โปรดติดตามอ่าน "แหม่มแก้มแดง" เต็มอิ่มจุใจ ไม่ตัดทอนย่นย่อ ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร ในเวลา 9.00 น., 12.00 น. และ 17.00 น.
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 1
ณ ย่านช็อปปิ้งสุดหรูในกรุงลอนดอนเวลานั้น อนามิกาเดินถือถุงช็อปปิ้งแบรนด์เนมสุดหรูใบโตสองใบเฉิดฉายอยู่ริมถนน หญิงสาวสวมแว่นตาดำยี่ห้อหรู เดินเฉิดฉายก้าวเท้าอย่างมั่นใจเหมือนลีลาซูเปอร์โมเดลบนเวทีแฟชั่นอย่างไรอย่างนั้น
อนามิกาเดินอยู่ริมถนนปะปนกับผู้คนที่ผ่านไปมา เธอเข้าไปในร้านแบรนด์เนมหรูที่อยู่ละแวกนั้น
จู่ๆ ก็มีหนุ่มฝรั่งสองคนเดินสวนมา พร้อมกับส่งสายตามองอนามิกาอย่างพึงพอใจ ทั้งสองยิ้มทักทายแล้วพูดกับเธอ
“Hey! Baby!!”
อนามิกาเชิดใส่ ก่อนจะเดินแหวกผ่ากลางชายทั้งสองอย่างไม่สนใจ
“โทษนะ ฉันนิยมไทยย่ะ” อนามิกาพูดออกมา
ป้ายร้านอาหารไทยโดดเด่นอยู่ในย่านร้านอาหารของกรุงลอนดอน อนามิกาเดินเฉิดฉายมาหยุดที่หน้าร้าน แล้วทำท่าเหมือนคุณนายไฮโซที่กำลังชั่งใจว่าจะเข้าไปรับประทานอาหารในร้านดีหรือเปล่า
พนิดาหรือที่ใครๆ พากันเรียกว่า “เจ๊แพนด้า” เจ้าของร้านอาหารไทยในกรุงลอนดอนยิ้มทักทายพร้อมทั้งยื่นนามบัตรให้กับลูกค้าฝรั่งโต๊ะหนึ่ง
“pan - ni - da” ลูกค้าฝรั่งพยายามอ่านชื่อเธอในนามบัตร
“พะ-นิ-ดา จ้ะ ถ้าเรียกยากนักก็เรียกแพนด้าก็ได้..Just call me Panda” พนิดาบอก
พนิดาเงยหน้าแล้วชะงักมองไปที่ประตูทางเข้า เธอเห็นอนามิกาเดินเข้ามาอย่างเฉิดฉายก่อนจะหยุดยืนบริเวณหน้าร้าน มือหนึ่งของอนามิกาถือถุงช็อปปิ้งสองใบ ส่วนอีกมือถอดแว่นตาดำออกแล้วปรายตามองไปรอบๆ ร้าน
พนิดาผละจากลูกค้าฝรั่งแล้วเดินตรงมาที่อนามิกาอย่างนอบน้อมเหมือนจะมาให้บริการแต่พอมาถึงกลับตวาดใส่
“นี่! มาซะหรูเลยนะยะ แล้วนี่ทางบ้านถูกหวย หรือมีฝรั่งเลี้ยง ถึงได้มีตังค์ซื้อเสื้อผ้าแพงๆ พวกนี้”
“โธ่! เจ๊แพนด้า ฉันคงจะมีปัญญาซื้อหรอกนะ ถุงน่ะใช่..แบรนด์เนมเป๊ะ แต่ดูข้างในซะก่อน” อนามิกาเปิดถุงทั้งสองใบให้ดู “นี่...ชุดฉันเอง เอามาเปลี่ยนทำงานให้เจ๊นี่แหละ”
“แล้วจะรออะไรยะยัยอนามิกา รีบไปเปลี่ยนสิ เร๊ว” พนิดาไล่
“ค่ะๆ เจ๊”
อนามิการับคำแล้วก็รีบร้อนเข้าไปหลังร้าน พนิดามองตามอย่างหมั่นไส้
“เดี๋ยวปั๊ดหักค่าแรงซะเลย”
อนามิกาอยู่ในชุดไทยสวมชฎาเต็มรูปแบบ เธอรำไทยออกมาจากหลังร้านอย่างแช่มช้อย สวยงาม ลูกค้าฝรั่งนั่งมองด้วยท่าทางพึงพอใจ ลูกค้าเกือบทุกคนรับประทานอาหารพร้อมกับดูอนามิกามิการำไทยอย่างชื่นชม
อนามิการำจนจบ ฝรั่งต่างพากันวางช้อนแล้วปรบมือให้อย่างสุภาพ อนามิกาย่อเข่าไหว้อย่างสวยงามตามแบบนางรำให้ลูกค้าในร้านทั้งทางด้านขวาและทางด้านซ้าย
ทันใดนั้น ฝรั่งสามีภรรยาคู่หนึ่งก็สะกิดแล้วซุบซิบกัน ก่อนจะหยิบธนบัตรชูขึ้นมาจะทิปให้อนามิกามิกา อนามิกาไหว้รับอย่างแช่มช้อย พอเห็นธนบัตรเธอก็ทำตาลุกวาว ก่อนจะเปลี่ยนกลับมายิ้มอ่อนหวาน อนามิกาเดินไปฉกแบงก์ออกจากมือฝรั่งแล้วกำแน่น ก่อนจะยิ้มแล้วไหว้อย่างอ่อนช้อยอีกที
“Thank you” อนามิกาพูดเสียงอ่อนหวาน เธอเหลือบไปเห็นอีกโต๊ะชูเงินขึ้นมา ก็ยกมือตั้งท่ารำขยับจะไปรับอีก “Thank you very much” อนามิการับเงินมาแล้วพูดเบาๆ “มากกว่าโต๊ะตะกี้อีกแฮะ”
อนามิกาตั้งมือจีบท่ารำแล้วเดินไปกดดันอีกโต๊ะ เธอพูดผ่านไรฟันแบบไม่ขยับริมฝีปากออกมาเบาๆ
“จะไม่ติ๊ปอย่างโต๊ะอื่นเค้าหน่อยเรอะ” อนามิกายิ้มแล้วไหว้อีก แต่ฝรั่งโต๊ะนั้นยังเฉย เธอจึงบ่นลอดริมฝีปากเบาๆ อีก “อุตส่าห์ไหว้กดดันขนาดนี้แล้วนะ”
ทันใดนั้นก็มีเด็กเดินมาสะกิดที่ขาอนามิกา เธอก้มมองไปก็เห็นว่าเป็นจ๊อด ลูกชายลูกครึ่งของพนิดานั่นเอง
“พี่ๆ พี่อนามิกา” จ๊อดเรียก
“อะไรจ๊ะจ๊อด อย่าเพิ่งสิ” อนามิกาหันไปตั้งท่ารำ แล้วแกล้งกระแอมออกมา “ทิป..ทิป”
“แม่ให้มาตามเข้าไปช่วยงานในครัว” จ๊อดบอก
อนามิกาเริ่มลังเล เธอมองโต๊ะฝรั่งที่ยังไม่ให้ทิปต่ออีกสักพัก แต่แล้วก็ผละไปอย่างแสนเสียดาย
ผัดผักในกระทะร้อนฉ่าควันฉุย อนามิกาจับตะหลิว ส่วนอีกมือจับด้ามกระทะแล้วยืนผัดอยู่หน้าเตาในชุดผ้ากันเปื้อนที่สวมทับชุดไทย และยังมีชฎาสวมอยู่ที่ศีรษะ อนามิการู้สึกร้อนจนเหงื่อไหลเต็มตัว พอจะจัดเส้นผมที่ตกมาปรกหน้าผากมือก็ไปติดขอบชฎาที่สวมไว้อีก
“นี่ใครมือว่างๆ ช่วยถอดชฎาให้ทีสิจ๊ะ” อนามิกาขอ “เฮ้อ...แทนที่จะจ้างแม่ครัวเพิ่ม ดูซิ ใครลาใครขาดไปคน ก็ต้องมาลงที่ฉัน ไม่รู้ว่าเจ๊แกจะเค็มไปไหน”
ทันใดนั้นก็มีสองมือยื่นมาถอดชฎาให้เธอ
“ขอบคุณจ้ะ” อนามิกาหันมาเจอหน้าพนิดาเต็มๆ “อุ้ย!..เจ๊”
พนิดายืนท้าวสะเอวมองหน้าลูกจ้างสาว “ว่าฉันเค็มเหรอยะ”
“เอ่อ...เปล่านะเจ๊ หมายถึงนี่น่ะ” อนามิกาแก้ตัวแล้วชี้ในกระทะ “เมื่อกี้ชิมแล้วมันเค็มๆ”
“ไม่ต้องมากะล่อน ผัดกับข้าวเสร็จก็รีบเปลี่ยนชุดออกไปเสิร์ฟข้างนอกไป๊”
“โอ๊ย..เจ๊จ๋า ทั้งรำไทย ทั้งทำครัว ทั้งเสิร์ฟ ไม่ให้เป็นแคชเชียร์ไปด้วยล่ะ” อนามิกามิกาประชด
“ดี! ออกไปเสิร์ฟเสร็จแล้วฝากดูตรงแคชเชียร์ด้วยนะ”
อนามิกาหน้าแหย ส่วนพนิดาผละออกไป อนามิกาเป่าปากแล้วทำหน้าตาเซ็งๆ ก่อนจะตักผัดผักใส่จานพลางบ่นอุบ
“อะไรก็เรา..เฮ่อ..อุตส่าห์มาเรียนแฟชั่นดีไซน์ แต่กลับไปคงทำกับข้าวเก่งขึ้นหละเรา”
ภายนอกมหาวิทยาลัยศิลปะในกรุงลอนดอนเต็มไปด้วยความสวยงามร่มรื่น นักศึกษาศิลปะชาวต่างประเทศทั้งชายและหญิงแต่งตัวจัดถือสมุดสเก็ตช์เล่มใหญ่ บางคนคนยืนเพ้นท์ภาพวิวบนเฟรมผ้าใบที่อยู่บนขาตั้ง
แต่แล้วทุกคนก็ต้องหลบเป็นทาง เมื่ออัทธวุธ กระเทยหนุ่มซึ่งแต่งตัวโอเว่อร์เกินใครเดินกรีดกรายมาอย่างบ่งบอกความเป็นกะเทยที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ อัทธวุธส่งยิ้มและโบกมือทักทายทุกคนราวกับเป็นซูเปอร์สตาร์
“Hello!! Hi!! Yo!!” อัทธวุธชี้นิ้วทักผู้คนไปเรื่อย “Emma..Gary..Justin I love u all” อัทธวุธหยุดเดินแล้วมองไปรอบๆ “แล้วยัยเมหายไปไหนยะเนี่ย”
ภาพของณภัทรปรากฏอยู่ในสมุดสเก็ตช์บนตักของเมธาวี ณภัทรกำลังใจจดจ่ออยู่กับโน้ตบุ้คคอมพิวเตอร์บนหน้าตัก เมธาวีนั่งสเก็ตภาพณภัทรอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจีหน้ามหาวิทยาลัย ส่วนณภัทรตัวจริงนั่งอยู่เบื้องหน้าห่างออกไป
เมธาวีนั่งสเก็ตช์เพลินๆ จู่ๆ อัทธวุธก็เดินมาข้างหลัง เขายื่นหน้ามาดูสมุดสเก็ตช์ เมธาวีหันมาเห็นเพื่อนรุ่นพี่ก็สะดุ้งตกใจ “ว๊าย!”
“นี่แกแอบวาดรูปอีตาภัทอยู่เหรอ”
เมธาวีรีบเอานิ้วจุ๊ปากเพื่อปรามให้อัทธวุธเงียบ “ชู่ว...อย่าเสียงดังสิ”
“ทำไมจะเสียงดังไม่ได้ยะ ไหนขอฉันดูหน่อยซิ” อัทธวุธยื่นมือมาดึงสมุดสเก็ตช์ของเมธาวี
เมธาวียื้อไว้ “อย่า..”
“อะไรของแก ฉันก็แค่จะขอดู”
“พี่อัทธวุธจะดูทำไม..ไม่!”
เมธานีพยายามยื้อไว้ แต่อัทธวุธก็ดึงมาจนได้ พอพลิกเปิดหน้าอื่นๆดูแล้วเขาก็ต้องชะงักเพราะที่หน้ากระดาษต่างๆ ในสมุดของเมธาวีล้วนเป็นภาพของณภัทรในอิริยาบถต่างๆ ที่เมธาวีแอบสเก็ตเอาไว้ทั้งสิ้น
อัทธวุธเงยหน้ามองเมธาวี เมธาวีอึกอักเพราะอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
“นี่รูปนายภัทล้วนๆ เลยนี่แก” อัทธวุธจ้องหน้า “แกแอบชอบนายภัทอยู่ใช่มั้ย ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย..หา? ฉันยังไม่เคยรู้เลยนะ”
เมธาวีพยายามปกปิด “เอ่อ...คือ..”
“ยอมรับมาซะดีๆ ถ้าแกไม่คิดอะไร ทำไมจะต้องแอบสเก็ตช์ภาพเค้าเยอะแยะขนาดนี้”
“คือว่า...เม”
จู่ๆ ณภัทรก็เดินถือโน้ตบุ้คเข้ามา “นี่เราน่าจะฉลองที่เรียนจบกันหน่อยมั้ย? ว่าไง? เอ๊ะ! นี่กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ”
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร” เมธาวีอ้ำอึ้ง
“อะไรน่ะ ขอดูมั่งดิ”
ณภัทรยื่นหน้าจะดูสมุดสเก็ตช์ในมืออัทธวุธ แต่เมธาวีรีบดึงสมุดกลับอย่างมีพิรุธ
ณภัทรงง “อะไรเนี่ย” เขาหันมาถามอัทธวุธ “มีอะไรในสมุดสเก็ตช์เหรอ”
“อ๋อ...คือว่า” อัทธวุธจีบปากจีบคอจะพูด
เมธาวีรีบบุ้ยใบ้พร้อมทั้งเอานิ้วจุ๊ปากและทำหน้าตาขอร้องให้อัทธวุธหุบปาก ณภัทรงง เขาหันมามองเมธาวีก็พบว่าเธอรีบทำสีหน้าเป็นปกติ ณภัทรหันมามองอัทธวุธเป็นเชิงถามอีกครั้ง
“เปล๊า...ไม่มีอะไร๊” อัทธวุธตอบเสียงสูง
ณภัทรมองอย่างงงๆ แล้วจึงขยับไปนั่งใกล้ๆ ทั้งคู่พร้อมทั้งกางโน้ตบุ้คเปิดเช็คอีเมลล์ ส่วนอัทธวุธสะกิดเมธาวีแล้วกระซิบ
“แอ๊บซะเนียนเลยนะแก คบกันมาเป็นปี ฉันเพิ่งรู้เนี่ยว่าแกชอบนายภัท”
เมธาวีหน้าแหย เพราะกลัวณภัทรได้ยิน “ชู่วว...เบาสิพี่ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ได้มั้ย”
“นั่นไง แกไม่เถียง แปลว่ายอมรับแล้วใช่มั้ย”
ทันใดนั้น ณภัทรก็ดพล่งดังขึ้นมาเหมือนขัดจังหวะ
“เฮ้ย! พี่ณดล”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ร้องซะยังกะเจอผี” อัทธวุธงง
“ให้เจอผีซะยังดีกว่า” ณภัทรแสดงน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ากลัวออกมา “จะบอกให้นะ เจอผีก็ยังไม่น่ากลัวเท่าเจอพี่ชายฉันเลย”
อัทธวุธกับเมธาวีผงะ ทั้งสองดูจะขนลุกและกลัวตามไปด้วย
หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งในโครงการซิตี้ อเวนิวที่เมืองไทย มีป้าย back drop ขนาดใหญ่ตั้งขวางทางเดินหน้าร้าน ที่ป้ายเขียนว่า SALE 50% ผ่อน 0 % 10 เดือน
ณดลเดินเข้ามาในร้านด้วยอาการฉุนเฉียว โดยมีรปภ.เดินตามมา ณดลเอามือจับที่ป้ายขนาดใหญ่นั้น
“เก็บไปทิ้งซะ” ณดลพูดเสียงเข้ม
“เอ่อ...เอาจริงเหรอครับคุณณดล” รปภ. ถาม
“ฉันบอกให้เอาไปทิ้ง”
ณดลพูดพร้อมกับกระชากป้ายออกแล้วเหวี่ยงให้รปภ. พนักงานชายในร้านรีบรุดออกมาดู
“อะไรกันคุณ มาทำอะไรหน้าร้านผม”
ณดลพูดกับรปภ. “รีบเอาไปทิ้งสิ”
พนักงานห้ามรปภ. “เดี๋ยว!” แล้วเขาก็หันมาพูดกับณดล “คุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาทำอย่างนี้”
ทันใดนั้น พายัพก็รุดเข้ามาขวางทั้งสองที่ทำท่าเหมือนจะมีเรื่องกัน
“ใจเย็นๆ ก่อนครับ เกิดอะไรกันขึ้นครับเนี่ย” พายัพหันไปพูดกับพนักงาน “นี่คุณไม่รู้จักคุณณดลเหรอ คุณณดลเป็นเจ้าของโครงการทั้งหมดนี้”
พนักงานได้ยินถึงกับเสียงอ่อนลง “หา!..เอ่อ..”
