แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 3
อนามิกาเดินจ้ำพรวดผ่านทางเดินหน้าประตูแล้วพุ่งตรงจะเข้าประตูห้องนอนณภัทร โดยมีเสียงณดลร้องเรียกดังตามพร้อมกับเจ้าตัวที่เร่งฝีเท้าตามมา
“เดี๋ยว! อนามิกา...ฟังฉันก่อน”
อนามิกาพรวดเข้าห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าณดลทันที ณดลกุมจมูกแล้วทุบๆ ประตูร้องเรียก “ฉันก็แค่ลองยื่นข้อเสนอจ้างให้เธอเลิกกับน้องฉัน แค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วย ฉันก็อุตส่าห์จะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกในท้องเธอทุกบาททุกสตางค์แล้วไง เปิดประตูออกมาคุยกันก่อน”
อนามิกายืนพิงประตูห้องนอนณภัทร เธอทั้งขำทั้งกระหยิ่มยิ้มย่องสะใจ
“ดี...สมน้ำหน้า แกล้งทำเป็นงอนซะเลย แหม...ใจป้ำด้วยนะ จ้างให้เลิก เสียดาย...นี่ถ้าเราเป็นแฟนกะนายภัทรจริงๆ หละ รีบรับค่าจ้างเลยนะเนี่ย”
ณดลยังคงทุบประตู แล้วตะโกนจากหน้าห้อง “อะนา...เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ”
อนามิกานึกขึ้นได้ “เออ...เอางี้ดีกว่า แกล้งงอนขนเสื้อผ้าหนีออกจากบ้านเลยดีกว่า”
อนามิการีบคว้ากระเป๋าเสื้อผ้ามาเปิดกางบนเตียง แล้วจับเสื้อผ้าโยนใส่ พอหันไปเห็นเหยือกน้ำตั้งอยู่ อนามิกาก็เดินไปเทน้ำใส่มือแล้วนำมาหยอดที่ตา พลางยิ้มขำๆ อย่างนึกสนุก
ณดลยังคงทุบประตูร้องเรียกอนามิกา
“ อะนา เธอจะโกรธ จะงอนฉันก็ได้นะ แต่ขออย่างเดียว อย่าฟ้องไอ้ภัทรว่าฉันจ้างเธอให้เลิกกับมัน นี่เธอได้ยินฉันมั้ย...อะนา..ตอบฉันหน่อย”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดผัวะออกมา อนามิกาลากกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตเดินออกมาในสภาพที่เบ้าตาเปียกฉ่ำเหมือนคนที่ร้องไห้
“อะนา เธอ...เธอร้องไห้เหรอ” ณดลหน้าเสียเพราะรู้สึกผิด
อนามิกาเบี่ยงตัวจะเดินหนีออกไป แต่ณดลรีบมาขวางไว้
“แล้วนี่เธอจะขนกระเป๋าเสื้อผ้าไปไหน”
อนามิกาแกล้งร้องไห้บีบน้ำตา “ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่...ฮือ...ฉันจะอยู่ไปทำไมในเมื่อพี่ชายของสามีดูถูกศักดิ์ศรี ไม่เคยเห็นหัวฉัน ไม่คิดกระทั่งว่าเด็กในท้องก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข หนำซ้ำยังคิดจะเอาเงินฟาด แล้วเฉดหัวฉันออกไปจากที่นี่”
“ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายขนาดนั้น ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะมันจำเป็น ฉันไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณแม่ฉันรู้ว่าไอ้ภัทรทำเธอท้อง ฉันขอโทษจริงๆ ฉันแค่กลัวว่าคุณแม่ฉันจะเป็นอะไรไป”
อนามิกาแสร้งร้องสะอึกสะอื้นแล้วทำท่าจะลากกระเป๋าเดินหนี ณดลรีบมาขวางและฉุดแขนเธอไว้
“...นะ...ฉันกำลังเข้าตาจน ก็เลยยื่นข้อเสนออะไรโง่ๆ ออกไป ลูกในท้องของเธอ ยังไงเค้าก็คือหลานฉัน ฉันจะไม่ทิ้งๆ ขว้างๆ เค้าหรอก อย่าโกรธฉันเลยนะ”
อนามิกานึกสนุกขึ้นมา เธอแอบยิ้มวูบหนึ่งแล้วแสร้งทำเป็นสะอื้นอีก “ถ้าจะให้ฉันหายโกรธหละก็...คุณต้องคุกเข่าขอโทษฉันเดี๋ยวนี้”
ได้ยินดังนั้นณดลก็ฉุนวูบขึ้นมาทันที “หา? เธอว่าไงนะ”
“งั้นหลีกทาง ฉันจะออกไปจากที่นี่” อนามิกาฮึดฮัดจะลากกระเป๋าเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน..เดี๋ยวๆ” ณดลพูดเสียงดัง “ก็ได้..ก็ได้”
ณดลคุกเข่าลงตรงหน้าอนามิกา อนามิกาถึงกับช็อคเพราะไม่คิดว่าณดลจะยอม
ณดลก้มหน้าขอโทษ แต่พูดเบาๆ “ฉันขอโทษ”
อนามิกาแอบยิ้มอย่างสะใจที่ได้แกล้ง แล้วจึงเก๊กเสียงเข้ม “พี่ว่าไงนะ ฉันไม่ได้ยินเลย”
ณดลพูดเสียงดังขึ้น แต่ยังไม่เงยหน้ามาสบตา “ฉันขอโทษ”
อนามิกากระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความสะใจ “แต่ฉันไม่ให้อภัย”
“หา?” ณดลเงยหน้าขึ้นมาสบตา “อะไรอีกล่ะเนี่ย แล้วเธอจะเอายังไงอีก..หา? ถ้างั้นเธอก็บอกมา ว่าอยากจะให้ฉันทำยังไง”
“งั้นฟังฉันให้ดีนะ...ต่อไปนี้ ถ้าฉันอยากจะทำอะไร อยากจะกินอะไร คุณไม่มีสิทธิ์มาห้าม มาบงการฉัน”
“แต่ฉันแค่เป็นห่วงสุขภาพของเด็กในท้อง...”
อนามิกาไม่รอให้ณดลพูดจบรีบแทรกขึ้น “งั้นฉันไปล่ะ” อนามิกาจะลากกระเป๋าเดินไปต่อ
“ก็ได้ๆๆ ฉันจะไม่ห้ามอะไรเธออีกแล้ว” ณดลลุกขึ้นมา “เอาหละ..ทีนี้เธอจะไม่หนีออกไป แล้วก็จะไม่ฟ้องน้องฉันแล้วใช่มั้ย”
“ยังหรอกค่ะ!”
“หา?! อะไรอีกล่ะ”
“ตลอดเวลาที่เราอยู่กันที่นี่ ไม่ว่าจะไปเที่ยวไหน จะไปกินอะไร คุณจะต้องเป็นคนออกตังค์ให้ฉันทั้งหมด” อนามิกายื่นข้อเสนออีก
“เฮ้ย...เกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย จู่ๆ จะมามั่วนิ่มให้ฉันต้องคอยออกตังค์ให้เธอเนี่ยนะ”
“งั้นฉันไป”
“ก็ได้ๆๆๆๆ โอ๊ย...เธอนี่มัน...มัน...” ณดลทำท่าเหมือนอยากขย้ำอนามิกาให้หายแค้น แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ร้องออกมาอย่างขัดใจ “ฮึ๊ย!!”
แล้วณดลก็ผละออกไป จากที่ฟอร์มทำหน้าเศร้าอนามิกาก็เปลี่ยนเป็นอมยิ้มสะใจที่เอาชนะณดลได้
เมธาวี ณภัทร และอัธวุธเดินคุยกันอยู่ในบริเวณวิทยาลัยศิลปะ ซึ่งมีนักศึกษาฝรั่งชายและหญิงเดินกันขวักไขว่
“นายคิดถูกหรือคิดผิดน่ะภัทร ที่ทิ้งพี่อะนาไว้กับพี่ณดลของนายเนี่ย” เมธาวีเป็นกังวล
“นั่นสิยะ ป่านนี้ ไม่ตีกันตายไปสามรอบแปดรอบแล้วเหรอ” อัธวุธเป็นห่วง
“พี่ชายฉันเค้าก็เป็นอย่างงี้แหละ ถึงได้บอกไง ว่าต้องระดับอะนาคนเดียวเท่านั้นถึงจะเอาอยู่” ณภัทรบอก
“เรียกว่าระดับคุณชายจอมเฮี้ยบ ก็ต้องเจอกับยัยจอมกะล่อน” อัธวุธสรุป
“คุณชายจอมเฮี้ยบกับยัยจอมกะล่อน แหม...ฟังดูยังกับชื่อหนังเกาหลี นี่! วันนี้เมไม่ต้องไปทำงานที่ร้านอาหาร เราไปหาอะไรกินกันเอามะ”
อัธวุธแซวเมธาวี “ชวนฉัน หรือชวนนายภัทรคนเดียวยะ”
เมธาวีเขิน “บ้า ก็ชวนทั้งคู่น่ะแหละ”
“ฉันว่าเอางี้ดีกว่า ฉันกับอนามิกาต้องพาพี่ณดลเที่ยวอยู่แล้ว พวกเราก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี่เอามะ” ณภัทรเสนอ
“เอาสิ...น่าสนุกนะอัธวุธ” เมธาวีเห็นด้วย
“แน่ใจเหรอว่าหนุก ไปเที่ยวกะคุณพี่ชายจอมเผด็จการเนี่ยนะ” อัธวุธหวั่นใจ
“แต่ก็รูปหล่อ ถูกใจพี่อัธวุธอยู่ไม่ใช่เหรอ” เมธาวีถาม
“ก็ได้ ให้อภัย ฉันไปก็ได้” อัธวุธพูดกับณภัทร “นี่เห็นแก่ความหล่อของพี่นายหรอกนะ”
ณ จตรัสทราฟัลการ์ที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ ณภัทร เมธาวีและอัธวุธยืนรออยู่ที่รูปปั้นโลหะสิงโต ณภัทรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วก็เริ่มกระวนกระวายเพราะรอมานานมากแล้ว
ณภัทรพูดกับอัธวุธ “แน่ใจนะ ว่านัดพี่ณดลกับอนามิกามาเจอกันที่นี่”
“แน่ใจสิยะ” อัธวุธตอบแล้วออกสำเนียงใส่จริตเต็มที่ “Trafalgar Square ฉันก็ออกเสียงสำเนียงเป๊ะหมดทุกอย่าง”
เมธาวีเอะใจ “เดี๋ยวนะ ตอนพี่อัธวุธนัด พี่บอกกับพี่อนามิกาว่าไง”
“ก็บอกมาเจอกันที่ทราฟัลการ์ สแควร์ ตรงรูปสิงโต”
“แล้วที่นี่มีสิงโตกี่ตัว” เมธาวีถามขึ้น
รูปโลหะสิงโตรอบบริเวณมีอยู่มากมายหลายตัว
อัธวุธสะดุ้งเพราะนึกขึ้นได้ “เออแฮะ มีหลายตัวนี่หว่า”
ณภัทรกับเมธาวีหันมามองหน้ากันแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาอัธวุธ ณภัทรกับเมธาวี หันไปอีกทาง สักพักเมธาวีก็ชี้ให้ณภัทรดู “นั่นไง”
ณดลกับอนามิกายืนรออยู่ที่สิงโตอีกตัวซึ่งอยู่อีกฝั่งของน้ำพุ ทั้งสองมีท่าทางเหมือนมายืนรอนานจนเริ่มจะเบื่อเหมือนกัน ณภัทร เมธาวี และอัธวุธเดินโผล่มาจากด้านหลังของทั้งคู่
“รออยู่นานมั้ยพี่อะนา” เมธาวีทักขึ้น
“นานสิยะ นี่นัดเจอกันตรงสิงโต พวกแกดันไปรอตรงแมวที่ไหน” อนามิกาเซ็ง
“โทษที ความผิดฉันเอง” อัธวุธรีบออกตัว “ลืมไปว่าที่นี่เป็นดินแดนสิงโตคำราม ก็ต้องคำรามโฮกๆ กันหลายตัวหน่อย”
ณภัทรพูดกับณดล “เดี๋ยววันนี้ พวกเราจะพาพี่ไปเดินเล่นบนมิลเลนเนียม บริดจ์ เป็นสะพานคนเดินน่ะ วิวสวย น่าถ่ายรูป รับรองว่าพี่ต้องชอบแน่ๆ”
“งั้น...มา ฉันถ่ายรูปให้แกกับเพื่อนที่นี่ก่อนดีกว่า ใกล้จะต้องแยกย้ายกันกลับเมืองไทยอยู่แล้วนี่ มา..ถ่ายรูปหมู่กัน” ณดลชวน
ทุกคนเห็นดีด้วยจึงหันหน้ามายิ้มแย้มให้กัน
ทุกคนแอ็คท่าถ่ายรูปหมู่กับน้ำพุบริเวณจตุรัส ทั้งยิ้มแย้มธรรมดาและเก๊กเท่ ส่วนณดลคอยถ่ายรูปให้ทั้งสี่คน ก่อนที่อัธวุธจะวิ่งมาสลับให้ณดลไปเข้าเฟรมบ้าง
