แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 8
ที่โรงพยาบาลหรูกลางเมือง พยาบาลที่เป็นเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนยืนอยู่ในเคาน์เตอร์หน้าโรงพยาบาล ณดล อนามิกา และจ๊อดยืนอยู่ด้วยกันหน้าเคาน์เตอร์
“สวัสดีค่ะ เป็นอะไรเหรอคะ” พยาบาลถาม
“คิดว่าคงเป็นหวัดน่ะค่ะ คือเค้าตากฝนมา”
อนามิกาพูดไม่ทันขาดคำ ณดลก็จาม “ฮัดชิ้ว!” ออกมา
“อ๋อ..ค่ะ” พยาบาลยื่นเอกสารให้ณดล “กรอกชื่อเบอร์โทรศัพท์แล้วไปตรวจความดันด้านโน้นนะคะ”
“ไม่ใช่ผมครับ นี่ต่างหาก” ณดลพูด จ๊อดโผล่หน้ามาจากเคาน์เตอร์
“อ้าว...เหรอคะ”
ณดลจามขึ้นมาอีก เล่นเอาพยาบาลถึงกับผงะ
“ฉันว่าคุณก็ควรจะหาหมอด้วยนะ” อนามิกาบอก
“หาหมอทำไม ฉันสบายดี ไม่ได้เป็นอะ...ฮัดชิ้ว!”
ณดลหันไปเห็นอนามิกาเหล่มอง
ณดลพูดเสียงอ่อย “ก็ได้ ไหนๆ ก็มาแล้วนี่เน๊อะ”
นลิณากับแพรวาอยู่ในเสื้อผ้าชุดอยู่บ้านสบายๆ ส่วนเกตนิการ์แต่งตัวสวยงาม ทั้งสามนั่งคุยกันอยู่ที่เก้าอี้รับแขกของบ้านนลิณา
“ว่าไงนะ เธอจะชวนฉันสองคนไปซื้อเสื้อผ้าร้านยัยเมเนี่ยนะ” นลิณาถาม
เกตนิการ์พยักหน้ายืนยัน “อื้อ! ไปมั้ยล่ะ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ”
“ไปนะคะพี่นีน่า” แพรวาไม่รอให้นลิณาตอบรีบหันมาที่เกตนิการ์ “งั้นเดี๋ยวแพรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” แพรวารีบลุกแล้วเดินเข้าบ้านไป
เมื่อแพรวาเดินห่างไป นลิณารีบขยับเข้ามาพูดกับเกตนิการ์ใกล้ๆ
“เธอเป็นบ้า หรือว่าโดนผีเข้ายะ ยัยเมมันเป็นพวกยัยอะนา แถมยังทำท่าอี๋อ๋อกับนายภัทร แล้วเธอยังจะชวนฉันไปอุดหนุนมันอีกเนี่ยนะ”
เกตนิการ์พยักหน้า “ใช่..” เกตนิการ์ยิ้มร้ายๆ “แต่เธอฟังฉันอธิบายก่อนสิ”
นลิณากระตือรือร้นเพราะเริ่มอยากรู้ว่าเกตนิการ์มีลับลมคมในอะไร
เมธาวีทั้งตื่นเต้นและดีใจที่นลิณาและเกตนิการ์มายืนคุยเรื่องซื้อเสื้อผ้าของเธอ ขณะที่แพรวาปลีกตัวไปเดินเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านของเมธาวี
“สองร้อยชุดเลยเหรอ!!” เมธาวีทวนคำแล้วก็ก้มดูเอกสารภาษาอังกฤษในแฟ้มที่ดูน่าเชื่อถือ
“ใช่...สองร้อยชุด” เกตนิการ์ตอบรับ “ก็บอกแล้วไงว่าเพื่อนฝรั่งของฉันเค้าเป็นเจ้าของห้างเล็กๆ ที่ลอนดอน เค้าอยากหาซื้อชุดเดรสราคาไม่แพงไปวางขายที่นั่น”
“เธอจะไปหาซื้อชุดสวยๆ มาขายต่อ หรือจะตัดเย็บเองบ้างก็ได้นะเม” นลิณาบอก
“จากราคาที่เค้าเสนอมา ถ้าเธอคุมต้นทุนให้ดีๆ ก็มีกำไรเข้ากระเป๋าหลักแสนเลยหละ แต่ออเดอร์นี้ต้องด่วนสุดๆ นะ ไม่รู้ว่าเธอสนใจรึเปล่า” เกตนิการ์ว่า
เมธาวีรีบตอบทันที “สนสิ สนใจมาก แต่ว่า...เอ่อ...ฉันเพิ่งลงเงินกับร้านนี้ไปตอนนี้ไม่เหลือทุนจะทำอะไรแล้วน่ะสิ”
“โถ...ยัยเม หัดฉลาดหน่อยสิยะ เธอก็หากู้หายืมมาก่อนซี้ โอกาสดีๆ อย่างงี้ไม่ได้มาบ่อยๆ นะยะ” นลิณาบอก
แพรวาหยิบชุดกระโปรงมาหาเมธาวี
“ขอลองชุดนี้หน่อยนะคะ”
“ค่ะ ตามสบายเลย ห้องลองเสื้ออยู่ด้านหลังค่ะ” เมธาวีชี้ไปที่ห้องลองเสื้อด้านหลังร้าน
เกตนิการ์รีบคว้าแขนแพรวา “นี่! ยัยแพร มาช่วยกันชวนยัยเมให้รับงานนี้หน่อยซิจ๊ะ”
“อ๋อค่ะ แพรได้ยินแล้ว” แพรวาหันมาพูดกับเมธาวี “น่าสนใจออกค่ะ คุณเมทำได้อยู่แล้ว ดูเสื้อผ้าในร้านนี้ก็รู้ว่าคุณเมเลือกของเก่ง รสนิยมดี แพรเชียร์เต็มที่ค่ะ”
เกตนิการ์กับนลิณาแอบขยิบตาให้กันอย่างมุ่งร้าย
“เชื่อแพรสิคะ ลุยเลย งานนี้ กำไรเห็นๆ” แพรวาสนับสนุน
เมธาวียิ้มพร้อมกับพยักหน้าคล้อยตามแพรวา แล้วหันมาที่เกตนิการ์กับนลิณา “งั้นก็...เรามาคุยรายละเอียดกันต่อเลยดีกว่า”
เกตนิการ์กับนลิณายิ้มแล้วลอบส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้แก่กันอย่างมีแผนร้าย
จ๊อดนอนซึมอยู่บนเตียง ณดลนั่งอยู่ไม่ห่างในท่าทางที่เซื่องซึมเช่นกัน ในมือของทั้งคู่ถือกระดาษทิชชู่ปิดปากทั้งจามและซับน้ำมูกผลัดกันคนละทีสองที
“ฮัดเช้ย!” ณดลจามก่อน
“ฮัดเช้ย!” จ๊อดจามตาม
“เฮ่อ!จ๊อดเอ๊ย...เดี้ยงทั้งคู่เลยงานนี้ ไม่น่าทะลึ่งไปเล่นตากฝนอย่างงั้นเล๊ย”
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น อนามิกาเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาดูแลทั้งคู่
“เป็นไงกันบ้าง อาการดีขึ้นรึยัง” อนามิกาถาม
“ฮัดชิ้ว!! นี่! อะนา” ณดลโบกมือไล่ “เธอออกไปไกลๆ ดีกว่า”
“อ้าว! ไหงพูดจาหาเรื่องอย่างงี้ล่ะ ฉันอุตส่าห์หวังดีมาเรียกไปกินข้าว จะได้กินยาหลังอาหาร แล้วทำไมต้องไล่กันด้วย”
“เดี๋ยวๆๆ เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ฉันไม่ได้ไล่เธอ นี่ฉันหวังดีนะ ที่ไม่อยากให้เธอเข้าใกล้ เพราะกลัวจะติดหวัดต่างหาก” ณดลบอก
“จริงอ้ะ ไม่อยากจะเชื่อ เดี๋ยวนี้คุณรู้จักเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ” อนามิกาประชด
“ใช่..เอ่อ..” ณดลพูดโดยที่ปากไม่ตรงกับใจ “เปล๊า...ฉันแค่กลัวว่าเดี๋ยวหวัดมันจะไปติดเด็กในท้องของเธอต่างหาก”
“ฉันก็ว่าแล้ว อย่างคุณเนี่ยนะ จะมาห่วงฉัน”
จู่ๆ จ๊อดก็โพล่งขึ้นมา “แต่จริงๆ พี่ณดลเค้าก็เป็นห่วงพี่อะนานะครับ”
อนามิกาพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ “จ๊อด!..เอาที่ไหนมาพูด”
“จริงๆ ครับ เมื่อคืนพี่ณดลเอาแต่นั่งดูรูปพี่อะนา”
ณดลตาโตด้วยความตกใจ อนามิกาหันขวับไปมองหน้าณดล ณดลเลิ่กลั่กรีบสวนขึ้นแก้เก้อ
“เหลวไหลน่าจ๊อด พูดอะไรเพ้อเจ้อ”
“เพ้อเจ้ออะไร ก็เมื่อคืนพี่นั่งดูรูปพี่อะนาจริงๆ” จ๊อดชี้ที่ณดลแล้วหันไปเม้าธ์ให้อนามิกาฟัง “ดูตั้งนานนะ แล้วก็นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว” จ๊อดทำท่าอมยิ้มเคลิ้มเลียนแบบณดล
อนามิกาหน้าตาเหรอหราด้วยความตกใจ แล้วหันไปมองณดล ณดลก็อึกอักเพราะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จ๊อดหันไปที่ณดล “ชอบพี่อะนาก็บอกเหอะ”
“เฮ้ย! พอแล้วไอ้จ๊อด” ณดลหันมาทางอนามิกา “เด็กมันก็พูดไปเรื่อย เธออย่าสนใจเลย” ณดลรีบพูดกลบเกลื่อน “ไปจ๊อด ลงไปกินข้าวกัน”
อนามิกาเบือนหน้าหลบจากณดลมาแล้วอมยิ้มอย่างปลื้มๆ เพราะรู้สึกดีที่ณดลเหมือนจะมีใจให้ตน
ณดลกับจ๊อดนั่งท้าวคางอย่างซึมๆ บนโต๊ะอาหารเบื้องหน้าของทั้งสองมีกล่องใส่กระดาษทิชชู่วางอยู่ ทั้งสองหยิบทิชชู่มาปิดปากจาม แล้วพนารัตน์ก็เดินเข้ามา
“เอ้า! เป็นหวัดกันทั้งตัวหนุ่มตัวเด็ก ใครเป็นคนแพร่เชื้อเนี่ย อี๋...เด็กนี่ใช่มั้ย แล้วไหนล่ะ แม่นางงามรักเด็กอะไรนั่นล่ะ ไม่เห็นจะมาใส่ใจดูแล ไม่เอาไหนจริงๆ ยัยคนนี้..”