“ผมเคยให้คนมาเตือนหลายครั้งแล้วว่าห้ามตั้งป้ายขวางทางแบบนี้” ณดลบอก
“ค..ครับ ขอโทษครับคุณณดล แต่อันที่จริง ผมก็ตั้งล้ำไปแค่ฟุตเดียว” พนักงานแก้ตัว
“แค่เซนต์เดียวก็ไม่ได้! ไม่งั้นเราจะมีกฏ จะมีข้อตกลงกันทำไม โครงการผมมีผู้ประกอบการรอเช่าพื้นที่ต่ออีกเยอะ ถ้าคุณไม่พอใจ จะยกเลิกสัญญาเช่าก็ได้”
พูดจบณดลก็ส่ายหัวแล้วเดินออกมา พายัพเร่งฝีเท้าเดินมาข้างๆ
“ไปนั่งเล่นที่ร้านพี่ให้ใจเย็นๆ ก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับพี่พายัพ” ณดลปัด
“หรือคืนนี้แวะมาก็ได้นะ พี่ว่าณดลซีเรียสเกินไปหน่อยรึเปล่า”
“ผมก็แค่ทนไม่ได้กับคนที่ไม่ยอมทำตามกฎระเบียบในสัญญาเช่าน่ะครับ สำหรับผมนะพี่ สัญญามีไว้ให้ปฏิบัติตาม ไม่ได้มีไว้ให้ฝ่าฝืน”
ณดลพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
สีหน้าของณภัทรยังดูหลอนๆ ในขณะที่เขาค้างอยู่หน้าจอโน้ตบุ้ค อัทธวุธกับเมธาวียังเข้ามามุงดูอยู่อย่างเป็นห่วง
“พี่ณดลเค้าส่งอีเมลมา บอกว่ามีคลิปสำคัญอยากให้ฉันดู” ณภัทรอธิบาย
“คลิปสำคัญ? เอ่อ...อันนี้ออกแนวคลิปหลุดหรือเปล่ายะ” อัทธวุธถาม
“ไอ้บ้า แกยังไม่รู้จักพี่ณดล พี่ชายฉัน..รายเนี้ย ทั้งดุ ทั้งซีเรียสยังกะอะไรดี ฉันกลัวว่างานจะเข้าน่ะสิ”
พูดจบณภัทรก็คลิก play คลิปที่แนบมากับอีเมล อัทธวุธกับเมธาวียื่นหน้ามารอดูอย่างสนใจ ทั้งสามเห็นภาพจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นภาพของกอบชัยกับพนารัตน์พ่อและแม่ของณภัทรที่นั่งเคียงข้างกันอยู่ที่โซฟา
ทั้งสามมุงดูจอโน้ตบุ้คอย่างสนใจ ณภัทรดูด้วยความแปลกใจ ส่วนอัทธวุธกับเมธาวีก็หันมามองหน้ากันอย่างงงๆ
สักพักภาพในคลิปก็สั่นเล็กน้อยจากมือที่ยื่นมาจับกล้อง ก่อนที่ทั้งสามจะได้ยินเสียงณดลดังลอดมา
“โอเค พร้อมแล้วครับ คุณพ่อ คุณแม่ พูดกับเจ้าภัทได้เลย”
ภาพในคลิปยังคงเล่นต่อเนื่อง กอบชัยกับพนารัตน์นั่งมองณดลที่เดินเข้ามาปรับกล้อง แล้วทั้งสองก็หันมามองกล้อง
“งั้นพ่อพูดเลยนะ เอ่อ...พ่อ...” กอบชัยอึกอัก “พ่อว่าแม่พูดก่อนดีกว่า”
“โอ๊ย..พ่อนี่ เอะอะก็แม่ทุกเรื่อง” พนารัตน์หันมาฉีกยิ้มกับกล้องแล้วพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “สวัสดีจ้ะภัท ลูกรักของแม่”
กอบชัยยื่นหน้ามาบังพนารัตน์แล้วยกมือยิ้มทักทาย “หวัดดีเจ้าภัท นี่พ่อเอง”
พนารัตน์เอาแขนกระแทกให้กอบชัยหลบ “คืองี้...ตั้งใจฟังให้ดีนะภัทลูกแม่ เมื่อวานนี้ แม่กับพ่อได้พูดคุยตกลงกับคุณเสรีไปแล้วว่า ทันทีที่ลูกภัทเรียนจบกลับมา เราจะจัดการให้ลูกภัท หมั้นกับหนูแพรวาซะ”
ณภัทรได้ยินสิ่งท่พ่อกับแม่บอกก็ถึงกับช็อค เมธาวีก็ช็อกไม่แพ้กัน อัทธวุธหันไปมองเมธาวีอย่างเห็นใจ
คลิปที่หน้าจอยังเล่นต่อ กอบชัยพูด
“...ลูกสาวคนเล็กคุณเสรีไง หนูแพรนี่ทั้งน่ารัก ทั้งเรียบร้อย พ่อดีใจด้วยนะ ที่แกจะได้แต่งงานกับผู้หญิงดีๆ อย่างหนูแพรคนนี้”
ณภัทร เมธาวี และอัทธวุธต่างก็ช็อคไปตามๆ กัน ทั้งสามแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“หมั้น?..แต่งงาน? อะไรกันเนี่ย นี่มันจะบ้าไปใหญ่แล้ว” ณภัทรโพล่งออกมา
ที่หน้าจอโน้ตบุ้ค คลิปกอบชัยกับพนารัตน์พูดยังเล่นต่อไป พนารัตน์พูดต่อ
“แม่บอกข่าวดีลูกแค่นี้แหละ ดีใจอยู่ใช่มั้ยล่ะ ไว้กลับมาเมืองไทย เราค่อยมาดูฤกษ์ยามหาวันหมั้น วันแต่งกันอีกที” พนารัตน์สะกิดกอบชัย “พ่อมีอะไรอีกมั้ย”
กอบชัยพูดเบาๆ “ไม่มีแล้วหละ” กอบชัยหันไปยิ้มกับกล้อง “แกแซงเจ้าณดลพี่ชายแกไปแล้วนะ” กอบชัยหันไปทางณดลที่อยู่หลังกล้อง “พ่อพูดแค่นี้แหละ”
มือของณดลเอื้อมมาปิดเลนส์กล้อง พร้อมกับเสียงของเขาที่ดังตามมา
“แกอย่าทำให้คุณพ่อคุณแม่ผิดหวังนะภัท”
ภาพบนจอมืดแล้วคลิปก็หยุดเพียงเท่านั้น ณภัทรหันมองเมธาวีกับอัทธวุธทันที
อัทธวุธเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มให้เพื่อน “นี่เค้าอำแกเล่นใช่มั้ย บ้านแกนี่ตลกกันทั้งบ้านเลยนะ”
เมธาวีมีสีหน้าดีขึ้นเพราะคล้อยตามคำพูดของอัทธวุธ “นั่นสิ ยุคนี้สมัยนี้ เมว่าคงไม่มีบ้านไหนเค้าบังคับลูกให้คลุมถุงชนกันแล้วหละ”
“มีสิ! ก็บ้านฉันนี่ไง” ณภัทรบอกเสียงเครียด
เมธาวีกับอัทธวุธถึงกับสะอึก
“ฉันถูกพูดกรอกหูมาแต่เด็กแล้วว่าวันนึงจะต้องแต่งงานกับลูกสาวคุณเสรี” ณภัทรกลุ้ม “แล้ววันนั้นมันก็มาถึงจนได้”
เมธาวีทั้งช็อกทั้งเสียใจจนถึงกับน้ำตาคลอ อัทธวุธเหลือบมองเพื่อนรุ่นน้องอย่างเห็นใจ ก่อนจะแตะตัวเธอเบาๆ เพื่อปลอบใจ
ดึกสงัดจนได้เวลาปิดร้านอาหารไทยในกรุงลอนดอนแล้ว อนามิกามีท่าทางเหนื่อยอ่อน มาก แต่เธอก็กำลังใช้ม็อบถูพื้นอยู่ โดยมีจ๊อดทั้งวิ่งทั้งกระโดดพร้อมทั้งถือหุ่นยนต์ทำท่าบินร่อนไปมา พลางทำเสียงประกอบไปด้วย
“วู้...บรื๊อ...” จ๊อดมาชะงัก เมื่อวิ่งไปจวนจะชนกับม็อบที่อนามิกาถูอยู่
“จ๊อดดดด...แล้วเมื่อไหร่พี่อะนาจะถูพื้นเสร็จล่ะคะ ถ้าจ๊อดวิ่งเหยียบพื้นเป็นรอยเท้าไปทั่วแบบนี้”
“ไม่เหยียบพื้นแล้วจะให้จ๊อดลอยขึ้นมารึไง” จ๊อดย้อน
“ใช่! ลอยขึ้นมาแบบนี้ไง” อนามิกาใช้สองมือจับใต้รักแร้แล้วยกให้จ๊อดขึ้นมานั่งบนโต๊ะ
จ๊อดหัวเราะร่วนเพราะบ้าจี้ “โอ๊ย..พี่อะนา ฮ่าๆๆ จ๊อดจั๊กกะจี้”
จ๊อดนั่งห้อยขาอยู่บนโต๊ะ สักพักพนิดาก็เดินถือถุงพลาสติกใส่อาหารถุงใหญ่มายื่นให้อนามิกา
“เอ้านี่...เอากลับบ้านไปกิน”
“ขอบคุณค่ะเจ๊ เดี๋ยวไปแบ่งยัยเมกินด้วย” อนามิกายกมือไหว้
“ฝากบอกเมด้วยล่ะว่าพรุ่งนี้ให้เข้ามาทำงานเร็วหน่อย แล้วนี่อีกเดือนเดียว เธอสองคนก็จะกลับเมืองไทยกันแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะเจ๊ ก็เรียนจบแล้วนี่ อยู่ที่นี่ไม่ไหวหรอกค่ะ แพงเหลือเกิน ยังไงเมืองไทยเราก็น่าอยู่กว่าเยอะ”
“ใช่ๆ บ้านเรายังไงก็อบอุ่นกว่า” พนิดาลูบหัวจ๊อด “นี่ตั้งแต่เจ๊หย่ากะไอ้จอห์น พ่อของจ๊อดมันแล้ว ก็คิดอยากจะกลับเมืองไทยอยู่ทุกคืนเหมือนกัน”
อนามิกาพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ แล้วจึงเดินถูพื้นไปทางด้านหลังร้าน พนิดายิ้มพร้อมทั้งมองตามอนามิกาอย่างชื่นชม จ๊อดถือหุ่นยนต์วิ่งร่อนแล้วส่งเสียงอีก
“บรื๊ออ...ฟิ้ววว...”
พนิดาหันไปดุจ๊อดลูกชาย “นี่...พอแล้วจ๊อด ดูพี่เค้าซิ ขนาดเป็นผู้หญิงเค้ายังรู้จักต่อสู้ทำงานขยันขันแข็ง ลูกน่ะ โตขึ้นมาต้องให้ได้อย่างพี่เค้ารู้มั้ย”
จ๊อดกระโดดลงจากโต๊ะ แล้วถือหุ่นยนต์ร่อนเข้าหลังร้านไป “บรื๊อ...”
พนิดาถอนใจด้วยความระอา “เฮ่อ...หวังอะไรกับมันได้มั้ยเนี่ย ผลของการมีผัวฝรั่ง เลยได้ไอ้เด็กลูกครึ่งนี่มา ไม่รู้ครึ่งลิงครึ่งคน หรือครึ่งฝรั่งครึ่งไทย สั่งสอนมันเป็นภาษาฝรั่งมันก็ไม่ใส่ใจ พอพูดเป็นภาษาไทยมันก็ไม่ฟัง”
จ๊อดวิ่งวนกลับออกมา “ว่าใครน่ะแม่” ยังไม่ทันฟังคำของแม่เขาก็วิ่งหายไปหลังร้านอีก
“ก็ว่าแกนั่นแหละ อ้าว..วิ่งหายไปอีกแล้ว ฮึ๊ย...ด่ามันก็ไม่ค่อยจะทัน” พนิดาเซ็ง
อนามิกาเดินหิ้วถุงพลาสติกจากร้านอาหารมาถึงหน้ารั้วบ้านพักของอัธวุธ สองมือของเธอกอดกระชับร่างตัวเองที่กำลังหนาวสั่น
“คิดถึงอากาศร้อนๆ ที่เมืองไทยเป็นบ้าเลย กลับไปเที่ยวนี้ จะไม่บ่นเรื่องอากาศร้อนอีกแล้ว...บรื๋อออ...หนาวๆๆ”
อนามิกาเปิดรั้วบ้านแล้วเดินเข้าไป
บ้านของอัธวุธเป็นบ้านขนาดย่อมที่มีขนาดสองห้องนอน มีโถงตรงกลางให้นั่งเล่นและมีโต๊ะทานข้าว และเก้าอี้สี่ที่นั่ง อนามิกาเอาถุงอาหารมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร
“อัทธวุธ...เม...มากินข้าวเร็ว” อนามิการ้องเรียก “หายไปไหนกันหมด...เฮ่อ...เหนื่อยเป็นบ้าเลยวันนี้”
อนามิกานั่งอยู่บนเตียงคู่ในห้องนอนของเธอ เธอถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกแล้วทิ้งตัวนอนคว่ำ ใบหน้าฝังจมอยู่ในหมอน เธอนอนนิ่งอย่างคนเหนื่อยอ่อนเต็มกำลัง
“ไม่ไหวแล้ว”
อนามิกาหลับตาพริ้มได้เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นแว่วมาเบาๆ “ฮือ...ฮือ...”
อนามิกาค่อยๆ ลืมตาแล้วเงี่ยหูฟัง เธอเริ่มรู้สึกกลัวเพราะคิดว่าอาจจะเป็นผี
“หลอนอ่ะ เสียงอะไรเนี่ย”
อนามิกาก้าวออกมาหน้าประตูห้อง เธอเห็นว่าประตูห้องนอนของอัธวุธปิดไม่สนิท แค่เพียงเธอผลักเบาๆ ประตูห้องอัธวุธก็เปิดออก อนามิกาค่อยๆ เดินตามเสียงร้องไห้เข้าไปในห้องอัธวุธด้วยท่าทางกลัวๆ กล้าๆ ยิ่งเดินเข้าไปเสียงร้องไห้ก็ยิ่งชัดขึ้น
อนามิกาค่อยๆ เดินผ่านประตูเข้ามา แล้วเธอก็ชะงักมองไปที่เมธาวีซึ่งกำลังนั่งร้องไห้กระซิกๆ อยู่บนเตียงโดยมีอัธวุธนั่งปลอบใจอยู่ข้างๆ
อนามิกาเห็นเพื่อนร้องไห้ก็รีบพรวดเข้ามาหาทันที “เม แกร้องไห้ทำไม บอกฉันมาซิว่าใครทำอะไรแก”
เมธาวียังสะอึกสะอื้นและไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูด
“หรือว่า..” อนามิกาหันไปจ้องอัธวุธเขม็ง “แกสองคนอยู่บนเตียงด้วยกัน ยัยอัทธวุธบอกมาเดี๋ยวนี้นะ แกล่วงเกินอะไรรุ่นน้องฉัน...หา?”
อัธวุธสวนขึ้นทันที “เฮ้ย...จะบ้าเรอะ วุ้ย!ไปกันใหญ่แล้ว ขืนฉันทำงั้นฟ้าก็ผ่าพอดี เม..แกก็บอกยัยอนามิกาไปสิยะ”
อนามิกาค่อยๆ กอดปลอบเมธาวี “แกเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ฉันรักเหมือนน้องแท้ๆ เลยนะเม แกมีอะไรก็ต้องบอกฉันสิ”
เมธาวีสะอื้นตอบ “ก็นายภัทน่ะสิ”
อนามิกาตกใจ “นายภัททำอะไรแก หรือว่าเค้าทำมิดีมิร้าย”
อัธวุธสวนขึ้น “โอ๊ย...ยัยนี่ก็คิดอยู่เรื่องเดียวเลย คืองี้ ทางบ้านนายภัท เค้าเตรียมจะจัดให้นายภัทหมั้นกับผู้หญิงคนนึง”
อนามิกายิ้มอย่างยินดี “เหรอ!! นายภัทเนี่ยนะ อย่างงี้ก็ต้องฉลองสิ เพื่อนเราจะหมั้นสาวทั้งที” อนามิกานึกขึ้นได้ “แต่..เอ๊ะ! แล้วทำไมแกต้องร้องไห้ด้วยล่ะ”
อัธวุธป้องปากแล้วเขามาพูดข้างหูอนามิกา “ก็ยัยเมมันแอบหลงรักนายภัทอยู่น่ะสิแก”
อนามิกาพยักหน้า “อ๋อเหรอ...เป็นอย่างงี้นี่เอง” แล้วเธอก็สะดุ้งตกใจ หันขวับไปมองหน้าอัธวุธแล้วโพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง “แกว่าไงนะ นี่เรื่องจริงเหรอเม”
เมธาวีพยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อ
อนามิกาเริ่มช็อกเพราะไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปได้ไงเนี่ย แล้วนายภัทเค้ารู้มั้ยว่าแกชอบเค้า”
“คงจะรู้หรอกนะ ขนาดเราสามคนกินนอนอยู่ด้วยกันยังไม่รู้เลย” อัธวุธบอก
“โธ่เอ๊ย...ก็ถ้ารักเค้าแล้วทำไมแกไม่บอก...เดี๋ยวนี้มันหมดสมัยแล้วนะ ที่จะแอบรักใคร แล้วเก็บไว้รู้อยู่คนเดียวน่ะ”
เมธาวีสะอื้น “ก็เมเป็นผู้หญิง จะให้เมบอกออกไปได้ยังไง”
“ใช่..ฉันน่ะรู้ใจผู้หญิงดี ขืนบอกก่อนแล้วผู้ชายไม่ตอบรับ ก็หน้าแตกยับสิ” อัธวุธเห็นด้วย
“แกไม่ต้องมาทำเป็นรู้ใจผู้หญิงเลยนังอัทธวุธ” อนามิกาหันมาพูดกับเมธาวี “แต่อย่างน้อย ถ้าแกบอกออกไป มันก็ยังพอมีหวังบ้าง มัวแต่เก็บไว้ ไม่กล้าบอก แล้วเป็นไงล่ะ เค้ากำลังจะไปหมั้นกับผู้หญิงคนอื่นอยู่เนี่ย”
เมธาวีได้ยินที่เพื่อนรุ่นพี่พูดแล้วก็ยิ่งปล่อยโฮ
“ยัยอนามิกา นี่แกจะปลอบ หรือแกจะซ้ำยะ” อัธวุธต่อว่า
อนามิกาหน้าเสีย “อุ้ย..โทษนะเม” อนามิกากอดปลอบเมธาวี “ฉันก็พอจะเข้าใจ พวกเรากับนายภัทก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ขืนบอกรักไป ถ้าเค้าไม่รักตอบ มันจะพาลทำให้เสียเพื่อน จะมองหน้ากันไม่ติด แต่ถึงยังไงฉันว่าแกก็ควรบอกเค้าก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป”
“แต่เมไม่กล้าบอกภัทเค้าหรอก”
“แกไม่บอก...งั้นฉันบอกเอง” อนามิกาทำสีหน้าจริงจัง
เมธาวีกับอัธวุธเริ่มหน้าเสียเพราะรู้ว่าอนามิกาเอาจริง
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 12.00 น.
