แววมยุรา ตอนที่ 5
ที่มุมหนึ่งในคฤหาสน์ เพิ่มพงษ์ยื่นแฟ้มเอกสารให้นิติธร
“ทั้งหมดนี่ก็เป็นการปรับโครงสร้างองค์กรภายในของทศพลกรุ๊ป เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในสายงานบริหาร และการประสานงานระหว่างบริษัทในเครือครับ” เพิ่มพงษ์บอก
“ถ้ามีตรงไหนที่ยังติดขัด หรือไม่ลงตัว ก็รีบแจ้งเลยนะครับ ถึงผมไม่ได้ประจำที่ออฟฟิศ แต่ทุกปัญหาต้องถึงผม เราจะได้ช่วยกันแก้..ยังไงคุณเพิ่มพงษ์ก็ผ่านงานมามากกว่า คงมีคำแนะนำดีๆแน่ๆ” สยุมภูว์กล่าวเสริม
นิติธรรีบบอก “อย่าใช้คำว่าแนะนำเลยครับ ผมก็แค่อาศัยว่าอยู่มานาน เห็นมาเยอะ แต่ความรู้เชิงบริหารธุรกิจสมัยใหม่ ต้องยกให้คุณสยุมภูว์แนะนำผมซะมากกว่า”
“ไม่หรอกครับ ผมยังเด็กครับ ยังไงก็พลาดได้” สยุมภูว์ออกตัว
“แต่ผมมองว่าคุณสยุมภูว์พร้อมแล้ว บอกตรงๆ ว่าผมเห็นแล้วอดเปรียบกับเจ้าภูมิไม่ได้ อายุก็ไล่ๆ กัน แต่ลูกชายผมกลับไม่ได้เศษเสี้ยวของคุณเลย” นิติธรว่า
“นี่เจ้าตัวคงอยู่ที่บริษัทสิครับ” สยุมภูว์ถาม
“ครับ ผมให้อยู่ที่บริษัทจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร ต้องประสานกับคนไหนบ้างแล้วเมื่อไรคุณสยุมภูว์จะกลับมาอยู่บ้านล่ะครับ ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่คุณต้องออกไปอยู่ที่อื่น” นิติธรบอก
“ผมจะกลับมาครับ...คงอีกไม่นาน...ใช่ไม๊” สยุมภูว์พูดกับเพิ่มพงษ์
“จนกว่าผมจะมั่นใจว่าคุณสยุมภูว์ปลอดภัยครับคุณนิติธร” เพิ่มพงษ์บอก
“แต่ผมรับรองครับว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับคุณสยุมภูว์” นิติธรพูด
เพิ่มพงษ์ยิ้ม “มองโลกในแง่ดีจังนะครับคุณนิติธร..ถ้าจะให้คุณสยุมภูว์กลับมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้คงต้องจ้างตำรวจทั้งโรงพักมาคอยดูล่ะครับ”
นิติธรถึงกับหน้าเจื่อนไป
“ผมว่าเราคุยเรื่องงานให้เสร็จๆดีกว่า คุณสยุมภูว์จะได้รีบกลับ” เพิ่มพงษ์บอก
นิติธรยิ้มแหยๆ รับ
สยุมภูว์เดินนำเพิ่มพงษ์และนิติธรออกมาที่หน้าคฤหาสน์
“เสียดายนะครับที่คุณสยุมภูว์จะรีบกลับ ผมอยากให้นิติภูมิได้ขอบคุณคุณสักครั้ง ทุกทีเขาจะกลับมาทานข้าวบ้านเวลานี้..แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ทำช้านัก” นิติธรบอก
“อย่าบอกนะครับว่าจะให้คุณสยุมภูว์อยู่รอลูกชายคุณ” เพิ่มพงษ์ถาม
นิติธรชะงักไป สยุมภูว์หันไปมองเพิ่มพงษ์แบบเคืองๆ
สยุมภูว์พูดกับนิติธร “พอดีเรามีธุระที่อื่นต่อน่ะครับ”
เพิ่มพงษ์เดินตรงไปสตาร์ทเครื่องรอ นิติธรมองเพิ่มพงษ์อย่างงงๆ
“วันนี้คุณเพิ่มพงษ์เขาดูแปลกๆนะครับ”
สยุมภูว์ขำ “แปลกทุกวันล่ะครับ..ขอตัวนะครับคุณนิติธร”
สยุมภูว์ยกมือไหว้ลา นิติธรรับไหว้ สยุมภูว์เดินไปขึ้นที่เบาะหลัง แล้วรถก็เคลื่อนออกไป นิติธรมองตามจนลับตา
รถสยุมภูว์กำลังจะแล่นออกไปที่ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ เพิ่มพงษ์ขับรถด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก สยุมภูว์สังเกตเห็นจึงเอ่ยทัก
“เราอยู่กันสองคนแล้วนะน้าเพิ่ม ไม่มีใครโผล่มาทำอะไรเราแล้ว ไม่ต้องเครียดน่า”
“ผมไม่ได้เครียดสักหน่อย..” เพิ่มพงษ์ปฏิเสธ
“ลืมไป หน้าเครียดเป็นปกติ”
เพิ่มพงษ์ยังคงเคร่งขรึม สยุมภูว์กดหน้าต่างลงครึ่งหนึ่ง
เพิ่มพงษ์หันไปถาม “คุณสยุมภูว์จะทำอะไรครับ”
“ก็เปิดกระจกไง..อยากเปิดโดยไม่มีเหตุผล” สยุมภูว์ตอบกวนๆ
เพิ่มพงษ์ไม่สนใจรีบกดกระจกไฟฟ้าขึ้น สยุมภูว์ก็กดลงอีก ประตูไฟฟ้าบานใหญ่หน้าคฤหาสน์เปิดออก รถของสยุมภูว์เคลื่อนออกไปจนเกือบจะพ้นบริเวณบ้าน โดยที่รถของนิติภูมิก็แล่นมาจะเข้าบ้าน รถทั้งสองคันสวนกัน ขณะที่กระจกรถด้านสยมภูว์กำลังจะเลื่อนปิดพอดี
กระจกฝั่งสยุมภูว์เลื่อนปิดสนิท สยุมภูว์เลิกกดลงอีก เขามีท่าทางเซ็งๆ เพิ่มพงษ์มองผ่านกระจกมองหลังเห็นท้ายรถนิติภูมิวิ่งหายเข้าไปในบ้าน
สยุมภูว์เอ่ยถาม “นั่น..รถนิติภูมิสินะ”
“ครับ..ไม่รู้ว่าเมื่อกี้เขาเห็นหน้าคุณสยุมภูว์หรือเปล่า” เพิ่มพงษ์กังวล
สยุมภูว์ส่ายหน้าด้วยความเซ็ง
นิติภูมิลงจากรถแล้วเดินเข้ามาในบ้าน นิติธรก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารที่เพิ่มพงษ์เอามาให้ พอเห็นนิติภูมิเข้าบ้านมาเขาก็เงยหน้าขึ้น
“คุณเพิ่มพงษ์แวะมาหาพ่อเหรอ” นิติภูมิเอ่ยถาม
“ใช่..แกน่าจะกลับมาเร็วกว่านี้หน่อยนะ” นิติธรบอก
“ทำไมครับ คุณเพิ่มพงษ์มีธุระอะไรกับผมเหรอ”
“เปล่า..แต่พ่อจะให้แกพบคุณสยุมภูว์”
นิติภูมิตะลึง “สยุมภูว์ ..เขามากับคุณเพิ่มพงษ์หรือครับ”
“ก็ใช่สิ..น่าเสียดายนะ”
นิติภูมิยืนอึ้ง “ครับ...น่าเสียดาย”
นิติภูมิผละออกมาที่มุมหนึ่ง เขาพยายามย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เขานึกถึงจังหวะที่รถสวนกัน นิติภูมิเห็นเสี้ยวส่วนของใบหน้าสยุมภูว์ขณะกระจกกำลังเลื่อนขึ้นปิด
นิติภูมินิ่งคิดอะไรบางอย่างแล้วผละออกไป
แววกับเอกรินทร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ป้ายรถเมล์ บนตักของแววมีถุงพลาสติกใส่กล่องโฟมทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสและมีน้ำแข็งโปะอยู่ ส่วนบนตักของเอกรินทร์ มีกล่องโฟมใหญ่ๆ วางอยู่
เอกรินทร์มองกล่องบนตักตัวเอง “จะกินยังไงให้หมดล่ะเนี่ย”
แววรีบพูด “ก็เตือนคุณแล้วว่าอย่าวู่วาม”
เอกรินทร์ชะเง้อมอง แล้วหันมาที่แวว “แปลกนะ ทำไมเจ้านายคุณ ถึงไม่ให้คุณเอาไอติมไปให้ ทำไมจะต้องให้มานั่งรอที่นี่ แล้วส่งมอเตอร์ไซค์มารับให้ยุ่งยาก”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นคุณนิติธรบอกว่า คุณสยุมภูว์เค้าก็เก็บตัวแบบนี้ ทั้งบริษัทเค้า มีแต่คุณนิติธรคนเดียวที่เคยได้เห็นหน้า”
“โอ้โห...ขนาดนั้นเลยเหรอ ถามจริง ทำไมเค้าต้องเก็บตัวซะมิดชิดขนาดนั้น”
แววส่ายหน้า “ฉันไม่รู้เหมือนกัน”
มอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งขี่มาชะลอแล้วจอดก่อนจะก้าวเดินตรงมาที่แวว
“คุณแวว มยุราใช่มั้ยครับ ผมมารับของครับ”
“ค่ะ” แววยื่นให้ “นี่ค่ะ”
มอเตอร์ไซค์ล้วงกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบซองจดหมายยื่นให้ก่อนจะรับถุงจากมือแววแล้วเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป เอกรินทร์นึกได้ก็พยายามจะเรียก
“เดี๋ยวก่อนครับพี่...” เอกรินทร์เห็นว่าเรียกไม่ทันแล้ว “ว้า...”
“ทำไมเหรอคุณ” แววสงสัย
“ผมจะลองถามพี่เค้าดูไง คุณไม่อยากรู้เหรอว่าเค้าต้องไปส่งของให้คุณสยุมภูว์ที่ไหน เราจะได้รู้ที่อยู่คุณสยุมภูว์เค้าไง”
“ฉันไม่เห็นอยากรู้เลย”
“อ้าว..ทำไมล่ะ เจ้านายคุณแท้ๆ นะ” เอกรินทร์งง
“ก็ถ้าเค้าโอนเงินเดือนให้ฉันทุกเดือนไม่ขาด ฉันก็ไม่สนเรื่องอื่นแล้วหละ” แววบอก
แววยิ้มที่ภารกิจแนกสำเร็จลุล่วง เธอรีบยกซองจดหมายในมือขึ้นดู
มอเตอร์ไซค์รับจ้างขี่มาจอดหน้าร้านต้นไม้ แล้วคนขี่ก็ถือถุงเดินมา สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เดินออกจากร้านมาหาเขา
“ได้มาแล้วเหรอ” สยุมภูว์รับมาดูอย่างตื่นเต้น
เพิ่มพงษ์ยื่นเงินให้สองร้อย “นี่ ค่าจ้าง”
“ขอบคุณครับ” มอเตอร์ไซต์รับจ้างรับเงินแล้วถอยออกไป
สยุมภูว์ยกกล่องขึ้นแง้มดู
“ละลายไปรึยังเนี่ย” สยุมภูว์หันไปบอกเพิ่มพงษ์ “รีบไปลองชิมกันดีกว่า”
เพิ่มพงษ์พยักหน้าอย่างนึกสนุกด้วย แล้วทั้งสองก็พากันเดินเข้าไปในร้าน
สยุมภูว์มานั่งบนม้านั่งในร้านต้นไม้โดยมีกล่องโฟมใส่ไอศครีมวางอยู่ตรงหน้า เพิ่มพงษ์เดินถือถาดที่วางถ้วย 2 ถ้วย และช้อน 3 คัน
เพิ่มพงษ์พูดเบาๆ “มาแล้วครับ...”
เพิ่มพงษ์ใช้ช้อนคันหนึ่งเป็นช้อนกลางเพื่อตักแบ่งไอศครีมหูฉลามให้ถ้วยละพอสมควร และยังมีไอศครีมเหลืออยู่ในกล่องโฟม
“จะกินได้จริงรึเปล่าไม่รู้นะ มา...มาลองชิมกัน” สยุมภูว์บอก
ทั้งสองพยักหน้าให้กันแล้วลองตักขึ้นมาคำหนึ่งแล้วใส่เข้าปากแล้วต่างก็นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหันมามองหน้ากัน
สยุมภูว์เอ่ยขึ้น “ก็พอได้นะ”
“อร่อยกว่าที่คิดนะครับ มีเส้นของหูฉลามผสมอยู่ในเนื้อของไอศครีม อืม...นี่อร่อยขนาดทำขายจริงๆ ได้เลยนะครับ” เพิ่มพงษ์บอก
“แต่คงจะต้องขายถ้วยละหลายร้อยอยู่นะ” สยุมภูว์เสนอ
ทันใดนั้นเสียงแจ็คก็ดังขึ้น “ฮั่นแน่!”
