แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 5
ณดลกับณภัทรกำลังนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะอาหารที่โรงแรม ณดลมีท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง จู่ๆ เขาก็เอ่ยกับน้องชาย
“คืองี้นะภัทร ฉันรู้ว่าตอนนี้แกมีเรื่องบางอย่างอึดอัดคาใจ ฉันก็เลยอยากจะเคลียร์ให้แกสบายใจน่ะ”
ณภัทรงง เพราะเขาเองกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างสบายใจอยู่
“เคลียร์อะไรพี่ ผมก็ไม่ได้อึดอัดคับข้องใจอะไรนี่พี่”
“แกอย่าปฏิเสธ ฉันรู้ เราเป็นผู้ชายด้วยกัน ฉันเข้าใจแกดี” ณดลบอก
ณภัทรยิ่งงงหนัก “พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย ผมงงไปหมดแล้ว” ณภัทรยกชาขึ้นจิบ
“ก็...ฉันรู้ว่าแกไม่สบายใจเรื่องที่ฉันไปค้างคืนกับเมียแกน่ะสิ”
ณภัทรพ่นน้ำชาออกมา แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะน้ำชาลวกปากของเขา
“เฮ้ย...พี่ณดล พี่คิดมากไปรึเปล่า ผมไม่ได้คิดอะไร ผมสบายใจดี”
ณดลยื่นมือตบไหล่น้องชาย “ภัทร...แกไม่ต้องแกล้งพูดให้ฉันรู้สึกดีหรอก เราผู้ชายด้วยกัน ฉันเข้าใจดี ถ้ามีใครอยู่ค้างคืนกับเมียฉันสองต่อสอง ฉันก็คงต้องรู้สึกคาใจเหมือนกัน”
“เอ๊า...ไปกันใหญ่แล้ว”
“ฟังฉันนะภัทร ฉันจะเคลียร์กับแกว่า ฉันไม่ได้ล่วงเกินอะไรเมียแกจริงๆ โอเค..อาจจะมีแตะเนื้อต้องตัวกันบ้าง แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”
ณภัทรยิ้มขำๆ “โอ๊ย...พี่ พอเหอะ ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ”
ณดลจะอ้าปากพูดต่อ ทันใดนั้นเมธาวีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาขัดจังหวะ
“ภัทร...พี่ณดล เกิดเรื่องแล้วหละค่ะ”
ณภัทรกับณดลมีสีหน้าตื่นตกใจ
อัธวุธเข้ามาแทรกกลางอยู่ระหว่างนลิณากับอนามิกา โดยที่ต่างฝ่ายก็ต่างจะตบกัน เลยทำให้สองสาวใช้ฝ่ามือตบแก้มอัธวุธจนหันไปมาซ้ายทีขวาที ส่วนเกตนิการ์ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกล
“หยุด..พอแล้ว” อัธวุธร้องเพราะโดนลูกหลง “โอ๊ย!..หยุด...Stop!! เดี๋ยวเจ้าของโรงแรมก็ตามโปลิศมาหรอก โอ๊ย!..หยุดได้แล้ว โอ๊ย!! นี่ถ้าเธอสองคนไม่หยุด ฉันจะ...โอ๊ย! เหวี่ยงมาแต่ละฉาดนี่โดนแต่ฉันเลยนะยะ”
ทันใดนั้น ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงเด็ดขาดจากณดล “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทุกคนหยุดชะงักแล้วหันไปเห็นณดลเดินหน้าเครียดเข้ามา โดยมีณภัทรกับเมธาวีเดินตามมาข้างหลัง อนามิกาและนลิณาจึงยอมแยกจากกัน
“เกิดอะไรขึ้นอีกเนี่ย” ณดลถาม “เธอสองคนนี่ ดูเหมือนจะอยู่ใกล้กันไม่ได้เลยใช่มั้ย”
อนามิกากับนลิณาพูดพร้อมกัน “ก็มันหาเรื่องฉันก่อน!”
“เอาเข้าไป..!! พูดเหมือนกันซะอีก แล้วฉันจะเชื่อใครได้เนี่ย” ณดลเซ็ง
“แต่พี่อะนาพักในห้องนี้อยู่แล้ว คงไม่ต้องบอกนะคะว่าใครเป็นฝ่ายเข้ามา” เมธาวีบอก
“เอ๊ะ..ยัยเม เธอเข้ามาตอนมีเรื่องแล้วจะไปรู้อะไร” เกตนิการ์หันไปพูดกับณดล “พูดอย่างเป็นกลาง ไม่ได้เข้าข้างใครนะคะ นีน่าเค้าเข้ามาถามดีๆ แต่ดันเจอแม่อะนาเหวี่ยงใส่ อย่างงี้เรียกว่าใครเริ่มก่อนล่ะคะ”
“ถามดีๆ เนี่ยนะ” อนามิกาพูดกับณดล “คุณรู้มั้ยยัยนีน่าถามฉันว่าไง เค้าถามว่าเมื่อคืนฉันทำอะไรกับคุณบ้าง”
ณดลสะดุ้งแล้วหันขวับไปที่นลิณา “อ้าว! ไหงงั้นล่ะนีน่า”
นลิณาอึ้ง “เอ่อ..คือ...” นลิณาชักไปไม่เป็น รีบหันไปมองเกตนิการ์เพื่อขอให้เกตนิการ์ช่วย
“นีน่าเค้าแค่ถามเพราะเป็นห่วง” เกตนิการ์เอ่ยขึ้น “แล้วก็อยากรู้ว่าคุณณดลเป็นยังไงบ้าง”
“ใช่ๆๆ ทำไมคะ การที่นีน่าเป็นห่วงคุณณดลมันผิดตรงไหน มันเรียกว่าหาเรื่องตรงไหนเหรอคะ”
“เอาเหอะ..อยากพูดอะไรก็พูดไป โดนเธอตบฉันยังทนได้ แต่ได้ยินเธอสตรอเบอรี่แบบนี้ ฉันทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว” อนามิกาจะเดินออกไป
“นั่นเธอจะไปไหน” ณดลถาม
“ออกไปไหนก็ได้ ที่ไม่ต้องทนฟังคำตอแหลในห้องนี้ คุณก็พอกัน ดันบ้าจี้เชื่อที่ยัยนีน่าพูด”
นลิณายิ้มเยาะ อนามิกาเดินผ่านนลิณาไปแล้วกำลังจะออกจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเพราะณดลโพล่งขึ้นมาก่อน
“ใครบอกว่าฉันเชื่อ”
อนามิกาหันมามองณดลด้วยความประหลาดใจ ส่วนนลิณาถึงกับสะอึก
ณดลพูดกับอนามิกา “ฉันคิดเป็นหรอกน่าว่าอะไรคืออะไร แต่คนเราควรมีความอดทนแล้วก็อดกลั้น ไม่ใช่พอมีเรื่องอะไรหน่อย ก็ต้องก่อเรื่องตบตีกันอุตส่าห์มาเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา พวกเธอน่าจะละอายกันบ้าง”
“ใช่...เธอน่าจะรู้จักละอายบ้างนะอะนา” นลิณารีบเสริม
ณดลหันมาขึ้นเสียงกับนลิณา “คุณก็ด้วยเหมือนกันนีน่า”
นลิณาสะอึกแล้วมองประหลับประเหลือกกับเกตนิการ์ที่ยืนจ๋อยอยู่เหมือนกัน
“ทุกคนฟังนะ” ณดลประกาศ “ระหว่างที่ฉันยังอยู่ที่นี่ ฉันขอร้องอย่าให้มีการทะเลาะตบตีกันอีก หรือถ้าอยากจะลองดีกับฉัน...ก็ลองดู!”
ณดลเดินอย่างอารมณ์เสียออกไป ทุกคนจ๋อยๆ เหลือบมองกันแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
นลิณายืนกดโทรศัพท์ด้วยอาการร้อนรนอยู่ที่มุมที่โทรศัพท์วางอยู่บริเวณโรงแรม โดยมีเกตนิการ์ยืนอยู่ใกล้ๆ
นลิณากดแป้นโทรศัพท์พลางบ่นไปอย่างเคียดแค้น “ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องรีบให้คุณพ่อฉันจัดการมัน”
“ดี! ยัยอะนาจะได้ออกไปห่างๆ จากนายภัทรของฉันซะที” เกตนิการ์โพล่งออกมา
นลิณาสะดุดกึก “เมื่อกี้เธอว่าไงนะเกด เธอพูดว่า...นายภัทรของฉันเหรอ”
“อ๋อ...เอ่อ..ฉันหมายถึงนายภัทรของน้องแพรน่ะ นายภัทรก็ต้องเป็นของน้องสาวเธอสินีน่า”
นลิณาพยักหน้าหน้ารับ เธอกดโทรศัพท์แล้วรอสายปลายทางมารับ ขณะที่เกตนิการ์ถอนใจโล่งอกที่เผลอหลุดปากออกไปแต่นลิณาไม่สงสัยอะไร
เสรีกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้านของเขา
“อะไรนะ..ทำผู้หญิงท้อง นายภัทรลูกคุณกอบกับคุณรัตน์เนี่ยนะ” เสรีทวนคำที่ลูกสาวบอกมาทางโทรศัพท์
นลิณาใส่อารมณ์พูดโทรศัพท์ โดยมีเกตนิการ์นั่งฟังอยู่ข้างๆ
“ค่ะคุณพ่อ มันชื่ออนามิกา ที่แย่กว่านั้นคือนายภัทรก็ยินดีจะรับผิดชอบมันด้วย”
เสรีโกรธ “เฮ้ย! จะทำแบบนั้นได้ยังไง คุณกอบกับคุณรัตน์สัญญากับพ่อไว้แล้วว่าจะให้นายภัทรหมั้นกับน้องแพรของเรา สองคนนั้นเค้าไม่มีวันหักหลังพ่อหรอกนะ”
“แต่เค้ายังไม่รู้ไงคะคุณพ่อ นีน่าบอกคุณพ่อคนแรกเนี่ย กระทั่งน้องแพร นีน่ายังไม่บอกเลย”
“งั้นดีแล้ว อย่าเพิ่งบอกน้องแพร เดี๋ยวพ่อเคลียร์ให้เอง สบายใจได้นะลูก”
“จะสบายใจได้จริงๆ หรือคะคุณพ่อ”
“เชื่อพ่อสิลูก อย่าลืมว่าตอนที่คุณกอบกับคุณรัตน์ยังต๊อกต๋อย พ่อเคยช่วยเหลือเค้าไว้เยอะ แค่บุญคุณตรงนั้นมันก็เพียงพอที่เค้าจะไม่กล้าปฏิเสธพ่อแล้วหละลูก อืม...ดูแลตัวเองด้วยนะลูก พ่อก็รักลูกจ้ะ”
สีหน้าของเสรีเปลี่ยนเป็นเดือดดาลขึ้นมาทันที
พนารัตน์กับกอบชัยฟังเรื่องจากปากเสรีแล้วก็มีหน้าตาตื่นตกใจ
“คะ..คุณเสรีว่าไงนะคะ” พนารัตน์หันมาทางกอบชัย “นี่เรื่องจริงเหรอคุณ เจ้าภัทรลูกเราทำเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอ”
“ผมก็เพิ่งได้ยินพร้อมคุณนี่แหละ” กอบชัยหันมาพูดกับเสรี “คุณเสรีแน่ใจเหรอ”
“คนอย่างผม ถ้าไม่แน่ใจ ผมจะมาโวยถึงบ้านคุณแบบนี้มั้ยล่ะ ทำไมพวกคุณถึงลืมสัญญาที่เราเคยให้กันไว้ ฝ่ายผมน่ะเป็นลูกสาวนะ ไม่คิดบ้างเหรอว่าลูกสาวผมจะเสียหายขนาดไหน”
“คุณเสรีใจเย็นๆ ก่อน ฉันกับคุณกอบไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนจริงๆ” พนารัตน์บอก
“ก็รู้ซะสิ ดูแลลูกชายของคุณยังไง ผมไม่ยอมนะ คิดดูสิว่าผมกับลูกสาวจะไปสู้หน้าใครในสังคมได้”
“ขอเวลาให้ผมเคลียร์กับเจ้าณภัทรก่อนได้มั้ย ผมรับประกันว่าจะไม่ทำให้คุณเสรีผิดหวังแน่ๆ” กอบชัยบอก
“ผมจะเชื่อได้ยังไง ในเมื่อคุณปล่อยปละละเลยจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อนาคตของลูกสาวผมต้องมาถูกทำลายเพราะลูกชายของคุณ” เสรีโกรธ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็ต้องขอโทษคุณเสรี” พนารัตน์กล่าว
เสรีตวาดสวน “ผมไม่รับคำขอโทษ ถ้าลูกชายคุณล้มเลิกการหมั้น ทำให้ลูกสาวผมขายหน้าหละก็...เราจะได้เห็นดีกัน!”
เสรีเอาฝ่ามือทุบโต๊ะระบายอารมณ์ พนารัตน์กับกอบชัยนั่งหน้าจ๋อย ทั้งสองเหลือบมองตากันอย่างรู้สึกผิดและเกรงใจเสรี
ณดล อนามิกา และณภัทรหอบหิ้วกระเป๋าข้าวของเดินเข้ามาในบ้านณภัทร อนามิกากับณภัทรทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน ณดลหยิบที่ชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์มาเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือของตน
“ดันลืมเอาที่ชาร์จไป โทรศัพท์มือถือเวลาแบตหมด มีประโยชน์แค่เอาไว้ทับกระดาษอย่างเดียว” ณดลบ่นแล้วกดปุ่มเปิด เขามองหน้าจอแล้วร้องเสียงหลง “หา! สิบเจ็ดมิสคอล!..จากคุณพ่อ”
ณภัทรกับอนามิกากำลังเอนหลังสบายๆ ถึงกับสะดุ้ง ตกใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ณภัทรหน้าตาตื่นเพราะเริ่มใจไม่ดี “รีบโทรกลับไปดีกว่ามั้ยพี่ เผื่อที่บ้านมีเรื่องอะไร”
ณดลก็ร้อนใจจึงพยักหน้าหงึกๆ เขากำลังจะกดปุ่มโทรศัพท์แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อน
ณดลมองหน้าจอแล้วหันมาบอกณภัทรด้วยเสียงตื่นเต้น “คุณพ่อโทรมา”
กอบชัยโวยเสียงดังกรอกหูโทรศัพท์ ขณะที่พนารัตน์ยืนอยู่ข้างๆ สามี
“บอกความจริงพ่อมาซิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนั่น”
“เล่าให้ลูกฟังก่อนสิคุณ ที่คุณเสรีมาโวยเราน่ะ เอามานี่” พนารัตน์แย่งโทรศัพท์มาพูดเอง “เจ้าภัทรไปแอบทำผู้หญิงท้องจริงหรือเปล่าลูก”
ณดลพูดโทรศัพท์โดยมีณภัทรกับอนามิกาคอยลุ้นอยู่ใกล้ๆ
“เอ่อ..” ณดลเหลือบมองไปที่ณภัทร ที่กำลังลุ้นอย่างใจคอไม่ค่อยดี แล้วหันมาตอบโทรศัพท์เสียงเบา “เอ่อ..ค..ครับคุณแม่”
พนารัตน์กรีดร้องโวยวายอย่างผิดหวัง กอบชัยต้องคอยปลอบ
“กรี๊ดด...นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วนังนั่นมันเป็นใคร ไปได้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมณภัทรเค้าถึงทำกับแม่แบบนี้ กรี๊ด”
“คุณ..ใจเย็นๆ ก่อนคุณ เดี๋ยวอาการกำเริบขึ้นมา ก็ได้หามส่งโรงพยาบาลกันอีกหรอก” กอบชัยแย่งหูโทรศัพท์มาพูด “แป๊บนึงนะลูก”
กอบชัยประคองพนารัตน์ให้นั่งเอนหลังพิงสบายๆ แล้วจึงหันไปเรียกคนใช้
“ศรี...ศรี ขอยาดมให้คุณรัตน์หน่อยเร็ว”
ศรีวิ่งเข้ามารับคำ “ค่า..” แล้วศรีก็รีบวิ่งไป
ณดลร้อนใจเพราะเป็นห่วงแม่ ณภัทรก็พลอยร้อนใจไปด้วย
“คุณแม่เป็นอะไรเหรอเปล่าครับ ฮัลโหล” ณดลพยายามเรียก
กอบชัยผละจากการดูแลพนารัตน์ แล้วหันมายกหูโทรศัพท์พูดอย่างเคร่งเครียด
“ณดลฟังพ่อนะ รีบพาไอ้ภัทรกลับมาที่บ้านด่วนที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ณดลได้ยินใช่มั้ย”
“ครับคุณพ่อ” ณดลรับคำ
“แล้วให้มันพาผู้หญิงคนนั้นมาด้วย เราจะเคลียร์เรื่องทั้งหมดกันที่เมืองไทย พ่อต้องขอตัวไปดูแลแม่แกก่อน รีบพาน้องกลับบ้านเราให้เร็วที่สุด!” กอบชัยสั่ง
ณดลมีหน้าตาตื่นรีบตอบกลับพ่อตัวเองทันที ส่วนณภัทรกับอนามิกายืนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ใกล้ๆ
“คะ..ครับ ได้ครับคุณพ่อ...ฮัลโหล...คุณพ่อครับ...ฮัลโหล” ณดลหันมาทางณภัทร“วางไปซะแล้ว”
“คุณแม่เป็นอะไรเหรอพี่” ณภัทรถาม
“ก็...ทุกคนรู้เรื่องแกกับอะนาแล้ว คุณแม่ก็คงจะช็อกเอาน่ะ แต่ก็มีคุณพ่อกับศรี ดูแลอยู่ ก็คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอก” ณดลเล่า
“แล้ว...คุณพ่อว่าไงเหรอพี่” ณภัทรถามด้วยใจคอไม่ดี
“ก็บอกให้ฉันรีบพาแกกลับบ้าน” ณดลเน้นเสียง “ด่วน!”