โปรดติดตามอ่าน "แหม่มแก้มแดง" เต็มอิ่มจุใจ ไม่ตัดทอนย่นย่อ ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร ในเวลา 9.00 น., 12.00 น. และ 17.00 น.
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 1 (ต่อ)
กลางดึกวันนั้นเอง อนามิกามายืนกดกริ่งหน้าประตูบ้านณภัทรย้ำๆ พลางบ่นอุบอย่างคนอารมณ์ขึ้น
“นายภัทนะนายภัท จู่ๆ นึกจะหมั้นก็หมั้น รุ่นน้องฉันต้องร้องไห้ก็เพราะนาย ทำยังไงฉันถึงจะเปลี่ยนใจนายให้มาสนน้องฉันบ้างนะ”
อนามิกากดกริ่งย้ำๆ อีก ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก อนามิกาเห็นว่าคนที่เปิดประตูให้คือนลิณา
อนามิกาประหลาดใจ “นีน่า”
“ใช่! ฉันเอง ไม่พังประตูเข้ามาเลยล่ะยะ มารยาทน่ะรู้จักมั้ย” นลิณาต่อว่า
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฉันมาหาเจ้าของบ้าน เธอไม่เกี่ยวก็หลบไป”
อนามิกาเดินพรวดเข้าไปในบ้าน เธอเดินชนไหล่นลิณาจนเซ นลิณาหันไปมองตามอย่างฉุนเฉียว
อนามิกาเดินรี่เข้ามาหาณภัทรที่กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่โซฟา
“นายภัท เรื่องจริงใช่มั้ยที่นายกำลังจะหมั้น แล้วนายรู้ตัวมั้ยว่านายทำให้...”
อนามิกาชะงักไม่พูดต่อเพราะเห็นณภัทรอยู่ในอาการเศร้าซึมเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
ณภัทรถามด้วยน้ำเสียงซึมๆ “มีอะไรเหรออนามิกา”
“เป็นอะไรของนายน่ะ จะได้กลับเมืองไทยไปหมั้นสาวแล้วไม่ดีใจเหรอ”
“ดูหน้าฉันสิ ฉันดูเหมือนคนกำลังดีใจอยู่มั้ยล่ะ”
เสียงนลิณาดังขึ้น “พูดอะไรออกมายะนายภัท”
นลิณาเดินเข้ามาขวางระหว่างอนามิกากับณภัทร
“อย่าพูดแบบนี้ให้ฉันได้ยินอีกนะ” นลิณาพูดกับณภัทร
“อะไรเนี่ย ยัยนีน่า ฉันกับนายภัทคุยกันอยู่ เธอเกี่ยวอะไรด้วย” อนามิกาโวย
ทันใดนั้น เกตนิการ์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
“แล้วเธอล่ะเกี่ยวอะไร”
“ฟังนะยัยเกด นายภัทกำลังจะหมั้น ฉันเป็นเพื่อนซี้กัน ฉันก็ต้องเกี่ยวสิ” อนามิกาบอก
“เป็นแค่เพื่อนทำมาสะเออะ ฉันน่ะกำลังจะเป็นพี่สะใภ้นายภัทแล้วนะยะ” นลิณาบอก
“พี่สะใภ้?” อนามิกาถึงกับเหวอ “พูดเล่นพูดจริงเนี่ย”
“เธอไม่รู้เหรอว่าน้องแพร คู่หมั้นของภัท เป็นน้องสาวแท้ๆ ของนีน่าน่ะ” เกตนิการ์บอก
“ทีนี้รู้หรือยัง ว่าใครไม่เกี่ยวกันแน่ มาทางไหน ก็รีบกลับไปทางนั้นไป๊” นลิณาไล่
“เจ้าของบ้านเค้ายังไม่ไล่ฉัน เธอมีสิทธิ์อะไรมาไล่” อนามิกาฉุน
“เอ๊ะ! หูหนวกรึไงยัยนี่ ฉันก็เพิ่งบอกไปว่าฉันกำลังจะเป็นพี่สะใภ้ของ...”
นลิณายังพูดไม่จบ ณภัทรก็แทรกขึ้นมา “ไม่มีใครเป็นพี่สะใภ้ฉันทั้งนั้น ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรทั้งสิ้น ได้ยินมั้ย”
“นายพูดงี้หมายความว่าไง รู้จักให้เกียรติน้องสาวฉันหน่อยได้มั้ย”
“ให้เกียรติงั้นเหรอ? แล้วมีใครให้เกียรติฉันบ้างมั้ย? ไม่เห็นมีใครถามฉันซักคำว่าฉันอยากหมั้น อยากแต่งงานหรือเปล่า ฉันก็มีหัวใจ ฉันเป็นคน ไม่ใช่ตัวอะไรที่ใครจะจับคู่ให้ยังไงก็ได้”
“แต่น้องสาวฉันกำลังจะหมั้นกับนาย ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ตกลงกันแล้ว ถึงยังไงนายก็ไม่ควรจะพูดจาห่วยๆ แบบนี้”
“ฉันก็จะพูดแบบนี้แหละ ยังไงฉันก็ไม่หมั้น ไม่แต่งอะไรทั้งนั้น”
“อย่ามาทำปากเก่งหน่อยเลย เราก็รู้กันดี ว่าพ่อแม่ของนายเป็นคนยังไง แล้วฉันจะคอยดูว่านายจะหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธท่านได้”
ณภัทรได้ยินนลิณาพูดก็ยิ่งกลุ้มใจเพราะเขาก็หาทางออกไม่เจอเหมือนกัน
นลิณากับเกตนิการ์เดินคุยกันมาบนทางเดินริมถนน
“เธอแน่ใจเหรอว่าพ่อแม่ของนายภัทจะบังคับให้เค้าหมั้นกับน้องสาวเธอได้” เกตนิการ์ถาม “สมัยนี้แล้ว ยังจะมีใครยอมให้จับคลุมถุงชนอยู่อีก”
“ยัยเกด เธอไม่รู้อะไร ไอ้เรื่องคลุมถุงชนเนี่ย จะสมัยนี้สมัยหน้า หรือว่าในอนาคต มันก็ยังจะมี ยิ่งกับพวกครอบครัวคนรวยๆ หรือตระกูลไฮโซนี่ก็ยิ่งมีเยอะ เพราะอะไรเธอรู้มั้ย”
เกตินิการ์ส่ายหน้า “หึ...เพราะอะไรเหรอ”
“ก็เพราะครอบครัวพวกนี้ เลี้ยงลูกด้วยเงิน จนลูกโตมาง่อยเปลี้ย ทำมาหากินเองไม่เป็น ไหนจะใช้เงินมือเติบ กินอยู่หรูหราสุขสบายจนชิน”
“คนพวกนี้ก็เลยไม่กล้าขัดคำสั่งพ่อแม่ เพราะกลัวจะโดนตัดท่อน้ำเลี้ยง อย่างงั้นใช่มั้ย”
“ถูก! เพราะมีเงินใช้สุขสบายมาตลอด ก็เลยไม่กล้าเสี่ยงที่จะโดนตัดออกจากกองมรดกมหาศาล เธอเชื่อฉันสิเกด ยังไงซะ นายภัทก็ต้องยอมหมั้นกับน้องสาวฉันแน่ๆ”
“น้องสาวเธอนี่โชคดีนะนีน่า ผู้ชายที่ทั้งหล่อ รวย แล้วก็นิสัยดี อย่างนายภัทก็ใช่ว่าจะหากันง่ายๆ ฉันเองยังเสียดาย แล้วก็อิจฉาน้องสาวเธอด้วย”
“เธอว่าไงนะเกด” นลิณาจ้องหน้าเพื่อนอย่างจะจับผิด “ฉันได้ยินเธอชมนายภัทอยู่บ่อยๆ ถามจริงๆ เหอะ เธอคิดอะไรกับคู่หมั้นน้องสาวฉันหรือเปล่า”
“คิดมากน่า เธอจะบ้าเหรอนีน่า ฉันก็แค่พูดไปอย่างงั้น ไม่ได้คิดอะไร”
“งั้นก็แล้วไป”
นลิณาออกเดินต่อ เกตนิการ์มองนลิณาอย่างมีเลศนัย เพราะในใจคิดอยากได้ณภัทรมาครอบครองเช่นกัน
ณภัทรยังคงนั่งซึมอยู่บนเก้าอี้โซฟาในห้องรับแขกที่บ้าน แล้วเขาก็หวนคิดถึงอดีต
เหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นในหัวของณภัทร ตอนนั้นณภัทรในชุดยูนิฟอร์มนักศึกษาระดับปริญญาตรี เขาก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหารหรู กอบชัยกับพนารัตน์นั่งขนาบข้างเขา ส่วนอีกด้านของโต๊ะมีเสรีนั่งอยู่กับแพรวา
“ลูกภัท เอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน ไม่ดูแลน้องแพรเค้าบ้างล่ะลูก” พนารัตน์เชียร์
“โอ๊ย..ไม่เป็นไรหรอกครับคุณรัตน์ ลูกสาวผมตักเองก็ได้” เสรีบอก
“เป็นสุภาพบุรุษหน่อยสิเจ้าภัท นี่...ตักกับข้าวให้หนูแพรเค้าหน่อย” กอบชัยเสริม
ณภัทรไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็รับคำไปตามมารยาท “ครับ”
ณภัทรใช้ช้อนกลางตักกับข้าวข้างหน้ายื่นจะวางในจานของแพรวา
แพรวาพยักหน้าแล้วยิ้ม “ขอบคุณค่ะพี่ภัท”
พนารัตน์พูดกับเสรี “ดูซิคุณเสรี แว๊บเดียว ลูกๆ เราก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว ฉันหละอยากเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันที่เค้าสองคนจะได้หมั้นหมายกัน”
ณภัทรได้ยินแล้วถึงกับสะอึกจนแทบสำลักอาหาร
กอบชัยสะกิดเตือนภรรยา “แม่...ลูกๆ เค้ายังเป็นนักศึกษากันอยู่เลยนะ”
“พ่ออยู่เฉยๆ เหอะน่า” พนารัตน์หันมายิ้มกับเสรี “หรือคุณเสรีว่าไง”
“ก็แล้วแต่ทางคุณรัตน์กับคุณกอบชัยได้เลย ลูกแพรของผมเป็นเด็กว่าง่าย ก็คงไม่มีปัญหาอะไร” เสรีลูบศีรษะแพรวาเบาๆ อย่างเอ็นดู “แต่ถ้าถามความเห็นผม ส่วนตัวผมก็อยากจะให้ว่ากันไปตามสัญญาน่ะ”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ณภัทรก็ถอนใจเฮือกด้วยความกลุ้มใจ
“คำก็สัญญา สองคำก็สัญญา จะสัญญาอะไรกันน่ะเคยปรึกษาเราบ้างมั้ย” ณภัทรกุมขมับ “กลุ้มเว้ย”
อัทธวุธนั่งจ้วงตักอาหารที่อนามิกาหิ้วกลับมาจากร้านกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่พอเหลือบมามองเมธาวี เขาก็ต้องชะงักค้างเพราะเพื่อนสาวนั่งซึมเศร้า ข้าวยังคงอยู่เต็มกล่องโดยยังไม่เทใส่จานเปล่าที่วางอยู่ข้างๆ ส่วนอนามิกาก็นั่งกินอยู่ข้างๆ
“เป็นเอามากนะยะ” อัทธวุธทัก “นายภัทเค้าไม่ใช่แฟนแกซักหน่อย ทำไมจะต้องเก็บมาทำเป็นดราม่า เสียใจฟูมฟาย แกน่ะแค่แอบรักเค้า อย่ามาเยอะหน่อยได้มั้ย”
เมธาวีสะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกเพราะโดนพูดจี้ใจดำ
“อุ๊ยตาย...พลั้งปากไป โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ เอ้า..กินข้าวน๊า มา...ฉันป้อน”
อัทธวุธตักข้าวขึ้นมาจะป้อนใส่ปากเมธาวี แต่เมธาวีเบือนหน้าหนี อัทธวุธยื่นช้อนตาม เมธาวีลุกพรวดขึ้นมาชนแขนอัทธวุธจนข้าวในช้อนหกลงบนโต๊ะและพื้นห้อง
“ว๊าย” อัทธวุธกับอนามิกาตกใจ
เมธาวีลุกพรวดพราดพร้อมกับเดินร้องไห้กลับเข้าไปในห้องตนตัวเอง อัทธวุธมองตามอย่างรู้สึกผิด แล้วจึงหยิบทิชชู่ก่อนจะก้มลงเก็บเศษข้าวที่ร่วงอยู่ที่พื้น อนามิกาเดินออกมาจากห้องที่เมธาวีเพิ่งเดินเข้าไป พออัทธวุธเงยหน้าเห็นอนามิกาเขาก็ชะงัก เพราะอนามิกาจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาตำหนิ
อัทธวุธเสียงอ่อยเพราะรู้สึกผิด “จะด่าก็ด่าเลย เลิกมองฉันแบบนี้ซะที ก็ฉันไม่รู้นี่ว่ายัยเมจะอินกับนายภัทมากขนาดนี้ แล้วผู้ชายเค้าก็จะหมั้นแล้ว ฉันว่าพูดให้ยัยเมตัดๆ ใจไปซะก็ดี เพราะถึงยังไงมันก็หมดโอกาสไปแล้ว”
“ใครบอก? ฉันว่ายัยเมยังมีโอกาสนะ” อนามิกาบอก
“โอกาสอะไรยะ เค้ากำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว โอกาสเป็นเมียน้อยเรอะ”
“จะบ้าเหรอ! คือฉันได้ยินมากับหู ว่าจริงๆ แล้วนายภัทเค้าก็ไม่ได้อยากจะหมั้น อยากจะแต่งอะไรหรอกนะ”
“ถึงนายภัทจะไม่อยากแต่ง แต่ลงท้าย ทางบ้านเค้าก็จะบังคับให้แต่งอยู่ดี ไหนจะพ่อแม่ ไหนจะพี่ชาย บ้านเนี้ย..เค้าเผด็จการทั้งบ้าน”
“งั้นเราต้องยุให้นายภัทกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านบ้าง ไม่ใช่ทางบ้านบังคับอะไรก็ต้องยอมไปซะทุกอย่าง ถ้าบ้านเค้าเผด็จการนัก เราก็จะยุให้นายภัทปฏิวัติซะ” อนามิกาพูดเสียงเข้ม
ป้ายโครงการ The City Avenue เด่นตระหง่านตา ณดล กอบชัย และพนารัตน์กำลังนั่งจิบกาแฟคุยกันอยู่ที่หน้าร้านกาแฟซึ่งมองเห็นได้เกือบจะทั้งโครงการ
ณดลบอกกับพ่อและแม่ด้วยท่าทีเป็นการเป็นงาน “ตอนนี้ ร้านค้าและพื้นที่ในโครงการของเรามีผู้เช่าเต็มทุกพื้นที่แล้ว ผมกำลังคิดว่า ระหว่างบริหารดูแลที่นี่ ผมจะเริ่มๆ ดูที่ใหม่ไปด้วย หวังว่าภายใน2 ปีนี้ จะได้ขึ้นอีกซักโครงการนึง”
“ก็ดีนะลูก” พนารัตน์เอ่ย “แต่ใจจริง แม่ก็ไม่ได้อยากให้ณดลต้องทำงานหนักขนาดนี้เลย”
“โธ่..แม่ คนหนุ่มก็ให้มันทำงานหนักไว้ก่อน เรื่องอื่นน่ะค่อยเอาไว้ทีหลัง” กอบชัยบอก
“คิดอย่างงั้นได้ไงกันพ่อ ชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่เรื่องงานนะ” พนารัตน์พูดกับณดล “เรื่องมีคู่มันก็สำคัญ ขืนทำแต่งานจนไม่มีเวลาสร้างครอบครัว แม่ก็ไม่เอานะลูก”
“เอาไว้ก่อนเหอะครับคุณแม่” ณดลบอก “ผมอยากเอาเวลามาทุ่มเทให้งานดีกว่า เรื่องอื่น ผมยังไม่อยากคิด”
“ณดลไม่ต้องคิดเลย อยู่เฉยๆ เดี๋ยวแม่จัดให้เอง”
“อะไรกันคุณ เพิ่งจับคู่ให้เจ้าณภัทไป นี่จะมาจับคู่ให้ณดลอีกแล้วเหรอ” กอบชัยถามภรรยา
“ใช่..ก็หนูนีน่าไงพ่อ ลูกสาวคนโตคุณเสรีนี่แหละ เห็นว่ากำลังจะเรียนจบกลับมา เค้าเรียนที่เดียวกับเจ้าภัทนั่นแหละ”
“คุณแม่ครับ ผมบอกว่าผมยังไม่อยากจะมีใคร ตอนนี้ผมอยากทุ่มเทสมาธิให้กับงานน่ะครับ” ณดลย้ำ
“แม่ก็ไม่ได้รีบไม่ได้ร้อนอะไรนี่นา ก็แค่ว่า พอหนูนีน่ากลับมา ณดลก็แบ่งเวลาไปทานข้าว ไปดูหนัง หรือชวนหนูนีน่าเค้ามาที่โครงการเรานี่มั่งก็ได้”