แจ็คปราดเข้ามายื่นหน้ามองอย่างถือวิสาสะ
“กระหนุงกระหนิงอะไรกันสองคนจ๊า...มีของอร่อย ไม่แบ่งกันกินเลยน๊า”
“เอาสิ...” เพิ่มพงษ์หยิบช้อนที่เป็นช้อนกลางยื่นให้แจ๊ค แล้วขยับถ้วยของเขาให้ “ชิมจากถ้วยฉันก็ได้”
“ไม่เป็นไร ผมแจมกับพี่จักรดีกว่า” แจ๊คบอก
แจ็คยืนค้ำหัวสยุมภูว์แล้วยื่นช้อนไปตักจากถ้วยของสยุมภูว์ เพิ่มพงษ์หน้าเสีย เขาพยักหน้าขอโทษสยุมภูว์ที่กำลังอึ้งกับแจ็คอยู่
แจ็คตักไอศกรีมเข้าปากแล้วเหลือบตาขึ้นดื่มด่ำรสชาติ ก่อนจะโวยออกมา “แหวะ! ถุย! นี่ซื้ออะไรมากินกันเนี่ย ไอติมดีๆ แพงๆ ตามห้างเยอะแยะไม่รู้จักซื้อ”
เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์เหลือบมองหน้ากันแล้วขำๆ
แจ็คหยิบกล่องขึ้นดู “โห...ดูจากสภาพกล่องโฟมแล้ว ไม่เกินสิบบาทหรอกเนี่ย กล่องเนี้ย” แจ๊ควางกล่อง แล้วส่ายหัวด้วยความผิดหวังก่อนจะเดินออกไป
เพิ่มพงษ์ด่าตามหลังแจ๊ค “โถ...ไอ้ลิ้นตะเข้ ไอ้รสนิยมต่ำ”
เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์หันมายิ้มให้กันอย่างขำๆ
ชลธิชากับเริงใจนั่งกินไอศครีมกะทิที่เอกรินทร์เหมามา โดยที่เอกรินทร์กับแววนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะและกำลังตักไอศครีมกินอยู่เช่นกัน
เริงใจกินไปพูดไป “แหม..ถ้ามีรสหูฉลามมาลองให้ชิม ก็เริ่ดเลยนะ”
“บ้าเหอะ จะทำงั้นได้ไง เป็นเลขา แต่แอบแฮ๊ปของเจ้านายมาให้เพื่อนกินเงี้ยนะ” ชลธิชาว่า แล้วหันมาพูดกับแวว “ว่าแต่...เธอได้ชิมแล้วเป็นไงบ้างอ่ะ”
“ก็...ฉันว่าปล่อยให้ฉลามปลอดภัยอยู่ในทะเลแหละดีแล้ว ไอติมรสอื่นอร่อยกว่าตั้งเยอะตั้งแยะ” แววบอก
“มันก็พอได้นะครับ” เอกรินทร์เสริม “แต่ของคาวกับของหวาน ผสมกันยังไง มันก็ไม่ค่อยเข้ากันอยู่แล้ว อ้อ!” เอกรินทร์หันมาหาแวว “เห็นเจ้านายคุณฝากจดหมายมาด้วย”
“เหรอคะ” ชลธิชาถามแวว “จดหมายเค้าบอกว่าไงมั่งแวว”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่บอกให้รีบกลับบ้านพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวรับภารกิจใหม่ตอนเช้าวันพรุ่งนี้ และฉันกำลังจะบอกทุกคนอยู่พอดีว่า...ขอตัวกลับก่อนนะ” แววพูด
เอกรินทร์รีบอาสา “ให้ผมไปส่งมั้ย”
“อย่าดีกว่าค่ะ วันนี้ฉันรบกวนคุณมากเกินไปแล้ว”
“ดี...จะได้เป็นคิวพวกฉันได้อยู่กับคุณเอกมั่ง” เริงใจเย้า
“นี่...เริงใจ คิวอะไรกัน ปรึกษาคุณเอกเค้ารึยัง” ชลธิชาว่า
“ทำไม หรือเธอไม่อยากให้คุณเอกอยู่ที่นี่” เริงใจถาม
ชลธิชารีบหลบตา “เอ่อ..ก็..เปล่า” ชลธิชาถามเอกรินทร์ “คุณเอกไม่ได้รีบไปไหนใช่มั้ยคะ”
“ไม่ครับ วันนี้บิดมอเตอร์ไซค์พาคุณแววตะลอนทัวร์ทั้งวัน ได้นั่งพักอย่างงี้ก็ดีเหมือนกันครับ” เอกรินทร์บอก
ชลธิชาเบือนหน้าหลบเพื่อนๆ แล้วก็แอบยิ้มดีใจ
“ว่าแต่...ไอติมที่ผมเหมามาเหลืออีกตั้งเยอะ เดี๋ยวผมตักมาเสิร์ฟให้อีกนะ” เอกรินทร์บอก
เริงใจกับชลธิชาทำท่าเบื่อ เพราะกินไอศกรีมกันหลายถ้วยแล้ว
แววเปิดรั้วบ้านเข้ามาแล้วก็ต้องชะงัก เพราะได้ยินเสียงสยุมภูว์ทักอยู่ที่หน้ารั้วบ้านของเขา
“ไงแวว...เริ่มงานวันแรกก็โดดงานเลยนะ”
“โดดบ้าอะไร ฉันทำงานเสร็จแล้วย่ะ” แววหันไปเกาะรั้วคุย
“จริงดิ งานเงินเดือนสูงๆ เค้าปล่อยให้กลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดินกันด้วยเรอะ”
แววยิ้มเยาะ “อิจฉาฉันล่ะซี๊...”
“อื้อ...ยอมรับ ไม่อิจฉาได้ไง ฉันทำงานทั้งปี ยังได้เงินไม่เท่าเธอทำแค่เดือนเดียวด้วยซ้ำ”
“ช่วยไม่ได้นะของอย่างงี้ เคยได้ยินมั้ย แข่งเรือแข่งพายน่ะพอแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาน่ะ มันแข่งกันไม่ได้ร๊อก” แววคุยโว
สยุมภูว์กลั้นขำ “แหม...พอรวยเข้าหน่อยหละทำเยาะเย้ยคนจน แบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ แล้วเธอเคยได้ยินคำนี้มะ” สยุมภูว์พูดใส่หน้าแวว “คางคกขึ้นวอ”
“นี่...ฉันไม่ใช่พวกได้ดีแล้วพองตัว ดูถูกคนอื่นหรอกนะ”
“ก็แล้วเมื่อกี้เธอทำอะไรฉัน”
“ก็เยาะเย้ยนายน่ะสิ” แววบอก
“น่านไง”
“แต่ฉันทำเพราะหมั่นไส้นายหรอกย่ะ ฉันไม่ใช่พวกได้ดีแล้วทำตัวพองๆ เป็นคางคกหรอก เนี่ยน๊า...ฉันว่าเจอหน้านายจะขอบคุณซะหน่อยที่แนะนำเรื่องไอติม แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
แววส่ายหน้าอย่างอารมณ์เสียแล้วก็เปิดรั้วเข้าบ้านไป
แววเดินมานั่งพักผ่อนที่เก้าอี้ในสวนหน้าบ้านของเธอ เธอสูดลมหายใจยาวอย่างผ่อนคลาย แต่พอหันไปก็ต้องสะดุ้งเพราะสยุมภูว์ถือวิสาสะเดินมานั่งข้างๆ หน้าตาเฉย แววเหล่มองอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ขอนั่งด้วยคนนะ” สยุมภูว์เอ่ย
“ไม่ลุกไปก่อนล่ะแล้วค่อยขอ มีอะไรอีกล่ะ จะตามมาทะเลาะอีกเหรอ”
“เดี๋ยวนี้ไม่เห็นเธอวาดรูปเลยนะ”
“ฉันจะวาด หรือไม่วาด แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย”
“นี่ฉันถามดีๆ เธอก็ตอบดีๆ บ้างก็ได้นะ”
แววถอนใจอย่างกลุ้มๆ “ก็วันก่อนโน้นที่ฉันกำลังวาดรูป แม่ฉันด่าว่าทำอะไรไร้สาระ ฉันก็เลยหมดอารมณ์จะวาดต่อน่ะสิ”
“โธ่เอ๊ย...นึกว่าอะไร น่าเสียดายนะ”
“เสียดายอะไร” แววถาม
“เสียดายฝีมือเธอน่ะสิ”
แววยิ้มปลื้มกับคำชม
“ฝีมือก็มี แต่ใจเสาะชิบเป๋ง” สยุมภูว์เปรย
แววหุบยิ้มแล้วทำตาเขียวใส่
“เธอรู้จักศิลปินชื่อวินเซ้นต์ แวน โก๊ะห์มั้ย คนที่วาดรูปดอกทานตะวัน แล้วมีคนประมูลไปเป็นพันๆ ล้านน่ะ” สยุมภูว์ถาม
“รู้จักสิ แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ก็สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่นะ รูปวาดของแวน โก๊ะห์ ขายไม่ได้เลยซักชิ้น แต่เค้าก็ไม่ท้อ ได้แต่วาดๆๆๆไป จนถึงวันที่เค้าตาย อายุแค่ 37 เองนะ เธอรู้มั้ยว่าเค้าวาดรูปไว้กี่รูป” สยุมภูว์ถามต่อ
“ไม่รู้”
“สองพันรูป เธอคิดดูสิ เรียกว่าเค้าวาดทุกวัน วันละรูปไปจนตายน่ะ โอ๊ย..ถ้าแวน โก๊ะห์ เค้าใจเสาะแบบเธอ ก็คงเลิกวาดรูปไปแต่เด็กแล้ว”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะเป็นอย่างเค้านี่ ไม่เอาหละ ตอนอยู่ขายไม่ได้ซักรูปเนี่ย”
“ฉันไม่ได้บอกให้เธอเป็นเค้า แค่จะบอกว่าศิลปินของแท้น่ะ ใจเค้าเกินร้อย ไม่ได้ใจเสาะเป็นศิลปินของปลอมอย่างเธอ”
“นี่นายดูถูกฉันเหรอ” แววฉุน
“ก็ดูถูกไง ดูไม่ผิดหรอก คนอย่างเธอเรอะ จะมีความอดทนพอที่จะเป็นศิลปินกับเค้าได้ อย่าว่าแต่สองพันรูปเลย สองสามรูปเธอก็วาดไม่ได้”
“เอาเลย...จัดมา...ดูถูกกันเข้าไป เดี๋ยวฉันจะตอกหน้านายให้หงายเลยคอยดู” แววฮึด
แววเดินฉุนๆ กระแทกเท้าเข้าบ้านไป
สยุมภูว์ร้องถาม “อ้าว...แล้วนั่นจะไปไหน”
แววหันมาตวาด “จะไปเอาสี เอาเฟรมผ้าใบมาวาดรูป” แววก้าวฉับๆ เข้าบ้านไป
สยุมภูว์มองตามแล้วยิ้มชอบใจที่ยุแววได้สำเร็จ
สยุมภูว์เปรยเบาๆ “ยุขึ้นแฮะ”
ชลธิชากับเริงใจตักไอศครีมในถ้วยกินต่อ สักพักเริงใจก็เอนหลังแล้วบ่นอุบ
“ฉันไม่เอาแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว”
“ฉันก็ยอมแพ้ กินจนเย็นไปถึงก้านสมองแล้ว” ชลธิชาบอก
เอกรินทร์ที่นั่งอีกฝั่งตักไอศครีมกินแล้วก็วางช้อนเช่นกัน
“แล้วจะทำไงกับไอติมที่ยังเหลืออีกตั้งเยอะนี่ล่ะครับ” เอกรินทร์ถาม
ชลธิชาคิดสักครู่ก็โพล่งขึ้น “เอางี้มั้ยล่ะ”
ชลธิชากับเริงใจช่วยกันเดินเสิร์ฟไอศครีมในถ้วยกระดาษเล็กๆ ให้ลูกค้า ลูกค้าบางคนงงชลธิชากับเริงใจก็ช่วยกันอธิบายว่าแถมให้ฟรี เอกรินทร์ตักไอศครีมที่บรรจุอยู่ในกล่องโฟมใหญ่ๆ อีก พนักงานในร้านก็มาช่วยกันรับไอศครีมไปเสิร์ฟต่อ
ลูกค้ารายหนึ่งกินไอศครีมจนหมด เอกรินทร์ ชลธิชา และเริงใจช่วยกันเสิร์ฟคนละถ้วย จนลูกค้าต้องยกมือปรามๆ แล้วหยิบมาเพียงถ้วยเดียว
เอกรินทร์ ชลธิชา และเริงใจ ยกไอศครีมมาคนละถ้วย ต่างคนต่างจะเดินไปเสิร์ฟ ต่างคนต่างเหลียวมองลูกค้าจนชนกันเองทำให้ไอศครีมในถ้วยกระดาษหล่นลงพื้น ถ้วยไอศกรีมของชลธิชายังอยู่ในมือแต่เนื้อไอศครีมไปโดนแขนของเอกรินทร์ ส่วนเริงใจยกถ้วยขึ้นมา ไอศครีมหายไป เพราะตกลงพื้นไปแล้ว ทั้งสามหน้าแหยก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
พนักงานยกกาแฟเย็นและกาแฟปั่นมาเสิร์ฟให้ เอกรินทร์ ชลธิชา และเริงใจที่โต๊ะอันร่มรื่นหน้าร้าน
“ขอบคุณนะคะคุณเอก ลูกค้าทุกคนแฮปปี้กับไอติมฟรีของคุณมากเลย” ชลธิชาบอก
“ครับ...ร้านคุณนี่ก็ลูกค้าเยอะดีนะครับ” เอกรินทร์พูด
“โอ๊ย...ไม่หรอกค่ะคุณเอก มีเฉพาะวันนี้เท่านั้นแหละค่ะที่เยอะ วันอื่นๆ นี่ลูกค้าน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัดเลยหละ” เริงใจบอก
เอกรินทร์หันมาที่ชลธิชา “จริงเหรอครับคุณธิชา”
“ค่ะ ไม่รู้เป็นอะไร เดือนที่ผ่านมานี่ยอดตกจนน่าใจหายเลยหละค่ะ” ชลธิชาถอนใจ
“งั้นก็น่าจะทำอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นยอดขายบ้างนะครับ” เอกรินทร์เสนอ
“ไอ้บางอย่างที่คุณว่านี่มันคืออะไรล่ะคะ” เริงใจถาม
“ก็...อย่างเช่นเรื่องโฆษณาร้าน”
“เราก็อยากทำนะคะ แต่สมัยนี้ค่าสื่อแพงเหลือเกิน ยิ่งโฆษณาทางทีวีนี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย” ชลธิชาบอก
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ”
“ก็เพราะร้านเรามีสาขาเดียว ขืนเทงบโฆษณาทีวี มันจะไม่คุ้มทุนน่ะสิคะ”
“งั้นก็หาทางโฆษณาทางทีวีโดยไม่ต้องเสียตังค์สิครับ”
“มีด้วยเหรอคะ โฆษณาออกทีวี แต่ไม่ต้องเสียตังค์” เริงใจสงสัย
“นั่นสิคะ ใครจะใจดีช่วยเราขนาดนั้น” ชลธิชาถาม
“ก็ผมนี่แหละครับ”
ชลธิชากับเริงใจงง “ห๊ะ??“
“คืองี้ครับ เวลาที่ผมทำสกู๊ปข่าว บางครั้งก็ต้องสัมภาษณ์คนโน้นคนนี้บ่อยๆ อยู่แล้ว ผมก็เลยคิดว่า...ถ้าจะมาสัมภาษณ์กันที่นี่”
“อ๋อ...แล้วก็แบบ ขึ้นโลโก้ขอขอบคุณร้าน coffee and friends พร้อมเบอร์โทรอะไรแบบนั้นใช่มั้ยคะ” เริงใจเริ่มเข้าใจ
เอกรินทร์พยักหน้า “ดีมั้ยครับ ร้านคุณก็สวยขนาดนี้ ต้องมีคนที่ดูแล้วอยากมาเห็นของจริงแน่ๆ”
“แล้ว...ถ้าทำอย่างงี้ เจ้านายคุณเอกจะไม่ว่าเอาเหรอคะ” ชลธิชากังวล
“นั่นสิคะ เล่นแอบเนียนมาถ่ายโปรโมตร้านคนรู้จักกันแบบนี้” เริงใจก็กังวลเช่นกัน
“แล้วผมจะบอกเจ้านายอย่างนั้นทำไมล่ะครับ ผมจะบอกว่ามีสถานที่สวยๆ ให้เราถ่ายทำฟรี แค่นี้เจ้านายผมก็ต้องรีบโอเคแล้ว”
“อย่างงี้เค้าเรียกฉลาดพูดนะคะ” เริงใจท้าวคางจ้องตาเอกรินทร์ “แหม...ทั้งหน้าตาดี ทั้งฉลาดอย่างคุณเอกเนี่ย ไปอยู่ที่ไหน สาวๆ คงจะรุมกรี๊ดกันน่าดูนะคะ”
“นี่ไงครับ รุมกันซะจนผมโสดอยู่คนเดียวมาจนป่านเนี้ย” เอกรินทร์แซวตัวเอง
เริงใจทำน้ำเสียงออดอ้อน “เพราะคุณเอกช่างเลือกเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ว่าช่างเลือกหรอกครับ แต่เป็นเพราะ...ผมรู้ใจตัวเองว่าผมรักใครมากกว่า” เอกรินทร์ตอบ
ชลธิชาดูเศร้าลงไป เพราะรู้แก่ใจว่าเอกรินทร์มีใจให้กับแวว
อ่านต่อหน้าที่ 2
แววมยุรา ตอนที่ 5 (ต่อ)
ชลธิชาเดินมาหยุดที่มุมจัดสวนบริเวณร้านกาแฟด้วยอารมณ์ซึมเศร้า เธอครุ่นคิดถึงคำพูดของเอกรินทร์
“ไม่ใช่ว่าช่างเลือกหรอกครับ แต่เป็นเพราะ...ผมรู้ใจตัวเองว่าผมรักใครมากกว่า”
ชลธิชารู้สึกเจ็บแปลบกับคำพูดของเอกรินทร์ แล้วจู่ๆ เธอก็นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่คุยกับเอกรินทร์
“...เอ่อ..คุณถามอย่างงี้ เพราะชอบแววอยู่ใช่ไหมคะ” ชลธิชาถาม
“เอ่อ...ก็...จะว่างั้นก็ได้ครับ” เอกรินทร์ตอบ
“นี่อย่าบอกนะคะว่าอยากให้ฉันช่วยคุณจีบยัยแวว” ชลธิชาลำบากใจ
“ถ้าได้อย่างงั้นก็ดีสิครับ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป คุณธิชามีอะไรก็แนะนำผมบ้างนะครับ”
ชลธิชานึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นก็ยิ่งถอนใจด้วยความเศร้า เธอหันมาเห็นเริงใจเดินเข้ามา ก็รีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ธิชา เธอช่วยอะไรฉันอย่างได้มั้ย” เริงใจเอ่ย
“ได้สิ เป็นเพื่อนกันขนาดนี้ ไม่ต้องถามหรอก มีอะไรก็ว่ามาเลย”
เริงใจสารภาพ “ฉันว่าฉันชอบคุณเอกอ่ะ”
“อืม..ก็ดีนี่ คุณเอกเค้าก็เป็นคนดี” ชลธิชานึกขึ้นได้ “ห๊ะ? ว่าไงนะ”
“ฉันชอบคุณเอกน่ะ ชอบตั้งแต่เจอทีแรกแล้ว ยิ่งพอได้พูดคุย ได้เห็นนิสัย แล้วยิ่งเห็นเค้าไล่ตามขโมยไปวันนั้น ฉันก็ยิ่งชอบคุณเอกที่สุดเลย” เริงใจบอก
“แล้ว...ไงเหรอ เธอบอกฉันเพื่อ...”