ณภัทรหนักใจ อนามิกาตบไหล่เป็นการปลอบ
“เธอก็ด้วย” ณดลบอก
อนามิกาสะดุ้งโหยง “หา?! ฉ..ฉันด้วยเนี่ยนะ ฉันเกี่ยวด้วยเหรอ”
“เธอเป็นเมียของน้องฉัน แล้วจะไม่เกี่ยวได้ไง เตรียมเก็บข้าวของเดินทางกลับเมืองไทยกันได้แล้ว” ณดลบอก
อนามิกาทำหน้าตาเหรอหราเพราะหนักใจที่ตนเองต้องไปเกี่ยวข้องด้วย
กอบชัยคอยประคับประคองดูแลพนารัตน์อยู่ที่เก้าอี้ห้องรับแขก ศรีวิ่งเข้ามาพร้อมยาดม
“ยาดมค่ะคุณรัตน์” ศรีถือยาดมจ่อจมูกพนารัตน์
ทันใดนั้นเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น
“ศรีไปดูทีซิ ว่าใครมา” กอบชัยรับยาดมจากศรีมาจ่อจมูกพนารัตน์
“ค่ะ ศรีจะไปเดี๋ยวหละค่ะ” ศรีรีบวิ่งออกไป
“เป็นไงบ้างคุณ จะให้ผมพาไปหาหมอมั้ย” กอบชัยถาม
“ไม่ต้อง...ฉันพอไหวแล้ว” พนารัตน์ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นนั่ง
“จะดื่มอะไรหน่อยมั้ยคุณ ชา หรือว่าน้ำอุ่นดี”
พนารัตน์เริ่มเหวี่ยงใส่ “จะอะไรก็รีบเอามาเถอะ”
“เอ๊า..คุณ แล้วทำไมต้องฟาดงวงฟาดงาใส่ผมด้วย”
“ก็คนมันเพิ่งรู้ว่าลูกชายสุดที่รักไปทำผู้หญิงท้อง จะให้พูดจาอ่อนหวานนิ่มนวลอะไรนักหนายะ...หา?” พนารัตน์หันไปแล้วก็ชะงัก เพราะเธอเห็นแพรวายืนหน้าเจื่อนๆ อยู่ โดยมีศรียืนอยู่ข้างๆ ในอาการเดียวกัน
“อ้าว...หนูแพร” พนารัตน์รีบทำตัวให้เป็นปกติ
“นั่งก่อนสิ นั่งก่อน ศรี..รีบจัดการหาน้ำหาท่าให้หนูแพรเร็ว” กอบชัยสั่งคนรับใช้
แพรวายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เผอิญแพรผ่านมาทางนี้ ก็เลยซื้อขนมมาฝาก เดี๋ยวก็ไปแล้วค่ะ เอ๊ะ! นี่แพรมาขัดจังหวะคุณอากำลังคุยธุระกันหรือเปล่าคะ”
พนารัตน์รีบตอบ “เปล่าเลยจ้ะหนูแพร ไม่มีธุระอะไร”
แพรวาถามซื่อๆ “แพรได้ยินว่าเอ่อ...ลูกชายทำผู้หญิงท้อง”
พนารัตน์กับกอบชัยหน้าตื่น แล้วหันมามองกันเลิ่กลั่กก่อนจะรีบแก้ตัวพัลวัน
“เอ่อ..คือว่า...” พนารัตน์อ้ำอึ้ง
กอบชัยรีบแก้ต่าง “คือเป็นลูกชายของคนอื่นเค้าน่ะ ไม่เกี่ยวกับเราหรอก”
“ใช่ๆๆ ลูกชายของคนรู้จักกันน่ะ” พนารัตน์ยื่นมือไปรับขนม “น่ารักจริงๆ หนูแพร เจออะไรอร่อยๆ ก็อุตส่าห์มีใจนึกถึงคนแก่สองคนนี้”
“แหม..ไม่รู้ลมอะไรพัดมาแต่ทางบ้านนี้นะ เมื่อกี้คุณเสรีก็เพิ่งแวะมา”
“อ้าว..จริงเหรอคะ คุณพ่อเพิ่งมาเหรอ” แพรวายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “เดี๋ยวแพรโทรเรียกคุณพ่อให้มานี่ดีกว่า”
กอบชัยกับพนารัตน์รีบโบกมือร้องห้าม “ไม่เป็นไรจ้ะ”
แพรวางง “ทำไมเหรอคะ มีอะไรเหรอ”
“ปะ..เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร มาเมื่อกี้ก็โดนกันอ่วมแล้ว ไม่ต้องมาแล้วหละจ้ะ” กอบชัยบอก
“ยังไงนะคะ ใครโดนอะไรเหรอคะ”
พนารัตน์ยิ้มให้แพรวา “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” พนารัตน์หันไปดุกอบชัย “คุณก็พูดไปเรื่อยไร้สาระจริงๆ”
“งั้น...แพรขอตัวนะคะ” แพรวาไหว้อย่างอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะ”
สองสามีภรรยารีบรับไหว้ “จ้า...ขับรถดีๆ นะหนูแพร”
กอบชัยกับพนารัตน์หันมามองหน้ากันอย่างหนักใจ
“ดูซิ หนูแพรก็ช่างใสซื่อ น่ารัก ฉันไม่ยอมนะ ถ้าลูกชายของเราจะไปฉีกหน้า ไปทำลายอนาคตหนูแพรเค้าน่ะ” พนารัตน์บอก
“ผมรู้ จะเป็นจะตายยังไง เราก็ต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับคุณเสรี เราต้องเอาตัวไอ้ณภัทรกลับมาหมั้นกับหนูแพรให้ได้”
พนารัตน์พูดอย่างจริงจัง “แล้วก็ต้องเขี่ยนังผู้หญิงคนนั้น ออกไปจากชีวิตของลูกเราด้วย”
อนามิกากำลังเก็บข้าวของแพ็คใส่กระเป๋าเดินทางใบโตอยู่ในห้องนอนที่บ้านอัธวุธ โดยมีอัธวุธกับเมธาวีในชุดนอนนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมจะต้องรีบเก็บข้าวของกลับเมืองไทยซะขนาดนี้ล่ะพี่อะนา” เมธาวีถาม
“นั่นสิ อีกไม่กี่วัน ฉันกะยัยเมก็จะกลับแล้ว ทำไมไม่รอกลับพร้อมกันล่ะ” อัธวุธข้องใจ
“ก็เพราะนายภัทร กะอีตาณดล เจอประกาศิตจากทางบ้านให้กลับด่วนน่ะสิ” อนามิกาหยุดเก็บข้าวของแล้วหันไปมองอัธวุธกับเมธาวีอย่างเซ็งสุดๆ “แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ...ฉันต้องกลับไปรับบทเมียกำมะลอของนายภัทรต่อน่ะสิ”
เมธาวีกับอัธวุธตกใจจนร้องเสียงหลง “หา?”
“หมายความว่าแกต้องตกกระไดพลอยโจน กลับไปหลอกพ่อแม่นายภัทร ว่าแกเป็นเมียนายภัทร แล้วก็ท้องอยู่ด้วยเนี่ยนะ” อัธวุธทวน
อนามิกาตอบเสียงเรียบๆ เซ็งสุดๆ “อื้อฮึ”
“จะไหวเหรอพี่อะนา หมายถึงต้องอยู่บ้านกับพี่ณดลแล้วก็พ่อแม่นายภัทร ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเนี่ยนะ” อัธวุธถามด้วยความเป็นห่วง
อนามิกามีสีหน้าเซ็งสุดๆ “ก็ประมาณนั้น”
“จะรอดเหรอแก เดี๋ยวมันจะบานปลายใหญ่โต กลายเป็นเรื่องโกหกระดับนานาชาตินะแก ฉันว่าแกถอนตัวเหอะ คิดดูสิ แกจะโกหกไปได้อีกซักกี่น้ำ ถ้าต้องไปกินอยู่ในถ้ำเสืออย่างงั้น” อัธวุธเป็นห่วง
เมธาวีก็ชักจะเป็นห่วงอนามิกา “นั่นสิ พี่อะนา ลำพังหลอกแค่พี่ณดลมันก็ยังไม่เท่าไหร่นะ แต่ขืนไปเล่นถึงรุ่นคุณพ่อคุณแม่เค้า ถ้าเรื่องมันแดงขึ้นมา เค้าไม่เอาเราตายเหรอพี่”
“ฉันรู้...ฉันรู้...ฉันรู้...ฉันก็ปฏิเสธอีตาภัทรแล้ว แต่ว่า....”
อนามิกาเริ่มต้นจะเล่าเหตุการณ์ให้เมธาวีกับอัธวุธฟัง
เหตุการณ์ที่อนามิกาเล่าย้อนกลับมาอีกครั้ง อนามิกายืนกอดอกด้วยท่าทางเมินเฉย ในขณะที่ณภัทรคุกเข่าจับมืออนามิกาอย่างวิงวอน
“ขอร้องหละอะนา ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นได้สวยอยู่นะ พี่ณดลก็เชื่อเธอสนิทใจ ช่วยแกล้งเป็นเมียท้องสองเดือนของฉันที่เมืองไทยต่อเถอะนะ”
“นายก็พูดได้สิ นายไม่ต้องมาเป็นฉันนี่ ขืนฉันต้องไปอยู่ที่บ้านนาย แล้วต้องคอยโกหกทุกคนในบ้าน ฉันคงอึดอัดจนอกแตกตายซักวัน”
“แต่ถ้าเธอไม่ช่วย ฉันก็ต้องโดนจับหมั้นกับผู้หญิงที่ฉันไม่ได้รัก” ณภัทรอ้อนวอน
“มันก็มีวิธีอื่นเยอะแยะที่นายจะปฏิเสธทางบ้านนายนี่นา”
“ใช่! มีวิธีอื่นเยอะแยะ แต่ตอนนี้มันเหลือวิธีเดียวแล้ว ก็เพราะเราขึ้นต้นมาแบบนี้ เราหลอกพี่ณดลไว้อย่างงี้ เราไม่เหลือวิธีอื่นอีกแล้ว”
“แล้วนายคิดเหรอว่า ไอ้การที่เราหลอกทุกคนไว้ว่าฉันท้องสองเดือนเนี่ย มันจะหลอกเค้าได้นานซักแค่ไหนกัน ผ่านไป 3-4 เดือน เค้าก็จับได้กันหมดแล้ว หรือฉันต้องเอาหมอนยัดท้องให้ดูท้องโตๆ อย่างงั้นเรอะ” อนามิกาถาม
“เออ..ไม่เลวแฮะ ไอเดียดีนี่”
อนามิกาโวยเสียงดัง “จะบ้าเหรอ”
ณภัทรจุ๊ปากเพราะกลัวณดลที่อยู่นอกห้องจะได้ยิน “ชู่ว..เบาสิ เดี๋ยวพี่ณดลได้ยิน”
“ฟังนะ ฉันเพิ่งเรียนจบกลับเมืองไทย ชีวิตฉันยังมีอนาคต ฉันไม่สิ้นคิดมาสวมบทเมียกำมะลอของนายเป็นปีๆ หรอก”
“ไม่นานขนาดน้าน...เอางี้ ฉันขออีกแค่สามเดือน หลังจากนั้น เธอไม่ต้องหลอกใครอีกแล้ว ครบสามเดือนปั๊บฉันจะบอกความจริงกับทุกคน...นะ..ฉันขอร้อง เธอจะเอาอะไรฉันให้ทุกอย่าง ให้ค่าจ้างคูณสองเลยเอ้า!”
อนามิกาส่ายหน้า แล้วเมินหน้าหนี “ฝันไปเหอะ”
“งั้นคูณสาม” ณภัทรยื่นข้อเสนอต่อ
อนามิกาเหลือบมามองนิดหนึ่ง แต่ก็ยังเมินอยู่
“คูณสี่..คูณห้าเลยเอ้า! คูณห้าจากที่ฉันจ่ายตอนนี้เลย”
อนามิกาหูผึ่งแล้วค่อยๆ หันมาอย่างเห็นแก่เงิน “ไอ้ฉันเองก็ทนเห็นเพื่อนกำลังเดือดร้อนไม่ค่อยจะได้หรอกนะ”
อนามิกายังเล่าให้อัธวุธกับเมธาวีฟังต่อ
“สุดท้ายฉันเห็นแก่เพื่อนก็เลยรับปากว่า...”