ทันใดนั้นเสียงอนามิกาก็โพล่งแทรกขึ้นมา “มาแล้วจ้า”
อนามิกายกถาดที่มีข้าวต้มหมูสับใส่ไข่มาสองชาม มีกระปุกพริกไทย และซอสแม็กกี้มาในถาดด้วย
“เป็นหวัดแบบเนี้ย ต้องกินอะไรร้อนๆ อ้าว! คุณผู้หญิง สวัสดีค่ะ” อนามิกาทัก
“ย่ะ รู้จักสนใจดูแลคนป่วยเหมือนกันนี่นะ” พนารัตน์ชะเง้อมองในชาม “อะไรเนี่ย ดูน่ากินดีนี่”
“ข้าวต้มหมูใส่ไข่ค่ะ”
“ใส่ไข่ด้วยเหรอ เออแฮะ” พนารัตน์กลืนน้ำลายเพราะอยากกินบ้าง
“ยังมีอีกนะคะ ถ้าคุณผู้หญิงสนใจ ดิฉันจะไปตักมาให้” อนามิกาบอก
พนารัตน์อยากกินแต่ทำฟอร์ม “โอ๊ย! ฝีมือเธอ ฉันคงกระเดือกลงหรอกนะ”
“คุณแม่...อยากกินก็ให้อนามิกาเค้าตักให้เหอะ” ณดลพูดอย่างรู้ทัน แล้วจึงหันไปหาอนามิกา “ไปตักให้คุณแม่ชามนึงไป”
“ไม่ต้อง! ใครบอกว่าฉันอยากกิน” พนารัตน์แทรกขึ้น
“ผมนี่แหละบอก” ณดลหันไปบอกอนามิกา “ไปสิ อะนา ตักมาเยอะๆ เลย”
“เอ่อ..ค..ค่ะ” อนามิการีบเดินออกไป
พนารัตน์ทำเชิ่ดเหมือนจะไม่กินอาหารฝีมืออนามิกา แต่ก็แอบเหลือบมองเพราะใจจริงก็อยากกินอยู่เหมือนกัน
พนารัตน์ตักกินข้าวต้มหมูใส่ไข่ที่อนามิกาตักมาให้อย่างเอร็ดอร่อย ณดลกับจ๊อดนั่งตักกินอย่างช้าๆ ทั้งคู่มองพนารัตน์อย่างอึ้งๆ
พนารัตน์ตักกินไปด้วยพูดไปด้วย “อืม..เข้าใจทำนะนี่ เอาไข่มาทอดน้ำก่อนแล้วใส่ในข้าวต้มใช่มั้ย”
“ค่ะ...เป็นไงบ้างคะ พอทานได้มั้ยคะ” อนามิกาถาม
พนารัตน์ตักกินคำสุดท้ายหมดพอดีก็พลันนึกได้ จึงรีบปั้นหน้าดุ “ก็...งั้นๆ แหละ”
“งั้นๆ เหรอครับคุณแม่” ณดลหยิบชามที่วางอยู่ตรงหน้าพนารัตน์มาคว่ำลง “เอ๊ะ! ใครเอาชามเปล่ามาวางตรงนี้เนี่ย” ณดลเหลือบไปที่พนารัตน์ “เกลี้ยงเลยนะครับ”
พนารัตน์หน้าแหยที่โดนจับได้ อนามิกายิ้มขำแต่ก็พยายามกลั้นยิ้มไว้
“พี่อะนาตักเพิ่มให้อีกชามสิครับ” จ๊อดเสนอ
พนารัตน์ตวาด “ไม่ต้องมาสู่รู้” พนารัตน์พูดแก้เก้อเบาๆ “ก็คนมันหิว เลยกินเพลินไป ไม่ได้อร่อยอะไรนักหรอก...” พนารัตน์ลุกขึ้น “ฉันไปงีบก่อนนะ”
ณดล อนามิกา และจ๊อดยิ้มขำ ทั้งสามแอบมองหน้ากันเพราะไม่กล้าแสดงออกมาก พนารัตน์ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาพูดเสียงแข็งๆ
“อ้อ! นี่..ยัยอะนา”
“ขา?” อนามิการับคำอย่างงงๆ
“มื้อค่ำเนี้ย เธอทำกับข้าวนะ แล้วถ้าจะซื้อของสดของแห้งอะไรก็บอกให้ศรีไปซื้อมา”
“ค่ะ..ได้ค่ะ”
อนามิกายิ้มแล้วหันไปยิ้มกับณดลเพราะรู้สึกดีที่ได้รับการยอมรับจากพนารัตน์ ก่อนที่ณดลจะกระแอมไอขึ้นมาเพราะยังมีอาการไม่สบาย อนามิกามองอย่างเป็นห่วง
ณภัทร เมธาวี และอัธวุธกำลังพูดคุยกันอยู่ในร้านเสื้อผ้าของเมธาวี
“เอาเลยสิเม โอกาสดีขนาดนี้แล้ว ออเดอร์จากลอนดอนตั้งสองร้อยชุด” ณภัทรสนับสนุน“เมก็ฝันไว้ว่าถ้าลูกค้าเค้าแฮปปี้ ก็อาจจะได้ออเดอร์ต่อๆ ไปอีก” เมธาวีบอก
“ดะ..เดี๋ยวๆๆ นี่เธอสองคนไม่ได้กลิ่นตุๆ กันหรือไงยะ” อัธวุธแย้ง “คิดเหรอว่าคนอย่างยัยเกดกะยัยนีน่าจะดีกับพวกเราจริงๆ ฉันว่าออเดอร์จากลอนดอนอะไรนี่มันน่าจะเป็นออเดอร์กำมะลอนะยะ”
“อืม...” ณภัทรคิดตาม “จะว่าไปก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจเหมือนกันนะ”
“เมก็ไม่ไว้ใจเกดกับนีน่าหรอก แต่เมไว้ใจคุณแพรน่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง คุณแพรคงไม่ออกปากเชียร์เมสุดฤทธิ์อย่างงี้หรอก”
“แต่ยัยแพรนั่นก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของยัยนีน่านะยะ” อัธวุธแย้ง
“แต่เมมั่นใจว่าคนอย่างคุณแพรไม่มาหลอกลวงพวกเราแน่ๆ ค่ะพี่อาร์ท”
อัธวุธพูดกับเมธาวี “ชัวร์เหรอ?” แล้วเขาก็หันมามองณภัทรเป็นเชิงถาม “ยัยแพรเป็นคนดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ฉันก็ไม่ได้สนิทกับคุณแพรมากมายหรอกนะ แต่เท่าที่เห็น ถ้าคุณแพรออกปากการันตี ก็น่าจะสบายใจได้นะ” ณภัทรบอก
“เรียกว่าเป็นคนดี ตรงกันข้ามกับพี่สาว ว่างั้น” อัธวุธสรุป
“ก็ประมาณนั้น อ้อ!” ณภัทรพูดกับเมธาวี “แล้วเรื่องเงิน เธอยืมฉันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“เอ่อ จะดีเหรอภัทร”
“โอ๊ย! ไม่ต้องเกรงใจหรอกยัยเม ตอนนี้นายภัทรเค้าตั้งตัวเป็นผู้สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยไปแล้วนะยะ ฉันจะทำแฟชั่นโชว์เปิดตัวร้านเสื้อผ้าของฉัน เค้ายังช่วยเลย” อัธวุธบอก