“แม่...พอเหอะน่า” กอบชัยเบรกแล้วหันมาพูดกับณดล “เออนี่..ณดล แล้วได้ส่งไอ้คลิปนั่นไปให้เจ้าภัทดูแล้วรึยัง”
“ครับคุณพ่อ เจ้าภัทมันคงอึ้งไป ยังไม่เห็นมันติดต่อกลับมาเลย”
พนารัตน์ยิ้มชอบใจ “คงดีใจจนพูดไม่ออกอะไรทำนองนั้น”
“ก็หวังว่านะครับ แต่ผมยังสังหรณ์ว่าเจ้าภัทอาจจะสร้างปัญหา ทำให้คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องผิดสัญญากับคุณเสรีเค้าน่ะสิครับ”
“ไม่ได้นะ จะปล่อยให้เป็นอย่างงั้นไม่ได้เด็ดขาด” พนารัตน์เสียงแข็ง
“ใช่...คนเรา ถ้าลองสัญญากับใครไปแล้ว หัวเด็ดตีนขาด ก็ต้องทำให้ได้ เราสัญญากับคุณเสรีไปแล้ว เรื่องหมั้นเจ้าณภัทกับหนูแพรวา แล้วจะให้ผิดคำพูดได้ไง พ่อฝากณดลด้วยนะ ช่วยดูแลเจ้าภัท อย่าให้มันแตกแถว”
“ครับ คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้ ถ้าผมแค่เอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เจ้าภัทไม่เคยปฏิเสธผม...แล้วก็จะไม่มีวันกล้าปฏิเสธผมด้วย”
ณดลพูดด้วยความมั่นใจสุดๆ ว่าน้องชายจะต้องอยู่ในโอวาทของตน
พนิดาเดินเข้ามาในครัวหลังร้านอาหารของเธอ เธอเห็นแม่ครัวคนหนึ่งกำลังหั่นผักเตรียมวัตถุดิบอยู่ พนิดาหันไปเห็นเมธาวียืนหันข้างอยู่ในท่าทางซึมๆ
“เอ้า! ยัยเม มาแอบอู้อะไรตรงนี้ยะ รีบออกไปเก็บโต๊ะเดี๋ยวนี้ ยัง..ยังจะเฉยอยู่อีก ไม่รู้จักไปคอยดูแลเทคแคร์ลูกค้า ฉันตัดค่าแรงซะดีมะ”
พูดจบพนิดาก็เดินเข้ามา เมธาวีหันมาหาด้วยหน้าตาเศร้าและมีน้ำตาคลอ
“เป็นอะไรยะ ฉันบ่นแค่นี้ทำบีบน้ำตาเหรอ” พนิดาตะคอก “บอกให้รีบออกไปเก็บโต๊ะเดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย”
อนามิกาได้ยินเสียงจึงรีบโผล่เข้ามาดู
“แกเป็นอะไรเหรอเม” อนามิกาหันมาพูดกับพนิดา “ใจเย็นๆ ก่อนค่ะเจ๊”
“ใจเย็นอะไร ฉันจ้างมาเสิร์ฟ จ้างมาดูแลรับใช้ลูกค้า ไม่ใช่มามุดหัวอยู่หลังครัว ไล่ออกซะดีมั้ย”
“เจ๊ไล่มันออก แล้วมันจะเอาอะไรกินล่ะ วันนี้เมมันไม่สบายน่ะเจ๊” อนามิกาแกล้งทำเป็นพูดกับเมธาวี “เม..ฉันบอกแล้วไง ถ้าแกป่วยก็นอนพักอยู่กับบ้าน ไม่ต้องมาฝืนแบบนี้”
อนามิกาหันมาพูดกับพนิดา “เนี่ยเจ๊ ฉันบอกมันแล้ว แต่มันไม่ยอม มันบอกมันอยากจะมาช่วยงานเจ๊ มันกลัวเจ๊เหนื่อย จะขยันไปไหน..หา? ป่วยก็หัดนอนบ้าง”
“คล่องเหลือเกินนะยัยอนามิกา หยุดแก้ตัวให้เพื่อนได้แล้ว” พนิดาว่า
“ฉันเปล่านะเจ๊ เอางี้! มีอะไรบอก เดี๋ยวฉันทำแทนมันเอง อย่าไปว่าเมมันเลยนะเจ๊นะ”
อนามิกาเกาะต้นแขนพนิดาแล้วออดอ้อน พนิดาพยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร อนามิกาหันไปมองเมธาวีอย่างเป็นห่วง
อนามิกากำลังเก็บจาน ชาม ช้อน และเช็ดโต๊ะอยู่ ครู่หนึ่ง เมธาวีก็เดินมาช่วย
“มา..พี่ ให้เมทำเองดีกว่า”
“ไม่เป็นไรเม...นี่แกไหวแล้วเหรอ” อนามิกาถาม
เมธาวียิ้ม “เมโอเคแล้ว ขอบคุณมากนะพี่อนามิกา”
“ต้องอย่างงี้สิเม แกไม่ต้องกลัวนะ ฉันกำลังคิดหาทางช่วยแกอยู่”
อนามิกาพูดแล้วก็ยิ้มอย่างโล่งใจ แต่พอหันไปมองหน้าเมธาวีเธอก็ต้องชะงักเพราะจู่ๆ เมธาวีก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก
“เฮ้ย...นี่แกเป็นอะไรขึ้นมาอีกแล้วอ้ะเม”
เมธาวีร้องไห้พลางพยักเพยิดไปทางประตูเข้าร้าน แล้วเธอก็วิ่งหลบเข้าไปในหลังร้าน
อนามิกามองตามไปที่ประตูหน้าร้านอย่างงงๆ “อะไรวะ” พอเห็นคนที่เพิ่งเดินเข้าร้านมาเธอก็เข้าใจ “อ้อ”
ณภัทรยืนซึมอยู่ที่ประตูทางเข้าสักพักก่อนจะเดินตรงมาหาอนามิกา
“ว่าไงภัท นั่งก่อนสิ เฮ้ย...ทำไมทำหน้าอย่างงั้นล่ะ” อนามิกาทัก
ณภัทรเดินมาทรุดตัวนั่งลงอย่างซังกะตาย
“ก็จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ เป็นเธอ ถ้าเจอทางบ้านบังคับให้หมั้นกับผู้หญิงที่เธอไม่ได้รัก เธอจะรู้สึกยังไง” ณภัทรถาม
“รู้สึกไงงั้นเหรอ” อนามิกาได้ทีรีบยุเพื่อนทันที “ฉันก็จะรู้สึกต่อต้าน รู้สึกแข็งข้อ รู้สึกคัดค้าน” อนามิกาตบโต๊ะแล้วขึ้นเสียง “ยังไงฉันก็ไม่ยอม”
ฝรั่งชายหญิงที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ได้ยินเสียงอนามิกาถึงกับสะดุ้งแล้วหันมามอง
อนามิกาหันไปยิ้มแหยๆ แล้วพยักหน้าขอโทษ “Sorry” อนามิกาหันมาพูดกับณภัทรต่อ “แกอย่าไปยอม ขนาดหมีแพนด้าเค้ายังขังให้ดูใจกันร่วมปีก่อนจับคู่ แต่นี่เราเป็นคนนะ จู่ๆ จะมาบังคับกันแบบนี้ได้ไง”
“ทำไมดูเธออินกับเรื่องของฉันเหลือเกิน อนามิกา”
“เอ่อ..” อนามิกายิ้มแหยๆ “ก็แบบ...ฉันแค่อยากช่วยเพื่อนน่ะ แกโตเป็นหนุ่มแล้วนะเว้ย...หล่อด้วย เรื่องอะไรจะยอมให้ทางบ้านบังคับล่ะ จริงมั้ย ...ว่าแต่...แกจะกินอะไร จะดูเมนูก่อนมั้ย”
“ไม่ต้อง ฉันกินข้าวมาแล้ว”
“เอ๊า...นี่ร้านอาหารนะยะ ไม่ใช่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ถ้ากินข้าวแล้ว แกจะมานั่งทำไม” อนามิกางง
“ก็ฉันกำลังกลุ้มอยู่ ช่วยจัดมาให้ฉันที อะไรก็ได้ที่กินแล้วเมา แล้วลืมเรื่องกลุ้มๆ น่ะ มีมั้ย”
“เอาแบบเมาๆ นะเพื่อน...ด้าย” อนามิกาสนองเพื่อนทันที
เมธาวียืนพิงผนังคอตกอยู่ใกล้ๆ ถังขยะหลังร้านอาหารที่ค่อนข้างมืด จู่ๆ อนามิกาก็โผล่หน้าออกมา
“มาหลบอะไรอยู่ตรงนี้ นี่ฉันนึกว่าแกกลับบ้านไปแล้วนะเนี่ย นายภัทมานั่งอยู่ร่วมชั่วโมงนึงแล้ว ทำไมแกไม่ฉวยโอกาสนี้ ออกไปดูแลเค้า”
“ก็พี่ดูสภาพเมสิ พี่จะให้เมไปยืนร้องไห้ต่อหน้าเค้าหรือไง ก็เมยังทำใจไม่ได้นี่” เมธาวีบอก
“แกนี่มันซื่อ หรือมันบื้อเนี่ย นายภัทเค้าไม่ได้อยากจะหมั้น แล้วตอนนี้เค้าก็กำลังกลุ้ม ออกไปดูสิ กินเบียร์เป็นน้ำเปล่าเลยแก ถ้าแกฉลาด แกก็ควรจะใช้โอกาสนี้ไปคอยดูแล เทคแคร์เค้า เข้าใจที่ฉันพูดมั้ยเนี่ย”
เมธาวีพยักหน้าคล้อยตามก่อนจะรับคำเสียงอ่อยๆ “ขะ เข้าใจ”
“งั้นจะรออะไรล่ะ รีบออกไปสิยะ ไป๊” อะนามิกาดันหลังเพื่อน
“จ้ะๆๆ” เมธาวีพยักหน้าหงึกๆ แล้วเอามือลูบหน้าลูบตา เช็ดคราบน้ำตา แล้วจึงเดินออกไป
“มันต้องอย่างงี้สิเม” อนามิกาพอใจ
บนโต๊ะเบื้องหน้าณภัทรมีขวดเบียร์เปล่าวางอยู่ 4 ขวด ณภัทรนั่งเมามึนและกำลังจะรินเบียร์เพิ่มแต่มือไปปัดโดนขวดเบียร์ล้ม เมธาวีเดินมาเห็นพอดีจึงรีบคว้าผ้ามาเช็ดโต๊ะให้
“ภัท...เมาแล้วนะนายน่ะ” เมธาวีบอก
ณภัทรตอบเสียงดัง “ช่าย..ก็คนมันกลุ้มใจน่ะเม ขอเบียร์อีกขวดสิ”
“อย่าเลยภัท นายเมาแล้ว พอดีกว่า”
“ใช่! ก็เมาน่ะสิ” ณภัทรตอบเสียงดัง “ก็คนมันอยากเมา มันอยากลืม ใครลองมาเป็นอย่างฉันบ้างมั้ยล่ะ โดนที่บ้านบังคับให้หมั้น ให้แต่งงาน”
ฝรั่งชายหญิงที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านหันมามองอย่างไม่พอใจ
เมธาวีเห็นจึงปรามณภัทร “เบาๆ ภัท”
“ฉันไม่อยากหมั้นหรอกนะ แต่จะให้ฉันขัดพ่อแม่ ขัดพี่ชายได้ยังไง พวกเค้าเคยฟังฉันที่ไหน” ณภัทรยังคงบ่นเสียงดัง
ฝรั่งชายหญิงหันมามองอย่างรำคาญๆ
“ภัท” เมธาวีจุ๊ปากเพื่อปรามให้เบาเสียง “ชู่วว...เบาเสียงหน่อย”
พนิดาเดินออกมาพยักหน้าขอโทษฝรั่งชายหญิงที่โต๊ะ แล้วจึงหันมาทำหน้าบึ้งก่อนจะเดินตรงมาที่เมธาวี
พนิดากระซิบดุเสียงเครียด “พาเพื่อนเธอออกไปนอกร้านเดี๋ยวนี้นะ”
“ค่ะเจ๊” เมธาวีดึงแขนณภัทร “ภัท...ออกไปข้างนอกดีกว่า”
“เดี๋ยว” พนิดาเดินเข้ามากระซิบกับเมธาวี “ห้ามชักดาบนะ ถ้าเพื่อนเธอเบี้ยว เธอต้องจ่ายนะ”
“ค่ะ” เมธาวีพยายามดึงแขนณภัทร “ลุกขึ้นสิภัท”
“ไม่...ฉันจะกินต่อ เอาเบียร์มาอีก” ณภัทรหันมาพูดกับพนิดา “น้อง ขอเบียร์ขวด”
“น้องป้าแกน่ะสิ ไอ้นี่เมารั่วแล้ว” พนิดาด่าแล้วหันมาพูดกับเมธาวี “รีบพามันออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
“ค่ะเจ๊” เมธาวีหันมาบอกณภัทร “ภัท...ขอร้องล่ะ อย่าทำให้เมเดือดร้อนสิ เมอยู่นี่เดือนสุดท้ายแล้ว ขืนโดนไล่ออกตอนนี้ เมจะไม่มีตังค์ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านนะ”
“โอ๊ย...ฉันก็แค่อยากกินเบียร์ต่ออีกขวด ทำไมแค่นี้ต้องไล่กันด้วย”
อนามิกาโผล่มาจากหลังร้าน พอเห็นณภัทรที่เมาเต็มที่ก็ถึงกับตาโต
“อีกแล้ว...งานเข้าฉันอีกแล้ว”
อนามิการีบพุ่งไปช่วยเมธาวีหิ้วปีกลากณภัทรออกจากร้าน
“ปล่อย...ฉันยังไม่กลับ” ณภัทรโวยวาย
“ไม่ได้” อนามิกาพูดกับเมธาวี “ช่วยกันลากเลยเม ออกแรงหน่อย...เอ้า..อึ๊บ!”
ณภัทรขยับออกจากเก้าอี้แต่ยืนไม่อยู่ จึงทรุดลงไปกองกับพื้นร้านอย่างหมดสภาพ ฝรั่งชายหญิงในร้านถึงกับผงะด้วยความรำคาญและรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
อนามิกากับเมธาวีมองหน้ากันแหยๆ พนิดาจิกตามองด้วยความโกรธ
พนิดากัดฟันพูดเสียงเบาๆ ด้วยความโกรธจัด “รีบเอามันออกไปจากร้านฉัน เดี๋ยวนี้!”
ย่านคนพลุกพล่านในลอนดอน ฝรั่งพากันแตกตื่น บ้างก็หันไปมอง บ้างก็ทำท่าทางรังเกียจ บ้างก็ขำที่เห็นอนามิกากับเมธาวีขนาบข้างหิ้วปีกณภัทรที่เมามายไม่ได้สติเดินมาอย่างทุลักทุเล
ณภัทรบ่นด้วยเสียงยานคาง “ก็ฉันไม่อยากหมั้น...หรือว่าฉันจะหายไปเลย ฉันจะไม่กลับเมืองไทย ฉันจะหนีจากบ้าน”
“โอ๊ย..หยุดพล่ามทีได้มั้ย ฉันอายฝรั่งเค้าจะแย่อยู่แล้ว หุบปากซะ” อนามิกาสั่ง
“พี่อนามิกาอย่าดุภัทสิ ก็คนเค้าเมา” เมธาวีออกตัวแทน
“ก็ดูซิ ถ้าจะพล่ามก็ช่วยพูดเป็นภาษาอังกฤษได้มั้ย อย่าพูดเป็นภาษาไทยฉันกลัวฝรั่งจะรู้ว่าเป็นคนไทย เดี๋ยวจะเสื่อมเสียชื่อเสียงประเทศชาติ ฉันอายเค้า”
อนามิกากับเมธาวีช่วยกันหิ้วปีกณภัทรผ่านฝูงชนที่จ้องทองพวกเธอไป
อนามิกากับเมธาวีช่วยกันประคองหิ้วปีกณภัทรเข้ามาในบ้านของอัทธวุธ แล้วช่วยกันวางร่างณภัทรลงบนโซฟา โดยมีอัทธวุธคอยช่วยนำทาง อนามิกากับเมธาวีมานั่งอย่างเหนื่อยอ่อน จนแทบหมดแรง
“เฮ่อ...ขอพักก่อนนะ” อนามิกาหอบ
“ฝากไว้ก่อนนะพี่อัทธวุธ เดี๋ยวเมกับพี่อนามิกาต้องรีบกลับไปทำงานที่ร้านอีก” เมธาวีบอก
“ย่ะ ทีหลังเก็บแบบหล่อๆ เนี้ยบๆ มาฝากบ้างก็ได้นะยะ ไม่ใช่มีแต่แบบเมารั่วหยำเปอย่างงี้ “ อัทธวุธพูดกับอนามิกา “ฉันเชื่อแกแล้วหละอนามิกา”
“เชื่ออะไรยะ” อนามิกางง
“ก็ที่แกบอกว่านายภัทเองก็ไม่ได้อยากจะหมั้นน่ะสิ”
จู่ๆ ณภัทรก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมา “ก็แล้วใครว่าฉันอยากล่ะ หยุดบังคับจิตใจกันซะทีได้มั้ย”
“เอ๊า...แล้วมาบอกอะไรฉันยะ” อัทธวุธงง
“ถ้านายไม่อยากให้ทางบ้านบังคับ นายก็ต้องมีจุดยืนบ้าง โวยไปเลย...ว่านายไม่หมั้น ยังไงนายก็ไม่ยอม” อนามิกายุ
“แหม...ยัยนี่ได้ทีหละรีบยุเลยนะ” อัทธวุธประชด
“ฉันรู้...แต่ฉันจะหาข้ออ้างอะไรที่ทำให้ทางบ้านยอมได้ล่ะ” ณภัทรถาม
“จริงด้วยสินะ ถ้าทางบ้านนายจะบังคับจริงๆ ต่อให้อ้างเหตุผลอะไร เค้าก็จะบังคับให้หมั้นอยู่ดี” เมธาวีท้อใจ
“เออแฮะ..จะมีข้ออ้างอะไรในโลกมั้ย ที่ทำให้ทางบ้านนายภัทยอมล้มเลิกงานหมั้นได้น่ะ” อัทธวุธสงสัย
ทั้งสี่ขมวดคิ้วขบคิดกันอย่างคร่ำเคร่ง เพียงครู่เดียวอนามิกาก็โพล่งขึ้นมา “มีสิ!”