อัธวุธรีบแทรกขึ้น “โอ๊ย!! พอเหอะ เห็นแก่เพื่อนเนี่ยนะ เห็นแก่เงินมากกว่ามั้งแกน่ะ”
“ครึ่งนึงย่ะ เห็นแก่เพื่อนด้วย เห็นแก่เงินด้วย โอเคยัง” อนามิกาบอก
“ย่ะ..ตามนั้น” อัธวุธรับคำ
“ยังไงพี่อะนาก็ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน เมขอเคลียร์ธุระที่นี่ซัก 4-5 วัน แล้วจะเก็บข้าวของตามกลับไปเมืองไทยเหมือนกัน”
“นี่...งั้นไหนๆ ในโอกาสที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ร่วมกันสองปีเต็ม คืนพรุ่งนี้เราจะมีปาร์ตี้อำลากันซะหน่อยมะ” อัธวุธชวน
“เอาดี๊...” อนามิกามองเมธาวี “เดี๋ยวจะชวนนายภัทรไปด้วย ที่ไหนว่ามา”
“ร้านพนิดามะ จะได้ไปลาเจ๊แกด้วยไง” เมธาวีเสนอ
อนามิกากับอัธวุธยิ้มอย่างเห็นด้วย
อนามิกายกจานอาหารเช้าแบบอิงลิช เบรกฟาสต์มาเสิร์ฟให้ณดล โดยมีณภัทรนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“อืม..ไม่เลวนะ เรามาเริ่มต้นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่นี่เต็มๆ ด้วยอิงลิช เบรกฟาสต์กัน” ณดลบอก
ณดลรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยได้สองคำ พอมองเห็นอนามิกากับณภัทรนั่งซึมๆ ก็ชะงัก
“เป็นอะไรไป ไม่กินกันล่ะ” ณดลถาม
“ก็..นึกๆ แล้วมันก็รู้สึกวูบๆ น่ะพี่ ผมอยู่ที่นี่มาสองปี กลับบ้านคราวนี้ ไม่รู้จะเป็นยังไง แล้วที่ผมกังวลก็คือ คุณพ่อคุณแม่จะรับผมกับอะนาได้มั้ย” ณภัทรหนักใจ
“อย่าไปกังวลไปล่วงหน้าเลย เอาไว้ถึงบ้านแล้วก็รู้เองแหละ เอ้อ! ไหนๆ พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว ฉันอยากจะใช้เวลาในวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ช่วยพาฉันออกไปเที่ยวส่งท้ายหน่อยได้มั้ย” ณดลขอ
“ก็ได้สิคะ แต่บอกก่อนว่าฉันไม่เอากระเป๋าตังค์ไปนะ” อนามิกาออกตัว
“ได้ คิดซะว่าฉันเลี้ยงเธอตอบแทนที่เป็นไกด์นำเที่ยวแล้วกัน แล้วแกล่ะภัทร”
“ผม...” ณภัทรยังหนักใจ
อนามิการีบพูดทับเสียงณภัทร “คือนายภัทรเค้านัดกับยัยเม แล้วก็อาร์ทไว้แล้วน่ะ”
ณภัทรทำหน้าเหรอหรา หันมามองอนามิกาอย่างงงๆ “หา? ฉันเนี่ยนะ”
“ใช่!” อนามิกาแอบขยิบตาส่งซิกให้ณภัทร “นายนัดพวกนั้นไปเดินเล่นแถว Notting Hill ไง ที่ยัยเมชอบไปน่ะ จำไม่ได้เหรอ”
“เอ่อ...” ณภัทรรีบพยักหน้าตามน้ำไป “อ๋อ...ใช่ๆๆ Notting Hill”
“งั้นฝากด้วยนะ ดูแลยัยเมให้ดีล่ะ” อนามิกาบอก
ณภัทรพยักหน้ารับอย่างมีพิรุธ “เอ่อ...โอเค ได้ๆ”
ณดลเหลือบตาลอบอย่างสังเกตเพราะพยายามจับผิดณภัทรกับอนามิกา
อ่านต่อหน้า 2
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 5
ณดลกับอนามิกาเดินอยู่ด้วยกันในย่าน Piccadilly Circus ซึ่งมีรูปปั้นกามเทพ Eros ตั้งอยู่ ณดลยกกล้องถ่ายรูปขึ้นสแน๊ปถ่ายไปเรื่อยๆ แล้วหันมาพูดกับอนามิกา
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เธอไม่สบายใจนะ แต่เพื่อนรุ่นน้องเธอที่ชื่อเมธาวีน่ะ เธอรู้สึกเหมือนฉันมั้ยว่า...เค้าออกจะสนิทกับไอ้ภัทรมากไปซักนิดนึงนะ”
“คิดมากน่ะ ก็เพื่อนๆ กันทั้งนั้น” อนามิกายิ้มขำๆ “ว่าแต่คุณบอกฉันทำไมเหรอคะ จะให้ฉันหึงงั้นเหรอ หรือว่าอยากจะให้ฉันไปตบกับยัยเม”
“เปล่า...ไม่ใช่อย่างงั้น ฉันก็แค่รู้สึกว่าไอ้ภัทรมันรักเธอน้อยไปหน่อยในฐานะเมีย แต่ดันรักยัยเมมากไปหน่อยในฐานะเพื่อน
“คุณก็ยังฝังใจอยู่ว่าน้องชายคุณไม่รักฉัน”
“แต่มันก็ดูเหมือนแบบนั้นจริงๆ” ณดลว่า
“คุณพูดเหมือนคุณรู้ดีเหลือเกินเรื่องความรักเนี่ย แต่ที่น้องคุณเล่าให้ฉันฟัง จริงๆ แล้วคุณยังไม่เคยมีคนรักซักคนเลยด้วยซ้ำ”
“แต่ฉันจะบอกให้นะ ถึงฉันไม่เคยมีความรัก แต่ฉันก็เข้าใจความรักได้ เหมือนๆ กับที่ฉันไม่เคยตาย แต่ฉันก็เข้าใจว่าความตายคืออะไร”
อนามิกาแสยะปากอย่างหมั่นไส้ ขณะที่ณดลหันกล้องถ่ายรูปไปที่รูปปั้นกามเทพ Erosอนามิกามองณดล แล้วก็หันไปมองรูปปั้น Eros แล้วก็เกิดความคิดสนุกๆ ที่จะแกล้งณดลเล่น
“คุณรู้มั้ยว่ารูปปั้นบนนั้นคือใคร” อนามิกาถามขึ้น
ณดลไม่แน่ใจ “อืม...ใช่กามเทพมั้ย”
“ก็ทำนองนั้น นี่คือเทพ Eros เป็นเทพแห่งความรัก เรียกว่ากามเทพก็ได้ แล้วคุณรู้มั้ย ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของรูปปั้นนี้คืออะไร”
“หึ!” ณดลส่ายหน้า “ฉันถึงต้องชวนเธอมาเป็นไกด์ไง รูปปั้นเทพ Eros มีอะไรศักดิ์สิทธิ์เหรอ”
“เทพแห่งความรักก็ต้องดลบันดาลให้สมหวังในความรักน่ะสิคุณ ไหนๆ มาแล้ว คุณไม่ลองอธิษฐานดูล่ะ หรือว่ากลัวเสียฟอร์มเลยไม่กล้าอธิษฐาน” อนามิกาท้าทาย
“ทำไมต้องกลัวเสียฟอร์มล่ะ ความรักไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่ เพียงแต่ฉันเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องอธิษฐานอะไรแบบนี้”
“ว่าแล้วว่าคุณต้องเป็นผู้ชายพวกฟอร์มจัด ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรัก ไม่เชื่อในเรื่องโรแมนติก ไม่เชื่อคำอธิษฐาน ไม่เชื่อเรื่อง...” อนามิกาพูดเป็นชุด
ณดลรีบแทรกขึ้น “พอๆๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ก็ได้ ฉันอธิษฐานก็ได้”
อนามิกาอมยิ้มชอบใจ ที่ณดลเริ่มหลงกล ณดลยืนสงบนิ่งแล้วประสานกำมือหลวมๆ ไว้ที่หน้าอก เขาอธิษฐานในใจครู่เดียวก็ลืมตาแล้วจะเดินผละออกมา
“เดี๋ยวๆๆ ถ้าจะให้คำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ คุณต้องเอาเหรียญนี้” อนามิกายื่นเหรียญเพนนีให้ณดล “แล้วปีนขึ้นไปวางตรงข้างบนนั่น” อนามิกาชี้ไปที่กลางแท่นรูปปั้น
“หา! ต้องทำงั้นด้วยเหรอ” ณดลตกใจ
“ถ้าไม่ทำ คำอธิษฐานที่คุณเพิ่งว่าไป จะกลับกลายเป็นคำสาปแช่ง”
“เฮ้ย...มีงี้ด้วยเหรอ ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยิน”
“ก็ตามใจ งั้นไม่ต้องก็ได้ คุณไม่เชื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้วนี่”
“เอ่อ...” ณดลชักลังเล
“เร็วสิคุณ เดี๋ยวจะได้ไปเดินที่อื่นต่อ” อนามิกาคะยั้นคะยอพร้อมกับยื่นเหรียญให้
ณดลไม่ค่อยเชื่อนัก แต่ก็จำใจรับเหรียญมา “ก็ได้ๆ”
ณดลรับเหรียญมาแล้วก็เริ่มปีน อนามิกายืนกลั้นหัวเราะหน้าแดงอยู่ด้านหลัง
ณดลหันมาถาม “ปีนแค่นี้พอรึยัง”
อนามิการีบกลั้นยิ้มแล้วทำหน้าซีเรียส “ไม่สิ...ต้องสูงอีกนิด ขึ้นไปอีก”
“แน่ใจใช่มั้ยว่าเธอไม่ได้อำฉัน” ณดลถามแล้วขยับปีนสูงขึ้น
อนามิกากลั้นหัวเราะแทบจะไม่ไหว แต่พอหันไปอีกทางเธอก็หน้าตาตื่นเพราะเห็นตำรวจในเครื่องแบบของอังกฤษกำลังเดินตรวจตรามาทางนี้พอดี
“คุณ...รีบลงมาเร็ว” อนามิกาตะโกนบอก
“อ้าว...ทำไมล่ะ” ณดลงง
ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงนกหวีดปรี๊ด ตำรวจอังกฤษเดินรี่เข้ามาพร้อมกับตะโกนเสียงเข้ม
“Stop! What are you doing? Get down now!”
ณดลหน้าเสีย รีบลนลานปีนลงมา
“Oh! Sorry” ณดลบอก
ณดลรีบปีนลงแล้วเผ่นหนี อนามิกาเดินตามไปพร้อมกับกลั้นหัวเราะ
ณดลวิ่งหนีมา พอเหลียวหลังมองว่าตำรวจไม่ตามมา เขาก็ชะลอฝีเท้าเป่าปากด้วยความโล่งใจ พอเห็นอนามิกาเดินตามมา ณดลก็โวยใส่ทันที
“เล่นบ้าอะไรของเธอน่ะ ฉันยังอยากกลับเมืองไทย ไม่ได้อยากติดตะรางอยู่ที่นี่หรอกนะ”
“แหม..อย่าขวัญอ่อนหน่อยเลยค่า...คุณขา แค่ขำๆ น่ะ ไม่มีใครเค้าบ้าจี้จับคุณเข้าตะรางหรอก” อนามิกาบอก
“ยังจะมาพูดดีอีก” ณดลชูดกำปั้นขู่ “ถ้าเธอเป็นผู้ชาย ฉันเบิ๊ดกะโหลกเธอแล้ว”
“งั้นก็โชคดีแล้วที่ฉันเกิดเป็นผู้หญิง ว่าแต่คุณเหอะ อุตส่าห์เกิดเป็นผู้ชายแท้ๆ กะอีแค่หยอกเล่นขำๆ ก็ต้องทำโวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต”
“นี่เธอแกล้งฉันแล้วยังมาว่าฉันโวยวายอีกเนี่ยนะ คำว่าขอโทษน่ะ...เธอพูดเป็นมะ”
“ไม่เอาน่า...อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมสิคุณ ก็ได้ๆ ฉันขอโทษ”
พอณดลได้ยินคำว่าขอโทษ จึงคลายความโกรธลง
“แล้วนี่ยังมีที่ไหนที่คุณอยากไปเที่ยวอีกมะ ฉันจะได้พาไป” อนามิกาถาม
“ไอ้พวกสถานที่ดังๆ ที่คนเค้าฮิตๆ ไปกัน ฉันก็กวาดมาเกือบหมดแล้วนะ ชักเบื่อแล้วน่ะ เอางี้...เธอช่วยพาฉันไปที่ที่เธอชอบมากที่สุดในลอนดอนนี่ดีกว่า เธออยู่มาสองปี คงจะมีที่ที่เธอชอบมากที่สุดอยู่ในใจใช่มั้ย”
“มีสิ...ได้ ฉันจะพาคุณไป”
อนามิกายิ้มอย่างภูมิใจเสนอ
ณภัทร เมธาวี เดินคุยกันมาในย่าน Notting Hill โดยมีอัธวุธเดินตามหลังเพราะตั้งใจทิ้งระยะเพื่อเปิดโอกาสให้ณภัทรกับเมธาวีได้ใกล้ชิดกัน แต่ก็คอยชะเง้อเงี่ยหูฟังอย่างมีอารมณ์ร่วมไปกับเมธาวีเหมือนเป็นกองเชียร์
“รู้มะ ตอนที่ฉันยังไม่เคยมาลอนดอนนะ ที่ที่ฉันอยากมาที่สุดก็คือที่นี่” เมธาวีบอกณภัทร
“ที่ Notting Hill เนี่ยนะ ทำไมล่ะ” ณภัทรถามกลับ
“ก็เพราะฉันชอบหนังเรื่อง Notting Hill น่ะสิ ที่เป็นเรื่องของนางเอกหนังฮอลลีวู้ด มาหลงรักกับผู้ชายบ้านๆ ที่เป็นเจ้าของร้านหนังสือเล็กๆแถว Notting Hill นี่แหละ”
“อ๋อ..ฉันก็ดู แต่มันก็ออกจะเป็นเทพนิยายเพ้อฝันไปหน่อยนะ” ณภัทรบอก
“เพ้อฝันยังไงเหรอ”
“ก็คิดดูสิ มีอย่างที่ไหน ระดับนางเอกฮอลลีวู้ด เล่นหนังเรื่องนึงได้เป็นร้อยล้าน จะมาหลงรักกับผู้ชายธรรมดาบ้านๆ”
“นายไม่เชื่อเรื่องความรักที่แตกต่างกันเรื่องฐานะเหรอภัทร”
ณภัทรส่ายหน้า “ไม่เชื่ออ่ะ คนที่รวยซะขนาดนั้นจะมามองคนธรรมดาทำไม”
เมธาวีถึงกับจ๋อยและหยุดเดิน เธอรู้สึกสะท้อนใจถึงตนเองกับณภัทร ส่วนอัธวุธที่อยู่ข้างหลังรู้สึกเห็นใจเมธาวีขึ้นมาทันที
“เมธาวี เป็นอะไรหรือเปล่า” ณภัทรถาม
เมธาวีฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “เปล่า...ไม่มีอะไร”
ณภัทรเดินนำห่างออกไป เมธาวียืนจ๋อยแล้วเปรยกับตัวเองเบาๆ
“นั่นสินะ” เมธาวีมองณภัทร “คนที่รวยๆ เค้าจะมาหลงรักคนธรรมดาบ้านๆ อย่างเราได้ยังไง”
อัธวุธเข้ามายืนปลอบข้างๆ ด้วยความรู้สึกเห็นใจเมธาวี
ณดลเดินคุยกับอนามิกามาที่ริมทะเลสาปบริเวณสวนสาธารณะ Hampstead Health ณดลมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางที่บ่งบอกความผิดหวัง
“โธ่เอ๊ย...อุตส่าห์มาอยู่ที่ลอนดอนตั้งสองปี นี่เหรอ ที่ที่เธอชอบที่สุด”
“แต่ฉันชอบที่นี่จริงๆ นะ ถึงจะไม่ได้มีโอกาสมาบ่อยๆ แต่ทุกครั้งที่มา ฉันก็รู้สึกดีๆ แล้วก็ประทับใจทุกครั้ง” อนามิกาบอก
ณดลทำน้ำเสียงดูแคลน “ประทับใจเลยเหรอ ดูสิ...ไอ้สวน Hampstead Health อะไรของเธอเนี่ย ฉันว่าไม่เห็นจะมีอะไรเลย ไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นๆ ที่เราไปมาแล้วเล๊ยย” อนามิกาเดินอย่างร่าเริงไปที่เนินเขา “อ้าว..เดี๋ยวสิ แหม..ติหน่อยทำเดินไม่รอกันเลยแฮะ”
ณดลมองตามอนามิกาแล้วเดินตามไปอย่างเสียมิได้ เมื่อเดินโผล่พ้นแนวพุ่มไม้ณดลก็ถึงกับตะลึงกับวิวตรงหน้า เพราะวิวที่มองจากเนินเขาของสวนสาธารณะ Hampstead Healthเห็นความสวยงามทั้งหมดของลอนดอน
ณดลรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก “เอ่อ...”
