อน...”
สิริโสภายื่นขนมไปตรงปากของเขา
“อย่าคิดมากนะคุณพี่...ว่ากำลังโดนสาวจีบ”
ปานฟ้ายืนนิ่ง มองสองคนผ่านประตูที่แง้มอยู่อย่างปวดร้าวเป็นที่สุด เธอวางขนมลงกับพื้น เดินใจลอยจากไป แต่ขาสะดุดเก้าอี้หน้าห้อง เสียงดัง ภาคินหันไปมอง เห็นใครคนหนึ่งเดินหลบไป นึกคิดว่าอาจเป็นปานฟ้าก็ได้ รีบลุกตาม สิริโสภามองอย่างงงๆ
เฟื่องแก้วและตุลย์เดินคุยกันอยู่ในสวน ปานฟ้าหน้าหม่นเดินเร็วออกมา ไม่ทักใครสักคน
“คุณ...เอ้า...เขาจะรีบไปไหน”
เฟื่องแก้วหันมาอีกทีเห็นภาคินวิ่งตามไป
“นี่ก็อีกคน...วิ่งตามกันเหมือนตามง้อแฟนเลย”
“อ้าว ก็เขาเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ เหมือนผมกับคุณไง”
เฟื่องแก้วงอน
“ไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย...ส่วนฉันก็ไม่ใช่แฟนหมวดด้วย”
“ไม่ใช่แฟนวันนี้ อนาคตอันใกล้ก็ใช่”
“เอาไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆแล้วกันนะคะ คุณหมวด”
เฟื่องแก้วทำหน้าล้อเลียนตุลย์
ปานฟ้าเดินเร็วมาในสวน เสียใจแทบร้องไห้กับภาพที่เห็น ภาคินมาคว้าข้อมือไว้หน้าขึงขัง
“เมื่อกี้ทำไมไม่เข้าไป...ผมรู้นะว่าคุณอยู่หน้าห้อง”
“ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ คนกำลังป้อนขนมกันอยู่”
“ภาเขาแค่หยอกผม คุยเรื่องเก่าๆสมัยเรียน อดีตที่มีแต่ความทรงจำที่ดี ไม่เหมือนปัจจุบันที่มี...แต่ความเจ็บปวด”
ปานฟ้าเริ่มจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พูดเสียงสั่นเครืออย่างน้อยใจ
“ใช่ค่ะ...ปัจจุบันมีแต่ความเจ็บปวด...ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมหัวใจมันรู้สึกเจ็บเวลาที่เห็นคุณ...”
ภาคินจ้องหน้าปานฟ้า
“อย่าพูดเล่นอีกเลยคุณฟ้า ต่อไปคุณอย่าไปทำร้ายความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ มันเจ็บนะเวลาโดนทิ้ง ผมโดนแม่ทิ้งมาคนหนึ่งแล้ว ไม่อยากโดนใครทิ้งอีก”
ปานฟ้างง
“นี่คุณพูดเรื่องอะไร...ทำไมพูดแบบนี้”
“ผมอาจคิดไปเองฝ่ายเดียว...ว่าเรา...เข้ากันได้ดี แต่สุดท้ายคุณก็คิดเหมือนผู้หญิงทุกคนในโลก ที่เลือกฐานะ เงินทอง มาก่อนอย่างอื่น...ขอให้โชคดีครับ ที่จะหมั้นกับก้องภพ”
ปานฟ้ามองนิ่ง น้ำตาหยดน้อยใจเป็นที่สุด เธอตบหน้าเขาอย่างจัง ร้องไห้เสียงสั่น
“คุณดูถูกฉันมากไปแล้วนะ คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงยังไง...ตลอดมายังดูไม่ออกอีกเหรอว่าฉันรู้สึกยังไงกับคุณ คุณหวั่นไหวแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้ ทีคุณฉันยังไม่ว่าสักคำ...คุณรู้ไหมฉันเจ็บปวดแค่ไหน...ที่เห็นคุณอยู่กับผู้หญิงคนนั้น”
ภาคินดึงปานฟ้าเข้ามากอด สบตาแล้วจูบที่ปากอย่างที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว เธอถึงกับอึ้ง รีบดึงตัวออก
“จูบแบบนี้ผมไม่เคยทำกับผู้หญิงคนอื่นนอกจากคุณ...พอใจยัง”
ปานฟ้าจ้องมองภาคิน ร้องไห้ตบหน้าเขาซ้ำอีกที
“ฉันเกลียดคุณ...”เธอตะเบ็งเสียง “ฉันเกลียดคุณที่สุด...ภาคิน”
ปานฟ้าวิ่งร้องไห้ไป ภาคินวิ่งตามจับข้อมือ หญิงสาวสะบัดทิ้ง หันมามองอย่างน้อยใจเป็นที่สุด ขึ้นรถขับออกไป สิริโสภาแอบมองนิ่งๆ
ปานฟ้าขับรถไปร้องไห้ไป ฟ้าครึ้มเมฆฝนปกคลุมท้องฟ้า ฝนลงเม็ดและเริ่มตกหนักขึ้น ปานฟ้าหักรถเข้าข้างทางร้องไห้อย่างสะเทือนใจหน้าซบกอดพวงมาลัย
“ภาคิน...นี่คุณไม่รู้จริงๆเหรอว่าหัวใจฉันอยู่กับใคร”
วันต่อมา...พิมย่องมารายงานภูวดล ปานดาวนั่งข้างๆฟังอย่างตั้งใจ
“พิมว่าถึงเวลาแล้วพี่ภู วันนี้ทางโล่งสะดวก คุณรุทธิ์เพิ่งพาคุณเดือนออกไปหาหมอ”
ภูวดลยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ฟ้าเป็นใจมาเข้าทางเราแล้ว แกกำชับพวกมันแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้หลงเหลือหลักฐาน”
“อย่าให้ตามกลิ่นมาถึงพวกเราได้” ปานดาวกำชับ
พิมสายตามุ่งมั่น
“ไม่มีพลาดอีกแล้วคะ...พิมยอมทุกอย่างเพื่อลูก”
“ดีมาก...งั้นก็เริ่มแผนได้”
ในห้องนั่งเล่น...ธัญวิทย์นวดแขนเติมบุญอย่างคนไม่เคยนวด ยึกยักจนเติมบุญรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว
“โอ๊ย...นี่มันขย้ำแล้วไม่ใช่นวด...ปกติไม่เคยเห็น มาเอาใจตาแบบนี้ สงสัยวันนี้ฝนตกใหญ่แน่”
ธัญวิทย์หน้าตึง
“ผมก็อยากเป็นหลานคนโปรดของคุณตาบ้างสิครับ”
“ตารักหลานทุกคนเท่ากันหมด”
บุญทิ้งเดินมา เติมบุญเรียก
“บุญทิ้งเอ้ย...มานวดแขนตาอีกข้างหน่อยสิ”
บุญทิ้งยิ้มอย่างยินดี
“ครับผม”
บุญทิ้งบีบที่ไหล่เติมบุญอย่างนิ่มนวล ลงน้ำหนักมือได้ดีมาก จนเติมบุญยิ้มเคลิ้ม
“อืม...ต้องแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่านวด วันหลังบุญทิ้งสอน ให้ธัญวิทย์บ้างนะ”
บุญทิ้งพยักหน้ารับ ธัญวิทย์ทำหน้าดุใส่ บุญทิ้งนวดไปก็เริ่มร้องเพลง “ลาวดวงเดือน” อย่างไพเราะจับใจ
“นวดไปร้องเพลงไปด้วยหรือนี่...เพราะมาก ไปรู้จักเพลงนี้จากไหน”
“สมัยก่อนตอนผมเป็นขอทาน ถ้าร้องเพลงนี้แล้วคนจะให้ตังค์เยอะ”
“ชีวิตเราลำบากมามากนะ ต่อไป ตาจะให้เจ้าอยู่สบาย ไม่ต้องเร่ร่อนอีกแล้ว”
ธัญวิทย์มองอย่างเหยียดหยัน บุญทิ้งหลบสายตา ปานดาวเดินเข้ามาในห้อง แสร้งทำหน้าตากังวล หยิบโน่นเปิดนี่ดูของในห้อง
“อ้าวดาว...หาอะไรลูก”
“คืนนี้ดาวต้องไปงานเลี้ยง แต่หาสร้อยเพชรที่คุณพ่อเคยให้ไม่เจอไม่รู้ว่าหายไปไหนค่ะ”
ปานดาวมองบุญทิ้งอย่างมีแผน บุญทิ้งงงๆ
ทุกคนนั่งเครียดในห้องรับแขก เพราะเติมบุญมาสอบถามเรื่องสร้อยเพชร
“นี่ก็เรียกมาถามกันหมดบ้านแล้ว...ไม่มีใครเห็นเลยหรือ” เติมบุญหันไปหาป้าแก้ว “แก้วละ”
“เมื่อเช้าก็เข้าไปกวาดถูห้องปกติ ไม่เห็นหล่นตามพื้นเลยนะคะ”
สายอุษาแปลกใจ
“แน่ใจแล้วนะลูกดาว ว่าหาตามลิ้นชักต่างๆจนทั่ว”
“หาไม่รู้กี่รอบแล้วคะคุณแม่ มันจะหายไปได้ยังไง หนูเพิ่งเอาออกมาจากเซฟ แล้ววางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง”
ภูวดลรีบเสริม
“สร้อยนั้นล้านกว่าเลยนะ คุณพ่ออุตส่าห์ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณ ทำไมไม่ดูแลให้ดี วิทย์...หยิบของแม่ไปเล่นบ้างรึเปล่า”
ธัญวิทย์ส่ายหน้า
“ผมไม่เคยไปยุ่งกับโต๊ะเครื่องแป้งแม่เลยครับ”
ปานฟ้ามองพิมอย่างสงสัย
“เราละพิม...เห็นบ้างไหม...”