ทุกคนหันมาหาอนามิกาด้วยความสนใจ
อนามิกาพูดกับณภัทร “นายก็บอกที่บ้านไปสิ ว่านายมีเมียฝรั่งอยู่ที่นี่แล้ว”
“จะบ้าเหรอพี่” เมธาวีขัดขึ้น
“อ้าว...ก็จริงมั้ยล่ะ ถ้านายภัทมีเมียอยู่ซะที่นี่แล้ว ใครจะยอมหมั้นด้วยยะ” อนามิกายืนยัน
“เออเน๊อะ...จริงด้วย” อัทธวุธพูดกับณภัทร “ดีมั้ยภัท ฉันว่ามันก็มีอยู่วิธีเดียวหละนะ ฮ่าๆๆ ฮัลโหล...คุณพ่อฮับ คุณแม่ฮับ คุณพี่ชายฮับ ภัทมีเมียแล้ว ฮ่าๆ”
“พี่อัทธวุธ...ภัทเค้ากำลังกลุ้มใจ พี่ก็เห็นเป็นเรื่องตลกไปซะ” เมธาวีต่อว่า
“ก็จริงนี่...เอาซี้” อัทธวุธชี้ที่โทรศัพท์บ้าน “โทรเลย โทรกลับไปโกหกที่บ้านว่านายมีเมียแล้ว หมั้นไม่ได้แล้ว ฮ่าๆๆ”
ณภัทรเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็โพล่งขึ้น “ได้”
อัทธวุธ อนามิกา และเมธาวีถึงกับชะงัก
ณภัทรยกนาฬิกาขึ้นดู “ตอนนี้ที่เมืองไทยประมาณเที่ยงวัน ฉันโทรหละนะ”
ณภัทรยกหูโทรศัพท์แล้วกเบอร์โทรออก
อัทธวุธ อนามิกา และเมธาวีมองอย่างงงๆ แล้วทั้งสามก็ขำขึ้นมาพร้อมกันพราะคิดว่าณภัทรเล่นมุก
อัทธวุธสะกิดอนามิกาให้หันมาขำด้วยกัน “ดูมัน...ดูมันรับมุก ฮ่าๆๆๆ”
“อย่างนายภัทเนี่ยนะ จะกล้าโทร ฮ่าๆๆ” อนามิกาขำ
“เอ๋” เมธาวีชะเง้อมอง แล้วหันมาพูดกับอัทธวุธและอนามิกา “เค้าเอาจริงแฮะ”
อัทธวุธกับอนามิกาตาเหลือกหันมองหน้ากัน
ณภัทรมองทุกคนแล้วถาม “คิดว่าฉันไม่กล้าใช่มะ” เขากดสปีคเกอร์ โฟนให้ทุกคนได้ยินเสียงแล้วพูดใส่โทรศัพท์ “ฮัลโหล...นั่นใครน่ะ”
ณดลกำลังถือหูโทรศัพท์ขึ้นมาพูดอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านของเขา
“ผมณดลครับ...ฮัลโหล..ได้ยินมั้ยครับ” พอรู้ว่าเป็นน้องชาย ณดลก็เปลี่ยนโทนเสียงทันที “นั่นแกใช่มั้ยภัท แกจะพูดกับใคร”
ณภัทรพูดใส่โทรศัพท์ โดยมี อัทธวุธ อนามิกา และเมธาวีคอยฟังอย่างลุ้นๆ อยู่ด้วย
“พูดกับพี่ก็ได้ ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก” ณภัทรพูด
ณดลมีสีหน้าประหลาดใจ
“เรื่องสำคัญงั้นเหรอ? แกเป็นอะไรไอ้ภัท เสียงเหมือนคนเมาเลยนะ แกกินเหล้ามาเหรอ”
“พี่ฟังผมก่อน ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกพี่” ณภัทรย้ำ
“ก็เอาสิ ฉันรอฟังอยู่เนี่ย แกก็พูดมาสิ” ณดลบอก
“ผมมีเมียแล้ว ผมกลับไปหมั้นไม่ได้แล้ว ผมมีเมียอยู่ที่ลอนดอนแล้วพี่”
อัทธวุธ เมธาวี และอนามิกาต่างพากันตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ณดลฟังน้องชายพูดแล้วก็ช็อกตาโต
“กะ..แกว่าไงนะ!”
อ่านต่อหน้า 3
โปรดติดตามอ่าน "แหม่มแก้มแดง" เต็มอิ่มจุใจ ไม่ตัดทอนย่นย่อ ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร ในเวลา 9.00 น., 12.00 น. และ 17.00 น.
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ณภัทรยีงคงยืนพูดใส่โทรศัพท์บ้านของอัทธวุธที่เปิด speaker phone ให้ทุกคนได้ยินอยู่ โดยมี อนามิกา เมธาวี และอัทธวุธยืนตะลึงอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน
“ผมบอกว่าผมมีเมียอยู่ที่นี่แล้ว พี่ได้ยินชัดรึยัง” ณภัทรย้ำ
ณดลอึ้ง “เอ่อ...ดะ ได้ยินแล้ว...ฉันรู้แล้ว”
“ฝากบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับพี่ ผมหมั้นกับแพรวาตามที่ทางบ้านต้องการไม่ได้แล้ว”
“ได้..ฉันจะบอกให้” ณดลอึ้งไปครู่หนึ่งก็เอะใจขึ้นมา “เดี๋ยวก่อนนะไอ้ณภัทร นี่แกโกหกฉันใช่มั้ย”
ณภัทรสะอึกและพูดอะไรไม่ออก อนามิกา อัทธวุธ และเมธาวีก็ชะงักแล้วเริ่มสีหน้าไม่ดี
“พี่ว่าไงนะ” ณภัทรทวน
“แกหลอกฉันเพื่อจะได้ยกเลิกงานหมั้นใช่มั้ย ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันไม่เคยเห็นแกจีบใครเลยด้วยซ้ำ คนอย่างแกเนี่ยนะจะมีเมียอยู่ที่นั่น”
ณภัทรหน้าเหรอหราแล้วหันมาหากองเชียร์เป็นเชิงถามว่าจะเอาไงต่อดี อนามิกา อัทธวุธ และเมธาวี รีบพยักเพยิดให้ลุยต่อ
“ผะ ผมพูดจริงๆ พี่ณดล ผมมีเมียแล้ว”
กองเชียร์พยักหน้าหงึกๆ อย่างชอบใจ
“ต่อให้แกมีเมียแล้ว...แล้วไง?..หา? มีได้ ก็เลิกได้นี่ แกรีบบอกเลิกกับเมียแกซะ แล้วก็รีบกลับมาหมั้นกับน้องแพรที่นี่”
“เมียผมทั้งคนนะพี่ จะให้เลิกได้ไง” ณภัทรแย้ง
“ทำไมจะเลิกไม่ได้ ถ้าแกจะบอกเลิกซะอย่าง ผู้หญิงเค้าจะทำอะไรแกได้”
“ตะ...แต่ผมเลิกไม่ได้”
“งั้นไหนบอกเหตุผลมาซิ ว่าทำไมแกถึงเลิกไม่ได้”
ณภัทรหน้าเหวอแล้วหันไปหากองเชียร์อีก เมธาวีกับอัทธวุธมองหน้ากันอย่างลนลานและจนแต้ม ทั้งหมดได้ยินเสียงณดลเร่งเร้ามา อนามิกานึกได้รีบยื่นหน้าไปกระซิบณภัทร
“ฉันถามว่าทำไมแกถึงเลิกกับเมียไม่ได้” ณดลถามเสียงดัง
อนามิกากระซิบเบาๆ “ก็บอกไปสิว่าเมียนายท้องแล้ว”
ณภัทรกำลังลนลานอยู่เลยรีบว่าตามไปโดยอัตโนมัติ “เมียผมท้องแล้ว”
ณภัทรพลั้งปากไปตามที่อานมิกาเสนอแล้วก็เพิ่งนึกได้กับคำที่พูดออกไป ณภัทรตาเหลือกหันมาทางกองเชียร์ ซึ่งก็หน้าตาตื่นพอกัน
ณดลยืนช็อกเหลือบมองโทรศัพท์ในมืออย่างอึ้งๆ แล้วค่อยๆ ยกหูโทรศัพท์ขึ้นพูดอีกครั้ง
“เมียแกท้องเนี่ยนะ...กี่เดือนแล้ว”
ณภัทรรีบหลุดปากตอบไปทันที “สิบ”
กองเชียร์ได้ยินก็สะดุ้งกันทั้งแถบ อนามิการีบสะกิดณภัทรแรงๆ แล้วชูสองนิ้ว พร้อมขยับปากบอกว่า “สอง...สอง!!”
“ว่าไงนะ! ฉันถามว่าเมียแกท้องกี่เดือนแล้ว” ณดลย้ำ
“สองครับ...สองเดือนแล้วพี่” ณภัทรตอบ
“เรียกเมียแกมาคุยกับฉันหน่อยซิ” ณดลบอก
“หา! ว่าไงนะ” รภัทรตกใจ
“เรียกเมียแกมาพูดสายหน่อย ถ้าถึงขนาดท้องอ่อนๆ ป่านนี้ก็คงอยู่บ้านเดียวกับแกแล้วหละ รีบไปตามเมียแกมาเดี๋ยวนี้”
“เอ่อ...คือ...” ณภัทรอึกอัก
ณภัทรหันมามองกองเชียร์เลิ่กลั่ก เขาลนลานและทำอะไรไม่ถูก
“นั่นไง...นี่แกหลอกฉันใช่มั้ยไอ้ณภัทร เมียท้องสองเดือนอะไรของแกไม่มีจริงใช่มั้ย”
ณภัทรได้ยินพี่ชายเร่งก็ยิ่งลนลาน “มะ..มีสิพี่ มีๆ เมียผมอยู่ที่นี่แหละ..อุ๊บ!”
ณภัทรพูดขาดคำก็รู้สึกแย่ที่พลั้งปากไป เขาหันไปทางกองเชียร์ก็เห็นว่าทั้งสามอยู่ในอาการเดียวกัน แล้วเสียงจาก speaker phone ก็ดังขึ้นมาอีก
“เอ้า! ว่าไง ถ้าเมียแกที่ว่าท้อง มีตัวตนจริงๆ หละก็...ไหนฉันขอฟังเสียงเค้าหน่อยซิ”
ณภัทรอึกอักแล้วหันมามองขอความช่วยเหลือ แต่กองเชียร์ก็เลิ่กลั่กเพราะจนแต้มพอกัน
อัทธวุธกระซิบกับอนามิกาเบาๆ “เละสิงานนี้ ทำไงดี ช่วยหน่อยซี้”
เสียงณดลจากโทรศัพท์ดังขึ้นอีก “นึกเหรอว่าจะหลอกคนอย่างฉันได้...ไหนล่ะเมียแก?”
อนามิการีบยื่นหน้าไปใกล้ๆ โทรศัพท์แล้วพูดสวนไปทันที “ฉันอยู่นี่!”
ณภัทร อัทธวุธ และเมธาวีต่างผงะและตะลึงที่อนามิกาโพล่งออกมาเช่นนั้น
ณดลเองก็ถึงกับผงะ เพราะเขาเคยมั่นใจว่าน้องชายไม่มีเมียแน่ๆ
“ธะ..เธอเป็นใคร” ณดลช็อค
“ฉันเป็นเมีย เอ่อ...เป็นภรรยาของณภัทร น..นั่นใครเหรอคะ” อนามิกาถามกลับ
“ฉันชื่อณดล เป็นพี่ชายไอ้ณภัทร เธอล่ะชื่ออะไร”
“เอ่อ..สวัสดีค่ะ ฉันชื่ออนามิกา แต่เพื่อน..เอ่อ..สามีเรียกฉันว่าอะนา”
กองเชียร์พากันผงะ ณภัทรเหวอที่ถูกเพื่อนเรียกว่าสามี อัทธวุธแทบจะขำออกมา
“พูดมาได้เต็มปาก...สามีเรียกว่าอนามิกา...นี่เธอไม่กระดากปากบ้างเหรอที่ใช้คำว่าสามีน่ะ” ณดลต่อว่า
อนามิกางง “ทะ..ทำไมต้องกระดากด้วยล่ะคะ”
“ก็การจะเป็นสามีภรรยากัน มันควรจะให้ผู้ใหญ่รับรู้หน่อยมั้ย? ฉันถามตรงๆ นะ เธอแต่งงานกันตอนไหน แล้วมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไหนรับทราบ? หา? แล้วพ่อแม่เธอเค้ารู้มั้ยว่าเธอมาอยู่กินกับผู้ชายแบบนี้” ณดลว่าเป็นชุด
“เอ่อ...คือ...” อนามิกาหันมาพูดเบาๆ กับณภัทร “ชุดใหญ่เลย...แรงนะ พี่นายเนี่ย”
“เรียกไอ้ณภัทรมาพูดกับฉัน เดี๋ยวนี้!” ณดลสั่ง
อนามิกาหน้าแหยก่อนจะเอี้ยวหลบให้ณภัทรยื่นหน้าเข้ามาพูดโทรศัพท์แทน
“ครับ พี่”
“เรายังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องคุยกัน ฉันจะยังไม่บอกคุณพ่อคุณแม่ตอนนี้ แต่ฉันจะรีบบินด่วนไปเคลียร์กับแกที่นั่น...แล้วเจอกัน” ณดลบอกแล้วกระแทกหูโทรศัพท์ลงอย่างฉุนเฉียว
ณภัทรตกใจเสียงกระแทกหูแล้วจึงหันไปสบตากับอนามิกาด้วยความรู้สึกหนักใจ อัทธวุธกับเมธาวีก็หนักใจเช่นกัน
ณดลนั่งเครียดอยู่บนโซฟาใกล้โทรศัพท์ สักพักศรี คนรับใช้ของบ้านก็เดินเข้ามา
“ศรีเตรียมอาหารกลางวันไว้ที่โต๊ะอาหารแล้วนะคะคุณณดล”
“ขอบคุณมากศรี ฉันมีเรื่องให้ช่วยอยู่พอดี ศรีช่วยเตรียมเก็บเสื้อผ้าแพ็คกระเป๋าเดินทางให้ฉันที ฉันว่าจะไปเยี่ยมเจ้าณภัทรซักอาทิตย์นึง” ณดลบอก
“อ้าว! ไหนว่าคุณณณภัทรก็กำลังจะกลับมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ แล้วคุณณดลจะไปทำไมให้เปลืองค่าตั๋วเครื่องบิน” ศรีมองหน้าณดลแล้วเห็นณดลมองจ้องด้วยสีหน้าเครียดเธอถึงกับชะงัก
“เอ่อ...” ศรีกลืนน้ำลายเอื้อกด้วยความกลัว “ค่ะ เดี๋ยวศรีจัดการให้ค่ะ”
ศรีเดินออกไป ณดลถอนหายใจอย่างกลุ้มๆ
“เฮ่อ...ไอ้ณภัทรนะไอ้ณภัทร ฉันจะทำให้แกเลิกกับเมียให้ได้ ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะรู้เรื่องนี้”
อนามิกา ณภัทร และเมธาวีนั่งท้าวคางอยู่ที่โต๊ะอาหารในบ้านของอัธวุธ ทั้งสามขมวดคิ้วและใช้ความคิดกันอย่างเคร่งเครียด อัทธวุธเอาน้ำอัดลมมารินเติมให้เพื่อนๆ
“ไงล่ะ พูดออกไปไม่ยั้งคิด ปากไวกว่าสมอง ว่างั้น พูดไปด๊ายย...มีเมียแล้ว แถมท้องอ่อนๆ อีกต่างหาก แล้วไงล่ะทีนี้ จะแก้ปัญหากันยังไง๊” อัธวุธเซ็ง
เมธาวีแทรกขึ้น “พอเหอะน่ะพี่อาร์ท จะซ้ำเติมกันทำไม แค่นี้ภัทเค้าก็กลุ้มใจจะแย่อยู่แล้วนะ”
“ตอนนี้น่ะยังไม่เท่าไหร่หรอกเมธาวี รอให้พี่ณดลมาก่อนเหอะ ตอนนั้นหละนรกของจริง” ณภัทรบอก
“โอ๊ย..ไม่ต้องบอกก็รู้ย่ะ แค่ฟังเสียงมาตามสาย ฉันก็ไม่ชอบขี้หน้าแล้ว” อนามิกาทำท่าขยาด
“เหมือนกันเลย ฉันแค่ได้ยินเสียงก็ขนลุกขนพองแล้ว” อัทธวุธเห็นด้วย
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเธอสองคนคิดอะไร แต่จะบอกว่า ขอให้คูณสองจากที่คิดกันเอาไว้ได้เลย พี่ณดลเนี่ย ทั้งดุ ทั้งเฮี้ยบ แล้วก็ยังช่างจับผิดสุดๆ” ณภัทรขนลุก
อนามิกาพูดกับณภัทร “งั้นเราก็ต้องรีบหาคนมารับบทเมียท้องสองเดือน เพื่อตบตาพี่ของนาย” อนามิการีบขยิบตากับอัทธวุธทันที “ฉันขอเสนอให้ยัยเมธาวีรับบทบาทนี้”
“เย้ยย...เมเนี่ยนะ ไม่เอาด้วยหละ” เมธาวีรับปฏิเสธ
“ไม่ได้...ก็ในเมื่อหลุดปากโกหกออกไปแล้ว ก็จำเป็นต้องสวมรอยให้เนียนกันต่อไป” อนามิกาเข้าไปกระซิบกับเมธาวี “เชื่อฉันสิ แกแหละเหมาะที่สุดแล้ว”
“ใช่ๆๆ แหม..อุตส่าห์ชงให้ซะขนาดนี้ ยังไม่รีบขอบคุณอีก แกแหละยัยเม” อัธวุธสนับสนุน
อัทธวุธแอบยิ้มขยิบตาอย่างรู้กันกับอนามิกา ก่อนจะยกมือขึ้นตบกัน
จู่ๆ ณภัทรก็โพล่งขึ้นมา “ไม่ได้!”