อนามิกาขยับมายืนชมวิวข้างๆ ณดล “เวลาที่เหนื่อยๆ เครียดๆ หรือรู้สึกแย่ๆ ฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้...แล้วฉันก็จะได้ความรู้สึกดีๆ กลับไปทุกครั้ง”
ณดลยิ้มอย่างรู้สึกชอบที่นี่มากเช่นกัน “ฉันว่าฉันพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมเธอถึงชอบที่นี่”
อนามิกาหันมองณดลด้วยความสงสัย ณดลยิ้มแล้วมองอนามิกา
“...เพราะฉันเองก็รู้สึกดีๆ แล้วก็ชอบที่นี่เหมือนกัน” ณดลบอก
อนามิกายิ้มตอบ แล้วทั้งสองก็หันไปยืนชมวิวพร้อมทั้งสูดอากาศจนเต็มปอด ณดลกับอนามิการู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจ
ณภัทรกำลังยืนเลือกซื้อเครื่องประดับสำหรับผู้หญิงอยู่ที่ย่าน Notting Hill เมธาวีกับอัธวุธยืนอยู่ด้านหลัง สักพักเมธาวีก็กระซิบกับอัธวุธ
“ภัทรเค้าจะซื้อเครื่องประดับของผู้หญิงไปให้ใครที่เมืองไทยกันนะ”
“โอ๊ย...จะฝากใครล่ะยะ สงสัยก็คงเอาไปประเคนว่าที่คู่หมั้นที่รออยู่เมืองไทย” อัธวุธพูดแล้วพอหันมาเห็นเมธาวีหน้าจ๋อยจึงหยุดพูด “อุ๊ย..โทษที เม้าธ์เพลินไปหน่อย”
เมธาวีจ๋อย “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
“งั้นฉันถามให้” อัธวุธเดินไปถามณภัทรทันที “นี่! จะซื้อของพวกนี้ไปฝากสาวที่ไหนยะ”
“สาวที่ไหนล่ะ ก็แม่ฉัน แล้วก็พี่ศรีคนใช้ที่บ้านน่ะสิ” ณภัทรตอบ
เมธาวียิ้มออก
ณภัทรหันมาที่เมธาวี “เม...ช่วยเลือกหน่อยสิ เลือกไม่เป็นอ้ะ ของแบบเนี้ย”
เมธาวียิ้มอย่างดีใจ “ได้สิ...ได้”
อัธวุธยิ้มเพราะดีใจกับเมธาวีไปด้วย
เมธาวีมาช่วยเลือกด้วยการลองเอาเครื่องประดับทาบกับตัวเองให้ณภัทรดู ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างน่าเอ็นดู โดยมีอัธวุธคอยเป็นกองเชียร์ร่วมแสดงความยินดีอยู่เบื้องหลัง
อัธวุธทำท่าทางล้อเลียนเมธาวีพอณภัทรหันมา อัธวุธก็รีบทำหน้าปกติพร้อมกับมองทั้งสองใกล้ชิดกันอย่างสบายใจ
อนามิกากับณดลยืนชมวิวลอนดอนจากมุมสูงบนเนินเขาของ Hampstead Health อย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่ณดลจะหันมามองหน้าอนามิกาและเผลอใจมองเพลินจนอมยิ้มออกมา พออนามิกาหันมา ณดลก็รีบหลบตา
“มองหน้าฉันทำไมเหรอ” อนามิกาถาม
“เอ่อ..ปะ..เปล่านี่ ใครมองเธอ” ณดลรีบปฏิเสธ
“ก็คุณน่ะแหละ เมื่อกี้คุณมองหน้าฉันทำไม”
“ก็...” ณดลรีบคิดหาข้ออ้าง “เอ่อ...คือ...อ๋อ...ฉันว่าจะถ่ายรูปให้เธอน่ะ มา...ยืนตรงนี้นะ ฉันถ่ายรูปให้”
อนามิกาดีใจ “จริงเหรอ ฉันยังไม่เคยถ่ายรูปที่นี่เลยนะ ดีเลย”
อนามิกายืนยิ้มให้ถ่ายรูป ณดลถอยไปเตรียมถ่ายรูป ทันใดนั้นลมก็พัดวูบทำผมของอนามิกายุ่ง อนามิการีบจัดผมเผ้า
“เอาหละนะ...หนึ่ง..สอง...” ณดลเริ่มนับ
อนามิกาโพล่งขึ้น “เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่ง”
ณดลเงยหน้าจากจอLCD หลังกล้องขึ้นมามอง “อะไรอีกล่ะ”
อนามิกาเอามือจัดๆ ผมตัวเอง “ผมฉันยุ่งหรือเปล่า ฉันดูสวยรึยัง”
ณดลยกกล้องขึ้นแล้วซูมจากกล้องจนเห็นใบหน้าอนามิกาในจอหลังกล้อง เขาจ้องมองจอเหมือนอย่างตกอยู่ในภวังค์แล้วหลุดปากพูดออกมาเบาๆ
“สวยแล้ว...ดูสวยมากเลย”
อนามิกามองอย่างงงๆ เพราะไม่ได้ยินที่ณดลพูด
“หา? คุณว่าอะไรนะ พูดดังๆ หน่อย ฉันไม่ได้ยิน”
ณดลรู้สึกตัวก็รีบเงยหน้าจากกล้องแล้วมองไปทางอนามิกา “เอ้อ..ฉันบอกว่าโอเคแล้ว”
ณดลถ่ายรูปให้อนามิกา
อนามิกายิ้ม “ขอบคุณนะ”
หลังจากนั้น อนามิกาก็หันไปเดินเล่นอย่างสบายใจ ณดลมองตามแล้วอดยิ้มไม่ได้ เขายกกล้องขึ้นมาถ่ายอนามิกาอีกครั้ง
ณดลแอบถ่ายรูปอนามิกาแทบทุกอิริยาบถ ทั้งเดินเล่น ทั้งเหม่อมองชมวิว ทั้งจับใบไม้ ดอกไม้ และยังแอบถ่ายภาพใกล้อนามิกายามเผลออีกด้วย
ขณะกำลังจะกดชัตเตอร์อีกภาพ ณดลก็เริ่มรู้สึกตัวจึงชะงัก เขาเริ่มรู้สึกผิดเมื่อสติกลับคืนมา
“นี่เราเป็นบ้าอะไรไปเนี่ย”ณดลพูดเบาๆ กับตัวเอง
ณดลถอนใจเพราะรู้สึกไม่ค่อยดีที่เผลอใจชื่นชมความสวยของอนามิกา
ณดลกับอนามิกาเดินออกมาตามทางเดินใน Hampstead Health ณดลยังถือกล้องถ่ายรูปในมือ พอเห็นมุมที่สวยเขาก็ยกกล้องขึ้นถ่ายอีก หญิงฝรั่งวัยชราถือไม้เท้าเดินสวนมาไกลๆ ณดลกับอนามิกาหันไปมองก็เห็นฝรั่งหนุ่มที่แต่งชุดจ็อกกิ้งทะมัดทะแมงและสวมหูฟังวิ่งเฉี่ยวจนฝรั่งหญิงชราเซล้มลง แล้วหนุ่มฝรั่งก็วิ่งเลยผ่านไปเพราะไม่ได้ยินเสียง
“ว๊าย!” อนามิกาตกใจ
ณดลเอากล้องถ่ายรูปยัดใส่มืออนามิกา “ฝากแป๊บนะ”
อนามิกายังยืนขาแข็งด้วยความตกใจอยู่ ส่วนณดลรีบปราดเข้าไปแล้วค่อยๆ คุกเข่าลงประคองฝรั่งหญิงชราอย่างนุ่มนวล
“Are you alright? Let me help you.” ณดลค่อยๆ ประคองให้ลุกขึ้น
“Yes, I’m alright. Thank you very much.” หญิงฝรั่งตอบ
อนามิกาขยับจะเข้าไปช่วย “จะให้ฉันช่วยอะไรมั้ย”
ณดลยกมือปราม “ไม่เป็นไรๆ ฉันดูแลเองดีกว่า”
อนามิกาหยุดเดินแล้วยืนมองณดลประคองหญิงฝรั่งชราด้วยสีหน้าชื่นชม ณดลโอบประคองหญิงฝรั่งชราให้เดินไปตามทางอย่างสุภาพนุ่มนวล อนามิกามองแล้วเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ก่อนจะนึกได้จึงรีบหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพไว้
“เวลาทำตัวดีๆ นายก็ดูน่ารักดีเหมือนกันนี่นะ” อนามิกาเปรยกับตัวเอง
อนามิกาเดินตามอยู่ห่างๆ และคอยยกกล้องถ่ายรูปถ่ายตามหลังณดลที่เดินประคองหญิงฝรั่งชราไปที่เก้าอี้นั่งเล่นมุมหนึ่งในสวนสาธารณะ
ที่เก้าอี้ยาว มีฝรั่งชายชราแต่งกายดีนั่งถือช่อดอกไม้เล็กๆ รออยู่ อนามิกาชักสีหน้าแปลกใจด้วยความสงสัยว่าฝรั่งชายชราคือใคร สักพักเธอก็เห็นฝรั่งชายชรายิ้มแย้มดีใจที่เห็นหญิงฝรั่งชราเดินมา เขาลุกขึ้นพยักหน้าขอบคุณณดลก่อนจะประคองฝรั่งหญิงชราให้นั่งลง แล้วมอบช่อดอกไม้ให้ ณดลถอยมายืนข้างๆ อนามิกา ทั้งสองยังมองไปที่เก้าอี้ตัวนั้น
ณดลพูดกับอนามิกา “เค้าเป็นสามีภรรยากันน่ะ” ณดลหันไปมองที่ฝรั่งชราทั้งสอง แล้วเปรยขึ้น “อะไรก็ไม่รู้นะ ที่ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันได้ยันแก่เฒ่าแบบนี้”
“จะอะไรซะอีกล่ะ...” อนามิกาทิ้งช่วงแล้วไม่พูดต่อ
ณดลหันไปมองอนามิกาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“...ก็ความรักน่ะสิ” อนามิกาพูดออกมา
ณดลกับอนามิกาหันมองหน้ากันโดยที่ต่างคนต่างก็เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน สักครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ แล้วต่างคนก็ต่างหลบตาอย่างรู้สึกผิดกับความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นนี้
เมธาวีนั่งอยู่ที่โซฟาบ้านอัธวุธ เธอกำลังนั่งลูบผ้าพันคอที่ตนเองเป็นคนถักอย่างใช้ความคิด อัธวุธเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินมาในสภาพมีหมวกคลุมผม และชุดคลุมอาบน้ำสีแสบ ลายจัดจ้าน
“เอ๊า! ยัยเม มัวนั่งทำอะไรอยู่ยะ ไม่รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก จะไปมั้ย ปาร์ตี้เลี้ยงส่งนายภัทรกะยัยอะนาน่ะ”
“ไปสิ...แต่เนี่ย...พี่อาร์ทช่วยคิดหน่อยสิ เมธาวีควรจะห่อของขวัญมั้ย หรือไม่ต้อง หรือว่าจะให้เค้ายังไงดี”
“อ๋อๆๆ” อัธวุธหยิบผ้าพันคอขึ้นมาพรีเซนต์เหมือนตนเองเป็นนางแบบ “ผ้าพันคอที่แกถักให้นายภัทรใช่มะ นี่...มา ฉันจะสอนให้” อัธวุธฉุดให้เมธาวีลุกยืนขึ้น
เมธาวีงง “สอนอะไร”
“ลุกมาเหอะน่า อ่ะ..แกยืนตรงนี้นะ สมมุติว่าแกเป็นนายภัทร แล้วฉันเป็นแก”
อัธวุธทำท่าสะบัดสะบิ้งเหมือนกำลังสวมวิญญาณผู้หญิง ขณะที่เมธาวียืนเก้ๆ กังๆ เพราะยังตามไม่ทัน
“การให้ของขวัญคนพิเศษซักคน มันไม่ใช่สักแต่ว่าให้ มันต้องมีอะไรเก๋ๆ เริ่ดๆ แล้วก็โรแมนติกกว่านั้น”
“ยังไงเหรอพี่”
“นี่นะ แกต้องหาจังหวะที่นายภัทรยืนหนาวๆ อยู่ข้างนอกคนเดียว แล้วก็...”
อัธวุธเดินเข้าไปหาเมธาวีโดยถือผ้าพันคอในมือ แต่ไพล่หลังไว้ไม่ให้เมธาวีเห็น
อัธวุธทำน้ำเสียงออดอ้อน “ภัทร...ก่อนที่นายจะกลับเมืองไทย เรามีบางอย่างที่อยากจะให้” อัธวุธรอเมธาวีพูด แต่เมธาวีนิ่งเงียบ เขาเลยสะกิดเมธาวี แล้วกระซิบบอกบท “แกถามสิว่า อะไรเหรอ”
“อะ..อะไรเหรอ” เมธาวีว่าตาม
“นี่ไง เราถักเองกับมือเลยนะ” อัธวุธยื่นผ้าพันคอให้แล้วทำน้ำเสียงเว้าวอน “เราให้นาย”
อัธวุธเอาผ้าพันคอมาพันคอให้เมธาวี โดยแทบจะโอบกอดในลักษณะตัวชิดกัน
เมธาวีทนไม่ไหวจึงผลักอัธวุธออกแล้วยิ้มขำๆ “นี่..พอแล้ว! จะบ้าเหรอ ใครจะไปกล้าทำขนาดนี้ เมธาวีเป็นผู้หญิงนะพี่”
“โอ๊ย! งั้นก็เดินไปยื่นให้เค้าดื้อๆ เลยแล้วกันย่ะ แนะนำอะไรดีๆ ก็ไม่รับ ชิ!”
อัธวุธสะบัดหน้าแล้วเดินไป เมธาวีมองตามอย่างขำๆ เธอมองผ้าพันคอในมือแล้วพอนึกว่าจะให้ณภัทรก็อมยิ้มอย่างเขินๆ ออกมา
ในร้านอาหารไทยของพนิดาจัดโต๊ะยาวไว้กลางร้านสำหรับนั่งกินดื่ม และจัดโต๊ะอีกตัวไว้ตั้งอุปกรณ์ทำกับข้าวต่างๆ บนโต๊ะเป็นเครื่องปรุงสำหรับทำส้มตำ ลูกค้าฝรั่งสองรายนั่งกินอยู่ในร้าน พนิดาเดินถือถาดใส่มะละกอดิบซอยส่วนอีกมือถือของพะรุงพะรัง โดยมีจ๊อดอุ้มครกกับสากเดินตามมา
“โอ๊ย..หนักอ้ะแม่ จะให้ยกออกมาทำไม๊?” จ๊อดบ่น
“นี่ไอ้จ๊อด แค่นี้แกจะบ่นทำไมเนี่ย ก็จะจัดปาร์ตี้เลี้ยงส่งพวกพี่ๆ เค้ากลับเมืองไทย จัดโต๊ะให้ตำส้มตำแบบนี้ มันถึงจะได้อารมณ์” พนิดาบอก
เมื่อวางข้าวของเสร็จ พนิดาก็หันไปทางโต๊ะลูกค้าฝรั่งชายหญิง ที่กินอาหารหมดจานแล้ว แต่ยังนั่งชิลกันอยู่
“อ้าว..แล้วนั่นเช็คบิลแล้ว จะมานั่งอู้อะไรกันอีก” พนิดาเดินตรงเข้าไปหาทันที “Excuse me!! We’re closed now because tonight we’ve got a party!”
ฝรั่งทั้งสองทำท่าสนใจอยากร่วมปาร์ตี้ด้วย “Party!? Can we join?”
“Sorry, sir. It’s a private party. Thank you. See you next time.”
ฝรั่งทั้งสองลุกไป พนิดาทำท่าเหมือนยืนส่งแต่แท้จริงแล้วเธอต้องการจะรีบไล่ให้ออกไป
“เออ...ไปซะที ปาร์ตี้เค้าส่วนตัว จะมาขอมั่วนิ่มกินฟรีล่ะสิ” พนิดาบ่น
ฝรั่งสองคนเดินออกจากประตูสวนกับอัธวุธที่แต่งตัวสุดเว่อร์กับเมธาวีที่แต่งตัวสวยเดินเข้ามาในร้าน
จ๊อดพูดเสียงดัง “พี่เม...โห! แม่ดูสิ พี่เมสวยจังเลย”
เมธาวีไหว้ “สวัสดีจ้ะเจ๊แพนด้า” เมธาวีรีบเดินเข้ามาจะช่วย “มีอะไรให้เมช่วยบ้าง”
“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องช่วย” พนิดารีบบอก “วันนี้เธอเป็นแขกรับเชิญของปาร์ตี้ ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟในร้านเหมือนวันก่อนๆ เอ้า! ไอ้จ๊อด พาพี่ๆ เค้าไปนั่งเร๊ว”
“คร้าบ..เชิญมาทางนี้เลยคร้าบ”
จ๊อดแทรกกลางเข้าไปจูงแขนเมธาวีกับอัธวุธให้เดินไปยังที่นั่ง
“แหม...น่ารักน่าชัง โตขึ้นอีกนิดเจ๊จองได้มั้ยเนี่ย” อัธวุธบอก
“เฮ้ยๆๆ นี่ลูกเจ๊นะเว้ย” พนิดารีบพูด
เมธาวีหัวเราะขำกับอัธวุธ “เจ๊ พี่อาร์ทเค้าล้อเล่น”
นลิณาแต่งตัวสวยเดินคุยโทรศัพท์มือถือกับเกตนิการ์มาตามริมถนนลอนดอนยามค่ำคืน
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะเกด ถึงพวกมันไม่เชิญเราไปปาร์ตี้ แต่ฉันก็จะไป..งานเนี้ย...ฉันจะป่วนนังอะนาให้สะใจเลย”
สีหน้านลิณาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งและเอาจริงเอาจัง
อัธวุธยืนตำส้มตำอยู่ที่โต๊ะ โดยมีจ๊อด พนิดา และเมธาวีคอยเชียร์
“ถึงจะเรียนมาด้านแฟชั่นดีไซน์ แต่ไอ้การตำส้มตำเนี่ย ขอบอกว่ามันอยู่ในสายเลือด” อัธวุธคุย
“โอ๊ย! ขี้คุยชะมัด” จ๊อดว่า
“อ๊ะๆ อย่าดูถูก งั้นคอยดูดีๆ นะยะ”
พูดจบอัธวุธก็ควงสากโชว์ แล้วจากนั้นก็โยนสาก โยนครั้งแรกรับได้ ทุกคนปรบมือชอบใจ อัธวุธได้ใจควงสากแล้วโยนอีกที แต่คราวนี้รับพลาด สากหล่นใส่เท้าจนอัธวุธลั่น
“อ๊าก!!”
ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“สมน้ำหน้า ลีลาเยอะนัก” พนิดาบอก
เมธาวีกำลังหัวเราะสนุกสนานอยู่แล้วก็พลันชะงักเมื่อมองไปข้างนอก อัธวุธยกเท้าขึ้นมากุมแล้วเขาก็ชะงักมองเมธาวี
เมธาวีชี้ออกไปข้างนอก “มากันแล้ว”
“เหรอ...เร็วเข้า รีบเอาผ้าพันคอออกไปให้เค้าเร็ว”
อัธวุธพูดอย่างลืมเจ็บ เขารีบหยิบผ้าพันคอออกจากกระเป๋าของเมธาวีมาส่งให้เมธาวี
ณภัทรกับอนามิกาแต่งตัวสวยหล่อเดินมาที่หน้าร้าน อัธวุธออกมาจากร้านก่อนจะพุ่งเข้าไปฉุดแขนอนามิกา
“โอ๊ย..สวยหล่อเหมาะสมที่เป็นสามีภรรยากันเลยนะยะ” อัธวุธแซว
“เลิกพูดเล่นแบบนี้เลยนะ” อนามิกางงที่จู่ๆ อัธวุธเข้ามาฉุดแขน “แล้วนี่อะไรของแกยะ”
“แกเข้าร้านไปกับฉันก่อน” อัธวุธหันมาบอกณภัทร “ภัทร นายรอตรงนี้ก่อน”
“อ้าว..ทำไมล่ะ”
ณภัทรไม่ทันได้อ้าปากถามต่อ อัธวุธก็พาอนามิกาเดินเข้าร้านไป เมธาวีเดินสวนออกมาในลักษณะที่สองมือของเธอไพล่หลังอยู่ ณภัทร มองเมธาวีแล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
“เม...วันนี้แต่งตัวสวยจัง” ณภัทรชม
“ขอบคุณนะที่ชม” เมธาวีเขิน
เมธาวียืนอยู่หน้าณภัทรด้วยท่าทางเก้อเขิน เธอยังไม่กล้าให้ผ้าพันคอที่ถือไพล่หลังอยู่ในมือ
ณภัทรเห็นเมธาวีนิ่งอยู่พักหนึ่งจึงถามขึ้น “มีอะไรเหรอเมธาวี”
“คือ...ฉันเห็นว่านายจะ...กลับเมืองไทย...ฉัน...ฉันก็เลย...” เมธาวีอ้ำอึ้ง
“เป็นอะไรเมธาวี มีอะไรก็ว่ามาสิ”
“ฉันก็เลยมีอะไรบางอย่างอยากจะให้...”
เสียงเกตนิการ์ดังมาแต่ไกล “ภัทร!”