พิมมองปานฟ้าอย่างไม่พอใจ
“ไม่เห็นเลยค่ะ...แต่ หนูเห็นอะไรบางอย่าง”
พิมมองไปที่บุญทิ้ง ปานดาวรีบถามอย่างเข้าขา
“แกเห็นอะไรนังพิม”
“คือเมื่อเช้าพิมกำลังจะเอาตะกร้าผ้าลงมาซัก มองไปเห็นบุญทิ้งออกมาจากห้องคุณดาว ว่าจะทักก็ทักไม่ทัน วิ่งไปก่อน”
บุญทิ้งอึ้งส่ายหน้า
“ผมเปล่านะ ไม่ได้เข้าไปห้องคุณดาวเลย”
ปานฟ้ายิ้มอย่างรู้ทัน
“นี่เธอกำลังจะสร้างเรื่อง ใส่ความคนอื่นอีกแล้วใช่ไหม”
“พิมเปล่านะ...ก็คุณปานฟ้าถามว่าเห็นอะไรบ้าง ก็ตอบไป พิมพูดที่ไหนกัน ว่าบุญทิ้งเป็นคนเอาไป”
เติมบุญไม่พอใจ
“จะกล่าวหาใครลอยๆ ไม่ได้ ต้องมีพยานหรือหลักฐาน”
“ก็นี่ไงค่ะ พิมเป็นพยานได้”
“แค่เห็นบุญทิ้งหน้าห้อง แต่ไม่ได้เห็นเป็นคนเอาไปนี่”
ภูวดลมองบุญทิ้ง
“ถ้าแน่จริงก็ต้องให้ค้น”
บุญทิ้งมองภูวดลอย่างหวาดๆ และงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น...เติมบุญนั่งนิ่งดูเครียดกับเหตุการณ์ ภูวดลและธัญวิทย์ช่วยกันค้นตามตัวบุญทิ้ง แต่ไม่พบอะไร
“หนูก็ไม่อยากกล่าวหาเด็กนะคะพ่อ แต่บุญทิ้งเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาอยู่ในบ้านเรา ที่ผ่านมา บ้านเราไม่เคยมีของหายแบบนี้” ปานฟ้าแกล้งพูด
“ค้นตามตัวก็ไม่มีเลย ถ้าบริสุทธิ์จริงก็ต้องค้นกระเป๋าเสื้อผ้าด้วย” ภูวดลหันไปบอกพิม “พิมไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าบุญทิ้งลงมาหน่อยสิ”
ปานฟ้าพูดดักคออย่างรู้ทัน
“ไม่ได้ค่ะ...ให้ป้าแก้วไปเอาแทน”
“ไม่ไว้ใจพิมเหรอค่ะ...พิมจะใส่ร้ายเด็กไปทำไม...คุณฟ้าหาเรื่องแต่พิม...เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ให้ป้าแก้วไปเอาก็ได้”
เติมบุญพยักหน้าให้ป้าแก้วขึ้นไปหยิบกระเป๋าบุญทิ้งมา ในเวลาเดียวกับที่ปานเดือนกับอนิรุทธิ์กลับจากโรงพยาบาลมาพอดี สายอุษารีบบอก
“มาพอดี...สร้อยเพชรลูกดาวหายไป กำลังสอบสวนกันอยู่”
ป้าแก้วนำกระเป๋ามาวางเติมบุญหันไปสั่ง
“แก้วเปิดกระเป๋าค้นสิ”
ป้าแก้วเปิดกระเป๋าค้น บุญทิ้งมองอย่างงงกับสิ่งที่ทุกคนกระทำ แก้วค้นจนทั่วกระเป๋า
“ไม่มีเลยค่ะคุณท่าน”
พิม ปานดาว ภูวดลมองหน้ากัน บุญทิ้งยิ้มถอนใจโล่งอก ปานฟ้ายิ้มออก
แก้วเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าคืนเหมือนเดิม จังหวะนั้นสร้อยเพชรร่วงมาจากเสื้อตัวหนึ่งของบุญทิ้งหล่นลงพื้นต่อหน้าต่อตาทุกคน
อ่านต่อหน้า 2
ดุจดาวดิน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทุกคนจ้องมองสร้อยเพชรเป็นตาเดียวกัน บุญทิ้งหน้าซีดตัวสั่น ปานดาวรีบไปเก็บสร้อยเพชรขึ้นจากพื้น
“เห็นไหม...นี่มันสร้อยเพชรหนู...” ปานดาวชี้หน้าบุญทิ้ง “แกไอ้เด็กขี้ขโมย”
ทุกคนนั่งเครียดมองบุญทิ้งเป็นตาเดียว เติมบุญพูดน้ำเสียงจริงจัง
“ทั้งพยานทั้งหลักฐานครบ เรื่องอื่นฉันยังพอยอมได้ แต่เรื่องลักขโมยยอมไม่ได้ ยังอยู่ไม่ถึงเดือนออกลายแล้ว”
ปานฟ้าอึ้ง มองไปที่บุญทิ้งอย่างพูดอะไรไม่ออก บุญทิ้งมองปานฟ้าด้วยสายตาอ้อนวอน
“ผมไม่ได้เอาไปนะพี่ฟ้า”
ธัญวิทย์โวยวายขึ้น
“ไม่เอาไปแล้วมันไปอยู่ในกระเป๋าแกได้ยังไง เด็กขอทานขี้ขโมย”
ปานดาวเสแสร้งทำปราณี
“น้าอุส่าห์รักเอ็นดู สงสารเห็นว่าไม่มีพ่อมีแม่ ทำไมทำกันแบบนี้ ไม่มีตังค์ก็บอกสิ จะให้ ไม่ใช่ขโมย”
เติมบุญโกรธจัด
“เก็บกระเป๋า แล้วออกไปจากบ้านหลังนี้”
ทุกคนอึ้ง ปานดาว ภูวดล พิม ยิ้มในใจ บุญทิ้งร้องไห้อย่างหนักส่ายหน้า สายอุษาเห็นใจ
“จะให้ถึงขั้นนั้นเลยหรือค่ะคุณ”
ปานเดือนตกใจ
“ไม่นะคะคุณพ่อ จะทำแบบนี้กับลูกเดือนไม่ได้ ทินภัทรไม่ผิด”
ปานเดือนร้องไห้เติมบุญมองหน้าลูกสาว
“มันลูกแกที่ไหน ตั้งสติหน่อยยัยเดือน”
ปานฟ้าอึ้งไป บุญทิ้งร้องไห้โฮ พิมได้ทีรีบเข้าไปยกกระเป๋าลากตัวบุญทิ้งออกจากห้อง
“ไม่นะ...ผมไม่ผิด พี่ฟ้า...คุณเดือน...ผมไม่ได้เป็นคนขโมย”
ปานเดือนจะโผเข้าไปหาบุญทิ้งแต่อนิรุทธิ์รั้งเอาไว้ เช่นเดียวกับบุญทิ้งที่พยายามจะวิ่งไปหาปานเดือนแต่โดนพิมรั้งไว้เช่นกัน ปานฟ้าพยามยามขอร้อง
“คุณพ่อคะ...อย่าให้ถึงกับไล่ออกจากบ้านกันเลยนะคะ”
เติมบุญลุกจากห้อง
“เด็กคนนี้ไม่เหมาะสมจะอยู่ในตระกูลเรา พ่อตัดสินใจแล้ว”
สายอุษาหันไปหาปานฟ้า
“ฟ้าก็ไม่ต้องไปส่งเด็กคนนี้นะ ให้มูลนิธิมารับกลับ”
ปานเดือนและบุญทิ้งร้องไห้ทั้งคู่ ค่อยๆโดนแยกจากกันไป
รถตู้ติดฟิล์มดำสนิทเคลื่อนมาจอดหน้าบ้าน ป้าแก้วพาบุญทิ้งมาที่ประตูรั้วบ้าน พิมย่องมาถึงตัวป้าแก้ว
“สงสัยรถมารับบุญทิ้งแล้วป้าแก้ว”
ป้าแก้วโอบบุญทิ้งไว้ เด็กชายมองรถอย่างสงสัย ลูกน้องพ่วงซึ่งปลอมตัวเป็นคนขับรถแต่งซาฟารีสีน้ำเงินเรียบร้อยใส่แว่นดำลงมาพูดนอกรั้วบ้าน
“มารับตัวบุญทิ้งไปมูลนิธิครับ”
พิมเปิดประตูรั้วให้ ป้าแก้วลังเลใจ บุญทิ้งส่ายหน้า
“ผมไม่รู้จักพี่คนนี้”
พิมรีบสวน
“ก็เขาบอกมาจากมูลนิธิ หูหนวกหรือไง ยังจะโกหกอะไรอีก ไอ้เด็กหัวขโมย...ไม่อยากไปละสิ แกกลัวเขาเล่นงานใช่ไหม”
บุญทิ้งส่ายหน้า ป้าแก้วลังเล
“เดี๋ยวฉันไปบอกคุณปานฟ้าก่อนดีกว่า”
“ข้างในก็ยุ่งจะแย่ เดี๋ยวคุณท่านมาเล่นงานป้าหรอก”
พิมเข้าไปฉุดบุญทิ้ง ออกไปนอกรั้วบ้าน ป้าแก้วยืนมองอย่างเป็นตามไป บุญทิ้งดิ้นร้องลั่น
“ผมไม่ไป...ช่วยด้วย”
คนขับรถเปิดประตูรถตู้ พิมผลักบุญทิ้งขึ้นรถตู้โยนกระเป๋าเข้าไป บุญทิ้งเซถลาเข้าไปในรถ คนขับรีบปิดประตูทันที หันมามองหน้ากับพิมอย่างรู้กันแล้วรีบขึ้นรถขับออกไป พิมแสยะยิ้ม
“แกผิดเองนะ ที่จะมาแย่งสมบัติลูกฉัน” พิมหันมาบอกแก้ว “ไปป้าแก้วเข้าบ้าน เด็กหัวขโมย ป้าจะไปห่วงมันทำไม”
พิมดึงมือเข้าบ้าน ป้าแก้วยังอดมองตามรถที่แล่นออกไปไม่ได้
บุญทิ้งหันหน้าไปทางคนขับ สะกิดถาม
“พี่จะพาผมไปไหน”
พ่วงที่หมอบตัวอยู่กับพื้นรถ ลุกขึ้นมาอยู่ด้านหลังบุญทิ้ง ยิ้มอย่างเลือดเย็น
“จะพาเอ็งไปที่ชอบที่ชอบไง ไอ้ทิ้ง”
บุญทิ้งหันหลังมาเจอพ่วง ช็อกตกใจมาก อ้าปากค้าง
ขณะเดียวกันในบ้าน...ปานเดือนอาละวาดปัดแจกันหล่นแตกกระจายเต็มพื้น ร้องไห้อย่างหนัก จะออกไปหาบุญทิ้ง อนิรุทธิ์ ปานฟ้าช่วยกันรั้งไว้ ภูวดลยืนดู เติมบุญ สายอุษาพยายามปลอบและพูดห้าม
“เดือนสงบสติอารมณ์หน่อย ค่อยๆพูดจากันก็ได้”
ปานเดือนดิ้น
“ปล่อย...ฉันจะไปหาลูก ทินภัทรของแม่ หนูอยู่ที่ไหน มาหาแม่เร็วลูก”
สายอุษาหน้าเศร้า
“โธ่...เดือนมีสติหน่อยสิลูก...เด็กคนนั้นไม่ใช่ทินภัทรนะ บุญทิ้งต่างหาก”
“ไม่ใช่...นั่นทินภัทรต่างหาก ทำไมทุกคนไม่เชื่อเดือนบ้าง เดือนจำลูกของเดือนได้ นั่นแหละทินภัทร”
เติมบุญส่ายหน้า
“ฟ้าพาเดือนขึ้นไปนอนพักก่อน”
“พี่เดือนใจเย็น บุญทิ้งแค่กลับไปอยู่มูลนิธิ เราไปเยี่ยมเมื่อไรก็ได้”
“ไม่...บุญทิ้งคือทินภัทร พี่จำของพี่ได้ ต้องมีคนแกล้งทินภัทรไม่อยากให้อยู่ที่นี่...พี่รู้...เชื่อพี่นะฟ้า”
ปานฟ้าฟังอย่างครุ่นคิด ปานดาวมองอย่างเหยียด
“อาการบ้ามาเยือนอีกแล้ว จะอะไรนักกับเด็กขอทานขี้ขโมย”
ภูวดลรีบเสริม
“ดีนะที่เราจับได้ก่อน ไม่งั้นโตขึ้น ขโมยสมบัติหมดตระกูลแน่”
ปานฟ้าช่วยอนิรุทธิ์พยุงปานเดือนขึ้นไปข้างบน เติมบุญ สายอุษามองอย่างเป็นห่วง
ตุลย์ในชุดตำรวจ ขับรถส่วนตัวมากับเฟื่องแก้ว ที่กังวลอยากให้ถึงเร็วๆ
“คุณขับให้มันเร็วๆหน่อยสิ คนยิ่งเป็นห่วงบุญทิ้ง”
“จะรีบไปไหน เป็นตำรวจต้องยิ่งทำตามกฎจราจรเป็นสองเท่านะ”
รถตู้ขับเร็วสวนมากินเลน ตุลย์มัวแต่หันไปคุยกับเฟื่องไม่ทันเห็น รีบหักหลบ รถเฉี่ยวกันเสียหลักไปจอดไหล่ถนนทั้งคู่ ตุลย์ลงจากรถเดินตรงมาที่รถตู้ ลูกน้องคนขับรถร้อนรนหันถามพ่วง
“ความซวยมาเยือนแล้วพี่...เฉี่ยวรถตำรวจ...ขับหนีเลยไหม”
พ่วงลังเล
“อย่าหนี ใจดีสู้เสือไว้ ไม่งั้นพ่อเอ็งได้วอเรียกเพื่อนมันมาแน่ เอ็งลงไปยกมือไหว้ขอโทษมันสะ เฉี่ยวนิดเดียว บอกว่ารีบไปข้าจะจับไอ้ทิ้งไว้ก่อน”
บุญทิ้งหันไปเห็นหมวดตุลย์เดินมา ดีใจตาโต แต่พูดไม่ได้เพราะโดนพลาสเตอร์ปิดปากไว้ พยายามดิ้น พ่วงกดหัวบุญทิ้งที่โดนปิดปาก มัดมือ มัดเท้าให้นอนราบไปกับที่นั่ง คนขับรถลงจากรถ ยกมือไหว้
“ทำไมคุณขับรถเร็วแบบนี้ กินเลนผมมาด้วย ขอตรวจใบอนุญาตขับขี่หน่อยครับ”
คนขับหยิบใบขับขี่ให้ดู
“เผอิญผมรีบไปทำธุระหนะครับหมวด ขอโทษนะครับรถผมกับรถหมวดก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
ตุลย์ดูใบขับขี่แล้วยื่นคืนให้ มองรถอย่างผิดสังเกต
“ทำไมติดฟิล์มดำขนาดนี้...ข้างในมีคนไหม”
คนขับรีบยกมือปฎิเสธ
“ไม่ครับ...ไม่ได้รับใครมา...ผมจะรีบไปรับเนี่ยครับ”
บุญทิ้งพยายามฟังตุลย์พูด พยายามส่งเสียงและดิ้นอย่างหนัก แต่พ่วงเอาร่างตัวเองคร่อมไว้
“เปิดรถให้ผมตรวจสิ”
คนขับอึ้ง
“ไม่มีอะไรจริงๆครับหมวด...รถเปล่า”
ตุลย์จะเดินไปเปิดประตูรถตู้ แต่เหลียวไปมองเห็นเฟื่องแก้วกวักมือเรียกให้เร็วๆ ตุลย์ลังเลใจแต่แล้วก็หันหลังกลับ
“วันหลังขับรถให้ช้ากว่านี้นะครับ เกิดอุบัติเหตุแล้วจะแย่”
คนขับถอนหายใจโล่ง รีบยกมือไหว้ ตุลย์กำลังจะเดินกลับไปที่รถตัวเอง บุญทิ้งตาค้าง ได้ยินว่าตุลย์จะไป ดิ้นอย่างหนัก มือบุญทิ้งที่โดนมัด อยู่ตรงเป้ากางเกงพ่วงพอดี เพราะพ่วงนอนทับคร่อมตัวอยู่ บุญทิ้งบีบสุดแรงเกิด
“โอ๊ย...ไอ้ทิ้ง”
พ่วงดิ้นพล่านไปมาเจ็บปวด หัวพ่วงพุ่งชนกระจกบ้าง ข้างรถบ้าง จนได้ยินเสียงออกมาข้างนอกดังตุ๊บๆ ตุลย์หันขวับกลับมาที่รถตู้ทันที
ตุลย์เดินกลับมาที่รถ คนขับหน้าตื่นถอยกรูด รีบวิ่งไปที่นั่งคนขับหันบอกพ่วงอย่างร้อนรน
“งานเข้าแล้วลูกพี่...”