ณภัทร เมธาวี อนามิกา และอัธวุธกอดคอกันยิ้มแย้มมีความสุขประสาเพื่อนรักที่มาใช้ชีวิตในต่างแดนด้วยกัน
นลิณากับเกตนิการ์ยืนรออยู่ตรงจุดที่เป็นตีนสะพานก่อนขึ้นสะพานมิลเลนเนียม
เกตนิการ์เริ่มกระวนกระวาย “เธอแน่ใจนะ ว่าพวกยัยอนามิกาจะมาที่นี่”
“แน่สิ ก็ฉันนัดกับพี่ณดลเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมารอที่นี่...เอ่อ...เรามาซักซ้อมกันอีกทีดีกว่ามะ” นลิณาเอ่ยชวน
“ซ้อมอีกแล้วเหรอ”
“ก็เออสิ โอกาสที่จะทำให้ยัยอนามิกาแท้งแบบนี้นานๆ จะมีซักครั้ง ไม่ใช่ว่าหาได้ง่ายๆนี่ งานนี้..เราพลาดไม่ได้นะ”
“จ้ะๆๆ ทบทวนกันอีกทีก็ได้” เกตนิการ์ตกลง “สมมุติ พอยัยอนามิกามายืนตรงนี้”
เกตนิการ์ชี้จุดที่อยู่สูงสุดของลานชั้นบนก่อนถึงขั้นบันได นลิณาเดินเข้ามาแล้วซักซ้อมท่าเดินชน
“ฉันก็เดินชนยัยอนามิกาให้เซหงายไป” นลิณาบอก
เกตนิการ์วางกระเป๋าถือใบใหญ่ของตนที่ปลายบันไดขั้นที่ก่อนจะลงขั้นบันได
“ส่วนฉัน แค่ยืนตรงปลายบันได วางกระเป๋าขวางไว้ให้มันสะดุด หรือไม่งั้น..ฉันก็จะใช้ไม้ตาย” เกตนิการ์ยื่นขามาขัดแบบเนียนๆ พร้อมกับแสร้งมองไปทางอื่น “ขัดขาให้ยัยอนามิการ่วงตกบันไดไม่เป็นท่า”
นลิณาทำมือวนๆ เป็นท่ากลิ้งตกบันไดประกอบ “แล้วยัยอนามิกาก็จะกลิ้งหลุนๆ ตกบันไดลงไปเหมือนกับเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัย”
“แล้วเราสองคนก็ต้องรีบทำเป็นตกใจ วิ่งลงไปช่วยกันอุ้มยัยอนามิกา รีบพาไปโรงพยาบาล”
นลิณาสวมบทบาทอย่างโอเว่อร์ “อนามิกา เธออย่าเป็นอะไรไปนะ ทำใจดีๆ ไว้ ฉันจะช่วยเธอเอง ฮ่าๆๆ”
นลิณากับเกตนิการ์กลั้นหัวเราะต่อไปไม่ไหว ทั้งสองระเบิดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เกตนิการ์ฉายแววเจ้าเล่ห์ ที่ใบหน้าออกมาโดยที่นลิณาสังเกตไม่เห็น
“ถ้ายัยอนามิกาแท้งซะ ทีนี้หละ...นายณภัทรก็จะกลับมาโสดอีกครั้ง” เกตนิการ์พูดเบาๆ
ณดล อนามิกา ณภัทร เมธาวี และอัธวุธเดินมาด้วยกันถึงกลางสะพานมิลเลนเนียม ณดลมัวแต่มองทั้งสี่ผ่านกล้องถ่ายรูปเพื่อหามุมสวยๆ เก็บภาพ ส่วนอนามิกากับอัธวุธเดินตาม ณภัทรกับเมธาวีอยู่ห่างๆ
อนามิกาพูดเบาๆ กับอัธวุธ “อาร์ท แล้วยัยเมเป็นไงบ้าง ยังคร่ำครวญถึงนายภัทรอยู่รึเปล่า”
“ก็ดีขึ้นเยอะแล้วหละ ยัยเมมันก็ไม่เบานะ เดี๋ยวนี้รู้จักถักผ้าพันคอให้ผู้ชายด้วยนะแก เรียกว่าแรงใช้ได้” อัธวุธกระซิบตอบ
ณภัทรกับเมธาวีเหลียวหลังมาถาม
“คุยอะไรเกี่ยวกับเมอยู่รึเปล่า” เมธาวีถาม
อัธวุธกับอนามิกาช่วยกันปฏิเสธ “ปะ..เปล่านี่ ไม่มีอะไร”
พอณภัทรกับเมธาวีหันกลับไป อัธวุธจึงเริ่มเม้าธ์ต่อ
“นี่..อะนา แกน่ะต้องอยู่ใกล้ชิดนายภัทรมากๆ เข้า ระวังอย่าเผลอใจไปแย่งของรักของหวงยัยเมมันเข้าล่ะ”
อนามิกามองเขม่นที่อัธวุธ “บ้าเหรอนังอาร์ท ฉันเนี่ยนะจะไปคิดอะไรกะนายภัทร”
“แต่ถ้าเป็นพี่ชายสุดหล่อของนายณภัทรก็ไม่แน่ใช่มะ” อัธวุธถามแซวๆ
“อีตานั่นยิ่งแล้วใหญ่ ชอบสั่ง ชอบบงการ สารพัดจะเผด็จการ พูดจาอะไรก็ไม่เคยนึกถึงจิตใจคนอื่น ไม่รู้มีปมด้อยอะไรในวัยเด็กรึเปล่า” อนามิกาบอก
ทันใดนั้น ณดลก็เหลียวหลังมา
“คุยอะไรเกี่ยวกับฉันอยู่รึเปล่า”
อัธวุธกับอนามิกาช่วยกันปฏิเสธ “ปะ..เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
พอณดลหันกลับแล้วเดินต่อไป อนามิกาก็หันมากระซิบกับอัธวุธทันที
“ฉันว่านะ เราสองคนควรจะทำอะไรที่ช่วยให้ยัยเมได้ใกล้ชิดกับนายภัทรซักหน่อยนะ ก่อนที่จะแยกย้ายกลับเมืองไทยแล้วจะเจอกันยากกว่านี้”
“แกก็พูดง่ายๆ แต่อย่าลืมสิว่า ตอนนี้แกกะนายภัทรก็ต้องรับบทสามีภรรยาตัวติดกันซะขนาดนี้ ฉันจะหาจังหวะตอนไหนเป็นเจ๊ดันให้ยัยเมล่ะยะ”
“ก็จังหวะนี้ไง แกก็หาเรื่องแยกให้นายภัทรกับยัยเมไปเดินด้วยกันอีกทางสิ” อนามิกาเสนอ
“ได้...ว่าแต่...แล้วฉันต้องทำไงล่ะ ช่วยคิดให้ด้วยได้มั้ย”
“มา...ทำอย่างงี้นะ”
อนามิกาป้องปากกระซิบข้างหู อัธวุธพยักหน้าตั้งใจรับฟัง
ณดลเดินถ่ายรูปไปจนถึงบริเวณช่วงต้นของสะพานมิลเลนเนียม เขากดชัตเตอร์ถ่ายรูปหนึ่งครั้งแล้วหันกล้องไปทางสะพาน เขามองจากกล้องแล้วเห็นอนามิกาเดินมาพูดให้เขาฟัง
“สะพานมิลเลนเนียมนี่เป็นสะพานคนเดิน ที่เห็นฝั่งโน้นคือมหาวิหารเซนต์ปอล” อนามิกาชี้ไปอีกด้าน ณดลขยับกล้องรับภาพตามด้วย “แล้วด้านโน้น ที่เห็นปล่องอิฐสูงๆ นั่นคือเทตโมเดิร์น เป็นหอศิลป์น่ะค่ะ”
ณดลมองผ่านกล้อง เขาเห็นอนามิกาเดินมาหันข้างเกาะราวสะพานชมวิว ณดลจึงปรับโคลสอัพแล้วลดกล้องไปที่บริเวณหน้าท้องที่แบนราบของอนามิกา
“ผู้หญิงท้องสองเดือนนี่หน้าท้องเค้าแบนราบอย่างงี้เหรอ” ณดลบ่นกับตัวเอง
“ว่าไงนะคะ” ณดลได้ยินเสียงนลิณาถามขึ้น
ณดลสะดุ้งโหยง “เฮ้ย!”
ณดลหันไปก็เห็นนลิณายืนอยู่ข้างหลัง โดยมีเกตนิการ์เดินตามมายืนข้างๆ
“โธ่...นลิณา มาไม่ให้สุ้มให้เสียง เล่นเอาตกใจหมด” ณดลเปรย
“เมื่อกี้คุณณดลกำลังถ่ายรูปอะไรอยู่เหรอคะ” นลิณาถามขึ้น
“อ๋อ...ก็...ไม่มีอะไรน่ะ ก็ถ่ายสะพาน...ถ่ายวิวอะไรไปเรื่อย”
ทันใดนั้น อนามิกาก็เดินมายืนข้างๆ ณดล “อ้าว...บังเอิญจังเลย เธอก็มาด้วยเหรอ”
“บังเอิญที่ไหนกันล่ะ นลิณาเค้านัดคุณณดลไว้ต่างหาก” เกตนิการ์บอก
“อ้าว...เหรอ” อนามิกาหันมาทางณดล “แล้วก็ไม่บอก”
“ทำไมจ๊ะ ถ้ารู้ว่าคุณณดลนัดฉันไว้ เธอจะไม่มาหรือไง” นลิณาถาม
“ฉันก็ยังไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นซักหน่อย” อนามิกาตอบ
ณดลหันมาพูดกับอนามิกา “แล้วเพื่อนๆ เธอหายไปไหนกันหมดล่ะ”
“พวกนั้นเค้ามาเดินเล่นแถวนี้กันบ่อยจนเบื่อแล้วน่ะ เลยขอแยกไปทางโน้นแทน” อนามิกาตอบ
ณดลมองไปรอบๆ “อ้าว...ไอ้ภัทรก็ไปด้วยเหรอ”
“ค่ะ ก็ทิ้งฉันให้อยู่กับคุณนี่แหละ” อนามิกาบอก
เกตนิการ์กับนลิณาแอบยิ้มร้ายๆ เป็นการส่งซิกให้กัน เพราะเห็นว่าสบโอกาสที่อนามิกาอยู่คนเดียว
“งั้นเราไปทางโน้นกันดีกว่า” นลิณาชวนแล้วเธอก็ผายมือให้ณดลเดินนำ
ณดลเดินลงบันไดนำไป เกตนิการ์เดินตาม พออนามิกาขยับจะเดินตาม นลิณาก็หน้าเครียดแล้วเดินประกบหลังทันที
เกตนิการ์หยุดยืนที่เชิงพักก่อนลงขั้นบันได เธอวางกระเป๋าแล้วทำเป็นเอามือจัดเส้นผม พลางขยิบตาให้นลิณา ทันใดนั้นนลิณาก็แกล้งสะดุดล้มโดยทิ้งตัวเอาไหล่กระแทกกลางหลังอนามิกาทันที
“ว๊าย...สะดุด!” นลิณาร้องลั่น
อนามิกาเซไปตามแรงกระแทกของนลิณา “ว๊าย...”
สีหน้าอัธวุธฉายแววเจ้าเล่ห์ เขาแกล้งปัดแก้วกาแฟเย็นของเมธาวีที่นั่งอยู่ข้างๆ ในร้านกาแฟริมถนนจนหกเลอะเสื้อผ้าของเมธาวี
“ว๊าย!!” เมธาวีตกใจ
อัธวุธแกล้งทำเป็นตกใจด้วย “อุ๊ย! ตายแล้ว! ฉันขอโทษนะแก” อัธวุธฉุดแขนณภัทร แล้วคะยั้นคะยอให้เทคแคร์เมธาวี “ณภัทร ช่วยยัยเมหน่อยสิ”
ณภัทรยังงง “ช่วย?...ช่วยอะไรล่ะ”
“ก็เสื้อผ้าเค้าเลอะ นายก็รีบพาไปล้างในห้องน้ำข้างหลังโน่นสิ เร๊ว!!” อัธวุธบอกเสร็จสรรพ
อัธวุธทั้งผลักทั้งดึงทั้งดันให้ณภัทรมาเทคแคร์เมธาวี
“ได้ๆๆ” ณภัทรรับคำแล้วก็พาเมธาวีเข้าไปในห้องน้ำในร้าน จากสีหน้าตื่นตระหนกอัธวุธก็เปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“เรียบร้อย” อัธวุธทำเป็นหันไปพูดกับความว่างเปล่าเหมือนพูดกับอนามิกา “ฉันจัดให้คู่นี้ใกล้ชิดกันตามที่เธอขอแล้วนะยะ ยัยอะนา”
อนามิกาอ้าปากร้องเสียงหลง ร่างของเธอเซมาสะดุดกระเป๋าที่เกตนิการ์วางไว้กับพื้นตามแผนของสองสาว “ว๊าย”
อนามิกาอ้าปากร้อง ตาเหลือก หน้าคว่ำจะลงพื้น เธอนึกในใจว่าตายแน่ ทันใดนั้น ณดลซึ่งเดินลงบันไดไป 4 ขั้นแล้วเหลียวหลังมาเห็นแล้วก็ตาโตด้วยความตกใจ
ร่างของอนามิกาที่เซคว่ำหน้าตกบันไดลงมากอดรวบกับณดลที่เหลียวหลังมามองทันที ความแรงของอนามิกาที่ตกบันไดรวบเอาร่างของณดลล้มลงบันไดไปด้วยกัน
นลิณากับเกตนิการ์ยืนตาโตลุ้นอย่างตื่นเต้น
อนามิกากอดร่างของณดลแล้วกลิ้งตกบันไดหลุนๆ มาถึงชานพักบันไดในท่าที่อนามิกาอยู่ข้างบน และริมฝีปากของเธอจุ๊บพอดีกับริมฝีปากของณดล
นลิณากับเกตนิการ์ถึงกับอึ้งจนตาแทบถลนที่เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้น
อนามิกายังค้างอยู่ในท่าริมฝีปากจุ๊บกับณดลและตัวทาบทับอยู่บนตัวของณดล สักพักเธอก็ตาเหลือกแล้วก็ถอนริมฝีปากออกมา
“อี๋...อะไรกันเนี่ย ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“เอ่อ...คือ...” ณดลพูดอะไรไม่ออก
“บอกให้ออกไป!” อนามิกาสั่งเสียงดัง
“คือว่า...”