เมธาวีกับณภัทรชะงักหันมองไปที่ต้นเสียง ทั้งสองเห็นเกตนิการ์ถือถุงช็อปปิ้งแบรนด์เนมหรูวิ่งมาหยุดยืนหอบหน้าณภัทร
“เกด...ว่าไง” ณภัทรถาม
เกตนิการ์ยกถุงให้ “มาปาร์ตี้เลี้ยงส่งภัทรทั้งที ฉันก็เลยซื้อของขวัญมาให้ ดูสิว่าชอบมั้ย”
ณภัทรยกถุงดูยี่ห้อ แล้วเปิดถุงดู “โห...แบรนด์เนมเลยนะ เกรงใจแย่เลย ทำไมต้องให้ของแพงๆ แบบนี้ด้วย”
“แหม...ก็เลี้ยงส่งภัทรทั้งที จะให้ของถูกๆ ไก่กาได้ยังไง” เกตนิการ์บอก
เมธาวีรู้สึกด้อยลงไปทันทีจึงรีบขยับมือไพล่หลังเพื่อซ่อนผ้าพันคอที่ถักเองให้มิดชิด
“ขอบคุณมากนะเกด อ้อ!” ณภัทรหันมาทางเมธาวี “เมื่อกี้เมจะบอกอะไรนะ อยากจะให้อะไรเหรอ”
เมธาวีพูดด้วยน้ำเสียงจ๋อยลง “ก็...เอ่อ...เปล่านี่ ไม่มีอะไร”
เมธาวีค่อยๆ ถอยออกมาแล้วพยายามจะเดินจากมาโดยไม่ให้ณภัทรเห็นผ้าพันคอผืนนั้น
“อ้าว..เดี๋ยวสิเม” ณภัทรทัก
ณภัทรจะขยับตามไปแต่เกตนิการ์เข้าขวางไว้
“เป็นไง ภัทรชอบมั้ย” เกตนิการ์ถาม
ณภัทรพยักหน้าให้เกตนิการ์แต่สายตาของเขายังคงมองตามเมธาวีไปด้วยความงุนงง อนามิกากับอัธวุธยืนมองเหตุการณ์อยู่ที่ประตู ทั้งสองรู้สึกสงสารเมธาวีอย่างจับใจ
อ่านต่อหน้า 3
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 5
เมธาวีเปิดประตูร้านเข้ามาด้วยอาการซึมๆ จากความผิดหวัง เธอเดินซังกะตายผ่านหน้าอนามิกากับอัธวุธที่มองอย่างเป็นห่วง เมธาวีเดินไปถึงที่โต๊ะก็ยกคอกเทลสีฟ้าในแก้วขึ้นมากระดกแก้กลุ้ม อนามิกากับอัธวุธมองตาค้าง
อนามิกากับอัธวุธเอ่ยเสียงหลง “ยัยเมธาวี”
อนามิกากับอัธวุธรีบปราดเข้ามาหา เมธาวีจะเทเครื่องดื่มสีฟ้าจากเหยือกลงแก้วของเธอ
“นี่มันเหล้านะยะ ไม่ใช่น้ำหวาน” อัธวุธปราม “เดี๋ยวก็ได้เมาเละหรอก มา..เอาผ้าพันคอมานี่ เดี๋ยวฉันเก็บให้” อัธวุธดึงผ้าพันคอของเมธาวีมาเก็บไว้
อนามิกาดึงเมธาวีมาปลอบ “เม..ไหวหรือเปล่า”
เมธาวีฝืนยิ้ม “เมแฮปปี้ดีค่ะ เลี้ยงส่งพี่อะนาทั้งที เมจะเศร้าได้ยังไง”
อนามิกายิ้มแล้วพยักหน้ารับทราบ ถึงในใจจะหวั่นและห่วงเมธาวีอยู่ก็ตาม
“พี่อะนา” จ๊อดเรียกเสียงดังแล้ววิ่งตรงมากอดอนามิกาด้วยความดีใจ
“อ้าว...ยัยอะนา มาแล้วเหรอยะ” พนิดาเดินเข้ามาทัก
“ว่าไงจ๊อด” อนามิกาหันมาพูดกับพนิดา “หวัดดีค่ะเจ๊ เป็นไง พอฉันไม่อยู่ ร้านเจ๊ขายดีเลยใช่มั้ย”
“ใครบอกล่ะ เจ๊เหนื่อยจะตาย พอไม่มีเธออยู่เนี่ย” พนิดาบอก
“เจ๊...ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเอาใจเลย ตอนนั้นเจ๊แหละ ที่ไล่ฉันออกเอง” อนามิกาพูดยิ้มๆ
“แหม..ก็ต้องเข้าใจเจ๊บ้าง การปกครองคนมันต้องมีกฏมีระเบียบกันบ้าง เจ๊บอกทุกคนว่าใครทะเลาะกะลูกค้า เจ๊ไล่ออก แล้วจะให้เจ๊เลือกปฏิบัติได้ไง”
“จ้ะๆ ฉันเข้าใจเจ๊จ้ะ ไม่คุยเรื่องซีเรียสแล้วนะ” อนามิกาพูดกับอัธวุธและเมธาวี “มา..พวกเรา หาอะไรกินกันดีกว่า”
อนามิกากับอัธวุธมีท่าทางร่าเริง ทั้งสองรีบจัดแจงหาของกิน ส่วนเมธาวียังนั่งซึม
ณดลเดินมาที่ประตูบ้านณภัทรหลังจากได้ยินเสียงกดกริ่งย้ำๆ หลายครั้ง
“มาแล้ว...มาแล้ว...ไหนบอกไปเลี้ยงส่งกัน แล้วจะกลับมาทำไม”
ณดลเปิดประตูออกก็เห็นนลิณาที่แต่งตัวสวยกำลังยืนส่งยิ้มให้ ณดลชักสีหน้าด้วยความประหลาดใจ
“นีน่า...มาหาใครเหรอ”
“แหม...จะมาหาใครล่ะคะ ก็มาหาคุณณดลน่ะสิ กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ” นลิณาถาม
“ผมกำลังแพ็คกระเป๋าเตรียมกลับบ้านน่ะ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“นีน่าจะชวนคุณณดลไปปาร์ตี้น่ะค่ะ เห็นยัยเกดโทรมาบอกว่าคุณณดลยังไม่ได้ไปที่นั่น นีน่าก็เลยแวะมาหา”
“คืออันที่จริง ผมกะว่าจะไม่ไปอยู่แล้ว เพราะทุกคนน่าจะสนุกกันเต็มที่กว่า ถ้าไม่มีผมอยู่ด้วยน่ะ”
“โอ๊ย...ไม่จริงหรอกค่ะ คิดมากไปหรือเปล่า นี่งานเลี้ยงส่งน้องชายคุณนะคะ ถ้าคุณไม่ไป ก็งานกร่อยแย่สิ”
“แต่ว่า...” ณดลลังเล
นลิณาเกาะแขนออดอ้อน “ไม่เอาน่า...อย่าเครียดนักสิคุณ ไป..รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปสนุกกันดีกว่า”
ณดลยังคงลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี
เกตนิการ์นั่งป้อนอาหารเข้าปากณภัทรอยู่ในร้านพนิดา แต่เธอป้อนเลอะมุมปากทำเอาเธอและณภัทรหัวเราะออกมาด้วยกัน เกตนิการ์เอียงตัวไปอิงณภัทรอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ส่วนอนามิกา อัธวุธ และเมธาวีกำลังยืนอยู่โต๊ะวางอุปกรณ์ทำส้มตำ
“ฉันว่านะ...ยัยเกดนี่ต้องคิดอะไรกับอีตาภัทรแน่ๆ” อนามิกาโพล่งขึ้น
“นี่...เพิ่งรู้เหรอยะ เค้ารู้กันหมดแล้ว นี่..ยัยเมยังรู้เลย” อัธวุธบอก
“อ้าว...เหรอ” อนามิกาหันไปหาเมธาวี “รู้กันหมดแล้วเหรอ”
เมธาวีพยักหน้าตอบอย่างเซ็งๆ
“แล้วยัยนีน่ารู้รึยัง”
“ยางง!! ขืนรู้ก็คงระเบิดลง ตบกันตายไปข้างสิ มีอย่างที่ไหน ยัยนีน่าอยากให้นายภัทรหมั้นกับน้องตัวเอง แต่เพื่อนสนิทดันจ้องจะคาบไปกินซะ” อัธวุธบอก
“อ้าว..นั่นยัยนีน่ากับพี่ณดลนี่” เมธาวีชี้ชวนให้ทุกคนมองออกไปที่ประตู ณดลกับนลิณาเดินเข้ามาในร้าน
“อะไรกันเนี่ย แค่เห็นยัยเกดฉันก็งงแล้ว นี่ยังมากันทั้งยัยนีน่า กะอีตาณดลด้วยเรอะ” อนามิกาเซ็ง
“ชักสังหรณ์แล้วสิว่าปาร์ตี้เลี้ยงส่งวันนี้ จะจบไม่ค่อยสวยน่ะ” เมธาวีหวั่นใจ
“โอ๊ย..กลัวอะไร คนพรรค์นี้ อย่าไปยอมหงอมันเชียว” อนามิกาบอก
ณดลกับนลิณาเดินตรงเข้ามา ณภัทรรีบลุกขึ้นมาทักทายทันที
นลิณาแสร้งยิ้มทักทายทุกคน “สวัสดีจ้ะทุกคน แหม..ปาร์ตี้น่าสนุกจังนะจ๊ะ”
“สนุกแน่ๆ หละจ้ะ ถ้าเธอจะไม่มาป่วนให้เละ อ้อ! แล้วนี่ไม่ทราบว่าใครเชิญเธอมาเนี่ยย” อนามิกาหันไปหาอัธวุธกับเมธาวี “เอ๊ะ!นี่พวกเรามีใครจุดธูปอะไรหรือเปล่า”
“มากไปแล้วนะอะนา นีน่าเค้าก็เป็นเพื่อนกับนายภัทรเหมือนกัน ทำไมเค้าจะไม่มีสิทธิ์มาเลี้ยงส่งเพื่อนเค้าล่ะ” ณดลว่า
นลิณาแสร้งทำเป็นคนดีทันที “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณณดล นีน่ารู้ว่าอะนาเค้าแค่พูดเล่น”
“ฉันพูดจริงจ้ะ ไม่ได้พูดเล่น” อนามิกาย้ำ
ณดลตวาด “อะนา! ฉันบอกให้หยุด”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะคุณณดล ใครจะคิดยังไง นีน่าคงห้ามไม่ได้ แต่ถึงยังไงนีน่าก็ยังมีมิตรภาพและความเป็นเพื่อนให้กับทุกคน”
“อู๊ย...ไม่ต้องมาสร้างภาพเป็นนางงามมิตรภาพหรอกจ้ะ ฟังแล้วขนลุก” อนามิกาทำท่ารังเกียจ
“เฮ้อ...พอทีเถอะน่า เธอจะหาเรื่องนลิณาเค้าไปถึงไหน” ณดลหันไปพูดกับณภัทร) ไอ้ภัทร มาดูแลเมียแกหน่อยซิ ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนหละ”
พูดจบณดลก็เดินผละออกไป พอณดลเดินลับตา นลิณาก็เปลี่ยนสีหน้ามาจ้องตาอนามิกาอย่างอาฆาตมาดร้าย
“มองหน้าหาอะไรไม่ทราบ อยากทำอะไรก็รีบๆ หน่อยนะ ฉันจะกลับเมืองไทยแล้ว” อนามิกาท้าทาย
“นี่แกท้าฉันเหรอ? เอาซี้..แน่จริงออกไปเจอกันข้างนอกเลยดีกว่า” นลิณาโกรธ
อนามิกากระเด็นออกมาจากประตูร้านที่ปิดอยู่ นลิณาปราดตามมาสาวมือตบตีอุตลุด อนามิกาตบสวนแบบไม่ยอมเสียเปรียบนลิณา
“ขอตบสั่งลาให้หายแค้นทีเหอะ” นลิณาฉุน
ณภัทรกับอัธวุธรีบปราดออกมาห้าม แต่ก็โดนลูกหลงกันไปคนละนิดละหน่อย
“อย่า...นลิณา...อนามิกา โอ๊ย!” ณภัทรโดนลูกหลง
“สองคนนี้มันแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน” อัธวุธโดนฝ่ามือเข้าที่หน้า “โอ๊ย! เจ็บนะยะ หยุด!!”
เกตนิการ์ดึงณภัทรกับอัธวุธให้ออกมา “ก็ปล่อยให้เค้าเคลียร์กันเหอะน่า”
ฝรั่งชายและหญิงวัยกลางคนเดินผ่านมาหยุดยืนดูอย่างรู้สึกไม่ดี
“หยุด!! พอแล้ว อายฝรั่งเค้าบ้าง” อัธวุธหันไปพูดกับฝรั่ง “สองคนที่ตบกันนี่ไม่ใช่คนไทยนะ She’s not Thai. โอ๊ย...ไม่รักษาอิมเมธาวีจประเทศไทยกันบ้างเล๊ย”
ณภัทรดึงอนามิกาเอาไว้ ส่วนอัธวุธก็ดึงนลิณาให้แยกออกมา
“ปล่อย! อย่าห้ามฉัน” นลิณาพยายามดิ้น
“เข้ามาสิ วันนี้ฉันจะไม่ยั้งมือให้แล้ว” อนามิกาโกรธ
นลิณากับอนามิกาสะบัดตัวจนหลุดจากที่ถูกจับตัวไว้ แล้วก็กระโจนเข้าจิกผมตบตีกันต่อ
เมธาวีชักเห็นท่าไม่ดีจึงพูดกับอัธวุธและณภัทร
“เมไปตามเจ๊มาดีกว่า”
แล้วเมธาวีก็รีบวิ่งผละออกไป
พนิดากำลังหั่นผักสลัดอยู่ในครัว โดยมีจ๊อดช่วยล้างผักอยู่ใกล้ๆ อย่างขี้เกียจ
“นี่ ไอ้จ๊อด! ทำอะไรน่ะให้มันแข็งขันหน่อยได้มั้ย เร๊ว!” พนิดาเร่งลูกชาย
“แม่! จ๊อดช่วยแม่นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว ใช้แรงงานเด็กนี่ผิดกฏหมายสหราชอาณาจักรนะ”
“โอ้โห..มันจำใครมาพูดเนี่ย”
ทันใดนั้นเมธาวีก็วิ่งเข้ามาเรียกด้วยเสียงตื่นตกใจ “เจ๊...เจ๊!!”
พนิดากับจ๊อดหันไปมอง
“ข้างนอกมีเรื่องกันใหญ่แล้ว เจ๊รีบออกไปเร็ว” เมธาวีบอก
พนิดาได้ยินก็พลอยตื่นตระหนกไปด้วย
ณภัทรจับตัวอนามิกาไว้ ในขณะที่อัธวุธจับแขนของนลิณา ส่วนเกตนิการ์ยืนดูอยู่ไม่ห่าง
“แกยังโชคดีที่มีคนมาห้ามไว้ ไม่งั้นฉันตบแกตายแน่” นลิณาพูดอย่างฉุนเฉียว
“ขอโทษ! ใครจะตบใครตายไม่ทราบ ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองซะไป๊ แดงเป็นปื้นเลย” อนามิกาสวนกลับ
“ก็ลองมาตบกันอีกทีมั้ยล่ะ” นลิณาหันไปบอกอัธวุธ “นี่ ปล่อยฉัน”
“ได้เลย” อนามิกาหันไปบอกณภัทร “ภัทร ปล่อยฉัน”
“พอเหอะน่าอะนา” ณภัทรปราม
อนามิกาหันไปที่ประตูก็เห็นพนิดาเดินนำเมธาวีออกมา เธอก็พลันฉุกคิดขึ้นได้จึงรีบพูด
“คราวก่อนที่เธอมาหาเรื่องฉันถึงในร้าน ก็ทำให้ฉันโดนไล่ออกไปทีแล้ว เธอยังไม่สะใจพอเหรอ ถามจริงๆ นะ วันนั้นเธอหาเรื่องฉันทำไม”
นลิณาไม่เห็นพนิดาจึงสวนกลับไป “ไม่มีเหตุผลย่ะ! คนอย่างแกน่ะ แค่เห็นหน้า ฉันก็ของขึ้นแล้ว”
อนามิกาทำเสียงเว้าวอนให้เหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่โดนกลั่นแกล้ง “ทำไมต้องคอยแต่กลั่นแกล้ง แล้วก็หาเรื่องฉัน” อนามิกาแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็นพนิดา “อ้าว! เจ๊แพนด้า เจ๊มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
พนิดาเดินอย่างขึงขังเข้ามา “ก็มาทันได้ยินว่าวันนั้น...” พนิดาเดินเข้ามาจ้องหน้านลิณา “ยัยนี่เป็นคนหาเรื่องเธอก่อนน่ะ”
“เจ๊ ใจเย็นๆ” เมธาวีปราม
“ฉันไม่เย็นแล้ว ดูซิ! เพราะเธอแท้ๆ ที่ทำให้ฉันเข้าใจผิด ไล่ยัยอะนาออกไป แล้วเป็นไง พอมันออก ฉันก็ทำงานหัวหมุน เหนื่อยแทบอ้วกอยู่คนเดียว แหม..พูดแล้วมันอารมณ์เสีย ขอซักทีได้มะ”
พนิดาปราดจะเข้าไปตบนลิณา เกตนิการ์กับเมธาวีต้องเข้ามาช่วยกันจับ
“ถ้าไม่อยากแก่ตาย ก็เข้ามาสิป้า” นลิณาท้าทาย
“หรือเธอเรียกฉันว่าป้าเหรอ” พนิดาฉุนกึก
นลิณากับพนิดา ดิ้นพราดๆ จะเข้าใส่กัน ทุกคนต้องยื้อยุดกันอุตลุด อนามิกาอมยิ้มอย่างสะใจ
ณดลเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ พอเขาเดินมาถึงในร้านก็งงที่เห็นในร้านไม่มีใครอยู่เลย
“หายไปไหนกันหมดเนี่ย”
ณดลหันไปเห็นจ๊อดเดินมายืนใกล้ๆ จึงก้มลงไปถาม
“โทษนะ หนูรู้มั้ย ว่าพวกพี่ๆ เค้าหายไปไหนกันหมด”
“ผู้ใหญ่ยังไม่รู้ แล้วเด็กจะรู้ได้ไง” จ๊อดตอบ
ณดลผงะกับคำตอบแล้วจึงส่ายหัวด้วยความเอ็นดู
สักพักประตูก็เปิดเข้ามา อัธวุธจับแขนนลิณาลากถูลู่ถูกังเดินเข้ามา ส่วนพนิดาถูกเมธาวีกับเกตนิการ์คอยจับไว้เดินตามเข้า ปิดท้ายด้วยอนามิกาที่มีณภัทรคอยจับแขนรั้งไว้
“โอ๊ย...เร๊ว..รีบเอาคู่กรณีมาข้างในก่อน ขืนตีกันข้างนอก เดี๋ยวโปลิศก็แห่มาหรอก ว๊าย” อัธวุธร้องตกใจเพราะนลิณาสะบัดตัวจนหลุดออกไป
นลิณาสะบัดจนหลุดจากอัธวุธแล้วตรงเข้าไปตบหน้าอนามิกาฉาดใหญ่
“อย่า! นีน่า” ณภัทรร้องห้ามแต่ไม่ทัน
“โอ๊ย!” อนามิการ้อง แล้วหันไปดุณภัทร “ปล่อยฉันได้แล้ว”
อนามิกากับนลิณายื้อยุดกันอยู่ พนิดาเห็นก็อยากจะเข้ามาช่วยอนามิกาจึงหันไปบอกเมธาวีกับเกตนิการ์
“ปล่อยฉัน”
“ใจเย็นเจ๊ ลูกชายเจ๊อยู่ตรงนี้นะ” เมธาวีกล่อม
พนิดาหันไปเห็นจ๊อด “อ้าว...”