ตุลย์เดินมาอีกทาง รีบเปิดประตูรถถึงกับผงะ เมื่อเห็นบุญทิ้งโดนปิดปากมัดมือมัดเท้านอนอยู่
“เฮ้ย...บุญทิ้ง”
ตุลย์เข้าไปดึงตัวบุญทิ้งออกมา พ่วงแอบอยู่ด้านในรถ
“ยุ่งเรื่องชาวบ้านนัก...อย่าอยู่เลยเอ็ง”
พ่วงพุ่งมีดตรงที่หน้าท้อง ตุลย์เอี้ยวตัวหลบ มีดเสียบที่ต้นแขนอย่างจัง เลือดพุง ตุลย์เซไป พ่วงได้จังหวะถีบตุลย์ล้มไปกับพื้น
“จะรอพ่อเอ็งแห่มารึไง...” พ่วงตะโกน “ออกรถสิโว้ย”
พ่วงรีบปิดประตู รถบึ่งไปอย่างเร็ว ตุลย์ล้มข้างถนน จับแผลที่แขนไว้อย่างเจ็บปวด เฟื่องแก้วรีบวิ่งมาอย่างเร็ว ตกใจมาก
เมื่อปานฟ้ารู้ว่าบุญทิ้งไปกับรถตู้ เธอตกใจมาก
“ป้าปล่อยให้บุญทิ้งไปกับเขาได้ยังไง แน่ใจเหรอว่ามาจากมูลนิธิ”
ป้าแก้วอึ้ง อึกอักมองพิม ปานดาวกับภูวดลแอบยิ้มในใจ
“ก็เห็นคนขับรถบอกใช่ แล้ว...พิมก็บอกป้าว่า...”
พิมรีบส่ายหน้าโวย
“อ้าว...มาโยนขี้กันแบบนี้ได้ไง ป้านั้นแหละ เป็นคนปล่อยให้ไป”
ป้าแก้วงง
“ไม่ได้ปล่อยนะ แต่เขาว่ามาเอาตัวบุญทิ้ง คิดแล้วงง...มันรีบพูด รีบเอาตัวไปเร็วเหลือเกินหรือยังไงนะ...” ป้าแก้วนึกๆ “พิม...แกจำได้ไหม”
“โอ๊ย...ป้า...แก่จนหลง...ลืมตลอด พอแล้วหยุดพูด”
ป้าแก้วมองพิมทำตาปริบๆไม่กล้าพูดอะไรอีก ขณะเดียวกันนั้นเสียงออดที่ประตูรั้วดังขึ้น สายอุษาหันไปสั่งป้าแก้ว
“ใครมา...แก้วไปดูซิ”
เติมบุญส่ายหน้ารำคาญ
“ทำไมบ้านนี้มีแต่เรื่องไม่หยุดหย่อน”
ปานดาวรีบตัดบท
“ใครจะเอาเด็กหัวขโมยข้างถนนไป ก็ช่างมันเถอะคะคุณพ่อ เธอก็อีกคนยัยฟ้า เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเด็กคนนี้จริง”
“ลองถามไปที่มูลนิธิก่อนดีไหมฟ้า อาจเป็นคนของเขาจริงๆก็ได้” สายอุษาแนะ
“ไม่ใช่แน่นอน ฟ้ารู้จักเจ้าหน้าที่ทุกคน น่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับ บุญทิ้งนะคะ”
เติมบุญกับ สายอุษา อึ้ง อนิรุทธิ์นั่งกลุ้มใจ เครียดเรื่องปานเดือน มองปานฟ้ากล่าวอย่างโมโห
“เธอจะวางแผนหรือทำอะไรก็เรื่องของเธอ แต่เอาบุญทิ้งกลับมาให้ได้ เด็กคนนี้สำคัญกับคุณเดือนมาก”
ปานฟ้างง
“แผนอะไรคะพี่รุทธิ์ ฟ้าไม่เข้าใจ...”
อนิรุทธิ์สบหน้าตรงๆ
“ผมไม่สนใจสมบัติอะไรทั้งนั้นของบ้านนี้ เธออยากได้ก็เอาไปให้หมด ขออย่างเดียวอย่ารังแกเดือนอีกเลย ผมสงสารเมียผม”
ปานฟ้ายิ่งงงและเสียใจ ภาคินเดินเข้าบ้านมา ยกมือไหว้เติมบุญกับสายอุษา หน้าตาเคร่งเครียด ดูกังวล
“ขอโทษนะครับ...บุญทิ้งถูกจับตัวไป”
ทุกคนฟังอย่างอึ้ง ยกเว้นปานดาว ภูวดล และพิม ที่ยิ้มกระหยิ่มในใจ
บุญทิ้งถูกปิดปาก มัดมือมัดเท้า หลังพิงผนังรถ มองหน้าพ่วงอย่างกลัว พ่วงจ้องมองหน้าคิดหนัก
“เอ็งไปทำอะไรให้เขาเกลียดนัก ถึงกับถูกสั่งเก็บว่ะ”
บุญทิ้งตาค้าง ส่ายหน้า ได้แต่ร้องเสียงหลงในลำคอ พ่วงหน้าเหี้ยม หยิบมีดขึ้นมาชูไว้ตรงหน้าบุญทิ้ง
“อโหสิให้ข้านะไอ้ทิ้ง...ข้าไม่มีทางเลือก”
บุญทิ้งหลับตาปี๋ ยกมือที่โดนมัดบังหน้า
เติมบุญ สายอุษาและปานฟ้า นั่งนิ่งอย่างยังไม่หายตกใจ ภาคินวางหูมือถือ หันมาบอกปานฟ้า
”อาการหมวดตุลย์ปลอดภัยแล้ว แต่ตำรวจยังไม่เจอรถที่จับบุญทิ้งไป”
ปานดาวแค่นหัวเราะ
“ไอ้เด็กขอทานแบบนั้น ใครจะลักพาตัว...ใครมันจะโง่เอาไปเลี้ยงหรือไง อย่ามาสร้างเรื่องโกหกกันดีกว่า นี่เธอกำลังวางแผนอะไร...กับนายคนนี้ บอกมานะ”
ภาคินงงๆไม่เข้าใจ
“วางแผนอะไรครับ ไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้น”
เติมบุญส่ายหน้ามองปานดาว
“น้องไม่ใช่คนแบบนั้น ดาวก็น่าจะรู้ รุทธิ์เองก็เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า”
สายอุษาถอนใจ
“สงสัยจะเครียดเรื่องเดือนมากเกินไป”
ปานฟ้าบอกอย่างเสียใจ
“ฟ้ารู้สึกแล้ว ว่าตั้งแต่พี่เดือนไปอยู่โรงพยาบาล พี่รุทธิ์จะมองฟ้าแปลกๆเหมือน...ไม่ค่อยพอใจ โกรธๆยังไงไม่รู้”
อนิรุทธิ์ระเบิดออกมา
“โกรธหรอ เป็นใครก็คงต้องโกรธทั้งนั้น...” อนิรุทธิ์ชี้พิม “ก็นี่ไง คนที่เธอใช้ให้ไปทำ พิมบอกผมหมดแล้ว อย่าเล่นละครอีกต่อไปเลย ที่แท้ก็กะฮุบสมบัติทุกอย่างในบ้านนี้ โดยใช้บุญทิ้งเป็นเครื่องมือ...จงใจทำร้ายจิตใจเดือนชัดๆ”
ปานฟ้าฟังอย่างตกใจ
“อะไรนะคะ”
เติมบุญสายอุษาหันควับมามองปานฟ้าอย่างอึ้ง ตกใจ ปานดาวกับภูวดลยิ้มในใจ ปานฟ้าฟังอย่างช็อค หันมองพิมที่รีบหุบยิ้มทำตีหน้าซื่อ ไร้เดียงสา
พ่วงจะพุ่งมีดมาบุญทิ้งร้องลั่น
“โอ๊ย...อย่าทำผม”
พ่วงชะงักฆ่าไม่ลง จ้องหน้าบุญทิ้ง
“มีคนสั่งให้ฆ่าเอ็ง ข้าก็ไม่รู้เหตุผล แต่ข้าเลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่เล็ก จะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต เอ็งวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด ถ้ารอด ก็เป็นบุญของเอ็ง แต่ถ้าข้าหาเจอ ก็นึกว่าถึงคราวแล้วกัน...ไป”
บุญทิ้งกลัวตาย ยกมือไหว้อย่างสั่นเทา พ่วงตัดสินใจเปิดประตูรถผลักเด็กชายลงจากรถกลิ้งลงข้าง บุญทิ้งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่รู้จุดหมาย พ่วงหลับตารอเวลาที่จะตามไปจัดการบุญทิ้ง...บุญทิ้งวิ่งร้องไห้หนีอย่างหวาดกลัว คอยพะวงหันกลับมามองพ่วงเป็นระยะ แต่ก็ยังไม่เห็นพ่วงตามมา
ไข่ตุ๋นเล่นทอยตัวตุ๊กตุ่น กับเพื่อนอยู่ที่ลานโล่งใกล้โรงลิเก ไข่ตุ๋นทอยตัวตุ๊กตุ่นใกล้เส้นที่สุด ยิ้มอย่างกำชัยชนะ
“เล่นกับใครไม่เล่น ชิวๆว่ะขอบอก รวบสะ...” ไข่ตุ๋นก้มเก็บตัวตุ๊กตุ่นทั้งหมดที่พื้น ทันใดนั้นมีเท้ามาเหยียบตัวตุ๊กตุ่นไว้ ไข่ตุ๋นแหงนหน้ามอง
“ไอ้โกง...เมื่อกี้ข้าเห็นเอ็งเหยียบเลยเส้นก่อนทอย...ไม่ได้โว้ย พวกนี้เป็นของข้า...เฮ้ยพวกเราจัดการ”
เด็ก 3 คน กับไข่ตุ๋นแย่งตัวตุ๊กตุ่นกันชุลมุน แต่ไข่ตุ๋นไวกว่าหลบไปมาไม่มีใครแย่งจากมือได้
“โหย...รุมนิหว่า...อยากได้ก็ตามมาสิว่ะ”
ไข่ตุ๋นวิ่งหนีอย่างเร็ว เด็กสามคนวิ่งตาม
บุญทิ้งวิ่งไม่คิดชีวิต มองซ้ายมองขวาไม่รู้จะไปทางไหน พ่วงหน้าเหี้ยมออกวิ่งตาม มองหาทั่ว ขณะเดียวกันนั้น ไข่ตุ๋นวิ่งหน้าตั้ง มีเด็กทั้ง 3 คน ชี้นิ้ว วิ่งตาม
“จับได้ เอ็งแบนเป็นไข่เจียวแน่ ไอ้ไข่ตุ๋น”
บุญทิ้งหันหลังไปมองพ่วง ไข่ตุ๋นหันไปมองเด็ก 3 คนที่วิ่งไล่มาทั้งคู่วิ่งมาชนกันอย่างจังกลางแยกในตรอก ล้มกลิ้งไปบนพื้น
“โอ้ย...”
บุญทิ้งรีบลุกจะวิ่งไปต่อ ไข่ตุ๋นรีบลุกจะวิ่งไปอีกทางเช่นเดียวกัน บุญทิ้งนึกได้ รีบกลับหลังหัน คว้าข้อมือไข่ตุ๋นไว้ทัน
“เดี๋ยวก่อน...มีคนกำลังตาม...ฆ่าฉัน...พาหนีที...ฉันไม่รู้จักทางแถวนี้...”
ไข่ตุ๋นเหนื่อยหอบ
“ข้าก็หนีไอ้พวกที่ตามมาจะตื้บ...งั้น...ไปด้วยกัน”
ไข่ตุ๋นฉุดมือบุญทิ้ง มองซ้ายมองขวา สุดท้ายก็ตัดสินใจวิ่งไปพร้อมกัน
พิมนั่งชูคออย่างไม่เกรงกลัวใคร ปานฟ้าจ้องอย่างแค้นใจ
“เธอต้องการอะไรกันแน่ ก่อเรื่องไม่หยุด ตั้งแต่กับพี่รุทธิ์ก็ทีแล้วแถมยังใส่ร้ายว่าฉันสั่ง นี่ยังมาเรื่องบุญทิ้งอีก จะยอมสารภาพ หรือ ต้องให้ตำรวจมาจัดการ”
สายอุษาตกใจรีบห้าม
“ฟ้า...ใจเย็นลูก เรื่องในบ้าน อย่าให้ถึงตำรวจเลย”
พิมลอยหน้าลอยตา
“พอเรื่องแดง คุณฟ้าก็ถีบหัวส่ง ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้”
ปานฟ้าโกรธ
“พิม...นี่เธอ”
ปานดาวจ้องหน้าน้องสาวไม่พอใจ
“จะข่มขู่พยานหรือไง...เธอนี่แย่มากนะฟ้า ทั้งๆที่ได้ไปหมดทุกอย่างแล้ว ทั้งศูนย์การค้า ทั้งความรักจากคุณพ่อคุณแม่...ยังจะเอาอะไรอีก”
“พี่ดาว...เข้าใจผิดไปแล้วคะ...เด็กของพี่นั่นแหละที่โกหก ปั้นเรื่องขึ้นเองทุกอย่าง ทำให้พวกเราแตกแยกกัน ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาคือ ให้พิมออกไปจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด”
ปานดาวอึ้ง ภูวดลเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพิมทันที
“นี่น้องฟ้าคิดจะตัดตอนพิม”
ปานดาวเสียงแข็งขึ้น
“ไม่ได้...พิมเป็นเด็กของฉัน ฉันจะพิจารณาเอง”
เติมบุญเครียด ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาใจ
“ค่อยๆ พูดกัน พี่น้องกันทั้งนั้น นี่ขนาดฉันยังไม่ตายยังเถียงกันเรื่องสมบัติ...เถียงกันมากๆจะยกให้การกุศลให้หมด...เบื่อ”
ปานดาวกับภูวดล สบตากันหน้าเสีย กลัวเติมบุญจะทำจริงๆ ปานดาวรีบตัดบท
“ถ้าแน่จริง เธอก็ต้องตามหาตัวบุญทิ้งให้เจอ แล้วฉันจะถามเอง ว่าใครใช้มา”
อนิรุทธิ์บอกเสียงเรียบ
“ผมก็อยากรู้ ว่าใครโกหกกันแน่”
อนิรุทธิ์มองหน้าปานฟ้าอย่างเคร่งเครียด เติมบุญกับสายอุษาก็มองปานฟ้าอย่างชักลังเล ไม่แน่ใจ...ปานฟ้าเห็นสายตาทุกคนก็บอกอย่างน้อยใจ
“ได้ค่ะ ตอนนี้ทุกคนอาจสงสัยฟ้า แต่เวลาจะพิสูจน์ความจริงทั้งหมดเอง”
ปานดาว ภูวดลและพิม แอบยิ้มหยัน คิดว่าปานฟ้าไม่มีทางพิสูจน์ได้ เพราะบุญทิ้งไม่มีวันกลับมาได้แน่
อ่านต่อหน้า 3
ดุจดาวดิน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ไข่ตุ๋นวิ่งนำ บุญทิ้งวิ่งตามออกมาที่แยกในตรอกที่ตัดกัน พ่วงเดินมาอีกทาง บุญทิ้งเห็นตกใจสุดขีด รีบฉุดมือไข่ตุ๋นให้หลบเข้ามุมอีกตรอก พ่วงเขม้นมอง เหมือนเห็นอะไรแว้บๆ ไข่ตุ๋นงงๆ
“ดึงข้าทำไมว่ะ...”