“ก็...ฉันเห็นเธอเหมือนจะปิ๊งๆ คุณเอกอยู่เหมือนกัน ก็เลยลองถามดู เผื่อว่าเธอจองแล้ว”“บ้า...จองอะไรกัน ของแบบนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับคุณเอกเค้าหละมั้ง ว่าใจเค้าจะชอบใคร” ชลธิชาบอก
เริงใจรีบสรุป “งั้นแปลว่าเธอไม่ขัดข้องนะ ยังไงก็ช่วยฉันบ้างแล้วกัน”
ชลธิชางงหนัก “ช่วยเธอ...?”
“ช่วยฉันจีบคุณเอกไง” เริงใจโผเข้าสวมกอดทันที “ขอบคุณมากนะเพื่อน”
เริงใจสวมกอดด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แต่ชลธิชาหน้าจ๋อยลงไป
ชลธิชาเปรยเสียงอ่อยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ให้ฉันช่วยอีกแล้วเหรอ”
แววนั่งเพ้นท์เฟรมผ้าใบรูปดอกแววมยุราอยู่ที่สวนหน้าบ้านของเธอ สีหน้าแววเต็มไปด้วยความสุขและเพลิดเพลินที่ได้ทำสิ่งที่เธอรัก แววฟังเพลงจากหูฟังที่เสียบจากโทรศัพท์มือถือพร้อมกับเพ้นท์ภาพไปด้วย
สยุมภูว์ยืนมองแววอยู่ที่รั้วบ้านของตัวเอง เขาดีใจที่มีส่วนให้แววกลับมาวาดรูป ยิ่งเห็นแววมีความสุข สยุมภูว์ก็ยิ่งมีความสุขไปด้วย
มาลตี วัณณรี และโรสกำลังนั่งดูละครโทรทัศน์กันอย่างเพลิดเพลิน สักพักแววก็เดินเข้าบ้านมา
“พี่แวว เดี๋ยวช่วยทำการบ้านหน่อยสิ” วัณณรีเอ่ย
“การบ้านตัวเองก็ควรทำเองนะวัณ ไม่งั้นจะเสียเวลาไปเรียนให้เปลืองค่าหน่วยกิตทำไม แล้วพี่ก็ไม่ว่างด้วย” แววปัด
“ไม่ว่างอะไร เห็นพี่นั่งวาดรูปอยู่ข้างนอกน่ะ”
“ก็ใช่ไง ไม่ว่าง เพราะวาดรูปอยู่ไง”
“ไม่ว่างเค้าพูดกันเวลาที่ติดธุระ ไม่ใช่เวลาที่วาดรูปเล่น” วัณณรีว่า
มาลตีดุ “วัณ อย่าไปกวนพี่เค้าน่า”
“แม่ไม่ต้องเลย แม่ยังเคยพูดเลยว่าพี่แววชอบวาดรูปไร้สาระ”
มาลตีดุ “ยัยวัณ มากไปแล้วนะ” มาลีหันไปพูดกับแววด้วยน้ำเสียงเอาใจ “จะเอาอะไรรึเปล่าลูก”
“แววแค่จะแวะเข้ามากินน้ำน่ะแม่”
มาลตีพูดเอาใจ “กินน้ำเหรอ” มาลตีหันไปตวาดใส่โรส “นี่ยัยโรส มีหูไว้ติดข้างหัวเฉยๆ รึไงได้ยินมั้ย แววเค้าหิวน้ำน่ะ เร็วๆ”
“ค่ะๆๆ ปกติไม่เห็นเอาใจคุณแววขนาดนี้นี่นะ” โรสบ่น
มาลตีสวน “แกว่าไงนะ”
โรสหน้าแหยรีบเผ่นออกไปในครัวทันที
“แม่นะแม่ พอพี่แววได้เงินเดือนเป็นแสน ก็กลายเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนขึ้นมาเลยนะ วัณก็เป็นหมาหัวเน่าสิงี้” วัณณรีบ่นออกมา
“โถ...เอาอะไรมาพูด” มาลตีเข้าไปกอดแล้วหอมกระหม่อมวัณณรีฟอดใหญ่ “หัวเน่าอะไร หัวออกจะหอมแบบนี้”
มาลตีกอดวัณณรีไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือคว้าแววมากอดกันกลมสามคน
“แกสองคนก็เป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทั้งคู่นั่นแหละ” มาลตีบอก
มาลตี วัณณรี และแววสวมกอดกันกลม แววยิ้มอย่างมีความสุข
แววนั่งยิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่กำลังนั่งวาดรูปดอกแววมยุราไปด้วย แววกำลังวาดรูปเพลินๆ สักครู่ เธอก็หันไปก็เจอสยุมภูว์กำลังก้มหน้ามาใกล้ๆ
แววตกใจ “ว๊าย! “ เธอถอดหูฟังออกแล้วโวย “นี่มันบ้านฉันนะ จะเข้ามาก็ขอกันก่อนนิดนึงได้มั้ย”
“ฉันก็เกาะรั้วถามเธอแล้วไง ว่าฉันเข้าไปหานะ เธอไม่ขัดข้องอะไร ฉันก็เลยเดินเข้ามา”
แววหยิบหูฟังให้ดู “นายว่าฉันจะได้ยินมั้ย ไม่เห็นหรือไงว่าฉันฟังเพลงอยู่”
“ก็ไม่ได้สังเกตนี่...ก็ได้ งั้นโทษที” สยุมภูว์ทำท่าจะหันกลับเดินออกไป
“จะไปไหน” แววถาม
“ก็จะออกไปน่ะสิ เจ้าของบ้านเค้าไล่แล้วฉันจะอยู่ทำไม” สยุมภูว์ตัดพ้อ
“ฉันไม่ได้ไล่ ไหนๆ มาแล้วก็อยู่ต่ออีกแป๊บก็ได้”
สยุมภูว์ยิ้มแล้วหันกลับมา “ฉันเห็นเธอนั่งยิ้มอยู่คนเดียว แฮปปี้อะไรมาเหรอ”
“อ๋อ...ก็แม่ฉันน่ะ พอฉันได้ทำงานกับคุณสยุมภูว์ แม่ก็จะดูจะมีความสุข แล้วก็ดีกับฉันมากขึ้นเยอะเลย”
“อืม...” สยุมภูว์ทำเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดลอยๆ “อย่างงี้ต้องขอบคุณคุณสยุมภูว์เค้าน่ะ”
“ใช่! ที่บ้านฉันไม่เคยมีความสุขแบบนี้มานานแล้ว ถ้าวันนึงได้มีโอกาสพบหน้าคุณสยุมภูว์ ฉันจะกราบขอบคุณเค้างามๆ เลย”
สยุมภูว์อมยิ้ม “เธออยากเจอเค้าจริงๆ เหรอ”
แววพยักหน้า “อื้อ”
“เธอไม่กลัวเหรอ”
“ทำไมต้องกลัวล่ะ”
“ก็...อีตาสยุมภูว์ เจ้านายเธอเนี่ย พฤติกรรมเค้าแปลกๆ น่ะ จากที่เธอเล่ามา มีทั้งสั่งงาน แต่ไม่ให้เห็นหน้า แถมยังสั่งให้ทำอะไรประหลาดๆ อีก”
แววคิดคล้อยตาม “เออ..เน๊อะ”
“ถามตรงๆ นะ เธอว่าคนแบบเนี้ย ตัวจริงเค้าจะเป็นยังไงน่ะ”
“อืม..ฉันว่าเค้าคง...รูปร่างหน้าตาแบบ...ตรงกันข้ามกับคำว่าหล่อน่ะ”
สยุมภูว์สะอึก “เอ่อ...ขี้เหร่ว่างั้น แล้วทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็ถ้าเค้าหล่อ เค้าก็คงไม่ต้องเก็บตัว กลัวคนอื่นเห็นหน้าอย่างงี้หรอกมั้ง หรือดีไม่ดี หน้าเค้าอาจจะเป็นแผล หรือว่าเคยโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือว่า...”
“พอเหอะ..พอแล้ว ตอนนี้หน้าตาเจ้านายเธอชักจะอัปลักษณ์เกินจะรับไหวแล้ว แหม..เพิ่งทำงานวันแรก ก็นินทาเจ้านายซะยับแล้วนะ”
“นินทาที่ไหน ฉันก็แค่เดาไปเรื่อยตามความน่าจะเป็น แต่ถึงหน้าตาเค้าจะเป็นยังไง ฉันก็นับถือ แล้วก็สำนึกในบุญคุณเค้าอยู่ดี”
“ก็แหงสิ เธอปลื้มคนรวยอยู่แล้วนี่”
แววทำตาขวางใส่ “ว่าไงนะ นี่นายว่าฉันมองคนที่เงินเหรอ เฮ่อ..ว่าจะคุยกับนายดีๆ ก็ทำให้เหวี่ยงซะอีก มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยไป๊ ฉันจะวาดรูปต่อแล้ว” แววไล่
“ก็ได้...ให้มันรู้ไป ว่าเธอปลื้มคุณสยุมภูว์ที่รวยๆ แต่เกลียดไอ้จักรที่จนๆ คนนี้”
สยุมภูว์ลุกขึ้นทำท่าเหมือนน้อยใจ แต่พอเดินออกมาหันหลังให้แววก็ยิ้มขำ แววมองตามไปพลางส่ายหน้าระอา แล้วหันมาสวมหูฟัง วาดรูปต่อ
ศักดาถือรูปสยุมภูว์ที่ถ่ายโดยกล้องวงจรปิดหน้าคฤหาสน์หลายใบอยู่ในมือ เขายืนคุยกับศักดาอยู่ที่ท่าน้ำร้าง
“น่าเสียดาย ที่ฉันกับมันคลาดกันไปนิดเดียว..กล้องวงจรปิดที่หน้าบ้านก็จับภาพได้ไม่ชัดด้วย” นิติภูมิบ่น
“มันจงใจที่จะทำตัวลึกลับเพราะไม่อยากให้เราตามมันเจอแน่ๆครับ” ศักดาบอก
“ใช่ แม้แต่พ่อฉันเองก็ยังไม่รู้ว่ามันพักอยู่ที่ไหน”
“นี่เท่ากับว่าเรากลับมาเริ่มต้นจากศูนย์อีกครั้งสิครับ”
“ฉันหวังว่าการเข้าไปทำงานที่บริษัทจะทำให้ฉันตามตัวมันง่ายขึ้นอีกหน่อยนะ”
ศักดาพยักหน้าแล้วยิ้มร้ายๆ “ผมเข้าใจแล้ว แบบที่เค้าว่า ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือใช่มั้ยครับ”
“แต่ฉันไม่อยากได้แค่ลูกเสือหรอกนะ ฉันมาบอกแกให้เตรียมพร้อม เพื่อรอโอกาสที่จะเข้าถ้ำเสือ...แล้วก็ฆ่าเสือทิ้งซะต่างหาก” นิติภูมิพูด
เช้าวันใหม่ ชลธิชาดูแลความเรียบร้อยอยู่ในร้านกาแฟ พนักงานเดินผ่านเธอไปอย่างนอบน้อม เริงใจเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับถือถุงใส่กล่องอาหารชุดของญี่ปุ่นมาสองกล่อง
“เริงใจ...ซื้ออะไรมาเนี่ย” ชลธิชาถาม
“ก็นี่ไง” เริงใจหยิบออกมากล่องนึงยื่นให้ชลธิชา “อาหารญี่ปุ่น กล่องนี้ให้เธอ”
“ขอบคุณมากเลยนะ คงแพงน่าดูสิเนี่ย มา..มากินกัน”
เริงใจส่ายหน้า “หึ..ฉันไม่กินอ่ะ”
“อ้าว...แล้วอีกกล่องนี่ของใครน่ะ”
“ก็เนี่ย” เริงใจพูดอย่างเขินๆ “เธอจำได้มั้ย ที่เมื่อวาน เธอบอกจะช่วยฉัน”
“ช่วยอะไร”
“ก็...ช่วยเรื่องคุณเอกไง เธอเคยไปส่งคุณเอกที่คอนโดเค้าใช่มั้ย”
“ใช่ แล้วไงเหรอ”
“พาฉันไปหน่อยสิ ฉันจะเอานี่” เริงใจชี้ที่อาหารกล่อง “ไปให้เค้าน่ะ”
ชลธิชาตกใจ “หา?”
