แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 4
ณดลมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงทางเดินที่อยู่ไกลออกมา มือหนึ่งของเขายังกุมที่ริมฝีปาก ครู่หนึ่ง อนามิกาเดินถือขวดน้ำเปล่ากับถุงยาที่มีสำลีและแอลกอฮอล์เช็ดแผลเข้ามาหา
“มาแล้วค่ะ ชุด First aid ปฐมพยาบาล เอ้า! แล้วนี่ น้ำ” อนามิกายื่นขวดน้ำให้
ณดลเอามือที่กุมริมฝีปากออก ทำให้อนามิกาเห็นว่าตรงมุมริมฝีปากมีแผลแตก เลือดซึมอยู่ พอณดลรับขวดน้ำได้ เขาก็ยกกระดกทันที
“เฮ้ย! ให้ล้างแผล ไม่ใช่ให้กิน” อนามิกาบอก
“อ้าว...แล้วก็ไม่บอก” ณดลทำท่าจะเทน้ำราดแผลที่ริมฝีปาก
“ไม่ต้องแล้ว...ไม่ต้องแล้ว”
“ยังไงของเธอกันแน่เนี่ย”
“ก็พี่กินน้ำจากปากขวดไปแล้ว ขืนเอามาล้างแผล เดี๋ยวก็บาดทะยักกินพอดี”
ณดลชักสีหน้าด้วยความฉุนแล้วเหล่มองหน้าอนามิกา อนามิกาใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ กดเข้าไปที่แผลตรงริมฝีปากของณดล
“ว่าฉันสกปรกเหรอ โอ๊ย!นี่จะทำแผล หรือจะฆ่าให้ตายกันแน่” ณดลโวยวาย
“โอ๊ย! เป็นผู้ชายประสาอะไร แค่นี้ก็ทนเอาหน่อยน่า”
อนามิกาจะกดสำลีไปที่แผลอีกครั้ง แต่ณดลรีบจับมืออนามิกาไว้ ทั้งสองอึ้งแล้วมองตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่างคนต่างหลบตาแล้วค่อยๆ ปล่อยมือออกจากกัน
นลิณากับเกตนิการ์ซุ่มดูทั้งคู่อยู่ห่างออกไป
“อุ๊ย...มีจับมือกันด้วยแฮะนีน่า” เกตนิการ์บอก
นลิณาฉุน “มันทำบุญด้วยอะไรนะ ผลักมันตกบันได มันก็ล้มไปจุ๊บคุณณดล พอจ้างคนมาทำให้มันแท้ง ก็ดั๊น...ได้กุมมือคุณณดลอีก โอ๊ย...อยากจะออกไปตบมันหายแค้น”
นลิณาจะโผออกไปแต่เกตนิการ์ก็รีบรั้งไว้อีก
“นลิณา...มีสติหน่อยสิจ๊ะ เราอย่าออกไปจะปลอดภัยกว่า นะ..ไปจากที่นี่ดีกว่า ไปเดินเล่นแก้เครียดที่อื่นกัน คิดซะว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรา”
นลิณาเริ่มมีสติขึ้น แต่สีหน้าของเธอก็ยังเคืองแค้นอนามิกา
ณภัทรกับเมธาวีเดินอยู่บริเวณที่มีร้านขายของเก๋ๆในย่าน Covent garden ผู้คนมากมายเดินกันพลุกพล่าน ณภัทรยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วหันไปพูดกับเมธาวีที่เดินตามมา
“เร็ว...เม เราเลทมากแล้ว ขืนให้พี่ณดลรอนานหละเป็นเรื่องแน่”
“รู้แล้วๆ ทำไมนายถึงต้องกลัวพี่ชายมากขนาดนี้เนี่ยภัทร”
“ยังจะต้องถามอีกเหรอ เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่ณดลเป็นคนยังไง”
ณภัทรเดินเร่งฝีเท้านำมา เมธาวีพยายามเร่งตามแต่กลับสะดุดจนเซถลามา ณภัทรหันไปเห็นก็รีบประคองรับไว้ ณภัทรประคองเมธาวีไว้จนเหมือนว่าทั้งสองกำลังตระกองกอดกัน
ทันใดนั้น นลิณากับเกตนิการ์เดินมาด้วยกันที่มุมหนึ่งของย่านนั้น
“ดีเหมือนกัน เดินช็อปปิ้งคลายเครียด” นลิณาบอก “เวลาเซ็งๆ อย่างงี้ถ้าได้ใช้ตังค์ซะหน่อยคงจะสบายใจขึ้น” นลิณาหันหน้าไปแล้วก็ชะงักตาโต
นลิณาเห็นณภัทรกำลังตระกองกอดเมธาวีอยู่ เธอรีบสะกิดให้เกตนิการ์มองตามไป เมธาวีกับณภัทรยังประสานสายตามองกันอย่างเขินๆ สักพักทั้งสองจึงผละออกจากกัน ก่อนจะเดินเขินๆ ตามกันไป
เกตนิการ์กับนลิณามองตามไปอย่างงงๆ
“อะไรเนี่ย เมื่อกี้เพิ่งเห็นยัยอนามิกาจับมือคุณณดล แล้วนี่ยังมาเจอยัยเมธาวีกอดกับนายณภัทรอีก ยัยสองคนนี้มันไวไฟด้วยกันทั้งคู่เลยนะ” เกตนิการ์ว่า
“นั่นสิ ตกลงเราจะไว้ใจนังพวกนี้ไม่ได้เลยซักคนใช่มั้ยเนี่ย” นลิณาไม่พอใจ
ณดลกับอนามิกามารอณภัทรกับเมธาวีอยู่ที่จุดนัดพบบริเวณ Covent garden
“เธอแน่ใจนะว่า นัดไอ้ณภัทรกับเพื่อนเธอไว้ตรงนี้” ณดลถาม
“แน่ใจสิคะ คุณถามฉันรอบที่สามแล้ว เอางี้! ถ้ารีบนัก คุณก็กลับไปก่อน” อนามิกาบอก
“กลับยังไงล่ะ ฉันไม่ใช่คนแถวนี้ นี่ลอนดอนนะไม่ใช่กรุงเทพฯ”
“กลัวหลง ว่างั้น...” อนามิกาหันไปเห็น “นั่นไง มากันแล้ว”
ณภัทรกับเมธาวีเดินกระหืดกระหอบเดินมา
“โทษทีพี่ รอนานมั้ย...” ณภัทรพูด พอเห็นหน้าณดลเขาก็ตกใจ “เฮ้ย! พี่โดนอะไรมาน่ะ”
“ก็...เกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ณดลตอบ
“ไม่มีอะไรได้ไงพี่” เมธาวีสะกิดถามอนามิกา “เกิดอะไรขึ้นเหรอแก”
“คือ..ฉันกำลังถ่ายรูปให้คุณณดล” อนามิกาเล่า “แล้วก็มีโจรวิ่งเข้ามาแย่งเอากล้องไป ฉันเลยวิ่งไล่ตาม แล้วสุดท้าย” อนามิกาชี้ที่กล้องในมือณดล “ฉันก็แย่งกลับคืนมาได้”
“เฮ้ย...จริงดิ” เมธาวีตกใจรีบแตะเนื้อตัวอนามิกา สำรวจว่าโดนทำร้ายหรือเปล่า “แล้วพี่อะนาเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล๊า...ถึงมันจะเป็นฝรั่งตัวใหญ่ๆ แล้วถือมีดด้วยนะ แต่ก็ไม่ระคายผิวฉัน เอ่อ...แต่สำหรับรายนั้น” อนามิกาพยักหน้าไปทางณดล “โดนเต็มๆ”
“โห..ซูเปอร์เกิร์ลมากๆ เลยอะนา เสี่ยงตายเอากล้องคืนมาได้ สุดยอดอ้ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะ” ณภัทรพูด
ณดลโพล่งขึ้นเสียงดังอย่างหัวเสีย “ขอบคุณทำไม มีอะไรต้องขอบคุณ”
ทุกคนหันขวับมาที่ณดล ณภัทรกับเมธาวีงงว่าทำไมณดลถึงพูดอย่างนั้น ขณะที่อนามิกาก็ฉุนกึ้กขึ้นมาทันที
“อ้าวววว.....แล้วที่ฉันอุตส่าห์วิ่งหน้าตั้ง เสี่ยงตายไปเอากล้องคืนให้คุณล่ะ”
“แล้วใครใช้ให้เธอวิ่งตามไป” ณดลสวน
“เอ๊า...นี่ไม่รู้จักขอบคุณ แล้วยังมาพูดแบบนี้อีก”
“ก็จริงมั้ยล่ะ แค่กล้องถ่ายรูป ฉันมีปัญญาซื้อใหม่ได้ แต่เธอกลับคิดสั้นเอาชีวิตของเธอกับลูกในท้องไปเสี่ยงโง่ๆ แบบนั้น เธอคิดว่ามันคุ้มงั้นเหรอ”
“แต่สุดท้ายฉันก็เอากล้องกลับคืนมาได้แหละน่ะ” อนามิกาบอก
“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ..หา?! ชีวิตเธอกับหลานฉันมีค่าแค่กล้องตัวเดียวงั้นเหรอ”
อนามิกาเซ็ง “ไรเนี่ย...กลายเป็นทำคุณบูชาโทษซะงั้น รู้งี้อยู่เฉยๆ ดีกว่า”
ณดลพูดใส่หน้าอนามิกา “ก็ใช่น่ะสิ อยู่เฉยๆ มันดีกว่าอยู่แล้ว หัดอยู่เฉยๆ ซะมั่ง เธอกำลังท้อง ดันไปวิ่งไล่จับโจรแบบนั้นได้ไง รู้จักใช้สมองคิดซะบ้าง”
“จะมากไปแล้วนะ ไม่ขอบคุณฉันไม่ว่า นี่ยังมาด่าฉันอีก จะเอาไง..หา? ฉันไม่เกรงใจคุณแล้วนะ”
อนามิกาทำท่าฮึดฮัดเข้าใส่ณดล ณภัทรรีบกระโดดขวางไว้
“เดี๋ยว!..ใจเย็นก่อนอะนา” ณภัทรปราม
“ไม่ต้องมาห้าม ฉันยอมมาเยอะแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว”
“ไม่เอาน่า...” ณภัทรหันไปที่เมธาวี “เม! รีบพาพี่ณดลกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันกับอะนาค่อยตามไป”
“เอ่อ...ได้ๆๆๆ” เมธาวีดึงแขนณดลให้ถอยออกมาสองก้าว “กลับกันเถอะค่ะพี่”
ณภัทรดึงแขนอนามิกาให้ห่างออกไป ทิ้งเมธาวีกับณดลให้ยืนอยู่ข้างหลัง
เมธาวีดึงณดลถอยออกไป “ทางนี้ค่ะพี่ณดล”
ณดลจำใจเดินตามเมธาวีไปแต่ก็ยังหันมามองอนามิกาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
นลิณากับเกตนิการ์เดินอยู่ด้วยกันตามทางเดินที่เต็มไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืน เกตนิการ์มองไปอีกทางแล้วก็ชะงักรีบสะกิดนลิณาให้มองไปทางนั้น
“นีน่า ดูโน่นสิ”
ทั้งสองเห็นณดลกับเมธาวีเดินมาด้วยกันและกำลังเดินมายังทางที่ทั้งสองยืนอยู่ นลิณากับเกตนิการ์หันมองหน้ากัน เกตนิการ์ถึงกับขยี้ตาเพราะคิดว่าตนเองตาฝาดไป
“ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มะ นี่คุณณดลมาสลับจับคู่กับยัยเมอีกแล้วเหรอ”
“วันนี้มันวันบ้าอะไรนะ แล้วจะสลับคู่กันอีกกี่ตลบเนี่ย ขืนฉันมัวอยู่นิ่ง มีหวังโดนยัยพวกนี้คว้าคุณณดลไปกินแน่ๆ” นลิณาบอก
“งั้นเธอก็รีบหาทางรวบรัดคุณณดลเร็วๆ เข้าสิ จะรอให้เค้ากลับเมืองไทยซะก่อนรึไง”
ณดลกับเมธาวีเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เกตนิการ์กับนลิณารีบเข้าไปขวาง
“คุณณดลขา” ทั้งสองเรียกพร้อมกัน
“อ้าว! เกตนิการ์ นลิณา ดูเหมือนว่าลอนดอนมันเล็กนิดเดียวนะ เราถึงได้เจอกันอีกแล้ว” ณดลเอ่ย
นลิณากับเกตนิการ์เข้ามาเบียดแทรกเมธาวีจนเมธาวีแทบจะกระเด็นออกไป
“ใช่ค่ะ บังเอิญจังเลย สงสัยลอนดอนจะเล็กไปจริงๆ ถ้างั้นทำไมเราไม่ออกนอกลอนดอนกันบ้างล่ะคะ” นลิณาชวน
“นั่นสินะ” เกตนิการ์เสริม “คุณณดลไม่เบื่อเหรอคะ อยู่แต่ในลอนดอนแบบนี้”
“งั้นเอางี้มั้ยคะ นีน่ากับเกดจะอาสาเป็นไกด์พาคุณณดลไปเปลี่ยนบรรยากาศเที่ยวนอกเมืองลอนดอนกันบ้าง”
“อืม...ก็น่าสนใจนะ” ณดลตอบ
“ประเทศอังกฤษไม่ได้มีแค่ลอนดอนนะคะ ออกไปเที่ยวนอกเมืองซักคืนสองคืน รับรอง..คุณณดลต้องชอบแน่ๆ”
“อืม..ผมก็อยากไปนะ” ณดลหันมาถามเมธาวี “ไปด้วยกันมั้ยเม”
นลิณากับเกตนิการ์ชักสีหน้าอย่างขัดใจ
นลิณารีบแทรกขึ้นทันที “แต่ไปกันแค่สองสามคนจะสนุกกว่านะคะคุณณดล”
“ไม่หรอก ไปกันเยอะๆ สิสนุกดี” ณดลท้วง แล้วหันมาถามเมธาวี “หรือเมว่าไง”
“เอ่อ...ก็แล้วแต่พี่ณดลดีกว่าค่ะ” เมธาวีตอบ