บุญทิ้งหน้าเสีย ชี้มือไปทางพ่วง แล้วเอามือทำท่าบีบคอตัวเอง ไข่ตุ๋นพยักหน้าช้าๆ
“อ๋อ...เอาน่า ข้ารู้ กลัวจนขนาดหายใจไม่ออกอ่ะดิ...”
บุญทิ้งส่ายหน้า“
ไม่ใช่...คนนั้น...” บุญทิ้งชี้มือไปที่พ่วงแล้วทำมือปาดคอตัวเอง
ไข่ตุ๋นหน้าเสีย โผล่หน้าไปมอง พ่วงเห็นไข่ตุ๋น เด็กชายรีบหลบหลังพิงกำแพง
“แล้วแกจะรอให้มันมาฆ่าทำไม...วิ่งสิ”
ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งวิ่งหนีไปอีกทาง เด็กสามคนวิ่งมาอีกทาง ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งรีบหลบ
“อะไร...หยุดทำไมอีก” บุญทิ้งถามอย่างแปลกใจ
ไข่ตุ๋นชี้มือไปทางเด็ก 3 คน
“โจทก์ข้า...3 คน 6 ขาเลยแก”
บุญทิ้งโผล่หน้าไปดูเด็ก 3 คนเห็น บุญทิ้งรีบหลบ
“แบบนี้ ถูกยำเละแน่”
“แล้วจะอยู่รอให้มันยำทำไมเล่า”
ไข่ตุ๋นวิ่งนำ บุญทิ้งวิ่งตามมาเข้าอีกตรอก แต่แล้วไข่ตุ๋นก็หยุดกึกหน้าเสีย บุญทิ้งชนหลังไข่ตุ๋นอย่างจัง
“ทางตัน...ทางตายแล้วเว้ย...”
พ่วงเดินเข้ามาถึงปากตรอกนั้น ย่างเท้าเข้ามาอย่างหมายมาด ไข่ตุ๋นกับบุญทิ้งค่อยๆทรุดตัวนั่งหลบหลังโอ่ง
“เอาไงดี...” บุญทิ้งถามอย่างหวาดหวั่น
เด็กชายทั้งสองหน้าซีดหวาดกลัวตัวสั่น
พ่วงเดินตรงมาที่สองคนหลบอยู่ มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ทันใดนั้นฝาโอ่งก็เปิดออก ไข่ตุ๋นพุ่งพรวดยืนขึ้นจากโอ่งยิ้มแป้น พ่วงงง
“เฮ้ย...แล้วไอ้ทิ้งหายไปไหน”
ไข่ตุ๋นชี้ไปทางขวา
“ไปทางนั้น...”
พ่วงลังเลใจ รีบวิ่งตามไปทางที่ไข่ตุ๋นชี้ ชณะเดียวกันนั้นเด็ก 3 คนวิ่งมาที่โอ่ง พอเปิดฝา บุญทิ้งโผล่หัวขึ้นมายิ้มแป้น
“เฮ้ย...ไอ้ตุ๋นไปไหนว่ะ”
บุญทิ้งชี้ไปทางซ้าย
“ไปทางโน้น...”
เด็กทั้ง 3 คนรีบวิ่งตามไปทางที่บุญทิ้งชี้ ไข่ตุ๋นค่อยๆโผล่หัวขึ้นมา มองไปอย่างโล่งอก ทั้งสองถอนหายใจพร้อมกัน กอดคอและยิ้มให้กันอย่างถูกชะตา
ปานฟ้าหน้าเศร้า นั่งคิดหลายเรื่อง ทั้งการเข้าใจผิดกับภาคิน ทั้งบุญทิ้งหายตัวไปรวมทั้งโดนใส่ร้ายจากปานดาว ก้องภพท่าทางกรุ้มกริ่มเดินเข้ามาแซว
“คนที่กำลังจะหมั้น เขาไม่มานั่งหน้ามุ่ยแบบนี้หรอก เป็นไรน่ะฟ้า ตื่นเต้นมากหรอ”
ปานฟ้าหันไปมองก้องภพด้วยสายตาเบื่อหน่าย จะลุกหนี แต่เขาฉุดมือไว้ เธอมองตาดุจนเขาต้องปล่อย
“จะให้บอกอีกกี่ครั้ง ว่าไม่มีทางที่เราจะหมั้น...”
ก้องภพรีบพูดขัด
“อารมณ์คนจะเป็นเจ้าสาว ไม่เป็นไรเดี๋ยวช่วยคิดเอง เอาเรื่องงานหมั้นเราก่อนเลย ดีไหม ฟ้าอยากได้แหวนวงใหม่ หรือแหวนเก่าของแม่ผม อยากจัดงานที่ไหน จัดยังไงดี”
ภาคินเดินเข้ามา ทั้งคู่หันไปมอง ปานฟ้าสบสายตาเขาแล้วผินหน้าไปทางอื่น ภาคินหน้าตาจริงจัง
“คุณฟ้าครับ...ผมมีเรื่องคุยด้วย”
ก้องภพอารมณ์ขึ้น
“คู่หมั้นเขาคุยกันอยู่...ตาบอดหรือไง สอดเข้ามาได้ ไม่มีมารยาท”
ปานฟ้าจะหนีเข้าบ้าน ภาคินจะตาม ก้องภพขวาง
“ด่าแล้วยังไม่รู้อีก แม่ไม่เคยสอนหรือไงวะ”
ภาคินชกเข้าเต็มหน้าก้องภพจนเซไปอีกทาง
“อยู่เฉยๆ ไม่งั้นจะโดนหนักกว่านี้”
ก้องภพงง จับหน้าที่โดนต่อยอย่างเจ็บปวด ภาคินเดินไปคว้าข้อมือไว้ ปานฟ้างง พยายามบิดมือออก แต่ภาคินไม่ยอมปล่อย
“หมวดตุลย์รออยู่ที่มูลนิธิ คุณจะไปกับผมไหม จะได้คุยกันเรื่องบุญทิ้ง”
สายอุษาเดินมาดู
“เกิดอะไรขึ้น เสียงเอะอะเข้าไปถึงในบ้าน”
ภาคินรีบปล่อยมือปานฟ้าอย่างจำใจ ก้องภพจะฟ้องแต่ปานฟ้าชิงพูดก่อน
“เดี๋ยวฟ้าจะออกไปดูหมวดตุลย์ ตามเรื่องบุญทิ้งด้วยคะ”
“ให้ก้องไปเป็นเพื่อนสิลูก จะหมั้นหมายกันอยู่แล้ว ไปกับ...” สายอุษาปรายตามองภาคิน “คนอื่น มันจะไม่เหมาะ”
ก้องภพเดินเข้าไปจับมือปานฟ้า
“ถ้าฟ้าอยากไป เดี๋ยวผมไปส่ง”
ปานฟ้าดึงมือออก
“ขอบคุณค่ะก้อง แต่ไม่ต้องดีกว่า ฟ้ามีหลายเรื่อง ต้องคุยกับคุณภาคิน”
ก้องภพมองภาคินอย่างเสียหน้า สายอุษามองปานฟ้าอย่างไม่พอใจ
ในรถภาคิน บรรยากาศอึมครึม ปานฟ้าหันหน้าไปอีกทาง จนภาคินตัดสินใจพูดก่อน
“ตกลงคุณกับก้อง...จะหมั้นกันจริงๆ เหรอครับ”
ปานฟ้าถอนใจ บอกเสียงเรียบ
“อย่าพึ่งคุยเรื่องนี้เลยคะ”
“คุณฟ้า...”
“ตอนนี้รีบหาตัวบุญทิ้งให้เจอก่อนดีกว่า อย่างอื่น ไว้คุยกันที่หลัง เถอะนะคะ”
“ครับ”
ภาคินสบตาปานฟ้าอย่างเข้าใจ แต่ก็อดกังวล นึกหึงหวงไม่ได้
ไข่ตุ๋นพาบุญทิ้งมาที่โรงลิเก ไข่ตุ๋นเขย่าแขนอ้อนช้อย ขอให้รับบุญทิ้งอยู่ด้วย ช้อยไม่ยอม
“ไม่ได้...หูแตกหรือไง...เท่าที่อยู่กัน...คดข้าวยังต้องยั้งมือ...หนอย...ทำหน้าใหญ่จะเอาเพื่อนมาอยู่ด้วย”
ถมมองบุญทิ้งที่นั่งหน้าเศร้าอยู่
“บ้านเราอยู่ไหน มากับเจ้าไข่ตุ๋นแล้ว พ่อแม่ไม่ว่าอะไรเอาหรือไง รีบกลับไปบ้านก่อนดีกว่าไป๊”
บุญทิ้งก้มหน้า เศร้าสลด
“ผม...ไม่มีบ้านให้กลับครับ ไม่มีพ่อแม่คอยห่วงด้วย...ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเจอพ่อแม่เลย”
ถมอึ้งนึกสงสาร กัญญาเดินเข้ามา ทันได้ยินตอนท้าย เขม้นมองบุญทิ้ง คลับคล้ายคลับคลา
“เอ๊ะ เด็กคนนี้ …เหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ นึกไม่ออก”
ช้อยไม่พอใจว่าบุญทิ้งเสียงแข็ง
“ไม่ต้องทำเป็นเศร้า ยังไงก็ไม่ให้อยู่ ไม่มีข้าวให้กิน จะไปไหนก็ไป”
บุญทิ้งส่ายหน้า ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดหวัง กัญญามองอย่างสงสาร เห็นใจ
ภูวดล ปานดาวและพิม นั่งสะใจที่แผนการทั้งหมดสำเร็จไปด้วยดี
“พอรู้ว่าไอ้เด็กเปรตนั่นหาย นังฟ้าหน้าจ๋อยไปเลย...สะใจจริงๆ ส่วนนังเดือน ป่านนี้นอนคลั่งตายไปแล้ว มีลูกกี่คนหายเกลี้ยงหมดเสี้ยนหนามสักที ต่อไปนี้ ทุกอย่างต้องเป็นของธัญวิทย์...ลูกฉันคนเดียว”
พิมค้อนปานดาว ภูวดลยิ้มร้าย
“ต้องเล่นให้กลับไปอยู่โรงบาลบ้าถาวร...แบบนั้นถึงจะเรียกว่าหมดเสี้ยนหนามจริง...พิม...งานนี้แกต้องสานต่อ จัดการพวกมันให้หมดแล้วจะได้รางวัลอย่างงาม”
พิมมองภูวดลอย่างมีแผน
“รางวัลที่ว่า...พิมไม่เอาตังค์ แต่ขอบอกธัญวิทย์ว่าพิมเป็นแม่”
ภูวดลกับปานดาวอึ้ง
“ได้ทุกอย่างในมือก่อนสิว่ะ...อย่าโง่นักเลย...เดี๋ยวเสียแผนหมด”
พิมฟังอย่างไม่พอใจ ปานดาวจ้องหน้าพิม
“ยกให้แล้วก็ถือว่ายกให้เลยสิ ขอคืนกันได้ยังไง”
พิมมองตาขวาง
“คุณดาวไม่เคยมีลูก ไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหนที่ต้องอยู่ในสภาพอย่างพิม มีลูกก็ให้รู้ว่าเป็นแม่ไม่ได้ เป็นได้แค่คนใช้”
ภูวดลตัดบท
“เอาน่า ลูกใครก็เหมือนกัน ให้สมบัติตกเป็นของพวกเราเป็นพอว่าแต่แก...ก่อนจ่ายเงินให้ไอ้คนที่มาลักตัวบุญทิ้งไป ดูให้มันมั่นใจซะก่อนนะว่า เด็กนั้น...”
