xs
xsm
sm
md
lg

แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 แหม่มแก้มแดง  ตอนที่ 9 


ณดลกับนลิณายืนโพสต์ท่าควงกันอยู่หน้าฉากหลังบนเวที ผู้ชมปรบมือเกรียวกราว นลิณาทำท่าโบกมือส่งจูบลาเหมือนเป็นคิวสุดท้ายของแฟชั่นโชว์ชุดนี้ หนึ่งนั่งดูอยู่เริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ เขาเอียงหน้าถามอัธวุธ
 
“หมดแค่นี้เหรอ”
อัธวุธหน้าเสีย “ค่ะ...พี่หนึ่งว่าไงบ้างคะ”
“พี่ว่าก็พอได้นะ แต่มันธรรมดาไปหรือเปล่าน้อง ไม่มีชุดไหนติดตาพี่เลยอ้ะ”
ณดลกับนลิณายังยืนอยู่บนเวที ณดลเอียงหน้ากระซิบถามนลิณา
“แล้วอะนาล่ะ”
นลิณายิ้มเยาะ “ไม่รู้สิคะ คงจะเจียมตัว ไม่กล้าออกมาเดินหละมั้ง”
นลิณาพูดขาดคำ อนามิกาก็เดินออกมาจากด้านหลังด้วยท่าทางมั่นใจ อนามิกาเดินแทรกกลางระหว่างณดลกับนลิณาที่ต่างก็ผงะแล้วหลบให้ชุดของอนามิกาที่กลายเป็นเดรสสั้น เปลือยแขน ไหล่และเรียวขา ณดลกับนลิณามองอย่างตกตะลึง
“ออกมาได้ไงเนี่ย” นลิณางง
“โห..แทบจำไม่ได้เลยนะเนี่ย” ณดลตกตะลึง
อัธวุธตาโตตกใจ ในขณะที่หนึ่งดูจะชอบและถูกใจชุดนี้มาก
“ต้องอย่างงี้สิ ถึงจะกระแทกใจพี่ได้”
“เอ่อ..แต่ว่า..ชุดนี้...” อัธวุธอ้ำอึ้ง
ช่วงกระโปรงของอนามิกาสั้นมากๆ จนอัธวุธต้องรำพึงออกมาเบาๆ
“ฉันไม่ได้ดีไซน์ซะสั้นแบบนี้นี่”

อนามิกายังเดินบนรันเวย์เดินแฟชั่น ช่วงคอ ช่วงแขนเนื้อผ้าหายไปจนกลายเป็นชุดเกาะอก เปลือยแขน เปลือยไหล่ อัธวุธรำพึงออกมาเบาๆ อีก
“ช่วงคอ กะช่วงแขน ฉันก็ไม่ได้ดีไซน์แบบนี้”
ก่อนที่จะเดินออกมา อนามิกาตัดสินใจฉีกรอยขาดจากช่วงแขนและหน้าอกทิ้งจนกลายเป็นชุดที่เธอใส่เดินบนรันเวย์
อนามิกาเดินอย่างเฉิดฉายมั่นใจจนมาหยุดโพสต์ท่าที่ปลายสุดของรันเวย์ คนดูพากันปรบมือโห่ร้องด้วยความชอบใจ ช่างภาพกรูกันมาถ่ายรูปจนเกิดแสงแฟลชแปลบปลาบ
กอบชัย พนารัตน์ เสรี ต่างชะเง้อมองอย่างตื่นตา
“แม่คนนี้ใช่มั้ย ที่นายภัทรคว้ามาจากอังกฤษน่ะ” เสรีเอ่ยถาม
พนารัตน์หน้าเจื่อน “คะ..ค่ะ”
“ดูเผินๆ ก็คล้ายเป็นฝรั่งเป็นแหม่มเหมือนกันนะ” เสรีพูด
“แค่จมูกโด่ง แก้มแดงๆ เหมือนแหม่ม แต่จริงๆ ก็คนไทยแหละครับคุณ” กอบชัยบอก
อนามิกาโพสต์ท่านิ่งแล้วหันหลังเดินกลับไปยืนข้างๆ นลิณา แล้วหันกลับมาโพสต์ท่าอีกครั้ง นลิณายืนหน้าจ๋อย
หนึ่งตีมือแสดงอาการปลาบปลื้มสุดๆ
“พี่ชอบสุดๆ ชุดเนี้ย มันทั้งเฟี้ยว ทั้งเก๋ นางแบบก็ขาเรียวสวยเซ็กซี่ รวมแล้วมันเข้าถึงจิตวิญญาณของแฟชั่นชั้นสูงจริงๆ”
“ขอบคุณค่ะพี่หนึ่ง เดี๋ยวน้องอาร์ทขอตัวขึ้นไปขอบคุณผู้ชมก่อนนะฮ๊า”
อัธวุธรีบขยับไปหลังเวที ณดลยิ้มให้อนามิกาอย่างชื่นชม อนามิกาก็ยิ้มตอบ ส่วนนลิณาที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ


ณภัทรกับเมธาวีแอบยื่นหน้าไปดูจากด้านหลังเวที แล้วจึงหันมาพูดกันอย่างยิ้มแย้ม
“สุดยอดไปเลยพี่อะนา” เมธาวีเอ่ย
“เลยกลายเป็นว่าอะนาเค้าเกิดสุด เด่นสุดของงานนี้ไปเลยนะ” ณภัทรบอก
แพรวาเดินมาสมทบ “ไม่นึกเลยนะคะว่าคุณอะนาจะเปรี้ยวจี๊ดได้ขนาดนี้เน๊อะพี่เกด”
แพรวาหันไปที่เกตนิการ์ เกตนิการ์ไม่เห็นด้วยแต่ก็ฝืนยิ้มแหยๆ อัธวุธเดินอย่างรีบร้อนเข้ามากับเจ้าหน้าที่แบ็คสเตจ
“เอาละ...ทุกคนเดินออกไปได้เลยจ้า” อัธวุธบอก


ณภัทรเดินควงเมธาวีออกมาจากหลังเวที ทั้งสองดินนำเกตนิการ์และแพรวา ตามด้วยนางแบบคนอื่นๆ ทุกคนเดินไปพร้อมกับปรบมือไปด้วย บรรดาคนดูก็ปรบมือให้ เมธาวีเดินแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ขาขึ้นมาเนื่องจากตอนที่ตกรันเวย์ ณภัทรเห็นอาการก็รีบประคองไว้
“ไหวมั้ยเม”
เมธาวีพยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบ เธอยิ้มออกที่ณภัทรมาประคอง เกตนิการ์กับแพรวาเดินตามหลังมาเห็นเข้าก็ถึงกับสะอึก
กอบชัย พนารัตน์ และเสรีมองเหตุการณ์จากที่นั่งด้านล่าง
เสรีไม่พอใจอย่างแรง “นี่มันอะไรกัน ต่อหน้าต่อตาลูกสาวผมเลยนะเนี่ย”
พนารัตน์กับกอบชัยหน้าเจื่อนเพราะเกรงใจเสรีสุดๆ ทุกคนเดินออกมาขอบคุณคนดูแล้วปิดท้ายที่นลิณายืนตั้งแขนยิ้มเชิดหน้ารอให้ณดลควง แต่ณดลกลับเดินไปควงอนามิกาแล้วเดินออกมาคู่กัน นลิณาถึงกับเก้อแต่ก็รีบยิ้มกลบเกลื่อน
ณดลเดินควงอนามิกามาหยุดยืนที่ปลายรันเวย์ ทั้งสองโพสต์ท่าให้ช่างภาพถ่ายรูปแล้วหันกลับ อัธวุธเดินสวนมาส่งจูบและโค้งคำนับก่อนจะโบกมือขอบคุณคนดูทุกคน และหันมาโค้งขอบคุณหนึ่ง
หนึ่งยกนิ้วเป็นสัญลักษณ์ว่าโอเค แล้วปรบมือให้อัธวุธ อัธวุธยิ้มหน้าบานเดินนำทุกคนเข้าไปที่หลังเวที จังหวะที่ณดลกับอนามิกาหันหลังกลับต้องสวนกับนลิณา นลิณามีสีหน้าเคียดแค้นและแกล้งทำเป็นเซชนร่างของอนามิกาจนเซไป อนามิกามือไวรีบคว้าแขนของนลิณา แล้วพากันร่วงตกรันเวย์ไป
“กรี๊ดด!!” อนามิกาและนลิณาร้องออกมา
ณดลตกใจมากรีบปราดลงไป เมธาวีกับกับณภัทรก็ตามมาติดๆ อนามิกากับนลิณานอนพังพาบอยู่กับพื้น ต่างคนต่างค่อยๆ ยันกายขึ้นมาในสภาพหน้าตาเหยเกและเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว
“ทำไมถึงต้องแกล้งกันอย่างงี้ด้วย หา?” อนามิกาฉุน
“แกล้งอะไร ฉันก็ตกลงมาพร้อมกับเธอนั่นแหละ” นลิณารีบอ้อนณดล “ดูสิคะคุณณดล นีน่าโดนอะนาฉุดตกลงมา”
ณดลไม่สนใจนลิณา เขารีบเข้าไปนั่งย่อตัวประคองอนามิกา
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
อนามิกาเอามือกุมสะโพก “อูย...เจ็บสิ”
“แล้ว...เด็กในท้องล่ะ เด็กในท้องเป็นอะไรหรือเปล่า” ณดลถามด้วยความเป็นห่วง
“โธ่เอ๊ย...นึกว่าห่วงฉัน ที่แท้คุณก็ห่วงแค่เด็กในท้อง” อนามิกาว่า
“ก็หลานฉัน ฉันจะไม่ห่วงได้ไง แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่ห่วงเธอนะ”
อนามิกาอึ้งที่ได้ยินเช่นนั้น นลิณาตาเขียวและหันขวับทันที ณภัทรกับเมธาวีเข้ามาได้ยินพอดีก็อึ้งกันไป
“รู้ไหมว่าฉันตกใจแค่ไหน ตอนที่เธอตกไปน่ะ เลิกคิดว่าฉันห่วงแต่เด็กในท้อง แต่ไม่เคยห่วงเธอซะที”
ณดลมองหน้าอนามิกา อนามิกามองณภัทรกับเมธาวี ณดลจึงหันไปมองตามแล้วก็รู้สึกอึดอัดเพราะกลัวว่าณภัทรจะได้ยินที่พูด
“รีบไปพักหลังเวทีก่อนดีกว่า” ณดลหันมาพูดกับณภัทร “ไอ้ภัทร รีบมาประคองเมียแกสิ”
“เอ่อ..คะ..ครับพี่” ณภัทรตอบรับ
ณภัทรกับเมธาวีรีบเข้ามาช่วยประคองอนามิกาแล้วพาไปทางหลังเวที
ณดลขยับตาม นลิณาเหลือบมองอย่างเจ้าเล่ห์แล้วรีบทำมารยา
“โอ๊ย...นีน่าเดินไม่ไหว ช่วยนีน่าด้วย”
ณดลลังเลเพราะรู้ทัน เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนใจอย่างเซ็งๆ ก่อนจะหันไปบอกคนดูที่นั่งใกล้ๆ
“ช่วยดูคนเจ็บขานิดนึงนะครับ ผมขอตัวไปดูทางโน้นก่อน ขอบคุณครับ”
ณดลเดินตามอนามิกาไป ทิ้งให้นลิณานั่งกระฟัดกระเฟียดเพราะขัดใจ คนดูจะเข้ามาประคอง นลิณาก็สะบัดแขนแล้วทำตาขวางใส่ พอนลิณาลุกขึ้นได้ก็ต้องกุมสะโพกที่เคล็ดอยู่แล้วเดินกระเผลกไปอย่างหมดสภาพ


ณภัทรกับเมธาวีประคองอนามิกาเข้ามานั่งในห้องแต่งตัวหญิง นางแบบคนอื่นๆ พากันเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
“นั่งพักก่อนนะอะนา” ณภัทรบอก
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าเนี่ย” เมธาวีถาม
สักพักอัธวุธก็เดินตามเข้ามา
“บอกฉันมา ยัยนีน่าแกล้งเธอใช่มั้ย ฉันจะได้ไปวีนให้”
“ช่างเหอะ ฉันเองก็ดึงยัยนีน่าตกลงมาด้วย ถือว่าเจ๊ากันไป” อนามิกาบอก
“แล้วเรื่องชุดเนี่ย ขอบใจแกมากเลยนะ ที่ช่วยดัดแปลงชุดที่ฉันดีไซน์ซะเริ่ดสะแมนแตนขึ้นไปอีก คนดูทุกคนปลื้มกันมากเลยหละ” อัธวุธชม
จู่ๆ ณดลก็พรวดพราดหน้าตื่นเข้ามาในห้อง
“ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลให้มั้ย”
ทุกคนหันมองณดลเป็นตาเดียว
“พาใครไปโรงบาลเหรอพี่” ณภัทรถาม
“ก็เมียแกน่ะสิ ตกมาจากที่สูงแบบนั้น แกจะไม่พาเมียไปตรวจครรภ์จริงๆเหรอ”
“เอ่อ...คือ...” ณภัทรอึกอัก
ณภัทรหันไปมองหน้าเมธาวีและอัธวุธที่ต่างก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ยังมัวยืนเฉยอยู่อีก” ณดลพูดกับอนามิกา “อะนา เธอไปกับฉัน เดี๋ยวฉันพาไปตรวจที่โรงพยาบาลเอง”
“ไม่ต้องไปหรอก ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” อนามิกาบอก
“แต่เธอยังท้องอ่อนๆ ควรจะไปตรวจเช็คให้สบายใจ” ณดลยืนยัน
“ฉันก็สบายใจอยู่ เชื่อฉันสิ”
“ฉันเชื่อหมอมากกว่า ไป! ไปให้หมอตรวจครรภ์ดีกว่า” ณดลรบเร้า
“เอ๊ะ! ก็ฉันบอกว่าไม่ไป”
“นี่อย่าดื้อได้มั้ย เธอไม่เป็นห่วงเด็กในท้องบ้างหรือไง”
เมธาวีกับอัธวุธรีบมาขวางทั้งคู่ทันที ส่วนณภัทรเข้าไปพูดกับณดล
“พี่ณดล อะนาเค้าไม่เป็นไรจริงๆ ผมดูแลเอง..นะพี่..พี่สบายใจได้”
ณดลเริ่มเย็นลง “..ก็ได้ แต่อย่าประมาทแล้วกัน ฉันก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นแหละ”
พูดจบณดลก็จะเดินออกไป แต่อนามิกาเรียกไว้ “เดี๋ยว!”
ณดลหันมาอย่างแปลกใจที่อนามิกาเรียกไว้
“ขอบคุณมากนะที่เป็นห่วง”
ณดลอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วจึงตอบไปอย่างเย็นชา “ไม่เป็นไร”
ณดลหันหลังแล้วเดินออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
อนามิกา ณภัทร เมธาวี และอัธวุธมองหน้ากันแล้วถอนใจด้วยความโล่งอก
“ขืนไปโรงพยาบาล ก็ความแตกกันพอดีสิ เฮ่อ...รอดไป” ณภัทรถอนใจ


โทรศัพท์บนโต๊ะเลขานุการที่ออฟฟิศของณดลส่งเสียงเรียกเข้า ครู่หนึ่งอนามิกาจึงยกหูรับ
“สวัสดีค่ะ...ใช่ค่ะ...คุณวิชัยนะคะ จะติดต่อคุณณดลเรื่องอะไรเหรอคะ...ค่ะ...ดิฉันจะโอนสายให้ ซักครู่นะคะ”
อนามิกากดปุ่มโอนสายแล้วพูด
“จากคุณวิชัย เรื่องที่ดินบนเกาะน่ะค่ะ”
อนามิกาวางหูแล้วหันมาพิมพ์งานหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อ เพียงครู่เดียว ณดลก็ถือหูโทรศัพท์แบบไร้สายเดินพูดออกมาจากห้องแล้วตรงมาที่อนามิกา
“คุณเคยติดต่อขายที่ดินบนเกาะนั้นให้ผม ผมเสียเวลาขึ้นเครื่องบิน ต่อรถ ต่อเรือไปดู แล้วพอผมตกลงซื้อ คุณกลับเปลี่ยนใจไม่ขาย หวังว่าคราวนี้คงไม่เสียเที่ยวอีกนะครับ” ณดลฟังปลายสายแล้วก็ยิ้มออก “งั้นก็โอเค คุณวิชัยรออยู่ที่นั่นได้เลย ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย”
ณดลวางหูแล้วมายืนที่หน้าโต๊ะอนามิกา
“รีบซื้อตั๋วเครื่องบิน เตรียมเอกสารแล้วรีบเก็บกระเป๋าไปกับฉัน” ณดลสั่ง
อนามิกางง “ตั๋วเครื่องบิน...ไปไหนเหรอคะ?”
อนามิกาถึงกับเป็นงง