“คุณณดล ลุกขึ้นสิ อีตาบ้า!บอกให้ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”
“คือฉันกำลังจะบอกว่า เธอนั่นแหละที่ทับตัวฉันอยู่”
“หา!” อนามิกามองอย่างสำรวจ “อ้าว..” แต่เธอก็ยังคงนิ่งๆ งงๆ
“ลุกขึ้นสิ เธอไม่ขยับตัวออกไปแล้วฉันจะลุกยังไง” ณดลบอก
“เอ่อ..” อนามิกายิ้มเก้อๆ แล้วรีบผละออกมาจากตัวณดล
นลิณาที่ยืนมองอยู่มีสีหน้าผิดหวังอย่างแรง ณดลลุกตามขึ้นมามองท้องอนามิกาอย่างเป็นห่วง
“เธอโอเคหรือเปล่า” ณดลถาม
“ฉันไม่เป็นไร” อนามิกาตอบ
“แน่ใจนะ เจ็บที่ท้องบ้างมั้ย”
“นี่ก็ห่วงแต่ในท้องฉันแค่นั้นใช่มั้ย”
เกตนิการ์รีบสะกิดเตือนนลิณา “รีบขอโทษเร็ว”
นลิณาพยักหน้าให้เกตนิการ์ แล้วรีบแสร้งถลาเข้าหาอนามิกาเหมือนคนเป็นห่วงมาก “อะนา...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันขอโทษน๊า”
อนามิการู้ทันจึงกระแทกเสียงใส่หน้านลิณา “ขอโทษงั้นเหรอ ฉันไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าเธอจงใจกลั่นแกล้งฉันหรอกนะ”
เกตนิการ์พูดอย่างนุ่มนวล “ใจเย็นสิจ๊ะอะนา ไม่มีใครจงใจแกล้งเธอหรอก นีน่าเค้าก็รู้สึกผิด แล้วก็ขอโทษเธอแล้วนี่ไง”
อนามิกาเหวี่ยงใส่เกตนิการ์ทันที “เงียบไปเลย เธอมันก็พวกเดียวกันนั่นแหละยัยเกด”
นลิณาเหลือบมองไปทางณดลที่เดินมา แล้วรีบเสแสร้งทันที “เธอหยุดว่าเพื่อนฉันเถอะอะนา เป็นความผิดของฉันคนเดียวที่ซุ่มซ่ามจนทำให้เธอตกบันได” นลิณาหันมาถามณดล “คุณณดลเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
นลิณายกมือไหว้อย่างมีมารยา “นีน่าขอโทษจริงๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องไหว้ก็ได้ แค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่มีใครเค้าถือหรอก” ณดลบอก
“แต่ฉันถือ” อนามิกาแทรกขึ้น “นิดหน่อยอะไรกัน คุณไม่ได้เป็นคนถูกผลักอย่างฉันนี่”
“เอ๊ะ...เธอนี่ยังไง ก็นลิณาเค้าบอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ” ณดลพูด
“ไม่ได้ตั้งใจเนี่ยนะ กระแทกซะเต็มหลังขนาดเนี้ย” อนามิกากระแทกเสียงใส่ณดล “คุณไม่รู้อะไร ก็เงียบไปดีกว่า”
“ว่าไงนะ นี่ฉันเป็นพี่เขยเธอนะ พูดอะไรกับฉันก็ให้รู้จักเกรงใจกันบ้าง” ณดลฉุน
นลิณาแสร้งทำเป็นคนดีทันที “คุณณดลอย่าไปดุอะนาเค้าเลยค่ะ นีน่าก็ผิดเองจริงๆ ที่เดินซุ่มซ่ามไปชนเค้า” นลิณาพูดกับอนามิกา “ขอโทษนะ จะให้ฉันไหว้ก็ได้”
ณดลสวนขึ้นทันที “ไม่ต้อง!”
“แต่ว่า...” นลิณาทำเป็นคนดีต่อ
“คนเรา...กะอีเรื่องแค่นี้ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต” ณดลหันมาพูดกับอนามิกา “นลิณาเค้าไม่ได้ตั้งใจ แล้วเค้าก็ขอโทษเธอแล้ว เธอจะเอายังไงอีก”
“นี่...ฉันเป็นน้องสะใภ้ของคุณนะ แล้วฉันเพิ่งเดินชนจนตกบันได คุณจะไม่เข้าข้างฉันซักนิดเลยเหรอ” อนามิกาโวย
“เธอหยุดโวยวายซะทีได้มั้ย ไม่อายฝรั่งมังค่าเค้าบ้างรึไง อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ ก็ให้มันจบๆ ไปไม่ได้เหรอ” ณดลว่า
“ฉันรู้ว่าคุณไม่ห่วงกระดูกกระเดี้ยวฉัน ไม่ห่วงด้วยซ้ำว่าฉันจะตกบันไดคอหักตายหรือเปล่า แต่อย่างน้อยคุณก็น่าจะห่วงเด็กในท้องฉันบ้าง ถ้าฉันแท้งขึ้นมาจะว่าไง” อนามิกาถาม
“แต่เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่นา” ณดลบอก
“พอเถอะค่ะ หยุดเถียงกันเถอะ” นลิณาแสร้งทำบีบน้ำตา “ทั้งหมดเป็นความผิดของนลิณาเอง...ฮือ..นลิณาขอโทษ...นลิณาผิดไปแล้ว ฮือ..”
ณดลแตะไหล่ปลอบนลิณา
“นลิณา...คุณไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอกนะ อุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นได้”
นลิณาโผเข้าไปซบณดลทันที “ฮือ...นลิณาขอโทษ”
อนามิกาส่ายหน้าเพราะรู้ทันมารยาของนลิณา “เอาเข้าไป...คิดว่าฉันรู้ไม่ทันเธอเหรอ”
“อะนา...หยุดทีเถอะน่า ฉันขอร้องได้มั้ย วันนี้เป็นวันดีๆ ที่พวกเราออกมาเดินเที่ยวกัน เธออย่าทำลายบรรยากาศได้มั้ย” ณดลดุ
“เอ๊า...ซะงั้น ฉันกลายเป็นคนผิด กลายเป็นคนทำลายบรรยากาศไปซะงั้น...ก็ด๊าย” อนามิกาส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ แล้วเดินหนีไป
นลิณายิ่งแกล้งสะอึกสะอื้นตัวโยนซบไหล่ณดล แล้วหันมาแอบส่งยิ้มมองตามอนามิกาไปอย่างสะใจ
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 3 (ต่อ)
ณภัทรใช้กระดาษชำระแผ่นใหญ่ ชุบน้ำที่อ่างล้างหน้าหน้าห้องน้ำเช็ดทำความสะอาดชายเสื้อของเมธาวี
“ไม่ต้องก็ได้ภัทร เมทำเองได้” เมธาวีบอก
“ไม่เป็นไรน่า ถ้าไม่รีบเช็ดซะ เดี๋ยวมันเป็นคราบแล้วซักไม่ออกนะ” ณภัทรพูดแล้วก็เช็ดต่อ เมธาวียิ้มปลื้มมองณภัทรที่ย่อขาลงนั่งยองๆ เช็ดชายเสื้อให้อย่างอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ขอบคุณมากนะภัทร”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เราสองคนก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลนี่นา จริงมั้ย”
ได้ยินเช่นนั้นเมธาวีก็ยิ้มปลื้ม
ณภัทรพูดต่อ “...เราสองคนก็เป็น ‘เพื่อน’ กันไง”
จากยิ้มปลื้มเมธาวีก็หุบยิ้มทันที
“ยังมีรอยตรงนี้อีกนิดนึง”
ณภัทรพูดแล้วยื่นหน้าไปเพ่งมองใกล้ๆ ชายเสื้อ ก่อนจะใช้กระดาษทิชชู่เช็ดถูรอยกาแฟที่หกบนชายเสื้อ
ทันใดนั้น หญิงฝรั่งวัยกลางคนก็เปิดประตูผัวะเข้ามา
“Oh! My God!”
หญิงฝรั่งเห็นเมธาวียืนพิงขอบอ่างล้างหน้า โดยมีณภัทรนั่งยองๆ อยู่ในระดับเดียวกับชายเสื้อชวนให้เข้าใจผิดเป็นอย่างยิ่ง
หญิงฝรั่งยกมือขึ้นปิดตาทันที “What did you do? Oh! My God!”
ณภัทรหันไปเห็นหญิงฝรั่งก็รีบลุกขึ้นมา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็เข้าใจในบัดดลว่าหญิงฝรั่งวัยกลางคนเข้าใจไปในทางเรื่องพรรค์อย่างว่าจึงรีบแก้ตัวกันพัลวัน
“No! No!! it’s not what you think” ณภัทรบอก
“We didn’t do anything like that” เมธาวีเสริม
หญิงฝรั่งวัยกลางคนไม่ฟังเสียง เธอทำหน้ารังเกียจ ยกมือปิดตาแล้ววิ่งออกไปทันที
ณภัทรกับเมธาวีหันมามองหน้ากันแหยๆ
“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว สงสัยคุณน้าแกคงนึกว่าเรากำลังจู๋จี๋กันอยู่หละมั้ง” ณภัทรบอก
“นั่นสิ...คิดไปได้...เฮ้อ” เมธาวีเซ็ง
ทั้งสองหันมองหน้ากันแหยๆ แล้วค่อยๆ ยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน สักครู่ทั้งสองก็ค่อยๆ ลดเสียงหัวเราะลง แล้วมองตานิ่งกันอย่างลึกซึ้ง เมธาวีชักเก้อๆ เขินๆ จึงหลบสายตา
“เรารีบออกไปข้างนอกเหอะ” เมธาวีตัดบท
ณภัทรพยักหน้ารับ แล้วทั้งสองก็พากันเดินออกไป
นลิณาเดินควงแขนณดลมาที่บริเวณสะพานเวสต์มินเตอร์ เกตนิการ์เดินตามพลางชมวิวอย่างไม่สนใจใคร ส่วนอนามิกาเดินปิดท้ายพร้อมกับมองอย่างหมั่นไส้นลิณา จึงทำท่าขยับปากล้อเลียนนลิณาที่พูดกับณดลไปด้วย
“ที่นลิณาจะพาคุณณดลไปนี่นะคะ เรียกว่าใครมาเที่ยวลอนดอน ก็ต้องมาเรียกว่าพลาดไม่ได้ค่ะ” นลิณาบอก “นี่ไงคะ”
นลิณาชี้ปที่ London eye
“มาลอนดอนทั้งที ถ้าไม่มาลอนดอนอาย ก็อายเค้าแย่เลยนะคะ ฮะๆๆ สงสัยที่ตั้งชื่อว่าลอนดอนอาย คงเพราะถ้ามาลอนดอน แล้วไม่แวะที่นี่ก็ถือว่าน่าอายมังคะ ฮะๆๆ ตลกจังเลยนะคะ” นลิณาพูดเป็นชุด
อนามิการำคาญจนไม่ไหว จากที่ขยับปากแบบไม่ออกเสียงก็โพล่งขึ้นทันที “ตลกตรงไหน”
นลิณาหันขวับมาทำตาเขียวใส่อนามิกา “ฉันไม่ได้คุยกับเธอ”
“เอ่อ...เดี๋ยวก่อนนะ โทษที ขอเวลาแป๊บนึง” ณดลแทรกขึ้น
ณดลแกะมือของนลิณาที่เกาะแกะแขนตัวเองออก แล้วยกกล้องถ่ายรูปเล็งหามุม
“ขอถ่ายรูปลอนดอนอายจากมุมนี้ซักรูปนึง” ณดลบอก
ณดลมองจากจอ LCD หลังกล้องเห็นภาพวิวของลอนดอนอาย เขากำลังจะกดชัตเตอร์แต่จู่ๆ นลิณาก็โผล่มายืนบังลอนดอนอาย
“คุณณดลจะถ่ายรูปเหรอคะ มาๆๆ นลิณาเป็นนางแบบให้” นลิณาพูดพร้อมโพสต์ท่า
“เอ่อ...คือว่า...” ณดลอึกอัก
“อ๋อ...จะให้เกตนิการ์ถ่ายด้วยเหรอ เกตนิการ์มาสิ...มาๆ” นลิณาเรียกเพื่อน
“ได้จ้ะ”
นลิณากับเกตนิการ์เดินเข้ามาโพสต์ท่ากันสุดฤทธิ์
“คืออันที่จริง” ณดลเอ่ยขึ้น “ผมอยากจะถ่ายแค่ลอนดอนอายน่ะ เดี๋ยวขอถ่ายวิวเปล่าๆ ของลอนดอนอายก่อนได้มั้ย”
นลิณากับเกตนิการ์หน้าแตกทันที ทั้งสองค่อยๆ หันมามองหน้ากัน