“งั้นเอาตามนี้นะ ไปกันทั้งหมดนั่นแหละ เม อย่าลืมชวนเพื่อนๆ ไปด้วยล่ะ” ณดลหันไปพูดกับนลิณา “เอาเป็นอย่างงี้โอเคมั้ย”
นลิณากับเกตนิการ์รู้สึกเซ็ง ทั้งสองหันมองหน้ากันแล้วหันมาพยักหน้าอย่างจำใจ
“ก็..โอเคค่ะ” นลิณาฝืนใจพูด “ไปกันเยอะๆ ก็คงจะสนุกดี อ้อ...เดี๋ยวก่อนค่ะ มีอีกเรื่องนึง คือว่า...เกดเค้ามีเรื่องสำคัญอยากจะบอกพี่ณดลน่ะ”
“เหรอ?” ณดลหันมาทางเกตนิการ์ “เรื่องสำคัญอะไรล่ะ”
เกตนิการ์งง “นั่นสิ!? เรื่องสำคัญอะไร??” เกตนิการ์หันมองนลิณาอย่างงงๆ
“ก็เรื่องที่พี่พายัพโทรมาไง” นลิณาเตือนความจำ
“อ๋อ...ใช่ๆๆ” เกตนิการ์นึกได้
“พี่พายัพโทรหาเกดเหรอ พี่เค้ามีเรื่องอะไร” ณดลถาม
“ก็...เรื่องเกี่ยวกับอะนาน่ะค่ะพี่” เกตนิการ์บอก
ณดลกับเมธาวีรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
อีกด้านหนึ่ง อนามิกากำลังเดินคุยกับณภัทรมาตามทางเดินเส้นที่มองเห็นแสงสียามค่ำคืนของลอนดอน
“ฉันสุดจะทนกับพี่ชายนายแล้วนะ” อนามิกาโพล่งออกมา “แล้วนี่ฉันจะต้องแกล้งเป็นเมียท้องอ่อนๆ ของนายไปอีกนานแค่ไหน ฉันไม่เอาแล้วได้มั้ย”
“ใจเย็นสิอะนา ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้สวยนะ ฉันต้องชมที่เธอสวมบทบาทซะเนียนจนพี่ณดลเชื่อสนิทเลย”ณภัทรบอก
“นายก็แฮปปี้สิ เพราะจะได้ไม่ต้องกลับไปหมั้นกับสาวที่แม่จัดให้ แต่ฉันนี่ดิ อยู่ใกล้พี่ชายนายมากๆ ฉันจะเส้นประสาทแตกอยู่แล้ว”
“อดทนอีกนิดน่า ฉันว่าไม่เกินอาทิตย์นี้ พี่ณดลก็คงจะกลับเมืองไทยแล้ว ส่วนเรื่องค่าจ้าง เธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันจ่ายแน่ หรือถ้าเธออยากจะให้ฉันช่วยอะไรเป็นการตอบแทนบ้างก็บอกมาได้เลย”
อนามิกาสนใจขึ้นมาทันที “พูดจริงรึเปล่า” อนามิกาหยุดเดินแล้วหันไปมองหน้าณภัทรด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ
“จริงสิ มีอะไรเหรอ”
“คือ...เอ่อ...ฉัน...ฉันจะพูดยังไงดีล่ะ” อนามิกาอึกอัก
“ก็พูดมาตรงๆ อย่างที่ใจคิดแหละอะนา เราก็เป็นเพื่อนสนิทกันซะขนาดนี้ มีอะไรก็พูดออกมาได้เลย”
“คือ...ฉันอยากให้นายช่วย...ช่วยดูแลเมน่ะ”
ณภัทรตกใจ “อ้าว!ทำไมต้องดูแลด้วยล่ะ หรือว่าเมธาวีไม่สบาย เมธาวีเป็นอะไรมากเหรอเปล่า?”
“ไม่ใช่อย่างงั้น คนเราไม่ต้องรอให้ป่วยมันก็ดูแลกันได้ไม่ใช่เหรอ คือตอนนี้ฉันต้องมาแกล้งอยู่กับนาย แถมยังต้องคอยเทคแคร์พี่ชายนายอีก ฉันก็เลยห่วงว่ายัยเมจะไม่มีใครดูแล”
“อ๋อ...เข้าใจแล้ว ได้สิ ฉันจะคอยดูแล เทคแคร์เมอย่างดีเลย แต่เธอก็อดทนกับพี่ชายฉันอีกนิดนะ”
อนามิกาเริ่มยิ้มออก “ก็ได้ งั้นตามนี้นะ นายดูแลเม ส่วนฉันจะดูแลพี่ชายนายเอง”
“ได้เลย” ณภัทรรับคำ
ณภัทรยกมือขึ้นมาให้เพื่อนจับ อนามิกาจับมือณภัทรเหมือนเป็นการสัญญาระหว่างเพื่อน
ณดล อนามิกา ณภัทร นลิณา และเกตนิการ์กำลังรอขึ้นรถไฟอยู่ที่สถานีรถไฟลอนดอน ต่างคนต่างมีกระเป๋าสัมภาระของตน อนามิกากับณภัทรดูจะมีกังวลจึงพยายามชะเง้อมองหา เมธาวีกับอัธวุธที่ยังไม่มา
นลิณาพูดกับณดล “นลิณาว่าเราขึ้นรถไฟกันเลยดีกว่าค่ะ นี่สถานีรถไฟลอนดอนนะ ไม่ใช่คิวรถตู้ที่เมืองไทย เค้าจะได้รอคนเต็มก่อนแล้วรถถึงจะออกน่ะ” แล้วนลิณาก็หันพูดใส่อนามิกา “เพื่อนใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักตรงต่อเวลา”
อนามิกาชักสีหน้าไม่พอใจ ณภัทรเห็นก็รีบยกมือปรามอนามิกาไว้
“งั้นนีน่าขึ้นไปรอบนรถไฟก่อนเลยดีกว่านะ” ณดลบอก
นลิณายิ้มเยาะอนามิกา แล้วหันมาควงแขนณดล “ค่ะ เราไปกันเหอะค่ะคุณณดล”
“เปล่า...ผมจะรอตรงนี้ คุณขึ้นไปรอบนรถไฟก่อน..ไป” ณดลบอก
อนามิกาขำพรวดออกมา นลิณาหันมองอย่างไม่พอใจ อนามิกาหันไป เห็นเพื่อนมาแล้วก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจ
“นั่นไง! มากันแล้ว”
ทุกคนหันมองตามอนามิกา ทุกคนเห็นอัธวุธแต่งตัวเว่อร์อลังการพร้อมกับหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตลายแสบสันต์เดินกรีดกรายยิ้มแย้มโบกมือทักทายเหมือนเป็นเซเล็บบริตี้ระดับโลก โดยมีเมธาวีเดินตามมาอย่างเขินอายกับความเว่อร์ของเพื่อน
“Sorry I’m late นะฮ๊า” อัธวุธหันไปที่เมธาวี “ไงล่ะ พอฉันมา ฝร่ง ฝรั่ง ยังหลีกทางให้มันรู้กันบ้างว่าใครมา เอ้า...รออะไรกันอยู่ล่ะจ๊ะ ไป..Let’s go!”
อัธวุธเดินนำไป ทุกคนส่ายหัวเซ็งๆ แต่ก็เดินตามกันไป
รถไฟแล่นออกนอกลอนดอนผ่านวิวทิวทัศน์สวยงามตั้งแต่เมืองไปจนถึงธรรมชาติของประเทศอังกฤษ แต่ละคนที่นั่งรถไฟมานานเริ่มเพลียและง่วง
ณภัทรกับอนามิกานั่งอยู่ข้างๆ กัน อนามิกาเอียงคอหลับซบไหล่ของณภัทร ณดลมองทั้งคู่แล้วยิ้มอย่างสบายใจที่เห็นน้องชายตนกับแฟนสาวดูรักกันดี แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อศีรษะของนลิณาที่นั่งข้างๆ เอียงมาซบไหล่ของเขา เกตนิการ์ที่อยู่ข้างๆ ขยิบตากับนลิณาอย่างรู้กันกับนลิณาที่แกล้งทำเป็นหลับ
เมธาวีนั่งสัปหงก ส่วนอัธวุธนอนหลับอ้าปากหวออย่างไม่แคร์สื่อ รถไฟวิ่งผ่านวิวข้างทางสวยๆ ไปยังจุดหมาย
หน้าโรงแรมที่พักนอกเมืองมีบรรยากาศชนบทของอังกฤษ ทุกคนต่างหอบหิ้วสัมภาระของตนเดินเข้ามา ณดลหยุดยืนดูที่พักอย่างชอบใจแล้วหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเล็งหามุมถ่าย ทันใดนั้นนลิณาก็โผล่เข้ามาโพสต์ท่าในเฟรมที่ณดลกำลังจะถ่าย
“สวยใช่มั้ยล่ะคะ นีน่าเป็นคนจองที่นี่เองนะคะ คุณณดลชอบมั้ยคะ” นลิณาถาม
“ชอบสิ..เข้าใจเลือกนะ” ณดลชม
“งั้นนีน่าว่าเรารีบขึ้นไปดูห้องพักกันดีกว่า นีน่าภูมิใจเสนอเลยหละค่ะ”
นลิณาดึงแขนณดลให้เดินเข้าบริเวณโรงแรมที่พักไป
ประตูที่พักถูกเปิดเข้าโดยพนักงานโรงแรม นลิณาเดินนำเข้ามาผายมือเฉิดฉายเหมือนเป็นไกด์ทัวร์ โดยมีณดล เกตนิการ์ ณภัทร อนามิกา เมธาวี และอัธวุธ ทยอยตามเข้ามาตามลำดับ
“เป็นยังไงล่ะคะ ห้องพักหรู ได้บรรยกาศชนบทผู้ดีแบบอังกริ๊ดด...อังกฤษ”
ทุกคนเดินเข้ามามองไปรอบๆ อย่างพึงพอใจเพราะเห็นการตกแต่งภายในที่ดูดีอย่างชนบทผู้ดีอังกฤษ
“โอ้โห..มองข้างนอกไม่น่าเชื่อเลยนะว่าภายในห้องพักจะสวยขนาดนี้” ณภัทรชม
“ใช่...น่าอยู่มากๆ” ณดลพอใจ
อัธวุธเดินไปกระโจนนอนแผ่สบายบนเตียง อนามิกากับเมธาวีก็เดินไปนั่งบนเตียง
“โห...น่านอนที่สุดเลย” อัธวุธบอก
“นี่...ยัยอาร์ท นั่งรถไฟมาตั้งไกล จะไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเรอะ” อนามิกาดุ
นลิณากับเกตนิการ์เดินตรงเข้ามา
“เอ่อ...ขอโทษนะ ลุกขึ้นก่อนได้มั้ยอาร์ท อะนากับเมด้วย ลุกขึ้นก่อน” เกตนิการ์บอก
ทุกคนลุกจากเตียงอย่างงงๆ
“มีอะไรเหรอ” เมธาวีมองเกตนิการ์กับนลิณาอย่างงงๆ
“พวกเธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่ายะ นี่ห้องคุณณดลย่ะ เธอสามคนไม่ได้พักห้องนี้หรอกนะยะ” นลิณาบอก
“อ้าว!..ถ้าไม่ใช่ห้องนี้...แล้วห้องไหนเหรอ?” อนามิกาสงสัย
ประตูห้องพักที่แสนซอมซ่อถูกเปิดเข้ามาโดยพนักงานโรงแรม นลิณากับเกตนิการ์ยืนยิ้มเยาะอย่างสะใจ
“นี่ย่ะ ห้องพักของเธอทั้งสามคน”
อนามิกา เมธาวี และอัธวุธก้าวเข้ามาในห้อง ทั้งสามมองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเหวอ ทั้งสามมองสำรวจภายในห้องก็เห็นแต่ความเก่า ความทรุดโทรมของห้องซึ่งดูเป็นห้องเก็บของรกร้าง มากกว่าจะเป็นห้องนอน
“นี่เธอจองห้องนี้ให้พวกเรานอนเนี่ยนะ” อนามิกาถาม
เกตนิการ์แสร้งทำเป็นพูดสุภาพ “ต้องขอโทษพวกเธอด้วย เผอิญตอนที่จอง ห้องพักมันเต็มพอดี แต่ก็ยังโชคดีที่มีห้องนี้ว่าง”
“โชคดีเนี่ยนะ นี่เรียกว่าโชคดีแล้วเรอะ” อัธวุธถามย้ำ
“คืออันที่จริงมันเป็นห้องของพนักงานทำความสะอาดน่ะ แต่ฉันว่ามันก็เหมาะกับเธอสามคนแล้วหละ” นลิณาบอก
อนามิกาไม่พอใจ “เธอว่าไงนะนีน่า อยากมีเรื่องกับพวกฉันใช่มั้ย”
“เอ๊ะ...อะไรของเธอยะ ฉันอุตส่าห์เป็นธุระจองตั๋วรถไฟ จองที่พักให้ ถ้าเรื่องมากนัก ก็คืนห้องพักเค้า แล้วออกไปหาที่นอนเองสิ”
“ฉันรู้นะ ว่าเธอจงใจหาเรื่องพวกฉัน” อนามิกาฉุน
เมธาวีรีบปราม “ช่างเหอะน่าพี่อะนา เราอยู่แค่สองคืน ทนๆ นอนไปก็คงไม่หนักหนาหรอก”
“งั้นก็รีบๆ ล้างหน้าล้างตา แล้วไปเจอกันตรงลานจอดรถนะยะ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนค่ำที่เราจะได้ขับรถเที่ยวกัน” นลิณาบอก
“พวกเธอไม่ต้องห่วงนะ นีน่าเค้าจัดการหารถเช่าให้พวกเธอทุกคนแล้ว เห็นมั้ยว่าเพื่อนฉันก็มีน้ำใจกับพวกเธอเหมือนกันนะจ๊ะ” เกตนิการ์บอก
อัธวุธประชด “อุ๊ยตาย! นี่พวกเราต้องกล่าวขอบคุณพร้อมๆ กันมั้ยจ๊ะเนี่ย”
นลิณาหันมาตวาดใส่อัธวุธ “ไม่ต้องมาประชดฉันนะ” แล้วเธอก็หันมาพูดกับอนามิกาและเมธาวี “แล้วไปเจอกันที่ลานจอดรถนะยะ”
อนามิกา เมธาวี และอัธวุธยืนอึ้งมองรถยนต์เก่าบุโรทั่ง สภาพโทรมมากๆ ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ
อนามิกาพูดกับนลิณา “นี่เธออย่าบอกนะว่า...”