“อ้าว! เหรอ พี่อาร์ทจะเปิดร้านแล้วเหรอ” เมธาวีตื่นเต้น
“ใช่ย่ะ ฉันก็เร่งทำเสื้อผ้าเต็มสปีดอยู่เนี่ย ขืนมัวชักช้า เดี๋ยวแบรนด์ของอัทธวุธ จะไล่ตามคุณเมธาวีเค้าไม่ทัน”
“อู๊ย...ระดับคุณอัทธวุธ เมธาวีไม่กล้าแข่งด้วยหละค่ะ เสื้อผ้าที่พี่อาร์ททำแต่ละชุดนี่ทั้งเก๋ทั้งเฟี้ยว ขนาดตอนเรียนที่ลอนดอน ทั้งเพื่อนฝรั่ง ทั้งอาจารย์ ยังยกให้เป็นท็อป ดีไซเนอร์”
“แหม..เอาความจริงมาพูดกันแบบนี้ฉันเขินแย่ เอาไว้ถึงวันงานแฟชั่นเปิดตัวเสื้อผ้าฉัน เธอสองคนต้องมาช่วยเดินแบบให้ด้วยนะ” อัธวุธบอก
เมธาวีกับณภัทรรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เอาๆ”
อัธวุธยกมือขึ้นเหมือนจราจรสั่งหยุดรถ “หยุด! นี่ไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง ดีไซเนอร์ระดับฉันไม่รับคำปฏิเสธเด็ดขาดย่ะ”
ณภัทรกับเมธาวีหน้าแหยแต่ก็ไม่กล้าเถียง เพราะอัธวุธหน้าเข้มเอาจริงเอาจัง
ธัญญามีสารรูปโทรมๆ อย่างคนซังกะตาย เธอเดินมาเปิดประตูหลังจากได้ยินเสียงเคาะถี่ๆ ที่ประตูห้อง ธัญญาเปิดประตูออกแล้วก็ตกใจระคนดีใจ
“คุณพายัพ คะ..คุณมาได้ไงคะเนี่ย”
“ขอผมเข้าไปก่อนได้มั้ย” พายัพถาม
“เชิญสิคะ เข้ามาเลย”
ธัญญาเดินนำพายัพเข้ามาในห้อง แล้วรีบกุลีกุจอก้มเก็บขวดเบียร์และข้าวของที่วางรกๆ
บนโต๊ะและเก้าอี้รับแขก
“นั่งก่อนสิคะ คุณพายัพน่าจะโทรมาบอกก่อน ดูสิ ฉันโทรมจะตายอยู่แล้ว ห้องก็รก งั้นขอตัวไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
พายัพตรงเข้ามากอดรวบธัญญาจากด้านหลัง
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ขอหอมให้ชื่นใจหน่อยซิ”
พายัพหอมแก้มธัญญาจากด้านหลัง ธัญญายิ้มอย่างดีใจแต่แล้วก็นึกได้จึงปลดแขนพายัพ ออกแล้วทำแง่งอนใส่
“ไม่ต้องเลย ทีเวลาฉันอยากเจอ คุณก็หายหน้าไป แต่พอคุณเหงา ก็มาหาฉันอย่างงั้นใช่มั้ย ฉันไม่อยากเป็นเครื่องมือระบายความเหงาของใครหรอกนะ”
“คิดมากน่าธัญญา ช่วงนี้ผมก็แค่ติดธุระยุ่งๆ” พายัพบอก
“ธุระอะไรของคุณ แค่โทรมาซักครั้งก็ไม่มี คุณทำเหมือนหายไปจากชีวิตฉันแล้ว ทิ้งให้ฉันเสียใจ คุณทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”
“ก็ได้...ถ้าคุณไม่อยากให้ผมมา งั้นผมไปก็ได้”
พายัพทำท่าจะเดินออกไป แต่ธัญญารีบขยับมาขวางไว้
“เดี๋ยว...ใครบอกว่าฉันไม่อยากให้คุณมา” ธัญญาสะอื้นไห้แล้วสวมกอดพายัพแน่น “รู้มั้ยว่าฉันดีใจแค่ไหนที่เห็นคุณมานี่ นึกว่าคุณจะไม่รักฉันแล้ว”
พายัพมีแววตาเจ้าเล่ห์เพราะคิดถึงคำพูดของเกตนิการ์
“ยัยอะนารักพี่สาวคนนี้มาก ถ้าพี่พายัพจะหาทางใช้แม่ธัญญา เป็นเครื่องมือบีบให้ยัยอะนาเลิกกับภัทรซะ พี่ว่าพี่พอจะช่วยได้มั้ยล่ะ”
พายัพยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
พายัพพูดโกหกออกมา “รักสิ...ผมจะไม่รักคุณได้ไง”
ธัญญานั่งอยู่ที่ปลายเตียงโดยที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จ พายัพนอนไม่ใส่เสื้ออยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงของธัญญา
“ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมคุณถึงอยากให้น้องสาวฉันเลิกกับนายภัทรล่ะ” ธัญญาถามงงๆ
“ไม่ต้องถามได้มั้ยธัญญา เอาเป็นว่าผมขอร้องให้คุณช่วยทำยังไงก็ได้ให้อะนาเลิกกับนายภัทรซะ” พายัพขยับมากอดเอาใจจากด้านหลัง “ถ้าคุณรักผมจริง เรื่องแค่นี้คุณพอจะช่วยผมได้มั้ย”
ธัญญาครุ่นคิด เธอนึกถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำหญิงของคลับของพายัพ ที่หน้ากระจกอ่างล้างหน้าในห้องน้ำหญิง ตอนที่ธัญญาโพล่งขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหลังจากรู้เรื่องที่แท้จริงระหว่างน้องสาวกับณภัทรแล้ว
“เธอแกล้งหลอกว่าเป็นเมียเค้าเนี่ยนะ แล้วจะแกล้งหลอกไปเพื่ออะไร”
“ก็เค้ากำลังจะโดนทางบ้านจับคลุมถุงชนให้แต่งงานน่ะสิ ฉันก็เลยต้องช่วยตบตาทางบ้านเค้าว่าเราเป็นสามีภรรยากันน่ะ” อนามิกาบอก
ธัญญานิ่งคิดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ครู่หนึ่ง ก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่วนออกมา
พายัพงง “ขำอะไร? แล้วตกลงคุณจะช่วยพูดให้อะนาเลิกกับนายภัทรมั้ย..หา?”
ธัญญาพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องช่วยอะไรหรอกค่ะคุณพายัพ ยังไงซะ อีกแค่ไม่กี่เดือน ยัยอะนาก็ต้องเลิกกับนายภัทรแน่ๆ ค่ะ “
พายัพงงหนักขึ้นไปอีก “คุณพูดอะไรของคุณ หมายความว่าไงเหรอธัญญา ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าเค้าต้องเลิกกันแน่ๆ”
“ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่บอกเหตุผลไม่ได้ แต่เชื่อฉันเหอะ ยังไง๊...ยังไง..ยัยอะนาก็ต้องเลิกกับนายภัทรอย่างแน่นอนค่ะ”
พายัพงงสุดๆ แต่พอเห็นธัญญายืนยันอย่างมั่นใจก็ไม่ได้ซักค้านอะไรต่อ
เกตนิการ์ฟังเรื่องจากพายัพแล้วก็อยู่ในอาการงงสุดๆ
“ยัยพี่สาวเค้าเอาที่ไหนมามั่นใจขนาดนั้นเหรอคะพี่”
“พี่ก็ซักเค้าแล้ว แต่ยังไงเค้าก็ไม่ยอมบอกน่ะ สบายใจเหอะน่า น้องสาวพี่ อีกไม่กี่เดือน นายภัทรของเกดก็จะกลายเป็นหนุ่มโสดเต็มตัวแล้ว”
“แต่ถึงจะเป็นเรื่องจริง เกดก็ยังสบายใจไม่ได้อยู่ดี” เกตนิการ์บอกพี่ชาย
“อ้าว! ทำไมอีกล่ะ”
“ก็หลุดจากยัยอะนา ก็ยังมียัยแพรวาที่ทางผู้ใหญ่เค้าจัดไว้ให้ แล้วไหนยังจะมียัยเมอีกคนที่จ้องนายภัทรตาเป็นมัน”
“โอ๊ย! อะไรจะเสน่ห์รุนแรงขนาดนั้น.. บอกตามตรงนะ พี่มองแล้ว นายภัทรไม่เห็นจะมีอะไรดีตรงไหน สู้นายณดลพี่ชายเค้าไม่ได้ซักอย่าง”
“รายนั้นเหรอคะ ทั้งดุ ทั้งแข็งทื่อ ไม่โรแมนติกเอาซะเลย มีก็แต่ยัยนีน่าแหละที่ชอบ เกดจะบอกให้นะ ถ้าพี่พายัพรู้จักภัทรมากกว่านี้ พี่จะรู้ว่าเค้าเป็นผู้ชายที่น่ารักมาก...มาก” เกตนิการ์บอก
“จ้า...พี่ไม่เถียงจ้า น้องรักใครพี่ก็รักด้วยแหละจ้า”
เกตนิการ์ยิ้มปลื้ม พายัพก็ยิ้มตามประสาพี่ชายที่เห็นน้องแฮปปี้ก็พลอยแฮปปี้ไปด้วย
พนิดายืนอยู่หน้าร้านของตัวเองที่ยังมีช่างก่อสร้างกำลังตกแต่งหน้าร้านอยู่ อนามิกาพาจ๊อดกลับมาคืน จ๊อดเข้าไปสวมกอดพนิดาด้วยหน้าตาซึมๆ เพราะไม่สบาย
อนามิกาพูดเสียงอ่อย อย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะเจ๊ ที่จ๊อดไม่สบายแบบนี้”
“โอ๊ย...ไม่เป็นไร จะขอโทษทำไม เจ๊ตะหากต้องขอโทษที่ต้องรบกวนฝากไอ้ลูกลิงนี่ไว้” พนิดาหันมาพูดกับจ๊อด “เออ..เวลาแกไม่สบายก็ดีเหมือนกันนะ เงียบๆ ติ๋มๆ ดี ไม่งั้นหละวิ่งป่วนจนแม่เวียนหัวทั้งวัน”
จ๊อดพูดด้วยน้ำเสียงซึมๆ “แม่รักลูกมากเลยนะเนี่ย ลูกไม่สบาย แต่แม่บอกดี”
พนิดาจับศีรษะจ๊อดโยกคลอนอย่างเอ็นดู “แม่ล้อเล่น มา..หอมที อุ๊ย! ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวติดหวัด” พนิดาหันมาพูดกับอนามิกา “อะนา เจ๊ขอบใจมากเลยนะ อ้อ! รอเดี๋ยวนะ”
พูดจบพนิดาก็รีบหันกลับเข้าไปในร้าน อนามิกายืนลูบศีรษะจ๊อดอย่างเอ็นดู
“ไว้เจอกันนะจ๊อด เป็นไง อยากไปอยู่กะพี่ณดลอีกมั้ย” อนามิกาถาม
“อยากครับ แต่...จ๊อดว่า...พี่ณดลเค้าชอบพี่อะนาจริงๆ นะ” จ๊อดย้ำ
อนามิกาหน้าตื่นขึ้นมาทันที “จ๊อด หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว ห้ามไปพูดแบบนี้ให้คนอื่นได้ยิน รู้มั้ย”
พนิดาถือถุงใส่กับข้าวออกมาจากร้าน
“มาแล้ว” พนิดายื่นถุงกับข้าวให้อนามิกา “ก่อนกลับเจ๊แวะที่เชียงใหม่ เลยได้แกงฮังเลเจ้าเด็ดมา เจ้าเนี้ยทำอร่อย หมูสามชั้นมันไม่หนาเกินไป แล้วเค้าคั่วแกงแบบใจเย็น กลิ่นงี้ห๊อม...หอม อู๊ย..พูดแล้วเจ๊ยังน้ำลายสอ”
อนามิกายกมือไหว้ แล้วรับมา “ขอบคุณมากนะคะ งั้นคงต้องรีบขอตัวกลับแล้วหละค่ะเจ๊ ต้องรีบกลับไปทำกับข้าวให้ที่บ้านนายภัทรเค้าน่ะ”
“อุ๊ยตาย! แม่บ๊าน...แม่บ้าน เตรียมตัวเป็นคุณแม่ด้วยใช่มั้ยจ๊ะ” พนิดาหันมาหาจ๊อด “นี่ไอ้จ๊อด พี่อะนาเค้ามีน้องอยู่ในท้องแล้วนะ อีกหน่อยแกจะได้มีน้องมาวิ่งเล่นเป็นเพื่อนแล้วนา...ฮ่าๆๆ”
อนามิกาทำสีหน้าพะอืดพะอมแต่ก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะขี้เกียจแก้ข่าวให้วุ่นวาย
อนามิกายกชามใส่แกงฮัลเลเดินมาเสิร์ฟที่โต๊ะอาหารบ้านณภัทร ซึ่งมีณภัทร กอบชัย และพนารัตน์กำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่
“สุดท้ายแล้วค่ะ แกงฮังเลค่ะ” อนามิกาบอกทุกคน
พนารัตน์ตักกินแล้วจึงพูด “เสียดายนะ ณดลดันไม่สบาย ลงมากินด้วยไม่ได้”
“ดิฉันจัดเป็นสำรับเล็กๆ ฝากศรียกขึ้นไปให้แล้วค่ะ” อนามิกาบอก
“เหรอ...อืม..รู้งานนี่นะ” พนารัตน์ชม
“กับข้าววันนี้อร่อยจริงๆ นะ อร่อยทุกอย่างเลย” กอบชัยเอ่ยชมบ้าง
“ฝีมืออะนาครับคุณพ่อ” ณภัทรรีบบอก
พอรู้ว่าเป็นฝีมืออนามิกา กอบชัยก็รู้สึกอยากเอาคำพูดชมกลับคืน “จริงเหรอ”
พนารัตน์พูดกับกอบชัย “ฉันเป็นคนสั่งให้ทำเองน่ะ อร่อยนะ โดยเฉพาะแกงฮังเลเนี่ย โอ๊ย...เกิดมาจนปูนนี้ ฉันยังไม่เคยกินแกงฮังเลอร่อยขนาดนี้เลย”
“เอ่อ..คือ...แกงฮังเลนั่น ดิฉันไม่ได้ทำ” อนามิการีบบอก
“เธอไม่ต้องถ่อมตัวหรอกน่า อะนา คุณแม่ชมก็รับๆ ไปเถอะ” ณภัทรแทรกขึ้น
“แต่ว่า...” อนามิกาอ้ำอึ้ง
พนารัตน์รีบแทรกขึ้น “ไม่ต้องพูดมาก ไปๆ!”
อนามิกาคิดว่าโดนไล่จึงขยับจะเดินออกมา
“รีบไปตักข้าวมานั่งกินด้วยกันสิ” พนารัตน์เอ่ย
อนามิกาเซอร์ไพรส์สุดๆ
“แต่..ปกติคุณผู้หญิงไม่อนุญาตให้ดิฉันทานอาหารร่วมโต๊ะ” อนามิกาบอก
ณภัทรรีบพูดกับอนามิกา “แต่วันนี้คุณแม่ชวนแล้วไง รีบไปตักข้าวมานั่งกินด้วยกัน เร็ว”
อนามิกายิ้ม แล้วพูดกับพนารัตน์ “ขอบคุณค่ะ”
ศรีกำลังยืนล้างถ้วยชามอยู่ในครัว อนามิกาเดินยกสำรับจานชามที่ทานเสร็จแล้ว มาวางใกล้ๆ
“นี่จ้ะศรี ฉันช่วยยกมาให้”
ศรีพูดลอยๆ ประชด “แหม..มาแรกๆ ก็ยังต้องล้างจานงกๆ เหมือนฉัน เดี๋ยวนี้ แค่ช่วยยกจานก็ยังต้องมาทำเป็นพูดลำเลิก”
“นี่...ฉันไม่ได้จะลำเลิกอะไรนะ แล้วไปเก็บสำรับของคุณณดลลงมารึยัง” อนามิกาถาม
“เธอก็ขึ้นไปเก็บมั่งสิยะ ฉันมีหน้าที่รับใช้คนในบ้านนี้ ไม่ได้รับใช้เธอ” ศรีตอกกลับ
“จ้ะๆๆ ฉันขึ้นไปเก็บให้ก็ได้” อนามิกาบ่นเบาๆ “โอ๊ย! ถ้าฉันเป็นเมียนายภัทรจริงๆ ป่านนี้ฉันไล่เธอออกแล้ว”
“เธอว่าไงนะ” ศรีถาม
“ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร เธอล้างจานไปเหอะศรี เดี๋ยวฉันขึ้นไปเก็บถ้วยชามบนห้องคุณณดลเอง” พูดจบอนามิกาก็เดินหนีไป
ศรีมองตามอย่างจับผิดเพราะหวนนึกถึงคำพูดของอนามิกา แต่ก็งงเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน
อนามิกาเคาะประตูห้องณดล แล้วจึงค่อยๆ แง้มเปิดประตูห้องเข้ามาทำให้เห็นว่าไฟในห้องค่อนข้างสลัว ข้าวถ้วยเล็กๆ และกับข้าวถ้วยเล็กๆ แบบเดียวกับบนโต๊ะอาหารและแก้วน้ำวางอยู่ในถาด ข้าวและกับข้าวพร่องลงไปแค่นิดเดียว ส่วนน้ำพร่องไปเกือบหมดแก้ว อนามิกาเดินมาเก็บ เธอหันไปทางณดลก็เห้นณดลนอนหลับอยู่บนเตียง
อนามิกาเปรยอย่างเป็นห่วง “กินแค่เนี้ยนะ ไม่รู้หรือไงว่ายิ่งป่วยก็ยิ่งต้องบำรุงน่ะ”
อนามิกายกถาดสำรับอาหารขึ้นมาแล้วกำลังจะเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงครางของณดล “โอย..”