“เอ่อ..ดะ..ได้...ได้สิคะ” ทั้งสองพูดพร้อมกัน
อนามิกาหัวเราะพรวดออกมา แต่พอเห็นนลิณากับเกตนิการ์มองเขม่นมาเธอก็รีบหุบปาก แทบไม่ทัน
อัธวุธนั่งจิบกาแฟพร้อมทั้งเหล่หนุ่มฝรั่ง เมธาวีกับอัธวุธเดินกลับมานั่ง อัธวุธรีบรักษากิริยาทันที
“แหม...หายกันไปนานเชียว มัวทำอะไรกันอยู่เหรอจร๊า” อัธวุธถาม
“คือว่าเราไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็...” ณภัทรอธิบาย
“อุ๊ยๆๆ ไม่ต้องอธิบาย ฉันแค่ล้อเล่น งั้นคุยกันสองคนไปก่อนนะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำมั่ง”
“ได้ๆๆ ตามสบาย” ณภัทรบอก
อัธวุธลุกเดินไป 2-3 ก้าวก็หันกลับไปมองเมธาวีกับณภัทรอย่างชื่นชมผลงานของตัวเอง
“ไงล่ะ ฝีมือฉัน เปิดโอกาสให้ได้จิจ๊ะกันสองต่อสองอีกแล้ว” อัธวุธสะบัดหน้าแล้วเดินไปอย่างภาคภูมิใจในผลงาน
ณภัทรกับเมธาวีนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างอึดอัดอยู่สักพัก ณภัทรก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“กลับไปถึงเมืองไทยแล้ว เมธาวีคิดจะทำอะไรต่อน่ะ”
“ก็...คงต้องหางานอะไรทำที่เกี่ยวกับด้านแฟชั่นที่เราเรียนมานั่นแหละ เมไม่ได้มีเงินพอที่จะเปิดร้าน หรือตั้งต้นธุรกิจอะไรของตัวเอง แค่ค่ากินอยู่ ค่าตั๋วเครื่องบินกลับ ก็หืดขึ้นคอแล้ว” เมธาวีบอก
“ก็นี่ไง กลับไปทำงานอีกไม่กี่ปี ค่อยๆ เก็บเงินไป เดี๋ยวก็รวย”
“ถ้าง่ายขนาดนั้นก็คงจะดีสิ แล้วภัทรล่ะ”
“ก็...คุณแม่แพลนไว้แล้วให้ช่วยงานพี่ณดลน่ะ” ณภัทรตอบ
“นายโชคดีนะ ที่มีครอบครัวช่วยวางแผน ช่วยสนับสนุน”
“จะว่าดีก็ดี แต่จะดีกว่านี้ ถ้าคุณแม่กับพี่ณดลไม่มาบงการชีวิตไปซะทุกเรื่อง เมก็รู้นี่ ทางบ้านฉันเค้าวางแผนกระทั่งจับคู่ให้หมั้นกับคนที่ไม่ได้ฉันไม่ได้รักด้วยซ้ำ”
“แล้ว...จริงๆ เอ่อ...ผู้หญิงแบบไหนเหรอที่นายจะรักน่ะ” เมธาวีถือโอกาสถาม
“อ๋อ..ก็..แบบสเปคฉันน่ะเหรอ ก็..ข้อแรกนะ ฉันไม่ชอบฝรั่ง..ชอบคนไทย”
เมธาวีอมยิ้มขึ้นมาทันที ในหัวของเธอได้ยินเสียง ติ๊ง! เหมือนเกมโชว์เวลาที่ผู้แข่งขันตอบคำถามถูก
“ข้อสอง..ฉันชอบผู้หญิงที่เรียบร้อยๆ ไม่ชอบแบบเปรี้ยวๆ”
เมธาวีอมยิ้มมากกว่าเดิม เสียง ติ๊ง! ดังในหัวของเธออีก
“ข้อสาม...ผู้หญิงคนนั้นต้องรักฉัน จริงใจกับฉัน”
เมธาวีแทบจะฉีกยิ้มออกมา เสียง ติ๊ง! ดังขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง
“แต่ฉันก็ยังไม่เจอผู้หญิงคนนั้นหรอกนะ” ณภัทรบอก
เมธาวีหุบยิ้มทันที เสียง ออด!!! เหมือนเกมโชว์เวลาที่ผู้เข้าแข่งขันตอบผิดดังขึ้นมาแทน
“แล้ว...เมล่ะ” รภัทรถามกลับ
“หา?” เมธาวีตกใจกับคำถาม
“เมล่ะ ชอบผู้ชายแบบไหน”
“เอ่อ..คือ..” เมธาวีเขินเพราะเผยความในใจไม่ได้ว่าชอบแบบณภัทร “เม..เมไม่บอกได้มั้ย” เมธาวีทำเป็นยกกาแฟขึ้นจิบ
“ทำไมล่ะ” ณภัทรโพล่งออกมา “อ๋อ...หรือว่าเมชอบผู้หญิงด้วยกัน”
เมธาวีสำลักกาแฟทันที “จะบ้าเหรอ! เมก็ชอบผู้ชายเหมือนกับผู้หญิงทั่วไปแหละย่ะ”
“อ้าว...แล้วถ้างั้น ตอนถามว่าชอบผู้ชายแบบไหน ทำไมเมถึงไม่บอกล่ะ”
“ก็เพราะถ้าฉันบอกไปว่าชอบผู้ชายแบบไหน นายก็รู้หมดสิว่า...อุ๊บ” เมธาวีหยุดพูดเพราะเกือบหลุดบอกความในใจ
“รู้ว่าอะไร” ณภัทรถาม
“เปล่า...ไม่มีอะไร..” เมธาวีมองณภัทรที่ยังจ้องอยู่แล้วย้ำ “ไม่มีอะไรหรอกน่า”
เมธาวีรีบยกกาแฟขึ้นจิบกลบเกลื่อน ณภัทรงงเพราะไม่รู้ว่าเมธาวีพูดถึงตน แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรจึงยกกาแฟขึ้นจิบ
ณดล อนามิกา นลิณา และเกตนิการ์ยังยืนอยู่บริเวณลอนดอน อาย ณดลแหงนหน้ามองลอนดอน อาย แล้วยกกล้องขึ้นถ่ายรูป ก่อนจะหันมาถามอนามิกา
“ว่าไงไกด์จำเป็น”
“ต้องให้บอกด้วยเหรอคะว่านี่คืออะไร ตอนเด็กๆ อยู่เมืองไทยไม่เคยขึ้นชิงช้าสวรรค์เรอะ “ อนามิกาตอบแบบประชด
“นี่เธอประชดฉันเหรอ” ณดลสวน
“เปล่า...อ่ะ งั้นฟังนะ ลอนดอนอายเนี่ย เค้าให้ขึ้นไปชมวิวรอบละครึ่งชั่วโมง จุดสูงสุดนั่นสูงจากพื้นร้อยสามสิบกว่าเมตร” อนามิกาอธิบาย
“ดีเลยนะ จะได้ถ่ายรูปลอนดอนมุมสูงๆ ซักหน่อย จะเห็นวิวไปไกลแค่ไหนก็ไม่รู้สิ” ณดลตื่นเต้น
“ก็ถ้าฟ้าเปิด เมฆไม่ครึ้ม ก็เห็นวิวลอนดอนไปหลายสิบกิโลเลยหละค่ะ” อนามิกาบอก
“งั้นเราจะรออะไรล่ะ ขึ้นไปกันเลยดีกว่า” ณดลชวน
นลิณารีบกระโดดเกาะแขนพร้อมกับใส่มารยาเต็มที่ “นีน่าขึ้นไปกับคุณณดลด้วยนะคะ”“ได้สิ” ณดลเหล่มองมือนลิณาที่เกาะแขนตัวเองแน่น “แต่ทำไมต้องเกาะแขนผมซะแน่นขนาดนั้น”
นลิณารีบนึกหาเรื่องโกหก “นีน่า..เอ่อ...” นลิณามองขึ้นไป “นีน่า...กลัวความสูงน่ะค่ะ”
“นี่คุณล้อเล่นหรือพูดจริงๆ เนี่ย” ณดลถาม
“จริงๆ ค่ะ” นลิณาหันไปถามเกตนิการ์ “เน๊อะเกดเน๊อะ”
เกตนิการ์ตอบรับตาม “เอ่อ..ชะ..ใช่ค่ะ ยัยนีน่าเค้ากลัวความสูงมานานแล้ว” เกตนิการ์รีบบอกนลิณา “ยังไงเธอก็เกาะคุณณดลไว้ให้แน่นๆ ล่ะ”
“ได้จ้ะ...ได้” นลิณากอดกระชับณดลแน่นมากขึ้น
“เอางี้ดีกว่ามั้ยนีน่า ถ้ากลัวความสูงมาก ก็รออยู่ข้างล่างนี่ ไม่ต้องขึ้นไปหรอก” ณดลเสนอ
นลิณาได้ยินก็ถึงกับอึ้ง อนามิกาหัวเราะออกมา นลิณาหันขวับไปมองเขม็ง อนามิการีบหุบยิ้มทันที
นลิณาหันไปอ้อนณดล “แต่นีน่าอยากขึ้นไปชมวิวกับคุณณดลนี่นา...นะคะ ขอนีน่าขึ้นไปด้วยนะ”
ณดลพยักหน้าตอบรับ นลิณายิ้มพอใจแล้วหันมาเขม่นอนามิกาอีกครั้ง
พอกระเช้าลอนดอน อายเริ่มไต่ระดับสูงขึ้นจนเห็นวิวรอบๆ ของลอนดอน ณดล อนามิกา และเกตนิการ์ก็ยืนชมวิวอย่างเพลิดเพลิน ณดลยกกล้องขึ้นเก็บภาพสลับกับการยืนชี้ชวนดูโน่นนี่กับอนามิกา นลิณารีบเข้ามาเบียดทันที
“คุณณดลขา...นลิณากลัวความสูงน่ะค่ะ”
อนามิกาทำเป็นพูดลอยๆ ขึ้นมาอย่างรู้ทัน “ไม่รู้เป็นโรคกลัวความสูง หรือโรคกลัวความเหงาเพราะขาดผู้ชายไม่ได้กันแน่นะ”
นลิณาหันมาจิกสายตามอง เกตนิการ์รีบดึงอนามิกาให้ห่างออกมาแล้วพูดกับอนามิกา
“ขอร้องหละนะ เธอหยุดหาเรื่องเพื่อนฉันซะทีได้มั้ย”
“ฉันก็ไม่ได้หาเรื่องอะไรนี่ แค่ทนอะไรที่เวิ่นๆเว่อร์ๆไม่ค่อยจะได้ ก็แค่นั้น” อนามิกาบอก
“อืม..งั้นเหรอ...ฉันนึกว่าเธอ”
“นึกว่าอะไร?”
“นึกว่าเธอหึงหวงคุณณดลซะอีก” เกตนิการ์โพล่งออกมา
“จะบ้าเหรอ ฉันเนี่ยนะจะหึงอีตานี่”
“ไม่รู้ ก็มันดูเหมือนอย่างนั้นนี่ ฉันเห็นเธอไม่พอใจทุกทีเวลานีน่าเข้าใกล้คุณณดล ถามจริง ลึกๆ เธอชอบพี่เขยตัวเองแต่ไม่รู้ตัวรึเปล่า”
“บ้า!..ไม่มีทางหรอก หยุดพูดเพ้อเจ้อเถอะน่า”
อนามิกาหันไปมองเหม่อชมวิวแต่ในใจกลับคิดทบทวนความรู้สึกตนเองตามที่เกตนิการ์ทัก
แสงไฟยามค่ำคืนสะท้อนระยิบระยับบนผิวแม่น้ำเทมส์ซึ่งเห็นหอนาฬิกาบิ๊กเบนอยู่ด้านหลัง ณดลยืนถ่ายรูปโดยมีนลิณากับเกตนิการ์อยู่ใกล้ๆ ส่วนอนามิกายืนห่างออกมาเล็กน้อย
ณดลลดกล้องลงแล้วยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันมาพูดกับอนามิกา “อืม...สวยจริงๆ ขอบใจมากนะ นี่ฉันถ่ายไปหลายร้อยรูปเลยเฉพาะแค่วันนี้นะ”
นลิณาตัดพ้ออย่างขัดใจ “คุณณดลนี่ชอบถ่ายแต่วิวนะคะ นีน่าอุตส่าห์จะเป็นนางแบบให้ก็ไม่เคยสนใจ”
นลิณายื่นมือขอกล้องถ่ายรูปจากณดล
“ไหนนลิณาขอดูรูปหน่อยได้มั้ยคะ ฝีมือคุณณดล รูปต้องสวยเริ่ดแน่ๆ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เอาสิ...กดเลื่อนที่ปุ่มนี้” ณดลแนะนำการใช้งานกล้องให้กับนลิณา
แล้วณดลก็เดินแยกมาชมวิวกับอนามิกา ในขณะที่ นลิณาแยกไปดูรูปจากหน้าจอของกล้องกับเกตนิการ์
ณดลกับอนามิกาเดินคุยกันมา
“แล้วนี่เธอกับน้องชายฉันวางแผนชีวิตกันไว้ยังไงบ้าง ไอ้ณภัทรมันต้องกลับไปช่วยงานฉันที่เมืองไทย แล้วเธอล่ะ จะทำมาหากินอะไร” ณดลถาม
“ก็...ไม่รู้สิคะ ฉันเองก็ยังไม่ได้คิดถึงอนาคตเท่าไหร่” อนามิกาตอบ
“ไม่ต้องบอกฉันก็พอรู้ ถ้าเป็นคนคิดการณ์ไกล รู้จักวางแผนอนาคต เธอก็คงไม่ปล่อยให้ป่องแบบนี้”
อนามิกาฉุนจนหยุดเดิน ส่วนณดลเดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ อนามิกาขมุบขมิบปากด่าแต่ไม่ออกเสียงว่า “ไอ้บ้า”
นลิณากับเกตนิการ์ยังคงสุมหัวดูภาพจากจอหลังกล้องถ่ายภาพดิจิตอลของณดลอยู่
“ดูนี่สิเกด มันชักจะทะแม่งๆ ยังไงไม่รู้สินะ” นลิณาทักขึ้น
“ไหน...มีอะไรเหรอ”
“ดูนะ...”