นลิณาชูกุญแจรถขึ้นมา “คันนี้แหละจ้ะ ของพวกเธอ”
อนามิกาปราดเข้าไปยืนประจัญหน้ากับนลิณา
“นี่มันจะมากไปแล้วนะ เธอจะจงใจแกล้งพวกเราไปถึงไหน”
“อะไรอีกล่ะ ฉันอุตส่าห์หารถเช่าให้ แทนที่จะขอบคุณ ยังจะมาโวยฉัน” นลิณาทำเป็นไม่พอใจ
“ก็ดูรถที่เธอเอามาสิ เราจะขับรถเที่ยวนอกเมืองกัน แล้วดูซิ เธอเอารถสภาพนี้มาให้ฉัน นี่จะให้พวกเราไปเที่ยว หรือให้ไปเสี่ยงตายกันแน่ยะ”
“นั่นสิ ดูสภาพเข้า นี่เศษเหล็กหรือว่ารถยะ ขาไป วิ่งสี่ล้อ ไม่รู้ขากลับจะเหลือกลับมากี่ล้อ” อัธวุธเซ็ง
“เอ่อ...คืองี้นะ” เกตนิการ์อธิบาย “ฉันขอชี้แจงนิด คือว่านีน่าเค้าก็ติดต่อรถเช่าให้พวกเธอแล้ว แต่มันเหลือแค่คันนี้จริงๆ”
“แล้วไหนล่ะ รถอีกคันของพวกเธอน่ะ” เมธาวีถาม
เกตนิการ์กับนลิณาหันไปทางหนึ่ง “โน่นแน่ะ”
ทุกคนหันตามไปดู เห็นรถคันใหญ่โตนั่งสบาย สภาพใหม่เอี่ยมจอดอยู่
“อุ๊ยตาย! ไม่ค่อยจะแตกต่างกันเลยนะยะ” อัธวุธประชด
“โห...ยังกะเพิ่งถอยออกมาจากโชว์รูม” เมธาวีตกใจ
“ใช่...แต่คันของเรา ยังกะเพิ่งถอยออกมาจากเชียงกง” อนามิกาย้ำ
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ยะ บอกแล้วไงว่ารถเช่าเค้ามีเหลือแค่นี้ ถ้าพวกเธอไม่เอา ก็เดินตามพวกเราไปแล้วกัน” นลิณาบอก
“ย่ะ..นี่ฉันควรเอาสติ๊กเกอร์คำว่า ดีกว่าเดิน มาแปะที่ท้ายรถซะดีมั้ย” อัธวุธถาม
“แต่ยังไงฉันก็ไม่ขับนะคันเนี้ย” อนามิกาทำท่ารังเกียจ
“ฉันก็ไม่” อัธวุธบอกแล้วหันไปมองเมธาวี
เมธาวีรีบปฏิเสธ “ไม่ต้องมามองที่เมเลย”
ทันใดนั้นเสียงณดลก็ดังขึ้น “งั้นฉันขับเอง”
ทุกคนหันมามองณดลเป็นตาเดียว
“เอ่อ...คุณณดลว่าไงนะคะ” นลิณาทวน
ณดลพูดกับนลิณา “ผมจะเป็นคนขับรถคันนี้เอง” ณดลเข้ามาหยิบกุญแจจากนลิณา “เอาหละ..มีใครอยากไปคันนี้บ้าง”
“ผมต้องขับคันนี้น่ะพี่” ณภัทรซึ่งยืนอยู่ที่รถสภาพใหม่บอก “งั้นใครไปคันนี้ก็รีบขึ้นรถเลย”
อัธวุธ เมธาวี นลิณา และเกตนิการ์รีบเผ่นขึ้นรถคันใหม่เอี่ยม ทิ้งให้อนามิกายืนเด๋ออยู่กับณดล อนามิกาหันไปมองณดลแล้วนึกขึ้นได้ก็รีบขยับจะขึ้นรถคันใหม่ แต่นลิณาดึงประตูไว้
“คันนี้เต็มแล้วย่ะ” นลิณาปิดประตูใส่ทันที
อนามิกาหน้าแหยแล้วหันไปมองณดล
“นี่ฉันต้องไปกับอีตาณดลจริงๆ ใช่มั้ย”
อนามิกาทำหน้าตาทุกข์ระทม
นลิณา เกตนิการ์และอัธวุธนั่งเบาะหลัง โดยณภัทรเป็นคนขับและมีเมธาวีนั่งอยู่ข้างๆ เกตนิการ์ยกมือป้องปากกระซิบกับนลิณา
“ทำไมเมื่อกี้เธอถึงไม่ไปกับคุณณดลล่ะ...หา อุตส่าห์มีโอกาสแล้วนะ”
นลิณาป้องปากกระซิบตอบอย่างระมัดระวัง “ก็ดูสภาพรถสิเกด ขนาดร้านรถเช่าเค้ายังไม่อยากปล่อยให้เช่าเลย เค้าห่วงว่าสภาพรถมันแย่ กลัวจะไม่ปลอดภัย”
“ซุบซิบจุ๊บจิ๊บอะไรกันอยู่เหรอยะ” อัธวุธแทรกขึ้น
นลิณาตวาดใส่อัธวุธ “ไม่ใช่เรื่องของเธอ ไม่รู้ซักเรื่องได้มั้ยเราน่ะ”
ณดลกำลังขับรถคันเก่า โดยมีอนามิกานั่งกางแผนที่อยู่ข้างๆ ณดลเหล่มองอนามิกาอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้น
“เผอิญฉันรู้อะไรมาเรื่องนึง ก็เลยอยากถามเธอซักหน่อย”
อนามิกาประชด “เดาว่าถ้าเกี่ยวกับฉัน คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ”
“ถูกต้อง รู้ตัวก็ดีแล้ว”
อนามิกาหันมาจ้องเขม็ง “คุณณดลมีอะไรไม่ทราบคะ”
“พี่สาวเธอ...ที่ชื่อธัญญา...เป็นนักร้องในคลับสำหรับผู้ชายใช่มั้ย”
อนามิกาประหลาดใจ “พี่ณดลรู้ได้ยังไงคะ”
“ก็เพราะคลับที่ว่านั่น มันอยู่ในบริเวณโครงการของฉันน่ะสิ คลับนี้เป็นของพี่พายัพ พี่ชายของเกตนิการ์น่ะ”
“ก็...แล้วไงเหรอคะ มีพี่สาวเป็นนักร้องแล้วผิดตรงไหน”
“ก็เปล่า ไม่มีอะไร แต่อย่างน้อยมันก็บอกได้ว่า พื้นฐานครอบครัวของเธอเป็นยังไง”
อนามิกาไม่พอใจ “อ้าว..ไหงพูดแบบนี้ล่ะ”
“คนพี่...เป็นนักร้องกลางคืน ร้องเพลงยั่วยวนผู้ชาย ส่วนเธอ..คนน้อง ก็เป็นประเภทที่ยอมปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อจะจับผู้ชาย” ณดลโพล่งขึ้น
อนามิกาหันขวับไปมองหน้าณดลอย่างโกรธจัด
อ่านต่อหน้า 2
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 4 (ต่อ)
รถเช่าคันหรูที่ณภัทรเป็นคนขับค่อยๆ ชะลอแล้วจอดหน้าบริเวณปราสาทเก่านอกเมืองลอนดอน ทุกคนทยอยลงจากรถ ณภัทร เมธาวี และอัธวุธเงยหน้ามองปราสาทเก่าหลังนั้นอย่างตื่นตา
“สวยจังเลยนะ นี่ถ้าพี่ณดลไม่ได้มาหาพวกเรา ก็คงไม่ได้มาเที่ยวที่นี่กัน” เมธาวีแหงนมองอย่างประทับใจ
“อย่างน้อยก็เป็นข้อดีที่พี่ณดลมาใช่มั้ย” ณภัทรถาม
“ย่ะ! เป็นข้อดี แล้วก็เป็น ข้อเดียว ด้วย” อัธวุธตอบ
นลิณากับเกตนิการ์ชะเง้อมองไปทางถนน
“แล้วนี่ทำไมคุณณดลยังไม่มาอีกนะ รู้งี้ยอมเสี่ยงตาย นั่งรถบุโรทั่งคันนั้นกับคุณณดลดีกว่า” นลิณาบ่น
“ทำไมจ๊ะ เกิดหึงยัยอะนาขึ้นมาเหรอ กลัวฝากปลาย่างไว้กะแมวว่างั้น” เกตนิการ์ถาม
“บ้า! ปลาย่างกะแมวอะไรยะ คนอย่างคุณณดลไม่มีวันกินเมียน้องชายตัวเองหรอกย่ะไหนจะท้องอ่อนๆ อีกตะหาก แต่ฉันก็แค่อดอิจฉามันไม่ได้”
“อิจฉาทำไม”
“ก็อิจฉาที่มันได้นั่งข้างๆ คุณณดลน่ะสิ มีผู้ชายที่เพอร์เฟคท์อย่างคุณณดลมาคอยขับรถให้ ป่านนี้มันคงจะมีความสุข ระริกระรี้อยู่แน่ๆ” นลิณาทำท่าอิจฉา
อนามิกากำลังนั่งหน้ายักษ์เพราะโกรธจัด เธอเหวี่ยงแผนที่ในมือลงไปที่เบาะรถแล้วโวยเสียงดังใส่ณดล
“ว่าไงนะ! หา? ไหนถ้าคุณแน่จริงลองพูดอีกครั้งซิ”
“ก็ได้! พี่สาวเธอทำงานกลางคืน ร้องเพลงยั่วผู้ชาย เธอเองก็ยอมปล่อยให้ท้องหวังจะจับน้องฉัน” ณดลพูดเสียงดัง
ณดลพูดไม่ทันจบก็โดนอนามิกาหันมาตบหน้าฉาดใหญ่ ณดลร้องเสียงหลง พอหันไปมองถนนอีกทีก็พบว่ารถเป๋เข้าข้างทาง ณดลรีบดึงพวงมาลัยหักเลี้ยวกลับสุดตัว
“เฮ้ย!!... / กรี๊ดดด!” ณดลกับอนามิการ้องเสียงหลง
รถเช่าเก่าๆ ที่ณดลขับมาหักออกไปนอกถนนที่ดูเวิ้งว้างห่างไกลผู้คน ข้างทางเป็นพื้นขรุขระ รถแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดเมื่อชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ตามมาด้วยควันสีขาวที่พวยพุ่งออกจากกระโปรงรถ อนามิกากับณดลตาโตด้วยความตื่นเต้นที่เพิ่งรอดตาย
ณดลตั้งสติได้ก่อนก็หันไปโวยอนามิกา “รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป อยากตายเหรอถึงตบหน้าฉันตอนกำลังขับรถน่ะ”
“ก็คุณอยากดูถูกฉันกับพี่สาวก่อนทำไม”
ณดลเดินออกมาจากรถอย่างหัวเสีย เขาเดินไปดูที่หน้ารถ อนามิกาก้าวลงจากรถ ณดลเดินย้อนกลับมาหาอนามิกา
“แล้วจะทำไงกันล่ะทีนี้” ณดลหันไปมองอนามิกาด้วยสายตาตำหนิ
“ไม่ต้องมามองฉันแบบนี้เลยนะ แล้วก็ไม่ต้องมาโทษฉันด้วย”
“ไม่โทษเธอแล้วจะโทษใครล่ะ ถ้าเธอไม่ห่วงชีวิตตัวเอง ก็ควรจะห่วงชีวิตฉัน แล้วก็ลูกในท้องของเธอบ้าง เข้าใจมั้ย หัดคิดซะบ้าง โธ่เว้ย....” ณดลหงุดหงิด
ณดลเดินงุ่นง่านเพราะไม่รู้จะระบายความหงุดหงิดกับอะไร แล้วเขาก็เตะล้อรถไปเต็มแรง แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเจ็บเท้า “โอ๊ย!!...อูย...”