อัทธวุธกับอนามิกาชะงัก แล้วยิ้มค้างก่อนจะหันมาที่ณภัทร
“พี่ณดลไม่ใช่คนที่เราจะหลอกเค้าได้ง่ายๆ ฉันกลัวว่าถ้าเป็นเมธาวี คงจะโดนพี่ฉันจับพิรุธได้ซะก่อน แล้วถ้าเป็นอย่างงั้น รับรอง..ได้ตายหมู่กันแน่” ณภัทรบอก
“ใช่ๆๆ” เมธาวีพูดกับอนามิกา “พี่ก็รู้ เมโกหกใครเป็นที่ไหน เมไม่ไหวหรอกพี่อะนา”
“งั้น” อนามิกาหันไปที่ณภัทร “ถ้าไม่ใช่ยัยเมธาวี แล้วจะเป็นใคร”
“ก็เธอไง อนามิกา” ณภัทรบอก
“อืม..ก็ไม่เลวนะ” อนามิกาพูดแล้วก็นึกขึ้นได้จึงร้องเสียงหลง “ฮ๊า?!! ฉันเนี่ยนะ!”
อนามิกาอ้าปากค้างแล้วทำตาเหลือกด้วยความตกใจ
อนามิกานอนอ้าปากค้างและตาเหลือกตกใจอยู่บนเตียงในห้องนอน ส่วนเมธาวีนอนอยู่ข้างๆ มีเพียงแสงจากโคมไฟหัวเตียงส่องอยู่ในห้อง เสียงของณภัทรแว่วมาในความคิดของอนามิกา
“...อย่าลืมสิว่า เธอหลุดปากบอกพี่ณดลไปแล้วว่าเธอเป็นเมียฉัน ว่าเธอท้องสองเดือน แล้วเธอก็ยังแนะนำตัวไปแล้วด้วยว่าเธอชื่ออนามิกา...”
อนามิกาหันหน้านอนตะแคงด้วยสีหน้าหนักใจ พลางคิดถึงคำพูดของณภัทรต่อ
“...และที่สำคัญที่สุด เธอคนเดียวเท่านั้น ที่มีไหวพริบพอจะรับมือกับคนที่เฮี้ยบ เผด็จการ และช่างจับผิดอย่างพี่ชายฉันได้”
อนามิกาถอนใจยาวเพราะทั้งรู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ แล้วเธอก็อ้าปากหาวเพราะรู้สึกง่วง
“ฮ๊าว...อีตาพี่ณดลอะไรนี่ จะน่ากลัวขนาดไหนกันนะ” อนามิกาบ่นกับตัวเอง
ภายในห้องสอบสวนที่มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่กลางห้อง แสงสว่างเป็นลำลอดลูกกรงผ่านมาทางหนึ่ง และมีโคมไฟส่องหน้าของอนามิกาที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหนึ่ง ณดลซึ่งอยู่ในชุดทหารนาซียืนกอดอกหันหลังให้อยู่
“แกเองเหรอ...เมียของน้องฉัน” ณดลคำรามเสียงดุ
อนามิกาตอบเสียงสั่นด้วยความกลัว “ชะ ใช่ค่ะ ฉันเอง”
ณดลถามเสียงเข้ม “แกบอกว่าแกท้องสองเดือนแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ” อนามิกาลูบท้องแล้วยิ้มทำใจดีสู้เสือ “หลานของพี่ณดลไงล่ะคะ”
ณดลหันหน้ามาตะโกนสวนทันที “ใครบอกว่าฉันอยากมีหลาน! หา? ใครบอกแก?!”
ณดลดึงมีดพร้าด้ามใหญ่ออกมาถือไว้
“ฉันเกลียดเด็ก! ฉันจะผ่าท้องแก เอาเด็กออกมา”
อนามิการ้องเสียงหลง “อย่า!!”
ณดลเงื้อง่าดาบตรงเข้าใส่อนามิกาส่วนอีกมือบีบคอเธอไว้ อนามิกาหวาดกลัวสุดขีด
อนามิกาหลับตานอนอยู่บนเตียง แต่สีหน้าหวาดกลัวตามความฝันและจินตนาการของตัวเอง
“อ๊ายย...ไม่นะ...อย่าผ่าท้องฉัน!” อนามิการ้องลั่น
เมธาวีผวาตื่นแล้วลุกขึ้นมานั่งข้างอนามิกา “พี่อะนา แกเป็นอะไร”
อนามิกาลืมตา แล้วค่อยๆ เหลือบมองไปรอบๆ เพื่อเรียกสติให้คืนกลับมา
“ฝันร้ายเหรอแก” เมธาวีถาม
“เออดิ” อนามิกาพยักหน้าแหยๆ “กลัวแต่ว่า...ฝันร้ายมันกำลังจะกลายเป็นความจริงนี่สิ”
อนามิกาพูดด้วยสีหน้าหวั่นๆ เมธาวีมองอย่างงงๆ เพราะไม่เข้าใจว่าอนามิกาพูดเรื่องอะไร
สายวันใหม่ นลิณากับเกตนิการ์อยู่ในชุดสวยเฉี่ยว ทั้งสองกำลังเดินอยู่ในย่านช็อปปิ้งกลางกรุงลอนดอน ในมือของทั้งสองถือถุงช็อปปิ้งแบรนด์แพงๆ บ่งบอกฐานะของทั้งคู่
“ชักเมื่อยแล้วหละ หิวด้วย” นลิณาบ่น
“เอาสินลิณา ฉันก็หิวเหมือนกัน หาอะไรกินกันแถวนี้มะ?” เกตนิการ์ถาม
“แถวนี้เหรอ? ฉันว่าไปอีกที่นึง...น่าจะมีอะไรสนุกๆ กว่านะ”
นลิณาส่งยิ้มร้ายให้เกตนิการ์ เกตนิการ์งงอยู่วูบหนึ่งก็เข้าใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างรู้ใจกัน
อนามิกากับเมธาวีกำลังช่วยกันเก็บโต๊ะอยู่ในร้านอาหารไทยของพนิดา จานชามแก้วน้ำที่ลูกค้ากินเสร็จเลอะเทอะกองอยู่บนโต๊ะ ทันใดนั้น นลิณากับเกตนิการ์ก็เดินถือถุงช็อปปิ้งเฉิดฉายข้ามาในร้าน
เมธาวีพูดเบาๆ กับอนามิกา “ยัยเกตนิการ์กับนลิณา ไม่รู้มาดีหรือมาร้ายนะพี่”
“ฉันว่าอย่างหลังมากกว่า แต่แกไม่ต้องกลัว เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
พูดจบอนามิกาก็เดินไปต้อนรับ นลิณากับเกตนิการ์นั่งแล้ววางถุงช็อปปิ้งที่เก้าอี้ว่างข้างๆ ตัวของแต่ละคน
“เอ้า...เป็นเด็กเสิร์ฟ เป็นบ๋อยเนี่ย เวลาลูกค้ามา เค้าต้องทำยังไงบ้างนะ” นลิณายียวน
อนามิกาไม่พอใจ แต่ก็พยายามนิ่ง “ซักครู่นะคะ เดี๋ยวเอาเมธาวีนูให้” อนามิกาเดินไป
เกตนิการ์กระซิบกับนลิณา “ไม่เรียกเด็กเสิร์ฟคนนั้นมาจิกใช้หน่อยล่ะ”
เกตนิการ์พยักเพยิดไปทางเมธาวี นลิณาหันไปมองตาม
“นี่...แม่เด็กเสิร์ฟคนนั้นน่ะ” นลิณาเรียก
เมธาวีหันมองซ้ายและขวาอย่างงงๆ ว่าเรียกใคร
“ฉันเรียกเธอนั่นแหละ มานี่หน่อยซิ”
เมธาวีค่อยๆ เดินเข้าไปหาด้วยท่าทางเกรงกลัวนลิณากับเกตนิการ์
“ช่วยเสิร์ฟน้ำมาให้ฉันก่อนได้มั้ย” นลิณาขอ
“ได้จ้ะ” เมธาวีถามเกตนิการ์ “เกตนิการ์ด้วยใช่มะ สองที่นะ”
นลิณาตวาด “เออ! เร็วสิยะ คนเพิ่งช็อปปิ้งมาเหนื่อยๆ”
เมธาวีลนลาน “จะ จ้ะๆ ซักครู่นะ”
เมธาวีรีบเดินไปซึ่งสวนกับอนามิกาที่เดินเข้ามายื่นเมนูสองเล่มให้กับทั้งสอง นลิณารับเมนูมาพลิกดูแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแกล้งทำเมนูหลุดมือหล่นไปที่พื้น ใกล้ๆ กับเท้าของตัวเอง
“อุ๊ย! หลุดมือ”
อนามิกายืนนิ่งไม่ขยับเพราะรู้ว่านลิณาจงใจจะแกล้ง
“ลูกค้าทำเมนูตกพื้น ก็ช่วยเก็บให้หน่อยสิจ๊ะ” เกตนิการ์พูด
อนามิกานิ่งและพยายามระงับความโกรธ ก่อนจะนั่งย่อก้มลงเก็บเมนู แต่นลิณาแกล้งเขี่ยเมนูอีกเล่มให้หล่นใส่ศีรษะของอนามิกา
“โอ๊ย!” อนามิการ้อง เธอลุกพรวดขึ้นมาอย่างโกรธจัดจนแทบจะคุมสติไม่อยู่
“ว๊าย! ฉันไม่ได้ตั้งใจ โทษทีนะ ก็บอกแล้วไงว่ามันหลุดมือ” นลิณาบอกแล้วอมยิ้มเยาะ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเวลาฉันเสิร์ฟอาหาร ก็ระวังฉันทำหลุดมือบ้างแล้วกัน” อนามิกาพูดเสียงแข็ง
“นี่! มากไปแล้วนะ เป็นเด็กเสิร์ฟ พูดลูกค้าอย่างงี้เหรอ”
อนามิกากัดฟันอดทนไม่ตอบโต้ นลิณายิ้มเยาะอีกแล้วหันไปพลิกดูเมนู
“ไหน..มีอาหารอะไรจะแนะนำมั้ย”
“แนะนำเหรอ...ได้! ฉันแนะนำให้เธอรีบสั่งอาหาร แล้วก็รีบกินๆ ซะ อย่ามาหาเรื่องฉันสองคนอีก”
“แล้วถ้าเพื่อนฉันไม่หยุดล่ะ” เกตนิการ์ถามกวน
“งั้น..ฉันคงต้องเตือนว่า ที่หลังครัวมีมีดหั่นผักหั่นเนื้อทุกขนาด และทุกคนในครัวก็เป็นพวกฉันทั้งนั้น เธอคิดผิดแล้วหละ ถ้าจะมาหาเรื่องฉันที่นี่” อนามิกาขู่
นลิณาสะดุ้งแต่ก็ยังทำฮึดฮัดอย่างไม่ยอมเสียฟอร์ม เกตนิการ์ปรามแล้วกระซิบกับนลิณา
“ฉันว่าเราสั่งอาหารเลยดีกว่า หิวแล้วน่ะ เธอก็หิวนี่ใช่มั้ย”
เกตนิการ์กับนลิณาก้มหน้าดูเมนูนิ่งๆ เพราะไม่กล้าหาเรื่องอนามิกาอีกแล้ว...
อนามิกาเข้ายืนคุยกับเมธาวีอยู่ในครัว พนิดายืนดูหน้าเตาและคนน้ำแกงในหม้อ
“โธ่เอ๊ย...นึกว่าจะแน่” อนามิกาบอก
“พวกนั้นหาเรื่องเราอีกหรือเปล่าพี่” เมธาวีถาม
“ไม่กล้าแล้วหละ แกไม่ต้องไปกลัวยัยสองคนนั่นเลยนะ ฉันขู่จนหงอคอหดไปแล้ว”
“มีอะไรเหรอ อนามิกา” พนิดาหันมาถาม
“อ๋อ! เปล่าค่ะเจ๊ ไม่มีอะไร” อนามิกาตอบ
“ไม่มีอะไรได้ไง ฉันได้ยินนะ เธอนินทาลูกค้าใช่มั้ย ฉันเคยบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าธุรกิจร้านอาหารเนี่ย เป็นงานบริการ...”
อนามิกาพูดขึ้นมาพร้อมๆ กับพนิดาเพราะเธอได้ยินบ่อยจนจำขึ้นใจ “เราต้องมีเซอร์วิส มายด์ บริการลูกค้าด้วยหัวใจ จำไว้ว่าลูกค้าคือพระเจ้า”
พนิดาหันไปแว้ดใส่อนามิกา “แล้วเธอจะพูดตามฉันทำไม๊”
“ก็ฟังเจ๊พูดทุกวันมาร่วมสองปีแล้ว ฉันรู้น่ะเจ๊ หรือจะให้ยัยเมธาวีทวนอีกรอบ”
พนิดาผลักศีรษะอนามิกาเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว
อนามิกากับเมธาวียกอาหารออกมาเสิร์ฟที่โต๊ะของนลิณากับเกตนิการ์ อนามิกาตีหน้ายักษ์ขู่นลิณา
“นี่เธอเสิร์ฟอาหารลูกค้าด้วยหน้าบูดๆ แบบนี้น่ะเหรอ” นลิณาถาม
“ก็ขึ้นกับว่าเสิร์ฟให้ลูกค้าระดับไหน” อนามิกาสวน
นลิณาตวาดกลับ “ว่าไงนะ”
“ใจเย็นก่อนนลิณา” เกตนิการ์ปรามเพื่อน “อืม...ฉันก็อยากรู้นะว่า อย่างเราสองคนเนี่ย เรียกว่าลูกค้าระดับไหน”
“ก็..ระดับที่มีเงินใช้ มีเงินช็อปปิ้งเหลือเฟือ ไม่ต้องมาเสิร์ฟอาหาร ล้างจาน ล้างส้วม อย่างคนบางคนหละมั้ง” นลิณาจิกกลับ
“ก็ถูก...เพราะคนระดับฉัน ยังต้องทำงานหาเงิน ไม่ใช่ว่าเกิดมาพ่อแม่รวยแล้วก็ใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ” อนามิกาสวน “แล้วไอ้ของแพงๆ ที่เธอช็อปปิ้งกันมาเนี่ย บอกตรงๆ รวยอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะ”
“ยังไงยะ รวยอย่างเดียวซื้อไม่ได้” นลิณาถาม
“ก็ต้องไม่รู้จักคิดด้วยน่ะสิ” อนามิกาบอก
นลิณาลุกพรวดขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว “แกว่าใครยะ”
“น่าน...ดูสิ ไม่รู้จักคิดจริงๆ ด้วย ขนาดฉันว่าใคร เธอยังไม่รู้อีกแฮะ”
“แก!” นลิณาตรงเข้ามาจะตบอนามิกา แต่เมธาวีรีบมาขวางไว้
“ใจเย็นๆ ก่อน อย่าทะเลาะกันเลยนะ เมธาวีขอหละ”
“ขอเหรอ...ด้ายยย...จัดให้!” นลิณาตบเมธาวีอย่างแรงจนตัวเอียง
“นี่เธอตบหน้ารุ่นน้องฉันเหรอ” อนามิกาโกรธ
“ใช่...แกก็จะโดนด้วย”
นลิณากระโจนเข้าไปตบหน้าอนามิกาฉาดใหญ่ อนามิกาหันมาตั้งหลักได้ก็ตบคืนแรงกว่าจนนลิณาเซ อนามิกาจะตามไปตบซ้ำแต่เกตนิการ์เข้ามาขวางไว้
“อยากโดนอีกคนใช่มั้ย” อนามิกาเงื้อมือขู่เกตนิการ์
เกตนิการ์ผงะแล้วก้าวถอยไปเพราะไม่กล้า อนามิกาเดินเข้าไปหานลิณา ทั้งสองยื้อยุดฉุดแขนกันไปมา ก่อนที่ทั้งหมดจะได้ยินเสียงพนิดาดังลั่นร้าน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
อนามิกาเห็นพนิดาเดินตรงเข้ามาก็รู้สึกตัวจึงรีบผละออกมา นลิณารีบใส่มารยา แกล้งเอามือกุมแก้มแล้วร้องออกมา
“โอ๊ย...ดูสิคะ เด็กเสิร์ฟคนนี้มันตบหน้าฉัน”
“แต่เค้าตบหน้าเมธาวีก่อน แล้วก็ตบหน้าฉันด้วยนะเจ๊” อนามิกาฟ้อง
“หุบปาก! เธอสองคนไปข้างหลังก่อนไป” พนิดาไล่แล้วหันมาพูดกับนลิณา “ขอโทษนะคะคุณ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะเนี่ย”
“มันสองคนรุมตบฉัน” นลิณาบอก
“ใครรุมเธอ มั่วแล้ว ให้คนอื่นในร้านเป็นพยานก็ได้” อนามิกาโกรธ
นลิณาพูดกับพนิดา “ถ้าไม่ลงโทษเด็กของคุณ ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ”
“โอ๊ย..ใจเย็นๆ ค่ะ อย่าเพิ่ง” พนิดาพยายามปราม
“ไม่ต้องกลัวเจ๊ เราสองคนไม่ผิด” อนามิกาบอก
พนิดาหันมาตวาด “ฉันบอกให้เข้าไปหลังร้าน ไป๊”
อนามิกากับเมธาวีจำต้องถอยเข้าหลังร้านไป พนิดาพยายามปลอบนลิณาให้เย็นลง
“เจ๊ขอ...นะคะ เราคนไทยเหมือนกัน ถ้าแจ้งตำรวจเดี๋ยวร้านเจ๊จะเดือดร้อน”
“ก็ได้...ฉันจะไม่เอาเรื่องอะไร ถ้าคุณรับปากว่าจะไล่มันออกไปซะ” นลิณาบอก
พนิดาได้ยินดังนั้นก็เริ่มอึดอัด นลิณา กระหยิ่มยิ้มย่องเพราะรู้ตัวว่าถือไพ่เหนือกว่า
อนามิกากับเมธาวียืนหน้าสลดอยู่ในครัว ทั้งสองก้มหน้าต่ำเพราะไม่กล้าสบตา พนิดายืนหน้านิ่งอยู่ตรงข้ามในใจของเจ้าของร้านอาหารหญิงยังเต็มไปด้วยความโกรธจัด ครู่ใหญ่พนิดาจึงเอ่ยออกมา
“ช่วยบอกฉันหน่อยซิ ว่าฉันจะทำยังไงกับเธอสองคนดี”
“แต่เค้าตบเราสองคนก่อนจริงๆ นะเจ๊ ถามยัยเมธาวีก็ได้” อนามิกาแก้ตัว
“ค่ะเจ๊ เราไม่ได้หาเรื่องเค้าก่อนเลยจริงๆ” เมธาวีหนุน
“ฉันไม่เชื่อ จู่ๆ เค้าจะมาตบเธอได้ไง ถ้าเธอไม่ได้ไปทำอะไรเค้าก่อนน่ะ” พนิดาเสียงกร้าว
“ก็ยัยสองคนนี้ เรียนที่เดียวกับเรา เค้าจ้องแต่จะหาเรื่องเราทุกที่อยู่แล้ว” อนามิกาบอก
“แต่ที่นี่เค้าเป็นลูกค้า เราเป็นเด็กเสิร์ฟ เราจะไปตบตีกับลูกค้าอย่างงั้นได้มั้ย ฉันพร่ำสอนเธอกี่ครั้งแล้วว่าลูกค้าคือพระเจ้า เคยฟังฉันบ้างมั้ย หา”
อนามิกากับเมธาวีได้ยินพนิดาขึ้นเสียงก็ได้แต่ยืนนิ่งหลบตา
“ฉันจะให้เธอสองคนทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้าย” พนิดาบอก
อนามิกากับเมธาวีตาโตด้วยความตกใจ “เจ๊”
“ขอร้องหละค่ะเจ๊ ถ้าไม่มีงานตรงนี้ เราสองคนจะเอาเงินที่ไหนใช้” อนามิกาเสียงอ่อน
“ใช่ค่ะเจ๊ อีกเดือนเดียวเราจะกลับเมืองไทยแล้ว ไม่งั้นเราจะเอาเงินที่ไหนซื้อตั๋วเครื่องบินกลับล่ะคะ” เมธาวีบอก
“ฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าพรุ่งนี้พวกเธอไม่ต้องมาแล้ว” พนิดายื่นคำขาด
อนามิกากับเมธาวีอึ้ง เมธาวีเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น อนามิกาเหลือบมองเพื่อนรุ่นน้องด้วยความเห็นใจ พนิดาจะเดินออกไป แต่อนามิการีบพุ่งเข้ามาขวางไว้
“เดี๋ยวก่อนเจ๊”
“อะไรอีกล่ะ ฉันบอกว่าฉันไล่เธอสองคนออกแล้วไง”
“ฉันรู้ เจ๊ไล่ฉันออกก็ได้ แต่เมธาวีมันไม่เกี่ยวนะเจ๊ ฉันเป็นคนมีเรื่อง เป็นคนไปตบกับเค้าเอง เจ๊ไล่ฉันออก แต่ให้เมธาวีมันอยู่ต่อนะเจ๊”
พนิดาเหลือบมองเมธาวีที่ยืนร้องไห้กระซิกๆ แล้วก็เริ่มใจอ่อนจึงหันมาถามอนามิกา
“จริงเหรอ ยัยเมธาวีไม่เกี่ยวข้องใช่มั้ย”
“ค่ะเจ๊ ฉันคนเดียวเต็มๆ เมธาวีมันไม่ได้ทำอะไร จะให้ฉันสาบานก็ได้ เจ๊ไล่ฉันออกคนเดียวพอนะ ฉันกราบหละเจ๊”
อนามิกาพนมมือจะเข้ามากราบที่ต้นแขนของพนิดา แต่พนิดาปรามไว้
“เออๆๆ พอ ฉันรู้แล้ว งั้นยัยเมธาวี”
เมธาวีรับคำด้วยเสียงสะอื้น “ขา..เจ๊”
“พรุ่งนี้เธอมาทำงานตามปกติ” พนิดาหันมาที่อนามิกา “ส่วนเธอ...”