ที่จอภาพด้านหลังกล้องดิจิตอลเห็นเป็นภาพแอบถ่ายอิริยาบถของอนามิกา ที่สะพานมิลเลนเนียม
“เอ๊ะ...ทำไมมีรูปยัยอะนาเยอะจัง” เกตนิการ์ชักสงสัย
“ก็นั่นสิยะ คุณณดลไม่ยอมถ่ายรูปฉัน แต่ทีกับมันหละกดไม่ยั้ง” นลิณาเริ่มฉุน
“คนอย่างคุณณดลเค้าคงไม่ทำอะไรเมียของน้องชายตัวเองหรอกมั้งเธอ”
“ฉันรู้ย่ะ แต่ฉันหมั่นไส้มัน ยังไงมันก็คือคนที่แย่งว่าที่คู่หมั้นของน้องสาวฉันไป วันนี้มันรอดไปได้ แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะหยุดแค่นี้”
ธัญญาร้องเพลงถึงท่อนสุดท้ายอยู่บนเวทีในคลับของพายัพ เมื่อเพลงจบ เสียงปรบมือก็ดังประปราย
“ขอบคุณค่ะ แล้วพบกันใหม่ที่นี่...ทุกคืนนะคะ สำหรับคืนนี้ สวัสดีค่ะ” ธัญญาพูดผ่านไมโครโฟน
พายัพหรี่ตามองธัญญาด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ย ธัญญาเดินลงมาที่ข้างเวที นักเที่ยวชายขี้เมาคนหนึ่งเดินเซเข้ามาใกล้ก่อนจะยื่นมือคว้าหมับที่สะโพกของธัญญา
“ว๊าย...นะ..นี่มันอะไรกันคะเนี่ย” ธัญญาตกใจ
ชายขี้เมาพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ “แค่นิดหน่อย จะโวยทำไม เดี๋ยวพี่ให้ติ๊บ มา..ขอกอดอีกที” ชายขี้เมาโผเข้ากอดธัญญา
“ว๊าย...อย่านะคะ ไม่ค่ะ”
ทันใดนั้นชายขี้เมาก็ถูกกระชากออกมาโดยพายัพ ธัญญาผงะหน้าตาเหวอด้วยความตกใจ
“คุณพายัพ”
พายัพกระชากชายขี้เมาจนตัวปลิวออกมา แล้วทำสีหน้าเข้มและท่าทางเอาเรื่อง
“ขอโทษนะครับ พี่เมามากแล้ว ผมว่าคืนนี้พี่กลับบ้านนอนก่อนดีกว่า”
“เฮ้ย..อะไรวะ น้องเป็นใคร ยุ่งอะไร” ชายขี้เมาโวยวาย
“ผมชื่อพายัพ เป็นเจ้าของที่นี่”
“งั้นก็ดีเลย บอกเด็กในร้านนะ แค่จับนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นดัดจริตดีดดิ้น”
“นี่คุณว่าฉันดัดจริตเหรอ” ธัญญาโมโห
พายัพยกมือปราม “ไม่ต้อง ให้ผมจัดการเอง” พายัพกอดแขนพาชายขี้เมาให้เดินออกจากร้าน “พี่กลับบ้านเถอะนะครับ เดี๋ยวผมให้เด็กเรียกแท็กซี่ให้”
“กูไม่กลับ” ชายขี้เมาโวยวายแล้วโผเข้าหาธัญญา “มาให้พี่กอดหน่อยซิ”
ชายขี้เมธาวีาโผเข้าหาธัญญาที่ยืนผงะหลับตาเพราะหลบไม่ทัน แต่พายัพก็กระชากชายขี้เมาเข้ามาดึงคอเสื้อขู่แบบเอาจริง
“พี่จะเดินออกไปดีๆ หรือให้ผมพาออกไป ที่นี่เป็นคลับมีระดับ ไม่ใช่ซ่อง น้องๆ ที่นี่เค้าก็มีศักดิ์ศรี พี่จะมาลวนลามซี้ซั้วอย่างนี้ไม่ได้นะครับ”
“ทำไม มึงมีปัญหาเหรอ หรือมึงอยากมีเรื่องกะกู ชกกะกูมะมึงน่ะ” ชายขี้เมากร่าง
“ครับ! เอางั้นก็ได้ ถ้าพี่ต้องการ พี่กับผม ไปชกกันตัวๆ หน้าร้าน เอาดิ! มา!” พายัพรับคำท้า
พอเห็นพายัพเอาจริง ชายขี้เมาก็ชักปอด “เฮ้ย...เอาจริงเว้ย...ก็ได้ๆๆ กูกลับบ้านก็ได้ ฝากไว้ก่อนเหอะมึง” ชายขี้เมาเดินโซซัดโซเซออกจากคลับไป
พายัพส่ายหน้าด้วยความระอา ส่วนธัญญามองพายัพด้วยสายตาชื่นชม
ธัญญาที่เปลี่ยนชุดแล้วเดินออกมาจากประตูคลับ เธอสะพายกระเป๋าถือเตรียมตัวจะกลับบ้าน พายัพยืนรอยู่หันไปเห็นก็รีบเดินเข้าไปหา
“เป็นไงบ้างธัญญา”
“ก็โอเคค่ะ ไม่เป็นไรแล้ว” ธัญญายกมือไหว้ “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณพายัพหละแย่แน่ๆ จะว่าไป คุณพายัพนี่ก็ฮีโร่สุดๆ ไปเลยนะคะ”
“แหม..ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ว่าแต่...เมื่อกี้ผมบอกคุณไปรึยังว่าคืนนี้คุณดูสวย...แล้วก็เซ็กซี่เป็นพิเศษเลย”
“แหม..คุณพายัพก็...ปากหวานอีกแล้วนะคะ”
“ผมพูดจริง เอ่อ...ให้ผมขับรถไปส่งดีกว่านะ”
“แต่ว่า...”
พายัพไม่รอให้ธัญญาพูดอะไรต่อ “ผมไม่ยอมให้คุณปฏิเสธแล้วนะคืนนี้”
“เอ่อ...แต่...เกรงใจคุณพายัพน่ะค่ะ”
พายัพจับไหล่โอบอย่างนุ่มนวล “แหม...จะเกรงใจทำไม ที่นี่เราดูแลกันแบบพี่น้อง ไม่มีเจ้านาย ไม่มีเจ้าของร้าน ไม่มีลูกน้อง ทุกคนเป็นกันเองน่า..ให้ผมไปส่งในฐานะพี่ชายก็ได้นะ...โอเคมั้ย?”
“เอ่อ..” ธัญญายิ้มอย่างเป็นมิตร “ถ้างั้นก็ได้ค่ะ”
รถเก๋งสุดหรูของพายัพค่อยๆ ชะลอจอดหน้าคอนโดมิเนียมระดับกลาง ธัญญาเปิดประตูรถก้าวลงมาแล้วเดินไปโบกมือลาพร้อมกับไหว้ขอบคุณพายัพ
“ขอบคุณมากนะคะคุณพายัพ แล้วพรุ่งนี้เจอกันค่ะ” ธัญญาจะผละไปแต่พายัพกล่าวขึ้นมา
“เดี๋ยวสิคุณ” พายัพดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูลงมา “ให้ผมขึ้นไปส่งบนห้องดีกว่า”
“เอ่อ...อย่าเลยค่ะคุณพายัพ ส่งแค่นี้พอนะคะ”
“อ้อ...ครับ” พายัพหันหน้ากลับ แวบหนึ่งดวงตาของเขาฉายแววเจ้าเล่ห์ก่อนจะรีบหันกลับไป “ผมขอขึ้นไปเข้าห้องน้ำนิดนึงได้มั้ยครับ”
“อ้าว..ได้สิคะ คุณพายัพไม่บอกแต่แรกล่ะว่าจะเข้าห้องน้ำ ตามฉันมาเลยค่ะ”
พายัพยิ้มร้ายๆ ดวงตาฉายแววเสือผู้หญิงแล้วเดินตามธัญญาไป
ธัญญาเปิดประตูห้องแล้วเดินนำพายัพเข้าไป สีหน้าของพายัพที่เดินตามเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์กะลิ้มกะเหลี่ย
“ห้องน้ำอยู่ทางนั้นค่ะ” ธัญญาชี้ไปทางห้องน้ำ
พายัพแกล้งเดินสะดุดแล้วโผเข้าไปกอดธัญญา
“โอ๊ย...ขอโทษครับ ผมสะดุด ผมนี่ซุ่มซ่ามจริงๆ”
ธัญญาขยับตัวจะออกจากวงแขน แต่พายัพใช้สองมือจับกระชับต้นแขนธัญญาไว้ แล้วมองตาจนธัญญาเริ่มใจละลายจึงก้มหน้าหลบตา
“คุณสวยจัง ขอผมมองคุณเต็มๆ ตาหน่อยได้มั้ย” พายัพหยอด
พายัพค่อยๆ เชยคางของธัญญาให้หันมามองหน้าตน แล้วหอมเบาๆ ที่แก้ม
ธัญญาพูดจากลำคอเบาๆ “อย่าค่ะคุณพายัพ”
พายัพพริ้มตาจะก้มลงไปจูบธัญญา ธัญญาก็ยืนนิ่งไม่ปฏิเสธขัดขืน แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกัน เสียงโทรศัพท์มือถือของธัญญาก็ดังขึ้น
“อุ๊ย..ขอโทษค่ะ” ธัญญาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แล้วพูดกับพายัพ “น้องสาวโทรทางไกลมาจากลอนดอน ต้องขออนุญาตรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ”
พายัพรู้สึกขัดใจ แต่ก็ฝืนยิ้ม “ตามสบายครับ”
ธัญญาพูดใส่โทรศัพท์ “ฮัลโหล ว่าไง ยัยอะนา”
อนามิกานอนพูดโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงของณภัทร
“พี่ธัญญา ฉันคิดถึงพี่จะตายอยู่แล้ว เตรียมตัวต้อนรับน้องสาวคนสวยคนนี้ให้ดีเลยนะ อีกไม่นานก็จะกลับไปเมืองไทยแล้ว Coming soon! จ้ะพี่”
ธัญญาพูดโทรศัพท์โดยมีพายัพยืนฟังอยู่ใกล้ๆ
“อู๊ย..ขอให้รีบๆ มาเหอะ พี่ก็คิดถึงอะนาแทบแย่แล้วเหมือนกัน แล้วนี่มีธุระอะไรรึเปล่า”
“เปล่าเลยจ้ะ ก็แค่วันนี้ออกไปเดินเที่ยวมา ก็เลยคิดถึงพี่ธัญญา อยากให้พี่มาเที่ยวที่นี่บ้าง”
“โอ๊ย...คงจะเป็นได้แค่ฝันเฟื่องหละจ้ะ ถึงพี่จะได้งานร้องเพลงที่ใหม่แล้ว แต่รายได้แค่พอจ่ายค่าเช่าคอนโด ค่ากินค่าอยู่ ก็แทบไม่พอแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่...” ธัญญาหันไปมองพร้อมกับส่งยิ้มให้พายัพ “เจ้านายพี่ ชื่อคุณพายัพ เค้าใจดี แล้วก็น่ารักมากๆ เลย”
“งั้นก็ดีแล้วพี่ แค่นี้ก่อนนะ เปลืองค่าโทร อ้อ..พี่เลิกเล่นไพ่ แล้วก็เลิกกินเหล้ารึยัง”
ธัญญาหน้าเสีย “พี่ไม่คุยเรื่องนี้ ไว้เจอกันนะ ก่อนกลับก็โทรมาบอกกันก่อนล่ะ จ้ะ หวัดดีจ้ะ” ธัญญากดปุ่มวางหูทันที
“น้องสาวคุณชื่ออะไรนะ” พายัพถาม
“ชื่ออนามิกาค่ะ ทำไมเหรอคะคุณพายัพ”
“ผมคุ้นๆ คล้ายกับเคยได้ยินชื่อนี้น่ะ เพราะน้องสาวผมก็เรียนอยู่ที่ลอนดอนเหมือนกัน เค้าชื่อเกตนิการ์น่ะ”
“เหรอคะ ไม่แน่นะคะ เค้าอาจจะรู้จักกันก็ได้ ว่าแต่...คืนนี้ฉันว่าคุณพายัพรีบเข้าห้องน้ำ แล้วรีบกลับก่อนดีกว่า นี่ดึกมากแล้ว ฉันอยากจะรีบอาบน้ำนอนน่ะค่ะ”
“ก็ได้...ต่อไปนี้ ถ้าผมไม่ติดอะไร ให้ผมมาส่งคุณที่นี่อีกนะครับ” พายัพบอก
“ค่ะ...ขอบคุณมากนะคะ คุณพายัพดีมากๆ จนฉันเกรงใจไปหมดแล้ว”
พายัพยิ้มตอบ เขามองธัญญาด้วยสายตาที่รู้ดีว่าตนจะพิชิตธัญญาเมื่อไหร่ก็ได้
ณ แหล่งเสื่อมโทรมในลอนดอน นลิณากับเกตนิการ์กำลังยืนเจรจากับจอห์น ชายฝรั่ง
โฮมเลส แต่งกายสกปรกหนวดเครารกรุงรัง แต่รูปร่างหน้าตาน่ากลัวอยู่
“I don’t wanna kill her. You just do anything to make her…..” นลิณาหันมาถามเกตนิการ์ “เอ๊ะ! คำว่า แท้ง นี่ภาษาอังกฤษว่าไงนะ แท้งลูกน่ะ”
“Abortion” เกตนิการ์ตอบ
“Abortion! You mean she’s pregnant! Oh! no..no!” จอห์นส่ายหัว โบกมือปฏิเสธ
“Yes! got problem?” นลิณาควักธนบัตรปึกบางๆ ขึ้นมาชูล่อตาล่อใจ
จอห์นลังเลครู่เดียวแล้วก็รีบคว้าเงินปึกนั้นไป
นลิณายื่นกระดาษที่พรินต์รูปอนามิกาให้จอห์น “This is her picture. Her name is อนามิกา”