เครื่องบินแลนดิ้งลงบนรันเวย์ของสนามบินภูเก็ต ณดลสวมแว่นตากันแดด สะพายกระเป๋าของตนเดินลิ่วมา อนามิกาหอบข้าวของทั้งกระเป๋าหลายใบทั้งแฟ้มเอกสารต่างๆ กระเตงตามมาอย่างทุลักทุเล
“โอ๊ย...รอด้วยสิคุณ” อนามิการ้องเรียก
“เธอก็เร็วหน่อยสิ ฉันอยากไปถึงที่นั่นก่อนพระอาทิตย์ตกนะ” ณดลหันมาบอก
ณดลเดินลิ่วไปโดยไม่รอ อนามิกาหน้าเหยเกแต่ก็กัดฟันรีบตามไป


เรือสปีดโบ้ทลำหรูแล่นอยู่กลางทะเล ณดล กับอนามิกานั่งอยู่บนเรือ ณดลเหม่อมองชมวิวพลางยิ้มน้อยๆ อย่างสบายใจ ส่วนอนามิการู้สึกร้อนตัวเหนอะหนะจึงคอยซับหน้าตัวเองตลอด
ณดลหยิบกล้องถ่ายรูปในกระเป๋าสะพายขึ้นมาถ่ายรูป แล้วมองภาพในจอหลังกล้อง ก่อนจะระบายยิ้มอย่างมีความสุข
อนามิกามองสังเกตอยู่ก็อดยิ้มตามไม่ได้ พอณดลหันมา อนามิกาก็ทำเป็นเหม่อมองทะเลต่อไป ณดลถ่ายรูปอนามิกากับแบ็คกราวด์ที่เป็นท้องฟ้าและทะเล
เรือแล่นมาถึงบริเวณใกล้กับเกาะที่มีวิวโขดหินและต้นไม้ตัดกับน้ำทะเลสวย ณดลกับอนามิกาถอดแว่นตาดำออกเพื่อชมวิวให้เต็มตาพร้อมทั้งสูดอากาศอย่างชื่นใจ


ณดลเดินนำอนามิกาที่หอบแฟ้มเอกสารและสะพายกระเป๋าถือเดินตามมา เรือสปีดโบ้ทจอดอยู่เบื้องหลังคนขับเรือยืนดูแล วิชัยเดินมาจากทิวไม้ออกมาต้อนรับ พร้อมกับเชษฐ์ ลูกน้องของเขาและแม่บ้านหญิงถือถาดเสิร์ฟน้ำมะพร้าวมาให้
“สวัสดีคุณณดล ยินดีต้อนรับสู่เกาะของผม..เอ่อ..ที่กำลังจะเป็นของคุณน่ะ” วิชัยบอก
อนามิกากับณดลรับแก้วมาดื่ม “ขอบคุณค่ะ / ขอบใจ”
“เราเซ็นสัญญากันเลยดีมั้ยครับ ผมให้เลขาเตรียมเอกสารมาแล้ว” ณดลเอ่ยปาก
“อากาศดีๆ อย่างวันนี้ ผมว่าคุณสองคน เดินเล่นสบายๆ ก่อนดีกว่า เรื่องซื้อขายเราตกลงตัวเลขกันแล้ว เซ็นกริ๊กเดียวก็เรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร”
“ก็ดีครับ” ณดลหันไป “อะนา...อ้าว! ไปไหนแล้ว”
ณดลกับวิชัยหันไปเห็นอนามิกากำลังเดินเตะน้ำทะเลเล่นอย่างเย็นใจ
“อะนา” ณดลเรียก
อนามิกาสะดุ้งแล้วหันมา
“นี่...คุณถ่ายรูปให้ฉันรูปนึงสิ เห็นเวลาคนมาทะเล เค้าต้องกระโดดถ่ายรูปกันนะ เอานะ นับหนึ่งสองสาม พอฉันกระโดดแล้วคุณถ่ายนะ” อนามิการ้องขอ
ณดลตวาดเสียงดุ “ให้มันรู้เวล่ำเวลาบ้าง เรามาตกลงเรื่องเอกสาร ไม่ได้มาถ่ายรูปเล่น...มานี่!”
อนามิกายิ้มแหยๆ ก่อนจะเดินมาหาณดล วิชัยกับเชษฐ์เห็นอนามิกาก็กลั้นขำอย่างเอ็นดู
“นายเชษฐ์ พาคุณเค้าไปเดินเล่นที หรือจะพาไปตรงจุดชมวิวทางโน้นก็ได้” วิชัยสั่ง
“ครับคุณวิชัย” เชษฐ์หันมาหาณดล “เชิญตามมาทางนี้เลยครับคุณ”
ณดลกับอนามิกาเดินตาม ณดลมองอนามิกาด้วยสายตาตำหนิ อนามิกาเดินตามพร้อมกับบ่นเบาๆ
“ทีตอนอยู่บนเรือยังถ่ายรูปฉันได้เลย”
อนามิกาเดินตามทั้งสองไป


เชษฐ์เดินนำณดลกับอนามิกาเดินขึ้นไปยังจุดชุมวิวที่สองข้างทางดูร่มรื่น แต่ทางเดินค่อนข้างชัน
อนามิกาเริ่มเหนื่อย “ใกล้ถึงหรือยังเนี่ยนายเชษฐ์”
“อีกนิดเดียวครับ” เชษฐ์บอก
“ฉันถามเมื่อสิบนาทีที่แล้ว นายเชษฐ์ก็บอกอีกนิดเดียว” อนามิกาพูดเหนื่อยๆ
“แต่คราวนี้นิดเดียวจริงๆ ครับ”
เชษฐ์เดินนำไป ณดลหันมามองแล้วส่ายหน้า
“แค่เนี้ยทำบ่น”
อนามิกาถลึงตาใส่แล้วสูดลมหายใจลึกเพื่อฮึดสู้ ก่อนจะกัดฟันเดินต่อไป


เชษฐ์เดินนำไปอีก 2-3 ก้าว ก็ผายมือไปข้างหน้า
“ถึงแล้วครับคุณนาย”
อนามิกาบ่น “คุณนายอะไร ฉันไม่ใช่เมียเค้านะ”
ณดลกับอนามิกาก้าวไปถึงจุดชมวิว ส่วนเชษฐ์ถอยห่างไปหาที่หลบแดดด้านหลัง ณดลกับอนามิกาอ้าปากค้างเพราะตื่นตากับวิวที่มองลงมาซึ่งเห็นโค้งของหาดทั้งหาด และท้องฟ้ายามเย็นที่ฉาบไปด้วยแสงอาทิตย์ใกล้อัสดง
“โห...โคตรสวย อุ้ย!” อนามิกานึกได้ว่าพูดไม่สุภาพ “สวยจังเลยเน๊อะ”
ณดลยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ
“แล้วดูท้องฟ้านี่สิ สวยสุดๆ เลยอ่ะ” อนามิกาชมต่อ
ณดลหันมายิ้ม ก่อนพูดแซว “มันก็ท้องฟ้าเดียวกับที่กรุงเทพฯ นั่นแหละ”
อนามิกาหันมาทำตาเขียว “ฉันรู้...แต่ฉันหมายถึงว่า พอมาอยู่กับธรรมชาติแบบนี้ ท้องฟ้ามันก็เลยยิ่งสวยกว่าในกรุงเทพฯ ที่มีแต่ตึกแต่เสาไฟฟ้าน่ะ”
ณดลยิ้มขำ “ไม่ต้องอธิบายก็ได้ ฉันแค่ขัดคอเธอเล่น” ณดลหันไปเหม่อมองชมวิว “ฉันก็คิดเหมือนเธอ ท้องฟ้าที่นี่สวยจริงๆ”
ณดลหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่าย เขากดชัตเตอร์ไปหลายภาพ อนามิกาจึงทักขึ้น
“หวังว่า...พอคุณเป็นเจ้าของที่นี่แล้ว คุณคงจะไม่คิดก่อสร้างอะไรใหญ่โตจนไปทำลายธรรมชาติที่สวยงามของที่นี่นะ”
“ฉันจะทำอะไร ฉันก็จะทำตามความคิดของฉัน คงไม่ต้องให้เธอคอยบอกหรอกนะ” ณดลว่า
“แล้วที่คุณคิดน่ะ คืออะไรเหรอ”
“ทำไมฉันต้องบอกเธอด้วยล่ะ”
อนามิกาชักรำคาญ “โอ๊ย! ไม่อยากรู้แล้วก็ได้ คนอย่างคุณก็คงคิดได้แค่จะทำยังไงให้ได้ตัวเลขสูงๆ ให้ได้กำไรเยอะๆ”
“เธอมองฉันเป็นคนแบบนั้นหรอกเหรอ” ณดลถาม
“ก็หรือไม่จริง นักธุรกิจพันธุ์แท้อย่างคุณจะไม่คิดเรื่องกำไรขาดทุนได้ไง”
“ก็อาจจะใช่...แต่ไอ้เรื่องกำไรหรือขาดทุน มันก็ไม่ได้วัดด้วยตัวเงินเสมอไปหรอกนะ”
อนามิกาชะงักก่อนจะหันมองณดลอย่างสนใจ
“ถ้าผมซื้อที่นี่” ณดลพูดต่อ “แล้วผมมีความสุข ผู้คน ต้นไม้ หาดทราย ทุกชีวิตที่นี่ก็ได้อยู่อย่างสงบสุข สำหรับผม...ทั้งหมดที่ว่ามานี่ก็ถือเป็นกำไรเหมือนกันนะ”
อนามิกายิ้มอย่างชื่นชมกับความคิดของณดล ณดลยิ้มตอบ ทั้งสองหันไปชื่นชมวิวท้องฟ้า และโค้งหาดทรายที่สวยงามอย่างมีความสุข

ที่ร้านเสื้อผ้าของเมธาวี เมธาวีอยู่ในอาการช็อคทั้งอึ้งทั้งตัวสั่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“มะ..หมายความว่า ออเดอร์สองร้อยชุดที่เกดบอก ท..ทางโน้นเค้ายกเลิกอย่างงั้นเหรอ”
เกตนิการ์ตีหน้าเศร้า “ใช่จ้ะ...ฉันก็เกรงใจเธอมากๆ นะเม”
“เกดเค้าก็ลำบากใจที่ทำเมเดือดร้อนนะ แต่เพื่อนของเค้าที่ว่าเป็นเจ้าของห้างที่ลอนดอนเค้าแคนเซิ่ลมา เกดกับฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไง” นลิณาบอก
เมธาวีพูดไม่ออกได้แต่ทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ณภัทรเห็นใจและพยายามช่วย
“ขอโทษเถอะนะ อย่าหาว่าฉันยุ่งเลย แต่เธอสองคนทำแบบนี้ แล้วเมเค้าไม่แย่เหรอ เสื้อผ้าตั้งสองร้อยชุด ลงทุนไปตั้งเท่าไหร่ แล้วยกเลิกกันง่ายๆ แบบเนี้ยนะ”
“ก็แล้วจะให้เกดทำยังไงล่ะภัทร ทางโน้นเค้าบอกแต่ว่าธุรกิจกำลังแย่ เงินก็ขาดมือ แล้วเกดจะทำอะไรได้”
“แต่เธอสองคนก็ควรจะหาทางช่วยเหลือเมบ้าง ทำอย่างงี้เมเค้าก็หมดตัวเลยสิ” ณภัทรว่า
“พูดอย่างงั้นก็ไม่ถูกนะภัทร เกดเค้าก็หวังดีอยากให้เมมีรายได้ แต่มันเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ” นลิณาหันมาพูดกับเมธาวี “เสื้อผ้ามันไม่บูดไม่เน่า ไม่มีวันหมดอายุ เธอก็เอามาขายในร้านเธอไปแล้วกัน ฉันขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วยนะเม”
เมธาวีน้ำตาหยดแต่ฝืนตอบไป “มะ..ไม่เป็นไร”
เกตนิการ์เดินมาแตะตัวทำเป็นเห็นใจ “ขอโทษจริงๆ นะเม”
เมธาวีพยักหน้าน้ำตาริน ณภัทรมองอย่างรู้สึกเป็นเดือดร้อนเป็นร้อนแทน


นลิณากับเกตนิการ์เดินหน้าหงอยออกมาจากร้าน พอพ้นสายตาของณภัทรกับเมธาวี ทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะขบขัน
“ฮะๆๆ ยัยเซ่อ ซื่อบื้อที่สุดในสามโลก คงจะฝันหวานคิดว่าเราจะหาลูกค้ามาเหมาซื้อเสื้อผ้ามันจริงๆ ฮะๆๆ สมน้ำหน้า!” นลิณาหัวเราะร่วน
“แต่ก็อย่าประมาทเชียว ผู้หญิงบื้อๆ แบ๊วๆ แบบเนี้ย พวกผู้ชายชอบนัก” เกตนิการ์บอก
“นั่นสินะ ฉันยังรู้สึกเลยว่านายภัทรดูจะสนใจยัยเมมากกว่าเมียตัวเองอีกด้วยซ้ำ”
“ใช่! แล้วยัยอะนาคู่ปรับของเธอก็เหมือนกัน รายนั้นก็ออกจะสนิทสนมกับคุณณดลซะเกินหน้าเกินตา”
นลิณาได้ยินก็ฉุนขึ้นมาทันที “โอ๊ย...เวียนหัว มันจะชุลมุนสลับคู่อะไรของมัน ทั้งนังเม นังอะนา โถ...ทำสร้างภาพทำเป็นคนดี ที่ไหนได้...มั่วซะไม่รู้หัวไม่รู้หาง”
“แต่อย่างน้อยคราวนี้ ยัยเมคงไม่เหลือเวลาไปมั่วกับใครแล้วหละ เพราะต้องนั่งขายเลหลังเสื้อผ้าที่ทำมาตั้งสองร้อยชุดน่ะ ฮ่าๆๆ” เกตนิการ์บอก
เกตนิการ์กับนลิณาหัวเราะอย่างสะใจ


เมธาวีนั่งซึมอยู่ในร้านโดยมีณภัทรคอยปลอบอยู่ข้างๆ
“ไม่เป็นไรน่าเม ชุดที่เมออกแบบก็สวยๆ ทั้งนั้น เอามาวางขายแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หมด”
“มันไม่ง่ายอย่างงั้นสิภัทร ออเดอร์เนี้ย มีแต่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ไซส์ฝรั่งทั้งนั้น” เมธาวีกล่าวเสียงเครือคล้ายจะร้องไห้ “กลายเป็นเมหมดตัวแล้วยังเป็นหนี้ภัทรอีก”
เมธาวีกลุ้มและอัดอั้นจนน้ำตาไหลออกมา ณภัทรหน้าเสียเพราะทำอะไรไม่ถูก จะโอบปลอบแต่ก็ลังเล เก้ๆ กังๆ คิดจะกอดแต่ก็เปลี่ยนใจไม่กอดจนเมธาวีก้มหน้าปิดหน้าปิดตาร้องไห้ ณภัทรจึงค่อยๆ โอบปลอบอย่างอ่อนโยน
ณภัทรค่อยๆ โอบแน่นขึ้น ครู่ใหญ่เมธาวีจึงใช้มือดันตัวของณภัทรออกเบาๆ
ณภัทรรู้สึกตัว รีบชักมือกลับ “เอ่อ...ขอโทษนะเม ฉันแค่อยากจะปลอบน่ะ อย่าถือสานะ คือแบบว่าไม่ได้คิดจะหาเศษหาเลย”
เมธาวีพูดสวนขึ้น “นี่! ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย” เมธาวีก้มหน้าสะอื้นต่อ
“อ้าว..เหรอ...” ณภัทรค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะไหล่ปลอบ “ค่อยๆ คิดแก้ไขกันไปนะ เงินที่ฉันให้ยืม เธอยังไม่ต้องคืนหรอก แล้วถ้ากลัวว่ามันจะขายออกมั้ย เราก็ลดราคาลงมาสิ ติดป้ายเซลตัวโตๆ ซะ เดี๋ยวก็ขายหมดน่า”
“ขอบคุณมากนะภัทร”
เมธาวีเอียงศีรษะซบไหล่ของณภัทร ณภัทรเก้ๆ กังๆ สักพักก็โอบปลอบเมธาวีอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน


ณดล อนามิกาและเชษฐ์กำลังเดินลงมาจากจุดชมวิว เชษฐ์เดินนำ ณดลเดินตามลงมาอย่างทะมัดทะแมง แต่พอเหลียวหลังมองย้อนขึ้นไปเขาก็ใจหายวูบเพราะเห็นอนามิกาเดินลงมา แบบเดินไปกระโดดไปเป็นม้าดีดกะโหลก ทั้งๆ ที่ทางลงค่อนข้างชัน
“นี่..เธอ เดินให้เหมือนมนุษย์มนาหน่อยได้มั้ย โดดแผล็วๆ เป็นเลียงผาเลย” ณดลว่า
“แล้วไง” อนามิกาถามกลับ
อนามิกายังกระโดดลงมาอย่างไม่กลัว
“นี่...เดินดีๆ เธอกำลังจะทำให้ฉันหัวใจวายนะ ขืนเธอตกลงมาหละก็...น้องชายฉันมันเอาตายแน่”
ณดลเดินย้อนขึ้นไปหา จังหวะเดียวกับที่อนามิกากระโดดลงมาแล้วเซเสียหลัก ถลาเข้ามาหาณดล
ณดลร้องเสียงหลง “ระวัง!”
อนามิกาผวาลงมา ณดลกางสองแขนเตรียมรับ อนามิกาพุ่งเข้าหาโดยทิ้งตัวลงมาทับณดลจนลงไปนอนพังพาบอยู่กับพื้น
“โอ๊ย!” ทั้งคู่ร้องออกมา
อนามิกาคว่ำทับณดลที่นอนหงายอยู่ ทั้งสองชะงักนิ่งในขณะที่ปากของอนามิกาจุ๊บอยู่ที่กลางหน้าผากของณดลพอดี ทั้งสองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งอนามิกาจึงถอนริมฝีปากออกมาแล้วเอามือยันกายไว้
ณดลถามด้วยความเป็นห่วง “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
อนามิกาหน้าเหยเก
“ฉัน...โอเค” พอมองหน้าณดล อนามิกาก็ขำออกมา “ฮะๆ..ฮ่าๆ”
เชษฐ์ที่จะเข้ามาช่วยประคองเห็นว่าอนามิกาหัวเราะออกมาได้ก็หยุดชะงักแล้วมองอย่างงงๆ “โล่งอกไป ยังหัวเราะได้นะครับคุณ”
อนามิกาพยักหน้ากลั้วหัวเราะ
“ฮะๆๆ ฮ่าๆๆ” อนามิกาค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น
ณดลลุกขึ้นตามในสภาพที่มีรอยลิปสติกเป็นรูปริมฝีปากที่กลางหน้าผากของเขา
ณดลพูดเสียงดุ “ขำอะไร ฉันถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วนี่กระทบกระเทือนเด็กในท้องมั้ย”
อนามิกาตอบกลั้วหัวเราะ “ไม่เป็นไร ฉันบอกว่าฉันโอเคไง ฮ่าๆๆ”
ณดลยิ่งฉุน “นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ยังจะมาหัวเราะอีก มันขำตรงไหนเนี่ย?”
“ก็ขำตรงหน้าผากคุณน่ะสิ” อนามิกาบอก
ณดลงง “หา? ว่าไงนะ”
ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงวิชัย “เป็นไงคุณ”
วิชัยเดินขึ้นมาหาทุกคน
“วิวสวยถูกใจมั้ยล่ะครับ” วิชัยถาม
ณดลหันมา วิชัยเห็นรอยลิปสติกที่หน้าผากของณดลก็ชะงัก พร้อมกับเหลือบมองอนามิกา แล้วเหลือบมองณดลอย่างจับผิดว่าไปทำอะไรกันมา
“มีอะไรเหรอครับคุณวิชัย ทำไมมองหน้าผมแบบนั้น” ณดลถาม
“เอ่อ..เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมว่าเรารีบไปจัดการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าครับ นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว” วิชัยตัดบท
“ครับ” ณดลตอบรับ
วิชัยเดินนำไป ณดลยังไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปรกติบนหน้าตน อนามิกาเดินตามวิชัย พอผ่านหน้าณดล เธอก็หันมามองยิ้มขำๆ ยิ่งทำให้ณดลระแวงจนต้องเอามือลูบหน้าตนเอง

อัธวุธเดินนำเมธาวีและณภัทรเข้ามาในรั้วบ้านของเขา แล้วเขาก็ผายมืออย่างภูมิใจนำเสนอสุดๆ
“เวลคัม ทู มาย โฮม เชิญจ้า สวยเน๊อะบ้านฉัน สวยอย่างกะเจ้าของบ้าน”
“แล้วก็ยังกว้างขวางอีกต่างหากนะพี่อาร์ท” เมธาวีชม

“นั่นสิ กว้างขนาดนี้นี่แกอยู่คนเดียวเหรอ” ณภัทรถาม
 
อ่านต่อหน้า 2




 แหม่มแก้มแดง  ตอนที่ 9 

อัธวุธเดินนำณภัทรกับเมธาวีเข้ามาในบริเวณห้องรับแขก ณภัทรกับเมธาวีมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางชื่นชอบ
 
“ก็นี่แหละ ฉันถึงชวนยัยเมมานี่ ฉันอยู่คนเดียว แต่ดันมีห้องนอนตั้งสองห้อง” อัธวุธหันไปหาเมธาวี “ยัยเม ระหว่างที่แกยังเดือดร้อน ก็มาอยู่ด้วยกันไปก่อนสิ”
“อื้ม...ก็ดีนะเม เมก็ไปคืนห้องเช่าเดิมของเมซะ อย่างน้อยก็ประหยัดค่าเช่าไปอีกเดือนละหลายตังค์”
“แต่ว่า...เมเกรงใจ” เมธาวีบอก
อัธวุธสวนขึ้น “หยุดเลย แกเองเพิ่งโดนยัยพวกนั้นหลอกจนแทบหมดตัว แล้วยังจะมาเกรงใจกันทำไม เราก็มีกันอยู่แค่นี้ เพื่อเพื่อน..นี่ยังถือว่าน้อยไป”
“โอเคนะเม เดี๋ยวฉันไปช่วยขนของย้ายให้” ณภัทรอาสา
“แต่ว่า...”
“พอ! หล่อน หยุดเลย ฉันพูดเอง” อัธวุธพูดกับณภัทร “นี่! นายภัทร รีบไปช่วยยัยเมทยอยขนของย้ายมาอยู่นี่ได้เลย! สรุป! จบ! ตามนั้น!”
“เอ่อ...พี่อาร์ท” เมธาวีเอ่ย
“ชู่ว! ฉันบอกให้หยุดพูด”
“คือเม”
“หยุด! ชู่วว!”
“คือเมแค่จะบอกว่าขอบคุณมาก”
“อ้าว! เหรอ...ดีแล้ว มาอยู่ด้วยกันซะ แล้วถ้านายภัทรกับยัยอะนาแวะมาบ่อยๆ ละก็คงจะอบอุ่นเหมือนตอนอยู่ลอนดอนเลยนะ”
เมธาวีเริ่มยิ้มออก อัธวุธกับณภัทรเห็นเมธาวียิ้มก็ยิ้มตาม

วิชัยเดินมาส่งณดลกับอนามิกาที่ชายหาดที่เรือสปีดโบ้ทจอดรออยู่ เชษฐ์และแม่บ้านเดินติดตามมาด้วย
“เรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และเอกสารที่เหลือเราค่อยเคลียร์กันอีกทีนะครับ” วิชัยหันมาหาเชษฐ์ “นายเชษฐ์ รีบฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้านายคนใหม่ซะ”
เชษฐ์ยกมือไหว้ณดลและอนามิกา ทั้งสองรีบรับไหว้
วิชัยพูดกับเชษฐ์ “บอกคนงานทุกคนว่าสบายใจได้นะ คุณณดลเค้ายินดีจะว่าจ้างทุกคนที่นี่ตามอัตราค่าจ้างเดิม เรียกว่าทุกอย่างเหมือนเดิม ยกเว้นเปลี่ยนเจ้านายจากฉันเป็นคุณณดลแค่นั้น”
“ครับคุณวิชัย” เชษฐ์รับคำแล้วเดินนำมาที่เรือสปีดโบ๊ท “เชิญครับคุณณดล ก้าวระวังๆ นะครับ”
วิชัยยิ้มชอบใจ “แหม...เริ่มงานกับเจ้านายใหม่ทันทีเลยนะ นายเชษฐ์”
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณวิชัย”
ณดลกับอนามิกายกมือไหว้ลา วิชัยไหว้ตอบ
คนขับเรือก้มๆ มุดๆ อยู่ตรงบริเวณเครื่องที่ท้ายเรือสปีดโบ๊ท ณดลกับอนามิกากำลังจะขึ้นเรือแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อคนขับเรือโผล่หน้ามาด้วยหน้าตาเครียด
“เดี๋ยวครับคุณ” คนขับเรือบอก
“มีอะไรเหรอ” ณดลถาม
“เครื่องยนต์มันขัดข้องน่ะครับ”
ณดลกับอนามิกาใจหายวูบ “หา!”
“งั้นก็รีบซ่อมแซมเข้าสิ” ณดลบอก
“ก็ซ่อมอยู่นี่ไงครับ แต่ทำยังไงมันก็สตาร์ทไม่ติด”
ณดลหงุดหงิด “โธ่เว้ย”
“นี่คุณ...หงุดหงิดไป แล้วมันจะสตาร์ทติดขึ้นมารึไง” อนามิกาว่า
“แล้วจะไปเช็คอินที่สนามบินทันมั้ย เดี๋ยวก็ได้ตกเครื่องกันหรอก” ณดลเครียด
“เดี๋ยวฉันจัดการโทรเลื่อนไฟลท์ให้น่า” อนามิกาบอก
ณดลเริ่มสงบลง วิชัยกับเชษฐ์เดินเข้ามา
“เอางี้มั้ยคุณณดล เชิญเข้าไปนั่งเล่นในที่พักก่อนดีกว่า เรื่องเรือนี่เดี๋ยวให้ลูกน้องผมช่วยดูให้ดีกว่านะครับ เชิญครับ” วิชัยชวน

แพรวากำลังค่อยๆ ละเลียดอาหารในจานอย่างเชื่องช้าอยู่ในห้องรับประทานอาหารที่บ้านของเธอ โดยมีนลิณากับเกตนิการ์นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“โอ๊ย...ฉันละเบื่อกับท่าทางยืดยาด เชื่องช้าของเธอจริงๆ” นลิณาว่า
“นีน่า เธอจะดุน้องสาวตัวเองทำไมล่ะ..หา?” เกตนิการ์แย้ง
“ก็จริงมั้ยล่ะ ทั้งเชื่อง..ทั้งช้า..ไปซะทุกเรื่อง อย่างเรื่องอีตาภัทรนั่นก็ใช่ ทั้งคุณพ่อกับคุณอากอบ ไหนจะคุณอารัตน์ก็อุตส่าห์ชงให้ แต่ฉันไม่เห็นว่าเธอจะกระตือรือร้นอะไรเลย มัวแต่นิ่งอย่างงี้ เดี๋ยวก็กินแห้ว ไม่ได้แต่งกับนายภัทรหรอก”
“ไม่ได้แต่ง...ก็ไม่เป็นไรนี่คะ แพรก็ไม่เห็นเดือดร้อนเลย” แพรวาบอก
“นี่! แล้วทำไมมาพูดเอาป่านนี้ยะ คุณพ่อกับทางผู้ใหญ่ของนายภัทรเค้าตกลงกันไว้ตั้งชาตินึงแล้ว จะมาปฏิเสธอะไรเอาตอนนี้” นลิณาฉุน
“ค่ะ ทุกคนตกลงกันแล้ว แต่โทษนะ เคยมีใครถามแพรซักคนมั้ย ก่อนจะตกลงอะไรกันน่ะ เคยถามใจแพรบ้างมั้ยว่ารู้สึกยังไง”
“จริงด้วยนะนีน่า” เกตนิการ์รีบหนุน “ของอย่างงี้จะไปบังคับจิตใจกันได้ยังไง เลิกจับคู่ให้น้องแพรกับนายภัทรเหอะ”
นลิณาตวาดเกตนิการ์ “เธอไม่ต้องเลยยัยเกด แหม..รีบเชียวนะ คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเธอก็จ้องนายภัทรตาเป็นมันอยู่น่ะ”
เกตนิการ์หลบตาเพราะเถียงไม่ออก
นลิณาหันมาโวยแพรวาต่อ “งั้นเธอก็ไปคุยกับคุณพ่อเอาเอง งานนี้ฉันไม่ช่วยนะ ถ้าเธออยากจะลองดีขัดใจคุณพ่อ มันก็เรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวกับฉัน”
แพรพูดอย่างมุ่งมั่น “ค่ะ พี่นีน่า แพรก็จะพูดกับคุณพ่อเอง”

เสรีโวยลั่นอย่างเดือดดาล
“ว่าไงนะ นี่แพรกำลังจะบอกพ่อว่าแพรจะไม่แต่งงานกับนายภัทรเนี่ยนะ”
แพรวาเข้ามากอดเสรีแล้วพูดออดอ้อน นลิณานั่งมองน้องสาวด้วยสายตาตำหนิ
“คุณพ่อคะ แพรไม่มีวันจะแต่งงานกับผู้ชายที่เค้าไม่ได้รักแพรหรอกนะคะ”
“แพร...ลูกใจร้อนไปหรือเปล่า” เสรีถาม “ความรักน่ะมันต้องใช้เวลา จะให้เกิดขึ้นทันทีได้ยังไง ลูกต้องเปิดใจที่จะคบหากับนายภัทรเค้าก่อน ลองใช้เวลาร่วมกันไป ความรักมันถึงจะเกิดขึ้นได้”
“เธอก็ตามใจคุณพ่อหน่อยไม่ได้เหรอยะ ก็ลองดูๆ กันไป สุดท้ายจะได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง” นลิณาบอก
“แต่มันไม่ถูกอยู่ดี เพราะภัทรเค้ามีภรรยาแล้ว” แพรวาแย้ง
“อย่าเรียกว่าภรรยาดีกว่า เค้ายังไม่ได้แต่งงานหรือจดทะเบียนกันซักหน่อย” เสรีขัดขึ้น
“แต่เค้าก็มีลูกด้วยกันแล้ว” แพรวาแย้งอีก
“มันก็เป็นแค่เรื่องของอุบัติเหตุ เชื่อพ่อสิ นายภัทรคนนี้ พ่อมองแล้วว่าเป็นคนดีจริงๆ แต่คนเรามันก็ต้องมีพลาดพลั้งกันบ้าง”
“คุณพ่อขา” แพรวาเสียงเครือคล้ายจะร้องไห้ “คุณพ่อจะขออะไรจากแพรก็ได้ จะขอชีวิต แพรก็ให้คุณพ่อได้ แต่อย่าบังคับให้แพรต้องแต่งงานด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่เพราะความรักความเหมาะสมเลยนะคะ” แพรวาสะอื้น “แพรขอร้อง”
เสรีพูดเสียงสั่น “แต่พ่อก็จะขอร้องแพรเหมือนกัน”
เสรีขยับมาคุกเข่ากับพื้น แพรวากับนลิณาเห็นเข้าก็ถึงกับช็อค
“คุณพ่อ!”
สองพี่น้องรีบเข้ามาพยุงให้เสรีลุกขึ้น
แพรวาสะอื้น “คุณพ่ออย่าทำแบบนี้...คุณพ่อลุกขึ้นมา”
“ไม่! พ่อจะคุกเข่าอยู่อย่างงี้ จนกว่าแพรจะยอมทำตามคำขอของพ่อ ได้มั้ยลูกพ่อ แล้วพ่อจะไม่ขออะไรแพรอีกเลย”
“แพร...ทำเพื่อคุณพ่อซักครั้งได้มั้ย” นลิณาพูดกับน้อง
“เพราะอะไรเหรอคะ ทำไมต้องกดดันแพรแบบนี้ ถ้าคิดว่าแต่งแล้วดี พี่นีน่าก็แต่งงานกับภัทรเค้าซะเองสิคะ” แพรวาเดินร้องไห้ออกจากบ้านไป
นลิณากับเสรีร้องเรียกพร้อมกัน “แพร”
นลิณากับเสรีมองตามไป เสรีรู้สึกเป็นห่วงลูก ในขณะที่นลิณารู้สึกโกรธแพรวา