พิมยิ้มแล้วคุยโว
“ไม่ต้องห่วงพี่...จะไม่มีใคร ได้พบบุญทิ้งอีกแล้ว”
พิมสบตาอย่างมั่นใจ ภูวดลฟังอย่างพอใจ
เฟื่องแก้วนั่งทำแผลให้ตุลย์ ภาคินกับปานฟ้านั่งคุยด้วยกัน ตุลย์นิ่งครุ่นคิด
“ฟังจากที่คุณฟ้าเล่า ผมว่าพ่วงไม่ได้ทำคนเดียว...เหมือนมีใครในบ้านคุณฟ้ารู้เห็นเป็นใจด้วย มันถึงตามไปจับบุญทิ้งถึงที่บ้านโน้นได้”
เฟื่องแก้วสงสัย
“แล้วทำไมคนในบ้าน ถึงยอมร่วมมือกับโจรอย่างพ่วง”
ปานฟ้านิ่งคิด
“คนที่น่าสงสัยมากสุด น่าจะเป็นพิม...คนรับใช้ที่ไหน จะกล้าก่อเรื่องได้ขนาดนี้”
เฟื่องแก้วแปลกใจ
“นั่นสิ ถึงขนาดใส่ร้ายนายจ้างนี่ ไม่ธรรมดานะ ถ้าไม่มีคนถือหาง ไม่น่ากล้า”
“คุณแก้วหมายถึง...พี่ดาวเหรอคะ”
“ฉันก็แค่สงสัย ไม่กล้ายืนยันหรอกคะ เดี๋ยวจะกลายเป็นใส่ร้ายไปอีกคน แต่ถ้าไม่มีคนให้ท้าย คนใช้ที่ไหนจะกล้าหาเรื่องนายจ้าง มันเหตุไม่สมผล”
ภาคินเห็นด้วยกับเฟื่องแก้ว
“ผมเห็นด้วย แต่เรื่องนี้ จะเกี่ยวกับที่บุญทิ้งโดนจับตัวไปรึเปล่า”
ตุลย์ครุ่นคิด
“ผมสังหรณ์ใจ ว่ามันน่าจะเกี่ยว แต่เพื่อความแน่ใจ ต้องเริ่มสืบจากยายสาวใช้ตัวแสบนี่ก่อน”
ปานฟ้าพยักหน้า ทุกคนครุ่นคิดอย่างจริงจัง ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ธัญวิทย์ยกของว่าง ผลไม้มาวางที่โต๊ะ ทึกคนมองอย่างพอใจ...
“เดี๋ยวนี้วิทย์น่ารักขึ้นมาก รู้จักเอาใจตายาย ยายชื่นใจจริงๆ” สายอุษาชื่นชม
ธัญวิทย์ยิ้มแป้น
“ผมนวดให้คุณยายนะครับ”
ธัญวิทย์เข้าไปนวดที่แขนยาย ปานดาวกับภูวดลยิ้มดีใจ
“วิทย์เอาแต่ใจตัวเองน้อยลงแล้วค่ะ คงรู้ว่าต้องทำตัวให้แป็นเด็กดี ให้สมกับที่เป็นหลานคนเดียวของคุณตา ต่อไปเราอย่าเอาใครมาอุปการะอีกเลยนะคะ ดาวเข็ดแล้ว พวกเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเนี่ย... น่ากลัวมาก”
เติมบุญถอนใจ
“อย่างอื่นก็ดีหมด นึกไม่ถึงว่าจะขี้ขโมย เห็นธัญวิทย์ก็อดคิดถึง ทินภัทรไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง”
ปานดาวแอบแค่นยิ้มหยัน แล้วทำตีหน้าเหมือนปลง
“ดีไม่ดี คงไปเกิดใหม่แล้วล่ะค่ะ”
เติมบุญหน้าเสีย สายอุษาหันไปปรามลูกสาว
“ดาว”
“พวกเราทุกคน ควรยอมรับความจริงได้แล้วนะคะคุณแม่ ทินภัทรไม่มีวันกลับมาแล้ว เลิกหวังลมๆ แล้งๆ กันสักทีเถอะ”
คำพูดของปานดาว ทำให้เติมบุญกับสายอุษาเครียดไป
เช้าวันใหม่...ช้อยหัดไข่ตุ๋นให้รำลิเก จับมือหลานชายดัดนิ้ว
“นิ้วให้มันโค้งๆหน่อย...เออ แบบนั้น”
“ดัดจนจะงอมาอีกด้านแล้ว ยังไม่พออีกเหรอน้าช้อย”
บุญทิ้งนอนคุดคู้มุมหนึ่งไม่ห่างโรงลิเก งัวเงียตื่นเพราะเสียงระนาด เดินมาแอบมองแล้วยิ้ม เขาหัดออกมือท่าทางตามไข่ตุ๋นผิดๆถูกๆ ไข่ตุ๋นเห็นหันมามองยิ้มหัวเราะ บุญทิ้งยิ้มให้
“ดูมันรำ เหมือนลิงเล่นลิเกเลย”
ช้อยมองตาม เห็นบุญทิ้ง
“ไอ้นี่ตื๊อจริง...ของเขามีครู มันทำเป็นเล่น จะไปไหนก็ไป”
ช้อยตาดุใส่ บุญทิ้งหุบยิ้ม หันหลังเดินคอตกจากไป สวนกับกัญญาที่เดินกลับมาจากตลาด เธอมองอย่างสงสาร
ทุกคนนั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยหลังโรงลิเก บุญทิ้งแอบมองจากมุมผนัง กลืนน้ำลายอย่างหิวโหย ไข่ตุ๋นเห็นบุญทิ้งแอบตักไข่ต้มไว้หนึ่งใบแล้วค่อยๆหลบไว้ด้านหลังก่อจะโยนให้ บุญทิ้งรับแล้วหลบ ช้อยเห็น ด่าลั่น
“ไอ้ตุ๋น...เอ็งทำอะไร”
ทุกคนหันไปมองช้อยเป็นตาเดียวกัน ช้อยเดินไปลากคอเสื้อบุญทิ้งออกมาไข่ต้มคาปาก
“โอ๊ยน้า...เบาหน่อย เดี๋ยวไข่ติดคอ”
กัญญากับถมมองขันๆ ช้อยตวาดลั่น
“หนอย...บอกให้ไปไหนก็ไป วนเวียนอยู่ได้ คายไข่ต้มมาเดี๋ยวนี้”
ช้อยจะล้วงเข้าไปในปากบุญทิ้ง ถมยกมือห้าม
“อะไรจะขนาดนั้นว่ะ นังช้อย ไข่ใบเดียวให้มันกินไปเถอะ”
กัญญามองอย่างสมเพช
“พี่ถมหักเงินฉันไว้เป็นค่าข้าวเด็กคนนี้แล้วกัน ตัวแค่นี้ปล่อยไปก็ตายเปล่า ให้เป็นเด็กรับใช้ในโรงลิเกก็ได้”
ถมมองกัญญาถอนหายใจ แล้วพยักหน้าให้ กัญญายิ้มกวักมือเรียก
“มากินข้าวกับป้า...มา”
บุญทิ้งวิ่งไปนั่งกับกัญญา คว้าจานกัญญามากินข้าวอย่างหิวโหย กัญญาลูบหัวอย่างเอ็นดู บุญทิ้งกินไปน้ำตาซึม คอยยกแขนเสื้อปาดน้ำตา ช้อยมองอย่างหมั่นไส้
ภาคินนั่งดูเอกสารที่โต๊ะทำงานอย่างไม่สบายใจ เฟื่องแก้วที่นั่งตรงข้ามมองอย่างเป็นห่วง
“พอไหวไหมคะ”
“การเงินของมูลนิธิเราค่อนข้างแย่ ถ้าไม่มีรายได้อะไรมาเพิ่มและยังมีภาระรายจ่ายขนาดนี้ ไม่รู้จะอยู่รอดอีกกี่เดือน”
“เด็กก็เพิ่มเข้ามาเกือบทุกเดือน จนจะรับไม่ไหวแล้ว นับวันพวกมีลูกแต่ไม่รับผิดชอบ มันเยอะขึ้นจริงๆ”
“คุณอย่าเพิ่งไปบอกใครเรื่องนี้นะ ไว้ผมจะหาวิธีแก้ปัญหาเอง แล้วถ้ามีเด็กที่เดือดร้อนมา ก็รับไว้ก่อน ยังไงก็ต้องช่วยกัน”
“ค่ะ”
เฟื่องแก้วพยักหน้ารับ มองภาคินอย่างคิดปลอบโยนและเห็นใจ
ภาคินพยายามหาหนทางพยุงให้มูลนิธิอยู่รอด เขาเข้าไปของสปอนเซอร์จาก บริษัทเอกชน ผู้บริหารบอกภาคินอย่างรู้สึกเสียใจ
“ขอโทษด้วยนะครับ แต่ตอนนี้งบบริจาคของบริษัทเรา หมดแล้ว”
ภาคินฝืนยิ้มทั้งที่ผิดหวัง
“ไม่เป็นไรครับ...ขอบคุณ”
ภาคิน เดินเข้าออกบริษัทต่างๆอีก 2-3 บริษัท เพื่อขอเงินบริจาคแต่ทุกคนก็ปฎิเสธทั้งนั้น จนภาคินยิ้มไม่ออก ชักรู้สึกท้อ
ปานฟ้านั่งทำงานที่โต๊ะทำงาน มองวิมลวรรณที่นั่งตรงข้าม อย่างรู้สึกเกรงใจแกมอึดอัด
“วันๆ ก้องไม่ยอมทำอะไร เอาแต่เมาท่าเดียว ลูกชายป้ารักหนูมากนะปานฟ้า”
ปานฟ้าครุ่นคิด
“คือ...ฟ้า...”
“ถ้าหนูยังไม่พร้อมเรื่องหมั้น เอาไว้ก่อนก็ได้ แต่ป้าขอร้องช่วยไปดูก้องหน่อยเถอะ ถ้าเห็นหนูคงดีใจ ป้าสงสารลูกเหลือเกิน แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เพ้อถึงแต่หนูเท่านั้น”
ปานฟ้าถอนใจอย่างอึดอัด รู้ว่าคงขัดผู้ใหญ่ไม่ได้
ภาคินกลับมาในห้องทำงาน อย่างเหนื่อยๆและผิดหวัง เปิดประตูเข้ามาเจอวิมลวรรณนั่งรอ ก็ชะงัก
“ฉันมีเรื่องมาเตือน ก้องจะหมั้นกับปานฟ้าเร็วๆนี้ แน่ คงรู้ตัวนะ ว่าควรทำไง แม่แกเคยทำบาป ทำร้ายจิตใจฉันมาแล้ว แกอย่าเป็นมารมาแย่งของรักลูกฉันอีกเลย”
ภาคินตอบอย่างเคร่งขรึม
“เรื่องนี้ก็คงต้องแล้วแต่ฝ่ายหญิง จะบังคับกันได้ที่ไหนครับ”
วิมลวรรณไม่พอใจตะเบ็งเสียง
“ฉันหมายถึงแก...อย่ามาสอด”
“แล้วถ้าผมไม่ยอม...”
วิมลจ้องภาคินอย่างโกรธจัด
“จองหอง...จะลองดีกับฉันใช่ไหม...ได้ แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตแก และแม่แก โทษกันไม่ได้”
ภาคินจ้องหน้า
“คุณหญิงรู้...ว่าแม่ผมอยู่ไหน”
วิมลยิ้มหยัน
“คอยดูไปสิ ว่าฉันจะรู้หรือเปล่า”
วิมลวรรณมองภาคินด้วยสายตาเกลียดชัง เหี้ยมโหด แล้วออกไปจากห้องไป ภาคินมองตามอย่างครุ่นคิด สงสัยว่าแม่เลี้ยงของเขาต้องรู้ว่าแม่เขาอยู่ไหน
เฟื่องแก้วเดินสวนกับวิมลวรรณ ก็รีบไหว้อย่างจำได้ว่าเป็นแม่ภาคิน
“สวัสดีคะคุณหญิง มาหาคุณภาคินเหรอคะ”
วิมลวรรณพยักหน้าปั้นปึ่ง
“ที่นี่เป็นไงบ้าง”
“แย่ค่ะ”
เฟื่องแก้วนึกขึ้นได้ชะงัก รีบเอามือปิดปาก
“ทำไม...มีอะไร”
“คุณภาคินไม่ให้พูดค่ะ”
“ฉันเป็นแม่เขา บอกมาเถอะ ถ้ามีอะไรช่วยได้ก็จะช่วย”
เฟื่องแก้วฟังอย่างมีหวัง
“ตอนนี้การเงินของมูลนิธิแย่ค่ะ รายจ่ายเยอะ แต่ยอดบริจาคมีแต่น้อยลง เดือนหน้ามีหวังติดลบ ยังไม่รู้เลยคะว่าจะหาเงินจากไหน”
วิมลวรรณฟังนิ่ง แต่ในใจเริ่มคิดอย่างมีแผนการ
ปานฟ้าเดินเข้ามาในบ้านวิมลวรรณ เห็นขวดไวน์ขวดเบียร์เต็มพื้น เต็มโต๊ะ ก้องภพนั่งหน้าแดงก่ำ
“อย่าทำตัวแบบนี้ได้มั้ย ถ้าไม่นึกถึงตัวเอง ก็เห็นแก่คุณแม่คุณบ้าง”
“ก้องอยากหมั้นกับฟ้า หมั้นให้เร็วที่สุดเลย”
“บอกแล้วไงว่า มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งเห็นคุณทำตัวแบบนี้ ฟ้ายิ่ง...”
ปานฟ้าส่ายหน้าอย่างเซ็ง ก้องภพมองหน้าอย่างเจ็บใจ
“เซ็งมากหรอไง...ใช่สิ...ผมมันไม่ใช่ไอ้ภาคิน ไอ้ลูกนังลิเกนั่น มันวิเศษตรงไหน ฟ้าถึงหลงมันนัก”
“อย่างน้อยเขาก็ไม่ขี้เมาอย่างคุณ”
ก้องภพลุกขึ้นจับไหล่หญิงสาว
“แล้วที่ผมเป็นแบบนี้เพราะใคร...ผมรักคุณนะฟ้า รักจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ทำไมไม่สนใจความรู้สึกผมบ้าง”
หญิงสาวเริ่มหน้าเสีย
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่...ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ก้องภพดึงเธอมากอด ปล้ำอย่างคนเมาไร้สติ
“อย่านะก้อง...อย่า...หยุดนะ...หยุดเดี๋ยวนี้...ปล่อยชั้น”
ปานฟ้าผลักก้องภพแล้วตบหน้าฉาดใหญ่
“ทำไมคุณทำแบบนี้...เลวที่สุด”
ก้องภพจับหน้าอย่างเจ็บใจ
“ถ้าเป็นไอ้ลูกเมียน้อยนั่นทำ จะดีดดิ้นแบบนี้มั้ย เห็นแล้วนะ ไอ้คลิปกอดจูบกับมัน ทำไปได้ไม่อายฟ้าดิน”
ปานฟ้าส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย
“คุณเมามาก คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง ไว้พูดกันวันหลังเถอะ”
ปานฟ้าจะเดินไป ก้องภพจับแขน
“ฟ้า...”