“a..na!!” จอห์นดูรูปแล้วพยักหน้ายิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
นลิณาหันไปพูดกับเกตนิการ์ “ก็แค่เนี้ย ไอ้ฝรั่งบ้า แหม...ตะกี้ทำเป็นคนดี พอรู้ว่าผู้หญิงท้องก็จะไม่รับงานซะงั้น”
“ไอ้พวกโฮมเลส จรจัดพวกนี้ มันก็แค่อยากได้เงินเพิ่มเท่านั้นแหละ แต่เธอไม่ต้องห่วงนะนลิณา คนที่ฉันรู้จักการันตีว่าไอ้พวกนี้ ทำงานคุ้มค่าเงินทุกปอนด์” เกตนิการ์บอก
“ดี...ยัยอนามิกา ทีนี้หละ แกไม่รอดแน่...” นลิณายิ้มร้าย
“ใช่...ถ้ามันแท้ง มันก็จะไม่มีอะไรไปต่อรองที่จะผูกมัดนายณภัทรไว้ได้อีกต่อไป”
พูดจบเกตนิการ์ก็หันไปยิ้มให้นลิณา ทั้งสองแววตาเป็นประกายพร้อมกับยิ้มอย่างอาฆาตมาดร้าย
อ่านต่อหน้า 3
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เสียงผัดกับข้าวในกระทะดังแว่วอยู่ในบ้านณภัทรตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะอนามิกากำลังยืนผัดหมู พริกและกระเทียมในกระทะอย่างทะมัดทะแมง เมธาวียื่นจานใส่ใบกระเพราผสมใบโหระพาส่งให้อนามิกา
“ใส่ตอนนี้เลยหรือเปล่าจ๊ะพี่อะนา” เมธาวีถาม
“อีกแป๊บนึงเมธาวี” อนามิกาบอก
ทันใดนั้น ณภัทรก็เดินเข้ามาในครัว
“เสร็จหรือยัง พี่ชายฉันให้มาเร่ง”
อนามิกาโวยด้วยความฉุน “โอ๊ย...คุณชายจอมสั่ง แหม..” อนามิกาทำเสียงเลียนแบบณดล “บ่นว่าเบื่ออิงลิชเบรกฟาสต์ อยากจะกินอาหารไทย แหม..แล้วตอนอยู่เมืองไทยไม่รู้จักกินไว้เยอะๆ ล่ะยะ ดันมาอยากกินอาหารไทยเอาตอนอยู่ลอนดอนซะงั้น...เรื่องมาก!”
พูดจบอนามิกาก็ใช้มือกอบใบกระเพรากับใบโหระพาโยนลงในกระทะอย่างอารมณ์เสีย ณภัทรกับเมธาวีฉุนกลิ่นผัดกระเพราจนจามขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะจามอีกครั้ง แล้วหัวเราะอย่างเขินๆ ออกมาทั้งคู่ อนามิกาแอบมองทั้งสองหัวเราะต่อกระซิกกันแล้วรู้สึกยินกับทั้งคู่
เวลาผ่านไป ณดลใช้ช้อนกลางตักผัดกระเพราหมูขึ้นมา เขายกช้อนจ้องมองเหยียดๆ อนามิกา เมธาวี และณภัทรนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยจึงหันมามองเขา
“ก็อีแค่ผัดกระเพรา” ณดลพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
อนามิกาเริ่มไม่พอใจ “หมายความว่าไงนะคะ”
“ก็เนี่ย แค่ผัดกระเพรา ไข่เจียว แกงจืด ตอนที่เธอบอกจะทำอาหารไทยให้ฉันกิน ฉันนึกว่าจะมีกับข้าวเด็ดๆ...ที่ไหนได้ ก็แค่อาหารตามสั่งทั่วไป” ณดลว่าเป็นชุด
อนามิกาฉุนกึก เธอวางช้อนแล้วจ้องหน้าณดล เมธาวีรีบจับแขนเพื่อปรามให้อนามิกาเย็นลง แล้วหันไปพูดกับณดลทันที
“แต่คุณพี่ณดลขา ที่นี่ลอนดอนนะคะ ได้ทานขนาดนี้ต้องเรียกว่าหรูแล้ว”
“ใช่...คนทำก็เหนื่อยเป็นนะ ถ้าพูดอะไรที่สร้างสรรค์ไม่ได้ ก็เงียบไปดีกว่า” อนามิกาต่อว่า
ณภัทรรีบพูดขึ้น “ใจเย็นๆ ก่อนอนามิกา” ณภัทรหันมาบอกณดล “ผมว่าพี่ลองชิมก่อนดีกว่ามั้ย”
“จะต้องชิมอะไร ทำยังกะเกิดมาฉันไม่เคยกินผัดกระเพรา กับข้าวพวกเนี้ย ใครทำก็เหมือนๆกัน ไม่ต้องชิมฉันก็พอนึกรสชาติออก”
พูดจบณดลก็ตักผัดกระเพราพร้อมข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยว สักพักเขาก็ถึงกับสะดุดกึกทันที เมธาวี อนามิกา และณภัทรชะงักมองณดลอย่างลุ้นๆ ว่าเขาเป็นอะไร
ณดลมีสีหน้าเหมือนไม่เชื่ออะไรบางอย่าง เขารีบใช้ช้อนกลางตักผัดกระเพรามาใส่จานก่อนตักกินพร้อมข้าวอีกคำ
“เฮ้ย...ไม่เลวนะ” ณดลโพล่งออกมา
เมธาวี อนามิกา และณภัทรเริ่มงงเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าณดลเอ่ยชมอนามิกา
“รสชาติก็แตกต่าง เธอใส่อะไรลงไปน่ะ” ณดลถาม
“พี่อะนาเค้าใส่ใบโหระพาผสมไปด้วยน่ะค่ะ” เมธาวีตอบให้
“อืม..เข้าท่านี่” ณดลชมอีก
อนามิกาเริ่มยิ้มออก “ขอบคุณนะคะที่ชม”
“แต่จะเรียกว่าชม...ก็ไม่เชิงนะ” ณดลรีบพูด “กับข้าวพวกนี้มันก็ง่ายๆ ให้ใครทำก็อร่อยทั้งนั้น”
“แต่พี่อะนาเค้าเก่งจริงๆ นะคะ ตอนทำงานที่ร้านอาหารนี่เค้าทำกับข้าวแทนแม่ครัวได้เลยหละค่ะ” เมธาวีบอก
“ใช่พี่..แบบเนี้ยเค้าเรียกว่า มีเสน่ห์ปลายจวัก สามีรักจนตาย” ณภัทรพูดแซวเพื่อนแล้วก็ถูกอนามิกาหยิกขาจนต้องร้องออกมา “อุ๊ย!”
“เสน่ห์ปลายจวักอะไรของแก สมัยนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว อยากกินอะไรอร่อยๆ ก็แค่โทรสั่ง หรือขับรถออกไปกินที่ร้านง่ายกว่าเยอะ” ณดลว่า
พูดจบณดลก็ยื่นมือจะไปจับช้อนกลางตักกับข้าว แต่อนามิกากลับดึงจานนั้นเลื่อนหนีมือของเขาไป
ณดลมองอนามิกาอย่างงงๆ “อะไรของเธอ”
“ก็คุณบอกเองว่าอยากกินอร่อยๆ ก็แค่ออกไปกินที่ร้าน งั้นคุณก็ออกไปกินที่ร้านแล้วกัน” อนามิกาหันมาพูดกับเมธาวีและณภัทร “มา! พวกเรา กินกัน คุณณดลเค้าสละสิทธิ์แล้ว”
อนามิกาเลื่อนจานกับข้าวจานอื่นๆ ออกห่างจากณดลอีก
“เฮ้ย...อย่าสิ ฉันกินด้วย” ณดลร้องขอ
“จะกินทำไมล่ะคะ ถ้ารสชาติมันไม่ได้เรื่องถึงขนาดต้องกินไปบ่นไป”
“ไม่บ่นแล้ว..ไม่บ่นแล้ว...ขอฉันกินด้วยนะ”
“แล้วคุณคิดว่าฝีมือฉันเป็นไง?”
“ก็...ใช้ได้นะ” ณดลตอบแล้วเห็นอนามิกายังหน้าบึ้งจึงพูดต่อ “เก่งเลยหละ เยี่ยมเลยเอ้า”
จากหน้าที่บึ้งอยู่อนามิกาก็เริ่มยิ้มออก
“ให้ฉันกินต่อได้รึยัง” ณดลถาม
อนามิกาเลื่อนจานกับข้าวให้ ณดลรีบตักกับข้าวทานอย่างเอร็ดอร่อย อนามิกามองณดลแล้วอมยิ้มด้วยความรู้สึกเอ็นดูผู้ชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว
เกตนิการ์นั่งรอนลิณาอยู่ที่โซฟาห้องรับแขกในอพาร์ทเมนต์สุดหรูของนลิณ จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเกตนิการ์ก็ดังขึ้น เกตนิการ์ยกโทรศัพท์ขึ้นดู
“พี่พายัพ” เกตนิการ์รีบกดรับอย่างดีใจ “โทรมาได้ไงเนี่ย เกตนิการ์กำลังคิดถึงพี่อยู่พอดีเลย”
พายัพเดินคุยโทรศัพท์มือถือกับน้องสาวอยู่ในบริเวณพื้นที่โครงการ City Avenue
“แหม...ขึ้นมาก็อ้อนพี่เลยนะยัยเกตนิการ์ จะให้พี่โอนเงินไปอีกเท่าไหร่ล่ะ”
เกตนิการ์กำลังพูดโทรศัพท์อยู่กับพายัพ สักพักนลิณาที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จก็เดินมาข้างหลัง จึงได้ยินสิ่งที่เกตนิการ์พูดด้วย
“เกตนิการ์ไม่ได้หน้าเงินขนาดนั้น พี่พายัพแหละ เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเกตนิการ์ แต่ร้อยวันพันปีจะโทรมาหาน้องสาวซักครั้ง นี่ต้องมีธุระสำคัญอะไรแน่ๆ เลย หรือว่า...” เกตนิการ์ทำเสียงตื่นเต้น “อย่าบอกนะว่าพี่พายัพจะแต่งงาน”
“โอ๊ย..ไปใหญ่แล้ว” พายัพพูดกับน้องสาว “พี่แค่จะโทรมาทักทาย เอ้อ! มีนักร้องที่คลับของพี่คนนึงเค้าบอกว่าน้องสาวเค้าอยู่ลอนดอน ชื่ออนามิกา พี่ก็เลยสะดุดหู เหมือนคุ้นๆ ว่าเกดเคยพูดถึงชื่อนี้”
เกตนิการ์มีทีท่าสนใจขึ้นมาทันที นลิณาเองก็เงี่ยหูมาฟังด้วย
“จริงเหรอคะ ชื่อยัยอนามิกา ก็ไม่น่ามีคนซ้ำหรอกนะ ตายแล้ว...ในคลับของพี่ก็มีแต่พวกเพลย์บอยรุ่นใหญ่ทั้งนั้น อย่างงี้พี่สาวมันก็ไม่ต่างจากพวกนักร้องล่อตะเข้สิเนี่ย”
เกตนิการ์หันไปสบตากับนลิณาที่เดินเข้ามาใกล้ ต่างคนต่างแปลกใจแต่ก็ยิ้มให้กันด้วยอารมณ์ดูถูกดูแคลน
อนามิกาเดินตรงมาหาณภัทรกับเมธาวีที่ยืนดูสินค้ากันอยู่บริเวณย่าน Covent Garden ส่วนณดลกำลังถ่ายรูปมุมต่างๆ บริเวณที่ห่างออกมาอยู่
“ฉันว่าเอางี้ดีกว่านะภัทร” อนามิกาเสนอ “นายพายัยเมไปเดินเล่นกันสองคนดีกว่า” อนามิกากระซิบ “นะๆๆ ขอร้องหละ ฉันกลัวยัยเมธาวีมันเบื่อน่ะ”
ณภัทรแปลกใจ “แล้วเธอจะอยู่กับพี่ชายฉันไหวเหรอ? ฉันเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นายดูแลยัยเมให้ดีเหอะ” อนามิกากำชับ
“พี่อะนา” เมธาวีดึงอนามิกาออกห่างจากณภัทรแล้วกระซิบ “เมรู้ว่าพี่อยากจะช่วยให้เมใกล้ชิดกับภัทร แต่พี่ไม่ต้องลงทุนขนาดยอมฝืนอยู่กับพี่ณดลก็ได้นะ”
“โอ๊ย..ไม่ต้องห่วง อีตาเนี่ย...ฉันเอาอยู่ แกรีบไปเหอะ ไป๊”
พูดจบอนามิกาก็ดันให้เมธาวีกับณภัทรเดินออกไปด้วยกัน ทั้งสองจึงยอมเดินห่างไป ก่อนที่ณดลจะเดินเข้ามาหาอนามิกา
“ไอ้ภัทรมันไปไหนของมันอีกน่ะ” ณดลถาม
“คุณอย่าลืมสิว่าพวกเราอยู่ลอนดอนกันมาเป็นปีแล้ว แถวเนี้ย แทบจะหลับตาเดินกันได้น่ะ เค้าสองคนคงเบื่อ เลยขอแยกไปเดินที่อื่นน่ะสิ” อนามิกาอธิบาย
“ฉันหละไม่เข้าใจมันเลย เมียยังท้องอ่อนๆ แทนที่จะคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ” ณดลหันมองหน้าอนามิกาอย่างซีเรียส “หรือว่า...”