อนามิกาเดินกลับมา เธอวางถาดลงแล้วมาดูอาการของณดลที่นอนหลับแต่ครางเพ้อเพราะพิษไข้ “โอย...”
“เป็นไงบ้างคุณ” อนามิกาลองเอามือแตะหน้าผากแล้วถึงกับสะดุ้ง “ไข้สูงนะเนี่ย ตัวร้อนจี๋เลย”
อนามิกาขยับจะเอามือออก แต่ณดลซึ่งยังซมกับพิษไข้คว้ามือของอนามิกาไว้ อนามิกาชะงัก
ณดลครางโดยไม่รู้สึกตัว “อย่าเพิ่งไป”
อนามิกาตกใจพอเห็นณดลค่อยๆ ปล่อยมือตนจึงโล่งใจ แต่ก็ยังรู้สึกเป็นห่วง
“ถึงกับเพ้อเลย เดี๋ยวฉันเช็ดตัวลดไข้ให้นะ”
อนามิการู้สึกเป็นห่วงณดลมากๆ
อ่านต่อหน้า 2
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 8 (ต่อ)
ศรีล้างจานใบสุดท้ายแล้วนำขึ้นไปวางในที่วางจาน ก่อนจะถอนใจอย่างเบื่อๆ แล้วเหลือบมองไปข้างบน
ศรีบ่นอย่างอารมณ์เสีย “ยัยอะนาเอ๊ย...ฉันล้างจนเสร็จแล้ว ป่านนี้ยังไม่เก็บถ้วยชามข้างบนลงมาให้อีก”
อนามิกาเอาผ้าชุดน้ำในชามอ่างที่วางข้างๆ แล้วนำขึ้นมาบิด ก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้ณดล อนามิกาปลดกระดุมเสื้อนอนของณดลแล้วเช็ดที่ต้นคอและบ่าของเขา
“ลดอุณหภูมิร่างกายลงซักหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นนะ” อนามิกาพูด
อนามิกาถกเสื้อนอนของณดลออกแล้วเช็ดหัวไหล่ทั้งสองข้างของณดล เธอจับแขนณดลขึ้นมาแล้วเอาผ้าเช็ดแขนให้ข้างหนึ่ง ก่อนจะจับแขนอีกข้างมาเตรียมจะเช็ดให้ จังหวะนั้น ณดลก็เอียงแขนมาโอบตัวของอนามิกาที่กำลังก้มเช็ดตัวให้ทำให้กลายเป็นว่าอนามิกาถูกกอดรวบลงไป จนใบหน้าของอนามิกาทาบทับไปที่แผ่นอกอันเปลือยเปล่าของณดล
ณภัทรเปิดประตูแง้มมาพอดี พอเห็นภาพดังกล่าวเขาก็ถึงกับตาโตตกใจ เพราะเขาเห็นเหมือนอนามิกากำลังทำมิดีมิร้ายณดลที่เสื้อหลุดลุ่ยอยู่บนเตียง
ณภัทรตกใจรีบปิดประตู แต่แล้วก็อดใจไม่ไหวจึงแง้มดูอีกทีอย่างอยากรู้อยากเห็น ศรีเดินมาโผล่หน้าอยู่ข้างหลังณภัทร ศรีมองเข้าไปเห็นแล้วก็ตกใจเหมือนกัน ณภัทรเหลียวไปเห็นศรีที่ยื่นหน้ามาแทบจะแนบหน้าตนก็ตกใจจนอุทานออกมา “เฮ้ย!”
อนามิกาได้ยินเสียงณภัทรก็สะดุ้งแล้วหันไป แต่ณภัทรรีบปิดประตูห้องทันที อนามิกายกแขนณดลที่พาดตัวเองออก แล้วหันไปถาม
“ใครน่ะ? ใครอยู่หน้าห้อง เปิดเข้ามาได้เลย..”
อนามิกานิ่งสักครู่แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ เธอจึงหันไปเช็ดตัวให้ณดลต่อ
ณภัทรกับศรียังคงมีสีหน้าเหมือนคนกำลังช็อค ทั้งสองเดินเบลอลงบันไดแล้วมาหยุดคุยกัน
“เอ่อ..ศรี...ศรีเห็นอย่างที่ฉันเห็นใช่มั้ย” ณภัทรถาม
“เต็มตาเลยค่ะคุณภัทร ศรีไปฟ้องคุณรัตน์ดีกว่า” ศรีทำท่าจะเดินไป
ณภัทรรีบร้องห้ามทันที “ไม่ได้! เราสองคนตาฝาดไปเอง ศรีเองก็ไม่เห็นอะไร แล้วก็ห้ามบอกใครทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะคะคุณภัทร คุณภัทรไม่กลัวว่าคุณอะนาจะนอกใจ คิดอะไรเกินเลยกับคุณณดลเหรอคะ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถ้าเค้าสองคนชอบกันก็ดี” ณภัทรบอก
ศรีตาโต “หา!? แต่คุณอะนาเป็นเมียคุณภัทรนะคะ อู๊ย..บัดสีบัดเถลิง ศรีรีบไปฟ้องคุณรัตน์ดีกว่า”
ณภัทรพูดเสียงเข้ม “บอกว่าอย่า! ถ้าศรีฟ้องคุณแม่ฉัน ฉันจะไล่ศรีออก”
ศรีชะงักสักครู่แล้วก็ยื่นหน้าท้าทาย “ศรีไม่กลัวคุณภัทรหรอกค่ะ”
ณภัทรขู่ “แล้วกลัวพี่ณดลมะ”
ศรีสะดุ้ง จากหน้าตาท้าทายในตอนแรกกลายเป็นหน้าแหยไป
“ถ้าขืนศรีปากโป้งหละก็..ฉันจะบอกพี่ณดลว่าศรีเป็นคนฟ้อง รับรอง...พี่ณดลไม่ปล่อยศรีไว้แน่”
ศรีเดินอย่างงงๆ ลงบันไดไป
“คุณภัทรนี่ช่างเป็นน้องที่ประเสริฐจริงๆ นะ ขนาดมีเมียยังแบ่งให้พี่ได้”
ณภัทรสะดุ้งแล้วเหลือบมองไปบนห้อง
“เป็นไปไม่ได้น่า...พี่ณดลยังนอนซมอยู่เลยเนี่ยนะ”
ณภัทรย้อนกลับขึ้นบันไดไปอีกครั้ง
ประตูห้องณดลค่อยๆ แง้มออก ณภัทรยื่นหน้ามาแอบมอง เขาเห็นอนามิกากำลังเช็ดตัวให้ณดล ณภัทรค่อยโล่งใจขึ้นแต่ก็ยังแอบดูต่อไป
ณดลเริ่มรู้สึกตัว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเหลือบมองสำรวจตัวเองพอเห็นเสื้อตัวเองหลุดลุ่ยเขาก็ตกใจ
ณดลถามน้ำเสียงยังเพลียๆ อย่างคนป่วย “เธอถอดเสื้อฉันทำไม”
“เอ๊า! ถามได้ ฉันจะสักยันตร์ให้หละมั้ง ฉันก็เช็ดตัวให้คุณอยู่น่ะสิ รู้ตัวมั้ยว่าไข้สูงจนเพ้ออยู่เมื่อกี้น่ะ” อนามิกาบอก
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ณภัทรขยับเพื่อแอบมองให้ถนัดขึ้น
“เอ้า..แล้วไม่เช็ดต่อล่ะ” ณดลถาม
อนามิกาพยักหน้ารับแล้วเอาผ้าชุบน้ำเช็ดจากอกลงไปหน้าท้อง พอลงต่ำไปอีกณดลก็รีบปราม
“พะ..พอๆ ไม่เป็นไร ฉันเช็ดต่อเองได้” ณดลดึงผ้ามาถือไว้
อนามิกาเอาผ้าอีกผืนชุบน้ำแล้วบิด ก่อนจะพับให้ได้ขนาดพอดีแล้วนำมาวางบนหน้าผากณดล
“ผืนเนี้ย วางไว้บนหน้าผากนะ จะช่วยลดไข้ได้”
“ได้...” ณดลนิ่งครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “อะนา”
“หือ”
“ฉันขอบใจเธอมากนะ” ณดลพูด
อนามิกายิ้มอย่างประหลาดใจ “รู้จักขอบใจเหมือนกันนี่นะ”
ณดลยิ้มอย่างคนยังอิดโรย “ฉันขอบใจเธอจริงๆ ที่ดีกับฉันแบบนี้”
อนามิกายิ้มรับ ทั้งสองต่างก็ยิ่งรู้สึกดีต่อกัน ณภัทร แอบดูอยู่อย่างสงสัย เขาเริ่มระแคะระคายว่าณดลกับอนามิกาน่าจะมีใจให้กัน
ที่รานเสื้อผ้าของเมธาวี ณภัทรทำท่าจะเริ่มพูดอะไรบางอย่างกับเมธาวีและอัธวุธแต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูด แล้วก็ขยับจะพูด เขาอึกๆ อักๆ ไม่ยอมเริ่มซักที จนอัธวุธกับเมธาวีที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อชักจะรำคาญ
“นี่...อีตาภัทร ตกลงจะเล่ามั้ย เห็นทำยึกยัก อึกๆ อักๆ น่ารำคาญอยู่ได้” อัธวุธว่า
“นั่นสิ ไหนบอกมีเรื่องจะเล่าให้พวกเราฟังไม่ใช่เหรอ มีอะไรก็พูดมาเถอะ” เมธาวีบอก
“ก็...ไม่รู้นะ ฉัน...ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้” ณภัทรพูด
อัธวุธพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ “คิดไปเองอะไรก็รีบว่ามาสิยะ”
“คือฉันสงสัยว่า...พี่ณดลกับอะนาเค้าเหมือนกับ...”