อนามิกายิ้มสะใจ แต่พอหันไปเจอณดลตีหน้ายักษ์ใส่ก็รีบหุบยิ้ม
ณดลเดินอย่างหัวเสียมายืนชะเง้อมองหารถคันอื่นบนท้องถนน
“แล้วดูซิ มองไปสุดลูกหูลูกตาก็ไม่เห็นรถซักคัน บ้านช่องผู้คนก็ไม่เห็นมี นี่เธอดูแผนที่ยังไง บอกทางมั่วจนพากันมาหลงทางเนี่ย” ณดลบ่น
“เอ๊า! ก็มาด้วยกัน ไหงโทษฉันคนเดียวล่ะ ถ้าคุณฉลาดนัก แล้วจะหลงตามฉันมาทำไม”
“ยังจะมาปากดีอีก นี่เธอจะไม่ยอมรับผิดเลยใช่มั้ย รีบขอโทษฉันมาเดี๋ยวนี้”
“แล้วทีคุณพูดจาดูถูกฉันกับพี่สาวล่ะ คุณนั่นแหละต้องขอโทษฉันก่อน”
ณดลโกรธจนหน้าแดงแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาหันมาทำท่าเหมือนจะขย้ำอนามิกาให้ตายคามือ แต่แล้วก็ผละออกไป
อนามิกามองตามไปอย่างงงๆ “นั่นคุณจะไปไหน”
ณดลหยุดเดินแล้วหันมาตอบ “ก็ไปตามคนมาช่วยน่ะสิ”
“แต่เรายืนรอโบกรถที่ผ่านมาแถวนี้ก็ได้นี่”
“แล้วตั้งแต่เรายืนอยู่ตรงเนี้ย เธอเห็นรถผ่านมาซักคันรึยัง? หา?”
อนามิกาหน้าแหย เพราะไม่เห็นรถผ่านมาสักคัน
“เธออยากรอ ก็รออยู่นี่ไปคนเดียวแล้วกัน” ณดลหันหน้าแล้วเดินต่อ
อนามิกาละล้าละลัง เธอชั่งใจสักครู่แล้วก็รีบเร่งฝีเท้าก้าวตามณดลไป
“เดี๋ยว! คุณ...ฉันไปด้วย”
ณภัทรกับเมธาวีเดินชมความงามในปราสาทเก่าด้วยกัน
“ข้างในปราสาทนี่ก็สวยไม่แพ้ข้างนอกเลยนะ ดูโบราณ แล้วก็ดูขลังๆ ดี” ณภัทรเอ่ย
“แต่จะว่าไป บรรยากาศมันก็ออกจะน่ากลัวๆ อยู่เหมือนกันนะ” เมธาวีชักกลัว
“อืม...ก็ปราสาทเก่าอายุเป็นร้อยๆ ปี มันก็ต้องมีประวัติศาสตร์ของมันแหละนะ คงเคยมีคนเคยอยู่ เคยตายที่นี่มาแล้วหลายรุ่น”
เมธาวีนึกกลัวขึ้นมา “แล้วจะมาพูดอะไรตอนนี้ คนยิ่งกลัวๆ อยู่”
พูดจบเมธาวีก็เหลียวไปข้างหลัง แล้วเธอก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ เพราะเห็นเกตนิการ์มายืนอยู่ใกล้ๆ จนหน้าแทบจะชนกับหน้าของเธอ
เมธาวีผวาไปกอดณภัทรพร้อมกับเอาหน้าซุกไปที่อกของณภัทรแล้วหลับตาปี๋ด้วยความกลัว ณภัทรตาโตเพราะทำอะไรไม่ถูก เขายกมือเก้ๆ กังๆ โอบเบาๆ เพื่อปลอบเมธาวี เกตนิการ์ เห็นดังนั้นก็ตาลุกด้วยความอิจฉาจนทนไม่ได้ต้องดึงเมธาวีออกมา
“นี่...ยัยเม ฉันเองจ้ะ ไม่ใช่ผี” เกตนิการ์บอก
เมธาวีหันมา “อ้าว..เกด” พอหันไปเมธาวีก็รู้ตัวว่ากอดณภัทรอยู่จึงรีบผละออกมาอธิบายกับณภัทร “เอ่อ...โทษทีนะ เมไม่ได้ตั้งใจ คือเมกำลังกลัวๆ อยู่ พอหันมาเจอเกดพอดี ก็เลยตกใจ แล้วทีนี้เมก็เลย..”
“พอๆ ไม่ต้องอธิบายก็ได้เมธาวี” ณภัทรหันมาหาเกตนิการ์ “เกดมีอะไรรึเปล่า”
“ก็เห็นอาร์ทเค้าตามหาเมอยู่ ฉันเลยมาตามให้น่ะ”
“อ้าว...เหรอ แล้วอาร์ทอยู่ไหนล่ะ” เมธาวีถาม
เกตนิการ์ชี้ไปด้านหนึ่ง “อยู่ด้านโน้นน่ะจ้ะ”
“ขอบคุณมากนะเกด” เมธาวีเดินออกไป
เกตนิการ์มองตามแล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
อัธวุธเดินเฉิดฉายชมปราสาทเก่าอยู่ที่มุมหนึ่ง สักพักเมธาวีโผเข้ามาเกาะที่หลัง อัธวุธตกใจสะดุ้งโหยง
“ว๊าย!..มาซะแรงเลย” อัธวุธหันมามองหน้า “มีอะไรเหรอยะ?”
“พี่อาร์ทแหละ มีอะไร?” เมธาวีถามกลับ
“นี่..แกเพี้ยนป่ะยะยัยเมธาวี มีอะไรก็ว่ามา”
“พี่สิเพี้ยน ก็พี่อาร์ทเป็นคนเรียกให้เมมาหา แล้วยังจะมาถามเมว่ามีอะไร”
“ฉันเนี่ยนะ เรียกแก” อัธวุธงง
“ก็ใช่น่ะสิ ก็เกดบอกเมว่าพี่ตามหาเมอยู่”
“จะบ้าเหรอ ฉันเปล่า แล้วฉันก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับยัยเกดซักคำ” อัธวุธบอก
“เอ๊ะ...แล้วทำไมเกดเค้าถึงบอกเมอย่างงั้นล่ะ”
“นั่นสิ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่นะยัยเกด”
อัธวุธครุ่นคิดด้วยอาการระแวงและไม่ไว้ใจ
สีหน้าของเกตนิการ์ฉายแววเจ้าเล่ห์ เธอเดินตามหลังณภัทรมาติดๆ ในบริเวณลับตาคนภายในปราสาทเก่าแห่งนั้น จู่ๆ เกตนิการ์ก็แกล้งหกล้มแล้วถลาเข้ากอดรวบร่างของณภัทรจากทางด้านหลัง “ว๊าย...”
ณภัทรตกใจรีบหันกลับมาประคองเกตนิการ์
“เกด เป็นอะไรหรือเปล่า”
“มะ..ไม่เป็นไร ฉันโอเค”
ณภัทรจะขยับออกจากวงแขนของเกตนิการ์ แต่เกตนิการ์กลับยิ่งกอดรัดจนใบหน้าของทั้งสองแทบจะแนบชิดกัน เกตนิการ์มองณภัทรอย่างพิศวาส ขณะที่ณภัทรกลับมองอย่างงงๆ ว่าเกตนิการ์มองตนแบบนั้นทำไม
เกตนิการ์ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้หน้าของณภัทร แล้วเกตนิการ์ก็ประทับริมฝีปากจุมพิตที่ปากของณภัทรดื้อๆ ณภัทรทั้งช็อก ทั้งงง แล้วเขาก็รีบผละออกมา
“เกด..นี่เธอทำอะไรของเธอน่ะ”
“เอ่อ..” เกตนิการ์แสร้งทำเป็นรู้สึกผิด “..คือ..ฉันขอโทษ...อย่าโกรธฉันนะภัทร”
“เปล่า! ไม่ได้โกรธ แต่ว่า...นี่มันอะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ”
“ฉันเป็นผู้หญิง จะให้ฉันพูดยังไง”
“พูดยังไงเหรอ...ก็พูดออกมาอย่างที่เธอคิดน่ะสิ ที่เธอทำไปเนี่ย เธอคิดยังไงกับฉันเหรอเกด”
“ฉัน...ก็...ฉันก็รู้สึกดีกับนายน่ะสิ”
ณภัทรตกใจร้องเสียงหลง “เฮ้ย!”
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ ฉันมันน่าเกลียดน่ากลัวนักรึไง”
“ไม่ใช่อย่างงั้น แต่ฉันเข้าใจมาตลอดว่าเธอคอยกีดกันฉันกับอะนา เพราะอยากจะช่วยน้องสาวของนีน่า”
“เปล่า...ฉันทำเพื่อตัวเองต่างหาก”
“แต่นีน่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอนะเกด ถ้าเค้ารู้ว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉัน มันจะไม่เป็นเรื่องเหรอ”
“ก็อย่าให้เค้ารู้สิ นี่ก็มีเรารู้กันแค่สองคนนี่ไง”
ณภัทรกุมขมับ “โอ๊ย...ทำไมมันชุลมุนแบบนี้” ณภัทรหันมาพูดกับเกตนิการ์ “มันจะดีเหรอเกด ฉันว่าทางที่ดีเราควรเป็นเพื่อนกันไปมันก็ดีอยู่แล้ว”
“ก็ไม่เป็นไรนี่ ถ้านายจะคิดกับฉันแค่เพื่อน” เกตนิการ์พูดเน้นเสียง “แต่ตัวฉันเองชอบนายไปแล้ว และคงกลับไปรู้สึกแบบเพื่อนอีกไม่ได้แล้วหละ”
ณภัทรทั้งอึ้ง ทั้งอึดอัดจนทำอะไรไม่ถูก
ณดลกับอนามิกาเดินมาตามถนนชานเมืองที่เวิ้งว้างและดูเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ทั้งสองชักเหนื่อยและเมื่อยล้า พอเดินพ้นหัวโค้งทั้งสองก็เห็นโบสถ์เก่าอยู่ข้างหน้าไกลๆ ทั้งสองจึงเริ่มยิ้มออก
“มีโบสถ์อยู่ตรงนั้นนี่ โล่งอกไปที นึกว่าจะต้องเดินกันจนข้ามคืนซะแล้ว” ณดลพูด
“หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว” อนามิกาเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปทันที
ณดลมองตามอย่างเซ็งๆ “ไม่มีรอกันบ้างเล๊ย..คนเรา”
แล้วณดลก็เดินตามไป
อนามิกาเดินเร่งฝีเท้ามาบริเวณหน้าโบสถ์เก่า โดยที่ณดลเร่งฝีเท้าตามมาจนทัน
“หวังว่าข้างในคงจะมีใครซักคนที่พอช่วยเราได้นะ” อนามิกาเปรย
“ต้องมีสิ ยังไงก็ต้องมีคนเยอะแยะมากมายในโบสถ์” ณดลบอก
แล้วอนามิกาก็ผลักประตูโบสถ์เข้าไป
อนามิกาเดินนำณดลเข้ามาในโบสถ์ แล้วทั้งสองก็ยืนอึ้งกับภาพที่เห็น เพราะหลังจากกวาดสายตาไปรอบๆ ก็เห็นว่าภายในโบสถ์ไม่มีใครอยู่เลย ทั้งสองหน้าเสียด้วยความผิดหวัง ณดลหันมาพูดกับอนามิกา
“นั่นสินะ ก็ใครเค้าจะมาเข้าโบสถ์กันตอนเย็นๆ อย่างงี้”
“อย่ามาทำพูดหน่อยเลย ตะกี้คุณเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าต้องมีคนเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”
“ก็พอกันแหละน่า เธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันนักหรอก” พูดจบณดลก็ชะงักเพราะมองเห็นบาทหลวงฝรั่งอายุประมาณ 50 ปีเดินออกมาจากด้านหลังแท่นพิธี
ณดลดีใจ “บาทหลวง”
“งั้นคุณรอแป๊บนะ ฉันจะเข้าไปคุยกับหลวงพ่อท่านเอง”
ณดลทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตัวสุดท้ายซึ่งอยู่ห่างจากแท่นพิธี เขามองกวาดสายตาไปเรื่อย แล้วมาหยุดมองอนามิกาที่กำลังคุยกับบาทหลวงด้วยอาการสำรวม อนามิกากับบาทหลวงพูดคุยกันครู่ใหญ่ ณดลนั่งรออย่างเซ็งๆ
“จะได้เรื่องมั้ยเนี่ย หรือเราไปคุยเองดีกว่า” ณดลบ่น
ณดลขยับลุกขึ้น แต่อนามิกาก็เดินผละมาจากบาทหลวงกลับมาหาเขาพอดี
“ว่าไงบ้าง” ณดลถาม
“ท่านบอกว่าอู่รถที่นี่มีที่เดียว แต่นี่ใกล้จะค่ำ เค้าปิดไปแล้วแล้ว ถึงจะโทรตามเค้าก็ไม่มาแน่ๆ” อนามิกาบอก
“อ้าว...แล้วเราจะทำยังไงล่ะ”
“จะทำไงได้ล่ะคุณ ก็ต้องรอจนเช้าก่อนน่ะสิ”
“ไม่มีทางอื่นเลยเรอะ โธ่วุ้ย...งั้นเธอลองไปถามท่านดูซิ ว่ามีที่พักแถวนี้มั้ย”
“ถามแล้ว ท่านบอกว่า ไม่มีหรอกลูก”
“อ้าว...แล้วทำไงล่ะ”
“แต่หลวงพ่อท่านใจดี บอกให้ไปพักที่บ้านท่านก่อน แล้วก็จะได้ใช้โทรศัพท์ด้วย”
ณดลเริ่มยิ้มออก “งั้นก็ดีสิ”
“แต่ว่า...”