“หรือว่าอะไรคะ”
“หรือว่าไอ้ภัทรมันไม่ได้รักเธอ”
อนามิกาทำท่าระอา “อะไรของคุณอีกล่ะเนี่ย” แล้วเธอก็เดินหนี
“เดี๋ยวสิ จริงๆ แล้วเธอกับไอ้ภัทรไม่ได้รักกันจริงๆ ใช่มั้ย...เธอจะเดินหนีไปไหน” ณดลรีบก้าวตามไป
ณดลเร่งฝีเท้าจนทันอนามิกา ใกล้ๆ กับโต๊ะหมอดูลายมือในย่านนั้น ป้ายเขียนว่า Palm Reader ประกอบรูปมือและเส้นลายมือประดับไว้ หมอดูลายมือฝรั่งท่าทางเหมือนฮิปปี้ผสมยิปซีนั่งอยู่ที่โต๊ะ
“รอด้วยสิ...อนามิกา เธองอนอะไรฉันอีกเนี่ย” ณดลเรียก
อนามิกาหยุดยืนคุยกับณดลหน้าหมอดูฝรั่ง
“ไม่ได้งอนค่ะ..แค่เบื่อ ทำไมคุณต้องคอยบ่น คอยจับผิด แล้วก็ชอบตอกย้ำเหลือเกินว่าน้องคุณไม่ได้รักฉัน ทำไม? ฉันมันแย่มากรึไง คนอย่างฉัน ไม่คู่ควรจะได้รับความรักจากใครเลยใช่มั้ย”
“โห..มาเป็นชุดเลยนะ ซีเรียสไปรึเปล่า” ณดลถาม
“ซีเรียสสิ ถามตรงๆนะ คุณเกลียดฉันมากใช่มั้ย ถึงได้อคติกับฉันขนาดเนี้ย”
“ใครไปเกลียด ไปอคติกับเธอ ที่ฉันทำไปทั้งหมด ก็เพราะเป็นห่วงน้องชายฉันแค่นั้น”
“แล้วเป็นห่วงประสาอะไร ถึงต้องมาลงที่ฉัน”
“ก็เพราะอนาคตของผู้ชายคนนึง จะสุขหรือทุกข์ก็ขึ้นกับว่าได้คู่ชีวิตแบบไหน ไม่เคยได้ยินเหรอที่เค้าว่า มีเมียผิด คิดจนตัวตายน่ะ ฉันก็เลยห่วงว่า ถ้ามันได้เมียแย่ๆ อนาคตของมันก็จะมืดมนไปด้วย” ณดลพูด
“โห...อนาคตมืดมนเลยนะ ฉันมันดูแย่ขนาดจะทำให้น้องคุณหมดอนาคตเลยเรอะ”
จู่ๆ ฝรั่งหมอดูก็โพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง “อยากรู้อนาคตมั้ยล่ะ”
ณดลกับอนามิกาหลุดปากอุทานด้วยความตกใจ “หา!”
ณดลกับอนามิกหันขวับไปมองฝรั่งหมอดูเป็นตาเดียว
“hi! สวัสดีครับ” ฝรั่งหมอดูทัก
ณดลอนามิกาพูดพร้อมกัน “พูดไทยได้ด้วย!”
ฝรั่งหมอดูพยักหน้ายิ้มๆ แล้วจึงพูด “Yes, of course. ไอเคยอยู่เมืองไทยมาสิบกว่าปี ไอเป็น Palm Reader น่ะ ถ้าอยากรู้อนาคต ให้ไอดูลายมือสิ”
ณดลกับอนามิกามองหน้ากันอย่างชั่งใจว่าจะเอายังไง
“ฉันก็อยากจะรู้ว่าหมอดูจะทำนายอนาคตเธอกับน้องฉันว่ายังไง ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหายนี่นะ งั้น” ณดลเอ่ยแล้วหันไปพูดกับหมอดู “ช่วยดูลายมือให้ผู้หญิงคนนี้ที”
ณดลชี้ไปที่อนามิกาที่ยืนหน้าตางงๆ เพราะกำลังโดนยัดเยียดให้ดูลายมือ
เมธาวีกำลังเพลิดเพลินกับการลองเครื่องประดับ สร้อย กำไล เก๋ๆ อยู่ที่ตลาดนัด ณภัทรเดินมาจากบริเวณแผงขายของแผงหนึ่ง แล้วเดินตรงมาที่เมธาวีซึ่งกำลังเอาสร้อยคอทาบคอตนเองอย่างปลาบปลื้ม
“อืม..สวยดีนี่เม” ณภัทรชม
“จริงเหรอ”เมธาวียิ้มด้วยอาการทั้งปลื้มทั้งเขิน “ก่อนออกมาก็แต่งหน้านิดหน่อยน่ะ”
“สร้อยน่ะ..พูดถึงสร้อย”
“อ้อ!” เมธาวีหุบยิ้มแล้วรีบกลบเกลื่อน “..เน๊อะ! เมก็ชอบมากๆ เลยอ้ะ”
“ดูเก๋ดี เข้ากับเมธาวีมากๆ เลย”
“ขอบคุณที่ชม..สร้อยนะ” เมธาวีหันไปที่ฝรั่งคนขาย “How much is this one?”
“Oh! This one is only forty pounds.” ฝรั่งคนขายตอบ
เมธาวีถึงกับผงะ “สี่สิบปอนด์ สองพันกว่าบาท เอ่อ..” เมธาวีวางสร้อยคืนที่เดิมแล้วยิ้มแห้งๆ กับคนขาย “Thank you!”
เมธาวีก้าวเดินห่างออกมาแล้วบ่นเบาๆ กับตนเอง
“ไม่เอาน่ายัยเม สร้อยคอมันก็แค่ของสิ้นเปลือง ตอนนี้ต้องประหยัดสุดๆ ไม่ได้สร้อยสวยๆ ซักเส้นก็ไม่ตายหรอกน่า...” แล้วเธอก็หันไปพูดเสียงปกติกับณภัทร “เอ้อ! งั้นเดี๋ยวเราไปหาอะไรกินมั้ยภัทร...อ้าว! หายไปไหนเนี่ย?”
เมธาวีหันไป เธอไม่เห็นณภัทรอยู่ข้างๆ เมธาวีหน้าเหรอหราเหลียวมองหาพอหันกลับไปอีกทีจึงเห็นณภัทรกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา
“โทษที มัวแต่ดูของอยู่ อ้าว...แล้วเมไม่ได้ซื้อสร้อยเส้นนั้นเหรอ”
เมธาวีส่ายหน้า “มันแพงอ่ะ นึกถึงว่าเดี๋ยวกลับไปเมืองไทย ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหางานทำได้ ช่วงที่ไม่มีรายได้ ก็ต้องเซฟๆ ไว้ก่อนน่ะ”
“เมนี่รอบคอบเรื่องการใช้เงินดีนะ ถ้าเป็นผู้หญิงบางคน เห็นของที่ชอบ ก็คงจะซื้อไว้ก่อน ยอมไปเดือดร้อน ไปติดหนี้เอาทีหลัง” ณภัทรชม
เมธาวีกับณภัทรเดินคู่กันมา จู่ๆ ณภัทรหยุดเดินปล่อยให้เมธาวีเดินพูดอยู่คนเดียว
“คนทำแบบนั้นได้ก็ต้องรวย หรือทางบ้านมีฐานะ แต่เมหัวเดียวกระเทียมลีบ ขืนใช้ซี้ซั้วหละตายแน่ๆ” เมธาวีหันไปข้างๆ แล้วก็ไม่เห็นณภัทร “อ้าว...ภัทร” เมธาวีค่อยๆ หันกลับไป “ณภัทร...อะไรอีกล่ะ”
เมธาวีเห็นณภัทรยิ้มให้แล้วค่อยๆ ชูสร้อยในมือขึ้นมา เมธาวีเห็นว่าเป็นสร้อยเส้นที่เมธาวีชอบนั่นเอง
เมธาวีมีสีหน้าประหลาดใจก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมา ณภัทรเดินเข้ามาหาแล้วจะสวมสร้อยให้ แต่เมธาวีรู้สึกเกรงใจ
“เอ่อ..แต่ว่า...เม...เกรงใจน่ะ”
“ไม่เอาน่า คิดซะว่าเราซื้อให้เป็นที่ระลึกที่ครั้งนึง เราได้มาเรียน มาใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอนด้วยกัน แล้วที่สำคัญ...ของซื้อจากตลาดนัด ซื้อแล้วคืนไม่ได้นะเม”
“ถ้างั้นก็...” เมธาวียิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ขอบคุณมากนะ”
ณภัทรช่วยสวมสร้อยให้เมธาวีที่ยืนยิ้มแก้มแตกเพราะคิดฝันไปไกลว่าณภัทรรักเธอ ณภัทรสวมสร้อยให้เสร็จแล้วก็มองอย่างชื่นชม เมธาวีได้แต่ยิ้มปลื้มอย่างมีความสุข
หมอดูลายมือฝรั่งเพ่งฝ่ามือของอนามิกาอย่างจดจ่อ แล้วหมอดูฝรั่งก็คว้ามือของณดลมาดูด้วยเพื่อดูเปรียบเทียบระหว่างลายมือของทั้งสอง อนามิกากับณดลหันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกเบื่อๆ
“ถามจริงๆ นะ คนอย่างคุณณดลนี่เชื่อเรื่องดูลายมือกะเค้าด้วยเหรอ” อนามิกาหันไปถาม
ณดลสั่นหน้า “หึ!..”
“แล้วถ้างั้นเราจะดูหมอกันไปทำไม”
“ก็เผื่อหมอดูทักว่าดวงเธอไม่สมพงษ์กับน้องฉัน ฉันจะได้ห้ามมันทันไง” ณดลบอก
“วันๆ ก็คิดแต่จะหาวิธีตะเพิดฉันออกจากชีวิตน้องคุณหละนะ”
จู่ๆ หมอดูฝรั่งก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเขม็งไปที่ณดลแล้วหันไปจ้องอนามิกาจนทั้งสองชักระแวง
“ยูสองคนนี้ ตาม destiny แล้ว ยูเป็น soul mate กันนะ” หมอดูบอก
“เอ่อ...ยังไงนะ?” ณดลงง
“ตามลายมือแล้ว ยูสองคนเป็นคู่แท้..เป็นเนื้อคู่กัน”
ณดลกับอนามิกาตกใจถึงกับร้องเสียงหลงขึ้นพร้อมกัน “เฮ้ย!”
ณดลผุดลุกขึ้นยืนทันที “พอดีกว่า เลิกเลย ขึ้นมาก็มั่วแล้ว” ณดลพูดกับหมอดู “จะบอกให้นะ” ณดลชี้ไปที่อนามิกา “ยัยนี่เป็นเมียน้องชายฉัน แล้วก็กำลังท้องอยู่ด้วย”
“Your brother’s wife!” หมอดูฝรั่งตกใจแล้วหันมาถามอนามิกา “You...pregnant?”
อนามิกาพยักหน้า “Yes, I do!”
“แต่เส้นลายมือมันบอกจริงๆ นะ” หมอดูยืนยัน
“ยูอย่าแถดีกว่า” ณดลหันมาหาอนามิกา “แถภาษาอังกฤษเค้าว่าไงเนี่ย” เขาหันกลับไปหาหมอดู “เอางี้นะ ต่อให้ยัยนี่ไม่ใช่เมียของน้องชายฉัน ฉันก็ไม่หลวมตัวเอามาเป็นเนื้อคู่อยู่ดี”
อนามิกาสะอึก หันมองหน้าณดลทันที “อ้าว!คุณ พูดงี้เหรอ” อนามิกาพูดกับหมอดูเพื่อประชดณดล “ฉันก็จะบอกให้เหมือนกันนะ ถ้าดวงชะตาฉันจะต้องเป็นเนื้อคู่กับผู้ชายคนนี้ ฉันขอชะตาขาดไปซะเลยดีกว่า”
“เธอว่าไงนะ” ณดลฉุน
“ก็ว่าอย่างที่คุณได้ยินน่ะแหละ”
ฝรั่งหมอดูแบมือขอเงิน “ค่าดูลายมือ ten pounds”
ณดลกับอนามิกาหันขวับไปตวาดใส่หน้าฝรั่งหมอดูพร้อมกัน “ไม่จ่าย!”