อัธวุธกับเมธาวียื่นหน้ามาแทบกลั้นหายใจรอฟัง
ณภัทรพูดต่อ “...เหมือนกับจะชอบๆ กันน่ะ”
อัธวุธกับเมธาวีอ้าปากค้าง ก่อนจะหันมามองหน้ากันสักครู่แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“นี่...อีตาภัทร จะเอาฮาไปถึงไหน...หา? คนอย่างยัยอะนาเนี่ยนะจะชอบพี่ชายของนายน่ะ” อัธวุธขำกลิ้ง
“แหม..อำซะเมธาวีเกือบเชื่อเลยนะภัทร” เมธาวีหัวเราะ
ณภัทรยืนยันหน้าเครียด “ไม่ได้อำ ฉันพูดจริงๆ ท่าทางพี่ณดลกับอะนามันดูเหมือนกับว่าเค้าชอบกันจริงๆ”
อัธวุธกับเมธาวีค่อยๆ หยุดหัวเราะ
“นี่ซีเรียสใช่มั้ย แล้วทำไม...นายถึงรู้สึกแบบนั้นล่ะ” เมธาวีถาม
“ก็ฉันเห็นเวลาที่เค้าอยู่ด้วยกัน แล้วมันรู้สึกได้น่ะ”
“ถ้ามันเป็นจริง ก็ไม่เสียหายนี่ยะ นายกับอะนาก็เป็นผัวเมียกันแค่หลอกๆ ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลย” อัธวุธบอก
“ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อน แค่เห็น แล้วสงสัย ก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง “
“แล้ว...ถ้ามันเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา นายจะทำยังไง” เมธาวีถามอีก
“ถ้าพี่ชายฉันจะจีบคนดีๆ อย่างอะนา ฉันก็ต้องเชียร์อยู่แล้ว” ณภัทรบอก
“จะดีเหรอ กลัวว่าจะตีกันตายซะก่อนรึเปล่า ต่างคนก็ต่างแรงไม่เบา” เมธาวีเป็นห่วง
“ฉันว่าเป็นไปไม่ได้หรอก” อัธวุธพูด “อย่าลืมสิว่า พี่นายเค้าคิดว่ายัยอะนาเป็นเมียท้องอ่อนๆ ของนายอยู่นะ คนอย่างพี่นาย คงไม่คิดอะไรกับเมียของน้องตัวเองหรอกย่ะ”
“ก็คอยดูกันต่อไปแล้วกันนะ ถ้ามีอะไรคืบหน้า ฉันจะคอยมารายงานให้ฟังก็แล้วกัน”
เมธาวีกับอัธวุธพยักหน้ารับทราบแล้วหันมามองหน้ากัน ทั้งสองยังมีหน้าตาเหวอๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อ
อัธวุธเปรยออกมาเบาๆ “อะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้จริงๆ นะ”
กอบชัยกับพนารัตน์เดินนำนลิณาและแพรวามานั่งที่เก้าอี้รับแขกในบ้านตนเอง ศรีคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง นลิณายื่นถุงใส่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า 5 ห่อให้พนารัตน์
“คือพอนีน่าทราบว่าคุณณดลไม่สบาย ก็เลยมาเยี่ยม นีน่าแวะซื้อราดหน้ามาฝากด้วยค่ะ เจ้าดังเลยนะคะนี่”
“อุ๊ยตาย...น่ารักจัง มีน้ำใจจริงๆ” พนารัตน์รบแล้วส่งต่อให้ศรี “ศรีไปเทใส่จานทีไป”
“ยกน้ำยกท่ามาก่อนนะศรี” กอบชัยสั่ง “เอ้า! นั่งๆๆ วันนี้มากันทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ”
“คือน้องแพรเค้าอยากจะแวะมาหานายภัทรน่ะค่ะ” นีน่าบอก
แพรวารีบปฏิเสธ “เปล่านะคะ แพรแค่ติดรถพี่นีน่าออกมา แพรไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่นีน่าจะแวะมาที่นี่”
นลิณาจุ๊ปากดุแพรวา “เฉยเถอะน่า” แล้วเธอก็หันมาปั้นหน้ายิ้มใส่กอบชัยกับพนารัตน์ “นายภัทรอยู่มั้ยคะ”
“แหม...น่าเสียดายจัง ตาภัทรออกไปข้างนอกน่ะสิ หนูแพรมีอะไรจะฝากบอกมั้ย” พนารัตน์ถาม
“ไม่มีค่ะ” แพรว่าตอบทันที
นลิณาโพล่งขึ้นทับเสียงของแพรวา “มีค่ะ ฝากบอกภัทรว่าน้องแพรแวะมาหา วันไหนว่างๆ ก็ไปทานข้าวด้วยกันบ้างก็ดีนะคะ”
แพรวาทำหน้าแหยเพราะว่าตัวเองไม่คิดจะพูดอะไรซักหน่อย
“ก็ดีนะ” กอบชัยหันไปถามพนารัตน์ “หรือคุณรัตน์ว่าไง”
“ก็ดีสิ” พนารัตน์พูดกับแพรวา “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวช่วยจัดให้ตาภัทรพาหนูแพรไปทานข้าวแน่ๆ จ้ะ”
แพรวากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เอ่อ...”
“รีบขอบคุณอารัตน์สิ น้องแพร” นลิณาบอก
“เอ่อ..ค่ะ” แพรวาจำใจหันไปขอบคุณพนารัตน์ตามมารยาท “ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้า” พนารัตน์พูดกับนลิณา “เอ้า! แล้วนี่มัวรออะไรอยู่” พนารัตน์ป้องปากพูดพร้อมส่งสายตาวิบวับ “ไม่รีบขึ้นไปดูคนป่วยล่ะจ๊ะ”
นลิณายิ้มอย่างรู้กัน “ค่ะ..เดี๋ยวนีน่าจะดูแลคนป่วยเองค่ะ”
ประตูห้องของณดลเปิดออก นลิณาประคองถาดเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวราดหน้าเข้ามาด้วยท่าทางกระตือรือร้นที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดณดล แต่ก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นอนามิกากำลังตักข้าวต้มปลาป้อนให้ณดลที่นั่งเอกเขนกอยู่ที่เก้าอี้ โดยที่ทั้งสองยิ้มแย้มแลดูสนิทสนมกันมาก
นลิณาตาลุกวาวอย่างไม่พอใจ เธอตรงเข้าไปยืนเขม่นใส่ทันที
ณดลเงยหน้ามาเห็น “อ้าว...นีน่า มาได้ไงเนี่ยคุณ”
“นีน่าได้ยินว่าคุณณดลไม่ค่อยสบาย ก็เลยรีบมาเยี่ยม นี่แวะซื้อราดหน้าเจ้าดังมาฝากด้วยค่ะ”
“แต่ผมกำลังกินอยู่เนี่ย คงกินอีกไม่ไหวแล้ว” ณดลบอก
“งั้นฉันกินแทนให้ ท่าทางอร่อยนะเนี่ย” อนามิกาพูด
นลิณาตวาดใส่อนามิกา “ฉันไม่ได้ซื้อให้เธอ” แล้วก็เปลี่ยนมาทำเสียงออดอ้อนณดล “ลองชิมซักหน่อยเถอะนะคะ คนป่วยควรจะได้ทานของดีๆ อร่อยๆ”
“ข้าวต้มปลานี่ก็อร่อยนะ อะนาเค้าทำเอง” ณดลบอก
“แหม..จะมาเทียบอะไรกับความอร่อยของราดหน้าเจ้าดังร้านนี้ล่ะคะ นี่ไม่ได้ซื้อกันง่ายๆ นะคะ นีน่าต้องไปเข้าคิวรอเกือบชั่วโมง”
นลิณาเบียดอนามิกาเพื่อจะมานั่งแทน
นลิณาหันมาพูดกับอนามิกา “เธอยกไอ้ข้าวต้มปลารสชาติพื้นๆ ของเธอออกไป ที่เหลือเธอเอาไปกินก็ได้ เดี๋ยวฉันป้อนของอร่อยของฉันให้คุณณดลเอง”
อนามิกาไม่ลุกให้ นลิณาวางจานราดหน้าเบียดเลื่อนชามข้าวต้มปลาที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง จนเลื่อนมาขอบโต๊ะ อนามิการีบประคอง แต่นลิณาจงใจเอาศอกกระแทกทำให้ชามข้าวต้มปลาหลุดมือตกพื้น ชามแตกดัง “เพล้ง!!”