ณดลหุบยิ้ม “ตะ..แต่ว่าอะไร?”
“ท่านเป็นบาทหลวงน่ะ ไอ้การจะให้ผู้ชายผู้หญิงที่ไม่ใช่สามีภรรยากันไปค้างอ้างแรมที่บ้าน ท่านบอกคงดูไม่ดี แล้วท่านถามว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากันหรือเปล่า”
“แล้วเธอตอบว่า..?”
“ฉันก็ดันปากไว พลั้งปากไปบอกว่าใช่” อนามิกาเล่าด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“นี่เธอโกหกกระทั่งบาทหลวงเนี่ยนะ”
“ก็บอกแล้วว่าพลั้งปากไป ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโกหกท่านนะ ก็ใจมันคิดแต่ว่าอยากจะไปใช้โทรศัพท์ที่บ้านท่าน”
“ไม่กลัวบาปบ้างรึไงเนี่ย”
ทันใดนั้น บาทหลวงก็เดินเข้ามาทักณดล
“You are her husband, aren’t you?”
ณดลสะดุ้งตกใจที่บาทหลวงมาไม่ให้สุ้มให้เสียงจึงตอบไปโดยไม่ทันคิด “Yes!...Yes, i am.”
“เฮ้ย!..คุณก็โกหกเหมือนกัน” อนามิการีบท้วง
ณดลหน้าแหย แล้วหันมาแก้ตัวเบาๆ “เปล่านะ! ฉันแค่พลั้งปากไปไม่ทันคิด”
“What wrong with you, son?” บาทหลวงถามต่อ
“Nothing! father. Everything’s alright.” ณดลตอบ
“Great! So wait here. I’ll be back in a few minutes.”
ณดลกับอนามิกาพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม “Thank you, father.”
พอบาทหลวงเดินไปจนลับสายตา ณดลแทบจะถลาไปคุกเข่าที่หน้าแท่นพิธี อนามิกาเดินตามมางงๆ
“ทำอะไรของคุณน่ะ” อนามิกาถาม
“ก็รีบขอขมา สารภาพบาปที่โกหกบาทหลวงท่านเมื่อกี้น่ะสิ คนเราบางทีมันก็พลั้งปากโกหกกันได้โดยไม่เจตนานะ” ณดลบอก
“ชิ!..พอตัวเองพลั้งปากบ้าง” อนามิกาเซ็ง
ณดลมีสีหน้ารู้สึกผิด เขาหลับตาแล้วน้อมศีรษะขอขมา อนามิการีบมาคุกเข่าข้างๆ แล้วขอขมาที่แท่นพิธีเช่นกัน
ณภัทรกับเกตนิการ์เดินลงบันไดมาจากด้านบนของปราสาท ส่วนอัธวุธจูงข้อมือเมธาวีขึ้นบันไดสวนมา
“อ้าว...จะขึ้นไปไหนกันอีก นี่ใกล้จะค่ำแล้วนะ จะไม่กลับกันรึไง” เกตนิการ์ถาม
“ไม่ต้องรีบหรอกน่า พี่นายภัทรกับยัยอะนายังมาไม่ถึงเลย” อัธวุธตอบแล้วพูดกับณภัทร “นี่...ฉันว่าขึ้นไปข้างบนคงจะเห็นวิวสวยๆ นะ ลองขึ้นไปด้วยกันมะ?”
“เอาสิ ไหนๆ ก็มาแล้ว” ณภัทรเห็นด้วย
“งั้นขึ้นไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป” อัธวุธบอก
เมธาวีหันมามองหน้าอัธวุธอย่างงงๆ อัธวุธดันให้เมธาวีเดินตามณภัทรไป พอเกตนิการ์จะขยับตาม อัธวุธก็รีบดึงแขนเอาไว้
“เดี๋ยวสิเกด รอฉันก่อน”
“อ้าว...ทำไมเหรอ”
“ฉันหัวเข่าไม่ค่อยดี จูงฉันขึ้นไปที” อัธวุธแกล้งพูด
“หา? หัวเข่าไม่ดีอะไรของเธอ ตะกี้ยังเห็นวิ่งร่าเริงอยู่เลย”
“เหอะน่า...มา ให้ฉันเกาะเดินไปด้วยคน”
เกตนิการ์รู้สึกขัดใจ แต่ก็ยอมให้อัธวุธเกาะแขนแล้วเดินกระเผลกๆ ขึ้นไปด้วย อัธวุธยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะตั้งใจจะถ่วงเวลาให้ณภัทรกับเมธาวีขึ้นไปกันแค่สองคน
อัธวุธบ่นเบาๆ อย่างสะใจ “สมน้ำหน้า ขอเอาคืนที่ตะกี้เธอหลอกยัยเมบ้างนะ”
“เธอว่าไงนะ” เกตนิการ์ถาม
“ปะ..เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร”
อัธวุธแกล้งเดินช้าๆ กว่าจะยกขาขึ้นบันไดได้แต่ละขั้นก็ดูยากเย็น ส่วนมือของเขาก็จับไหล่เกตนิการ์แน่น จนเกตนิการ์อึดอัด อัธวุธแอบยิ้มด้วยความสะใจ
ณภัทรกับเมธาวีเดินขึ้นมาถึงจุดชมวิวบนปราสาทเก่า ทั้งสองรู้สึกตื่นตาตื่นใจ เมื่อได้เห็นทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นชนบทยามเย็นที่แสงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าซึ่งมองไปได้ไกลจนลับสุดตา ณภัทรกับเมธาวี ชื่นชมทิวทัศน์ข้างหน้าแล้วหันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข
“สวยจังเลยนะ” ณภัทรบอก
“อืม...แต่ก็อดใจหายไม่ได้ อีกไม่นาน พวกเราก็จะต้องแยกย้ายกันกลับเมืองไทยแล้ว” เมธาวีมีน้ำเสียงเศร้า “หลังจากนั้น...ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกมั้ย”
“ต้องได้เจอสิเม ถึงเราจะต้องแยกย้ายกันไปหลังเรียนจบ แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ได้จบไปด้วยนี่”
เมธาวีทวนคำอย่างมีความหวัง “ความสัมพันธ์ของเรา?”
“ใช่! ก็ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนไง” ณภัทรย้ำ “ความเป็นเพื่อนของเรายังไงก็ยังอยู่นะเม”
เมธาวีผิดหวังที่ได้ยินคำว่าเพื่อน “อ้อ..ใช่ ก็คงเป็นได้แค่เพื่อนกัน...ตลอดไป”
ณภัทรเห็นเมธาวีจ๋อยไปก็รีบจับมือปลอบ “อ้าว ทำไมล่ะเม เป็นเพื่อนกันมันไม่ดีตรงไหนเหรอ”
เมธาวีฝืนยิ้มแล้วพูดประชดออกมา “ อ๋อ..เปล่า เป็นเพื่อนกันก็ต้องดีสิ...ดีมาก..มาก ดีสุด..สุด...”
ณภัทรไม่รู้ว่าเมธาวีพูดประชด “ต้องอย่างงั้นสิเม”
ณภัทรจับมือของเมธาวีกระชับแน่นขึ้น จังหวะเดียวกับที่เกตนิการ์และอัธวุธเดินตามขึ้นมาถึงพอดี เกตนิการ์ตะลึงที่เห็นณภัทรกำลังจับมือกับเมธาวี ในขณะที่อัธวุธยิ้มกริ่มอย่างชอบใจ
“อะไรเนี่ย ไหงจับมือกันแบบนั้นล่ะ” เกตนิการ์ไม่พอใจ
ณดลกับอนามิกาคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นพระเยซู เพื่อขอขมาที่เพิ่งโกหกบาทหลวงไป สักพักอนามิกาก็ขยับจะลุกขึ้น แต่เธอก็ต้องชะงัก เพราะณดลเรียกไว้
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป”
อนามิกาคุกเข่าลงอีกครั้ง “อะไรเหรอ”
“ไหนๆ เราก็อยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์นี้แล้ว ฉันอยากรู้ว่าเธอรักน้องชายฉันจริงๆ หรือเปล่า”
“ยังไงคุณก็จะเชื่อว่าฉันไม่จริงใจ คิดแต่จะมาจับน้องคุณใช่มั้ย” อนามิกาถาม
“ก็ถ้าเธอไม่ได้เป็นอย่างงั้น...เธอก็สาบานต่อหน้าฉันสิ”
“หา?” อนามิกาตกใจ
“สาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์นี้เลย ว่าเธอรักไอ้ภัทรอย่างจริงใจ ไม่คิดหลอกลวง เอาสิ...สาบานมาสิ”
“คุณณดลขา...ที่นี่ประเทศอังกฤษนะ มาสาบงสาบานอะไร คุณเห็นศาลพระภูมิตั้งอยู่แถวนี้รึไง แล้วไหนล่ะ ต้องมีดอกไม้ธูปเทียนด้วยมั้ย”
“อย่ามาเฉไฉ สาบานเดี๋ยวนี้ ว่ามาให้ฉันได้ยินด้วย ว่าเธอรักไอ้ภัทรจริงๆ ไม่งั้นฉันจะสรุปว่าเธอไม่จริงใจกับน้องฉัน”
อนามิกาพูดผ่านๆ อย่างขอไปที “ก็ได้ๆ สาบานก็ได้ ฉันรักนายภัทรจริงๆ”
“พูดช้าๆ ชัดๆ อีกครั้ง”
อนามิกาพูดเน้นๆ “ฉันสาบานว่าฉันรักนายภัทรอย่างจริงใจ ไม่หลอกลวง” อนามิกาหันไป
พูดใส่หน้าณดล “พอใจรึยัง”
ณดลพยักหน้าแล้วขยับลุกขึ้น อนามิกาเอานิ้วไขว้กันแอบไว้ข้างหลัง พอณดลเดินผ่านมา อนามิกาก็รีบเบี่ยงตัวซ่อนนิ้วที่ไขว้กันแนบหลังไว้ ก่อนจะหันมาทำหน้าแหยอย่างรู้สึกผิด เธอจึงรีบขอขมากับรูปปั้นทันที
“อภัยให้ฉันด้วยนะเจ้าคะ ฉันจำเป็นต้องโกหกเพราะต้องช่วยเพื่อน ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นะเจ้าคะ”
อนามิกาเหลือบมองณดล เมื่อเห็นว่าณดลไม่ได้สังเกตเธอก็ยกสองมือจบ แล้วกราบขอขมาอีกที
ณดลกับอนามิกายืนรอบาทหลวงอยู่ริมถนนหน้าโบสถ์เก่า
“นี่! อะนา ฉันยังไม่เข้าใจว่า ถ้าหลวงพ่อท่านมีรถ แล้วทำไมเราไม่ขอให้ท่านขับไปส่งที่ปราสาทซะเลยล่ะ ปราสาทเก่าที่เรานัดทุกคนไว้ที่นั่นน่ะ”
“ฉันบอกหลวงพ่อแล้ว แต่ท่านบอกว่า ให้ไปใช้โทรศัพท์ที่บ้านท่านดีกว่า เพราะสภาพรถของท่าน คงจะพาเราสองคนไปถึงปราสาทเก่าไม่ไหว”
“ทำไมเหรอ รถของท่านเก่ามากเลยเหรอไง” ณดลหันไปแล้วก็ร้องเสียงหลงออกมา “เฮ้ย!”