“เธอรับปากว่าจะช่วยแล้วนะธิชา เร็วๆ เหอะ รีบไปรีบมา เดี๋ยวสาย คุณเอกเค้าจะออกไปข้างนอกซะก่อน”
ชลธิชาหน้าแหยเพราะไม่เต็มใจ
มาลตีนั่งที่โต๊ะอาหารซึ่งมีกับข้าววางอยู่เต็มโต๊ะ โดยมีแววกับวัณรีนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“วันนี้แม่มีความสุขจังเลย..ครอบครัวเราถึงจะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้กินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างงี้มานานแล้วนะ” มาลตีกล่าว
โรสยกกับข้าวจานสุดท้ายมาวางแล้วรับคำ “ใช่ค่า...”
โรสถือวิสาสะหย่อนก้นลงนั่งร่วมโต๊ะ แต่ทุกคนเหล่มองอย่างตำหนิ
“อุ้ย...” โรสรีบขยับลุกขึ้น “เชิญทานตามสบายนะคะ” แล้วโรสก็ถอยออกไป
มาลตี แวว และวัณณรีเริ่มกินข้าวกัน
“เอ้อ...แล้ววันนี้วัณต้องไปเรียนหรือเปล่าลูก” มาลตีเอ่ยถาม
“เที่ยงๆ ค่อยไปก็ได้แม่ มีเรียนตอนบ่ายๆ น่ะ “ วัณณรีตักอาหารกิน
“งั้นไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวออกไปเป็นเพื่อนแม่หน่อย” มาลตีชวน
แววรีบปราม “แม่ ยัยวัณต้องเรียนนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่แวว วันนี้เรียนแค่สองวิชาเอง” วัณณรีบอก
“จะให้ไปช่วยเลือกชุด ต้องตัดชุดเตรียมไปงานเลี้ยงของเพื่อน วัณไปด้วยก็ได้ตัดให้วัณอีกชุดแบบเดียวกันไปเลยไง” มาลตีชวนต่อ
“แววเห็นชุดสวยๆ ของแม่กับยัยวัณก็มีเยอะแยะจนจะล้นตู้อยู่แล้ว จะต้องไปตัดใหม่อีกทำไมล่ะแม่”
“แหม..ลองนึกดูนะจ๊ะ ถ้าแม่ไม่ใส่ชุดใหม่ๆ เวลาบอกเพื่อนๆ ว่าลูกสาวแม่ทำงานเงินเดือนเป็นแสนๆ ใครเค้าจะเชื่อ จริงมั้ยยัยวัณ”
วัณณรีที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่เต็มปากพยักหน้าหงึกๆ แล้วมาลตีกับวัณณรีก็ยิ้มแย้มเออออกัน แววหน้าหมองลงไป ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังจากชั้นบน
มาลตีเหลือบสายตามองขึ้นไป “เสียงโทรศัพท์ที่เจ้านายแววให้มานี่ รีบขึ้นไปรับสิแวว ขืนชักช้า เดี๋ยวเจ้านายแกเค้าจะตัดเงินเดือนเอานะ”
แววถอนใจอย่างท้อๆ ที่แม่ของเธอห่วงอยู่แค่เรื่องเงินเท่านั้น
โทรศัพท์มือถือของแววที่อยู่ในห้องส่งเสียงร้องและสั่นเพราะมีคนโทรเข้า แววเดินมาหยิบไปแล้วกดรับ
“สวัสดีค่ะ...ตอนนี้เลยนะคะ ได้ค่ะคุณสยุมภูว์”
แวววางโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปหยิบไอแพดมาตั้งบนโต๊ะทำงาน เธอจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วจึงนั่งเตรียมพร้อมคุยแบบ facetime
จอไอแพดปรากฏภาพของสยุมภูว์ที่เห็นแต่ช่วงอกเสื้อขึ้นไปถึงคางเหมือนเดิม
แววเอ่ยทัก “สวัสดีค่ะคุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์สวมสูทเนี้ยบโดยที่ครึ่งล่างยังใส่ขาสั้นสบายๆ เขานั่งอยู่หน้าจอไอแพดสั่งงานแววผ่านระบบ facetime อยู่ในห้องทำงานลับที่ร้านต้นไม้ โดยมีเพิ่มพงษ์คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
“ผมชิมไอศครีมหูฉลามนั่นแล้ว” สยุมภูว์บอก
“ค่ะ..หวังว่าเจ้านายจะถูกใจนะคะ” แววพูด
สยุมภูว์แกล้งนิ่งไป จนแววใจเสีย
แววพูดเบาๆ “ซวยแน่เลยชั้น”
“เงื่อนไขสำคัญของภารกิจนี้คืออะไร”
“ห้ามมีผู้ช่วยค่ะ” แววตอบ
“คุณแน่ใจนะว่าคุณไม่โกง” สยุมภูว์ถาม แววนิ่งไป สยุมภูว์จึงถามย้ำ “ว่าไงล่ะ…หรือว่าคุณโกง คุณขอความช่วยเหลือใครหรือเปล่า”
แววยอมรับ “ค่ะ”
สยุมภ์ยิ้ม
“ใครช่วยคุณ”
“เพื่อนแววเองค่ะ”
“เขาช่วยคุณทำอะไร”
สยุมภูว์คิดว่าแววต้องพูดถึงจักร
“เขาพาดิฉันซ้อนมอร์เตอร์ไซค์ไปซื้อหูฉลาม ไปหาคนทำไอศครีม ไป...”
“พอ..เพื่อนคุณคนนั้นชื่ออะไร” สยุมภูว์ถามต่อ
“เอกรินทร์ค่ะ เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว”
“เขาทำงานอะไร”
“เป็นผู้สื่อข่าวค่ะ” แววตอบ
“เขาคงเป็นนักข่าวที่ว่างมากนะ คุณคิดว่าทำไมเขายอมเสียงานเสียการมาช่วยคุณ” แววนิ่งไม่ตอบอะไร “ไม่มีเพื่อนคนไหนที่จะทุ่มเทกับคุณขนาดนี้หรอก..นอกเสียจากว่า...คุณเอกรินทร์เป็นแฟนคุณหรือเปล่า”
แววพูดอย่างเคืองๆ “จะเพื่อนหรือแฟน..มันสำคัญตรงไหนหรือคะคุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมอยากจะเตือนคุณว่า การเป็นเลขาผมเหมือนกับการเซ็นสัญญายอมมอบเวลาของคุณให้กับผมแล้ว ผมต้องได้ในสิ่งที่ผมต้องการ ไม่ว่าเวลานั้นคุณจะอยู่กับแฟนหรืออยู่กับใคร..ถ้าคุณรักเขา คุณอย่าทำร้ายเขาด้วยการมาเป็นเลขาของผม”
แววนิ่งไปเพราะคิดหนัก
“ถ้าคุณกลัว...คุณยังเปลี่ยนใจทัน” สยุมภูว์บอกแต่แววไม่ตอบ “พรุ่งนี้ผมจะมาฟังคำตอบ”
หน้าจอไอแพดของแววดับวูบลง
เพิ่มพงษ์มีสีหน้าเป็นห่วงแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ถ้าแววเขาปฏิเสธล่ะครับ คุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์ยิ้มและมีท่าท่างไม่แคร์ “ผมก็หาเลขาใหม่สิ”
“ให้มันจริงเถอะ คุณสยุมภูว์”
แววมีท่าทางท้อ และมีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ เธอหยิบสร้อยคริสตัลขึ้นมาเหมือนจะอธิษฐานอีกครั้ง
แววยืนหน้าเครียดรดน้ำต้นไม้อยู่ที่สวนหน้าบ้านของเธอ มาลตีกับวัณณรีถือถุงช็อปปิ้งเดินเข้าบ้านมา แววเห็นถุงช็อปปิ้งแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด
“โชคดีนะเนี่ยที่แกไปด้วย ไม่อย่างนั้นแม่คงพะรุงพะรังมากกว่านี้นะยัยวัณ” มาลตีเอ่ย
แววเดินเข้าไปหา พร้อมกับมองถุงช็อปปิ้งของทั้งสองคน
“อะไรกันเนี่ยแม่..ยัยวัณ”
“แกเห็นฉันแบกกระสอบทรายมาหรือไงล่ะ” มาลตีสวน
“ใช่ แม่บอกว่าจะออกไปซื้อเสื้อผ้า ก็นี่ไงถุงเสื้อผ้า ไม่เห็นเหรอพี่แวว” วัณณรีถามหน้าตาย
“เห็น แต่พี่ไม่คิดว่าเธอกับแม่จะเหมามาหมดร้านอย่างนี้”
“อะไรกันยัยแวว ก็แกให้เงินแม่ไปแค่นั้น จะให้แม่เหมาร้านได้ไง” มาลตีสวนอีก
แววขึ้นเสียงสูง “แม่..!!! แววประชด”
มาลตีขึ้นเสียงสูงตาม “ย่ะ..ทำไมฉันจะไม่รู้ แกคิดว่าฉันโง่มากหรือไง ฉันเป็นแม่แกนะ ถ้าฉันไม่ฉลาด ฉันไม่เลี้ยงแกมาให้โตมาเถียงฉันแบบนี้หรอก”
“แม่..แววไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
มาลตีจะต่อปากต่อคำต่อ แต่วัณณรีแทรกขึ้นมา
“พอเถอะน่าแม่ เข้าบ้านเถอ หนักจะแย่แล้ว”
“ดูพี่แกสิ..เห็นน้องถือของหนักๆยังไม่ช่วยเล้ย” มาลตีเริ่มอารมณ์เสีย
วัณณรีไม่สนใจชิงเดินเข้าบ้านไป มาลตีจะด่าต่อ แต่วัณณรีเดินกลับมาลากแม่เข้าบ้านไปก่อน
“เพิ่งจะมีความสุขอยู่เมื่อกี้ มาเจอแกแล้วความสุขฉันหายหดหมดกัน..ไปลองเสื้อผ้ารองเท้าใหม่ดีกว่า เห็นหน้าแกแล้วเซ็ง” มาลตีบ่น
มาลตีเดินเข้าบ้านโดยไม่สนใจแวว แววมองตามเข้าไปก่อนจะพูดออกมาด้วยความน้อยใจ
“แล้วต่อไปถ้าแววไม่มีเงินเยอะๆให้แม่ใช้ แม่คงไม่อยากเห็นหน้าแววเลยสินะ”
แววถอนใจแล้วรดน้ำต้นไม้ต่ออย่างเซ็งๆ
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ทั้งสองเห็นว่าแววยืนรดน้ำต้นไม้หน้าเซ็งๆ อยู่ก็แอบคุยกัน
“สงสัยจะยังตัดสินใจไม่ได้แน่ๆครับคุณสยุมภูว์ หน้าเครียดอย่างนั้น” เพิ่มพงษ์บอก
สยุมภูว์เอ่ยออกมา “เดี๋ยวก็รู้..”
แล้วสยุมภูว์ก็เดินไปหาแวว
สยุมภูว์โผล่หน้าขึ้นมาที่รั้วบ้านที่อยู่ติดกับบ้านของแวว แววเห็นเขาแต่ไม่สนใจจะคุยด้วย
“รดน้ำต้นไม้หน้าเครียดๆอย่างนี้ เดี๋ยวต้นไม้มันจะเฉาตามเจ้าของนะคุณ”
“ฉันไม่มีอารมณ์คุยด้วย ไปไหนก็ไปเถอะ”
สยุมภูว์ล้อเลียนแวว “ฉันก็ไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครเหมือนกัน”
“แล้วมาลอยหน้าลอยตาแถวนี้ทำไม” แววถาม
“ยังพูดไม่จบ..ไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร...นอกจากคุณ” สยุมภูว์บอก
แววทำสีหน้าเย็นชาคล้ายไม่มีอารมณ์จะโต้ตอบ แล้วเธอก็เดินไปปิดก๊อกน้ำ
“เดี๋ยวดิ จะรีบไปไหนล่ะ...ตกลงว่าเจ้านายคุณชอบไอศครีมหูฉลามมั้ย”
แววหยุดเดิน “ชอบหรือไม่ชอบ มันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ”
“อ้าว..ทำไมล่ะ...”