แพรวานั่งสะอื้นไห้อยู่ที่เก้าอี้นั่งเล่นที่สนามในรั้วบ้าน นลิณาเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“แพร...เธออยากรู้ใช่มั้ย ว่าทำไมเธอถึงต้องแต่งงานกับนายภัทรให้ได้ มา...ฉันจะบอกความจริงทั้งหมดให้เธอรู้”
ทันใดนั้นเสรีก็ตะโกนเสียงดัง “หยุดนะนีน่า!”
เสรียังคงตาแดงและเศร้าๆ แต่ก็รีบเข้ามาห้าม
“คุณพ่อขา ถึงเวลาแล้วที่น้องแพรควรจะได้รับรู้เรื่องนี้” นลิณาบอก
“แต่พ่อว่า...” เสรีลำบากใจ
นลิณาสวนขึ้น “บอกน้องแพรไปสิคะคุณพ่อ ว่าตอนนี้ฐานะทางบ้านของเราย่ำแย่ขนาดไหน แล้วโครงการคอนโดมิเนียมที่คุณพ่อเทหน้าตักลงทุนไปมันขายออกมั้ย”
เสรีก้มหน้าอย่างเศร้าๆ แพรวาหันมามองแล้วก็รู้สึกสงสารผู้เป็นพ่อจับใจ
“คุณพ่อ”
“ทีนี้เธอเข้าใจรึยัง ว่าทำไมคุณพ่อถึงต้องกดดันให้เธอแต่งงานกับนายภัทร” นลิณาถาม
แพรวามีท่าทีอ่อนลงเพราะเริ่มเข้าใจกระจ่างแจ้ง
“ก่อนหน้านี้คุณพ่ออยากให้แธอแต่งกับนายภัทรเพราะคำสัญญาที่เคยให้ไว้ แต่ ณ ตอนนี้ มันเป็นเรื่องของความอยู่รอดของครอบครัวเรา” นลิณาอธิบาย
แพรวาเริ่มคล้อยตาม นลิณาเข้ามาพูดกล่อมใกล้ๆ หูน้องสาว
“ไม่มีใครบังคับเธอหรอกนะแพร แต่ขอให้เธอลองเก็บไปคิดดู ว่าเธอจะทำเพื่อครอบครัวได้ซักแค่ไหน”
แพรวาพยักหน้าน้อยๆ อย่างคล้อยตาม นลิณากับเสรีลอบสบตากันอย่างพึงพอใจ

ณ กระท่อมที่พักซึ่งดูมีระดับ เป็นกระท่อมที่ถูกดีไซน์และใช้วัสดุให้กลมกลืนกับธรรมชาติบนเกาะ ณดลกับอนามิกากำลังนั่งพักผ่อนอย่างสบายๆ โดยมีเหยือกน้ำและแก้วน้ำวางอยู่ใกล้ๆ
“ฉันหละชอบที่นี่จริงๆ” ณดลสูดลมหายใจอย่างสดชื่น “ไม่อยากกลับกรุงเทพฯเลย”
“คุณจะมาบ่อยแค่ไหนก็ได้นี่ ก็ที่นี่เป็นของคุณแล้ว” อนามิกาบอก
“กลับไปคราวนี้ ฉันจะเทรนให้นายภัทรช่วยดูแลงานที่กรุงเทพฯ แทนฉันได้บ้าง ฉันจะได้มีเวลามาอยู่ที่นี่มากขึ้น”
อนามิกามองหน้าณดลแล้วยิ้มอย่างชื่นชม “ฉันคิดไม่ถึงเลยนะ”
“หือ? คิดไม่ถึงอะไร” ณดลงง
“ก็คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นคนรักธรรมชาติน่ะสิ ดูคุณเหมือนนักธุรกิจ ที่ชีวิตอยู่แต่ในตึกในเมือง แล้วก็คิดแต่เรื่องเงิน เรื่องความเจริญทางวัตถุ”
“เธอไม่ยิ่งแล้วเหรอ บ้าความเจริญทางวัตถุ ถึงขั้นไปอยู่เมืองใหญ่ๆ อย่างลอนดอน”
“ฉันก็แค่ไปเรียน ไปใช้ชีวิตอยู่แค่ช่วงเดียว ลึกๆ ในใจ ฉันก็ชอบธรรมชาติแบบที่นี่น่ะแหละ” อนามิกาบอก
“ฉันกำลังคิดว่าจะชวนคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็เธอกับเจ้าภัทรมาเที่ยวกันที่นี่”
“เหรอ!! งั้นฉันขอชวนเพื่อนมาด้วยได้มั้ย จะว่าไปก็เพื่อนของภัทรเค้าด้วยนั่นแหละ”
“ก็เอาซี้ ไม่มีปัญหา”
ทันใดนั้นเสียงของวิชัยดังขึ้น “มีปัญหาแล้วหละคุณณดล”
ณดลกับอนามิกาหันไปทางวิชัยที่กำลังเดินเข้ามา
วิชัยพูดต่อ “เรือสปีดโบ๊ทที่มาส่งคุณมีปัญหาเรื่องระบบไฟ อย่างเร็วสุดก็คงเป็นพรุ่งนี้สายๆ ถึงจะซ่อมเสร็จ”
ณดลหันมองหน้าอนามิกา “เอาไงดีล่ะทีนี้”
“เผอิญเรือผมก็ส่งซ่อมอยู่ แต่ถ้าคุณมีธุระด่วน จำเป็นต้องรีบกลับจริงๆ ผมจะวิทยุขอเรือฉุกเฉินของทางตำรวจมารับก็ได้นะครับ” วิชัยเสนอ
“โอ้โห..มันจะเป็นเรื่องใหญ่เกินไปน่ะครับ” ณดลเกรงใจ
“นั่นสิคะ ฉันว่าเรือฉุกเฉินนั่น เก็บไว้ช่วยคนที่เค้าต้องการความช่วยเหลือแบบฉุกเฉินจริงๆ ดีกว่า” อนามิกาเห็นด้วยกับณดล
“งั้น...ถ้าไม่จำเป็นต้องรีบกลับ คุณสองคนก็พักซะที่นี่ ผมจะบอกทุกคนที่นี่ให้ดูแลเป็นอย่างดีเลยหละครับ”
ณดลกับอนามิกาหันมามองหน้ากันเป็นเชิงขอความเห็นกัน
“คุณก็ไม่อยากกลับอยู่แล้วนี่” อนามิกาพูด
ณดลกับอนามิกาต่างก็ยิ้มอย่างรู้ใจกัน

บาร์บีคิวบนเตาปิ้งส่งเสียงฉู่ฉี่น่ากิน เชษฐ์กำลังยืนปิ้ง กุ้ง ปลาหมึก หอย แลดูน่ารับประทาน ใกล้กับเตามีโต๊ะนั่งกลางแจ้งซึ่งณดลกับอนามิกานั่งอยู่
อนามิกาลุกเดินมาที่เตา “นายเชษฐ์ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เชษฐ์หลีกทางให้ “ครับ งั้น..เดี๋ยวผมไปเอาของดีมาให้”
“ของดีอะไร?” อนามิกาสงสัย
เชษฐ์เดินลิ่วออกไปยังไม่ทันได้ตอบคำถาม อนามิกาได้แต่มองตามไปเก้อๆ แล้วหันมาปิ้งซีฟู้ดต่อ
“ปลาหมึกนี่น่าจะทานได้แล้วหละ”
อนามิกาใช้ที่คีบหยิบหนวดปลาหมึกออกมายื่นให้ณดล ณดลเอามือมาหยิบไปลองชิม
“โห...อร่อยมาก” ณดลชม
“ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นคนปิ้ง” อนามิกาคุย
ณดลลุกขึ้นมาที่อนามิกา “ให้ฉันช่วยมั้ย เธอไปนั่งบ้าง”
“ไม่ต้อง ฉันทำเองดีกว่า”
“ไม่เอา! ใช้คนท้องคนไส้ให้ยืนร้อนอยู่หน้าเตา เดี๋ยวใครเห็นเข้าก็นินทาฉันตายเลย หลบไป”
พูดจบณดลก็เข้ามาเบียดอนามิกาจนเสียหลัก
“ว๊าย!” อนามิการ้อง
“ระวัง!” ณดลร้องบอก
อนามิกาเซเสียหลักด้วยความกลัวว่าจะคะมำไปทางเตา เธอจึงรีบคว้าคอของณดลไว้ ณดลก็โอบเอวอนามิกาไว้หวังจะช่วยเซฟ เลยทำให้ทั้งสองโอบกอดประสานสายตากัน
ณดลและอนามิกาต่างก็เผลอใจส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดีๆ ต่ออีกฝ่าย
ทันใดนั้นเสียงเชษฐ์ก็ดังขึ้น “มาแล้วคร้าบ”
เชษฐ์เดินถือขวดไวน์เข้ามาแล้วก็ต้องชะงักที่เห็นทั้งสองโอบกันอยู่ ครู่หนึ่งเขาจึงพูดออกมา
“เอ่อ...ผมเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าครับ”
ณดลกับอนามิการู้สึกตัวจึงรีบร้องปฏิเสธลั่นแล้วผละออกจากกัน
“เปล๊า! ไม่มีอะไร” อนามิกาปฏิเสธเสียงสูง
“ไม่ได้ขัดจังหวะอะไร” ณดลบอก
ณดลกับอนามิกาเหลือบมองหน้ากันอย่างเขินๆ
ณดลเอ่ยถาม “นายเชษฐ์มีอะไรมาเหรอ”
เชษฐ์วางขวดไวน์ที่โต๊ะ “นี่ไงครับ ของดีที่ผมบอก”
ณดลกับอนามิกาจ้องมองอย่างสนใจ “อะไรเหรอ”
“ไวน์ผลไม้รวมที่เราลองหมักกันเองน่ะครับคุณ” เชษฐ์บอก
“ผลไม้รวม?..รวมอะไรบ้างเหรอ” ณดลถาม
“ก็พวกผลไม้พื้นบ้านที่หาได้แถวนี้หละครับ ทั้งลูกหว้า สับปะรด กระท้อน เรียกว่าอะไรเหลือๆ ก็เอามาหมักรวมกันไปครับ”
ณดลกับอนามิกาทำหน้าแหยเพราะไม่กล้ากิน
“ฟังดูยังกะน้ำหมักชีวภาพที่เอาไว้ล้างห้องน้ำมากกว่านะ” อนามิกาพูด
“นั่นสิ...ไม่ไหวมั้ง” ณดลบอก
“ไม่ลองดูซักหน่อยเหรอครับคุณ” เชษฐ์ชวน
ณดลกับอนามิกามองหน้ากันแล้วหันมาเบะปาก ทั้งสองส่ายหน้าปฏิเสธแข็งขัน

เชษฐ์ถือขวดไวน์เดินกลับมาเจอวิชัยยืนอยู่
“อ้าว! ถือกลับมาทำไม พวกคุณเค้าไม่ดื่มกันเหรอ” วิชัยเอ่ยถาม
“ไม่ครับคุณวิชัย”
“เค้าคงไม่ดื่มของมึนเมา”
“คือที่บอกว่าไม่ ผมหมายความว่า.. “ เชษฐ์ยกขวดคว่ำเอาปากขวดชี้ลงพื้นให้ดูว่าไม่เหลือไวน์ไหลออกมาซักหยด “ไม่เหลือครับ”
“หา! แล้วจะไหวเหรอ” วิชัยตกใจ “ไอ้ไวน์ผลไม้รวมของเรามันแรงไม่ใช่เล่นนะ”
“ก็เห็นเค้ายังสบายๆ นะครับ คงคอแข็งทั้งคู่”
“อ้อ..งั้นแล้วไป”
วิชัยยิ้มอย่างสบายใจ

ณดล และอนามิกายืนโงนเงนอยู่หน้าเตาปิ้งอาหารทะเล ในมือของทั้งสองถือแก้วไวน์ ที่ยังมีไวน์อยู่เกือบครึ่งแก้ว ทั้งสองคุยกันด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเริ่มเมาจนรั่วแล้วทั้งคู่
“ของดีนะเนี่ย ระดับซุปเปอร์โอท็อปเลย” ณดลพูด
อนามิกาพูดด้วยน้ำเสียงเมาพอกัน “ใช่ๆๆ อร่อยมาก กินแล้วไม่เมาด้วย”
“โห...ไม่เมาเลยนะ”
อนามิกาหยิบที่คีบคีบปลาหมึกที่ปิ้งอยู่บนตะแกรงหวังจะพลิกปิ้งอีกด้าน แต่ก็เมาจนทำตกจากตะแกรง
“โอ๊ย...เสียของหมด” ณดลบ่น “เธอเมาแล้วนี่ มาๆๆ ฉันเอง”
ณดลขยับเข้าไปแต่ก็เซชนเตาปิ้งจนเตาแบบมีขาตั้งล้มพังพาบลงไปทั้งเตา อาหารทะเลที่เหลืออยู่บนตะแกรงย่างก็หล่นพื้นไปด้วย
“เอ๊า! หมดกัน ไม่ต้องกินกันแล้ว” อนามิกาบ่น
“ยังๆๆ ยังไม่หมด นี่!” ณดลอวดแก้วไวน์ในมือ “ไวน์ผลไม้รวมยังอยู่ มา..แก้วสุดท้าย ขอชนแก้วกันหน่อย”
“ได้เลย มาๆๆ” อนามิการับคำ
ณดลกับอนามิกาพูดพร้อมกัน “เอ้า...โชน!!”
แก้วไวน์ทั้งสองชนกันอย่างแรงจนแตกดังเพล้ง ทั้งสองคนถือก้านแก้วไวน์ที่แตกในมือ ทั้งสองหน้าแหยๆ แล้วมองหน้ากันอย่างยอมรับสภาพ
“อดกินเลย โทษที สงสัยฉันจะเมาแล้วหละ” อนามิกาบอก
“ยังต้องสงสัยอีกเหรอ ฉันว่าสมควรแก่เวลาแล้วหละ ท่าจะไม่ไหวแล้ว” ณดลตัดบท
“ฉันก็ง่วงแล้วเหมือนกัน ขอตัวนะ”
อนามิกาเดินโซซัดโซเซเข้ากระท่อมที่พักไป
“อ้าว..เฮ้ย! เดี๋ยวสิ ทิ้งกันดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ” ณดลบ่น

ณดลเปิดประตูกระท่อมที่พักเดินเข้ามา เขาออกอาการเซจนต้องหาที่จับยึดทรงกายไว้ ณดลหันมองสำรวจซ้ายทีขวาที
“ห้องนอนเราห้องไหนวะ” ณดลหันไปทางหนึ่ง “อ้อ! ห้องนี้”
ณดลเดินตรงไปยังประตูห้องนอนห้องนั้นทันที