ณดลเห็นเหตุการณ์ก็โวยเสียงดัง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย หยุดได้แล้ว”
นลิณากับอนามิกายังคงยื้อยุดมาถึงโต๊ะทำส้มตำ นลิณาค้ำคออนามิกาไว้ อนามิกาถอยหลังมาติดโต๊ะจึงหันไปคว้าเอาเส้นมะละกอดิบมาโปะหน้าของนลิณาจนเส้นมะละกอติดเต็มปากนลิณา
นลิณาพูดทั้งที่มีเส้นมะละกอในปาก “แก...จะเล่นอย่างงี้ใช่มั้ย”
นลิณาคว้ามะเขือเทศที่ใช้ตำส้มตำขึ้นมาบดใส่หน้าอนามิกา อนามิกาโต้ตอบด้วยการหยิบถั่วฝักยาวมาฟาดหน้านลิณา นอกจากนั้นทั้งกะหล่ำปลีและมะนาวที่หั่นไว้ก็ถูกใช้มาเป็นอุปกรณ์ในการตบตีด้วย นลิณาคว้าเส้นมะละกอมาโปะศีรษะของอนามิกา อนามิกาคว้าเส้นมะละกอเงื้อจะปาใส่ ณดลปราดเข้ามาร้องห้ามเสียงดัง
“ฉันบอกให้หยุด อุ๊บ!” ณดลยังพูดไม่จบก็ถูกเส้นมะละกอโปะเต็มหน้าและศีรษะ ณดลทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ นลิณากับอนามิกาหันมามองแล้วก็หยุดชะงัก
“คุณณดล” นลิณาชะงัก
ทันใดนั้น อนามิกาก็คว้าชามปูเค็มมาโปะใส่ศีรษะของนลิณา
“กรี๊ด” นลิณาร้องลั่น
“อนามิกา!! เกินไปแล้วนะ” ณดลตวาด
นลิณารีบแสร้งทำเหมือนโดนกลั่นแกล้งรีบโผเข้าเกาะแขนณดลแล้วออดอ้อน
“คุณณดลขา ช่วยนีน่าด้วย นีน่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
“ได้...เดี๋ยวผมไปส่ง” ณดลพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน “พอทีเถอะนะ ฉันขอ”
“คุณก็แค่พายัยนีน่าออกไปก็หมดเรื่องแล้วหละ” อนามิกาบอก
“ไม่เอาน่า...อะนา” ณภัทรปราม
นลิณาออดอ้อนณดลต่อทันที
“นีน่าอยากกลับบ้านอาบน้ำสระผมน่ะค่ะ อี๋!!..เหม็นปูเค็มอ่ะ”
“ใครจะไปคิดนะว่าอุตส่าห์มาถึงลอนดอน แล้วยังโดนปูเค็มไต่หัว ฮ่าๆๆ” อัธวุธเยาะเย้ย
ณดลตวาด “หุบปากได้แล้ว”
อัธวุธสะดุ้งโหยงรีบเม้มปากทันที
“จะสนุกสนานอะไรกัน ก็อย่าให้มันเกินเลยจนไปทำร้ายคนอื่นเค้า” ณดลหันมาดุอนามิกา “แล้วเธอน่ะ สนุกให้พอนะ เพราะเดี๋ยวกลับเมืองไทยไปอยู่บ้านฉันเมื่อไหร่ เธอจะสนุกไม่ออก”
อนามิกามีสีหน้าหวาดหวั่นเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะต้องกลับไปอยู่บ้านเดียวกับณดล และพ่อแม่ของณภัทร
ณดลกับนลิณาเดินออกมาหน้าร้าน นลิณายังใช้กระดาษทิชชู่ เช็ดศีรษะและเนื้อตัวอยู่
“เสียมู้ดหมดเลยนะคะ นึกว่าจะได้มาดื่มเลี้ยงส่งคุณณดลกลับเมืองไทย งั้นเอางี้มั้ยคะ พอกลับไปถึงที่ห้องนีน่า เราก็ดื่มกันสองคน”
“เอ่อ...อย่าดีกว่า คืออันที่จริง ผมดื่มไม่ค่อยได้น่ะ” ณดลบอก
“พูดเป็นเล่น”
“จริงๆ แต่นานๆ ครั้งก็พอได้ซัก 2-3 แก้ว แต่ถ้ามากกว่านั้น ก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
“แหม...เพราะเหล้ายาไม่แตะแบบนี้ใช่ไหมคะ ถึงได้หน้าใสแบบนี้”
เกตนิการ์พรวดพราดออกมาจากร้านแล้ววิ่งตามมาส่งเสียงเรียก
“นีน่า...รอฉันด้วยสิ”
นลิณาหันมา “อ้าว! ก็ฉันไม่รู้ว่าเธอจะกลับ นึกว่าจะอยู่ต่อ”
“อยู่ต่อกะผีสิ เธอไปเปิดสงครามกับพวกเค้าขนาดนั้น แล้วจะให้ฉันนั่งอยู่หัวเดียวโด่เด่ในนั้นเนี่ยนะ ไม่ไหวหละจ้ะ” เกตนิการ์บอก
แก้วคอกเทลสีสวยของทุกคนถูกชูขึ้นมาชนกันตรงกลางวง
“เอ้า!!!...โชน!!!”
ทุกคนชนแก้วแล้วเตรียมจะยกแก้วขึ้นดื่ม แต่ก็พลันชะงัก เพราะพนิดาร้องห้ามไว้
“เฮ้ย!! เดี๋ยวๆๆ”
“อะไรคะเจ๊” เมธาวีถาม
“คือคราวก่อนโน้นที่พวกเธอมีเรื่องกะยัยนีน่าอะไรนั่น เจ๊ดันไล่เธอออกไป เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการขอโทษจากใจเจ๊ คืนนี้ กินฟรี เจ๊เลี้ยงเอง” พนิดาประกาศ
ทุกคนร้องเฮลั่น ก่อนจะยกแก้วขึ้นชนแล้วดื่มพร้อมกัน อัธวุธยกเหยือกเครื่องดื่มคอกเทลสีฟ้าขึ้นมารินแจกทุกคน
“เอ้า! ของฟรีนานๆ มีครั้ง อย่าได้ยั้ง อย่าได้หยุด” อัธวุธบอก
ณภัทรกับเมธาวียื่นแก้วมาขอให้อัธวุธรินเพิ่ม แล้วทั้งสองก็ชะงักมองไปที่ประตู อัธวุธหันมองตาม ทั้งหมดเห็นณดลเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่
“พี่ณดล มาได้ไงเนี่ย” ณภัทรตกใจ
“นั่นสิ แล้วไม่ต้องไปส่งแม่นีน่าสุดเลิฟของคุณแล้วเหรอ” อนามิกาถามทั้งๆ ที่ยังถือแก้วอยู่ในมือ
“ก็มีเกดกลับไปด้วยกันแล้ว ฉันก็เลยขอตัวกลับมานี่ แล้วเธอรู้มั้ยว่าฉันมานี่ทำไม” ณดลถามกลับ
“ไม่รู้อ่ะ” อนามิกาตอบ
ณดลตอบเสียงดุ “ฉันก็มาจับตาดูเธอน่ะสิ” ณดลชี้ที่แก้วในมืออนามิกา “แก้วในมือเธอน่ะวางลงเดี๋ยวนี้เลย”
อนามิกางง “วางทำไม เลี้ยงส่งกันทั้งที ทำไมฉันต้องวางแก้วด้วยล่ะ”
ณดลตวาด “ยังมีหน้ามาถามอีก เธอเคยสำนึกบ้างมั้ย ว่าคนท้องเนี่ย เค้าห้ามกินเหล้า”
“เออแฮะ เกือบลืม” อนามิกาทำเป็นนึกขึ้นได้
ณดลตวาด “เกือบลืมอะไร”
“เกือบลืมว่าท้อง เอ๊ย! เกือบลืมว่าคนท้องกินเหล้าไม่ได้”
“เดี๋ยวนะๆ” พนิดารีบทักขึ้น “อนามิกา นี่เธอท้องเหรอ ไปไงมาไงเนี่ย”
“เจ๊...เรื่องมันยาว ไว้ฉันเล่าให้ฟังทีหลังนะ”
พูดจบอนามิกาก็มองแก้วในมือ แล้วยื่นให้ณดล ณดลนิ่งๆ งงๆ อนามิกาจึงพูดต่อ
“เอาไปสิ ฉันท้องอยู่ กินเหล้าไม่ได้ งั้นคุณเอาไป”
“เดี๋ยวๆๆ คือพวกเหล้าฉันไม่ค่อยถนัดหรอกนะ มีอย่างอื่นมะ” ณดลบอก
เมธาวียกเหยือกน้ำส้มมาให้ “งั้นกินน้ำส้มกะเมก็ได้ค่ะ”
อนามิกายกมือปรามเมธาวี “เมธาวี! ไม่ต้อง” อนามิกาพูดกับณดล “นี่เค้าเลี้ยงส่งกันทั้งที จะมากินน้ำส้ม หน้าตาท่าทางก็ออกจะแมน แต่ถ้าปอดนัก ก็กลับบ้านตอนนี้ยังทันนะ”
“ฉันไม่ได้ปอด ก็แค่ไม่ถูกโรคกับแอลกอฮอล์ ฉันดื่มไม่ค่อยได้” ณดลบอก
“อุ๊ยตาย!” อนามิกาหันไปทางเพื่อนๆ “พวกเราได้ยินมั้ย ดื่มไม่ได้ แหม..เด็กอนามัย คุณหนูสุดๆ “
ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน โดยเฉพาะอัธวุธกับพนิดาที่หัวเราะเยาะอย่างเปิดเผย
ณดลกลัวเสียหน้าจึงรีบบอก “ก็ไม่ถึงขนาดน้าน.. มา!เอามาก็ได้ แค่แก้วสองแก้ว ฉันไม่รู้สึกอะไรหรอก”
ทุกคนส่งเสียงเฮรับ แล้วทุกคนก็ชนแก้วแล้วดื่มกัน
เวลาผ่านไป ขวดเหล้าและเครื่องดื่มในเหยือกพร่องจนเกือบหมดวางอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ ทุกคนนอกจากอนามิกานั่งโงนเงนอย่างคนเมา พนิดาขยับจะลุกขึ้นแต่ก็โงนเงน
พนิดาพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “เจ๊ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวขึ้นนอนก่อน” พนิดาหันมาพูดกับอนามิกาและเมธาวี “ฝากร้านด้วยนะ ตอนออกไปก็ล็อกประตูให้เจ๊ด้วย”
“เจ๊...เดี๋ยวก่อนสิ” อนามิกาเรียก
“อย่าเพิ่งไปสิเจ๊ อีกแป๊บนึง” เมธาวีก็เรียกด้วย
พนิดาไม่ฟังเสียง เธอลุกเดินโซเซชนโต๊ะโน้นโต๊ะนี้เข้าร้านไป ทุกคนเม้าธ์ตามหลังทันที
“ดูสภาพเจ๊แล้ว ฉันว่าให้ไปนอนแหละดีแล้ว” รภัทรพูดด้วยเสียงอ้อแอ้
“ใครเมาก็ไปนอน มา!พวกเรา มาดวลกันต่อดีกว่า” ณดลตอบด้วยเสียงอ้อแอ้
“แหม...ปากดี ไหวมั้ยเนี่ย คออ่อนแล้วยังทำซ่า” อนามิกาว่า
“เธอว่าใครคออ่อน มา! รินมาเลย ฉันขอสั่งว่าทุกคนต้องหมดแก้ว” ณดลเสียงดัง
“โอ๊ย..จะเผด็จการไปไหน ขนาดกินเหล้ากันขำๆ ยังออกคำสั่ง” อนามิกาว่า
“เธอไม่ต้องยุ่ง เด็กและสตรีมีครรภ์ห้ามดื่ม” ณดลพูดกับทุกคน “เร็วสิ ชนแก้วกับฉัน ใครไม่หมดแก้ว ฉันไม่ยอมนะ”
“อะๆๆ เอากะเค้าหน่อย เอ้า...ทุกคน หมดแก้ว!” อัธวุธพูดเสียงดัง
ทุกคนชนแก้วแล้วกระดกจนหมดแก้วก่อนจะส่งเสียงเฮลั่นร้าน สิ้นเสียงเฮ ณดลก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างหมดสภาพ
“เฮ้ย!” อนามิกาหันไปพูดกับณภัทร “ภัทร พี่นายหมดสภาพแล้ว เก็บศพกลับบ้านด้วย”
ณภัทรพูดด้วยเสียงเมาไม่แพ้ณดล “ฉันไม่แปลกใจหรอก ปกติไม่เคยเห็นพี่ณดลกินเหล้าเกินสองแก้ว”
“ฉันว่านะ สมควรแก่เวลาแล้ว ดูแต่ละคนก็ท่าจะไม่ไหวกันแล้ว งั้นพวกเราแยกย้ายกันกลับบ้านดีกว่า” อนามิกาบอก
อัธวุธนั่งคอพับหมดสภาพ แล้วชูคอมายกมือโบกลา “งั้นกลับกันไปเลย ฉันนอนนี่แหละ”
เมธาวีพูดด้วยท่าทางที่เมาน้อยกว่าคนอื่น “เฮ้ย..พี่อาร์ท ไหงเอาตัวรอดงี้ล่ะ ไม่ได้นะ”
เมธาวีฉุดอัธวุธให้ลุกขึ้น แล้วมายืนใกล้ๆ ณดลที่ฟุบอยู่ ก่อนจะหันมาถามอนามิกา
“เอาไงดีล่ะ ใครจะประคองล่ะเนี่ย”
ณภัทรอาสาด้วยเสียงอ้อแอ้ “มา..ฉันช่วย...ประคอง...เอง”
ณภัทรเดินขาปัดล้มไปเอง เมธาวี อัธวุธ และอนามิการู้สึกเจ็บแทนณภัทร แล้วหันมองหน้ากันแหยๆ
“คงต้องเป็นหน้าที่ของเราสามคนแล้วหละ” อนามิกาบอก
อนามิกากับอัธวุธหิ้วปีกณดลที่เมาคอพับแทบไม่รู้สึกตัวมาตามถนนในลอนดอนยามค่ำคืน ในขณะที่เมธาวีประคองณภัทรที่ยังพอเดินได้ตามมา
ณภัทรพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ “แหม...น่าจะต่ออีกซักหน่อยนะ”
“พอเหอะภัทร แค่นี้ก็จะแย่แล้ว” เมธาวีปราม
“ไม่ไหวเลยพี่น้องคู่นี้ คออ่อนทั้งคู่ แล้วนี่มันโลกยุคไหน ทำไมผู้ชายต้องป้อแป้ให้ผู้หญิงหิ้วปีกกลับบ้านแบบนี้” อนามิกาบ่น
“นั่นสิยะ โอ๊ย...หนักก็หนัก หนาวก็หนาว ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เมานะ” อัธวุธบอก
อนามิกากับอัธวุธหิ้วปีกณดล เมธาวีประคองณภัทรเดินต่อไป ทั้งหมดเดินสวนกับฝรั่งสองคนที่หันมองจนเหลียวหลัง
อนามิกากับอัธวุธหิ้วปีกณดลเข้ามาในบ้านอย่างทุลักทุเล ทั้งสองเริ่มหอบด้วยความเหนื่อย เช่นเดียวกับเมธาวีที่ประคองณภัทรเดินเข้ามา ทั้งณดลทั้งณภัทรอยู่ในอาการเมาและหลับไหลไม่ได้สติ
“แล้วยังไงต่อยะเนี่ย” อัธวุธถาม
“ก็แยกย้าย ห้องใครห้องมัน” อนามิกาพูดกับอัธวุธ “เรามาทางนี้” แล้วเธอก็พูดกับเมธาวี “เมไปทางโน้น”
“โอเค” เมธาวีรับคำแล้วหันมาถามณภัทร “ไหวมั้ยภัทร อ้าว! หลับไปแล้วมั้ง”
เมธาวีประคองณภัทรแยกไปทางห้องณภัทร ส่วนอนามิกากับอัธวุธก็หิ้วปีกณดลไปที่ห้องนอนณดล
ร่างของณดลถูกอนามิกาและอัธวุธทิ้งลงมาคว่ำหน้าลงบนเตียง
“เอ้า! เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกพอดี อาร์ท ขอแรงหน่อย” อนามิกาบอกเพื่อน
อนามิกาจับร่างของณดลพลิกให้นอนหงาย โดยมีอัธวุธช่วยอีกแรง
อนามิกาผงะ เพราะเหม็นกลิ่นเหล้า “อื้อหือ...กลิ่นเหล้าหึ่งเลย...แหวะ! ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”
อัธวุธพยักหน้ารับ อนามิกาเดินออกไป อัธวุธยื่นหน้ามาดมๆ ใบหน้าและหน้าอกของณดล แล้วทำหน้าเหยเก
“หือ...รูปร่างหน้าตาโอเคแล้ว แต่กลิ่นต้องปรับปรุงนะยะ ถอดออกดีกว่าเสื้อเนี่ย มีแต่กลิ่นเหล้า”
อัธวุธถอดเสื้อให้ณดล พอเห็นแผ่นอกขาวแน่น เขาก็ชะงักเพราะรู้สึกห้ามใจจะไม่ไหว
“เอ่อ...แหม..ขาวเว่อร์ไม่เกรงใจกันบ้างเลยนะ” อัธวุธจะเอามือไปลูบไล้ แต่ก็ชักมือกลับ “ไม่ได้ เราจะทำอย่างงั้นไม่ได้” อัธวุธพูดกับณดล “เดี๋ยวเช็ดตัวให้นะ”
อัธวุธเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ณดลนอนถอดเสื้อหมดสภาพอยู่บนเตียง
อ่านต่อหน้า 4
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 5
เมธาวีประคองณภัทรที่เตียงก่อนจะพยุงร่างของณภัทรให้นั่งลงบนเตียง เมธาวีถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“เฮ่อ...ไหล่แทบทรุด”
เมธาวีจับท่อนแขนของณภัทรที่กำลังโอบรอบคอของตน
“ปล่อยแขนสิภัทร ว๊าย!”