“ฉันต้องเล่าทุกเรื่องในชีวิตฉันให้นายรู้หรือไง” แววถามกลับ
“ผมขอเดาว่างานนี้จบไม่สวยแน่ๆ ไม่งั้นคุณคงไม่เซ็งอย่างนี้”
“เขาไม่ได้สนใจเรื่องรสชาติหรอก คงแค่อยากทดสอบว่าฉันทุ่มเทกับงานหรือเปล่า” แววบอก
สยุมภูว์แอบยิ้มเมื่อแววเข้าใจความต้องการของเขา
“งั้นก็คงผ่านฉลุย..คุณคงเตรียมชุดสวยๆไปเป็นเลขาหน้าห้องแล้วสิเนี่ย” สยุมภูว์แซว
“งานมันก็สนุกดีหรอกนะ แต่ไม่รู้ว่า ฉันจะยกทุกนาทีในชีวิตฉันให้เขาได้นานแค่ไหน”
“ก็เงินเดือนตั้งสองแสน เขาคงไม่ปล่อยให้คุณว่างหรอก ตรรกะง่ายๆน่ะ”
“ทำไมฉันจะไม่รู้..ฉันคงลืมเรื่องวาดรูปไปได้เลยมั้งเนี่ย ท่าทางเขาจะไม่ปล่อยให้ฉันว่างแน่” แววว่า
“คุณใจเด็ดไม่เบานะ..แต่แน่ใจนะว่าคิดดีแล้ว”
แววมีสีหน้ามั่นใจกับการตัดสินใจของตนเอง
แววชักสงสัย “แล้วนายจะถามฉันทำไมว่าคิดดีแล้วหรือเปล่า ทำตัวเป็นเจ้านายฉันไปได้”
สยุมภูว์พยายามแก้ตัว “ก็ถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้หรือไง”
แววสะดุดกับคำพูดของสยุมภูว์ แม้จะรู้สึกดีกับเขาแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ
มาลตีกำลังลองรองเท้าคู่ใหม่อยู่ในบ้าน จู่ๆ เธอก็โวยวายขึ้นมา
“ตายแล้ว..ไม่น่าซื้อคู่นี้มาเลย ยัยวัณแกก็ไม่เตือนแม่เลยนะ”
วัณณรีดูที่รองเท้า “ทำไมล่ะคะแม่ ก็สวยดีออก ใส่คู่นี้แล้วรับรองว่าผู้ชายต้องเข้ามาขอเบอร์แน่ๆ”
“แต่แม่ไม่มั่นใจเลยยัยวัณ ใส่รองเท้าเปลือยๆแต่ดูเล็บแม่สิ”
“รองเท้าไม่เข้ากับเล็บ..งั้นยกให้โรสนะคะคู่นี้” โรสรีบเสนอตัว
“เอาไปแต่ส้นเถอะย่ะ” มาลตีบอก
“โธ่..แม่ เรื่องแค่นี้ เดี๋ยววัณพาแม่ไปร้านทำเล็บก็ได้ วัณรู้จักร้านทำเล็บไฮโซตั้งหลายร้าน ทำเสร็จแล้วรับรองว่าแม่จะกลายเป็นอีกคนเลย”
“จริงหรือยัยวัณ รีบพาแม่ไปเลยนะ”
มาลตีตาเป็นประกาย แววเข้ามาทันได้ยินพอดี มาลตีเห็นแววเดินเข้ามาก็รีบพูด
“ยัยแวว ได้ยินใช่ไหม...เตรียมค่าทำเล็บให้แม่ด้วยนะ”
“สองคนนะพี่แวว..วัณจะไปเป็นเพื่อนแม่” วัณณรีบอก
“เขาซื้อสองแถมหนึ่งหรือเปล่าคะ โรสจะได้ติดสอบห้อยตามไปด้วย” โรสเสนอตัวอีก
“แม่กับวัณหาเงินไปทำเองแล้วกัน” แววพูดเรียบๆ
“นี่ อย่ามาขี้เหนียวกับแม่กับน้องนะ เงินเดือนแกสองแสนไม่พอจ่ายค่าทำเล็บหรือไง”
“มีได้แล้วมันหมดไม่ได้หรือไงแม่”
มาลตีนิ่งไปเหมือนจะคิดตาม แววไม่สนใจเดินหนีไปทันที
“ร้านปากซอย..แม่ไปคนเดียวนะ วัณไม่ไปด้วยหรอก” วัณณรีโพล่งออกมา
ในที่สุดมาลตีก็ไม่สนใจ “แม่ต้องสู้ในสิ่งที่แม่ควรจะได้..แม่กับวัณต้องไปร้านทำเล็บไฮโซเท่านั้น”
มาลตีมีสีหน้ามุ่งมั่น
เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์นั่งคุยกันอยู่ในบ้าน
“นี่แหละ...เลขาอย่างที่ผมต้องการ” สยุมภูว์เอ่ย
“ใจคอคุณสยุมภูว์จะใช้งานคุณแววอย่างที่พูดจริงๆหรือครับ” เพิ่มพงษ์ถาม
“ผมไม่ได้ใจดำขนาดนั้นหรอกน่า ก็แค่อยากรู้ว่าจะมีใจให้หรือเปล่า”
“มีใจให้งานหรือให้เจ้านายครับ” เพิ่มพงษ์ถามดัก
“มันก็ทั้งสองอย่างล่ะน่า ทศพลกรุ๊ปกับสยุมภูว์น่ะแยกกันไม่ออกหรอก”
เพิ่มพงษ์นิ่งคิดก่อนจะพยักหน้ารับ “ครับ..สรุปว่าคุณสยุมภูว์ยังต้องการให้คุณแววมาทำงานกับเราใช่มั้ยครับ”
สยุมภูว์ตอบทันที “แน่นอน !”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะลองปรึกษาคุณนิติธรดูว่ามีงานอะไรให้แววทำบ้าง”
“ผมคิดไว้แล้วครับ..ผมจะให้แววไปทำงานที่เชียงใหม่ ไปที่จุดเริ่มต้นของทศพลกรุ๊ป แววจะได้รู้ว่าพวกเราทุ่มเทกันแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ ที่นั่น..แววจะได้มีเวลากับสิ่งที่เขารักอย่างเต็มที่”
พูดจบสยุมภูว์ก็ยิ้มอย่างมั่นใจ
อ่านต่อหน้าที่ 3
แววมยุรา ตอนที่ 5 (ต่อ)
ชลธิชานั่งคุยกับแววอยู่ที่ร้านกาแฟ
“เอาเถอะน่าแวว อย่างน้อยก็ลองกลั้นใจทำสักเดือนก่อน จะได้มีเงินเก็บสักก้อนนึงไง” ชลธิชาบอก
แววเหนื่อยใจ “จะมีให้เก็บได้ไง แม่กับน้องฉันใช้เงินอย่างกับเบี้ย ทำอย่างกับพิมพ์แบงก์ได้เองอย่างนั้นล่ะ”
“เอาน่า..อย่างน้อยก็แม่ก็น้อง” ชลธิชาปลอบ
“ขอบใจที่เอาใจช่วยฉันนะ เธอดีกับฉันเสมอเลย”
“แล้วบอกคุณนิติภูมิหรือยัง ต่อไปเธอก็ต้องเจอคุณนิติภูมิบ่อยๆสิ”
“เขาคงไม่ได้อยากรู้หรอกมั้ง ฉันไม่ได้สำคัญกับชีวิตเขาขนาดนั้นหรอก”
“งั้นเธอคงบอกคุณเอกรินทร์เป็นคนแรกเลยสินะ” ชลธิชาถามอย่างน้อยใจ
แววสงสัย “ทำไมเธอคิดอย่างนั้นล่ะ”
ชลธิชาไม่อาจข่มอารมณ์ได้อีกต่อไป แววเห็นท่าทางของเพื่อนก็ถามออกมา “เธอมีอะไรอยากบอกฉันหรือเปล่าธิชา”
ชลธิชามีสีหน้าอึดอัดใจแต่ก็ยังไม่ตอบคำถามของแวว
นิติธรที่อยู่ที่คฤหาสน์คุยโทรศัพท์กับเพิ่มพงษ์
“ได้ครับคุณเพิ่มพงษ์ ผมจะเช็คโครงการที่เชียงใหม่ให้
“อย่าเพิ่งบอกแววเรื่องนี้นะครับ คุณสยุมภูว์อยากให้เป็นความลับ” เพิ่มพงษ์กำชับ
“ครับ แต่แน่ใจหรือครับว่าแววเขาจะยอมไปทำงานที่นั่น ต้องไปไกลบ้าน แถมงานหนักตากแดดตากลมแบบนี้มันจะเหมาะกับพริตตี้อย่างคุณแววหรือครับ”
“งานนี้คุณสยุมภูว์เลือกเองครับ” เพิ่มพงษ์บอก
“ดูคุณสยุภูว์จะถูกใจเด็กคนนี้นะครับ”
เพิ่มพงษ์ตัดบทอย่างไม่ค่อยพอใจ “ผมก็อยากจะตอบแทนนะครับแต่กลัวตอบผิด ถ้าคุณนิติธรอยากทราบรบกวนถามคุณสยุมภูว์เองดีกว่า..เข้าใจนะครับ”
เพิ่มพงษ์วางสายด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนิติธรเท่าไหร่
เพิ่มพงษ์พูดกับโทรศัพท์ “อยากรู้เรื่องคุณสยุมภูว์ไปซะทุกเรื่องเลยนะ หาทางเจาะข้อมูลอยู่ล่ะสิ ไม่หลงกลหรอกคุณนิติธร”
เพิ่มพงษ์ทำสีหน้ารู้ทันนิติธร
แววอธิบายเรื่องของเอกรินทร์ให้ชลธิชาฟัง
“ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเอกคิดอะไรกับฉัน” แววบอก
“แล้วเธอชอบเขาหรือเปล่า” ชลธิชาถามทันที
“เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันกับเขาน่ะเป็นได้แค่เพื่อนสนิทเท่านั้นล่ะ”
“ถ้าเขาตื้อล่ะ..เธอจะไม่ใจอ่อนเลยเหรอ”
แววส่ายหน้า “ฉันนึกภาพตัวเองเป็นแฟนกับเอกไม่ออกน่ะ”
“เขาต้องเสียใจมากแน่ๆ ถ้ารู้เรื่องนี้”
แววถามเหมือนรู้ทัน “อยากเป็นคนปลอบใจเขาใช่มั้ยล่ะ”
“เขาคงไม่ต้องการให้ฉันปลอบใจหรอก..ฉันควรตัดใจใช่มั้ย แวว”
“ฉันไม่เก่งเรื่องอะไรแบบนี้เสียด้วย..จะช่วยเธอยังไงเนี่ย”
แววถอนใจเพราะหนักใจแทนชลธิชา ที่มุมหนึ่งไม่ไกลนักเริงใจแอบฟังทั้งสองคุยกันอยู่
“หมดอุปสรรคไปหนึ่ง เหลืออีกหนึ่ง” เริงใจมองชลธิชาแล้วยิ้มๆ “ใครดีใครได้นะยัยธิชา”
พูดจบเริงใจก็รีบผละออกไป
ไอแพดของแววที่อยู่ในห้องนอนมีสัญญาณการติดต่อจากสยุมภูว์ แววเปิดกล้องคุยเฟซไทม์กับสยุมภูว์
“คุณตัดสินใจแล้วใช่ไหม” สยุมภูว์เปิดฉากถาม
“ค่ะ...แววจะรับงานนี้”
สยุมภูว์จงใจเน้น “คุณคิดดีแล้วเหรอ”
แววรู้สึกคุ้นกับน้ำเสียงและคำๆ นี้เธอเริ่มนิ่งไป
“เป็นอะไรไปล่ะ..ทำไมไม่ตอบหรือว่าเริ่มลังเล” สยุมภูว์ถามต่อ
“เปล่าค่ะ..คุณถามเหมือนเพื่อนแววเลย”
“ผู้สื่อข่าวนั่นน่ะเหรอ”
“เปล่าค่ะ..อย่าสนใจเลย สรุปว่าคุณรับแววมาเป็นเลขาคุณแล้วใช่มั้ยคะ”
“คุณตกลงใจแล้วนะ” สยุมภูว์ถามย้ำ
แววตอบรับ “ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณเตรียมเก็บเสื้อผ้าได้เลย สองวันนี้คุณจะต้องไปเชียงใหม่…ไม่มีกำหนดกลับ”
แววถึงกับตะลึง สยุมภูว์สังเกตเห็นก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“ทำไมหน้าเสียล่ะ..หรือว่าอยากเปลี่ยนใจ...ยังทันนะ”
“ไม่มีกำหนดกลับหรือคะ”
“มีปัญหาอะไรล่ะ”
“ไม่มีก็ได้ค่ะ” แววบอก
“ดีมาก..รอรับตั๋วด้วยนะ แล้วเราเจอกันที่นั่น”
“ค่ะ..คุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์ยิ้มให้แล้วจึงตัดการติดต่อ แววถอนใจยาวก่อนจะทำท่าทางพร้อมลุย
สยุมภูว์ใส่สูทท่อนบน ขณะที่ท่อนล่างเป็นกางเกงขาสั้น รองเท้าสบายๆ เขาเดินผ่านแจ็ค ที่ยกกระถางต้นไม้อยู่หน้าห้องทำงานลับ แจ๊คถึงกับหยุดเหลียวมองตามสยุมภูว์อย่างเหวอๆ งงๆ
“พี่จักร” แจ๊คเรียก
สยุมภูว์เหลียวกลับมามองแจ็คอย่างงงๆ แจ็คกวาดสายตาเพ่งมองหัวจรดเท้าแล้วอมยิ้ม“อะไร? มองอะไรของแก?” สยุมภูว์ถาม
“ก็มองพี่อะดิ ห่วงหล่อ แต่ไม่ห่วงสภาพอากาศเลยนะ” แจ๊คว่า
สยุมภูว์งง “อะไร?”
“ก็ดูสิ อากาศร้อนตับแล่บ พี่จะใส่สูททำไม แล้วซื้อสูทจนงบหมดใช่มั้ย ข้างล่างถึงได้แค่กางเกงขาสั้นเนี่ย”
“อุ้ย...เอ่อ...คือ...” สยุมภูว์อึกอัก
“แล้วพี่ไปเอาสูทนี่มาจากไหนอ่ะ ในห้องนั้นมีสูทเก็บไว้ด้วยเหรอพี่” แจ๊คถามต่อ
ทันใดนั้นเสียงเพิ่มพงษ์ก็ดังขึ้น “ไอ้จักร”
เพิ่มพงษ์เดินเข้ามาแล้วทำฟอร์มยืนจ้องหน้าดุๆ ใส่สยุมภูว์ สยุมภูว์งงเพราะยังไม่ได้เตี๊ยมกันไว้
เพิ่มพงษ์ทำเป็นโวย “เอ้า..ทำเป็นงง เอาสูทฉันมาใส่เล่นทำไม ถอดคืนมาเดี๋ยวนี้”
“อ้อ...” สยุมภูว์เข้าใจแล้วก็รีบถอดคืนให้ทันที
“ไอ้นี่...จนแล้วอยากใส่สูท” เพิ่มพงษ์บ่น
เพิ่มพงษ์สวมสูทแล้วเดินย้อนไปทางห้องทำงาน แต่ทั้งสองสังเกตเห็นว่าสูทคนละไซส์กับตัวเพิ่มพงษ์ เพราะใส่แล้วติดพุงจนสั้นเต่อ แจ็คเดินตามไป
แจ็คมองตาม “สูทน้าเพิ่มหรอกเหรอ ช่างมันตัดให้ยังไงนั่นน่ะ”
“ตอนนั้นฉันผอมๆ เท่าไอ้จักรนี่แหละ” เพิ่มพงษ์หันมาตวาดใส่ “แล้วแกจะมายุ่งอะไรกับฉัน ไปทำงานไป๊”
แจ็คยกกระถางต้นไม้ผ่านหน้าสยุมภูว์ออกไป สยุมภูว์เกาหัวแล้วส่ายหน้าที่ตัวเองเผลอลืม
ที่คอนโดเอกรินทร์ เริงใจมาเคาะประตูห้องเอกรินทร์ สักพักประตูก็เปิดออก เอกรินทร์ยิ้มให้แล้วพูด
“คุณเริง มาเร็วจังนะครับ”
เริงใจยิ้มกว้างให้เอกรินทร์ เอกรินทร์มองหาชลธิชา
“คุณชลธิชาไม่ได้มาด้วยหรือครับ” เอกรินทร์ถาม
“ธิชาเขาอยากอยู่ดูร้านน่ะค่ะ ชวนยังไงก็ไม่มา” เริงใจตอบ
“ความจริงเราคุยกันที่ร้านอย่างที่เรานัดกันไว้จะดีกว่านะครับ คุยกันหลายๆคนจะได้หลายๆไอเดีย”
“พอดีวันนี้ลูกค้าเยอะน่ะค่ะ คุยกันที่นั่นคงไม่สะดวก..เราจะยืนคุยกันตรงนี้เหรอคะ” เริงใจถาม
เอกรินทร์เพิ่งนึกออก “ครับ ขอโทษครับ งั้น..เชิญเลยครับ”
เริงใจก้าวเข้ามาในห้อง เอกรินทร์ปิดประตูให้
“เริงซื้ออาหารญี่ปุ่นมาด้วยนะคะ เราทานไปคุยเรื่องโปรโมทร้านไปก็น่าสนุกดีนะคะ”
“ดีครับ มาครับเดี๋ยวผมจัดการให้”
เอกรินทร์ยื่นมือไปจะรับถุง
“เริงจัดการให้ดีกว่าค่ะ ทางไหนคะ” เริงใจหันไปเห็นครัว “ทางนั้นใช่ไหมคะ”
เริงใจเดินไปทางครัวทันที โดยที่เอกรินทร์ห้ามไม่ทัน
เริงใจแกะกล่องแล้วเทอาหารใส่จาน ก่อนจะหยิบถุงซอสออกมาแล้วยิ้ม แทนที่จะเทใส่ถ้วยเริงใจกลับเทใส่เสื้อตัวเอง
เริงใจแกล้งโวยวาย “อุ๊ย..ตายแล้ว..!!!ซอสหก !!!”