ณดลเปิดประตูห้องนอนเดินเข้ามาในห้องที่มีแสงสลัว เขาเดินมาถึงเตียงนอนก็ทิ้งร่างลงบนเตียงแต่พอหันตะแคงมาก็เจอกับใบหน้าของอนามิกา ทั้งสองต่างก็ตาโตตกใจ ร้องเสียงหลง
“เฮ้ยย! / ว๊าย!”
ทั้งสองเด้งขึ้นมานั่งประจันหน้ากัน
“เมาใหญ่แล้วนะเธอน่ะ เค้าจัดห้องนี้ไว้ให้ฉัน เธอนอนผิดห้องแล้ว” ณดลว่า
“ใครบอกคุณ นี่มันห้องฉันต่างหาก” อนามิกาเถียง
“ยังจะเถียงอีก ก็เค้าจัดห้องนี้ไว้ให้ฉัน เค้ายังเอากระเป๋าข้าวของฉันมาวางให้ในห้องนี้”
ณดลหยิบกระเป๋าขึ้นมาชูยืนยัน แต่พอเห็นอนามิกาส่ายหัวขำๆ เขาก็เหลือบมองกระเป๋าในมือตนจึงเห็นว่าเป็นกระเป๋าเครื่องสำอางที่ทั้งสีทั้งลายจัดจ้านของอนามิกา
“เฮ้ย! ฉันเข้าห้องผิดเหรอนี่” ณดลตกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ ออกไปนอนห้องคุณเลยไป๊” อนามิกาไล่
“ก็ได้ๆ”
ณดลเมาจนลุกแทบจะไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็พยายามยันกายลุกขึ้น
“ไหวมั้ยเนี่ย มา! ฉันช่วยประคอง”
อนามิกาลุกขึ้นจะไปประคอง ณดลก็เซเข้ามาจนรวบร่างของอนามิกาให้หงายลงบนเตียงส่วนตัวเขาก็ทาบทับลงไปจนปลายจมูกแทบชนกัน ณดลนิ่งมองอนามิกาอยู่อย่างนั้น
อนามิกาหน้าแหยเหมือนจะโวยใส่ แต่เห็นสายตาณดลที่มองตนก็กลับรู้สึกดี ทั้งสองมองตากันแล้วรู้อยู่แก่ใจว่าต่างก็มีใจให้กัน ครู่ใหญ่ อนามิกาจึงหลุดปากออกมา
“คุณมองฉันแบบนี้น่ะ คุณคิดยังไงกับฉันกันแน่”
“เอ่อ....ฉัน..ฉันจะไปคิดอะไรได้ล่ะ ในเมื่อเธอ..เป็นภรรยาของน้องชายฉัน” ณดลตอบ
“แล้วถ้าฉันไม่ได้เป็นล่ะ”
“ห๊า?”
“แล้วถ้าฉันไม่ใช่ภรรยาของน้องชายคุณล่ะ คุณจะ..คิดยังไงกับฉัน”
อนามิกาพูดจบก็หลับตาปี๋ พร้อมกับทำหน้าแหยแล้วเปรยเบาๆ
“นี่ฉันพูดออกไปได้ยังไง ฉันคงเมามากแล้วใช่มั้ย คุณอย่าถือสาคำพูดของคนเมาเลยนะ คุณ...คุณ!”
อนามิกาเห็นว่าณดลหลับไปแล้วทั้งๆ ที่ยังนอนคาอยู่บนตัวอนามิกา อนามิกาต้องดัน แล้วขยับตัวออกมา
“หลับซะงั้น..แล้วฉันจะแบกคุณไปนอนไหวได้ไงล่ะ ฉันเองก็...”
อนามิกาออกอาการมึนจนเริ่มนั่งโงนเงน เธอเมาจนประคองตัวไม่ไหวจึงค่อยๆ ทิ้งร่างลงนอนข้างๆ ณดลบนเตียง

ทั้งสองนอนเคียงข้างกันในสภาพที่เมาปลิ้น แขนขาก่ายกันใกล้ชิด แต่ก็หลับสนิทไม่รับรู้อะไรทั้งคู่

 
อ่านต่อ หน้า 3




 แหม่มแก้มแดง  ตอนที่ 9 

แสงยามเช้าส่องจากหน้าต่างมาที่เตียงในกระท่อมที่พัก ณดลและอนามิกานอนหลับแขนขาก่ายกันและตะแคงใบหน้าหันเข้าหากันอยู่บนเตียง ณดลค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าอนามิกาอยู่ใกล้ๆ ก็กะพริบตาถี่ๆ อย่างงงๆ

ณดลเปรยเบาๆ “นี่เรายังฝันอยู่ใช่มั้ย”
อนามิกาลืมตาตื่นขึ้นมาประสานสายตากับณดลพอดี ทั้งสองนิ่งมองตากันแล้วระบายยิ้มออกมา แต่เพียงครู่หนึ่งทั้งสองก็ฉุกคิดขึ้นได้ จึงรีบลุกพรวดขึ้นมานั่งแล้วโวยขึ้นมาพร้อมกัน
“เธอมานอนนี่ได้ไง / คุณมานอนนี่ได้ไง”
“ก็นี่มันเตียงฉัน” อนามิกาบอก
ณดลผงะแล้วหันมองอย่างสำรวจ “เออแฮะ!”
พูดขาดคำณดลก็รีบเด้งมายืนข้างๆ เตียงแล้วกุมขมับพยายามนึกย้อนกลับไป
“เมื่อคืนเราเมา..ก็เลยมานอนนี่...แล้วก็...”
“แล้วก็อะไร?” อนามิกาตกใจ รีบก้มสำรวจเสื้อผ้าตัวเอง “คุณทำอะไรฉันรึเปล่า”
“จะบ้าเหรอ” ณดลพยายามนึกย้อน “โอ๊ย! ฉันจำอะไรไม่ได้เลยแฮะ” ณดลหันมาทางอนามิกา “เธอจะเอาอะไรกับคนเมาล่ะ”
อนามิกาก้มสำรวจเนื้อตัวแล้วพูดเบาๆ “ก็ไม่มีอะไรสึกหรอนี่นะ”
“นี่...เห็นฉันเป็นคนยังไง ฉันเป็นสุภาพบุรุษนะจะบอกให้”
“สุภาพบุรุษอะไร เมาแล้วฉวยโอกาสมานอนบนเตียงฉันเนี่ยนะ”
ณดลหน้าแหยเพราะเถียงไม่ออก อนามิกาลุกขึ้นมาแล้วดึงแขนณดลไปที่ประตู
“ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลย”
ณดลยังยืนมึนๆ แต่ก็พยายามนึกย้อนว่าทำอะไรไปบ้าง แต่อนามิกาลากแขนเขาแล้วเปิดประตูออกไป

อนามิกาลากแขนณดลที่ยังมึนๆ ออกมาจากห้อง
“ออกมานี่เลย! เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าว่าคุณนอนเตียงฉัน ฉันก็เสียสิ”
อนามิกาพูดขาดคำแล้วก็ชะงักพูดอะไรต่อไม่ออก ณดลเห็นอนามิกานิ่งไปจึงหันมองตามสายตาที่อนามิกามองอยู่จึงเห็นว่าเชษฐ์เพิ่งเดินถือถาดเสิร์ฟอาหารเช้าเข้ามา เชษฐ์ยืนนิ่งตัวแข็ง เพราะตกใจที่เห็นทั้งสองออกมาจากห้องนอนเดียวกัน เชษฐ์อึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมา
“เอ่อ..คือ..ผมมาเสิร์ฟอาหารเช้า แล้วก็จะมาบอกว่าเรือซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ” เชษฐ์วางถาดลง “ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะนะครับ”
เชษฐ์พูดจบก็รีบถอยออกจากที่พักไปอย่างรวดเร็ว อนามิกาพูดเสียงดังตามไป
“เดี๋ยว...ขัดจังหวะอะไรกัน ฉันไม่ได้ทำอะไรอย่างงั้นซะหน่อย โอ๊ย..เสียมั้ยเนี่ยฉัน..หมดกั๊น!”
อนามิกาหน้าตาเซ็งสุดขีด ณดลหลบตาเพราะรู้สึกผิดที่เมาหลับบนเตียงของอนามิกา

เมธาวีหิ้วกระเป๋าใบโตเดินนำณภัทรที่ใช้สองมืออุ้มลังกระดาษใบใหญ่ใบหนึ่งเข้ามาในบ้านของอัธวุธ อัธวุธยืนสั่งการกับณภัทร
“ห้องยัยเมอยู่ข้างบนเลยย่ะ ขนของย้ายขึ้นไปเลย มีของที่รถอีกใช่มั้ย ฉันจะได้ไปช่วยยก”
ณภัทรพยักหน้าหงึกๆ อัธวุธจึงเดินสวนออกจากบ้านไป

เมธาวีวางกระเป๋าใบโตในห้องแล้วรีบย้อนมาที่ประตู เธอเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้ณภัทรอุ้มลังกระดาษใบใหญ่เข้ามา
“ระวังนะภัทร”
“จะให้วางไว้ตรงไหนเม” ณภัทรถามเพราะหนักเต็มแก่
เมธาวีเดินเข้ามาช่วยประคอง “วางไว้ข้างๆ เตียง ทางนี้เลยจ้ะ มา! ช่วยยก”
“ไม่ต้องๆ ฉันยกเอง”
“ให้เมช่วยนะ”
เมธาวีเข้าไปช่วยอุ้มลังกระดาษ แต่กลายเป็นยิ่งทำให้ทุลักทุเลยิ่งขึ้น
“ไม่ต้อง ฉันยกไหว” ณภัทรบอก
“ไม่เป็นไร เมช่วย”
ทั้งสองช่วยกันอุ้มลังกระดาษโดยที่หันหน้าเข้าหากัน ณภัทรเดินหน้า เมธาวีเดินถอยหลัง เลยเสียหลักพากันเซทำลังร่วงตกพื้น ฝาลังเปิดออกมา สมุดบันทึกและหนังสือหลายเล่มร่วงออกมา
“ว๊าย!” เมธาวีร้อง
ณภัทรตกใจ “เป็นอะไรรึเปล่าเม”
เมธาวีย่อตัวลงเก็บหนังสือและสมุดบันทึก ณภัทรย่อตัวลงช่วยเก็บแล้วเห็นสมุดสเก็ตช์ที่เปิดกางอยู่ ณภัทรมองอย่างตกตะลึงก่อนจะหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าสมุดสเก็ตช์เป็นภาพตัวเขาเองที่เมธาวีแอบสเก็ตช์ไว้ ณภัทรตะลึงพร้อมกับลองพลิกหน้าต่อไป
สมุดสเก็ตช์หน้าอื่นๆ ก็เป็นภาพสเก็ตช์ณภัทรในในอิริยาบทต่างๆ และเสื้อผ้าต่างชุดกัน
ณภัทรตะลึง เมธาวีเก็บของที่ตกเสร็จแล้วหันมาเห็นอาการของณภัทรที่กำลังดูสมุดสเก็ตช์อยู่ก็ตกใจรีบดึงกลับทันที แต่ณภัทรยื้อเอาไว้ทำให้ทั้งสองนั่งย่อเข่าอยู่กับพื้นใกล้ๆ กัน โดยใบหน้าอยู่ห่างกันแค่นิดเดียว เมธาวีเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยิ้มแหยๆ
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย” ณภัทรเอ่ยขึ้น
เมธาวีเขิน “ไม่เคยรู้ว่าเมแอบวาดรูปภัทรน่ะเหรอ”
“เปล่า...ไม่เคยรู้ว่าเมแอบมองอยู่นานแล้วน่ะ”
เมธาวียิ่งเขินหนักจนไม่รู้จะหลบสายตาไปทางไหน พอณภัทรจะเปิดดูต่อ เมธาวีก็ดึงยื้อคืน
“พอแล้ว...ขอคืนเหอะ เขินเป็นนะ”
เมธาวียื้อสมุดสเก็ตช์กลับไป ณภัทรรีบยื้อคืนจนมือของณภัทรไปจับที่มือของเมธาวีพอดี ทั้งสองชะงักเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตทำให้นิ่งมองประสานสายตากัน ต่างคนต่างบ่งบอกถึงความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กับอีกฝ่าย แต่แล้วทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงของอัธวุธดังขึ้นมาขัดจังหวะ
“วางไว้ตรงไหนยะ..หา!”
อัธวุธอุ้มลังใบใหญ่เดินเข้ามาแล้วก็ต้องตาโตหยุดมองทั้งคู่ที่กำลังนั่งย่ออยู่ที่พื้น ทั้งสองรีบผละออกห่างจากกัน เมธาวีรีบลุกขึ้นมา
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” อัธวุธถาม
“ปะ..เปล่า ไม่มีอะไรนี่” เมธาวีชี้ไปที่มุมห้อง “วางไว้ตรงนั้นเลยพี่อาร์ท”
อัธวุธยกลังไปวางตามที่เมธาวีบอกแต่สายตายังคงมองจ้องณภัทรกับเมธาวี ณภัทรกับเมธาวีส่งสายตาให้กันแต่ก็ยังขัดๆ เขินๆ กันอยู่ อัธวุธแอบมองแล้วก็อมยิ้มเพราะรู้สึกได้ว่าทั้งสองเริ่มมีใจให้กัน

ณดลกับอนามิกาเดินกลับเข้าบ้านมาด้วยกัน ทั้งสองถือกระเป๋าและเอกสารเดินหัวเราะหยอกล้อกันเข้ามา มีทั้งเกาะแขนและแตะตัวกันอย่างสนิทสนม
“ฮ่าๆ ฉันหละเข็ดจนตาย ต่อไปไม่กล้าลองของกับไอ้ไวน์หมักเองอะไรนี่อีกแล้ว”
“ฮ่าๆๆ ใช่...แต่ก็อร่อยดีนะ แต่อย่างว่าแหละ ดีกรีออกจะโหดไปนิด” อนามิกาเห็นด้วย
“น่าจะขอซื้อติดมือกลับมาเป็นที่ระลึกซักขวดนะ”
“โหย...ยังกะคุณจะกล้ากิน เดี๋ยวก็เมาจนไม่รู้นอนห้องใครเตียงใครอีกหรอกคุณน่ะ ฮ่าๆๆๆ ...หา!”
อนามิกากับณดลกำลังคุยกันอย่างออกรส มีการแตะแขนแตะตัวกันเป็นระยะๆ แต่แล้วก็ ต้องเบรกเอี๊ยดชักมือกลับเมื่อเห็นพนารัตน์หยิบคุกกี้กำลังจะใส่ปากแต่ถือคุ๊กกี้อ้าปากค้างไว้อย่างนั้น
ณดลกับอนามิกาตกตะลึง พอรู้สึกตัวก็รีบผละออกจากกัน
“คะ..คุณแม่...เอ่อ..ขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบณดลก็รีบเดินงุดๆ เข้าบ้านไป อนามิกาเดินตามแล้วหันมายกมือไหว้พนารัตน์ พอทั้งสองเดินลับไป พนารัตน์ยังคงนั่งเหวอเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“เมาไวน์ นอนผิดเตียง นี่มันอะไรกันเนี่ย” พนารัตน์พูดเบาๆ

ณภัทรนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกของบ้านอัธวุธ เขาเอามือเขย่าคอเสื้อเพราะว่ากำลังร้อนจนเหงื่อไหล เมธาวีกับอัธวุธยกน้ำอัดลมสีสวยใส่น้ำแข็งเข้ามาวางให้
“มาแล้วจ้า...กินซะ เดี๋ยวจะหาว่าเจ้าของบ้านใจดำ ไม่ดูแล” อัธวุธบอก
“ขอบคุณมากนะภัทร อุตส่าห์มาช่วยขนของย้ายให้ เหนื่อยมากมั้ยเนี่ย” เมธาวีถาม
“ไม่หรอก มีอะไรให้ช่วยอีกก็บอกนะ” ณภัทรตอบ
“ไม่มีแล้วหละ ขนของทุกอย่างมาหมดเรียบร้อยแล้ว”
ณภัทรยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วก็ต้องชะงักมองไปที่พื้นห้อง
“อะไรตกอยู่นั่นน่ะ” ณภัทรถาม
พูดจบณภัทรก็ลุกเดินไปที่เสื้อของเมธาวีตัวหนึ่งซึ่งหล่นอยู่กับพื้น ณภัทรหยิบขึ้นมาชูให้เมธาวีกับอัธวุธดู
“อ๋อ...เสื้อเมเอง” เมธาวีบอก
“อุ๋ย..โทษที สงสัยฉันทำหล่นจากกล่องเสื้อผ้าเอง” อัธวุธกล่าว
ณภัทรมีสีหน้าแปลกใจ เขาใช้อีกมือหยิบผ้าพันคอที่หล่นติดอยู่กับเสื้อขึ้นมาด้วย ณภัทรชูผ้าพันคอให้เมธาวีกับอัธวุธดู
“แล้วผ้าพันคอนี่ก็ของเมใช่มั้ย”
เมธาวีตาโตด้วยความตกใจ เธอหันไปมองหน้าอัธวุธทันที
เมธาวีกับอัธวุธนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เกี่ยวกับผ้าพันคอผืนนั้น

วันนั้น อัธวุธหยิบผ้าพันคอมาพรีเซนต์เหมือนตนเองเป็นนางแบบ
“อ๋อๆๆๆ ผ้าพันคอที่แกถักให้นายภัทรใช่มะ”