ปานฟ้าหันมาพูดเสียงแข็งใส่
“อย่ามาถูกตัวฉันนะ ไม่นึกเลย ว่าคุณจะทำแบบนี้ได้”
ปานฟ้าพูดใส่หน้าอย่างโกรธจัด แล้วเดินไป ก้องภพตะโกนตามหลัง
“อย่าเดินหนีผมแบบนี้ กลับมานะฟ้า...ฟ้า…โธ่เว้ย”
ปานฟ้าไม่ฟังเสียงเดินไป ก้องภาพมองตามอย่างโกรธจัด จนเปลี่ยนเป็นแค้น เมื่อปานฟ้าขับรุกลับไปนั้น ก้องภพได้สั่งให้ลูกน้องขับตามเธอไป...
เฟื่องแก้วพร้อมเด็ก 3 คนแต่งตัวหล่อ เดินเข้าในคอนโดตรงเข้าไปในลิฟต์ กดชั้น แล้วมองตัวเลขชั้นที่ขึ้นไปทุกที เฟื่องแก้วยิ้มแย้มมีความหวัง นึกถึงคำพูดของวิมลวรรณที่คุยกับเธอในร้านอาหาร
‘มิสเตอร์จิม เป็นนักธุรกิจใหญ่ใจบุญ เชื่อว่าเขาคงช่วย... มูลนิธิได้’
วิมลวรรณยิ้มนิดๆ แววตาเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย แต่เฟื่องแก้วไม่ทันสังเกตมัวแต่ดีใจ
เมื่อถึงเวลานัดหมาย เฟื่องแก้วกับเด็กๆ เดินมาหยุดหน้าห้อง เธอเอื้อมมือไปกดออด นึกถึงคำพูดวิมลวรรณ
‘พาเด็กไปด้วยสัก 3 คน เอาแต่เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงงอแง เขาไม่ชอบ จะได้เงินบริจาคแค่ไหน ขึ้นกับฝีมือเธอ’
เฟื่องแก้วจัดเสื้อผ้าเด็กๆให้เข้าที่
“เดี๋ยวทุกคนเจอมิสเตอร์จิมแล้ว ต้องทำตัวให้น่ารักนะ เขาจะได้สงสาร บริจาคเงินให้มูลนิธิเรามากๆ”
พวกเด็กๆ รับคำอย่างเต็มใจ ขณะเดียวกันนั้นประตูห้องเปิดออก ชายฝรั่งท่าทางนุ่มนิ่มอยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้นสีชมพูแต่งตานิดๆยืนมองเด็กชาย 3 คน ตาเป็นมัน ยิ้มชอบใจ เฟื่องแก้วรีบแนะนำตัว
“ดิชั้นชื่อเฟื่องแก้วคะ มาพบมิสเตอร์จิม”
“ฉานนี่แหละจิม...ข้ามาก่อนสิ” ชายฝรั่งยิ้มให้เด็กๆ “เด็กๆของป๋า”
เฟื่องแก้วฟังหน้าเจื่อนไป รู้สึกแปร่งๆ หันมองเด็กทั้งสามคนที่สบตา อย่างไม่ค่อยไว้ใจนักแล้วเดินเข้าไปในห้อง ฝรั่งกรีดนิ้วล็อคประตู ใส่กุญแจ แล้วถือกุญแจติดมือ ยิ้มหวานเดินตามเข้าไปในห้อง
ปานฟ้าขับรถมาตามซอยเปลี่ยว มอเตอร์ไซด์ขับปาดหน้าแล้วตั้งใจเบรกกะทันหัน ปานฟ้าเบรกไม่ทันชนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ล้ม
“โอ๊ย...เบรกมาได้”
คนขับสวมหมวกกันน๊อคทำทีเป็นเจ็บนอนอยู่กับพื้น ปานฟ้ามองตกใจ แล้วรีบเปิดประตูเดินมาดูใกล้ๆ
“คุณเป็นอะไรมากไหม...เดี๋ยวฉันพาส่งโรงพยาบาล”
ปานฟ้าก้มมาดูใกล้ๆ ชายคนนั้นพลิกตัวหันมา แล้วเอาผ้าที่โปะยาสลบในมือ โปะเข้าที่หน้าของเธอ ปานฟ้าดิ้นรนนิดนึงแล้วก็หมดสติ ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน มองเธอด้วยแววตาหมายมาด ชั่วร้าย
ชายฝรั่งลูบหัวจับแก้มโอบกอดเด็กๆอย่างเอ็นดู เฟื่องแก้วมองอย่างทะแม่งๆ รีบดึงตัวเด็กออก ฝรั่งหันมายิ้มหวานแบบเกย์ๆ
“มาแบบนี้ดี ไม่ต้องไปหาตามข้างถนน จัดมาให้เสร็จ”
เฟื่องงงยกมือห้าม
“เดี๋ยวคะ...คือมาที่นี่เพราะเรื่องของมูลนิธิ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวได้เงินแน่ ฉันไปเอากล้องถ่ายรูปก่อน พวกเธอก็รีบถอดซะให้เรียบร้อย”
เฟื่องแก้วอึ้ง ตาโต
“ถอด...ถอดอะไร”
“เสื้อผ้าไง ของเด็กน่ะ ถอดให้หมดเลย”
ฝรั่งบอกยิ้มๆ แล้วเดินไปเข้าห้องนอน เฟื่องแก้วกับเด็กๆมองหน้ากันอย่างงง เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น
“ฝรั่งตุ๋ยเด็กแน่...ไปกันเถอะพี่แก้ว”
เฟื่องแก้วรีบจูงเด็กๆ จะออก แต่ประตูล็อคเปิดออกไม่ได้ เด็กพยามบิดลูกบิด
“เปิดไม่ออก”
“เราไม่มีกุญแจ”
เด็กอีกคนรีบบอก
“กุญแจอยู่ที่ฝรั่ง”
“แย่แล้วพวกเรา”
เฟื่องแก้วหันรีหันขวางแล้วนึกได้ รีบหยิบมือถือมาโทร
“โอ้ย...หมวดตุลย์บ้า ทำไมไม่รับสาย หน้าสิ่วหน้าขวานเป็นแบบนี้ทุกที”
เฟื่องรีบกดส่งข้อความไปขอความช่วยเหลือจากตุลย์ ชายฝรั่งตะโกนมา
“ไหนมาดูสิคนไหนกล้ามใหญ่สุด...มาสนุกกันเร็ว”
เฟื่องแก้วจะกดปุ่ม sent เพื่อส่งข้อความ แต่ฝรั่งแย่งมือถือไปได้ก่อน หันมายิ้มหวาน
“คืนนี้ฉันจองพวกเธอทั้งคืน...ไม่ต้องโทรหาใครแล้ว”
เฟื่องแก้วหน้าเสีย ฝรั่งโยนมือถือทิ้ง หันมาจะรวบตัวเด็กๆ แต่เฟื่องแก้วพาเด็กๆ วิ่งหนีร้องกรี๊ด วุ่นวายไปหมด
อ่านต่อหน้า 4 วันที่ 19 ม.ค. 2555
ดุจดาวดิน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ปานฟ้านอนสลบหมดสติอยู่บนเตียงภายในห้องของคอนโดหรู สักครู่เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น มอง เห็นก้องภพนั่งยิ้มมองมาอยู่ข้างๆ ปานฟ้ากวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างงงๆ พยายามจะยันตัวขึ้นนั่ง แต่ลุกไม่ได้เพราะฤทธิ์ยายังไม่หมด
“ที่นี่ที่ไหน...ทำไมฟ้าไม่มีแรงเลย จะลุกก็ไม่ไหว”
ก้องลูบผมลูบหน้า ปานฟ้าพยายามปัดป้องอย่างอ่อนแรง
“ฟ้าสวยเหลือเกิน ก้องรอวันนี้มานานแล้ว”
ก้องภพเอื้อมมือจะไปปลดกระดุมเสื้อ ปานฟ้าปัดมือไปอย่างพยายามรวบรวมกำลัง
“นี่มันอะไร...ทำไมทำแบบนี้”
ชายหนุ่มคลานมาบนเตียงเข้าหา
“ก็ต้องทำแบบนี้สิจ้ะ ฟ้าถึงจะเป็นเมียก้องไง”
หญิงสาวหน้าเสีย มองเขาอย่างตกใจ นึกรู้ว่าคราวนี้เธอแย่แน่
“คุณเป็นคนวางแผนทั้งหมด มอเตอไซค์คันนั้น เป็นคนของคุณใช่มั้ย”
“ใช่ พูดกันดีๆไม่ได้ มันก็ต้องใช้วิธีนี้”
“ไม่รู้หรือไงว่ามันผิดกฎหมาย”
ก้องภพยิ้มหยัน
“ก็ให้รู้ไป ว่าเธอจะเอาผัวติดคุก”
“คุณมันบ้าไปแล้ว ฉันไม่ได้รักคุณ”
ก้องภพชะงัก
“งั้นรักใคร...ไอ้ภาคินรึไง”
ปานฟ้าอึ้งไปนิด แล้วบอกอย่างยอมรับ
“ใช่...ฟ้ารักคุณภาคิน...แล้วจะรักคนเดียวด้วย”
ก้องภพตาแทบลุกด้วยความโกรธและแค้น
เฟื่องแก้ววิ่งหนีมาที่ห้องนั่งเล่น ฝรั่งวิ่งตาม เด็ก 3 ทั้งสามกรูมาอยู่มุมเดียวกับเฟื่องแก้ว
“โอ...มาย...ก๊อด...มีแถมเกมวิ่งไล่จับกันด้วย ไอ ชอบ...”
เฟื่องแก้ว ฮึดขึ้นเสียงสั่งเด็กๆ
“สู้...สู้เลย...เรามากันตั้ง 4 คนกลัวอะไร สู้ไม่สู้”
เด็ก 3 คนเห็นเฟื่องแก้วเอาจริง ก็เอาด้วย
“สู้...ลุยเลย...”
เด็ก 3 คนลุยเข้าไปจับฝรั่งคนละทิศละทาง คนหนึ่งไปข้างหลังกระโดดขี่คอเอามือปิดตาไว้
อีกสองคนจับแขนคนละข้าง ฝรั่งเซไป
“โอ๊ย...ทำอะไรกัน...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
ฝรั่งดิ้นสะบัดไป เหวี่ยงเด็กๆ ไปคนละทิศทาง เฟื่องแก้วรีบมาช่วย ต่อสู้กับฝรั่ง
“อย่าทำอะไรเด็กๆนะ ไอ้เกย์ลามก”
“นังชะนีหัวหน้าแก๊ง แสบนักนะแก”
ฝรั่งจะบีบคอ เฟื่องแก้วตาเหลือก มองไปเห็นแจกัน ก็เอื้อมมือไปหยิบอย่างทุลักทุเล แล้วเอาแจกันตีหัวฝรั่งจนล้ม เธอมองแจกันที่แตกในมืออย่างตกใจ ร้องกรี๊ดแล้วรีบทิ้งแจกันไป หันไปเรียกเด็กๆ
“เด็กๆ หนีเร็ว”
เฟื่องแก้วหยิบกุญแจที่ตกอยู่ แล้วรีบพาเด็กๆ ไปที่ประตู ไขกุญแจผิดๆ ถูกๆ ฝรั่งลุกมาก็ยิ่งไขไม่ได้ แต่แล้วก็ไขกุญแจ เปิดประตูพาเด็กๆ หนีออกไปได้ ก่อนที่ฝรั่งจะเดินมาถึงตัว
ภาคินจะเดินมาขึ้นรถ พอดีมือถือดังขึ้นเขากดรับสาย
“แกเตรียมตัวมางานแต่งงานฉันกับฟ้าได้แล้ว”
ภาคินชะงัก หน้าเครียด
“หมายความว่าไง”
ก้องภพ หัวเราะยิ้มหยัน มองปานฟ้าที่นั่งมุมเตียงด้านในสุดหน้าตาหวั่นวิตก
“ก็หมายความว่า ฟ้าจะเป็นเมียฉันแล้วไง...ไอ้โง่”
ปานฟ้าตะโกนชึ้นทันที
“คุณภาคิน ช่วยฟ้าด้วย”
ภาคินตกใจเมื่อได้ยินเสียง
“แกทำอะไรคุณฟ้า”
ก้องภพมองปานฟ้าอย่างหื่นๆ
“อยากได้ยินเสียงร้องอะไรเด็ดๆกว่านี้ไหม”
“อย่านะก้อง อย่าทำอะไรบ้าๆ แกอยู่ไหน พาคุณฟ้าไปอยู่ที่ไหน”
“แค่เสียงคงไม่สนุก งั้นจะเก็บคลิปวิดีโอไว้ให้ด้วย” ก้องภพหัวเราะลั่น “แน่จริงก็หาให้เจอสิว่ะไอ้หน้าโง่”
ก้องภพปิดโทรศัพท์ โยนแบ็ตเตอรี่ทิ้ง หันมองหญิงสาวก่อนจะแสยะยิ้ม
“เดี๋ยวก้อง...ก้องภพ”
ภาคินโทรกลับไปหาใหม่ แต่สัญญาณติดต่อไม่ได้ ภาคินกดตัดสายอย่างเครียด คิดหนักว่าจะช่วยปานฟ้าได้ยังไง
ตุลย์เดินมาหาเฟื่องแก้วที่รออยู่มุมหนึ่งบนโรงพัก
“ว่าไง หมวดให้คนไปจับไอ้ลามกนั่นรึยัง”
ตุลย์สบตาหนักใจ
“คงไม่ต้องแล้ว”
เฟื่องแก้วฟังอย่างขัดใจ แปลกใจ
“ทำไมยังไม่รีบไปจับอีก เดี๋ยวมันก็หนีไปหรอก”
“ไม่หนีหรอก ตอนนี้...”