เอกรินทร์เดินเข้ามาหาเริงใจด้วยความตกใจ เริงใจแกล้งทำหน้าสำนึกผิด
ชลธิชากดโทรศัพท์หาเริงใจ แต่เริงใจไม่รับสาย
“ไหนยัยเริงบอกว่าจะเข้ามาคุยเรื่องโปรโมทร้าน ป่านนี้ยังไม่โผล่มาเลย โทรไปก็ไม่รับ ถ้าคุณเอกเขาต้องมารอล่ะก็เกรงใจแย่เลย”
“เอกจะมาที่ร้านเหรอ” แววถาม
“ใช่..คุณเอกเขาเสนอจะช่วยน่ะ ดูสินัดหมายกันดิบดี” ชลธิชาบอก
“ความจริงยัยเริงมาช้าก็ดีไปอย่างนะ เธอกับเอกจะได้มีเวลาคุยกันสองคน” แววพูด“เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ฉันไม่เอามาปนกันหรอกจ้ะ” ชลธิชารีบบอก
แล้วชลธิชาก็พยายามกดโทรศัพท์หาเริงใจต่อ
ในห้องนอนของแขกภายในคอนโดของเอกรินทร์ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเริงใจหล่นออกมาพร้อมข้าวของอื่นๆ ในกระเป๋าของเธอ เริงใจตั้งใจจะหยิบน้ำหอมขวดเล็กๆที่เตรียมมาด้วยแต่เห็นโทรศัพท์มือถือตัวเองดังขึ้นพอดี เริงใจเห็นว่าเป็นชื่อชลธิชา เธอทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วกดตัดสายก่อนจะปิดมือถือ
“ให้ฉันขึ้นแท่นรับเหรียญก่อนนะชลธิชา”
เริงใจโยนมือถือใส่กระเป๋าแล้วหยิบน้ำหอมฉีดที่ซอกคอ ก่อนจะดึงเสื้อคลุมอาบน้ำให้หลวมๆ แล้วเปิดประตูห้องออกไปหาเอกรินทร์อย่างมั่นใจ
เริงใจตกตะลึงทันทีที่เปิดประตูห้องออกไป
“ไลลา..!!”
ไลลาหันมาตามเสียงของเริงใจ เมื่อเห็นเริงใจในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำก็ตกใจมาก
“เริงใจ...!!”
เสียงตกใจของไลลาทำให้แป้งร่ำรีบออกมาจากครัวพร้อมจานซูชิที่เริงใจวางทิ้งไว้ เริงใจเห็นแป้งร่ำก็ตกใจอีก
“แป้งร่ำ…!!”
แป้งร่ำเห็นเริงใจในชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมาจากห้องนอนถึงกับมองตาค้าง เริงใจเห็นซูชิในจานที่แป้งร่ำถืออยู่ก็โกรธ
“นั่นมันซูชิของฉัน” เริงใจบอก
แป้งร่ำมองจานซูชิที่ถืออยู่แล้วยิ้มออกมา
“ของเธอเหรอ”
แป้งร่ำจงใจปล่อยจานตกแตก ซูชิกระจายทั่วพื้น แล้วก็มองเริงใจอย่างไม่กลัว
“เสียดายที่ฉันทำตกพื้นไปแล้ว อดกินเลย” แป้งร่ำยั่ว
เริงใจโกรธตัวสั่นจึงพุ่งเข้าไปหาแต่ไลลาปราดมายืนขวางไว้
“นี่มันคอนโดของฉัน ไม่ใช่ตลาด อย่ามาหาเรื่องกันแถวนี้” ไลลาเสียงดัง
เอกรินทร์เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี ทั้งสามแยกกัน แต่จานซูชิยังแตกเกลื่อนพื้น
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”
“คุณแป้งร่ำคงจะหิวจนมือไม้อ่อนน่ะค่ะ ทำจานซูชิตก เรา” เริงใจพูดเน้น “สองคนเลยไม่ต้องทานกันพอดี”
“ไมได้หิวหรอกค่ะ” แป้งร่ำสวน “แต่ทนกลิ่นคาวไมได้ เลยจะเอาไปทิ้งถังขยะข้างนอก คาวขนาดนี้ไม่รู้ว่าคุณเริงทนได้ไงคะหรือว่าชิน”
เริงใจจะเถียงต่อ แต่เอกรินทร์พูดแทรกขึ้น
“ผมว่าเราไปคุยกันทีร้านไหมครับคุณเริง พอดีแววเพิ่งโทรมาหาบอกว่าคุณธิชารออยู่ที่ร้าน”
เริงใจเดินกลับเข้าไปในห้องนอนแขก เอกรินทร์มองแป้งร่ำกับไลลาอย่างจะขอคำอธิบาย
“ฉันพายัยแป้งมาทักทายในฐานะเพื่อนบ้านคนใหม่น่ะ” ไลลาอธิบาย
เอกรินทร์งง “เพื่อนบ้าน?”
“ฉันเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กับไลลาน่ะค่ะ” แป้งร่ำบอก
“เหรอครับ ยินดีต้อนรับครับ”
“แต่สงสัยจะฤกษ์ไม่ดีมีมารผจญ ยังไงเธอค่อยหาโอกาสมาคุยกับนายเอกเองก็แล้วกัน ห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้..ใช่มั้ยนายเอก” ไลลาถาม
เอกรินทร์พยักหน้าเซ็งๆ เหมือนยอมรับแบบถูกมัดมือชก
วัณณรีกับมาลตีนั่งลองแต่งหน้าอยู่ด้วยกันที่ห้องรับแขก วัณณรีนุ่งกางเกงขาสั้นและใส่เสื้อสบายๆ แบบเผยผิว โรสกำลังใช้ม็อบถูพื้นห้องรับแขกอยู่
“นี่ไงลูก รองพื้นตัวนี้ แม่เพิ่งซื้อมา ลองดูมั้ย แม่ช๊อบ..ชอบ” มาลตีบอก
วัณณรีลองใช้แล้วพูด “แต่เพื่อนวัณบอกเดี๋ยวนี้ เค้าฮิตรองพื้นแบบมิเนอรัลไล๊ซ์ กันแล้วนะแม่”
“อะไรมิๆ ไล๊ซ์ๆ นะ” มาลตีถาม
“มิเนอรัลไล๊ซ์แบบเค้าใช้น้ำแร่เป็นส่วนผสมแล้วมันจะเบาๆ ไม่หนาน่ะแม่”
“เหรอ...ต้องซื้อใหม่อีกแล้วใช่มั้ยฉัน”
ทันใดนั้น เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น วัณณรีกับมาลตีชะงักแล้วหันไปมองโรสเป็นตาเดียว
“โรสถูพื้นอยู่น่ะค่ะ” โรสบอก
มาลตีค้อนขวับ แต่วัณณรีลุกขึ้นแล้วพูด
“ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยววัณไปดูเอง”
มาลตีเหล่มองโรส โรสยิ่งทำเป็นถูพื้นอย่างขะมักเขม้นพร้อมทั้งทำท่าปาดเหงื่อเหมือนทำงานหนักมาก
วัณณรีเปิดประตูออกมาแล้วชะเง้อมองก่อนจะเดินตรงไปที่รั้ว คำรพเปิดรั้วเข้ามาโดยไม่รอให้เชิญ คำรพถือถุงขนมของร้านขนมเค้กสุดหรูมาด้วย
“แววอยู่มั้ยจ๊ะเนี่ย” คำรพเอ่ยถาม
“พี่แววไปทำงานน่ะค่ะ” วัณณรีบอก
คำรพงง “ทำงาน?”
“ค่ะ...เดี๋ยวนี้พี่แววทำงานเป็นเลขาของคุณสยุมภูว์ ทศพลน่ะค่ะ”
“อืม...ฉันก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน อืม...” คำรพมองโลมเลียวัณณรีอย่างหัวงู “แล้วนี่หนูอยู่บ้านคนเดียวเหรอ รีบเข้าบ้านก่อนดีกว่านะ” คำรพชูถุงขนมเค้ก “ฉันซื้อขนมเค้กมาฝาก อากาศข้างนอกมันร้อน รีบเอาไปใส่ตู้เย็นก่อนดีกว่า”
คำรพฉวยโอกาสเดินเข้าประตูบ้านโดยไม่ฟังเสียง
วัณณรีพยายามเรียก “เดี๋ยวสิคะคุณคำรพ”
คำรพเดินถือถุงขนมเค้กเข้ามากับวัณณรี
คำรพพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เผอิญวันนี้ฉันว่างๆ เอางี้ เดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อนหนูมั้ย.หา “ คำรพเห็นมาลตีกับโรสจึงยิ้มแหยๆ “อยู่กันพร้อมหน้าเลย”
“อ้าว...คุณคำรพ นั่งก่อนสิคะ” มาลตีพูดกับโรส “ยัยโรส ไปเอาน้ำมาให้แขกเร็ว”
“โรสถูพื้นอยู่นะคะ มือเลอะอยู่ค่ะ”
มาลตีเสียงดุ “ยัยโรส”
“ไม่เป็นไร...ผมไม่ได้หิวน้ำ” คำรพยื่นถุงขนมเค้กให้โรส “เอาไปเก็บในตู้เย็นนะ”
โรสถาม “ช่องแช่แข็งใช่มั้ยคะ”
“ช่องธรรมดาย่ะ ช่องแช่แข็งน่ะ เอาหัวเธอยัดเข้าไปแช่เหอะ” มาลตีบอก
โรสสะดุ้งแล้วเดินถือถุงออกไป
วัณณรีพูดกับมาลตี “คุณคำรพเค้ามาหาพี่แววน่ะแม่”
“อ้าว..เหรอ ไม่โทรมาก่อนล่ะคะ เสียเที่ยวเลย” มาลตีบอก
“ไม่หรอกครับ ผมคิดถึงคุณแม่ด้วยก็เลยแวะมา ไหนๆ มาแล้ว ผมว่าเราสามคนออกไปหาอะไรทาน แล้วก็เดินช็อปปิ้งกันหน่อย ดีมั้ยครับคุณแม่” คำรพชวน
วัณณรีกับมาลตีมองหน้ากัน ทั้งสองยิ้มกว้างแล้วรีบพยักหน้าหงึกๆ
“ดีสิคะ ฉันกับยัยวัณกำลังอยากทำเล็บพอดี” มาลตีบอก
“จะทำเล็บหรือทำ...” คำรพมองวัณณรีที่นั่งตามสบายโดยไม่ทันระวังตัวแล้วก็กลืนน้ำลาย “เอื้อก...ไปทำกันเลยครับ ทำกี่เล็บก็ได้..หัวใจจะวายแล้ว”
คำรพทำหน้าหื่นหวังจะเคลมวัณณรี ส่วนวัณณรีกับมาลตีกระดี้กระด้าเมื่อรู้ว่าคำรพจะพาออกไปร้านทำเล็บ
เอกรินทร์เดินเข้าร้านมาในร้านกาแฟ แววกับชลธิชาที่นั่งรออยู่ทักทาย
“รอยัยเริงแป้บนึงนะคะ เพิ่งจะรับสายเมื่อกี้บอกว่ากำลังนั่งแท็กซี่มา คุณเอกอยากได้อะไรเย็นๆไหมคะ” ชลธิชาถาม
“ดีครับ ขอบคุณมากครับคุณธิชา”
ชลธิชาเดินออกไป เอกรินทร์หันไปหาแววแล้วคุยกันเบาๆไม่ให้ชลธิชารู้
แววพูดกับเอกรินทร์ “ขอบใจมากนะเอก”
“ทำไมต้องให้ผมปิดคุณธิชาด้วยล่ะ” เอกรินทร์ถาม
“เดี๋ยวธิชาเขาสะเทือนใจน่ะสิ”
เอกรินทร์ยิ่งงง “สะเทือนใจเรื่องอะไรหรือครับ”
“อย่าเพิ่งถามอะไรมากเลย คุณเตี้ยมกับเริงแล้วใช่ไหมว่าเราสามคนจะไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เริงไปหาคุณ” แววถาม
เอกรินทร์พยักหน้า เริงใจเปิดประตูร้านเข้ามาพอดี เริงใจเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะ แล้วมองหน้าแววกับเอกรินทร์เหมือนรู้กัน
“ธิชาสงสัยอะไรหรือเปล่า” เริงใจถาม
“ยัง..เธอเล่นให้เนียนก็แล้วกัน” แววกำชับ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
ชลธิชาเดินนำเด็กเสิร์ฟตรงมาที่โต๊ะ เมื่อเห็นเริงใจมาถึงแล้วเธอก็มีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
“ยัยเริงมาได้ซะทีนะ..ให้ฉันกับยัยแววรอตั้งนาน” ชลธิชาบ่น
“พอดีชั้นมีเรื่องต้องเคลียร์น่ะ.โชคดีที่จบเร็ว ไม่อย่างนั้นคงนานกว่านี้” เริงใจบอก
แววรีบแทรก “ฉันว่าจะคุยอะไรก็รีบคุยเถอะนะ เอกจะได้ไปทำงาน”
“ไม่เป็นไรแวว ผมลางานแล้ว คุยงานเสร็จแล้วจะได้คุยกับคุณต่อ” เอกรินทร์บอก
แววได้ยินก็เหวอไป ชลธิชากับเริงใจหันมามองแววเป็นตาเดียว
ที่ห้องทำงานของนิติธรในคฤหาสน์ทศพล นิติธรเงยหน้าจากงานเอกสารตรงหน้าเพื่อคุยกับนิติภูมิ
“คุณแววเหรอ” นิติธรถาม
“ไหนบอกว่ามาเป็นเลขาสยุมภูว์ แต่ไม่เห็นแววไปนั่งที่ออฟฟิศเลย” นิติภูมิสงสัย
“คุณสยุมภูว์เขาคงไม่ได้ต้องการเลขาแบบนั้นหรอกภูมิ”
“แปลกคนเดียวไม่พอ ต้องให้เลขาแปลกตามด้วย
“แล้วแกถามถึงแววทำไม” นิติธรสงสัย
“แค่อยากคุยด้วยครับ..” นิติภูมินึกออก “พ่อเคยไปบ้านแววไม่ใช่เหรอ บ้านแววเขาอยู่ที่ไหน”
“แกไปถูกใจอะไรคุณแววเขาหรือเปล่าภูมิ”
นิติภูมิยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร นิติธรลังเลเพราะไม่รู้ว่าจะบอกดีหรือไม่