เสียงณภัทรถามอีกครั้งทำให้อัธวุธกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
“เอ้า! เป็นอะไรกันไปหมด”
ณภัทรเดินเข้ามาใกล้ๆ เมธาวีและอัธวุธพร้อมกับชูผ้าพันคอให้ดูใกล้ๆ
“แล้วผ้าพันคอนี่ล่ะของใคร” ณภัทรถามย้ำ
“ของ...เอ่อ...” เมธาวีอึกอัก
“ก็ของแกน่ะสินายภัทร อุ๊บ!”
เมธาวีรีบเอามือปิดปากอัธวุธแล้วหันมาพูดกับณภัทร
“ของเมเอง” เมธาวีปล่อยมือจากปากอัธวุธมาดึงผ้าพันคอคืน “ขอบคุณนะ”
ณภัทรพยักหน้ายิ้มๆ และงงๆ แต่ก็ไม่คิดอะไร เขาเดินมานั่งจิบน้ำอัดลม อัธวุธหันไปพูดเบาๆ กับเมธาวี
“ก็แล้วทำไมไม่ให้ๆ เค้าไปซะเลยล่ะ”
“ก็เมเขิน” เมธาวีตอบเบาๆ
ณภัทรยกแก้วจิบ “หือ...” เขาลดแก้วลง “มีอะไรเหรอ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” เมธาวีรีบตอบ
เมธาวียิ้มกลบเกลื่อนแล้วหันมาเอานิ้วจุ๊ปากกับอัธวุธไม่ให้บอกณภัทร

เสรีกำลังโวยใส่กอบชัยและพนารัตน์ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้องรับแขกที่บ้านของเขาอย่างซีเรียส
“ที่ผมเชิญคุณสองคนมาบ้าน ก็เพราะผมอยากจะบอกว่าผมเบื่อที่จะรอเต็มทีแล้ว ถ้าคุณกอบกับคุณรัตน์ ไม่รีบจัดงานหมั้นให้นายภัทรกับหนูแพร เราสองครอบครัวก็ขาดกัน ไม่ต้องมาคบกันอีก”
“ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ” กอบชัยเจรจา “ผมกับคุณรัตน์ไม่ใช่คนที่จะลืมคำสัญญา โดยเฉพาะเป็นสัญญาที่ให้ไว้กับคนที่เคยมีบุญคุณกับเราอย่างคุณเสรี”
“คุณก็พูดแต่ให้ผมรอ แล้วก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ”
“ฉันก็พยายามแล้วนะคะ เคยกระทั่งจ้างให้เค้าเลิกกันด้วยซ้ำ แต่จะว่าไป ยัยอะนาคนนี้ ก็หาที่จับผิดเค้าไม่ค่อยได้ งานบ้านงานครัวก็ทำได้ดี ล่าสุดไปช่วยงานตาณดลก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เรียกว่าเด็กคนนี้ก็มีดี” พนารัตน์พูด
เสรียิ่งเดือดจึงตวาดลั่น “แล้วลูกสาวผมไม่ดีหรือไง..หา?”
พนารัตน์ที่เผลอยิ้มแย้มชมอนามิกาถึงกับหน้าแหยเพราะสำนึกได้ว่าชมเพลินไปหน่อย
“อุ๊ย..โทษค่ะชมเพลินไปหน่อย แหม...หนูแพรก็ต้องดีสิคะ ทั้งดีทั้งน่ารัก เราก็อยากได้หนูแพรเป็นสะใภ้ใจจะขาด แต่ว่าความรักของเด็กสมัยนี้ เราไปบังคับจิตใจเค้าก็คงไม่ได้”
“ใช่..เด็กสมัยนี้ไม่ยอมให้พ่อแม่จับคลุมถุงชนแล้วหละ เราคงทำได้แค่หาทางให้เค้าได้ใกล้ชิดกัน ไปกินข้าว ไปเที่ยวด้วยกัน” กอบชัยพูด
พนารัตน์นึกขึ้นได้จึงรีบโพล่งขึ้น “ใช่...ไปเที่ยวไง พวกเรากำลังจะไปดูเกาะที่ณดลซื้อเอาไว้ ถ้าเป็นไปได้ คุณเสรีก็พาลูกสาวไปเที่ยวด้วยกันมั้ยล่ะคะ”
“อืม..หนุ่มสาวได้ใกล้ชิดกันในบรรยากาศโรแมนติก ผมว่าเข้าท่านะ หรือคุณเสรีว่าไง” กอบชัยถาม
จากที่หน้าเครียดเสรีก็พอจะเบาใจได้บ้าง เขาจึงพยักหน้ารับคำเชิญ

ณดลกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ในห้องแสงสลัวที่มีเสียงลมหวีดหวิวคล้ายกับจะมีพายุ ทันใดนั้นก็มีเสียงประตูเปิดผัวะออก มีแสงส่องเข้ามาจากประตูที่ถูกเปิด ณดลถูกแสงส่องตา ก็ขยิบตาและยกแขนป้องแสง แล้วค่อยๆ หยีตาเพ่งมองไปที่ประตูที่เปิดอยู่
ณดลเห็นอนามิกาในชุดนอนพลิ้วบางเซ็กซี่มายืนแอ่นท่าทางเซ็กซี่ที่ขอบประตู เห็นเป็นเงาดำ กระโปรงพลิ้ว ผมปลิวสยาย ณดลชันกายขึ้นมานั่งแล้วขยี้ตาเพ่งมอง
อนามิกาในชุดนอนบางเบาเดินเยื้องย่างตรงมาที่เตียง ณดลเห็นว่าเป็นอนามิกาก็ตาโตและแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
ณดลหลุดปากอุทานเบาๆ “อะนา”
อนามิกายืนออกลีลาเต้นยั่วยวนพริ้วไหวอยู่ที่ปลายเตียง แล้วค่อยๆ คุกเข่าคลานขึ้นเตียง ส่งสายตาเป็นนางแมวยั่วสวาทให้ณดล ณดลนั่งอยู่บนเตียงขยับถอยกรูดจนไปพิงหัวเตียง
อนามิกายังคงคืบคลานเข้ามาใกล้พร้อมใช้สายตายั่วยวนสุดฤทธิ์ แล้วตวัดลิ้นเลียริมฝีปากอย่างนางแมวยั่วสวาท

ณดลลืมตาโพลงขึ้นมาในความมืดสลัวด้วยอาการตกใจ เขาลุกขึ้นมานั่งกุมขมับอย่างรู้สึกผิดในใจ
“ฝันบ้าอะไรวะเนี่ย” ณดลทึ้งๆ ศีรษะตนเหมือนจะเรียกสติคืนมา “ผู้หญิงคนนี้เป็นน้องสะใภ้แก เลิกฝันบ้าๆ แบบนี้ซะที”
ณดลเปิดโคมไฟที่หัวเตียงแล้วเดินมาที่โต๊ะที่มีเหยือกน้ำกับแก้วน้ำวางอยู่ ณดลยกเหยือกน้ำเทก็เห็นว่ามีน้ำเหลืออยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น ณดลถอนใจด้วยความเซ็งที่น้ำใกล้หมดอีก

ณดลเดินซึมๆ ลงมาที่ตู้เย็นที่อยู่ชั้นล่างของบ้านเพราะจะหาน้ำดื่ม พอเขาเงยหน้ามองขึ้นไปก็ต้องชะงักตกใจเพราะเขาเห็นอนามิกาอยู่ในชุดนอนบางเบายืนอยู่ใกล้ตู้เย็นที่กำลังเปิดอยู่ แสงสว่างจากตู้เย็นส่องผ่านชุดทำให้อนามิกาดูเซ็กซี่ในชุดนอนบางเบา
ณดลตกตะลึงตาโตเท่าไข่ห่าน อนามิกากำลังหาเครื่องดื่มในตู้เย็น ณดลลืมตัวยืนมองนิ่งอยู่ จนได้ยินเสียงเรียกของณภัทรพร้อมๆ กับไฟในห้องที่เปิดสว่างขึ้น เขาจึงสะดุ้งสุดตัว
“พี่ณดล”
ณดลหันไปเห็นณภัทรที่มืออยู่ที่สวิตช์เปิดไฟ ณภัทรถามขึ้น
“ยืนดูอะไรอยู่พี่”
ณดลลนลานออกอาการพิรุธ “ปะ..เปล่านะ ฉันไม่ได้ดูอะไร”
“อ้าว..คุณ” อนามิกาเดินย้อนมาที่ณดล “แล้วลงมาทำไมดึกๆ ดื่นๆ คะเนี่ย”
“ก็...เอ่อ..ฉันฝันไม่ดี เลยสะดุ้งตื่น...แล้วก็หิวน้ำน่ะ”
“ฝันไม่ดีนี่ฝันว่าอะไรเหรอพี่” ณภัทรถาม
“ก็...ฝันว่า...โอ๊ย...แกอย่าถามเซ้าซี้ได้มั้ย แค่นี้ฉันก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว”
ณภัทรงง “รู้สึกผิดอะไรพี่”
“ฉันบอกว่าอย่าถาม! โอ๊ย...นี่ฉันเป็นบ้าอะไรไปแล้ว” ณดลหันหลังจะเดินกลับ
“อ้าว..แล้วไม่กินน้ำแล้วเหรอ” อนามิกาถาม
“ไม่แล้ว..ไม่กินแล้ว” ณดลพูดกับณภัทร “เดี๋ยวฉันขับรถออกไปกินข้างนอก”
ณภัทรกับอนามิกายิ่งงงไปใหญ่ “หา...”
ณดลเดินงุดๆ ย้อนกลับไป ณภัทรกับอนามิกาหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ
“เค้าเป็นอะไรของเค้าเนี่ย” อนามิกาถาม
ณภัทรส่ายหน้าเพราะจนปัญญาที่จะตอบเหมือนกัน

ณดลนั่งคลึงแก้ววิสกี้โซดาอยู่ในคลับของพายัพ ส่วนอีกมือกุมขมับอย่างกลัดกลุ้มใจ ณดลพูดกับตนเองเบาๆ อย่างขัดเคืองใจตัวเอง
“เอาความคิดบ้าๆ ออกไปจากหัวแกซะที อะนาเป็นน้องสะใภ้ อะนาเป็นเมียของน้องชายเราเอง เลิกคิดถึงเค้าแบบนี้ได้แล้ว “
ณดลยกแก้วขึ้นดื่มพรวดๆ จนหมดแล้วกระแทกวางแก้วลง เขาเพ่งมองเศร้าๆ ไปที่เปลวเทียนในแก้วเล็กๆ ที่อยู่บนโต๊ะแล้วหวนคิดถึงอดีตของตัวเองกับอนามิกา

วันที่เจอกันครั้งแรก ณดลรออยู่หน้าห้องของณภัทรที่ลอนดอน อนามิกาเปิดประตูมา ณดลมองจ้องหน้าอนามิกาแบบพิจารณาสุดๆ
วันที่เดินทางไปชนบทเวิ้งว้างห่างไกลนอกลอนดอน ณดลกับอนามิกา ลงมาจากรถอย่างหัวเสีย มีไอน้ำพวยพุ่งออกจากจากกระโปรงหน้ารถที่ชนกับก้อนหินก้อนใหญ่จนหม้อน้ำแตก
คืนที่ณดลกับอนามิกากำลังคุยเรื่องผีแล้วไฟก็ดับลงอีกครั้ง อนามิกาตกใจกลัวจนกระโดดกอดณดล พอไฟสว่างอีกครั้ง อนามิกาจึงรู้ตัวว่ากอดณดลแน่น จมูกแทบชนจมูกจึงค่อยๆ คลายวงแขนแล้วผละออกมา ณดลยิ้มขำๆ อย่างเอ็นดู
คืนที่อนามิกาขยับให้ณดลที่นอนหนาวอยู่กับพื้นขึ้นมานอนบนเตียงเดียวกัน แต่ก็หาอะไรมากั้นเขตแบ่งครึ่งไว้
เช้าที่ทั้งสอง ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกัน มองตากันสักพัก แล้วพริ้มหลับตา ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วตาโตตกใจที่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
วันที่ทั้งสองอยู่ที่จุดชมวิวลอนดอน ที่ Hampstead Health ณดลแอบถ่ายรูปอนามิกาแทบทุกอิริยาบถ ทั้งเดินเล่น ทั้งเหม่อมองชมวิว ทั้งจับใบไม้ ดอกไม้ และยังแอบถ่ายภาพใกล้ใบหน้าของอนามิกายามเผลออีกด้วย ขณะกำลังจะกดชัตเตอร์อีกภาพ ณดลก็ชะงักเพราะรู้สึกผิดขึ้นมา
หลังจากนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต ณดลก็ถอนใจอย่างเศร้าๆ เพราะรู้สึกไม่ค่อยดีที่เผลอใจชอบอนามิกา

ณดลนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วก็ทำหน้าเหวอเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าชอบอนามิกามาตั้งแต่ที่ลอนดอนแล้ว ณดลพูดเบาๆ อย่างแปลกใจตัวเอง
“หรือว่า...เราชอบเค้าตั้งแต่ที่ลอนดอนแล้ว”
พายัพเดินถือแก้ววิสกี้ตรงเข้ามาทักทายณดลจากข้างหลัง ณดลสะดุ้งแล้วรีบทำตัวปกติ
“ไม่เจอกันนานเลย ณดล ให้พี่นั่งเป็นเพื่อนมั้ย” พายัพไม่รอให้ตอบ ขยับมานั่งข้างๆ แล้วสังเกตเห็นว่าณดลกำลังทุกข์ใจ “โอเคอยู่รึเปล่า เมื่อกี้เห็นเหมือนพูดกับเทียนอยู่เหรอ ฮ่าๆๆ มีอะไรก็พูดกับพี่ได้นะ”
ณดลลังเล เพราะไม่อยากเล่า “เอ่อ...คือ...”
พายัพเห็นณดลไม่เต็มใจตอบจึงรีบพูดขึ้น “ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดก็ได้ พี่นี่เสียมารยาทจริงๆ ไม่ควรถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวแบบนั้น”
ณดลสวนขึ้นอย่างเกรงใจ “ไม่หรอกครับพี่ คือผม...จะเล่ายังไงดีล่ะ คือ..พี่ว่ามันผิด มันบาปมากมั้ย ถ้าใครซักคนจะ...เกิดความรู้สึกดีๆ กับ...กับเมียของ..คนที่เป็นญาติกันน่ะ”
“อืม...คนสองคนเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน มันก็ต้องดีสิ”
“แล้วถ้าความรู้สึกดีๆ นั้นมันเป็นความรักล่ะพี่”
“รักแบบแฟนกับเมียของญาติตัวเองเนี่ยนะ” พายัพถามย้ำ
ณดลพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ
“เฮ้ย! จะดีเหรอ ไอ้คนๆ นั้นที่ว่ามันเป็นใครเหรอ” พายัพเอะใจก่อนจะหันมาชี้ที่ณดล “อย่าบอกนะว่าเป็นณดล”
ณดลรีบลนลานปฏิเสธ “มะ..ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ผมนะพี่”
“แล้วเป็นใคร”
“ก็...เอ่อ..เป็น...เป็น...” ณดลอึกอัก
“เป็นเพื่อนของณดลเหรอ”
ณดลรีบรับคำ “ใช่ครับ ใช่ๆ เป็นเพื่อนผมเองครับ”
“งั้นณดลไปบอกเพื่อนได้เลยว่าให้หยุดความรู้สึกแบบนั้นซะ มีอย่างที่ไหน กระทั่งเมียของญาติตัวเองก็ยังไม่เว้น” พายัพพูดใส่หน้าณดล “พี่ว่ามันอุบาทว์มากเลยนะ”
ณดลเผลอหลุดปาก “ผมรู้ครับพี่ ผมเองก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว”
พายัพเอะใจ “เรื่องของเพื่อน...แล้วณดลจะรู้สึกผิดทำไม”
ณดลรีบแก้ตัว “เอ้อ...คือ...ผมรู้สึกผิดแทนเพื่อนมันน่ะครับ”
จังหวะนั้นธัญญาแต่งชุดนักร้องที่สุดจะเซ็กซี่เดินเข้ามาพอดี
“ธัญญา! มานี่ก่อนเลย” พายัพร้องเรียก “ลองฟังเรื่องเพื่อนของณดลเค้าสิ”
ณดลขยับจะห้ามพายัพแต่ก็ไม่ทันแล้ว
“ไหนคะ เพื่อนคุณณดลมีเรื่องอะไรเหรอ” ธัญญาเดินเข้ามา
“ก็..เอ่อ...” ณดลอึกอัก
พายัพเห็นว่าไม่ทันใจเลยชิงเล่าเอง “คือเพื่อนของณดลเค้าดันไปหลงรักเมียของญาติตัวเองน่ะ”
“ว๊าย..ไม่ไหวมั้งคะ” ธัญญาหันมาที่ณดล “ลักษณะนี้ สรุปสั้นๆ ง่ายๆ คำเดียวว่า” ธัญญาเน้นเสียง “เลว!”
ณดลได้ยินถึงกับสะดุ้งโหยง