อนามิกายิ้มรับ “ขา..เจ๊” เธอรอฟังเพราะนึกว่าจะได้ยินข่าวดี
“พรุ่งนี้ไม่ต้องมาแล้ว”
อนามิกาหุบยิ้มทันทีแล้วก็เริ่มกังวลว่าจะหาเงินจากไหน
อ่านต่อหน้า 4
โปรดติดตามอ่าน "แหม่มแก้มแดง" เต็มอิ่มจุใจ ไม่ตัดทอนย่นย่อ ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร ในเวลา 9.00 น., 12.00 น. และ 17.00 น.
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 1 (ต่อ)
นักศึกษาฝรั่งทั้งชายและหญิงเดินอยู่ภายในมหาวิทยาลัยศิลปะ อนามิกาเดินเร่งฝีเท้าก้าวแซงคนอื่นๆ มา สักพักณภัทรก็เร่งฝีเท้าเดินตามเธอมา ณภัทรพยายามคุยแต่อนามิกาพยายามเดินหนี
“เดี๋ยวสิอนามิกา ฟังฉันก่อน เธอต้องช่วยฉันนะ อย่าให้ฉันต้องกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงที่ฉันไม่ได้รักเลย”
“ปัญหาของนาย นายก็ไปแก้เอง เรื่องอะไรฉันจะต้องยอมเป็นเมียนาย” อนามิกาปัด
“โธ่...อนามิกา ก็แค่แกล้งๆ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเมียจริงๆ ซะหน่อย”
“ก็นั่นแหละ เรื่องอะไรฉันจะต้องแกล้งโกหกหลอกลวงคนอื่นเพื่อนายล่ะ”
“แต่ฉันไม่มีทางอื่นแล้ว เธอจะไม่สงสารฉันบ้างเลยเหรออนามิกา” ณภัทรอ้อนวอน
“ไม่!..ทำไมต้องสงสารนาย ในเมื่อตัวฉันเองก็เพิ่งถูกไล่ออกจากงาน ยังเอาตัวไม่รอดอยู่เนี่ย” อนามิกาบอก
อนามิกาเดินหนีณภัทรที่ยังเดินตามมาไม่ลดละมาถึงหน้าห้องสมุด
“เลิกเดินตามตื๊อฉันซะทีได้มั้ย ฉันอายเค้า” อนามิกาหันมาบอก
“จะอายทำไม เค้าฟังภาษาไทยไม่ออกหรอก นะ...ช่วยฉันเหอะ ช่วยเป็นเมียท้องสองเดือนให้ฉันที”
“นายมันบ้า มาเที่ยวเดินตามขอให้ฉันเป็นเมียท้องสองเดือนของนายเนี่ยนะ”
อนามิกาเดินหนีเข้าไปในห้องสมุด
“อนามิกา...เดี๋ยวสิ...รอด้วย”
นักศึกษาฝรั่งทั้งชายและหญิงกำลังนั่งอ่านหนังสือกันเงียบกริบอยู่ในห้องสมุด อนามิกาเดินเข้ามา ณภัทรยังคงเดินตามไม่ลดละ
อนามิกาพูดเสียงเบา “นี่! ฉันหนีเข้าห้องสมุดแล้ว นายก็ยังอุตส่าห์ตามมาอีกนะ”
“ฉันขอร้องหละ ถ้าเธอไม่ช่วย ฉันจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก ฉันจะต้องไม่มีความสุขไปจนถึงตอนแก่”
“ของนายน่ะตอนแก่ แต่ของฉันน่ะตอนนี้เลย ฉันเดี้ยงอยู่เนี่ย กระทั่งเงินจะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านยังไม่มี” อนามิกาพูดเบาๆ
“งั้นเอางี้มั้ยล่ะ ฉันจะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยให้เธอเอง” ณภัทรเสนอ
อนามิกาสนใจขึ้นมาทันที “นายว่าไงนะ”
“ฉันจะออกเงินให้ ถ้าเธอยอมแกล้งเป็นเมียที่ท้องสองเดือนของฉัน แค่หลอกตบตาพี่ณดลไม่กี่วัน แลกกับตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ เธอว่าคุ้มมั้ยล่ะ”
อนามิกาชักลังเล “เอ่อ...ก็...”
“งั้นฉันให้ค่าแรงเธอด้วย ให้เท่ากับที่เธอได้จากร้านอาหาร ตามจำนวนวันที่เธอต้องเล่นละครตบตาพี่ชายฉัน โอเคมั้ย?”
อนามิกายังลังเลอยู่ “เอ่อ...”
“งั้นฉันเพิ่มตั๋วเครื่องบินอีกใบเผื่อให้เมธาวีด้วย นะ..นึกว่าช่วยฉันเอาบุญเหอะ ฉันไหว้ก็ได้” ณภัทรยกมือไหว้
อนามิกาตัดสินใจตอบรับ “โอเคๆ ฉันตกลงแล้วก็ได้”
ณภัทรดีใจ “จริงๆ นะอนามิกา เธอรับปากแล้วนะ”
“เออ...ฉันรับปาก นี่เพราะคิดว่าช่วยยัยเมธาวีมันหรอกนะ แต่อย่าลืมล่ะ ตั๋วสองใบกับค่าแรงรายวัน”
“ได้” ณภัทรตะโกนเสียงดังด้วยความดีใจ “เยส...เยสๆๆ...วู้...เธอยอมเป็นเมียฉันแล้ว”
“ชู่วว...อีตาบ้า ไม่อายฝรั่งเค้ามั่งรึไง”
ณภัทรเพิ่งรู้ตัวพอหันไปก็เห็นทุกสายตาจ้องมองพร้อมทั้งยกนิ้วจุ๊ปากส่งเสียง “ชู่วว...” ใหเขาเงียบ ณภัทรยิ้มแหยๆ แล้วพยักหน้าขอโทษทุกคน
คลับ Men’s Club ของพายัพอยู่ในพื้นที่โครงการ The city avenue ของณดลเริ่มคึกคักตามเวลาที่เริ่มดึกลงเรื่อยๆ ธัญญา นักร้องสาวกำลังยืนร้องเพลงพร้อมกับส่งสายตาหยาดเยิ้มมาที่พายัพ พายัพส่งสายตาตอบกลับ พนักงานสาวสวยเดินนำณดลมายังโต๊ะของพายัพ
“อ้าว! ณดล นั่งสิ...นั่งก่อน” พายัพบอกพนักงาน “รีบหาอะไรมาให้คุณณดลดื่มสิ”
ณดลนั่งลง “ไม่เป็นไรครับพี่พายัพ ผมแค่แวะมานั่งเล่นซักครู่นึง เดี๋ยวผมต้องไปแล้ว”
“อ้าว..จะรีบไปไหนเหรอ”
“ไปหาเจ้าณณภัทร น้องชายผมที่ลอนดอนน่ะครับ”
“อ้าว..เหรอ แล้วกลับมาเมื่อไหร่ พี่ก็ว่าจะทำเช็คจ่ายค่าเช่าร้านเดือนนี้ให้”
“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ สำหรับพี่พายัพ ผมยืดหยุ่นให้ แต่ถ้าเป็นผู้เช่ารายอื่น ผมไม่ยอมนะครับ” ณดลบอก
“อืม..พี่รู้ ขอบใจมากนะ” พายัพหันไปส่งตาเยิ้มใส่ธัญญาอีก “ดูสิ นักร้องคนใหม่ ชื่อธัญญา เพิ่งย้ายมาจากที่อื่น ณดลว่าใช้ได้มั้ย”
ธัญญาส่งสายตาหวานและยิ้มทักทายณดล
“ก็สวยดีนี่ครับ” ณดลบอก
“สนใจมั้ย ถ้าสนใจพี่ยกให้” พายัพเสนอ
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ พี่พูดเหมือนกับเค้าเป็นสิ่งของที่จะยกให้กันง่ายๆ”
“ก็ไม่ได้ยากนี่ณดล อย่าเครียดกับชีวิตนักเลย พี่ไม่เคยเห็นณดลอยู่กับสาวๆ เลย นี่ถ้าไม่ได้สนิทกัน พี่คงคิดว่าณดลเป็นเกย์อะไรไปโน่น”
“ยังครับพี่ ผมยังชอบผู้หญิงอยู่ แต่ก็ยังอ่อนประสบการณ์ เทียบชั้นกับเพลย์บอยระดับเทพอย่างพี่พายัพไม่ได้”
“ก็นิดหน่อยน่ะ พี่เปิดคลับแบบนี้ บอกตามตรงว่า ถ้าพี่สนใจนักร้อง หรือเด็กในร้านคนไหน พี่ก็ปิดจ๊อบได้ทุกคน” พายัพคุย
“ก็พี่พายัพเป็นเจ้าของที่นี่ แถมยังหล่อ แล้วก็เสน่ห์แรง” ณดลชม
“แหม..ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ไอ้เรื่องความหล่อเนี่ย พี่จะเอาอะไรไปสู้ณดลได้”
ธัญญาร้องเพลงจบ พายัพปรบมือให้แล้วมองธัญญาด้วยสายตาเจ้าชู้เหมือนเสือหนุ่มมองเหยื่อสาว
พายัพพูดกับณดล แต่สายตายังจับจ้องไปที่ธัญญา “งั้นคนนี้...พี่เช็คบิลเอง”
อัทธวุธหอบเสื้อผ้าพะรุงพะรังมีทั้งที่อยู่ในถุงช็อปปิ้งใบโต และที่เขาใช้สองแขนหอบไว้ เขาเดินเข้ามาเจออนามิกาและเมธาวีกำลังนั่งอยู่ในบ้านของตัวเอง
“อ้าว..กลับกันมาแล้วเหรอยะ” อัทธวุธทัก
“พี่อัทธวุธ นั่นหอบอะไรกลับมาน่ะ” เมธาวีถาม
“ก็งานเรียนของฉันน่ะสิยะ แอบหมกๆ เอาไว้ พอเรียนจบก็ต้องขนกลับมาสิ” อัทธวุธวางโครมลงกับพื้นทันที “สองปี กับการเรียนแฟชั่นดีไซน์...นี่คือคอลเลคชั่นงานออกแบบสุดเฟี้ยวของฉันเอง”
อนามิกากับเมธาวีรื้อกองเสื้อผ้าออกมาดู ทั้งสองชื่นชอบผลงานของอัทธวุธไม่น้อย
“โห...นี่เยอะขนาดกลับเมืองไทยไปเปิดร้านได้เลยนะ” เมธาวีบอก
“นังอัทธวุธมันก็กะจะกลับไปเปิดร้านอยู่แล้วนี่” อนามิการื้อดูชุดต่างๆ “มีเก๋ๆ หลายชุดเลย
นะเนี่ย” อนามิกายกชุดกระโปรงขึ้นอวดเมธาวี “ชุดนี้ถ้าแกใส่ต้องเริ่ดแน่ๆ เลยเมธาวี”
“งั้นเอางี้มั้ยล่ะยะสาวๆ” อัธวุธเดินด้วยลีลาเหมือนกำลังพรีเซนต์งาน “ปาร์ตี้ฉลองเรียนจบคืนนี้ที่บ้านอีตาณภัทร...ฉันจะให้พวกชะนี...เอ๊ย! ให้พวกหล่อนได้ลองสวมใส่ชุดเริ่ดๆ พวกนี้”
“ใส่ไปบ้านนายณภัทรเนี่ยนะ” อนามิกาถาม
“ย่ะ! ฉันจะเนรมิตรให้บ้านนายณภัทร เป็นงานลอนดอนแฟชั่นวีคไปซะเลย พวกแกว่าน่าสนุกมั้ยล่ะ?”
อนามิกากับเมธาวีนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็หันมายิ้มให้กันอย่างเห็นด้วย
พายัพนั่งดื่มอยู่คนเดียวในผับของตัวเองเพราะเป็นเวลาที่คลับปิดให้บริการแล้ว พนักงานชายกำลังทำความสะอาดร้าน พนักงานเสิร์ฟสาวสวยเดินมายกมือไหว้ลาพายัพเพื่อกลับบ้าน พายัพยกมือตอบ แล้วหันไปสายตาของเขาก็สะดุดกับธัญญาที่เดินเข้ามาหา แล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ขอบพระคุณมากนะคะคุณพายัพ”
“ขอบคุณผมเรื่องอะไร” พายัพถาม
“ก็ขอบคุณที่รับธัญญาเป็นนักร้องที่นี่น่ะสิคะ”
“ไม่เป็นไร” พายัพใช้สายตามองสำรวจทั้งใบหน้าและเรือนร่าง “แล้วนี่เดี๋ยวกลับบ้านยังไง ให้ผมไปส่งมั้ย”
“อย่าลำบากเลยค่ะ ฉันไม่กล้ารบกวนคุณพายัพหรอก”
“ที่ไม่กล้าให้ไปส่งบ้าน เพราะมีหนุ่มเฝ้าบ้านอยู่มากกว่าละมั้ง”
“ไม่ใช่อย่างงั้นค่ะ ฉันอยู่คนเดียว อ้อ! อันที่จริง กำลังจะมีน้องสาวมาอยู่ด้วยน่ะค่ะ”
“แล้วน้องสาวคุณ สวย...เซ็กซี่อย่างคุณหรือเปล่า”
“สวยกว่าฉันเยอะเลยหละค่ะ เค้าเพิ่งเรียนจบ กำลังจะกลับจากลอนดอน”
“โอ้โห..สวยกว่าคุณด้วย แถมเป็นนักเรียนนอกด้วย”
“ค่ะ เอาไว้จะพามาไหว้คุณพายัพ แล้วก็แนะนำให้รู้จักนะคะ ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้านก่อนหละค่ะ สวัสดีค่ะ” ธัญญายกมือไหว้แล้วเดินไปทันที
พายัพยกเหล้าขึ้นจิบแล้วใช้สายตามองเรือนร่างของธัญญาที่กำลังเดินไปด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ย
“พี่สาวยังขนาดนี้ แล้วน้องสาวจะขนาดไหนนะ”
อนามิกาสวมชุดกระโปรงที่อัทธวุธออกแบบมายืนอยู่หน้าประตูบ้านของณภัทร ในวงแขนของเธอโอบถุงกระดาษที่มีขวดแชมเปญอยู่ 3 ขวด สักพักณภัทรก็เปิดประตูออกมา พอเห็นอนามิกาก็ตกตะลึงเพราะแปลกตา
“โห...แต่งตัวมาซะเต็มที่เลย”
“ชุดของนังอัทธวุธน่ะ ลองเอามาแต่งเล่นๆ กัน” อนามิกาบอก
“โห..มีแชมเปญมาด้วย” ณภัทรรับถุงแชมเปญมา “แล้วอัทธวุธกับเมธาวีล่ะ”
“แวะซื้อของกิน เดี๋ยวตามมา”
“ถ้างั้นก็...เวลคัมโฮม ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะจ๊ะ ภรรยาท้องสองเดือนของฉัน” พูดจบณภัทรก็โดนอนามิกาเขกหัวทันที “โอ๊ย!”