“อะไรเหรอ” อนามิกาหันมองตาม แล้วก็ร้องออกมาเหมือนกัน “เฮ้ย!!”
ทั้งสองเห็นบาทหลวงขี่มอเตอร์ไซค์เก่าๆ เข้ามาแล้วยกมือโบกยิ้มแย้มให้ทั้งสอง
ณดลกับอนามิกาหันมองหน้ากัน
“นี่เราต้องซ้อนคันนี้ไปเนี่ยนะ” อนามิกาโพล่งออกมา
รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่บาทหลวงขี่โดยมีณดลและอนามิกาซ้อนท้ายวิ่งปุเลงๆ มาชะลอจอดหน้าบ้านบาทหลวงอย่างทุลักทุเล ทุกคนลงจากรถ ณดลกับอนามิกากอดอกด้วยความหนาวสั่น
“กว่าจะมาถึง เล่นซะมืด” ณดลบ่น
“เอาน่า คิดซะว่าดีกว่าเดิน” อนามิกาบอก
“Welcome to my home, Mr. and Mrs. …..?” บาทหลวงถาม
ณดลกับอนามิกาหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก สักพักณดลก็หันไปตอบ
“ศิริวาณิช”
บาทหลวงทวนคำอย่างไม่ชัด “Mr. and Mrs. See-ree- wa-nit?”
“Yes, father. My name is ณดล ศิริวาณิช” ณดลผายมือไปที่อนามิกา”and she Is Mrs.อนามิกา ศิริวาณิช.”
“You both don’t look like husband and wife. Are you kidding?” บาทหลวงถาม
“No, I’m not kidding. We are husband and wife.” ณดลหันมาพูดกับอนามิกา “ขอโทษนะ”
แล้วณดลก็ยกแขนโอบคออนามิกา อนามิกาสะดุ้งแล้วจะขัดขืนแต่ก็ตัดสินใจรับมุกตามน้ำด้วยการโอบณดลตอบ
อนามิกาพูดกับบาทหลวง”We just married, Father.”
“Oh! You said you want to call your friend, don’t you?”
บาทหลวงผายมือไปที่โทรศัพท์บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
ณดลรีบรับคำ “Yes! Father.”
“Thank you very much, Father” อนามิกาบอก
อนามิกากับณดลรีบปราดเข้าไป พออนามิกาคว้าหูโทรศัพท์ได้ เธอก็กดเลขหมาย ก่อนจะเอะใจจึงเอาหูแนบฟังให้ถนัดอีกทีแล้วเธอก็แน่ใจว่าโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ณดลถาม
“โทรศัพท์ใช้ไม่ได้น่ะสิ” อนามิกาหันไปพูดกับบาทหลวง”Father, there’s no phone signal.”
“Oh! It happens again. This is a small town,so the phone signal usually failed everyday like this.”
“หลวงพ่อท่านบอกว่า เมืองเล็กๆ ก็งี้ สัญญาณโทรศัพท์เฟลตลอด” อนามิกาบอก
“แล้วเอาไงล่ะทีนี้” ณดลกลุ้มใจ
“May be we should try it again tomorrow. Now let’s go to your bedroom” บาทหลวงบอก
ณดลหันไปที่อนามิกา “นี่เราต้องนอนค้างที่นี่จริงๆ เหรอ”
“ยังกะเรามีทางเลือกแน่ะ คุณก็เห็นว่าตอนซ้อนมอเตอร์ไซค์มา แถวนี้ไม่มีบ้านคนซักหลัง แถมข้างนอกยังหนาวจะตาย”
“Mr. and Mrs. see - ree - wa - nit....follow me, please.”
พูดจบบาทหลวงก็เดินนำไป ณดลกับอนามิกามองหน้ากันแล้วเดินตามบาทหลวงไป
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ครู่ต่อมาบาทหลวงเปิดประตูเดินนำณดลกับอนามิกาเข้ามาในห้องๆ หนึ่งภายในบ้าน ณดลกับอนามิกาถึงกับอึ้งเมื่อเห็นเตียงนอนเล็กๆ แค่เตียงเดียว และแทบจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นภายในห้องเลย
ทั้งสองมองหน้ากันยิ้มแหยๆ บาทหลวงหันมองหน้าทั้งสองแล้วถามขึ้น
“What’s wrong with you?”
“Oh! no. Father, everything’s okay. “ อนามิกาตอบ
“Feel free to call me if you want anything,” บาทหลวงชี้ไปทางห้องนอนของตน”My room is right there. Good night.” แล้วบาทหลวงก็เดินออกไป
“Good night, father.” อนามิกากับณดลกล่าวกับบาทหลวง
ณดลค่อยๆ ปิดประตูช้าๆ แล้วหันมาพูดกับอนามิกา “หลวงพ่อท่านใจดีมากๆ เลยเน๊อะ..หา” ณดลหันไปมองหาอนามิกา แล้วก็ต้องตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นอนามิกานอนแผ่ ด้วยท่าทางสบายสุดๆ อยู่บนเตียง
ณดลเดินเข้ามายืนใกล้ๆ เตียงแล้วบ่นใส่
“นี่...ปรึกษาฉันซักคำรึยัง ขึ้นไปนอนอ้าซ่าบนเตียงแบบนี้น่ะ”
อนามิกาสะดุ้ง รีบขยับนอนในท่าทางที่มิดชิดขึ้น แล้วจึงลุกนั่ง “ก็แล้วคุณจะให้ฉันนอนกับพื้นรึไง” อนามิกาแกล้งลูบที่ท้องแล้วบีบเสียงน่าสงสาร “..ในเมื่อฉันกำลังท้องอยู่น่”ะ
ณดลรีบแก้ตัว “รู้น่า...ฉันไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะแย่งเตียงผู้หญิงท้องหรอกน่า”
อนามิกาเปลี่ยนจากเสียงน่าสงสาร เป็นน้ำเสียงแบบมะนาวไม่มีน้ำทันที “งั้นคุณนอนกับพื้นไปแล้วกันนะ”
อนามิกาโยนหมอนใบหนึ่งลงพื้นให้ณดล ณดลฉุนแต่ก็ทำอะไรอนามิกาไม่ได้ อนามิกานอนอย่างสบายพร้อมกับยิ้มอย่างสะใจที่ได้แกล้งณดล
เมธาวี ณภัทร และอัธวุธยืนอยู่บริเวณหน้าโรงแรมที่พักอย่างกระวนกระวายใจ ทุกคนเพิ่งกลับมาจากปราสาทและยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเฝ้ารอณดลกับอนามิกาอยู่ สักพักนลิณากับเกตนิการ์ก็เดินออกมาจากที่พักด้วยท่าทางวิตกกังวล
“คุณณดลยังไม่กลับมาเลย” นลิณาบอก
“แล้วอะนาล่ะ” ณภัทรถาม
“ก็ยังไม่เห็นเหมือนกัน” เกตนิการ์ตอบ
เมธาวีเริ่มใจเสีย “ตายแล้ว...จะทำยังไงกันดีล่ะ สงสัยรถต้องไปเสียอยู่ที่ไหนแน่ๆ เลย”
อัธวุธหันมาต่อว่านลิณา “นี่ไง เพราะรถที่เธอเช่ามาน่ะแหละ ป่านนี้ทั้งคู่ต้องไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
“อย่ามาโทษฉันเลยนะ หรือเราออกไปแจ้งคนหาย ให้ตำรวจเค้าช่วยหา” นลิณาบอก
“ปกติ แจ้งคนหาย ต้องเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน เค้าถึงรับแจ้งไม่ใช่เหรอ” เกตนิการ์ท้วง “ไม่รู้ที่นี่เค้ายึดถือกฏนี้รึเปล่านะ”
“ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่าพวกเรา รอดูอีกนิด ฉันเชื่อว่าคนอย่างพี่ณดล กับอะนาต้องเอาตัวรอดได้แน่ๆ น่ะ” ณภัทรมั่นใจ
“แต่เมไม่สบายใจเลย ยังไงพี่อะนาก็เป็นผู้หญิงนะ อากาศข้างนอกก็หนาวซะขนาดนี้”“นี่...ฉันว่าเราอย่าเพิ่งตื่นตูมไปหน่อยเลยดีกว่ามั้ย รอถึงพรุ่งนี้เช้า ถ้าเค้าสองคนยังไม่กลับมา เราค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า” เกตนิการ์เสนอ
ทุกคนมองหน้าเป็นเชิงปรึกษากัน ต่างคนก็ต่างไม่สบายใจ เมธาวีดูจะใจเสียและเป็นห่วงอนามิกามากกว่าคนอื่นๆ จนคล้ายจะร้องไห้ “ป่านนี้พี่อะนาคงจะตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนซักที่แน่ๆ”
อนามิกานอนยิ้มอย่างอุ่นและสบายอยู่ใต้ผ้าห่มที่ทั้งหนาทั้งนุ่ม ณดลที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินมาในชุดนอนเสื้อกับกางเกงของบาทหลวง เขาใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดที่ผมตัวเอง
อนามิกาหันไปเห็นณดลแล้วก็ขำ “คุณใส่ชุดอะไรน่ะ”
“ของบาทหลวงท่านให้ยืมใส่ มีชุดเปลี่ยนก็บุญแล้วน่ะ ว่าแต่เธอเหอะ ใจคอจะไม่อาบน้ำก่อนนอนซักหน่อยเหรอ เห็นแก่จมูกของคนที่ต้องนอนห้องเดียวกันบ้างเหอะ”
อนามิกาลุกพรวดขึ้น “ฉันกำลังจะลุกอยู่พอดีย่ะ”
อนามิกาลุกขึ้นแล้วเดินมา จังหวะที่เดินเฉียดมาใกล้กับณดล ไฟก็ดับวูบจนทั้งห้องมืดสนิท
“ว๊าย! คุณปิดไฟทำไม” อนามิการ้องออกมา
“ฉันไม่ได้ปิด ไฟมันดับเอง” ณดลบอก
“โอ๊ย..มืดตึ๊ดตื๋อเลย ฉันยิ่งกลัวผีอยู่ด้วย”
“จะกลัวทำไม มืดซะขนาดนี้ ต่อให้ผีมาหลอกตรงหน้าเธอ เธอก็มองไม่เห็นอยู่ดี”
“แล้วจะพูดทำไมเนี่ย เอ๊! ก็บอกว่าฉันกลัว”
อนามิกายกมือขึ้นคลำทาง แต่กลับไปคลำเอาใบหน้าของณดล
“อะไรเนี่ย” อนามิกาถาม
ณดลตอบเสียงเข้ม “นี่...นี่ หน้าฉันเอง พอแล้ว”
ทันใดนั้น ไฟก็สว่างขึ้น อนามิกายังชะงักค้างในท่าที่มือยังแปะอยู่บนใบหน้าของณดล
“อ้าว...อุ๊ย! โทษที ฉันแค่จะคลำทาง”
ณดลชักสีหน้าไม่พอใจ “ไม่เป็นไร เธอรีบไปอาบน้ำเถอะ”
“ไม่เอาหละ เดี๋ยวไฟดับอีก ฉันกลัวผีน่ะ” อนามิกาปัด
“เธอรู้ได้ไงว่าที่อังกฤษก็มีผีเหมือนเมืองไทย”
“บอกว่าอย่าพูด”
ณดลได้ทียิ่งจงใจแกล้ง “แล้วผีอังกฤษนี่กลัวพระเครื่อง กลัวสายสิญจน์เหมือนผีไทยเรามั้ย”
“หยุดพูดเรื่องผีได้มั้ย ฉันกลัว”
อนามิกาพูดยังไม่ทันขาดคำ ไฟก็มืดสนิทลงอีก อารามตกใจ อนามิกาจึงกระโดดกอดณดลเต็มวงแขน “ว๊าย!”