“ว๊าย...” นลิณาทำเป็นพูดน้ำเสียงใจเย็นใส่อนามิกา “อะนา...ใจเย็นๆ สิจ๊ะ ทำอะไรก็อย่ารีบจนลน หกเลอะเทอะแบบนี้ คุณณดลอย่าดุอะนาเค้าเลยนะคะ” นลิณาหันมาพูดกับอนามิกา “เอ้า..รีบเก็บทำความสะอาดสิจ๊ะ”
อนามิกาแค้นมองนลิณาตาวาว ทำท่าเตรียมจะเอาคืน
นลิณาเห็นท่าอนามิกาขึงขังก็ยิ่งสนุกกับการซ้ำเติม “แหม...ตกพื้นหมดเลยนะ” นลิณายิ้มเยาะ “สมแล้วหละ...ข้าวต้มรสชาติพื้นๆ ก็สมควรจะเททิ้งลงพื้น”
อนามิกาทนไม่ไหว “อ๋อ...ข้าวต้มพื้นๆ สมควรทิ้งลงพื้น”
“ใช่...” นลิณายิ้มเยาะสะใจ
“ข้าวต้มพื้นๆ ทิ้งลงพื้น..งั้นก๋วยเตี๋ยวราดหน้าก็สมควรจะเอามาราดหน้าซะ”
พูดขาดคำอนามิกาก็คว้าจานราดหน้าโปะเข้าไปที่หน้าของนลิณาเต็มๆ
ณดลร้องห้าม แต่ก็เนือยๆ ตามประสาคนยังไม่แข็งแรง “อะนา..อย่า!”
ราดหน้าโปะเต็มทั้งหน้า ทั้งหัวของนลิณามีทั้งเส้นทั้งผัก นลิณาได้แต่ยืนเหวอ อนามิกากลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ แต่พอสบตานลิณาก็รีบหุบปาก เพราะเห็นนลิณาจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ แต่แล้วนลิณากลับเปลี่ยนเป็นยิ้มใส่อย่างเจ้าเล่ห์
“เธอพลาดแล้วหละ ยัยอะนา” นลิณาพูด
อนามิกางงว่านลิณาจะมาไม้ไหน
อนามิกานั่งคอตกจนคางแทบชิดอกอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน โดยมีพนารัตน์ยืนด่าเป็นชุด กอบชัยนั่งอยู่ใกล้ๆ ถัดไปเป็นนลิณาที่ผมเผ้ายังเปียกกำลังนั่งใช้ผ้าขนหนูเช็ดศีรษะไปพลางยิ้มเยาะอย่างสะใจ แพรวามีทีท่าเห็นใจและอยากจะช่วยอนามิกาแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก
“เธอทำอย่างงี้ได้ไง..หา?!” พนารัตน์ตวาด “ต่ำทรามยิ่งกว่าคนป่าคนเถื่อน เธอรู้มั้ยว่าคุณพ่อของหนูนีน่าเค้ามีบุญคุณกับพวกฉันแค่ไหน เธอทำกับลูกสาวเค้าแบบนี้ แล้วฉันจะมีหน้าไปเจอเค้ามั้ย...หา?!”
กอบชัยเสริม “ผมก็ไม่รู้จะเคลียร์กับคุณเสรีเค้ายังไงเหมือนกัน”
นลิณาแสร้งทำเป็นคนดี “ไม่ต้องห่วงนะคะคุณอา นีน่าจะไม่เล่าให้คุณพ่อหรอกค่ะ สบายใจได้” นลิณาหันมาหาแพรวา “น้องแพรก็ห้ามเล่านะ”
“ค่ะ แพรไม่เล่าหรอกค่ะ”
พนารัตน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ดู๊..ดู...น่ารักจริงๆ หนูนีน่ากับหนูแพรนี่” แล้วพนารัตน์ก็หันมาพูดเสียงเข้มใส่อนามิกา “ไม่เหมือนยัยนี่ แล้วตัวเองยังท้องอ่อนๆ อยู่ ก็ยังไม่รู้จักเจียม ยังคอยแต่จะหาเรื่องคนอื่นเค้า”
กอบชัยเสริม “ดีนะ ที่หนูนีน่าเค้ายังสงสาร ไม่อยากรังแกคนท้องคนไส้”
“แต่ดิฉันไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนนะคะ” อนามิกาบอก
พนารัตน์ตวาดลั่นออกมาโดยไม่รอให้อนามิกาพูดจบ “ยังจะมีหน้ามาแก้ตัว รีบกราบขอโทษหนูนีน่าเค้าเดี๋ยวนี้”
อนามิกานิ่ง ไม่ยอมทำตาม
“ก็รีบๆ ยกมือไหว้เค้าซะสิ” กอบชัยย้ำ
พนารัตน์ตวาด “ยังจะหน้าด้านทำเฉยอยู่อีกเหรอ”
“นีน่าว่าอย่าให้ถึงกับต้องไหว้ต้องกราบอะไรเลยค่ะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ นีน่าให้อภัยได้ อะนาเค้าอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้”
“โถ...หนูนีน่าก็ช่างเป็นคนดีจริง..จริ๊ง...มันจะไม่ตั้งใจได้ไง จานราดหน้ามันจะลอยขึ้นมาโดนหน้าหนูได้ยังไง” พนารัตน์บอก
กอบชัยเสริม “ต้องตั้งใจสุดๆ เลยหละ”
“แต่นีน่าขอนะคะ อะนาเค้าก็คงสำนึกเสียใจแล้ว คุณอาอย่าว่าเค้าอีกเลยค่ะ”
“อู๊ย...ยัยเนี่ยนะ จะรู้จักสำนึกเสียใจ ไม่มีทางหรอกหนูนีน่า อุ๊ยตาย!”
พนารัตน์เพ่งมองแล้วเดินไปใกล้ๆ นลิณา ก่อนจะหยิบเศษผักคะน้าชิ้นหนึ่งจากบนศีรษะนลิณา
“นี่ไง หลักฐานยังคามืออยู่เลย” พนารัตน์หยิบอีกชิ้น “นี่อีก”
“เอ่อ...งั้นนีน่าไปล้างผมอีกทีดีกว่าค่ะ”
นลิณาเดินผ่านอนามิกาแล้วยิ้มเยาะอย่างสะใจ อนามิกาถลึงตาใส่อย่างไม่ลดราวาศอก
พนารัตน์หันไปด่าอนามิกาต่อ “ทำอะไรเลวๆ ไว้ ก็ไม่เคยรับผิด ไม่เคยรู้จักขอโทษ ไม่รู้ตอนโตขึ้นมามีใครสั่งสอนรึเปล่า นี่หนูนีน่าขอไว้นะ ไม่งั้นฉันจะด่าเธอข้ามวันข้ามคืนเลย ไป! ขึ้นไปทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อย ไป๊!”
อนามิกากัดฟันทนแล้วลุกขึ้นเดินออกไป พนารัตน์มองตามอย่างไม่พอใจสุดๆ แล้วก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา
“โอย...ขึ้นเลยฉัน”
“คุณอารัตน์ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” แพรวาถามด้วยความเป็นห่วง
แพรวารีบลุกมาประคองพนารัตน์ พนารัตน์โบกมือบอกว่าไม่เป็นไร แพรวากับกอบชัยช่วยกันประคับประคองให้พนารัตน์นั่งลง
“ไม่เป็นไรแล้ว..ฉันไม่เป็นไร อายุยิ่งเยอะ โรคก็รุมเร้า เฮ้อ...ชีวิตนี้ขอแค่ได้เห็นลูกๆ มีคู่ชีวิตที่ดี ฉันก็จะไม่ขออะไรอีกแล้วชาตินี้” พนารัตน์พูด
อนามิกาคลานเข่าเช็ดทำความสะอาดพื้นห้องณดลที่เลอะข้าวต้มและราดหน้า แล้วเก็บเศษชามกระเบื้องใส่ในถังขยะเล็กๆ ที่วางอยู่ข้างๆ ตัว ณดลนอนเอกเขนกบนเก้าอี้ผงกศีรษะขึ้นเหลือบมอง
“ไม่ต้องมาด่าฉันแล้วนะ ฉันโดนคุณแม่คุณด่ามามากพอแล้ว หูยังชาอยู่เนี่ย ไม่ต้องด่า แล้วก็ไม่ต้องเยาะเย้ยด้วย”
ณดลพูดกลั้วหัวเราะ “แล้วใครบอกว่าฉันจะด่าเธอ”
“อ้าว...ก็ไม่รู้นี่ เห็นปกติเวลายัยนีน่าหาเรื่องฉัน คุณก็เข้าข้างยัยนีน่าตลอด”
“ฉันก็ว่าไปตามเนื้อผ้า แต่ฉันก็ไม่ได้โง่หรอกน่า ฉันก็พอมองออกว่าใครนิสัยยังไง”
“ขนาดมองออกนะเนี่ย ไม่เคยจะเข้าข้างฉันเลย...โอ๊ย!”