“อย่ามาทะลึ่งพูดเล่นแบบนี้นะ ฉันอุตส่าห์รับปากจะช่วย แล้วมาล้อเลียนกันแบบนี้เหรอ” อนามิกาทำหน้าดุและท่าทางซีเรียส
ณภัทรยิ้มแหยๆ “ขอโทษ..ฉันขอโทษจริงๆ ทีหลังจะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว”
อนามิกากับณภัทรหยิบขวดแชมเปญใส่ในถังแช่ พร้อมหยิบแก้วแชมเปญสี่ใบมาจัดวาง ทั้งสองช่วยกันจัดโต๊ะแล้วพูดคุยกันไปด้วย
อนามิกาบ่นออกมา “นังอัทธวุธนะนังอัทธวุธ ตั้งสามขวด ไม่รู้จะซื้อมากิน หรือซื้อมาอาบ” อนามิกาหันไปพูดกับณภัทร “แล้วนี่ฉันจะต้องทำยังไงบ้าง”
“อันดับแรกนะอนามิกา เธอก็จะต้องขนเสื้อผ้าย้ายมาอยู่กับฉันที่นี่” ณภัทรบอก
อนามิการ้องเสียงหลง “เฮ้ย...นายจะบ้าเหรอ ให้มาอยู่กับนายสองคนเนี่ยนะ”
“ก็ถ้าไม่ย้ายมา พี่ณดลเค้าก็จับได้สิ ว่าเธอไม่ใช่เมียของฉันจริงๆ”
“แต่ฉันเป็นผู้หญิงนะ จะให้มานอนค้างที่บ้านนายได้ยังไง”
“แล้วถ้านอนคนละบ้าน ใครเค้าจะไปเชื่อว่าเราเป็นสามีภรรยากันล่ะ”
“จริงด้วยสินะ” อนามิกามีสีหน้าหนักใจ “ก็นายเล่นเดินตามตื๊อกดดันจนฉันเผลอรับปาก ลืมคิดไปเลย..หยึ๋ย..นี่ฉันต้องย้ายมานอนค้างที่นี่กับนายเนี่ยนะ”
“ใช่...ไป...เราเข้าไปในห้องนอนกัน” อนามิกาเขกหัวณภัทรอีกที “โอ๊ย!” ณภัทรกุมหน้าผากแล้วบ่น
“เธอจะเขกหัวฉันทำไมเนี่ย”
“ยังไม่รู้ตัวอีก พูดมาได้ไง จู่ๆ ชวนฉันเข้าห้องนอนเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่อย่างง้าน...เฮ้อ! ไว้ใจฉันหน่อยได้มั้ยอนามิกา ฉันเป็นเพื่อนเธอนะ ฉันไม่คิดจะฉวยโอกาส หรือล่วงเกินเธอหรอกนะ ขอร้องหละ ช่วยไว้ใจกันนิดนึง”
อนามิกาเหล่มองณภัทรอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
ณภัทรเดินนำเข้ามาในห้องนอนที่มืดสนิท เขากดสวิทซ์เปิดไฟแล้วเดินพูดโดยไม่หันไปมองว่าอนามิกายังคงเกาะอยู่ที่ขอบประตูเพราะไม่กล้าเข้าไป
“ห้องนี้หละ ที่เราต้องค้างคืนด้วยกันตลอดเวลาที่พี่ณดลมาอยู่นี่ แต่เธอสบายใจได้นะ” ณภัทรหยิบหมอนข้างวางกลางเตียง “เราจะวางหมอนข้างคั่นกลางไว้”
“ถ้าอยากให้ฉันสบายใจจริงๆ ละก็...” อนามิกาหยิบหมอนหนุนศีรษะใบหนึ่งโยนไปที่โซฟาตัวเล็กๆ ในห้อง “นายไปนอนโซฟาตรงโน้น แล้วให้ฉันนอนตรงนี้” อนามิกาชี้ที่เตียง
“เอางั้นก็ได้...ไม่มีปัญหา งั้นตามนี้นะ”
ทันใดนั้นเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ณภัทรกับอนามิกาหันไปตามเสียง
“เมธาวีกับอัทธวุธคงมาแล้วมั้ง เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูเอง” ณภัทรเดินออกไปจากห้อง
อนามิกาทิ้งตัวนั่งบนเตียงอย่างหนักใจ
“นี่ฉันจะต้องมานอนค้างคืนที่นี่จริงๆ เรอะ...เฮ่อ”
ณภัทรเดินมาเปิดประตู อัทธวุธชูถุงใส่ของกินเต็มสองมือซึ่งเป็นของทานเล่นที่เขาซื้อมาเป็นกับแกล้มให้ณภัทรดู
“มาแล้วจ้า...ฉันซื้อของกินมาเพียบเลย”
อัทธวุธเดินตรงเข้าไปในบ้าน ณภัทรหันไปถามอัทธวุธ
“แล้วเมธาวีล่ะ” รภัทรถามแล้วหันกลับมาที่หน้าประตูก่อนจะตาโตด้วยความตะลึง
ณภัทรเห็นเมธาวีแต่งชุดสวยยืนเขินอยู่ที่หน้าประตู เขาถึงกับนิ่ง ตาค้างจ้องมองเมธาวีไม่ละสายตา เมธาวีชักอึดอัดที่ณภัทรเอาแต่จ้องมองตน เธอเริ่มเอามือจับสำรวจตัวเองอย่างไม่มั่นใจ
“มะ มีอะไรเหรอณภัทร”
“เมธาวี..สวยจังวันนี้” ณภัทรชม
เมธาวียิ่งเขินมากขึ้นและไม่รู้จะเอามือไปไว้ที่ไหน เธอยืนบิดอยู่ครู่ใหญ่ พอเขินจนทนไม่ไหวก็รีบเดินพุ่งเข้าไปในบ้าน แต่กลับชนไหล่ณภัทรจนเซ ณภัทรมองตามอย่างงงๆ
แก้วแชมเปญสี่ใบถูกยกขึ้นมาชนกันกลางอากาศ ตามด้วยเสียงของทุกคนที่เปล่งออกมาด้วยความยินดี
“เอ้า..โชน”
ทุกคนลดแก้วลงมาชูไว้ข้างหน้าตน
“แด่พวกเราทุกคนที่เรียนจบ สำเร็จการศึกษา” อัทธวุธกล่าว
“แด่พวกเราที่จะได้กลับบ้านที่เมืองไทย” เมธาวีพูด
“แด่ความเป็นเพื่อนรักของพวกเรา” อนามิกาบอก
“แด่ชีวิตคู่ฉันท์สามีภรรยาของฉันกับอนามิกา” ณภัทรพูดแล้วก็โดนอนามิกาตีที่ไหล่ไม่ยั้ง “โอ๊ย!”
“นี่แน่ะๆๆ เพิ่งจะบอกไปหยกๆ ว่าอย่าพูดล้อฉันเล่นแบบนี้” อนามิกาตีไม่หยุด
“ก็จริงนี่นา โอ๊ย...โอ๊ย..พอแล้ว ไม่พูดแล้วจ้า”
อัทธวุธกับเมธาวีหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข
“หยุด...หยุด! หยุดตีกันก่อนได้มั้ย ผัวเมียคู่นี้” อัทธวุธแซว
“นังอัทธวุธ แกก็อีกคนนะ” อนามิกาหันมาดุแล้วก็ตีไหล่อัทธวุธอีกคน ทุกคนหัวเราะร่วน
“เอาหละ...ขอชนแก้วอีกที” อนามิกาบอก
ทุกคนชูแก้วขึ้นมา
“ขอให้พวกเราทุกคนมีความสุข สนุกสนาน และเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป” อนามิกากล่าว
“เอ้า...โชน” ทุกคนพูดพร้อมกัน
ทุกคนชนแก้วแล้วยกดื่มรวดเดียวจนหมด อัทธวุธยกขวดแชมเปญจากถังแช่มารินเติมให้ทุกคนทันที
“เอาอีกเหรอพี่อัทธวุธ” เมธาวีถาม
“โถ...เพิ่งหมดไปขวดเดียว ยังเหลืออีกตั้งสอง เร็วๆๆ คืนนี้ ไม่หมดไม่เลิกนะยะ” อัทธวุธบอก
ทุกคนเริ่มเมาได้ที่ทั้งยิ้มแย้มและสนุกสนานเฮฮาเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
ท้องฟ้ายามค่ำคืนของกรุงลอนดอนเงียบสงบ ถนนในเวลานี้ก็เวิ้งว้างร้างผู้คน โคมไฟริมถนน และแผ่นกระดาษปลิวขึ้นมาที่พื้นฟุตบาธ
ขวดแชมเปญที่หมดแล้วทั้งสามขวดวางนอนอยู่บนโต๊ะ ส่วนอาหารบนโต๊ะก็แทบจะหมดไปเกือบทุกอย่าง เศษกระดาษเช็ดปาก และแก้วแชมเปญวางล้มนอนอยู่เกลื่อนโต๊ะ ณภัทรนอนหลับพิงเก้าอี้ในสภาพเมามาย ขาพาดที่เก้าอี้อีกตัว ส่วนอัทธวุธนอนอ้าปากหมดสภาพอยู่กับพื้น
เมธาวีนอนขดหลับอยู่บนโซฟา ส่วนอนามิกากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาโดยที่ในมือยังถือแก้วแชมเปญที่เอียงกระเท่เร่อยู่ แก้วแชมเปญจวนจะหลุดจากมือ อนามิกาขยับตัวแล้วลืมตาตื่น
“เอ้า...โชน... อ้าวว...น็อกกันไปหมดแล้วเหรอ” อนามิกาเสียงเมาได้ที่ เธอขยับจะลุกขึ้น แต่ลุกไม่ไหว “โอย...ปวดหัวชะมัดเลย ไม่น่าดวลกับนังอัทธวุธเล๊ย”
อนามิกาวางแก้วแชมเปญไว้ที่โต๊ะข้างโซฟาแล้วหลับตานอนต่ออย่างหมดสภาพไม่ต่างจากเพื่อนๆ
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าของกรุงลอนดอน สะพานทาวเวอร์ บริดจ์ แม่น้ำเทมส์ ลอนดอน อาย และบิ๊กเบนถูกแสงยามเช้าจับไล้จนงดงาม ถนนยามเช้าในลอนดอนมีผู้คนที่เริ่มออกมาเดินและเตรียมตัวเดินทางไปทำงาน
อนามิกาและเมธาวียังคงนอนสลบไสลหมดสภาพจากฤทธิ์ของแชมเปญ ศีรษะของเมธาวี นอนพาดตักของอนามิกาที่กำลังนอนพิงโซฟา สักพักก็มีเสียงกริ่งดังที่หน้าบ้าน เสียงกริ่งดังอยู่หลายทีก่อนที่อนามิกาจะรู้สึกตัว เธอสะดุ้งเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมา เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านยังดังย้ำอีกครั้ง
อนามิกาค่อยๆ หยีตามองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงงัวเงีย “ใครช่วยไปเปิดประตูที”
เสียงกริ่งดังถี่ขึ้น
อนามิกายกศีรษะขึ้นชะเง้อมองเพื่อนๆ “ไม่มีใครตื่นเลยเหรอ”
อนามิกาค่อยๆ หลับตาลงต่อแต่เสียงกริ่งยังดังย้ำและถี่ขึ้นเรื่อยๆ อนามิกาจำใจตื่นขึ้น เธอขยับศีรษะของเมธาวีที่พาดบนตักออกไป
“โอย...จะกดไปไหน รู้แล้ว...รู้แล้ว”
อนามิกาลุกขึ้นในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งงัวเงียและยังไม่หายแฮงค์ โอเวอร์
อนามิกาเดินมาที่หน้าประตู ขณะที่เสียงกริ่งยังดังถี่เหมือนกับคนกดกริ่งกำลังคลุ้มคลั่ง
“เอ๊า...กดเข้าไป” อนามิกาบ่น “เกิดมาไม่เคยกดกริ่งหรือไง จะมาติดต่อธุระ หรือจะมาแจ้งไฟไหม้ มาแล้ว...มาแล้ว”
อนามิกาเปิดประตูออกไปก็เห็นณดลยืนหน้าเครียดอยู่ เขามีท่าทางอารมณ์เสียที่ยืนรออยู่นานที่หน้าประตู
“อ้าว! คนไทยนี่ มีธุระอะไรเหรอคะ” อนามิกาถาม
ณดลจ้องหน้าอนามิกาแบบสำรวจและพิจารณา
“มองอะไร” อนามิกาถาม “คุณกดกริ่งซะบ้านจะแตกแล้วจะมามองหน้าฉันอีก”
ณดลไม่ตอบอะไร เขาหันไปเลื่อนกระเป๋าเดินทางใบโตมา
“อ๋อ...เป็นเซลล์แมน ขายอะไรน่ะเรา มีอะไรในกระเป๋าเหรอ”
“ก็มีเสื้อผ้าของฉันน่ะสิ” ณดลบอก
“เสื้อผ้า...กระเป๋าเดินทาง” อนามิกาชักเอะใจ “นี่...คุณ”
“ฉันชื่อ ณดล เธอคือ...”
ณดลไม่ทันพูดจบ อนามิกาก็ปิดประตูใส่หน้าเขาดังโครม แล้วหันด้วยสีหน้ามาช็อก ส่วนณดลก็ผงะเพราะประตูถูกปิดอย่างเร็วจนแทบจะชนจมูกของเขา
“ณ...ณดล” อนามิกาหน้าแหย “ตายแล้ววว!”
อนามิกาวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในบ้าน เธอร้องอย่างลนลานด้วยความตกใจก่อนจะตรงไปเขย่าตัวปลุกณภัทรเป็นคนแรก
“ณภัทร พี่ชายนายมาน่ะ”
ณภัทรยังไม่ขยับ อนามิกาหันไปเขย่าอัทธวุธที่นอนอยู่กับพื้น
“ตื่นเร็ว..ลุกๆๆ ลุกขึ้นเร็ว พี่ชายนายณภัทรมาแล้ว” อนามิกาวิ่งไปปลุกเมธาวีที่โซฟา “ยัยเมธาวี..ตื่นๆๆ”
อนามิกาวิ่งมาเขย่าณภัทรแรงจนตัวโยน
“เป็นอะไร...เกิดอะไรขึ้น” ณภัทรงัวเงียตื่นขึ้นมา
“พี่ชายนายยืนอยู่ที่หน้าประตู!” อนามิกาบอก
ณภัทรพูดด้วยเสียงง่วงๆ “อืม...ใครก็ไปเปิดประตูให้เค้าสิ” ณภัทรจะเอนตัวลงไปนอนต่อแล้วก็ตาเหลือกแหกปากร้องลั่น “หา! พี่ณดลมา”
ณภัทรกระโดดผล็อยตรงไปเขย่าตัวอัทธวุธ
“เฮ้ย..ตื่น..ตื่น พี่ชายฉันมา”
“เฮ้ย...จริงดิ พี่โหดแกมาแล้วเนี่ยนะ...ว๊าย” อัธวุธเด้งขึ้นมาทันที
เมธาวีเดินงัวเงียมา “ทำไงดีล่ะ มีอะไรให้ช่วยมั้ยณภัทร”
ณภัทรชี้ที่โต๊ะอาหาร “เมธาวีช่วยเก็บโต๊ะทีนะ ขวดแชมเปญพวกนี้เอาไปแอบให้หมด”
“ได้ๆๆ”
ทันใดนั้นเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังย้ำขึ้นหลายครั้ง ณภัทรกับอนามิกาสะดุ้งโหยง แล้วหันมามองหน้ากันเพราะต่างคนก็ลนลานพอกัน
“เอาไงดีล่ะณภัทร” อนามิกาถาม
“จะเอาไงล่ะ เธอก็ต้องรีบแกล้งเป็นเมียท้องสองเดือนของฉันน่ะสิ” ณภัทรบอก
“งั้นเรามาลองมาซักซ้อมกันให้เนียนๆ ก่อนมั้ย”
“ไม่มีเวลาแล้ว...มานี่” ณภัทรดึงข้อมืออนามิกาไปทางหน้าประตู
อัทธวุธกับเมธาวีมองตามอย่างอกสั่นขวัญแขวน
“ตายแน่...ทั้งนายณภัทร ทั้งพี่อนามิกา..งานนี้ ไม่รอดแน่ๆ” เมธาวีเสียวไส้
ณดลรอนานก็ยิ่งหัวเสียมากขึ้น เขากดกริ่งย้ำๆ อย่างเดือดดาล
“มัวทำอะไรอยู่...มาเปิดประตูซะทีสิ อย่าบอกนะว่าคนเมื่อกี้คือเมียไอ้ภัทร”
ประตูเปิดออกมา ณดลมองไปก็เห็นณภัทรกับอนามิกายืนยิ้มอยู่เคียงข้างกัน
“เมื่อกี้เธอเป็นอะไรน่ะ ทำไมต้องปิดประตูใส่หน้าฉันแบบนั้นด้วย” ณดลถามด้วยความโกรธ
จากหน้ายิ้มอนามิกาเปลี่ยนเป็นหน้าเสีย ณภัทรเหลือบมองหน้าอนามิกา แล้วรีบแก้สถานการณ์
“ใจเย็นๆ ก่อนพี่ณดล เดี๋ยวผมขอแนะนำก่อน อนามิกา นี่พี่ณดล พี่ชายผมเอง”
อนามิกายิ้มแบบใจดีสู้เสือ แล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะพี่ณดล”
ณดลตอบแบบขอไปที “หวัดดี”
“พี่ณดล นี่อนามิกา...ภรรยาผมเอง”
พอได้ยินคำว่าภรรยา ณดลก็ถลึงตาจ้องหน้าอนามิกาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
อนามิกาจ้องตอบสักพักแล้วก็ต้องลดสายตาลงต่ำเพราะไม่สามารถสู้สายตาเพชฌาตของณดลได้ ณภัทรเหลือบมองอนามิกาอย่างเห็นใจ เพราะตัวเองก็กลัวเหมือนกัน
ส่วนณดลยังคงจ้องมองอนามิกาอย่างไม่ยอมรับในตัวของเธอ
อ่านต่อตอนที่ 2