ณดลอึดอัดเพราะถูกกอดรัดแน่น “โอ๊ย..เบา ฉันจะหายใจไม่ออกแล้ว”
“ทำไมถึงหายใจไม่ออกล่ะ” อนามิกาถามงงๆ
“ก็เธอกอดฉันแน่นซะขนาดนี้”
“หา! นี่ฉันกอดคุณอยู่เหรอ”
อนามิกาพูดขาดคำ ไฟในห้องก็สว่างพอดี อนามิกาชะงักตัวแข็ง เพราะเห็นจะๆ ว่าเธอกอดรัดณดลแน่นจนหน้าแทบจะแนบชิดกัน
“ปล่อยฉันได้รึยัง ฉันอึดอัด” ณดลถาม
อนามิกาเขิน “เอ่อ...ฉัน..ไม่รู้ตัว...ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
อนามิกาค่อยๆ คลายวงแขนแล้วผละออกมาจากณดล เธอรู้สึกหน้าชาเพราะเสียฟอร์ม ณดลส่ายหน้าขำๆ ด้วยความเอ็นดู
อัธวุธนุ่งผ้าเช็ดตัวและพันผมด้วยผ้าเช็ดตัวอีกผืนอยู่ในห้องพักซอมซ่อ เขาเดินเข้ามาหาเมธาวีที่นั่งกังวลและเป็นห่วงอนามิกาอยู่บนเตียง
“อู๊ย...สดชื่น ถึงห้องจะโทรมมาก ถึงโทรมที่สุด แต่ในห้องน้ำก็ยังมีน้ำอุ่นให้อาบนะยะ”
“ไม่รู้ป่านนี้พี่อะนากับพี่ณดลจะอยู่ยังไง จะได้อาบน้ำอุ่นแบบเรามั้ยนะ” เมธาวีเป็นห่วง
“อู๊ย...ยัยเม เธอจะกังวลไปไหน สองคนนั้นเค้าไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราห่วงไปก็แค่นั้น รีบอาบน้ำแล้วนอนดีกว่า เดี๋ยวเช้ามา ค่อยว่ากัน”
เมธาวีตอบไม่เต็มเสียง “ก็ได้”
เมธาวีตลบชายเสื้อขึ้นเพื่อจะถอดเสื้อยืดคอกลมที่สวมทับ ทำให้เสื้อปิดใบหน้าและศีรษะไว้ อัธวุธเดินย้อนไปทางห้องน้ำโดยทิ้งให้เมธาวีอยู่คนเดียวโดยที่เมธาวีไม่รู้ตัว เส้นผมของเมธาวี เกี่ยวติดกับเสื้อ ทำให้เธอยกชายเสื้อตลบปิดหน้าและปิดศีรษะค้างไว้อย่างนั้น
เมธาวีพูดทั้งที่เสื้อยังคลุมศีรษะอยู่ “โอ๊ย!พี่อาร์ท...เมถอดไม่ออก ช่วยหน่อยสิ”
ณภัทรเดินเข้ามาในห้อง เขามองไปที่เมธาวีอย่างงงๆ เพราะเห็นเมธาวีนั่งอยู่บนเตียงในท่าชูสองแขนตลบเสื้อไปปิดหน้าจนเห็นเสื้อซับในสายเดี่ยว คอลึก เนื้อผ้าบางเบาที่เธอสวมอยู่
“เร็วสิ! ช่วยถอดเสื้อให้หน่อย มันติดผมเมน่ะ ช่วยหน่อย” เมธาวีเร่ง
ณภัทรงงแล้วชี้ที่ตัวเองเพราะไม่แน่ใจว่าเมธาวีเรียกตัวเองหรือเปล่า
“มัวรออะไรอยู่ล่ะ เร็วสิ ช่วยดึงเสื้อหน่อย” เมธาวีเร่ง
ณภัทรรีบพยักหน้ารับแล้วเข้าไปช่วยถอดให้ พอถอดเสื้อพ้นศีรษะออกมาได้ เมธาวีก็พูดขอบคุณเพราะนึกว่าเป็นอัธวุธที่มาช่วยถอดเสื้อ
“ขอบคุณนะพี่อัธวุธ” เมธาวีเห็นว่าเป็นณภัทรก็ตาโตด้วยความตกใจ “ว๊ายย! ภัทร มาถอดเสื้อเมทำไม”
เมธาวีรู้สึกตัวก็รีบก้มสำรวจตัวเอง แล้วก็รีบกอดอกปิดไว้อย่างมิดชิด
ณภัทรพูดเสียงหลง “เอ๊า...ก็เมเป็นคนเรียกให้ช่วยเองนะ”
เมธาวีหน้าแหย “อ้อ...จริงสิ ก็เมนึกว่าเป็นพี่อาร์ท แล้วเมื่อกี้..เอ่อ..เมโป๊รึเปล่า”
“เปล่านี่...ไม่ได้โป๊ ก็เมใส่เสื้อซับในที่เป็นสายเดี่ยว ผ้าบางๆ คอลึกๆ”
เมธาวีรีบตัดบทด้วยความอาย “พอๆๆไม่ต้องพูดแล้ว” เมธาวีมองหาอัธวุธ “แล้วพี่อาร์ทหายไปไหนเนี่ย... พี่อัธวุธ” เมธาวีเรียกเสียงดัง
“จ้า” อัธวุธที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้วเดินเฉิดฉายเข้ามา
“อ้าว! ภัทร” อัธวุะหันมาถามเมธาวี “เรียกทำไม มีอะไรยะ” เมธาวีไม่ตอบ อัธวุธก็หันไปเลิกคิ้วถามณภัทร
“อ๋อ..คือว่าเมเค้ากำลังถอดเสื้อ แล้วเค้าก็เรียกให้ช่วยถอด” ณภัทรอธิบาย
เมธาวีรีบยื่นฝ่ามือปิดปากณภัทรไว้ “ไม่ต้องเล่าก็ได้” เมธาวีหันมาหาอัธวุธ “ไม่มีอะไรหรอกพี่อาร์ท”
อัธวุธงงแล้วก็เปรยเบาๆ “อะไรของแกสองคนเนี่ย”
ณภัทรกับเมธาวีมองหน้ากัน ณภัทรอดขำออกมาไม่ได้ ในขณะที่เมธาวีทั้งเขินทั้งอาย แต่ทั้งสองก็ยิ่งทวีความรู้สึกดีต่อกันเพิ่มมากขึ้น
ณดลกำลังหวีผมตนเองที่จวนจะแห้งอยู่ในห้อง อนามิกาเดินถือผ้าเช็ดตัวเช็ดผมเข้ามา ณดลหันไปเห็นแล้วแทบจะขำออกมาเพราะว่าอนามิกาก็อยู่ในชุดนอนแบบเดียวกับตนเปี๊ยบ แต่ดูใหญ่โคร่งเพราะเป็นเสื้อผ้าไซส์เดียวกับที่ณดลใส่
อนามิกาทำตาเขียวใส่ “เป็นอะไรมากมั้ย ก็บาทหลวงท่านมีแต่ชุดแบบนี้”
“เปล่า ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่จริงๆ ชุดนี้ก็ดูดีกว่าชุดที่เธอใส่มาซะอีกนะ ฮ่าๆๆ เอ้อ...แล้วเป็นไง ตอนอาบน้ำ นึกกลัวผีขึ้นมาบ้างมั้ย”
“จะเหลือเหรอ ยิ่งตอนสระผมนี่ จะลืมตาแต่ละที...มีลุ้นตลอด”
“ไม่แน่นะ ผีอาจจะไม่อยากหลอกเธอในห้องน้ำ เพราะทนสภาพเธอโป๊ไม่ได้ บางที ผีอาจจะตามเข้ามาหลอกเธอในห้องตอนนี้ก็ได้”
“เลิกพูดเล่นแบบนี้ซะทีได้มั้ย” แล้วไฟก็ดับขึ้นมาอีกครั้ง อนามิการ้องลั่น “ว๊าย!”
อนามิกาตกใจกระโดดเข้ากอดณดลอีกครั้ง
“โอ๊ย..ปล่อย จะกอดแน่นไปไหน”
อนามิการู้สึกตัวจึงรีบถอยออกมา “ฉันเปล่านะ”
“เปล่าอะไร ก็อยู่กันแค่สองคน”
“ไม่ใช่อย่างงั้น ฉันหมายถึงฉันเปล่ากอดคุณเพราะอยากกอด ฉันแค่ตกใจ”
อนามิกาเริ่มสงบลง แต่ในความมืด จู่ๆ ก็มีใบหน้าหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในระยะใกล้ อนามิกาหันไปเห็นแล้วก็กรีดร้องด้วยความตกใจ
“กรี๊ดดด!” อนามิกาโผเข้ากอดณดลอีกครั้ง
ลำแสงสว่างวาบขึ้นในห้อง ณดลเห็นว่าเป็นใบหน้าของบาทหลวงที่ถือไฟฉายเดินเข้ามา แสงจากไฟฉายช้อนใต้คางทำให้ดูน่ากลัว
อนามิกายังคงกอดซุกใบหน้ากับอกของณดล
“Oh! Sorry. It’s me. I’m a priest not a ghost.” บาทหลวงบอก
“อนามิกา...ท่านบอกว่าท่านเป็นพระ ไม่ได้เป็นผี” ณดลบอก
อนามิกาค่อยๆ ถอนใบหน้าออกจากอกณดลแล้วหันมามอง “อ้าว!”
“The electricity in this town often got problem. I’m here to bring you a flashlight.” บาทหลวงยื่นไฟฉายอีกกระบอกให้
“อ๋อ..ท่านอุตส่าห์เอาไฟฉายมาให้” อนามิกาค่อยๆ รับไฟฉายมา “Thank you very much
,father.”
บาทหลวงยิ้มอย่างใจดี แล้วเอาไฟฉายที่ถือมาอีกกระบอก ส่องทางเดินแล้วเดินออกจากห้องไป
“เฮ่อ..หมดกัน เสียฟอร์มหมด ท่านคงนึกว่าฉันกลัวผีซะจน...” อนามิกาหันไปส่องไฟเสยที่หน้าณดล แล้วเธอก็ตกใจร้องออกมาเอง “ว้าย”
“นี่...หน้าฉันมันสยองขนาดนั้นเลยเหรอ” ณดลถาม
“ก็...ทำนองนั้นมั้ง”
ทันใดนั้น ไฟในห้องก็กลับมาสว่างอีกครั้ง ณดลมองอนามิกาแล้วหัวเราะขำเยาะเย้ย
“โธ่เอ๊ย...เห็นทำเป็นเก่งอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็กลัวผีซะจนกรี๊ดแต๋วแตก” ณดลขำ
อนามิกาได้แต่มองค้อนณดลเพราะเถียงอะไรไม่ออก
ประตูห้องพักหรูค่อยๆ แง้มเปิดอย่างช้าๆ เกตนิการ์แทรกตัวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ พร้อมกับถือไวน์มาด้วยขวดหนึ่ง
“คุณณดลไม่กลับมา ก็หมายความว่า..นายภัทรนอนอยู่ห้องนี้คนเดียว...” เกตนิการ์พูดกับตัวเอง
เกตนิการ์เดินเข้ามาในห้องแล้วก็เห็นร่างหนึ่งนอนคลุมโปงอยู่ในผ้าห่มเธอก็ยิ้มอย่างพอใจ เกตนิการ์ยื่นมือไปสะกิดเบาๆ
“ภัทร...ภัทร...”
ร่างในผ้าห่มขยับเล็กน้อย เกตนิการ์ส่งเสียงเว้าวอนออดอ้อนทันที
“ลุกขึ้นมาจิบไวน์เป็นเพื่อนหน่อยสิ...ฉันนอนไม่หลับอ้ะ แหม..ไม่ต้องมาแกล้งหลับเลยนะ” เกตนิการ์ขยับมานั่งบนเตียง “ภัทรเนี่ย...”
เกตนิการ์โน้มใบหน้าไปใกล้ เธอค่อยๆ เปิดผ้าห่มออกมาแล้วก็ต้องร้องลั่น เพราะเห็นว่าเป็นอัธวุธที่นอนอยู่ในผ้าห่ม อัธวุธลุกพรวดขึ้นมาด้วยความรวดเร็วทำให้ริมฝีปากของเขาไปจุ๊บกับริมฝีปากของเกตนิการ์เต็มๆ เกตนิการ์ผงะออกแล้วกรีดร้อง อัธวุธเองก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ว๊ายย!!”