เมธาวีจะปลดแขนณภัทรออกแต่กลายเป็นว่าแขนณภัทรโน้มคอเธอจนหน้าคะมำลงไป จุ๊บที่แก้มของณภัทรแนบชิดจนแทบจะฝังหน้าลงไป เมธาวีตกใจก่อนที่แววตาของเธอจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมีความสุข
ทันใดนั้น อนามิกาก็เปิดประตูพรวดเข้ามาพอเห็นภาพดังกล่าวเธอก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ “เม!”
เมธาวีตกใจที่เห็นอนามิกาเพราะปากเธอยังจุ๊บแก้มณภัทรอยู่ เมธาวีรีบผงะออกมาทันที
“ทำอะไรน่ะ” อนามิกาถาม
เมธาวีลนลานรีบปฏิเสธ “ปะ..เปล่านะ เมไม่ได้ทำอะไร”
“ก็เห็นๆ ว่าเมจูบนายภัทรอยู่น่ะ” อนามิกาบอก
“เปล๊า...พี่อะนาเอาอะไรมาพูด”
“ก็นี่ไง...หลักฐานยังอยู่เต็มๆ เนี่ย”
อนามิกาชี้ที่แก้มของณภัทรซึ่งมีรอยลิปสติกของเมธาวีเป็นรูปปากติดอยู่อย่างชัดเจน
เมธาวีลนลานรีบหาข้อแก้ตัว “เอ่อ..คือว่ามันเป็นอุบัติเหตุนะพี่อะนา คือเมพยุงนายภัทรเค้ามาที่เตียงอย่างงี้” เมธาวีทำท่าประกอบไปด้วยอย่างลนลาน “แล้วแขนเค้าโน้มคอเมลงไป เมก็เลย...”
อนามิกาแทรกขึ้น “เอาหละๆ ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันรู้จักแกดีน่ะยัยเม”
“ขอบคุณนะที่เข้าใจ”
อนามิกาแกล้งหยอก “แต่ทีหลังก็อย่าหาเศษหาเลยกับนายภัทรเค้าแบบนี้อีกล่ะ”
เมธาวีร้องเสียงหลง “พี่อะนา”
“พี่พูดเล่น...โอ๋ๆๆๆ ฮ่าๆๆ”
เมธาวีอมยิ้มแต่ทั้งงอนทั้งเขิน
อัธวุธนั่งอยู่ที่เตียง เขาใช้ผ้าผืนเล็กๆ ชุบน้ำในชามที่วางอยู่ใกล้ๆ แล้วบิด ก่อนจะนำมาเช็ดตัวลูบไล้หัวไหล่และแผ่นอกของณดล โดยที่อัธวุธพยายามสะกดอารมณ์หื่นสุดฤทธิ์
“โอ๊ย...ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะซ่อนรูปขนาดเนี้ย คนอะไร น่ากินไปทั้งตัว ไม่ไหวแล้ว ไม่ช๊งไม่เช็ดตัวแล้ว”
อัธวุธโยนผ้าทิ้งแล้วกระโดดขึ้นคร่อมร่างของณดล เขากำลังจะโน้มใบหน้าลงไปฟัดแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอนามิกา
“นั่นแกจะทำอะไรน่ะ”
อัธวุธเด้งออกมายืนข้างเตียง “เปล๊า...ฉันเปล่านะแก ฉันแค่เช็ดตัวให้เค้า”
อนามิกาเดินมาหยิบผ้าที่อัธวุธโยนทิ้งแล้วชูขึ้น “เช็ดตัวอะไรแก ผ้ายังอยู่ตรงนี้”
อัธวุธยิ้มแหยๆ “ก็แหม...ฉันมาอยู่เมืองนอกเป็นปี มันก็มีมู้ดแบบ...อยากจะกินของไทยบ้างอะไรงี้”
“ไม่ต้องเลยนะแก ออกไปเลย น่าเกลียดที่สุด เมาแล้วหื่นไม่เลือก”
“ย่ะ...งั้นฉันกลับหละนะ งั้นหล่อนก็เช็ดตัวให้คุณณดลเค้าต่อแล้วกัน”
อัธวุธเดินสะบัดออกไป อนามิกาถือผ้าในมือด้วยหน้าตาเหรอหรา
“อ้าว! กลายเป็นหน้าที่ฉันไปแล้วเรอะ”
อนามิกาหน้าเหยเกเพราะไม่เต็มใจทำ แต่ครู่หนึ่งเธอก็จำใจเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ณดลด้วยมือไม้ที่สั่นและไม่ค่อยกล้ามองตรงๆ เพราะว่าเขินอายเนื่องจากไม่เคยเช็ดตัวให้ใครแบบนี้
“ทำไมต้องฉันต้องมาทำให้คุณแบบนี้ด้วยนะ อี๋...เกิดมาฉันเคยเช็ดตัวใครแบบนี้ซะที่ไหนล่ะ”
ณดลขยับตัวแล้วไอกระแอมเบาๆ โดยที่ยังหลับตาอยู่ อนามิกาหันมานั่งมองหน้าของณดลนิ่ง
“นอนหลับปุ๋ยเป็นเด็กเลย...”
อนามิกาเอาผ้าชุบน้ำแล้วบิด ก่อนจะค่อยๆ เช็ดใบหน้า ให้ณดลอย่างนุ่มนวล
“...ดูๆ ไปก็ไม่เห็นจะเหมือนคนชอบดุ ชอบออกคำสั่งเลยนี่นะ”
อนามิกาค่อยๆ เอามือจัดเส้นผมของณดลที่ปรกลงมาบริเวณใบหน้าอย่างอ่อนโยน เธอนั่งมองณดลแล้วเหมือนตกอยู่ในภวังค์
อนามิกาเผลอใจ ใช้นิ้วค่อยๆ ไล้ไปตามสันจมูกโด่งคมและไล้อย่างแผ่วเบามาที่ริมฝีปากได้รูปของเขา สักพักเธอก็ได้สติจึงรีบชักมือกลับ “นะ..นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย บ้าที่สุดเลย”
อนามิกาหน้าแดงเพราะเขินอายกับสิ่งที่ตนเองทำลงไป
“พอ! พอ! เดี๋ยวฉันหาเสื้อตัวใหม่ให้ใส่แล้วพอกันที”
อนามิกาลุกขึ้นแล้วยกชามแก้วจะไปเทน้ำทิ้ง แต่จังหวะที่จะหันตัวเพื่อก้าวไปเกิดสะดุดขาตัวเองเสียจังหวะ ทำให้เธอเอียงเทน้ำจากชามลงไปที่เป้ากางเกงของณดล “ว๊าย!”
อารามตกใจ อนามิกาทำชามคว่ำลงบนเป้ากางเกงของณดลอีก
อนามิกาตกใจ “ตายแล้ว! เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย”
ชามแก้วยังครอบอยู่ที่เป้าที่เปียกแฉะของณดล อนามิกาหน้าแหยๆ อย่างรู้สึกผิด เธอขยับมาเล็งอยู่ใกล้ๆ ชามแล้วเปิดชามดูอย่างลุ้นระทึก
“โทษนะ” อนามิกาค่อยๆ แง้มชามดู “ไม่มีอะไรบุบสลายนะ”
อนามิกาถอนใจโล่งอก แล้วยืนมองเป้ากางเกงณดลอย่างพิจารณา
“เปียกแฉะไปหมดอย่างงี้ ฉันต้องเปลี่ยนทั้งเสื้อทั้งกางเกงให้คุณใช่มั้ยเนี่ย”
อนามิกามีสีหน้าหนักใจสุดๆ
เมธาวีใช้กระดาษทิชชู่ซับน้ำในแก้ว แล้วนำมาเช็ดที่ใบหน้าของณภัทร พลางพูดไปด้วย
“แล้วพรุ่งนี้จะต้องบินกลับเมืองไทยแล้วนะภัทร นี่นายจะไหวมั้ยเนี่ย”
ณภัทรตอบเสียงงัวเงีย “ไหวสิ”
“ไหวก็ดีแล้ว เมเช็ดให้แต่หน้านะ ตรงอื่นไปเช็ดเอาเอง นี่ถ้าไม่ชอบไม่ทำให้หรอกนะ”
“อือ...ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร” เมธาวีนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็ตาโตเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ “เฮ้ย!” เมธาวีรีบหันมามองหน้าณภัทรทันที
ณภัทรยังพริ้มตาสะลึมสะลือเหมือนคนละเมอ
“นี่ภัทรได้ยินที่เมพูดออกมาหมดเลยเหรอเนี่ย”
ณภัทรขยับพยักหน้าแบบสะลึมสะลือ “อือ..”
“งั้น...นายก็ได้ยินแล้วสิ ที่ฉันบอกว่า..ชอบ...นาย” เมธาวีเขิน
“อือ...”
“แล้ว...ถ้างั้น...นายล่ะ? นายรู้สึกยังไงกับฉัน...หือ?” เมธาวีตัดสินใจถาม
ณภัทรนอนหลับตาขยับปากแจ๊บๆ อย่างคนที่หลับและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“อ้าว...หลับไปแล้วเหรอ” เมธาวีหันมาบ่นต่อโดยไม่ได้มองหน้าณภัทร “ขี้โกงชะมัด ทีตอนฉันบอกความในใจ นายก็รับฟัง แต่พอฉันถามกลับไปมั่ง นายก็หลับหนีไปซะงั้น อย่างงี้มันเรียกเอาเปรียบกันรู้มั้ย ถ้าจะให้แฟร์ ตอนฉันถามว่านายคิดยังไง ชอบฉันมั้ย นายก็ต้องตอบฉันสิ”
ณภัทรโพล่งเสียงงัวเงียขึ้นมา “ชอบสิ”
เมธาวีตาโตรีบหุบปากสนิท แล้วหันขวับไปมองหน้าณภัทร เธอเห็นณภัทรนอนหลับตา อมยิ้มน้อยๆ อยู่
“จริงเหรอ” เมธาวีถาม ณภัทรไม่ตอบ “ที่นายพูดเมื่อกี้น่ะจริงเหรอ...นายชอบฉันจริงๆ เหรอภัทร...ว้า...หลับไปซะแล้ว”
เมธาวีเช็ดหน้าให้ณภัทรอย่างทะนุถนอมพร้อมกับอมยิ้มอย่างสุขใจ
อนามิกาหลับตาปี๋แล้วค่อยๆ หรี่ตามองก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมกางเกงแล้วรูดซิปให้ณดล โดยที่ณดลยังใส่กางเกงบ๊อกเซอร์เอาไว้ข้างใน
อนามิกาเบือนหน้าหนี “ทำไมฉันต้องมาทำอะไรอย่างงี้ด้วยนะ อี๋...”
ขณะที่อนามิกากำลังถอดกางเกงของณดลที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอย่างทุลักทุเล เธอกำลังจะถอดกางเกงให้พ้นปลายขาของณดล ณดลก็ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย พอเขาเหลือบมองที่เท้า แล้วเห็นอนามิกากำลังถอดกางเกงของตนอยู่เขาก็งงอยู่พักหนึ่ง
“ฝันอะไรแปลกๆ วะเรา” ณดลพึมพำ
แล้วณดลก็หลับตา แล้วพลันลืมตาโพลงอย่างนึกขึ้นได้ “เฮ้ย!”
อนามิกาตกใจ “ว๊าย!”
“เธอทำอะไรน่ะ”
อารามตกใจ อนามิการีบปฏิเสธ “เปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร”
ณดลขยับลุกขึ้นนั่ง แล้วถอยกรูดไปสุดหัวเตียง
“ไม่ได้ทำอะไรเนี่ยนะ แล้วกางเกงในมือเธอล่ะ”
“ไหน...” อนามิกามองกางเกงณดลในมือตัวเอง “ว้าย!”
“ฉันถามว่าเธอคิดจะทำอะไร”
“ก็...” อนามิกาใช้สองมือจับกางเกงชูให้ณดลดู “ถอดกางเกงคุณน่ะสิ”
“หา!? นี่ยอมรับแล้วใช่มั้ย แล้วเธอถอดกางเกงฉันทำไม” ณดลนึกขึ้นได้ก็ทำตาโตแล้วหันมาที่อนามิกา “อย่าบอกนะว่าเธอกำลัง...คิดมิดีมิร้ายกับฉัน”
อนามิการ้องเสียงหลง “จะบ้าเหรอ คนอย่างฉันเนี่ยนะ จะไปคิดอะไรกับคุณ”
“ถ้าไม่คิด แล้วจู่ๆ มาถอดกางเกงฉันทำไม”
“ก็เนี่ย...ดูสิยะ” อนามิกายกกางเกงให้ดู “เมาหมดสภาพซะเป้ากางเกงเปียกแบบนี้ ไอ้เรารึก็อุตส่าห์ใจดี จะถอดให้”
“แล้ว...ทำไมกางเกงฉันถึงเปียกอย่างงี้ล่ะ”
“ก็...เอ่อ...” อนามิกาแกล้งทำฟอร์ม “จะไปรู้เหรอ เมาแล้วฉี่ราดที่นอนล่ะมั้ง”
“เฮ้ย! เกิดมาฉันยังไม่เคยฉี่รดที่นอนเลยนะ” ณดลขยับไปดึงกางเกงกลับมา แล้วยื่นจมูกไปดมฟุดฟิดๆ “ไม่ใช่อ่ะ ไม่ใช่แน่ๆ”
“ไม่รู้ไม่ชี้ โอ๊ย...รู้งี้ฉันปล่อยให้หลับไปทั้งอย่างงี้ซะก็ดี อุตส่าห์ช่วย ดันหาว่าฉันคิดลามกซะงั้น” อนามิกาบ่น
“ถ้าเธอไม่ได้คิดอะไร งั้นฉันก็ขอโทษที แต่ตอนนี้เธอรีบกลับไปนอนห้องเธอดีกว่า เดี๋ยวใครมาเห็นฉันถอดกางเกงอยู่กับเธอแบบนี้ มันจะไม่ดี”
อนามิกาตอบห้วนๆ “งั้นฉันขอตัวนะ”
อนามิกาเดินหน้าเข้มออกมา พอหันหลังให้ณดลเธอก็เป่าปากด้วยความโล่งใจ
เช้าวันใหม่ อนามิกาที่นอนอยู่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ เธอนิ่งเพื่อเรียกสติสักพัก แล้วจึงค่อยๆ หันตะแคงไปด้านข้างก็เห็นร่างๆ หนึ่งนอนหันหลังให้โดยมีผ้าห่มบังไว้ทำให้เธอไม่รู้ว่าเป็นใคร
อนามิกาบ่นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ภัทร...มานอนอะไรบนนี้ ไปนอนโซฟาโน่น เราตกลงกันตั้งแต่วันแรกที่ฉันแกล้งมาอยู่กับนายแล้วนะ ว่านายต้องนอนที่โซฟาน่ะ ภัทร...ภัทร” อนามิกาชักรำคาญจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วจับร่างนั้นพลิกมา
พอพลิกตัวมาอนามิกาก็เห็นว่าเป็นณดล
อนามิกาตกใจ “หา! คุณ...มาอยู่บนเตียงฉันได้ยังไง”
ณดลขยับตัวจนหัวไหล่โผล่ออกมาจากผ้าห่มทำให้เห็นว่าไม่ได้ใส่เสื้อ เขาเอามือท้าวคาง มองอนามิกาอย่างกรุ้มกริ่ม
“อย่ามาทำเป็นแบ๊วเลย จำไม่ได้เหรอว่าเธอเป็นคนถอดกางเกงฉันเอง” ณดลบอก
“หา?! ไม่ใช่นะ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันแค่จะเปลี่ยนให้ ไม่ได้คิดอะไร” อนามิกาฉุกคิดขึ้นได้ “หา!!...นี่...อย่าบอกนะว่า...คุณ...แก้ผ้า...”