ตุลย์หันไป เห็นฝรั่งแก่เดินเข้ามา โวยวายเสียงดังกับตำรวจ
“ยูต้องจัดการ ไอไม่ยอม”
เฟื่องแก้วตกใจ
“หา...มาถึงโรงพักเองเลยเหรอ...หนอย ช่างกล้า”
ฝรั่งเห็นเฟื่องแก้วก็ชี้หน้า โวยวายเสียงดัง
“นั่นไงยายชะนีตัวแสบ...จับมันเลย”
พวกตำรวจหันมามองเฟื่องแก้วเป็นตาเดียว เธออึ้งงง แล้วย้อนถามเสียงหลงอย่างตกใจ นึกไม่ถึง
“อะไรนะ จะจับฉัน...ข้อหาอะไรกัน”
ปานฟ้ามองก้องภพที่รินเหล้าใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่ม อย่างหวาดกลัว ก้องภพเมาได้ที่หันมามอง
“ทำไมทำหน้ากลัวก้องแบบนั้นล่ะฟ้าจ๋า…มา ดื่มกัน ฉลองวันเข้าห้องหอของพวกเรา”
“ปล่อยฟ้าไปเถอะก้อง ฟ้าอยากกลับบ้าน ปล่อยฟ้าเถอะนะคะ” ปานฟ้าพยายามขอร้อง
ก้องภพเดินมานั่งข้างๆ เธอถอยหนีแต่ เขาล็อกตัวไว้
“หนีทำไม ยังไงฟ้าก็ต้องเป็นของก้องอยู่แล้ว จะให้แม่รีบหาฤกษ์แล้วเราแต่งงานกันเลยนะ”
ปานฟ้าน้ำตาหยดด้วยความกลัว
“อย่าทำแบบนี้ได้มั้ยก้อง ฟ้ากลัวนะ”
“กลัวทำไมจ๊ะคนดี”
ก้องภพจับหน้าหญิงสาวแล้วจะจูบ แต่เธอปัดมืออย่างแรงแล้วจะลุกหนีแต่ไม่พ้นเพราะเขากระชากแขนกลับมา บอกอย่างโกรธจัด
“พูดดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้รุนแรงใช่มั้ย ได้ เดี๋ยวจัดให้”
ชายหนุ่มจะปล้ำจูบ แต่หญิงสาวดิ้นรน ทำให้เขาโกรธจะปล้ำเธอให้ได้ แต่ยังไม่ทันทำอะไร ก็ถูกกระชากให้พ้นจากตัว ก้องภพหันมาอย่างไม่พอใจ ทันใดนั้น ภาคินก็ชกโครมแล้วเหวี่ยงตัวก้องภพลงไปนอนกับพื้น จากนั้นเขาก็ตามไปลากก้องภพขึ้นมา ปานฟ้ามองอย่างตกใจ
“แกมันเลวมาก...”
ภาคินกระหน่ำชกอีกหลายครั้ง จนก้องภพล้มหมดสติ ด้วยความเมาและความเจ็บ ภาคินหันมาทางปานฟ้า ที่รีบโผมาหาเขาทั้งน้ำตา เขากอดเธอที่ร้องไห้ตัวสั่นอย่างหวาดกลัว
ภาคินพาปานฟ้าเดินมาตามทางเดิน เธอถามเขาอย่างสงสัย
“ทำไมรู้ว่า...ฟ้าอยู่ที่นี่คะ”
“โทรศัพท์มือถือคุณอยู่ในรถ ที่จอดอยู่ข้างล่าง บริษัทมือถือช่วยหาให้จนเจอ ว่าเบอร์คุณอยู่ที่นี่ แล้วผมก็พอรู้ว่าก้องมาซื้อคอนโดนี่ไว้ คุณไม่เป็นไรนะ”
“ค่ะ...ไม่เป็นไร”
“ถ้าเป็น...ผมคงตายแน่”
ปานฟ้ามองหน้าภาคิน แล้วบอกอย่างหนักแน่น
“ฟ้ารักคุณ”
ภาคินฟังอย่างดีใจ ดึงเธอมากอดแน่น
“ผมก็รักคุณ รักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้”
หญิงสาวฟังอย่างชื่นใจน้ำตาคลอ กอดชายหนุ่มแน่นอย่างมีความสุข
เฟื่องแก้วบอกอย่างโมโห มองฝรั่งที่นั่งตรงข้ามอย่างโกรธหนัก
“โกหก ไอ้ฝรั่งตัณหากลับ คุณตำรวจคะ ดิฉันไม่ได้เป็นธุระจัดหาเด็กไปให้ไอ้แก่นี่ตุ๋ยนะคะ มันเป็นพวกหลอกลวง”
“ไอ ไม่ได้หลอกลวงอะไรทั้งนั้น สัญญากับไอเองว่าจะหาเด็กมาให้ไอกินตับ”
“ฉันไปสัญญาอะไรกับแกตอนไหน ฉันทำงานมูลนิธิ ฉันจะเอาเด็กไปเซ่นให้แกได้ยังไง จับมันเลยค่ะคุณตำรวจ...จับมัน”
“โนๆๆ จะมาจับไอได้ยังไง เงินตั้งเยอะตั้งแยะ ไอก็จ่ายให้ยูไปแล้ว”
เฟื่องแก้วโกรธจัดลุกขึ้นยืน
“เงินที่ไหน ใครไปรับเงินแกมา” เฟื่องแก้วพุ่งไปกระชากผมน้อยๆบนหัวเหม่งของฝรั่ง “แกตาย พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นได้เป็นฝรั่งเน่าแน่ๆ ไอ้ลามก”
เกิดชุลมุนขึ้นระหว่างฝรั่งกับเฟื่องแก้ว ตุลย์กับตำรวจรีบเข้าไปแยกเฟื่องแก้วจากฝรั่งอย่างทุลักทุเล เฟื่องแก้วกระชากหัวฝรั่งมาตามมือ ตุลย์แยกเฟื่องแก้วออกมาได้ แต่เฟื่องแก้วดิ้นหันไปถีบก้นฝรั่งจนฝรั่งเซ หัวเหม่งไปโขกกับหัวตำรวจเจ้าของคดี เสียงดังสนั่น เฟื่องแก้วตกใจ ทำหน้าจ๋อย ตุลย์เกาหัวส่ายหน้า
ค่ำนั้น...เฟื่องแก้ว คุยโทรศัพท์ กับวิมลวรรณ ซึ่งนั่งดูละครทีวีอยู่ที่ห้องรับแขก วิมลวรรณพูดยิ้มๆ แววตาสะใจมาก
“มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอเนี่ย” วิมลวรรณแสร้งทำเสียงตกใจ “จะให้ไปโรงพักตอนนี้นะ นี่เฟื่องแก้ว เธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร จะให้ไปยุ่งกับเรื่องคุกเรื่องตะรางได้ไง หัดมีความคิดมั่งซี่”
ตุลย์นั่งอยู่ข้างๆ มองอย่างเป็นห่วงแกมหนักใจ เฟื่องแก้ว บอกอย่างอัดอั้นตันใจ
“แต่คุณหญิง เป็นคนบอกให้ดิฉันมาพบไอ้จิมลามกเนี่ย ก็ต้องรับผิดชอบสิคะ มาช่วยเป็นพยานให้ด้วย ว่าดิฉันมาเพราะเงินบริจาคของมูลนิธิ ไม่ใช่เอาเด็กมารับจ้างถ่ายหนังโป๊”
“ฉันบอกให้เธอไปที่ไหนกัน ฝันไปรึเปล่า”
เฟื่องแก้วงง
“อ้าว...ไหงคุณหญิงพูดแบบนี้ ก็เป็นคนบอกเองว่า...”
วิมลวรรณรีบขัดขึ้นน้ำเสียงสะใจมาก
“เธอต้องไปเช็กสมองแล้ว ฉันไม่เคยพูด ไม่ได้ยุ่งอะไรด้วยเลย เคยไปเกี่ยวกับมูลนิธิที่ไหน อย่ามาแอบอ้าง เอาฉันไปเกี่ยวด้วยนะอยากโง่เอง ก็รับไปคนเดียวสิ”
เฟื่องแก้วอึ้งไปเลย
“อ้าว...แก่แล้ว ทำไมโกหกแบบนี้ ก็คุณเป็นคนแนะนำ...”
วิมลวรรณวางสาย ตุลย์หันมาถามเสียงเครียด
“ว่าไง”
เฟื่องแก้วบอกอย่างแค้นๆ
“บอกมาได้ไงว่าไม่รู้เรื่อง แก่แล้วโกหกหน้าตาเฉยเลย เดี๋ยวฉันต้องจัดการให้รู้เรื่อง”
หญิงสาวพยายามกดมือถือโทรหาอีก แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ
“เขาปิดเครื่อง ไม่ยอมรับสาย”
“เขาว่าไงบ้างล่ะ”
“จะว่าไง ก็บอกว่าไม่รู้ ไม่ได้เป็นคนแนะนำ ทำไมโกหกหน้าไม่อายแบบนี้ เขาเองเป็นคนบอก แต่มาตอนนี้กลับว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวอะไรด้วย ทำไมถึงทำแบบนี้...แล้วฉันจะทำยังไง”
เฟื่องแก้วพูดต่อไม่ออก ได้แต่ทำหน้าช็อคแล้วส่ายหน้าช้าๆ ตุลย์ส่ายหัวทำอะไรไม่ถูก หญิงสาวค่อยๆเบะหน้าจนร้องไห้โฮออกมา
“ใจเย็นคุณแก้ว ใจเย็น อย่าเพิ่งร้องไห้ ผมไม่ยอมให้คุณติดคุกหรอก อย่าร้องนะ”
ตุลย์เข้าไปกอดอย่างปลอบโยน เฟื่องแก้วยิ่งร้องไห้โฮเสียงดัง อยู่ในอ้อมกอดของเขา ตุลย์ถอนหายใจคิดหนัก
ภาคินมาส่งปานฟ้าจอดรถที่หน้าบ้าน นั่งคุยกันในรถ
“ตกลงคุณจะไม่เอาเรื่องก้องภพ”
“ฟ้าไม่อยากให้เรื่องใหญ่ และก็ไม่อยากให้ผู้ใหญ่ต้องมาผิดใจกัน”
“งั้นคุณต้องสัญญากับผมก่อนว่า หลังจากนี้ คุณห้ามเข้าใกล้ก้องภพอีก”
ปานฟ้ายิ้มยื่นหน้าถาม
“ทำไมฟ้าต้องสัญญาด้วยคะ”
ภาคินยื่นหน้ามาใกล้
“ก็ผมหวง”
หญิงสาวยิ้มกว้างทำทะเล้น ยื่นหน้าใกล้เข้าไปอีก
“หวง เหรอคะ”
ชายหนุ่มจ้องหน้าทะเล้นยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไม่ใช่หวงธรรมดานะ...หึงด้วย”
เขาจุ๊บที่หน้าผากเธอทันที ปานฟ้ารีบถอยหัวเราะ อย่างเขินอายเอามือ จับจมูกของเขาอย่างหมั่นไส้
“ร้ายจริงๆเลยคุณเนี่ย”
ทั้งคู่หัวเราะกันอย่างมีความสุข ที่เข้าใจกันได้
เฟื่องแก้วยืนเกาะลูกกรงห้องขังร้องไห้โฮ ตุลย์ยืนอยู่กับเด็กๆของมูลนิธินอกกรง...