“นี่เธอเข้ามาทำอะไรในห้องนี้ยะ” เกตนิการ์ถาม
“ฉันต่างหากที่ควรจะถามว่าเธอเข้ามาทำไม” อัธวุธสวนกลับ
“ฉันถามก่อน ก็ตอบฉันมาก่อนสิยะ”
“ก็นายภัทรชวนฉันกับยัยเมให้ย้ายมานอนห้องนี้น่ะสิยะ”
ทันใดนั้นเสียงณภัทรก็ดังขึ้น “อ้าว...เกด”
เกตนิการ์หันไปก็เห็นณภัทรกับเมธาวีเดินเข้ามา ทั้งสองหอบกระเป๋าเสื้อผ้า และกระเป๋าเครื่องสำอางมาด้วย
“ยังไม่นอนเหรอเกด” ณภัทรถาม
“เอ่อ...คือ...คือ...” เกตนิการ์อ้ำอึ้ง
“แล้วนั่นถืออะไรมาน่ะ” ณภัทรถาม
เกตนิการ์รีบเอาขวดไวน์หลบข้างหลัง “ฉะ ฉันแค่แวะมาราตรีสวัสดิ์น่ะ ราตรีสวัสดิ์นะทุกคน” เกตนิการ์หลบตาทุกคนเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
เมธาวีกับณภัทรมองตามเกตนิการ์ไปอย่างงงๆ
ไฟหัวเตียงภายในห้องนอนบ้านบาทหลวงเปิดไว้ อนามิกาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวจนตัวสั่น เธอขดตัวแล้วกอดหมอนข้างแน่น ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ปิดถึงปลายคาง
“บรื๋ออ...หนาวชะมัดเลย” อนามิกาครางออกมาเบาๆ
อนามิกาพริ้มหลับตาลง แล้วพลันก็ลืมตาโพลงเพราะนึกถึงณดลขึ้นมา เธอรีบหันตะแคงไปมองก็เห็นณดลนอนกับพื้นแบบไม่มีผ้าห่ม เขาขดตัวงอเป็นกุ้งพร้อมกับส่งเสียงครางเบาๆ ออกมา
อนามิกายิ้มเยาะอย่างสะใจ เธอพริ้มหลับตาแต่แล้วก็รู้สึกสงสารขึ้นมาจึงลืมตาโพลง อนามิกาจับผ้าห่มมองอย่างชั่งใจสักครู่ ก่อนจะหันตะแคงแล้วชะเง้อพูดกับณดล
“คุณ...” อนามิกาเรียกเสียงดังขึ้น “คุณณดล”
ณดลลืมตามองอนามิกา ในสภาพที่ยังกอดอกแน่นแล้วถามเสียงสั่นเครือด้วยความหนาว “หือ..มีอะไร”
อนามิกาขยับตัวแล้วเลิกผ้าห่มขึ้น “พื้นมันเย็นใช่มั้ย ขึ้นมานอนนี่ดีกว่า”
ณดลแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “เธอว่าไงนะ?”
“ขึ้นมานอนห่มผ้าบนเตียงนี่ ฉันเห็นคุณนอนกับพื้นแล้วสงสารน่ะ”
ณดลรู้สึกเซอร์ไพรส์สุดๆ “นี่ฉันหูฝาดหรือว่าฝันไปเนี่ย คนอย่างเธอก็มีน้ำใจ รู้จักเป็นห่วงคนอื่นเหมือนกันนี่นะ”
อนามิกาเริ่มเสียงแข็งใส่ “จะขึ้นมานอนมั้ย ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
ณดลรีบลุกขึ้น แล้วหอบหมอนมาที่เตียง แต่ก็ต้องชะงักเพราะอนามิกาพูดขึ้นมา “เดี๋ยว!”
“นั่นไง...ฉันว่าแล้ว เธอแค่อยากจะแกล้งฉันใช่มั้ย คนอย่างเธอหรือจะมีน้ำใจแบ่งปันผ้าห่มให้ใคร” ณดลจะหันกลับไปนอนที่เดิม
“หยุดมองฉันในแง่ร้ายได้แล้ว” อนามิกาขยับหมอนข้างมาวางกั้น “ฉันแค่จะเอาหมอนข้างมากั้นไว้ อ้อ! ขอเตือนก่อนนะ ถึงคุณจะเป็นพี่เขยฉัน แต่ถ้าขืนมาโดนเนื้อต้องตัวฉันละก็..ได้กระเด็นตกเตียงแน่”
“โอ๊ย..สบายใจเหอะ ฉันไม่ได้อยากจะแตะเนื้อต้องตัวเธออยู่แล้ว ห่วงแต่เธอนั่นแหละ อย่าเผลอมานอนก่ายฉันเองก็แล้วกัน”
“ฝันเหอะ! ฉันนอนหละนะ” อนามิกาพูดห้วนๆ “ราตรีสวัสดิ์”
อนามิกานอนตะแคงหันหลังให้ทันที ณดลขยับไปนอนบนเตียงแล้วพลิกตัวตะแคงโดยรักษาระยะห่างจากอนามิกา ทั้งสองหันหน้าไปคนละทาง ณดลรู้สึกอุ่นสบายเพราะไม่หนาวอีกต่อไป
เช้าวันใหม่ ณดลกับอนามิกานอนหลับโดยหันตะแคงใบหน้าเข้าหากัน ทั้งสองกอดกันกลมโดยไม่รู้ตัวเพราะความหนาว ส่วนผ้าห่มลงไปกองอยู่ที่หัวเข่าของทั้งคู่แล้ว
อนามิกากับณดลค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กัน ทั้งสองมองตากันแล้วนิ่งสักพัก แล้วก็พริ้มหลับตาก่อนจะนึกขึ้นได้จึงรีบลืมตาโพลงขึ้นมาพร้อมกัน แล้วก็ต้องตกใจที่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
อนามิกาเอาฝ่ามือดันหน้าของณดลออกไป “ทำอะไรน่ะ! นี่คุณกอดฉันเหรอ?”
ณดลสะดุ้งรีบชักมือกลับ แต่พอก้มมองก็เห็นขาของอนามิกาก่ายต้นขาของตนอยู่
“รีบออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ” อนามิกายังไล่
ณดลขยับจะถอยออกแต่โดนขาอนามิกาก่ายทับไว้ เลยชี้ไปที่ขาของอนามิกา “เอ่อ...ฉันจะไปไหนได้ล่ะ ขาเธอน่ะ จะก่ายฉันอีกนานมั้ย”
อนามิกาก้มมอง พอรู้สึกตัวก็รีบชักขากลับ เธอรู้สึกหน้าชาเพราะเสียฟอร์ม แต่ก็ยังโวยต่อ
“อ้าว! เอ่อ...แล้วหมอนข้างที่ฉันวางคั่นกลางไว้ล่ะ”
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
“คุณไม่ได้เอาหมอนข้างออก แล้วแอบกอดฉันตอนหลับใช่มั้ย” อนามิกาถาม
“จะบ้าเหรอ..คิดไปได้นะ เห็นฉันเป็นคนยังไงกัน เธอเองแหละมั้ง ที่เอาหมอนข้างออก แล้วเอาขามาก่ายฉัน”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจย่ะ ก็แค่หนาว ก็เลยก่ายอะไรไปเรื่อย”
“หรือว่า...เธอละเมอนึกว่าฉันเป็นไอ้ภัทร ก็เลยตะกายซะ”
“นี่หยุดนะ ฉันไม่ละเมอทำอะไรทุเรศแบบนั้นหรอกย่ะ”
“ล้อเล่นน่า...ฉันว่าเรารีบลุกไปจัดการเรื่องรถให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า”
“ก็ดี...ป่านนี้ พวกเราที่รออยู่ คงเป็นห่วงกันแย่แล้ว” อนามิกาเห็นด้วย
นลิณานั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนของโรงแรม จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาระบายอารมณ์กับเกตนิการ์
“ฉันหละเป็นห่วงยัยอะนาจริง..จริ๊ง”
“เธอเนี่ยนะเป็นห่วงยัยอะนา นี่อากาศหนาวทำให้เพี้ยนไปรึเปล่ายะ” เกตนิการ์งง
“ฉันไม่ได้ห่วงว่ามันจะเป็นยังไงหรอกนะ แต่ฉันห่วงว่ามันจะคาบคุณณดลไปกินตะหาก”
“คิดมากไปเหรอเปล่า อย่าลืมว่า คุณณดลก็รู้อยู่แก่ใจว่ายัยอะนาท้องอยู่นะ”
“โอ๊ย..ฉันไม่ไว้ใจหรอกย่ะ เธอก็รู้ว่ายัยนี่มันแพรวพราวซะขนาดไหน ยิ่งได้มีโอกาสค้างคืนกับคุณณดลแบบนั้น จะไม่ให้ฉันห่วงได้ไง”
“เฮ้อ...ถ้าฉันเป็นเธอ ก็คงจะแค้นยัยอะนามากๆ เลยนะ ไหนจะแย่งว่าที่คู่หมั้นของน้องสาวเธอ แล้วนี่ก็ยังจะฉกผู้ชายที่เธอปลื้มไปกินซะอีก” เกตนิการ์รีบใส่ไฟ
“นั่นสินะ ปล่อยมันไว้ไม่ได้แล้ว แต่นังนี่ก็หนังเหนียวซะเหลือเกิน จะทำอะไรมัน ก็รอดไปได้ซะทุกครั้ง เธอว่าฉันควรจะเอาเรื่องมันยังไงดี”
“ไม่ยากนี่...ก็ถ้าเราเอามันไม่อยู่ เราก็ต้องยืมมือผู้ใหญ่ให้ลงมาจัดการ”
“ผู้ใหญ่? หมายถึงใครยะ” นลิณางง
“ก็คุณพ่อเธอน่ะสิ โทรไปบอกเรื่องยัยอะนากับนายภัทร แล้วให้คุณพ่อเธอไปโวยกับทางพ่อแม่ของคุณณดลกับนายภัทรซะ”
“จริงด้วยสินะ ครอบครัวนั้นเค้าเกรงใจคุณพ่อฉันสุดๆ ให้คุณพ่อไปจัดการ ยังไงซะก็น่าจะดีกว่าเราจัดการกันเอง” นลิณาเห็นด้วย
เกตนิการ์รีบสะกิดนลิณาให้หยุดพูดก่อน แล้วจึงพยักหน้าไปทางที่ณภัทรเดินตรงเข้ามา
“ภัทร ว่าไงจ๊ะ โทรติดต่อพี่ณดลกับอนามิกาได้หรือยัง” เกตนิการ์ทัก
“อ้าว! ไม่มีใครบอกเธอสองคนเหรอว่า พี่ณดลกับอะนากลับมาแล้ว” ณภัทรบอก
“หา!?” เกตนิการ์กับนลิณาตกใจ
“คุณณดลไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” นลิณารีบถาม
“โอ๊ย..สบายมาก เค้าสองคนต้องไปนอนค้างคืนกันด้วยนะ ฮ่าๆๆ โอ๊ย..พี่ชายฉันกับอะนาเล่าให้ฟังนี่อย่างฮาเลย ฮ่าๆๆ”
ณภัทรเอาแต่หัวเราะจึงไม่ได้สังเกตว่านลิณาเครียดจนอกจะแตกและแทบจะกรี๊ดออกมา แต่ก็กัดฟันอดทนไว้
“แล้วมัน...เอ่อ...แล้วอะนาอยู่ไหนเหรอจ๊ะ” นลิณาถาม
“ก็...อาบน้ำอยู่ในห้องน่ะ เธอเข้าไปหาเค้าสินีน่า” ณภัทรบอก
นลิณากัดฟันพูดอย่างอาฆาต “ไปแน่...ฉันไปหายัยอะนาแน่”
นลิณากัดฟันด้วยความเคียดแค้น เกตนิการ์มองหน้าเพื่อนแล้วยิ้มอย่างสะใจเพราะรู้ดีว่านลิณาจะเอาเรื่องอนามิกาแน่ๆ
อนามิกาเดินเอาผ้าเช็ดตัวเช็ดผมที่เพิ่งสระออกมาจากห้องน้ำ เธอเดินตรงไปที่ประตูห้องซึ่งมีเสียงเคาะถี่ๆ อย่างเร่งร้อน
“มาแล้ว...มาแล้ว ยัยเมใช่มั้ยเนี่ย ก็บอกแล้วไงว่าให้กินมื้อเช้ากันไปก่อนได้เลย เดี๋ยวฉันตามไป” อนามิกาเปิดประตูแล้วก็ชะงักตกใจ “นีน่า”
“ตกใจอะไรเหรอยะ” นลิณาถามกลับ
นลิณาก้าวเข้ามาในห้องแล้วตามมาด้วยเกตนิการ์ซึ่งตามมาคุมเชิง
“เธอมีอะไรเหรอนลิณา” อนามิกาถาม
“ฉันจะมีอะไร แกนั่นแหละ มีอะไรกับคุณณดลหรือเปล่า บอกความจริงฉันมานะ ที่ไปค้างคืนด้วยกันมา แกทำอะไรกับคุณณดลบ้าง”
“อย่าพูดซี้ซั๊วได้มั้ย อย่าลืมสิว่าฉันเป็นน้องสะใภ้คุณณดล แล้วจะไปมีอะไรกันได้ยังไงยะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เคยได้ยินแต่พระยาเทครัว แต่ของเธอนี่มันนางพญาเทครัว กะจะกินรวบทั้งพี่ทั้งน้อง” นลิณาว่า
“เธอนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ ความคิดสกปรก แล้วยังพูดจาสกปรกอีก” อนามิกาไม่พอใจ
“แกด่าฉันเหรอ”
พูดจบนลิณาก็เข้าไปตบหน้าอนามิกาเป็นพัลวัน อนามิกาไม่ทันตั้งตัวก็ล่าถอยและได้แต่ยกมือปิดป้อง
“ขอตบให้หายแค้นทีเถอะ”
นลิณายังคงตบต่อไม่หยุด โดยมีเกตนิการ์ยืนยิ้มเยาะคุมเชิงอยู่
อ่านต่อตอนที่ 5 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.