หมอดูฝรั่งถึงกับผงะและกลัวคู่นี้ไปเลย
ณดลกับอนามิกาหันขวับมาประจัญหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมลงให้ใคร แล้วอนามิกาก็ผละออกไป ณดลเดินตาม หมอดูลายมือจะเอ่ยทวงตังค์ แต่ทั้งสองก็ผละออกไปแล้ว
อนามิกาเดินกอดอกหน้ามุ่ยเพราะไม่อยากมองหน้าณดล ส่วนณดลเดินเพลิดเพลินกับการเดินถ่ายรูปบริเวณนั้นมาเรื่อยๆ
“ถ่ายจังเลย ถ่ายเข้าไป เห็นคน เห็นวิว ตึกรามบ้านช่องอะไรก็ถ่ายหมด เหลือแต่เท้าตัวเองนี่แหละที่ยังไม่ถ่าย” อนามิกาบ่นแล้วพอหันไปก็ต้องชะงัก “หา!”
เธอเห็นณดลกำลังยืนก้มถ่ายรองเท้าตัวเองกับพื้นสีสันสวยงามอยู่
อนามิกาเดินเข้ามาด้วยสีหน้างุนงงสงสัย “ถ่ายอะไรน่ะ”
“ก็...ถ่ายเท้าไง” ณดลยื่นจอหลังกล้องให้อนามิกาดู
อนามิกาเห็นว่าเป็นภาพรองเท้าของณดลบนพื้นที่จัดองค์ประกอบภาพได้อย่างสวยงาม
“อืม...ก็โอเคนี่” อนามิกาเดินต่อไป แล้วบ่นเบาๆ “ถ่ายทุกอย่างจริงๆ แฮะ คนเรา”
อนามิกาเดินนำ ณดลเดินตาม ทั้งสองเดินผ่านนลิณา เกตนิการ์ และจอห์นที่ยืนซุ่มอยู่บริเวณนั้น นลิณากับเกตนิการ์รีบหลบ พออนามิกากับณดลเดินผ่านไป ทั้งสามจึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองตามไป
“That’s her” นลิณาบอกจอห์นด้วยเสียงอาฆาต
จอห์นพยักหน้ารับอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วจึงเดินไปตามทิศที่อนามิกากับณดลเดินไป นลิณาก้าวตามได้สองก้าว เกตนิการ์ก็ตามมาดึงแขนไว้
เกตนิการ์พูดกับนลิณา “เพื่อความไม่ประมาท ฉันว่าเราแอบมองอยู่ห่างๆ จะดีกว่านะ”
“ได้ แต่ยังไงฉันก็ไม่อยากพลาดน่ะ ฉันอยากเห็นนังอะนามันแท้งกับตาของฉันเอง” สีหน้านลิณาฉายแววโหดร้ายออกมา
ณดลเดินถ่ายรูปไปพลาง ส่วนอนามิกาก็เดินเชิดๆ อยู่ไม่ห่างจากณดลเท่าไหร่
ณดลถ่ายรูปแล้วมองภาพที่จอด้านหลังของกล้อง “อ้าว...แบตจะหมดซะแล้ว”
อนามิกาบ่นณดลด้วยความสนุกปาก “ก็แหง..แปลกตรงไหน เห็นถ่ายเอา..ถ่ายเอา ถ่ายไม่หยุดอย่างกะคนท้องเสีย” อนามิกาหันมาเห็นณดลทำหน้าบึ้งใส่ก็ชะงักแล้วหยุดบ่น
“แต่จะว่าไป ฉันก็มัวแต่ถ่ายโน่นถ่ายนี่ ยังไม่มีรูปตัวเองเดี่ยวๆ เลยซักรูป”
พูดจบณดลก็ยื่นกล้องให้อนามิกา อนามิกาทำท่างงๆ
“ถ่ายให้ฉันที” ณดลบอก
อนามิการับกล้องมาอย่างไม่เต็มใจนัก “ก็ได้”
จอห์นแอบซุ่มอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างประสงค์ร้าย เขายกมีดขึ้นมาถือกระชับในมือ
“ถอยไปสิ ถ่ายกว้างๆ หน่อย เน้นวิวน่ะ ถ้าถ่ายแคบๆ ให้เห็นแค่ตัวฉัน ก็ไม่ต้องลำบากบินมาถึงลอนดอนนี่หรอก ถอยไปสิ” ณดลสั่ง
“ย่ะ...เอ๊ย! ค่ะ” อนามิการับคำเซ็งๆ
อนามิกาถอยห่างจากณดลซึ่งเป็นทิศทางที่ใกล้กับจอห์นยิ่งขึ้น
“เอาละนะ...หนึ่ง..สอง” อนามิกานับถอยหลัง
ณดลยืนยิ้มแอ็คท่าถ่ายรูปอยู่แล้วพลันก็ร้องตกใจออกมาเสียงดัง “ระวัง!”
อนามิกาผงะ เธอหันไปก็เห็นจอห์นกำลังถือมีดพุ่งเข้ามาหา อนามิการีบหลบมีดเฉี่ยวตรงเสื้อบริเวณเอวจนขาดวิ่นเป็นริ้วซึ่งก็โดนผิวแบบเฉี่ยวๆ
“โอ๊ย!” อนามิการ้อง
จอห์นหันมาแล้วเงื้อมีดพุ่งเข้าไปหา อนามิกาจวนตัว เธอมองกล้องในมือแล้วตัดสินใจใช้กล้องขว้างเข้าใส่หน้าจอห์นเต็มๆ จอห์นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด “อ๊าก...”
ณดลพุ่งเข้ามาทันที
“อนามิกา...หนีเร็ว”
จอห์นเอามือกุมหน้าแล้วหันรีหันขวาง เขาเห็นณดลมายืนขวางอนามิกาไว้เลยหยิบกล้องถ่ายรูปที่ตกอยู่ที่พื้นแล้ววิ่งหนีไป
“อ้าว..เฮ้ย...กล้องฉัน my camera” ณดลตะโกนตามไป
อนามิกาโกรธ “แก...ไอ้หัวขโมย”
อนามิกาหันไปเจอก้อนอิฐขนาดพอดีมือก็รีบหยิบ แล้ววิ่งตามไป ณดลรีบร้องห้ามไว้
“เดี๋ยว! อนามิกา แล้วเธอจะตามมันไปทำไม”
ณดลมองตามด้วยความเป็นห่วง ส่วนนลิณากับเกตนิการ์หดหัวหลบหลังกำแพงอย่างมิดชิด
จอห์นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วพอเลี้ยวเข้าตรอกแคบ เขาก็ชะลอฝีเท้าเพราะนึกว่ารอดแล้ว ก่อนจะยกมือกุมใบหน้า “อูว”
จอห์นยกกล้องขึ้นมาดูแล้วก็ยิ้มด้วยความดีใจ แต่พอหันกลับไปก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเห็นอนามิกาถือก้อนอิฐวิ่งเงื้อง่าเข้ามาหา
“Hey! Stop!” อนามิกาตะโกน
จอห์นวิ่งหนีไปอีกทาง อนามิกาวิ่งตาม ส่วนณดลวิ่งตามมาไกลๆ
“อนามิกา” ณดลร้องเรียก
จอห์นถือกล้องถ่ายรูปวิ่งหนี เขาวิ่งเลี้ยวเข้าตรอกมาแต่ก็ต้องเบรกตัวโก่งเมื่อเจอทางตัน เขาหันไปเผชิญหน้ากับอนามิกาที่วิ่งตามมาหยุดยืนหอบหายใจ
“Give me back my camera”
“You want this” จอห์นชูกล้องขึ้นมา ส่วนอีกมือยกมีดขึ้นมา “or this?”
จอห์นถือมีดเดินย่างเข้ามาหา อนามิกาผงะถอยแล้วเงื้อก้อนอิฐในมือขว้างออกไป จอห์นยกสองมือขึ้นบังแต่ก็โดนก้อนอิฐปาแสกหน้าจนร้องเสียงหลงมีดหลุดมือตกพื้น จอห์นทรุดลง คุกเข่าข้างหนึ่งยกมือขึ้นกุมหน้า
“อ๊าก...อู้ว”
อนามิการีบเข้าไปยื้อกล้องถ่ายรูปมาแล้วยกเท้าเตะจอห์นที่ยังนั่งทรุดอยู่เต็มแข้ง แล้วจึงกระโดดถอยออกมา
“ให้มันรู้มั่ง เล่นกะใครไม่เล่น มาเล่นกะคนไทย”
อนามิกาพูดจบก็ผงะเพราะโดนจอห์นดึงไว้ จอห์นตบฉาดเข้าที่หน้าอนามิกาไปเต็มๆ
“You bitch!”
“โอ๊ย!” อนามิการ้องเสียงหลง
จอห์นบีบคออนามิกา อนามิกาเอากล้องในมือตีเข้าที่หน้าของจอห์นเต็มแรง
ทันใดนั้นเสียงณดลก็ดังขึ้น “หยุดนะ!”
ณดลวิ่งเข้ามาแล้วกระโดดเข้ามาขวาง “Stop!!”
ณดลดึงตัวอนามิกาออกมาได้แล้วผลักจอห์นล้มลงไปบริเวณใกล้ๆ กับมีดที่ตกอยู่ จอห์นเหลือบมองมีด แล้วคว้ามีดก่อนจะค่อยๆ ขยับลุกขึ้นมา
ณดลหันมาถามอนามิกา “เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
อนามิกาเห็นจอห์นถือมีดก็รีบร้องบอกณดลที่ยืนหันหลังให้จอห์นทันที
“ระวัง!”
ณดลหันมาเห็นก็ตกใจ จอห์นเงื้อมีดโผเข้ามา ณดลรีบหลบแล้วพุ่งเข้าไปกอดรวบประชิดตัวไว้ อนามิกายืนลุ้นอย่างหวาดเสียวและเป็นห่วงณดล
ณดลกอดรัดยื้อกับจอห์นอยู่ มือหนึ่งของเขาจับข้อมือของจอห์นไว้ไม่ให้จอห์นใช้มีดถนัด นลิณากับเกตนิการ์วิ่งตามมาแล้วรีบแอบมองอยู่ที่หน้าตรอกทางเข้า
“ตายแล้ว...ไอ้ฝรั่งนี่มันจะรู้มั้ยว่าอย่าทำร้ายคุณณดลน่ะ” เกตนิการ์ตกใจ
“มันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ต้องรีบออกไปห้ามมัน”
พูดจบนลิณาก็จะปราดออกไป แต่เกตนิการ์รีบฉุดไว้
“จะบ้าเหรอนลิณา ขืนทำอย่างงั้น เค้าก็รู้หมดสิ ว่าเราเป็นคนจ้างมันมา”
ณดลกับจอห์นยังคงกอดรัดยื้อกันอยู่
“ตีเข่ามันสิ” อนามิกาตะโกนบอก
“หา! เธอว่าไงนะ” ณดลทวน
“กอดคอตีเข่าน่ะ ไม่รู้จักมวยไทยรึไง” อนามิกาบอก
ณดลพยักหน้ารับทราบแล้วประเคนเข่าอัดท้องจอห์นจนตัวโก่ง แล้วอัดเข่าซ้ำเข้าไปอีกที ก่อนจะบิดข้อมือทำให้มีดหล่น จอห์นเอาสองมือกุมท้องด้วยความจุก
ณดลย่ามใจจึงเดินเข้าหา “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาให้ครบทุกท่าแม่ไม้มวยไทยไปเลยแล้วกันนะ”
ณดลเตะชายโครงจนจอห์นร้องเสียงหลงและตัวงอไปตามแรง ณดลเดินเข้ามา กางศอกแล้วสับเข้าไปที่หน้าอีกที
“พอแล้ว เรารีบไปจากที่นี่เหอะ” อนามิกาบอก
ณดลพูดอย่างห้าวหาญ “เดี๋ยว! ขอสั่งสอนมันก่อน จะได้เข็ดไม่กล้าไปทำใครเค้าอีก”
ณดลเดินอย่างห้าวหาเข้าไปหา แต่จอห์นเหวี่ยงหมัดสวนเข้าเต็มปาก ณดลถึงกับเซด้วยความมึน อนามิการีบเข้าไปประคองไว้
“ไหวมั้ยเนี่ย เร็ว!..วิ่ง”
อนามิกาฉุดกระชากลากณดลให้วิ่งไปด้วยกัน นลิณากับเกตนิการ์รีบหาที่หลบ พออนามิกากับณดลวิ่งเลยผ่านไป ทั้งสองจึงโผล่ออกมา
เกตนิการ์มองตาม “มันยังวิ่งปร๋อออกอย่างงั้น ฉันว่ามันคงไม่แท้งแล้วหละ”
นลิณาเหวี่ยงใส่ทันที “ฉันรู้! ไม่ต้องบอกก็ได้ ดูก็รู้แล้ว!”
เกตนิการ์ยิ้มแหยๆ และจ๋อยไป
อ่านต่อ ตอนที่ 4