“ฮือๆๆอีหมวดตุลย์ อีหมวดบ้า ไหนบอกจะไม่ให้ติดคุกไง ฮือๆๆ”
“นี่ไม่ใช่คุก คุณแค่ถูกกักตัวไว้ชั่วคราว ตอนนี้เจ้าหน้าที่เค้าไปพักกันหมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าผมกับภาคิน จะขอประกันตัว พาคุณออกไปนะ”
“ฮือๆ ฉันไม่อยากให้คุณภาคินรู้ เขาต้องเอาฉันตายแน่ๆ”
“ไม่ตายหรอกน่า ภาคินเป็นคนมีเหตุผล มันต้องเข้าใจคุณอยู่แล้ว ผมพาเด็กๆไปส่งก่อนนะ และเดี๋ยวผมจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
เฟื่องแก้วยื่นมืออกมาจากห้องขัง คว้ามือของเขาไว้แน่น
“อย่าทิ้งแก้วนะ คุณตุลย์ อย่าทิ้งแก้วนะ”
ตุลย์สบตาหญิงสาวอย่างจริงจัง
“ครับ ผมสัญญา”
ตุลย์ค่อยๆปล่อยมือออก เฟื่องแก้วยิ่งร้องไห้โฮเสียงดัง
ปานเดือนเดินออกจากบ้านมา มองไปรอบตัว
“ทินภัทร...ทินภัทรอยู่ไหนลูก...ทินภัทร...ลูกฉันหายไปไหน ลูกแม่ แม่คิดถึงลูกนะ ทินภัทร”
เธอเดินไปที่ประตูรั้ว พยายามปีนรั้ว พูดกับตัวเองตลอดเวลา
“ลูกแม่...ลูกแม่หนีไปเล่นนอกบ้านใช่มั้ย”
อนิรุทธิ์ตามออกมา
“คุณเดือน คุณจะไปไหน”
ปานเดือนหันมาเห็นสามีก็ตกใจ พยายามปีนป่ายรั้ว ให้เร็วขึ้น
“ฉันจะไปหาลูก ไปหาลูก”
อนิรุทธิ์โผเข้าไปจับตัวยื้อยุดให้ลงจากรั้ว ป้าแก้วมาเห็นพอดี
“ว๊ายคุณเดือนขา อย่าไปค่ะ” ป้าแก้วตะโกนให้คนในบ้านมาช่วย “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
“คุณเดือน...คุณไปไม่ได้นะ ลงมาก่อนๆ”
“ไม่...อย่ามายุ่ง เดือนจะไปหาลูก”
อนิรุทธิ์พยายามจับตัว ให้ปานเดือนลงจากรั้วอย่างระมัดระวัง กลัวตัวเธอจะโดนปลายรั้วที่เป็นเหล็กแหลมแต่เธอปัดมือเขา พยายามจะปีนข้ามรั้วไปให้ได้ เติมบุญ สายอุษา และปานดาว รีบออกมาดู
“เดือน...ปีนไปทำไมลูก เดี๋ยวตกลงมาหรอก” สายอุษาร้องอย่างตกใจ
“ลงมาก่อนคุณ เดี๋ยวผมพาไปหาลูกนะ” อนิรุทธิ์ปลอบ
ปานเดือนบอกทั้งน้ำตา
“ไม่เชื่อ ทุกคนโกหก ไม่มีใครรักทินภัทร ลูกหายไปอีกแล้วก็ไม่มีใครสนใจ”
ปานเดือนตะเกียกตะกายจะข้ามรั้วให้ได้ แต่เกือบพลาดตกลงมา สายอุษากับป้าแก้วร้องตกใจ
อนิรุทธิ์จับขาไว้จะดึงก็ไม่กล้า ปานเดือนดิ้นรน ต่อสู้เต็มที่ไม่ยอมลง เติมบุญมองอย่างหวาดเสียว
“ระวังเดือนจะโดนปลายรั้ว”
“ครับคุณพ่อ”
ปานดาวหงุดหงิดมีแต่คนเป็นห่วงปานเดือน
“ยายบ้าเอ๊ย ก่อความเดือดร้อนไม่หยุด ทินภัทรหายสาบสูญจนหาชื่อไม่เจอ ไอ้เด็กบุญทิ้ง ก็ถูกโจรฆ่าจนไปเกิดใหม่ตามทินภัทรไปแล้ว”
“ไม่ ไม่ ไม่จริง ไม่จริง ลูกยังอยู่ ลูกยังอยู่กับเดือน ลูก ลูกจ๋า ลูกแม่”
ปานเดือนคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ปานดาวมองอย่างหมั่นไส้
“ลีลามากนัก...ลงมา”
ปานดาวเข้าไปกระชากตัวปานเดือนอย่างแรง จนตัวเธอไปเกี่ยวกับเหล็กแหลมปลายรั้ว แล้วตกลงมา ทุกคนร้องตกใจ ปานดาวเบ้ปากเหยียดหยัน
“ร้องทำไมกัน ตกมาแค่นี้ไม่ตายหรอกน่า”
“เดือน”
อนิรุทธิ์จับตัวปานเดือนที่ตกมานอนคว่ำให้หงายหน้าขึ้น แล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นเลือดที่ตัว
ของเธอ
“เจ็บจังเลย” ปานเดือนสบตาสามีบอกทั้งน้ำตา
ทุกคนรอฟังอาการของปานเดือนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างกังวล ยกเว้นปานดาวกับภูวดล ที่นั่งรออย่างไม่แยแส หมอเปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา อนิรุทธิ์กับปานฟ้ารีบลุกไปหาอย่างร้อนใจ
“เป็นยังไงบ้างคะหมอ”
“คนไข้เสียเลือดมากนะครับ ตอนนี้เราแจ้งไปทางสภากาชาดแล้วว่าต้องการเลือดกรุ๊ปเอบี แต่ทางนั้นก็ขาดเหมือนกัน”
“หมอหมายความว่า...ไม่มีเลือดหรอครับ”
“ครับ...ไม่ทราบมีญาติคนไหน มีเลือดกรุ๊ปนี้บ้างครับ ตอนนี้คงต้องหาจากญาติและคนรู้จัก เพราะถ้ารอทางอื่น ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ แต่คนไข้รอไม่ได้เสียด้วย”
“ของฟ้าเป็นบีเฉยๆ” ปานฟ้ามองปานดาวแล้วนึกได้ “พี่ดาว...พี่ดาวไงคะ พี่ดาวมีเลือดกรุ๊ปเอบี นี่”
ปานดาว ทำหน้าไปพอใจ
“ใช่ แล้วยังไง จะให้หมอเอาเข็มมาเจาะเลือดฉันรึยะ ไม่เอาด้วยหรอก กลัวเจ็บ”
ปานดาวพูดแล้วทำท่ากลัวเข็ม และ ไม่อยากให้เลือด อนิรุทธิ์ตะลึง
“นี่น้องสาวคุณทั้งคนนะ เลือดแค่นี้คุณให้น้องไม่ได้รึไง”
“โอ้ย ช่วงเนี้ยฉันเวียนหัวบ่อย ร่างกายอ่อนแอ ไม่ปรกติ ขืนให้เลือด เดี๋ยวได้ตายก่อนยัยเดือนน่ะสิ ไม่เอาด้วยหรอก”
อนิรุทธิ์มองปานดาวอย่างผิดหวัง
“ใจดำ...คุณใจร้ายมาก”
ภูวดลไม่พอใจ
“เฮ้ย...มาว่ากันแบบนี้ได้ไง ให้ไม่ได้ก็คือไม่ได้ จะมาอะไรกันนักหนาเว้ย”
“แต่พี่เดือนกำลังอาการหนัก แล้วพี่ดาวก็เป็นคนทำให้พี่เดือนเจ็บแบบนี้” ปานฟ้าโวย
“อะไร มาโทษฉันได้ไง อยากบ้าอาละวาด หวังดีจะช่วย แต่ดันไปเกี่ยวกับรั้วจนไส้เกือบแตกเอง ช่วยไม่ได้”
ปานฟ้าไม่พอใจ
“พี่ดาวพูดแบบนี้ได้ไง พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ พี่เดือนกำลังแย่ ยังจะทำอย่างนี้อีกเหรอ”
ปานดาวหันมามองปานฟ้าอย่างเกลียดชัง แค่นยิ้มหยัน บอกอย่างเลือดเย็น
“ฉันก็เป็นแบบนี้ เธอเก่งไม่ใช่เหรอ แก้ปัญหาเอาเองซี่ จะมาเซ้าซี้อะไร น่ารำคาญ”
ภูวดลรีบตัดบท
“กลับบ้านไปนอนพักกันดีกว่าดาว...ง่วง”
“ดีเหมือนกัน เหนื่อยจะตายแล้ว”
ปานดาวเดินไปกับภูวดล อย่างไม่แคร์อะไร อนิรุทธิ์มองอย่างแค้นใจ แต่ไม่รู้จะทำไง ปานฟ้านิ่งคิดแล้วบอกเสียงดังอย่างดีใจ
“นึกออกแล้ว ยังมีอีกคนที่กรุ๊ปเลือดเอบี”
อนิรุทธิ์หันมามองปานฟ้าอย่างมีความหวัง
เฟื่องแก้วร้องไห้อย่างเสียใจ ภาคินฟังหน้าเครียด
“ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคุณแม่คุณ ถึงแกล้งฉันแบบนี้ คุณไปขอให้ท่านพูดความจริงได้มั้ยคะ”
ภาคินบอกอย่างขมขื่น
“ไม่มีประโยชน์”
เฟื่องแก้วยิ่งร้องไห้โฮ
“งั้นฉันก็ตายสิคะ”
ภาคินถอนใจ ตุลย์เดินมาหา
“ค่าประกันตัว ตีที่สองแสน”
ภาคินฟังอย่างหนักใจ
“ขอสักสามหมื่นไม่ได้หรือไง”
“โธ่ ค่าตัวคนสวยจะแค่นั้นได้ไงวะ” ตุลย์ชะงักมองหน้า “ไม่มีเหรอ สองแสนน่ะ”
“อย่าว่าแต่สองแสนเลย สองหมื่นยังไม่รู้เลยว่าจะหาได้มั้ย”
“อ้าว...งั้นฉันจะทำยังไง”
สิริโสภาเดินมา
“เรื่องนี้ ไม่ต้องห่วงคะ”
“ภา คุณมาได้ยังไง”
ตุลย์ทำหน้าแหยๆ
“เอ่อ...คือ ผมรู้ว่าคุณไม่มีค่าประกันแน่ เลยโทรไปรบกวนคุณสิริโสภาไม่อยากเห็นคนสวยต้องนอนในห้องขังอีก แค่คืนเดียว หน้าแก่ไปสิบปีแล้ว”
เฟื่องแก้วขึ้นเสียง
“อะไรนะ”
ภาคินมองหน้าตุลย์อย่างรู้ทัน ส่ายหน้าที่เขาทำไปโดยไม่บอกกันก่อน สิริโสภายิ้มปลอบใจ
ปานฟ้านั่งเครียดอยู่บริเวณที่นั่งด้านหน้าห้องผู้ป่วย ก้องภพเห็นปานฟ้ารีบเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้าง”
ก้องภพจับมือ ปานฟ้าถอยหนีและสะบัดมือออก
“ไม่ได้เป็น...คนที่เป็นคือพี่เดือน”
“ผมรู้ว่าฟ้าโกรธ...เรื่องที่ผมทำไม่ดีกับฟ้า แต่ที่ผมทำไป เพราะผมรักคุณจริงๆนะ”
ชายหนุ่มจะเอื้อมมาจับมือ แต่หญิงสาวสะบัดออกลุกหนีให้ห่าง จนเขาอารมณ์เสีย
“รังเกียจมากนักหรือไง”
“นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดกันเรื่องนี้ ที่คุณทำอะไรไป ฉันจะไม่เอาเรื่อง แต่ต่อไปไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง ช่วยอยู่ห่างฉันให้มากที่สุด”
“ทั้งๆที่ผมเป็นคนที่สามารถช่วยชีวิตพี่คุณได้น่ะเหรอ อย่าลืมสิว่าคุณโทรตามผมมา ให้ช่วยบริจาคเลือด”
“ไม่ลืม งั้นคุณช่วยไปให้เลือดพี่เดือนเดี๋ยวนี้เลย ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่คุณ...ทำไม่ดีกับฉัน”
“ผมให้เลือดพี่เดือนแน่ ถ้าคุณตกลง ว่าจะยอมหมั้นกับผม”
ปานฟ้าอึ้งไป
“นี่คุณเอาชีวิตพี่สาวฉัน มาต่อรองกับเรื่องแบบนี้”
“จะคิดยังไงก็ได้ ผมช่วยคุณ คุณก็ตามใจผม วิน วิน มีแต่ได้ด้วยกันทั้งคู่”
“แล้วถ้าฉันไม่ยอมหมั้นกับคุณล่ะ”
ก้องภพบอกหน้าเฉย
“ก็ไม่มีการให้เลือด”
ปานฟ้ามองอย่างเกลียดชัง
“เลือดเย็นมาก จะชั่วร้ายไปถึงไหน นี่ไม่ใช่เรื่องจะมาต่อรองกันนะ ฉันอยากรู้ว่าจิตใจคุณทำด้วยอะไร ถึง...น่ารังเกียจ...ขยะแขยงที่สุด”
ก้องภพเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของปานฟ้าแน่น เขย่าด้วยความโกรธ
“สกปรกเหรอ ขยะแขยงเหรอ เอาซี่...ถ้าคุณอยากเห็นพี่สาวคุณตายก็ตามใจ”
ปานฟ้าสะบัดตัวออกจากก้องภพ ทำหน้าผิดหวังเสียใจ และกังวลไม่รู้จะจัดการกับเรื่องต่างๆยังไง
สิริโสภาขับรถพาภาคินกับเฟื่องแก้ว เข้ามาจอดในบริเวณ เจ้าหน้าที่กับตำรวจที่กำลังคุยกับพวกเด็กๆ
“พวกเจ้าหน้าที่จากกระทรวงกับตำรวจมาทำไมกัน” เฟื่องแก้วถามอย่างแปลกใจ
ภาคินลงจากรถอย่างสงสัย ทันใดนั้นเสียงมือถือดังขึ้น ภาคินรับสาย
“ครับ”
“ฟ้าเองคะ ตอนนี้คุณว่างมั้ย ฟ้ามีเรื่องอยากปรึกษา”
ภาคินมองเฟื่องแก้วที่เดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่
“พอดีผมมีธุระ คุณฟ้ามีเรื่องอะไรครับ”
“ถ้าตอนนี้ยุ่ง ช่วงบ่ายมาหาฟ้าได้มั้ยคะ” ปานฟ้ามองนาฬิกาข้อมือ “ตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว เจอกันสักบ่ายสอง ได้มั้ยคะ”
สิริโสภาชำเลืองมองภาคิน แล้วทำไม่สนใจ ทั้งที่หูคอยฟังว่าพูดไรกับปานฟ้า
“ได้ครับ เจอที่ไหนครับ...อ๋อ ครับ”
เฟื่องแก้วเดินมาหา ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“งั้นผมขอตัวก่อน เดี๋ยวเจอกัน”
ปานฟ้าทำท่าจะพูด แต่เขาวางสายไปแล้ว เธอวางหูอย่างเซ็งๆและงอน
“มีธุระอะไรนักหนา”
เฟื่องแก้วเดินมาหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้ ภาคินถามอย่างสงสัย
“มีเรื่องอะไรคุณแก้ว”
“มูลนิธิเราโดนสั่งปิดแล้วคะ”
ภาคินหน้าเสีย สิริโสภาอึ้งไปนึกไม่ถึงเช่นกัน
อ่านต่อตอนที่ 10