ก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำชายถูกเปิดอย่างแรงสุด ณดลวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าแล้วขัดถูหน้าแรงๆ เหมือนจะล้างเอาความรู้สึกในหัวออกไป
ณดลเงยหน้ามามองใบหน้าที่ยังเปียกชุ่มของตนเองในกระจกเหนืออ่างล้างหน้า เขาได้ยินเสียงของพายัพและธัญญาแว่วมาในความคิด
“มีอย่างที่ไหน กระทั่งเมียของญาติตัวเองก็ยังไม่เว้น พี่ว่ามันอุบาทว์มากเลยนะ”
“ลักษณะนี้ สรุปสั้นๆ ง่ายๆ คำเดียวว่า เลว!”
ณดลรู้สึกอัดอั้นจนแทบอยากตะโกนออกมาแต่เขาก็กลั้นไว้แล้ววักน้ำล้างหน้าอีกที พอเงยหน้าขึ้นมาก็สะดุ้งโหยง เพราะพายัพมายืนมองณดลแบบเหวอๆ อยู่ข้างๆ
“ปะ..เป็นอะไรมากหรือเปล่าณดล”
“ไม่มีอะไรครับ ผม...ก็แค่รู้สึกแย่ๆ แทนเพื่อนน่ะครับ” ณดลตอบ
“เฮ่อ..ไอ้ความรักนี่มันก็ไม่เข้าใครออกใครนะ”
พายัพเดินเข้ามาตบไหล่ปลอบ
“บางครั้งถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าผิด เหมือนมีนรกอยู่ในใจ แต่ทำไงได้ ก็มันรักไปแล้วนี่”
ณดลพยักหน้าหงอยๆ “ครับพี่”
“ที่เล่ามานี่เป็นเรื่องของณดลเองใช่มั้ย ณดลรู้สึกดีๆ กับภรรยาของน้องชายตัวเองเข้าแล้วใช่มั้ย” พายัพพูดอย่างรู้ทัน
ณดลรีบลนลานปฏิเสธ “ไม่ใช่นะครับพี่ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่เรื่องของผม เรื่องของเพื่อนผมจริงๆ ครับ ผมเปล่า ผมไม่ใช่...”
“เอาหละๆ พี่เชื่อแล้ว..พี่เชื่อแล้ว”
ณดลสงบลงแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป พายัพมองตามไปอย่างไม่เชื่อที่ณดลพูด
“นี่ณดลแอบหลงรักอะนาจริงๆ เหรอ” พายัพพึมพำ

ณดลมีท่าทางซึมเศร้าขณะเดินผ่านหน้าประตูห้องนอนของณภัทร แล้วเขาก็ชะงักเดินย้อนกลับมายืนหน้าประตู
ณดลหน้าเศร้าและคิดถึงคำพูดของพายัพ
“บางครั้งถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าผิด เหมือนมีนรกอยู่ในใจ แต่ทำไงได้ ก็มันรักไปแล้วนี่”
ณดลรู้สึกผิดสุดๆ จนต้องหลับตาปี๋และส่ายหน้าเหมือนจะลบเลือนความรู้สึกดีๆ ที่มีต่ออนามิกาออกไป
ณดลพูดเตือนสติตนเองเบาๆ “เค้านอนอยู่กับน้องเราในห้องนี้ ลืมเค้าไปซะ”
ณดลกำลังจะก้าวออกมา แต่ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิด ณดลสะดุ้งหันไปเห็นว่าณภัทรเปิดประตูออกมา
“พี่ณดล...มีอะไรเหรอพี่”
“เอ่อ...คือ...ฉัน...” ณดลอ้ำอึ้ง
“มีอะไรก็ว่ามาสิพี่” ณภัทรขยับออกมาแล้วปิดประตู พอมายืนใกล้ณดล ณภัทรก็ได้กลิ่นเหล้า “นี่พี่กินเหล้ามาเหรอ”
“ก็...นิดหน่อย งั้นฉันขอตัวไปนอนก่อนหละ”
“เดี๋ยวสิพี่ ท่าทางพี่เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ มีอะไรก็บอกผมเถอะนะครับ”

สีหน้าณภัทรเวลานี้ ดูออกว่าเป็นห่วงณดลอย่างมาก

อ่านต่อหน้า 4 เวลา





 แหม่มแก้มแดง  ตอนที่ 9 


ณดลกับณภัทรออกมานั่งคุยกันบริเวณเก้าอี้ที่สวนหย่อมหน้าบ้าน


“คือ...ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าควรจะบอกแกดีหรือเปล่า” ณดลเอ่ย
“อ้าว! ไหงงั้นล่ะพี่ณดล เราเป็นพี่น้องกันนะ มีอะไรก็ต้องบอกกันได้ทุกเรื่องสิ เราก็มีกันสองคนแค่นี้ ถ้าพี่บอกผมไม่ได้ แล้วพี่จะไปบอกใคร”
“แต่ว่า...ถ้าฉันบอกแกไป แกจะเลิกนับถือฉันเป็นพี่หรือเปล่า”
“แล้วทำไมจะต้องเลิกล่ะพี่ ความเป็นพี่น้องนี่มันเลิกกันได้ด้วยเหรอ ถึงยังไงเราก็ต้องเป็นพี่น้องกันไปตลอดชีวิตแหละพี่” ณภัทรย้ำ
“คือ...ฉันคิดว่า...ฉันกำลังเกิดความรู้สึกดีๆ....”
ณภัทรกลั้นหายใจลุ้นกับคำสารภาพของพี่ชายตัวเอง
“กับ....” ณดลพูดไม่ออก
“กับใครก็บอกมาสิพี่ ผมกลั้นหายใจรอลุ้นจนใจจะขาดแล้วเนี่ย”
ณดลกุมขมับอย่างหนักใจเพราะหาทางออกไม่ได้
“ว่าไงพี่ บอกผมมาสิครับ พี่รู้สึกดีๆ กับใคร”
“ก็....” ณดลลำบากใจที่จะบอก
ณภัทรกลั้นหายใจรอฟังอีก
ณดลตัดบท “...ช่างเหอะ!”
“เฮ้ย...อะไรของพี่เนี่ย มีอะไรก็บอกผมมาเหอะ เอางี้! ผมสัญญาจะเก็บเป็นความลับด้วยเอ้า พี่ว่ามาเลย พี่รู้สึกดีๆ กับใครอยู่เหรอ”
“ไม่เอา..ฉันไม่พูดดีกว่า แกอย่าสนใจเลย ฉันคงดื่มจนเมา แล้วพูดอะไรเพ้อเจ้อไปเรื่อยนะ ไม่มีอะไรหรอก”
“อะไรของพี่เนี่ย ตกลงจะไม่บอกใช่มั้ย” ณภัทรถามย้ำ
“ฉันไปนอนก่อนนะ” ณดลลุกเดินหนีโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน
“อ้าว..เฮ้ย...พี่ณดล เดี๋ยวก่อนสิครับพี่”
ณดลเดินเข้าบ้านไปทันที ณภัทรมองตามไปแล้วพยายามครุ่นคิดเพื่อไขปริศนา
“อะไรวะ จู่ๆ ก็มาบอกว่ากำลังรู้สึกดีๆ กับใครคนนึง แล้วก็บอกว่าถ้าพูดออกมา กลัวเราจะเลิกนับถือ” ณภัทรนึกขึ้นได้ “เฮ้ย...หรือว่า..” ณภัทรยิ้ม “พี่ณดลต้องชอบอะนาแน่ๆ”
ณภัทรยิ้มเพราะดีใจที่พี่ชายมีความรัก แต่สักครู่เขาก็เริ่มเป็นกังวล
“เฮ่อ...สงสารพี่ณดลจริงๆ แต่ถ้าขืนบอกความจริงไปว่ายัยอนามิกาไม่ใช่เมียเรา เราก็โดนจับแต่งกับน้องแพรอีก โอ๊ย! กลุ้มๆๆ”
ณภัทรเอามือขยี้ศีรษะเพราะไม่รู้จะหาทางออกให้ณดลอย่างไร

กอบชัย พนารัตน์ ณดล และณภัทรแต่งตัวเตรียมไปเที่ยวที่เกาะที่ณดลเพิ่งทำสัญญาซื้อขาย กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าเสื้อผ้าหลายใบวางกองๆ รวมกัน
“นี่เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างงี้มานานแล้วนะ” พนารัตน์เอ่ย
“ผมก็ตื่นเต้นอยากไปเห็นที่บนเกาะที่ณดลซื้อไว้ แล้วนี่ทุกอย่างพร้อมรึยัง” กอบชัยถามขึ้น
“เรียบร้อยครับคุณพ่อ รถตู้มารอหน้าบ้านแล้ว” ณดลบอก
“เดี๋ยวสิครับ แล้วอะนา” ณภัทรทัก
พูดไม่ทันขาดคำ อนามิกาก็เดินเข้ามาพร้อมกับเมธาวีที่แบกเป้ใบโตมาด้วย
ณภัทรดีใจ “เม”
พนารัตน์กับกอบชัยหันมามองหน้ากัน
“อ้าว...นี่...มีเพื่อนอะนาไปด้วยเหรอ” พนารัตน์ถาม
“ค่ะ..ชื่อเมธาวีค่ะ สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า” เมธาวียกมือไหว้ทั้งสอง
“ไป...งั้นรีบๆ ได้แล้ว เดี๋ยวจะต้องแวะไปรับคนอื่นอีก” พนารัตน์เร่ง
“รับใครเหรอคะ” อนามิกาถาม
“ก็หนูแพรกับพรรคพวกเค้าน่ะสิ” กอบชัยตอบ

ที่บ้านของเสรี แพรวาแต่งตัวสดใส ส่วนนลิณาอยู่ในชุดที่ค่อนข้างจะเซ็กซี่ กระเป๋าเสื้อผ้าสัมภาระสองใบวางอยู่ไม่ห่าง เสรีเดินมาพูดคุยกับทุกคน
“ไปเที่ยวให้สนุกนะ นีน่า”
“ขา คุณพ่อ” นลิณารับคำ
“ฝากดูแลน้องแพรด้วยล่ะ”
“ได้เลยค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง” นลิณาขยับเข้าไปกระซิบกับเสรี “นีน่าจะคอยดูแลให้นายภัทรกับยัยแพรได้ใกล้ชิดให้มากที่สุดเลยค่ะคุณพ่อ”
เสรียิ้มชอบใจที่ลูกสาวคนโตรู้ใจ
“มาแล้วจ้า” เสียงเกตนิการ์ดังขึ้น
เกตนิการ์ถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตเดินเข้ามาอย่างร่าเริง พอเห็นเสรีเธอก็ชะงักแล้วรีบสำรวม
“อุ้ย! สวัสดีค่ะคุณลุงเสรี”
“อ้าว! เกดไปด้วยเหรอ” เสรีทัก
“ต้องไปสิคะคุณพ่อ งานเนี้ย ยัยอะนาเหน็บยัยเมไปด้วย ถ้านีน่าไปคนเดียวก็โดนรุมสิคะ” นลิณาบอก
“แพรว่าคุณอะนากับคุณเมเค้าคงไม่ทำแบบนั้น”
“โอ๊ย! เงียบๆ ไปเลยย่ะ ห่วงแต่ภารกิจของเธอเหอะยัยแพร ไปคราวเนี้ยต้องเอาชนะใจนายภัทรให้ได้นะยะ อย่าทำให้พี่กับคุณพ่อผิดหวังล่ะ”
แพรวาได้ยินถึงกับหน้าเครียด ถึงจะไม่เต็มใจ แต่เธอก็ยอมรับภารกิจที่ตนไม่อยากทำนี้แล้ว

เครื่องบินแลนดิ้งลงรันเวย์สนามบินภูเก็ต แล้วเรือขนาดกลางก็แล่นออกสู่ท้องทะเล จนกระทั่งมาถึงบริเวณชายหาดด้านหน้าเกาะ
เชษฐ์ยืนถือกุญแจอยู่ที่บริเวณเคาท์เตอร์เช็คอิน ณดลกับอนามิกายืนอยู่ใกล้ๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยมายืนกันพร้อมหน้าพร้อมตา
“ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวว่าในส่วนของที่พัก เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะต้อนรับทุกคนเท่าไหร่”ณดลเอ่ยขึ้น “ต้องขออภัยในความไม่สะดวกสบายบางอย่าง”
“แต่ไม่ต้องกลัวจะลำบากนะคะ” อนามิกาเสริม “เพราะฉันฝากให้นายเชษฐ์ว่าจ้างเด็กแล้วก็แม่ครัวมาทำงานชั่วคราวให้ในสามสี่วันนี้”
“เราเตรียมห้องพักไว้ห้าห้อง มีทั้งห้องเล็กห้องใหญ่” ณดลหยิบกุญแจจากเชษฐ์มายื่นให้พนารัตน์ “ห้องแรก ของคุณพ่อกับคุณแม่ครับ”
พนารัตน์รีบคว้าหมับ แล้วหันไปสะกิด “ไป...คุณกอบ เรารีบเข้าห้องกันเหอะ”
“แหม..คุณรัตน์ จู่ๆ มาชวนเข้าห้อง เด็กๆ เค้ายังยืนอยู่กันเต็มไปหมดนะ” กอบชัยแซว
พนารัตน์ไม่เล่นด้วย “นี่..จะพูดเล่นอะไรก็ให้อายเด็กๆ มันมั่งเหอะ มา...ตามมา” พนารัตน์หันไปหาเชษฐ์ “แล้วอย่าลืมเอากระเป๋าตามไปให้ฉันด้วยนะ”
“ครับผม” เชษฐ์รับคำ
ณดลหยิบกุญแจอีกดอก “นี่เป็นห้องของคุณนีน่า น้องแพร แล้วก็คุณเกด”
นลิณารับมา “แหม...ทีห้องนี้ให้นอนเบียดกันตั้งสามคนนะ”
“ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องอื่นนะคะ นอนสามคนได้สบายๆ เลยค่ะ” อนามิการีบบอก
ณดลยื่นกุญแจให้เมธาวีหนึ่งดอก “ห้องนี้ของเม”
เมธาวีรับมา “ขอบคุณค่ะพี่ณดล” เมธาวีพูดกับอนามิกาและณภัทร “อยู่คนเดียวเหงาแย่เลย”
“ไม่หรอกน่าเม ก็ยังมีพวกเราไง” ณภัทรบอก
ณดลหยิบกุญแจให้ตัวเองหนึ่งดอก “แล้วห้องนี้...ของฉันเอง”
“คุณณดลนอนคนเดียวเหรอคะ” นลิณาถาม
ทุกคนหันขวับไปมองนลิณา นลิณาอึดอัดที่ถูกทุกสายตาจ้องมอง
“ก็แค่ถามเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร ไป...น้องแพร ยัยเกด”
แล้วทั้งสามเดินออกไป
เชษฐ์ยื่นกุญแจดอกสุดท้ายให้ณดล
“อันนี้กุญแจห้องสุดท้ายครับ”
“ห้องนี้...ให้กับคู่ฮันนีมูน” ณดลพูดแล้วยื่นกุญแจให้อนามิกา “ของเธอกับเจ้าภัทร”
อนามิกาคว้ากุญแจมา “ไป...ภัทร” อนามิกาหันมาทางณดล “งั้นฉันขอตัวก่อนนะ”
“มาเลยจ้ะ นี่..เราสองคนต้องจู๋จี๋กันให้สมกับที่พี่ณดลเรียกเราว่าคู่ฮันนีมูนหน่อยนะ” ณภัทรแกล้งแหย่
ณภัทรควงแขนอนามิกาแล้วเดินหันหลังให้ณดล อนามิกาถองศอกเข้าที่ท้องณภัทรแต่ก็ไม่กล้ากระโตกกระตากอะไร ณดลมองตามไป จากที่ยิ้มอยู่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้า