แวว ชลธิชา เริงใจ และเอกรินทร์นั่งคุยกันอยู่ที่ร้านกาแฟ
แววบอกทุกคน แต่สายตาเน้นไปที่เริงใจ “ชั้นขอไปห้องน้ำนะ”
เริงใจไม่รับมุก แววส่งสายตาบังคับ เริงใจก็ยังทำเป็นไม่สน
“ไปเติมแป้ง เติมปากหน่อยมั้ยเริง” แววถาม
เริงใจหยิบตลับแป้งออกมาเช็คหน้าตัวเอง
“เติมมากกว่านี้ชั้นคงกลายเป็นผีจูออนแล้วล่ะ” เริงใจยิ้มให้แววด้วยอารมณ์ท้าทายนิดๆ
ชลธิชาสงสัย “เธอสองคนเป็นอะไรน่ะ ท่าทางแปลกๆ”
แววแก้เผ็ดเริงใจ “แปลกยังไงธิชา ฉันว่าฉันปกติดี บางคนต่างหากทำตัวแปลกๆ แต่ยังไม่รู้ตัว”
แววมองเริงอย่างจงใจให้ชลธิชารู้ ชลธิชาหันไปสบตาเริงใจตามแวว เริงใจจึงจ้องแววกลับ
เริงใจพูดกับแวว “หน้าเธอซีดๆไปนะ น่าจะเติมแป้ง เติมปากสักหน่อย”
“หน้าซีด ปากสั่นด้วยหรือเปล่าเริง” แววย้อน
เริงใจลุกออกไปจากวง “ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
แววลุกตามออกไป ชลธิชามองตามทั้งสองคนด้วยสีหน้าเป็นห่วง
อ่านต่อหน้าที่ 4
แววมยุรา ตอนที่ 5 (ต่อ)
เริงใจรออยู่ในห้องน้ำ แววเดินตามเข้ามา
“มีอะไรก็ว่ามา” เริงใจบอก
“เธออยากให้ฉันบอกธิชาใช่ไหมว่าแอบไปทำอะไรที่คอนโดเอก” แววถาม
“ฉันบอกแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ นี่..แวว ในเมื่อเธอก็ไม่ได้ชอบคุณเอก แล้วคุณเอกเขาไม่ชอบชลธิชา แล้วเธอจะกันคุณเอกให้ธิชาเขาทำไม”
“เธอรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“รู้สิ คงต้องขอบคุณความบังเอิญสินะที่ทำให้ฉันรู้เรื่องที่เธอสองคนช่วยกันปิดบังฉันได้”
“ฉันกับธิชาไม่ได้ตั้งใจจะปิดเรื่องนี้นะ” แววบอก
“เหรอ แล้วทำไมเธอไม่บอกฉันตรงๆล่ะว่าคุณเอกเขาคิดยังไงกับเธอสองคน นอกจากว่าเธอจะแอบทำอะไรลับหลังฉัน..เธอทำได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน”
ชลธิชาเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาหลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
“เริง แวว ฉันว่าเราอย่าทะเลาะกันเรื่องนี้เลย”
“เธอรู้เรื่องหมดแล้ว” แววถาม
“ฉันขอให้คุณเอกเล่าให้ฉันฟัง ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธเธอนะเริง แต่ฉันเสียใจที่ทำให้เธอคิดว่าฉันกับแววรวมหัวกันปิดบังเธอ...ถูกของเธอที่ฉันควรจะเลิกคิดถึงคุณเอกในเมื่อเขาไม่ได้สนใจฉัน ต่อจากนี้ไปขอให้เธอวางใจฉันได้ไหมเริง ถ้าฉันบอกว่าฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคุณเอกอีก” ชลธิชาถาม
เริงใจสงบอารมณ์ลงเพราะเริ่มรู้สึกผิด
“ไม่จำเป็นหรอกธิชา..ฉันรู้ว่าคุณเอกเขาก็ไม่ได้สนใจฉัน ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ในตัวเขาเหมือนกัน” เริงใจพูดกับธิชาและแวว “เราจะไม่ทะเลาะกันเรื่องนี้อีก ตกลงมั้ย”
ทั้งสามมองหน้ากันอย่างเข้าใจ
โรสกำลังใช้ด้ามคราดแทนไมโครโฟนร้องเพลงดังลั่นบ้านอยู่บริเวณสวนหน้าบ้านของแวว สยุมภูว์โผล่หน้ามาบริเวณรั้ว
สยุมภูว์ตะโกนเรียก “โรส..โรส..”
โรสหันมาเห็นสยุมภูว์
“แววอยู่หรือเปล่า” สยุมภูว์ถาม
“ไม่อยู่ค่ะ..ทั้งบ้านตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าโรสอยู่ตนเดียว..มาก็ดีแล้ว มาช่วยกวาดใบไม้หน่อยสิ ร่วงเอาร่วงเอาแบบนี้เป็นโรสนะจะตัดๆทิ้งไปให้รู้แล้วรู้รอด เสียเวลากวาดทุกวัน” โรสบ่น
“กว่าต้นไม้จะโตมันต้องใช้เวลานานนะ ไม่เสียดายหรือไง”
“เสียดายทำไม ไม่ได้ออกลูกมาเป็นเงินสักหน่อย ตัดๆไปให้มันจบเรื่องน่ะดีแล้ว” โรสทวง “แล้วจะมาช่วยเค้ากวาดมั้ยเนี่ย”
สยุมภูว์ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
แววซ้อนอยู่บนมอร์เตอร์ไซค์ของเอกรินทร์ โดยมีชลธิชากับเริงใจออกมายืนส่งที่หน้าร้าน
“ฉันไปนะเริง ธิชา พรุ่งนี้ฉันจะมากวนใหม่” แววบอก
เอกรินทร์บึ่งรถออกไป ชลธิชากับเริงใจมองตาม
“สองคนนั้นเขาเหมาะสมกันจริงๆด้วย” ชลธิชาพูด
เริงใจยิ้ม “แน่ใจนะว่าเธอทำใจได้”
“แล้วเธอล่ะ”
“มันก็คงเจ็บๆบ้างล่ะ”
“เล่าเรื่องที่คอนโดคุณเอกให้ฉันฟังหน่อยสิ มันเกิดอะไรขึ้น”
เริงใจมีสายตาคล้ายจะถาม “เธอบอกว่าคุณเอกเล่าให้ฟังแล้วไง”
“เปล่า..ยังไม่ได้เล่า ฉันแค่มาทันได้ยินตอนที่เธอคุยกับแววว่า เธอไปที่คอนโดคุณเอก..คงต้องขอบคุณความบังเอิญสินะ”
“เธอนี่มันยัยตัวแสบจริงๆ”
“เราถึงเป็นเพื่อนกันได้ไง..ตกลงจะเล่าไม่เล่า” ชลธิชาถาม
เริงใจส่ายหน้ากับความแสบของเพื่อน
โรสยกเข่งมาวางให้สยุมภูว์ ขณะที่สยุมภูว์กำลังเก็บกวาดใบไม้อยู่
“กวาดเสร็จแล้วก็โกยใส่เข่งนี่เลยนะ แล้วพี่จะเอาไปทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสดอะไรของพี่ก็เอาไป” โรสบอก
“สั่งอย่างกับเป็นเจ้าของบ้านเลยนะ” สยุมภูว์แซว
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง โรสไปล่ะ”
พูดจบโรสก็เดินออกไป
“สั่งเขามาเยอะ เป็นคนใช้สักวันก็ดีเหมือนกัน” สยุมภูว์บ่นกับตัวเอง
แล้วสยุมภูว์ก้มหน้าก้มตากวาดใบไม้ต่อไป
โรสเดินมาที่หน้าบ้านเห็นใครสักคนมาด้อมๆมองๆ อยู่ที่หน้าบ้าน แต่เธอทำเป็นไม่สนใจ
“นี่บ้านคุณแววหรือเปล่า” นิติภูมิถามขึ้น
โรสหยุดชะงักแล้วเดินออกไปหานิติภูมิที่ประตูรั้ว
“ผมมาหาคุณแวว นี่บ้านคุณแววหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ..คุณเป็นใครคะ มีธุระกับคุณแวว” โรสถาม
“ผมเป็นเพื่อนที่ทำงานแวว”
“เพื่อนที่ทำงาน แล้วมาหาคุณแววที่บ้านทำไม”
นิติภูมิเริ่มไม่ชอบหน้าโรส “แววไม่ได้เข้าออฟฟิศ ผมเลยมาดูว่าแววสบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีค่ะ ยังทะเลาะกับคุณมาลตี คุณวัณได้เป็นปกติ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
นิติภูมิถามอย่างฉุนๆ “แล้วเธอเป็นใคร”
“คนใช้ เอ๊ย ..แม่บ้านค่ะ มีอะไรอีกมั้ยคะ”
“ตกลงว่าแววอยู่บ้านหรือเปล่า” นิติภูมิถามย้ำ
“ไม่อยู่ค่ะ”
“งั้น ผมขอเข้าไปรอในบ้านได้มั้ย”
“บอกเสียแต่แรกก็เปิดให้เข้ามาแล้วล่ะ”
โรสเปิดประตูให้นิติภูมิเข้ามาอย่างง่ายดาย นิติภูมิเดินเข้าบ้านมาแล้วก็มองไปรอบๆ เขาเห็นสวนที่ร่มรื่น โรสก็คิดว่านิติภูมิจะไปนั่งสวน
“เข้าไปนั่งในบ้านเถอะค่ะ พอดีคนสวนกำลังทำงานอยู่” โรสบอก
นิติภูมิยิ้ม “มีคนสวนด้วยเหรอ”
“แน่นอนสิคะ..ไม่รู้เหรอคะว่าบ้านนี้ไฮโซแค่ไหน”
โรสเดินนำนิติภูมิเข้าไปในบ้าน นิติภูมิเดินตาม
เอกรินทร์ขี่มอเตอร์ไซต์มาส่งแววที่หน้าบ้าน
“ขอบใจมากนะเอก”
แววเห็นรถของนิติภูมิจอดอยู่ในบ้านก็สงสัย
“รถคุณนิติภูมินี่นา มาทำอะไรที่นี่นะ”
เอกรินทร์ถาม “ใครหรือแวว”
“คุณนิติภูมิน่ะ ลูกชายคุณนิติธรทนายประจำตระกูลคุณสยุมภูว์ ไม่รู้ว่ามีธุระอะไร”
“งั้น แววรีบเข้าไปคุยกับเขาเถอะ”
“จ้ะ..ขอบใจนะเอก ได้งานใหม่เมื่อไรเดี๋ยวแววจะรีบโทรหา”
“โชคดีนะ”
เอกรินทร์ขี่มอร์เตอร์ไซค์ออกไป แววเดินเข้าไปในบ้านพร้อมทำหน้าสงสัย
นิติภูมิเดินออกมาที่สวน แต่สยุมภูว์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ประตูที่เชื่อมระหว่างบ้านสยุมภูว์กับบ้านแววเปิดอยู่ นิติภูมิเห็นเข้าก็สงสัยจึงจะลองเดินเข้าไปดู
แววเดินเข้ามาในบ้านแต่ก็ไม่เห็นใคร โรสเดินออกมาจากครัวพร้อมกับน้ำหนึ่งแก้ว
“อ้าว..หายไปไหนแล้วล่ะ” โรสงง
“ใครหายไปไหน” แววถาม
“ก็แขกคุณแววสิคะ..บอกให้มานั่งในบ้าน” โรสมองแก้วน้ำ “นี่ต้องออกไปเสิร์ฟที่สวนใช่มั้ยเนี่ย ไม่รู้หรือไงว่าแดดมันเป็นอันตรายต่อผิวสวยแรกสาวอย่างเรา”
แววรำคาญโรสจึงยื่นมือรับแก้วจากโรส โรสยื่นให้ทันที
“ฉันไปเอง”
แววเดินออกไป โรสมองตามแล้วยิ้มกริ่มที่ไม่ต้องทำงาน
นิติภูมิกำลังจะเดินไปถึงประตูเข้าบ้านสยุมภูว์ เขากำลังจะเปิดประตูแต่ก็ได้ยินเสียงแววเรียก
“คุณนิติภูมิคะ”
นิติภูมิได้ยินเสียงแววจึงรีบหันกลับมา
“จะไปไหนคะนั่น” แววถาม
“นั่นบ้านคุณแววหรือครับ” นิติภูมิถามกลับ
“ไม่ใช่หรอกค่ะ นั่นบ้านนายจักร เพื่อนบ้านแววเอง”
“เหรอครับ..เกือบเจอข้อหาบุกรุกแล้วสิ” นิติภูมิเปรย
นิติภูมิเดินเข้ามาหาแววแต่ยังไม่ถึงตัว สยุมภูว์ก็เดินมาที่ประตูบานนั้นพอดี สยุมภูว์ไม่เห็นหน้านิติภูมิเพราะนิติภูมิหันหลังให้ แววเห็นสยุมภูว์ที่สวมหมวกไอ้โม่งปิดปากเดินมาที่ประตูจึงบอกกับนิติภูมิ
“นั่นไงคะนายจักร”
นิติภูมิหันไปเห็นสยุมภูว์ สยุมภูว์เห็นหน้านิติภูมิแต่ก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมา นิติภูมิเห็นหน้าสยุมภูว์แต่จำไม่ได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เห็นในภาพถ่าย เพราะสยุมภูว์สวมหมวกไอ้โม่งอยู่
“นี่คุณนิติภูมิ ลูกชายคุณนิติธร” แววแนะนำ
สยุมภูว์ยิ้มให้นิติภูมิ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนิติภูมิ”
นิติภูมิยิ้มให้แล้วมองหัวจรดเท้า พอเห็นเสื้อผ้าของสยุมภูว์เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเศษดินก็เอ่ยขึ้น
“ถ้าคุณแววไม่แนะนำว่าเป็นเพื่อนบ้าน ผมนึกว่าต้องเป็นคนสวนที่แม่บ้านคุณพูดถึงแน่ๆเลยครับ”