อนามิกาค่อยๆ เอื้อมมือจับผ้าห่มอย่างลุ้นระทึก เธอรวบรวมสติแล้วเปิดพรวดทันที แล้วอนามิกาก็ต้องตาโตด้วยความตกใจสุดขีด “กรี๊ด!”
อนามิกาซึ่งนอนอยู่บนเตียงกรีดร้องขึ้นมาพร้อมกับยกขาเตะถีบเป็นพัลวัน
“กรี๊ดดด!! ไม่จริ๊ง!!!...”
ณภัทรชะโงกหน้า ลุกจากโซฟา “อะนา...เป็นอะไร” ณภัทรเรียกเสียงดัง “อะนา”
อนามิกาลุกพรวดขึ้นมานั่ง เธอค่อยๆ ลืมตา มองไปรอบๆ เพื่อเรียกสติกลับมา
อนามิกาถอนใจด้วยความโล่งอก “เฮ่อ...โล่งอก ฉันฝันไปเองนี่”
“เธอฝันว่าอะไรเหรอ”
“ก็ฝันว่าพี่นายมานอนโป๊...อุ๊บส์” อนามิกานึกได้ก็รีบเม้มปากสนิท
ณภัทรตาโตและหายง่วงทันที “ฝันว่าไงนะ...เมื่อกี้เธอว่าไงนะ”
“ปะ..เปล่า” อนามิกาทำเป็นเหวี่ยงใส่ “ไม่มีอะไร..ก็ฝันไปเรื่อยเปื่อยไร้สาระ ไม่ต้องมาสนใจฉันได้มั้ย รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยไป๊ วันนี้จะต้องเดินทางกลับแล้วนะ”
“จ้า!..ทราบแล้วจ้า เมียจ๋า”
อนามิกาค้อนใส่ ณภัทรรีบชิ่งออกไป ทิ้งให้อนามิกายืนทบทวนตนเองอยู่คนเดียว
“เป็นบ้าอะไรไปนะเรา สงสัยภาพอีตาณดลโป๊เมื่อคืนจะติดตาซะแล้ว”
อนามิกาขยี้ตาคล้ายต้องการจะขับไล่ภาพที่ติดตาออกไป
รถแท็กซี่จอดอยู่ที่หน้าบ้านณภัทร คนขับรถกำลังช่วยณดลกับณภัทร เอากระเป๋าใส่ท้ายรถอยู่ อนามิกายืนร่ำลาเมธาวีและอัธวุธอยู่บนฟุตบาธ
“ไม่ต้องห่วงนะยะ ถ้าแกหลงลืมอะไร ฉันจะเก็บกลับไปให้เอง” อัธวุธบอก
เมธาวีจับแขนอนามิกา “อีกไม่กี่วันเมกับพี่อาร์ทก็จะกลับแล้วเหมือนกัน ไว้เราไปเจอกันที่เมืองไทยนะ”
ณดลยืนอยู่ที่แท๊กซี่ ส่งเสียงดุเรียก “อนามิกา!”
อนามิกา เมธาวี และอัธวุธหันไปที่ณดล
ณดลพูดเสียงแข็งๆ “เราต้องไปกันแล้วนะ จะลากันอีกนานมั้ย”
อนามิกา เมธาวี และอัธวุธ หันมาซุบซิบกัน
“ดู๊..ดู...ตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายที่นี่ คุณพี่แกก็ดุร้ายได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ นะยะ” อัธวุธว่า
“งั้นพี่อะนารีบไปดีกว่า ไปอยู่บ้านเค้าน่ะ ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ เมเป็นห่วง”
“อืม...ขอบใจ เมก็เหมือนกัน เทคแคร์นะ” อนามิกาหันมายกมือลาอัธวุธ “ฉันไปแล้วอาร์ท”
อนามิกาเดินไปที่แท็กซี่ ณภัทรยืนเปิดประตูรถรอให้อนามิกาก้าวขึ้นรถ
ณภัทรโบกมือให้อัธวุธกับเมธาวี “อาร์ท เม ไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ นะ”
อัธวุธกับเมธาวีโบกมือตอบ จากที่ยิ้มแย้มทั้งสองก็เริ่มใจหายเพราะรู้สึกอาลัย
อนามิกาขึ้นรถแท็กซี่ ณภัทรขึ้นตามแล้วปิดประตู รถเคลื่อนไปได้ประมาณสิบเมตรก็เบรกเอี๊ยด อัธวุธกับเมธาวีมองหน้ากันอย่างงงๆ อนามิกาเปิดประตูรถแท็กซี่แล้ววิ่งรี่กลับมาแทรกกลางทั้งสอง เธอใช้สองแขนกอดคอทั้งเมธาวีและอัธวุธแล้วปล่อยโฮออกมาด้วยความอาลัย เมธาวีกับอัธวุธก็พลอยต่อมน้ำตาแตกไปด้วย
อนามิกาพูดเสียงเครือ “สองปีมานี่เราได้เจอกันทุกวัน กลับไปคราวนี้ ฉันต้องคิดถึงแกสองคนแน่ๆ”
อนามิกา อัธวุธ และเมธาวียืนกอดกันกลม ครู่หนึ่งอนามิกาจึงขยับออกแล้ววิ่งกลับไปขึ้นรถแท็กซี่ โดยที่ก่อนขึ้นรถเธอก็หันไปโบกมือลาเพื่อนอีกที เมธาวีกับอัธวุธก็โบกมือลาจนรถแท็กซี่วิ่งลับตาไป
เครื่องบินแลนดิ้งลงบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ พนารัตน์ยืนชะเง้อรออยู่บริเวณพื้นที่รอผู้โดยสารขาเข้า ท่าทางของเธอดูร้อนใจ กระวนกระวาย ขณะที่กอบชัยยืนอยู่ข้างๆ
“นี่ฉันจะได้เจอหน้านังผู้หญิงที่ท้องกับลูกชายฉันแล้วใช่มั้ย” พนารัตน์เปรยขึ้น “ฉันไม่รู้จะทำหน้ายังไงจริงๆ นะคุณ แหม...นี่ถ้าเป็นลูกเป็นเต้าจะตบสั่งสอนจริงๆ ปล่อยให้ท้องได้ไง รักสนุก แต่ไม่รู้จักป้องกัน”
กอบชัยปราม “คุณ...ชู่ว..หยุดได้แล้ว”
“ทำไมต้องหยุด ฉันพูดอะไรผิด อยากจะเห็นหน้านังผู้หญิงคนนี้เหมือนกันว่ามันจะหนา จะด้านขนาดไหน”
“พอเถอะคุณ ลูกๆ เรามากันโน่นแล้ว” กอบชัยชี้ไป
ณดลกับณภัทรเดินเข็นรถเข็นกระเป๋าเดินทางออกมา ทั้งสองบังอนามิกาที่อยู่ด้านหลังทำให้พนารัตน์กับกอบชัยยังมองไม่ให้เห็น
“ไหนล่ะ นังนั่นล่ะ” พนารัตน์ชะเง้อหา “ฉันว่านะ มันต้องขี้เหร่มากๆ ถึงต้องจับผู้ชายด้วยวิธีนี้ เชื่อฉันสิ รูปร่างหน้าตามันต้องแย่ๆ เน่าๆ”
พนารัตน์เห็นณดลกับณภัทรเดินแยกออกมา เผยให้เห็นอนามิกาที่เข็นรถเข็นกระเป๋าเดินทางอยู่ตรงกลาง พนารัตน์อึ้งเมื่อเห็นว่าอนามิกาสวยและดูดีผิดคาด อนามิกาเดินเข้ามายกมือไหว้อย่างอ่อนช้อยสวยงาม พนารัตน์ อ้าปากหวอไม่รู้ตัว กอบชัยหันมามองแล้วต้องสะกิดจนพนารัตน์สะดุ้งจากภวังค์
“ขา?!..ว่าไงนะคุณ”
“เค้าไหว้คุณอยู่น่ะ” กอบชัยบอก
พนารัตน์หันมามอง เห็นอนามิกายิ้มและไหว้สวยงามอย่างมารยาทดี
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
พนารัตน์จิกสายตา แสดงความไม่เป็นมิตรอย่างแรง
“เรียกฉันว่าแม่เนี่ย ปรึกษาฉันรึยัง ว่าฉันอนุญาตมั้ย”
ณภัทรเดินมากอดพนารัตน์อย่างเกรงๆ
“คุณแม่ครับ...เอ่อ...นี่...อนามิกาครับ...เค้าเป็น...เอ่อ...”
ณดลพูดเสียงแข็งๆ “ก็บอกไปสิ ว่ายัยอะนาคือเมียท้องอ่อนๆ ของแก”
อนามิกาเหล่มองณดลเคืองๆ ในขณะที่ยังพนมมือจรดไหว้อยู่
“ณดล...” พนารัตน์ชี้ที่อนามิกา “เดี๋ยวช่วยพาคนๆ นี้กลับบ้านไปนะลูก แม่กับพ่อจะต้องพาตาภัทรไปพบกับใครบางคน”
“ใครเหรอครับคุณแม่ แต่ผมเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ อยากจะกลับบ้านก่อน” ณภัทรบอก
พนารัตน์ตวาดสวนขึ้น “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้วไปกับแม่”
ณภัทรหน้าเสีย เขาหันไปทางกอบชัยกับณดลก็เห็นทั้งสองพากันเย็นชาใส่โดยไม่ช่วยอะไร
ณดลกับอนามิกาเข็นรถเข็นกระเป๋าเดินทางมาตามทางเดินในสนามบิน
“ภัทรเค้าต้องไปพบใครเหรอ ที่คุณแม่คุณจะพาไปน่ะ” อนามิกาถามขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ...เธอไม่ต้องรู้ก็ได้” ณดลตอบห้วนๆ
“ฉันก็แค่ถาม คุณก็แค่ตอบมาไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำให้มันมากเรื่อง”
ณดลหยุดเข็นแล้วหันมาจ้องหน้าดุใส่อนามิกา
“ใช่! ฉันมากเรื่อง” ณดลขู่เสียงเข้ม “แล้วฉันก็จะเรื่องมากกับเธอให้ยิ่งกว่านี้อีก”
อนามิกาอึ้งและพูดไม่ออก “เอ่อ...”
“ตอนอยู่ลอนดอน ฉันยังไม่อยากจะวุ่นวายกับเธอมาก แต่ตอนนี้เธอมาอยู่บ้านฉันแล้ว” ณดลใช้สองนิ้วชี้ตาตัวเอง แล้วชี้ไปที่อนามิกา “ฉันจะจ้องจับผิดเธอไม่ให้คลาดสายตา คอยดูสิ”
ณดลตีหน้ายักษ์ใส่ แล้วเข็นรถต่อไป อนามิกาชักกลัวๆ เธอเริ่มขยับปากขมุบขมิบพูดทวนที่ณดลพูดเชิงล้อเลียน พอณดลหันมาเธอก็รีบหุบปากสนิท แล้วเข็นรถตามไปทันที
ณภัทรนั่งหลังตรงตัวแข็งอยู่ระหว่างกอบชัยกับพนารัตน์ที่ดูเคร่งเครียดเหมือนรอคำพิพากษาอยู่ในห้องรับแขกบ้านเสรี เสรีนั่งหน้าเครียด เขาค่อยๆ ยกชาขึ้นจิบ แต่ก็ยังจ้องมองหน้าณภัทรไม่วางตา ณภัทร กอบชัยและพนารัตน์กลืนน้ำลายเอื้อกลงตอและหายใจไม่ทั่วท้อง
เสรีจ้องเขม็งแล้วพูดเสียงเครียด “พวกคุณจะเอายังไง แล้วพาลูกชายคุณมาพบผมเพื่อ..?”
กอบชัยกับพนารัตน์มองหน้ากันเหมือนเกี่ยงกันพูด ในที่สุดพนารัตน์ก็พยักเพยิดให้กอบชัยพูดก่อน
“เอ่อ...คือ...เราอยากจะมาเคลียร์กับคุณเสรี คือเราสองคนตั้งใจจริงที่จะรักษาสัญญา ที่จะให้ลูกชายเราหมั้นกับลูกสาวคุณเสรี แต่ว่า...”
เสรีจ้องหน้าณภัทร “แต่ว่าลูกชายคุณดันไปทำผู้หญิงท้อง และต้องรับเป็นเมีย อย่างงั้นใช่มั้ย”
กอบชัยกับณภัทรสะอึกแล้วก้มหลบตา ไม่กล้าขยับปากพูดอะไร พนารัตน์พยายามช่วย
“ก็ทันที่ตาภัทรบินกลับมา เราก็เลยคิดว่าจะพาตาภัทร มากราบขอโทษคุณเสรีที่นี่”
ณภัทรขยับจะเข้ามาคุกเข่ากราบ แต่แค่ขยับตัวเขาก็โดนตวาดจนต้องหยุดนิ่ง
“ไม่ต้อง!” เสรีตวาด
ณภัทรจ๋อยแล้วค่อยๆ นั่งลงตามเดิม
“จะกราบขอโทษทำไม ผมไม่รับคำขอโทษ เราสัญญากันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ จู่ๆ จะมายกเลิก แล้วกราบขอโทษก็จบกันเนี่ยนะ มันไม่มักง่ายไปหน่อยเหรอ”
“แล้ว...ถ้างั้น...คุณเสรีอยากให้เราทำยังไงคะ” พนารัตน์ถาม
เสรีพูดอย่างใส่อารมณ์ “ก็ทำอย่างที่เราเคยสัญญากันไว้น่ะสิ แล้วพวกคุณจำไว้นะ คนอย่างผมไม่ได้เกิดมาเพื่อรับคำปฏิเสธ ถ้าคิดจะทำให้ลูกสาวผมขายหน้าหละก็...เราจะได้เห็นดีกัน!”
ทันใดนั้นเสียงแพรวาก็ดังขึ้น “คุณพ่อ...”
เสรีรีบเก็บอาการโกรธทำเป็นยิ้มแย้มเมื่อเห็นแพรวาเดินเข้ามาหา
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ...อ้าว!” แพรวายกมือไหว้พนารัตน์กับกอบชัย “สวัสดีค่ะคุณอา”
“จ้ะ...สวัสดีจ้ะหนูแพร” ทั้งสองรับไหว้
“นี่คุณภัทรกลับมาแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” แพรวาทัก
“เอ่อ...ก็...เพิ่งลงมาจากเครื่องเลยน่ะครับ” ณภัทรตอบ
แพรวาลงไปนั่งข้างๆ เสรี “แพรได้ยินคุณพ่อเสียงดัง ก็นึกว่าทะเลาะอยู่กับใครซะอีก”
“เปล่านี่...ไม่มี เราก็แค่คุยเล่นสนุกๆ กัน” เสรหันมาพูดกับแขกทั้งสาม “ใช่มั้ย”
“ใช่ๆๆ” กอบชัยกับพนารัตน์รีบตอบ
ทุกคนทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนกัน
แพรวากระซิบบอกเสรี “คุณพ่อ ถ้าพวกคุณอากับคุณภัทรไม่รีบกลับ คุณพ่อก็ชวนให้อยู่ทานขนมกันก่อนสิคะ แพรจะได้โชว์ฝีมือทำขนมเค้กอร่อยๆ ให้ทาน”
“อืม...ก็ดีนะลูกแพร “ เสรพูดกับกอบชัย พนารัตน์และณภัทร “ไม่รีบไปไหนกันใช่มั้ยพวกเรา”
ทั้งสามรีบยิ้มแล้วพยักหน้ารับหงึกๆ เพราะไม่กล้าขัดใจเสรี
อนามิกายืนแหงนหน้ามองตัวบ้านของณดล กระเป๋าเดินทางใบโตวางอยู่ข้างตัว อนามิกาบ่นเบาๆ กับตัวเอง
“บ้านหรือคฤหาสน์เนี่ย อลังการซะ...เฮ่อ..จะไหวมะเรา รู้สึกอย่างกะเข้ามาอยู่บ้านทรายทอง”
ณดลเปิดประตูบ้านออกมาเห็นอนามิกายังยืนนิ่งก็พูดเสียงดัง
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ”
“อ้าว..แล้วกระเป๋าล่ะ” อนามิกาถาม
“ก็ยกเข้ามาเองสิ”
อนามิกาบ่นเบาๆ อย่างขัดใจ “อะไรวะ ทีตัวเองให้แม่บ้านยก ทีฉันต้องยกเอง”
จบตอนที่ 5
อ่านต่อ ตอนที่ 6 พรุ่งนี้