เชษฐ์ยกกระเป๋าเต็มสองมือเดินนำเข้ามาในห้องณดล ณดลเดินตาม
เชษฐ์วางกระเป๋าแล้วพูด “คู่ฮันนีมูนคู่นี้คือน้องชายของคุณณดลกับคุณเลขาที่มากับคุณณดลคราวก่อนใช่มั้ยครับ”
ณดลพยักหน้าทั้งๆ ที่รู้สึกแปล๊บเหมือนถูกแทงใจดำ
“ผมว่าเค้าดูเหมาะสมน่ารักดีนะครับ คุณภัทรก็หน้าตาดี ยิ่งคุณอะนาก็ทั้งสวยทั้งคม โอ๊ย...ผมว่าผู้ชายทุกคนก็ต้องอิจฉาคุณภัทรกันทั้งนั้น คุณณดลว่ามั้ยครับ”
ณดลยิ่งเจ็บแปล๊บเพราะเชษฐ์พูดแทงใจดำเต็มๆ
“หน้าตาสวยๆ อย่างคุณอะนาเนี่ย ประกวดนางงามเวทีไหนก็ต้องได้...”
ณดลตวาด “พอได้แล้ว”
เชษฐ์หน้าแหย “เอ่อ..ค..ครับๆ” เชษฐ์เดินออกไปอย่างงงๆ พร้อมกับบ่นเบาๆ “เราทำอะไรผิดวะเนี่ย”
พอเชษฐ์ออกจากห้องไปแล้ว ณดลก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก

กอบชัยกับพนารัตน์เดินควงกันอย่างกระหนุงกระหนิงมาตามทางเลียบหาดทรายขาว
“แหม..คุณรัตน์ นี่มันเหมือนกับว่าเราย้อนกลับไปในตอนที่เรายังเป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วเพิ่งเริ่มจีบกันใหม่ๆ”
พนารัตน์ควงแขนกระชับแน่นขึ้น “นั่นสิคุณ ฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้มานานแล้ว ทั้งสถานที่ ทั้งบรรยากาศ เอ๋...”
พนารัตน์กำลังเคลิ้มอยู่ก็ต้องสะดุดอารมณ์มองเห็นณดลนั่งเศร้าสร้อยอยู่ตรงโขดหินริมทะเลคนเดียว
“มีอะไรเหรอคุณ” กอบชัยถามภรรยา
“ก็ลูกชายเราน่ะสิ ทำไมถึงดูเศร้าแบบนั้น”
“มันจะมีอะไรให้เศร้าอีกล่ะเนี่ย เห็นอยากได้ที่ดินบนเกาะนี้มานาน วันนี้ก็ได้เป็นเจ้าของสมใจแล้ว มันควรจะมีแต่เรื่องที่น่าดีใจตะหาก”
“นั่นสินะ แล้วเค้าเป็นอะไรของเค้า”
“เราจะมัวมาสงสัยกันทำไม ก็แค่เดินเข้าไปถามซะ”
พนารัตน์แย้งขึ้นทันควัน “คุณเป็นพ่อประสาอะไร ไม่รู้จักลูกของตัวเอง คนอย่างณดล ถ้าไปถามอะไรตรงๆ มีหรือที่ลูกมันจะยอมพูดออกมา”
“พวกผู้ชายเราส่วนมากก็เป็นแบบนี้ คิดอะไรรู้สึกอะไรอยู่ในใจ ก็อมพะนำไว้ ไม่ค่อยยอมพูด ยอมฟูมฟายบอกใครหรอก”
“ถ้าถามณดลไม่ได้ แล้วเราจะไปถามใครได้เหรอคุณ”
พนารัตน์กับกอบชัยช่วยกันขบคิด

ณภัทร อนามิกา เมธาวี กอบชัย และพนารัตน์นั่งเล่นกันอยู่ที่ม้านั่งบริเวณที่ร่มรื่น น้ำผลไม้และน้ำอัดลมสีสวยๆ ตั้งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ
“ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเรื่องอะไรที่จะทำให้คนอย่างพี่ณดลเศร้าได้” ณภัทรบอก
พนารัตน์หันมาถามอนามิกา “แล้วเธอล่ะรู้มั้ย”
อนามิกาส่ายหน้า “ไม่ทราบเลยค่ะ เค้าเศร้าเป็นด้วยเหรอคะ ไม่เคยสังเกตเห็นเลย”
“อะไรกัน เธอเป็นเลขาเค้าประสาอะไร ไม่เคยสังเกตอะไรบ้างเลยเหรอ” พนารัตน์ว่า
กอบชัยพูดกับพนารัตน์ “งั้นก็เอางี้มั้ย ผมว่าก็ให้แม่อะนาคอยดูแลใกล้ชิดเจ้าณดล เผื่อจะสืบๆ ถามอะไรให้พวกเรามั่ง”
“เอ่อ...จะดีเหรอคะ” อนามิกาลำบากใจ
“ดีสิ...” พนารัตน์หันไปทางณภัทร “เธอไปดูแลณดลซะ เจ้าภัทรจะได้มีเวลาดูแลหนูแพรเค้าบ้าง”
กอบชัยสะกิด แล้วกระซิบพนารัตน์ “คุณรัตน์ จะต้องไปแบไต๋ซะหมดแบบนั้นทำไม”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คุณ ก็เหมือนครอบครัวเราเป็นเจ้าของที่นี่ ฉันก็แค่ให้เจ้าภัทรดูแลหนูแพรเค้าเหมือนกับ เจ้าบ้านดูแลแขกที่แวะมาเที่ยว ก็แค่นั้น”
“อืม...คุณรัตน์แก้ตัว..เอ๊ย! ชี้แจงได้ดี” กอบชัยบอก
“ฉันจะเอาตามนี้แหละ มีใครข้องใจมั้ย” พนารัตน์ถาม
ทุกคนนิ่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่เมธาวีรู้สึกไม่สบายใจที่ณภัทรจะต้องไปดูแลใกล้ชิดกับแพรวา

ณภัทรกับเมธาวีเดินเล่นเลียบหาดมาด้วยกัน
“ฉันจะบอกให้นะเม จริงๆ แล้วฉันว่าฉันพอรู้ว่าพี่ณดลเศร้าเรื่องอะไร”
“อ้าว..แล้วทำไมนายไม่บอกคุณพ่อคุณแม่นายให้รู้ล่ะ”
“บอกได้ไงเล่า ก็พี่ณดลเค้าเศร้าเพราะเค้าเกิดชอบยัยอะนาขึ้นมาน่ะสิ”
“คอนเฟิร์มป่ะเนี่ย ข่าวลือ หรือข่าวกรอง”
“ข่าวกรองสิ กรองมากับมือเลยหละ ที่พี่ณดลเศร้า ก็เพราะรู้สึกผิด เพราะคิดว่าอะนาเป็นเมียฉันจริงๆ น่ะสิเม”
“ตายจริง...งั้นก็น่าสงสารพี่ณดลเค้าเน๊อะ ตอนนี้คงรู้สึกผิดน่าดู”
“ทำไงได้ล่ะ ก็คงต้องปล่อยให้พี่ณดลเป็นอย่างงี้ต่อไป เพราะขืนบอกความจริง ฉันก็ต้องโดนบังคับให้หมั้นกับคุณแพรอีกน่ะสิ”
“อ้าว..กลัวด้วยเหรอ”
ณภัทรงง “หือ?”
“ฉันนึกว่านายไม่กลัวซะอีก เห็นคุณแม่นายฝากฝังให้ดูแลคุณแพร แล้วไม่เห็นนายจะปฏิเสธเลย”
“นี่...อย่าบอกนะว่าหึงฉัน”
เมธาวีทำปากแข็ง “บ้า หลงตัวเองไปหน่อยรึเปล่า ทำไมฉันต้องหึงนายด้วย”
ณภัทรแกล้งยั่ว “ดี งั้นเดี๋ยวตอนไปเดินป่า ฉันจะดูแลคุณแพรอย่างดีสุดๆ ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม จะกินอะไรก็จะคอยป้อน จะบุกป่าฝ่าดงยังไงก็จะคอยติดตามไปดูแลใกล้ๆ”
เมธาวีเริ่มงอน “โอ๊ย...อยากจะดูแลกันถึงไหนก็เชิญเถอะจ้ะ อย่างกับว่าฉันจะแคร์”
ณภัทรหันกลับมา “ฉันล้อเล่นหรอกน่า ฟังนะ ถ้าฉันชอบคุณแพร แล้วฉันจะต้องสร้างเรื่องเมียกำมะลอที่ท้องอ่อนๆ นี่ขึ้นมาทำไม”
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“เราอย่าเพิ่งมางอนกันเลยน่ะเม ตอนนี้ ที่เราควรจะทำก็คือ เราควรจะหาทางช่วยให้พี่ณดลได้สมหวัง ถ้าอะนาจะกลายเป็นพี่สะใภ้ฉัน ฉันก็ยินดีนะ”
“ก็เอาสิ ฉันก็รู้สึกเหมือนกันว่าคู่นี้ก็เหมาะสมกันดี ต้องคนอย่างพี่ณดลนี่แหละถึงจะเอาพี่อะนาอยู่”
“ใช่...ว่าแต่...เราจะทำยังไงกันดีล่ะ”
เมธาวีกับณภัทรปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดจริงจัง

ณดลยังคงนั่งหงอยเหม่อมองผืนน้ำทะเลเบื้องหน้าอยู่คนเดียว สักพักอนามิกาก็เดินมานั่งเคียงข้าง ทั้งสองนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง อนามิกาจึงพูดขึ้น
“กำลังคิดจะพัฒนาที่ดินแถวนี้ให้เป็นธุรกิจอยู่เหรอคะ”
“เธอว่าไงนะ” ณดลถาม
“ก็เห็นคุณนั่งเหม่อชมวิวของคุณอยู่นานสองนาน เลยนึกว่าคุณคงกำลังคิดว่าจะปลูกสิ่งก่อสร้าง หรือจะพัฒนาที่ดินยังไงให้งอกเงยเป็นเงินขึ้นมา”
“เธอเลิกคิดว่าฉันหายใจเข้าเป็นเงิน หายใจออกเป็นธุรกิจซะทีเถอะ ฉันแค่อยากจะคงความเป็นธรรมชาติไว้อย่างที่เป็นอยู่อย่างงี้นี่แหละ”
“นี่คุณแค่พูดเพื่อสร้างภาพว่าเป็นคนรักธรรมชาติ หรือพูดจริงๆ เนี่ย”
“พูดจริงสิ เวลามาที่นี่ จะได้สูดอากาศดีๆ ได้เต็มปอดอย่างที่เป็นอยู่ ลองดูสิ สูดลมหายใจลึกๆ แล้วเธอจะรู้ว่าอากาศที่นี่ดีกว่าที่กรุงเทพฯมากๆ”
ณดลหลับตาสูดหายใจลึกๆ แล้วหันมามองอนามิกา อนามิกายังลังเลไม่ยอมทำตาม
“ลองสิ คนท้องอย่างเธอควรจะได้สูดอากาศดีๆ บ้าง” ณดลบอก
ทั้งสองหลับตา เงยหน้า แล้วสูดลมหายใจลึกๆ ทั้งสองมีสีหน้าสดชื่นที่ได้รับอากาศดีๆ แก่อนจะหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข

นลิณากับเกตนิการ์เดินคุยกันมาเรื่อยๆ ที่บริเวณชายหาดอีกมุมหนึ่ง
“ไม่มีโอกาสไหนที่จะดีกว่านี้อีกแล้ว ที่เราจะเล่นงานยัยอะนาให้มันแท้งซะ โดยที่ไม่มีใครเอาผิดเราได้” นลิณาพูด
“ยังไงเหรอเธอ ถึงขั้นทำมันแท้ง แต่เรายังลอยนวลได้อีกเนี่ยนะ” เกตนิการ์สงสัย
“ใช่...” นลิณาชี้ไปบนทิวไม้ที่เป็นป่าเขาเบื้องหลัง “ก็ลองนึกภาพถ้ามันเดินอยู่ในป่าในเขา แล้วเราจัดการให้มันพลัดตกหกล้มไปบ้าง มันจะแปลกตรงไหน”
“นั่นสินะ จะแปลกอะไร ป่านะยะ ไม่ใช่ถนนคนเดิน”
“ใช่...ถ้าเราฉวยโอกาสเล่นงานให้มันแท้งซะ ใครจะไปเอาหลักฐานอะไรมามัดตัวเราได้”
“อืม...คราวก่อน ที่ลอนดอน มันโดนแค่บันไดไม่กี่ขั้น เลยรอดไปได้ มาคราวนี้ เจอป่าเจอเขา มีทั้งชะง่อนหิน มีทั้งโขดหิน”เกตนิการ์เห็นด้วย
“งานนี้ถ้ามันยังรอดไปได้ก็ไม่ใช่คนแล้วหละ”
ทันใดนั้น ทั้งสองก็ได้ยินเสียงแพรวา “คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ”
เกตนิการ์กับนลิณารีบหุบปากเพราะกลัวแพรวาได้ยิน
“เปล๊า ไม่มีอะไร” นลิณาตอบ
“ที่นี่สวยจังเลยนะคะพี่นีน่า” แพรวาบอก
“เธออยากได้เป็นของตัวเองมั้ยล่ะ” นลิณาถาม
“ว่าไงนะคะ?” แพรวางง
“ถ้าเธออยากได้ที่นี่ ก็ต้องจับนายภัทรให้อยู่มือ เข้าใจมั้ย”
“พี่นีน่า...แพรไม่อยากทำแบบนี้เลย”
“เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวฉันกับยัยเกดช่วยจัดให้เอง”
นลิณากับเกตนิการ์ยิ้มร้ายๆ ให้กัน

ณดลกับอนามิกายังคงนั่งสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อรับอากาศดีๆ แล้วอนามิกาจึงพูดขึ้น
“รู้มั้ยว่าทุกคนเค้าเป็นห่วงคุณกันอยู่น่ะ”
“เป็นห่วงผมเนี่ยนะ?” ณดลงง “ห่วงเรื่องอะไรไม่ทราบ”
“ก็เห็นคุณท่าทางเปลี่ยนไป ดูเศร้าๆ ซึมๆ พิกล ถามจริง คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจกันแน่”
“ใช่ ฉันมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตอนนี้ ฉันพอจะหาทางแก้ได้แล้วหละ”
“ฉันชักจะงงแล้ว ตกลงคุณไม่สบายใจเรื่องอะไร แล้วคุณหาทางแก้ยังไง”
“เรื่องที่ฉันไม่สบายใจเนี่ย...ฉันขอเก็บเป็นความลับนะ แต่ทางแก้ของฉันก็คือ ในอนาคต ฉันจะให้เจ้าภัทรดูแลธุรกิจที่กรุงเทพฯ แทนฉันบ้าง ฉันจะได้ปลีกตัวมาอยู่ที่นี่ได้บ่อยๆ” ณดลบอก “แล้วไอ้การที่คุณปลีกตัวมาที่นี่คนเดียว มันจะช่วยแก้ปัญหาในใจของคุณได้อย่างงั้นเหรอ”
“ได้สิ อย่างน้อย การมาอยู่ที่นี่ ก็ทำให้ฉันอยู่ห่างจาก...” ณดลมองหน้าอนามิกา “คนที่ทำให้ฉันไม่สบายใจได้น่ะ”
“คุณพูดเหมือนนักธุรกิจแก่ๆ ที่กำลังจะปลดเกษียณตัวเองอย่างงั้นแหละ”
“ก็ทำนองนั้น เพราะถ้าฉันไม่หนีมาอยู่คนเดียวที่นี่ บางที ฉันอาจจะเผลอใจทำในสิ่งที่ผิดบาปไป และถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ ฉันคงจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย”
“คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย ฉันฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ก็ดีแล้ว เพราะถ้าคุณรู้ คุณอาจมองว่าผมเป็นคนเลว แล้วอาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้”
ณดลลุกขึ้นแล้วเดินออกไป อนามิกามองตามด้วยสีหน้าฉงนสงสัยเพราะไม่เข้าใจคำพูดของณดล


จบตอนที่ 9


อ่านต่อ ตอนที่ 10 พรุ่งนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น