แววแปลกใจ “คนสวนอะไรกันคะ บ้านแววไม่มีคนสวนหรอกค่ะ”
สยุมภูว์พูดกับแวว “ไม่ต้องเกรงใจหรอกคุณ คนทำงานกับดินกับหญ้าจะเรียกคนสวนก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง”
นิติภูมิยิ้มเยาะ
“คุณนิติภูมิคะ เชิญข้างในดีกว่าค่ะ” แววผายมือไปที่บ้านของเธอ
นิติภูมิเดินตามแววเข้าไปในบ้าน สยุมภูว์มองตามก่อนจะถอดหมวกไอ้โม่งออกมาแล้วยิ้ม
เพิ่มพงษ์ยืนหน้าเครียดก่อนจะเดินวนไปวนมาอย่างกระสับกระส่ายอยู่ในบ้าน
“คุณสยุมภูว์นะคุณสยุมภูว์ ถ้าเกิดเขาจำได้ขึ้นมาว่าใครล่ะก็ซวยแน่”
สยุมภูว์เดินเข้าบ้านมา เพิ่มพงษ์เห็นว่าสยุมภูว์ไม่ได้ใส่หมวกก็ยิ่งเครียดหนัก
“อย่าบอกนะครับ ว่าไม่ได้ใส่หมวกตอนพบกับนายนิติภูมิ”
“ต่อให้ถอดผมว่าเขาก็จำไม่ได้หรอก”
เพิ่มพงษ์พึมพำกับตัวเอง “เอาอะไรมาแน่ใจขนาดนั้นก็ไม่รู้”
สยุมภูว์พูดกับตัวเอง “นิติภูมิมาคุยอะไรกับแววนะ”
สยุมภูว์มีสีหน้าสงสัย
นิติภูมิมีสีหน้าดีใจเมื่อรู้ว่าแววจะมาทำงานที่ทศพลกรุ๊ป
“ถ้าอย่างนั้น เราคงได้เจอกันบ่อยๆที่ออฟฟิศนะครับ ถ้ายังไงผมขอจองเลี้ยงมื้อวันแรกที่คุณแววเข้าไปทำงานเลยแล้วกันนะครับ”
แววเกรงใจ”อย่าเลยค่ะ รบกวนคุณนิติภูมิเปล่าๆ”
“ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ของออฟฟิศก็แล้วกันครับ” นิติภูมิบอก
“แต่ถ้าแววไปไม่ได้ก็อย่าโกรธกันนะคะ”
“อ้าว..ทำไมล่ะครับ..หรือว่าเจ้านายคุณห้ามไม่ให้ออกไปกินข้าวกับใคร”
“ก็ไม่รู้สิคะ ความจริงแววควรจะต้องถามคุณนิติภูมิด้วยซ้ำว่าคุณสยุมภูว์เขาเป็นคนยังไงเพราะเท่าที่แววเจอ..ดูเขาเป็นคนแปลกๆนะคะ”
นิติภูมิยิ้มเยาะ “แปลกยังไงหรือครับ”
“ก็ชอบทำตัวลึกลับอย่างไม่มีเหตุผล” แววบอก
ที่หน้าต่างห้องรับแขก สยุมภูว์กำลังโกยใบไม้อยู่ได้ยินเข้าพอดีจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ เพราะอยากรู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน
นิติภูมิยิ้มแล้วพูด
“ก็เป็นอย่างที่คุณแววพูดนั่นล่ะครับ ตอนประชุมบอร์ดผู้ถือหุ้น เขายังประชุมผ่านวีดีโอ คอนเฟอเรนซ์ แถมยังปิดหน้าปิดตาอีกต่างหาก”
“คุณสยุมภูว์คงมีเหตุผลอะไรบางอย่างนะคะที่ทำอย่างนี้” แววบอก
“หรือเขาอาจจะคิดว่าการทำให้คนแปลกใจอย่างนี้ เป็นเรื่องสนุกของเขา”
สักพักทั้งสองก็ได้กลิ่นควันไฟลอยฟุ้งเข้ามาในบ้าน แววตกใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองหายใจแทบไม่ออกจนต้องวิ่งหนีออกมานอกบ้าน พอแววเห็นว่าควันไฟลอยมาจากไหน เธอก็ส่ายหน้าแล้วเดินไปที่สวนทันที
แววและนิติภูมิเดินมาที่สวนตรงบริเวณที่สยุมภูว์กำลังเผาใบไม้อยู่โดยสยุมภูว์ยืนหันหลังคุยโดยที่ไม่ใส่หมวกไอ้โม่งแล้ว
“นายทำอะไรของนายอยู่น่ะ” แววถามฉุนๆ
“ก็เผาใบไม้อยู่ไง..ถามได้” สยุมภูว์ตอบ
“เดี๋ยวชาวบ้านแถวนี้เขาก็ตกอกตกใจกันหรอกว่าบ้านใครไฟไหม้ นายดับไฟเดี๋ยวนี้เลย”
“อ้าวที่ให้ดับนี่ไม่ใช่เพราะไปรบกวนการสนทนาเหรอ ถ้างั้นขอเผาให้เสร็จไปเลยนะ”
นิติภูมิพูดกับแวว “เดี๋ยวผมค่อยมาวันอื่นก็ได้ครับ คนสวนของคุณคงอยากทำงานให้เสร็จ”
พอได้ยินว่านิติภูมิจะกลับ สยุมภูว์เลยค่อยๆหันหน้ามาหาทั้งสอง ทำให้ทั้งสองเห็นว่าหน้าของสยุมภูว์เปื้อนเขม่าควันเหมือนการพรางหน้าของทหาร
“โชคดีครับคุณนิติภูมิ” สยุมภูว์พูด
สยุมภูว์โบกมือบ๊ายบายนิติภูมิ แววแอบขำ นิติภูมิกับแววเดินออกไป สยุมภูว์มองตาม แล้วทำหน้าตาหมั่นไส้นิติภูมิ
สยุมภูว์เก็บเครื่องมือและอุปกรณ์ทำสวนอยู่ สักพักแววก็เดินเข้ามาหา
“ฉันรู้นะว่าที่นายเผาเศษใบไม้พวกนี้เพราะต้องการป่วนฉันใช่มั้ย”
“ไม่อยากให้เผาแล้วจะให้ทำยังไงล่ะครับ จะให้กองๆไว้พอลมพัดทีก็ปลิว ต้องมากวาดใหม่อีก คุณคิดว่ามันสนุกมากหรือไงที่ต้องมากวาดทุกวันๆ”
“บ่นพอหรือยัง..ฉันไม่ได้ใช้ให้นายกวาดสักหน่อย แล้วจะมาบ่นอะไรเนี่ย”
“อ้าว..ก็มันเกะกะสายตา เห็นแล้วมันอดไม่ได้ เข้าใจมั้ย”
“ก็ไม่ต้องมองสิ” แววสวน
“เออ..ง่ายเนอะ ไม่มอง ไม่เห็น แปลว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“อย่ามาชวนทะเลาะนะ”
แววจะต่อปากต่อคำต่อ แต่ได้ยินเสียงมาลตีกับวัณดังขึ้นก่อน
“โรส..หายหัวไปไหนเนี่ย มาดูเล็บเท้าฉันนี่เร้ว” เสียงมาลตีดังลั่น
“ฉันไปก่อนนะ จะไปสอบปากคำว่าหายไปไหนกันสองคนแม่ลูก เดี๋ยวฉันค่อยมาเคลียร์เรื่องนาย”
พูดจบแววก็เดินออกไปอย่างเร็ว สยุมภูว์มองตามไปแล้วยิ้มๆ
มาลตีกับวัณณรีกำลังอวดสีเล็บที่เพิ่งทำมากับโรส
“นี่เป็นไง..เทรนด์ใหม่ล่าสุด ทั้งยี่สิบนิ้วนี่ไม่แพงเลยนะคะแม่” วัณณรีบอก
“ไม่แพงของคุณวัณทำเอาหนูสะดุ้งทุกทีเลยนะคะ” โรสพูด
มาลตีรีบถาม “แกทายสิว่าเท่าไร”
“ทายถูกจะสมนาคุณด้วยอะไรล่ะคะ โรสขอคอร์สสปาเจ๋งๆสักคอร์สหนึ่งได้ไหม”
“แกจะเอาสปาสักกี่ดาวก็ว่ามาสิ คุณคำ..” มาลตียังพูดไม่จบก็อ้าปากค้างก่อน
วัณณรีก้มหน้าก้มตาดูเล็บเท้าตัวเองอยู่ถามขึ้น “เป็นอะไรล่ะคะคุณแม่”
มาลตีสะกิดวัณณรีให้เงยหน้าขึ้น ทั้งสองเห็นแววยืนจ้องอยู่
“พี่แวว” วัณณรีตกใจ
“เป็นอะไรกันคะ คุณแม่คุณลูก สรุปว่าค่าทำเล็บทั้งหมดนี่มันเท่าไรคะ” โรสถาม
“ไม่ถึงพันหรอกนังโรส..ร้านทำผมปากซอยนี่เขาทำดี๊ดีนะ” มาลตีบอก
“อ้าว..แล้วที่คุณคำ..” โรสร้องเสียงหลงเพราะโดนมาลตีหยิกเต็มแรง
“หยิกโรสทำไมคะเนี่ย..โรสแค่อยากถามว่าคุณ..”
วัณณรีรีบตัดบท “ฉันหิวน้ำโรส ไปเอาน้ำมาให้ฉันหน่อย”
โรสชี้ไปข้างหน้าที่แก้วน้ำตั้งอยู่ “นี่ไงคะน้ำ คุณวัณ”
“เอาไปใส่น้ำแข็งมา” วัณณรีสั่ง
โรสทำท่ากระบิดกระบวนเหมือนไม่อยากไป มาลตีถึงตาใส่ โรสเลยยอมออกไป
“ได้ทำเล็บแล้วดูมีความสุขจังเลยนะคะ” แววประชด
“แน่นอนล่ะสิ..ขืนฉันรอเงินแก ก็คงไม่ได้ทำหรอก” มาลตีบอก
“แม่กับวัณเอาเงินที่ไหนไปทำ” แววถาม
“ก็เงินฉันน่ะสิ ร้านปากซอยมันจะสักกี่บาทกันเชียว..ลูกใจดำ”
แววเศร้าลงไป “แม่..”
“นี่..ฉันกำลังมีความสุข แกไม่ต้องมาทำน้ำหูน้ำตา”
แววถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วจะเดินออกไปก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปบอก
“แววจะไปทำงานที่เชียงใหม่นะ”
“ก็ไปสิ..จะมาบอกฉันทำไมล่ะ..ตื่นเต้นอย่างกับจะไปทำงานเมืองนอก”
“แม่ดูแลตัวเองได้ใช่ไหม” แววถาม
“ได้สิ..ทำไมจะไม่ได้ จริงไหมวัณ เราก็อยู่กันสองคนแม่ลูก”
“จริงยิ่งกว่าจริงอีกแม่” วัณณรีเสริม
แววมองแม่และน้องด้วยสายตาบอกความน้อยใจว่าเธอไม่เป็นที่ต้องการของทั้งสอง ก่อนจะเดินออกไป
มาลตีมองตามแววด้วยท่าทางเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของลูกสาว แต่แล้วก็หันไปคุยกับวัณณรีต่อ
มาลตีโชว์สีเล็บ “แกว่าสีนี้มันแก่ไปไหม ร้านเขาจะด่าเราไหมถ้าพรุ่งนี้เราไปเปลี่ยนสีอีก”
“จะด่าอะไรล่ะแม่ เปลี่ยนอีก เขาก็ได้เงินอีก”
“งั้นพรุ่งนี้แกโทรไปหาคุณคำรพนะ” มาลตีสั่ง
วัณณรีทำสัญลักษณ์ว่าตกลงแล้วทั้งสองก็หัวเราะคิกคักกัน
เช้าวันใหม่ แววออกมารดน้ำต้นไม้ โดยวาง iPad ไว้บนโต๊ะใกล้ๆ สักพักได้ยินเสียงเตือนบอกว่ามีข้อความใหม่เข้ามา แวววางมือจากงานแล้วกดเช็คข้อความทันที แววเปิดข้อความดูเห็นว่าเป็นตั๋วเครื่องบิน ระบุวันที่-เวลา เรียบร้อย
“หน้าตาสดใสอย่างนี้ สงสัยว่าเมื่อคืนจะฝันดีนะเนี่ย” เสียงสยุมภูว์ดังขึ้น
แววหันไปเห็นว่าสยุมภูว์โผล่หน้ามาที่ริมรั้ว แวววางไอแพดแล้วเดินไปหา
“ดีจนได้มาเจอหน้านายนี่แหละ” แววบอก
“ว้า..แย่จัง เป็นตัวซวยซะอย่างนั้น”
“ชอบดูถูกตัวเองอีกแล้ว”
“อ้าว..ก็ผมมันคนสวนต่ำต้อยนี่นา ทำได้แค่เรียกร้องความสงสาร เห็นอกเห็นใจอย่างนี้แหละไม่งั้นคงไม่มีใครมองหรอก”
“สำบัดสำนวนแต่เช้าเชียวนะ..เออ..นี่ นายรู้มั้ยว่าคุณสยุมภูว์เขาถามฉันเหมือนนายเลย”
สยุมภูว์ทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ถามอะไร”
“เขาถามว่า ฉันคิดดีแล้วหรือเปล่าที่จะทำงานกับเขา” แววบอก
“แล้วยังไงล่ะ..เธอสงสัยอะไรเหรอ”
“สงสัยว่าอะไรจะบังเอิญขนาดนั้นน่ะสิ”
“อ้าว..แล้วมันจะบังเอิญไม่ได้เหรอ” สยุมภูว์ถาม
แววนิ่งคิด สยุมภูว์แอบยิ้ม
“ก็... จริง..ของนาย” แววพูด
“แล้วเขาให้คุณหาอะไรพิเรนทร์ๆอีกหรือเปล่า”
“ไม่แล้วล่ะ..แต่ฉันต้องไปทำงานที่เชียงใหม่”แววเศร้าลง “แบบไม่มีกำหนด”
“โธ่ แล้วใครจะมาทะเลาะกับผมทุกเช้าล่ะเนี่ย”
แววนิ่งคิดแล้วยิ้มขำ “เออ ฉันเพิ่งนึกออกว่าอย่างน้อยมันก็มีข้อดีที่ไม่ต้องต่อปากต่อคำกับนายทุกเช้าอย่างนี้”
“เชอะ..ตอนนี้ทำเป็นเกลียดขี้หน้า อย่ามาร้องไห้คิดถึงเค้าก็แล้วกัน”
แววทำหน้าหมั่นไส้ใส่แล้วทำท่าจะสาดน้ำจากสายยางไปทางสยุมภูว์ สยุมภูว์แทบหลบไม่ทัน แววหัวเราะอย่างมีความสุข สยุมภูว์เห็นแววหัวเราะแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้
สยุมภูว์พูดกับตัวเอง “ผมไม่ปล่อยให้คุณอยู่ที่นั่นคนเดียว..โดยไม่มีผมหรอก”
จบตอนที่ 5
ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนที่ 6 เวลา 17.00 น.