อนามิกาพลาดโดนเศษกระเบื้องบาดนิ้วจนร้องเสียงหลง ณดลรีบลุกมาดู เขาจับมือของอนามิกาขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วง
“ไหน..เป็นอะไรหรือเปล่า”
ณดลจับมืออนามิกามาดูใกล้ๆ แล้วหยิบทิชชู่บนโต๊ะมาซับเลือดเลือดให้
“แค่สะกิดนิดเดียว ไม่เป็นอะไรมากหรอก” ณดลบอก
สายตาของณดลจดจ่ออยู่ที่นิ้วของอนามิกา ในมือของเขาก็ถือทิชชู่กดแผลให้ อนามิกาอมยิ้มมองหน้าณดลอย่างรู้สึกดีๆ โดยที่ณดลยังก้มหน้าก้มตามองแต่นิ้วของอนามิกาด้วยความเป็นห่วง
“เลือดหยุดแล้ว ไปล้างมืออีกทีดีกว่ามั้ย” ณดลบอก
ณดลเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอนามิกาที่กำลังอมยิ้มมองหน้าเขาอยู่ ณดลจับมืออนามิกาแล้วประสานสายตานิ่งอยู่อย่างนั้น อนามิกาชักเขินจึงหลบสายตา
“เอ่อ...ฉันขอมือฉันคืนได้รึยัง” อนามิกาถาม
ทันใดนั้น ณภัทรก็เปิดประตูเข้ามา
“เป็นไงบ้าง..พี่...”
ณภัทรนิ่งตะลึงที่ได้เห็นณดลยืนจับมืออนามิกาพร้อมทั้งประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง พอณดลกับอนามิการู้สึกตัวจึงรีบปล่อยมือแล้วผละออกห่างกัน
ณภัทรรำพึงกับตัวเองเบาๆ “ชัวร์...ชัด...ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว”
นลิณามองกระจกเหนืออ่างล้างหน้าในห้องน้ำบ้านณดล เธอใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมให้แห้งก่อนจะหันศีรษะสำรวจทั้งด้านข้าง ด้านหลังว่ายังมีอะไรติดศีรษะอยู่อีกไหม เมื่อเห็นว่าไม่มี จึงพยักหน้าพอใจ
นลิณาขยับจะเดินออกจากห้องน้ำ พลันสายตาของเธอก็มองไปที่ชั้นวางขวดแชมพู และโลชั่นต่างๆ ก่อนจะเห็นแหวนเพชรวงหนึ่งที่วางลืมทิ้งไว้
“คุณอาลืมไว้นี่ เอาไปคืนดีกว่า”
นลิณาขยับจะออกไปแต่แล้วก็พลันชะงักหยิบแหวนเพชรขึ้นมาดู แล้วยิ้มกริ่มเพราะผุดไอเดียร้ายๆ ขึ้นมา
“เอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า“
ประตูห้องณภัทรค่อยๆ เปิดแง้มออก นลิณาแทรกตัวเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ ก่อนจะงับประตูคืนเบาๆ แล้วจึงรีบก้าวเข้ามา นลิณาสอดส่ายสายตาเพื่อมองหากระเป๋าสะพายของอนามิกา สักพักเธอก็ดีใจที่หาเจอ
นลิณาเดินตรงมาที่กระเป๋าสะพายของอนามิกาแล้วหยิบแหวนเพชรออกมาก่อนจะยิ้มอย่างสะใจ
“ยัยอะนา คราวนี้หละ แกได้โดนไล่ออกจากบ้านแน่”
นลิณายัดแหวนเพชรใส่กระเป๋าสะพายใบนั้น โดยที่ศรีซึ่งใส่ถุงมือยางเตรียมล้างห้องน้ำ กำลังยืนมองนลิณาอยู่ตลอดเวลา ศรีถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้าง
นลิณาจัดกระเป๋าให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วยิ้มกริ่มก่อนจะเดินออกไป พอนลิณาเดินออกจากห้องไปแล้ว ศรีจึงเดินออกมาแล้วมองตามไปที่ประตูด้วยความรู้สึกรังเกียจการกระทำของนลิณา
“นี่เล่นกันแบบนี้เลยเหรอ...” ศรีรำพึงเบาๆ
แพรวา กอบชัย และพนารัตน์นั่งกันอยู่ที่เก้าอี้รับแขก นลิณาเดินมาจากห้องน้ำ ด้วยอากัปกริยาหันรีหันขวางเหลียวหน้ามองหลัง
“มีอะไรเหรอจ๊ะหนูนีน่า” พนารัตน์ถาม
“นั่นสิ ทำท่ายังกะเจออะไรมา” กอบชัยแปลกใจ
“เอ่อ...คือ...นีน่าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนจะเข้าห้องน้ำ นีน่าเห็นอะนาเค้าเปิดประตูออกมา ท่าทางร้อนรนแปลกๆ”
“แปลกๆ ยังไงเหรอคะพี่นีน่า” แพรวาถาม
“ก็แบบ...เหมือนคนทำความผิดแล้วมีพิรุธยังไงยังงั้น แล้วก็เห็นเอามือหลบๆ เหมือนแอบซ่อนอะไรไว้”
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ยัยอะนานั่นก็บ้าๆ บอๆ อย่าถือเป็นสาระเลย” พนารัตน์บอก
นลิณาหน้ากร่อยเพราะรู้สึกว่าผิดแผน เลยจงใจทำเป็นเนียนพูดกับพนารัตน์ต่อ
“ขอโทษนะคะ ที่นิ้วของคุณอารัตน์มียุงเกาะอยู่”
พนารัตน์รีบเอาอีกมือปัดที่นิ้วมือโดยสัญชาติญาณ “ไหน...”
“ไปแล้วค่ะ บินหนีไปแล้ว” นลิณาบอก
พนารัตน์เอามือลูบนิ้ว แล้วตาเบิกโพลงเพราะนึกขึ้นได้ “แหวน! แหวนเพชรฉัน”
“อะ..อะไรกันคุณรัตน์” กอบชัยถามขึ้น
“แหวนเพชรฉัน...ถอดลืมไว้ในห้องน้ำ!” พนารัตน์หน้าตื่น
นลิณาลอบยิ้มร้ายๆ อย่างสะใจ
พนารัตน์รื้อหาแหวนเพชรที่ชั้นวางของในห้องน้ำจนขวดแชมพู ขวดโลชั่นล้มระเนระนาด โดยมีนลิณายืนยิ้มอย่างพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“หายไปแล้วจริงๆ ด้วย” พนารัตน์นิ่งคิดซักครู่ “ฉันจำไม่ผิดแน่ๆ ฉันกำลังล้างมือเลยถอดวางไว้ตรงนี้ เอ๊ะ! หรือว่า...” พนารัตน์หันไปที่นลิณา
“หรือว่าอะไรคะ” นลิณาถาม
“ก็ที่เมื่อกี้หนูนีน่าบอกไง ที่ว่าเห็นยัยอะนาลุกลี้ลุกลนออกจากห้องน้ำน่ะ”
นลิณาแสร้งทำเป็นตกใจ “อุ๊ยตาย...จริงด้วยค่ะคุณอา”
พนารัตน์รู้สึกเดือดสุดๆ “ยัยอะนา!!”
อ่านต่อหน้า 3
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 8 (ต่อ)
นลิณาเปิดประตูห้องณภัทรแล้วเดินจ้ำนำพนารัตน์เข้ามา
“นีน่ามั่นใจค่ะ ยัยอะนานี่แหละที่ขโมยแหวนเพชรของคุณอาไป” นลิณาบอก
นลิณาคว้ากระเป๋าสะพายของอนามิกามายื่นให้พนารัตน์อย่างมั่นใจ
“ต้องอยู่ในกระเป๋ามันแน่ๆ ไม่เชื่อก็ลองค้นดูสิคะ”
พนารัตน์รับกระเป๋ามาแล้วก็ชะงัก เธอเหลือบมองนลิณาเหมือนยังไม่มั่นใจ นลิณาพยักหน้าอีกครั้งอย่างมั่นใจสุดๆ
พนารัตน์ลงมือรื้อค้นกระเป๋าในขณะที่นลิณายิ้มอย่างสะใจ พนารัตน์เอามือควานรื้อค้นอย่างละเอียดแล้วก็หยุดชะงัก
นลิณายิ้ม “เป็นไงล่ะคะ อย่างที่นีน่าคิดไว้เลยใช่มั้ย เจอแหวนแล้วใช่ไหมคะ”
พนารัตน์ส่ายหน้า “ไม่มีนี่”
นลิณาตาโต “หา!?”
นลิณาดึงกระเป๋ากลับมารื้อค้นและก้มมอง ควานหาจนแน่ใจว่าไม่มีจริงๆ
“เอ่อ...คือ...” นลิณาเริ่มงง
“หรือมันจะเก็บไว้กับตัว มา...ต้องรีบจับให้มั่นคั้นให้ตาย” พนารัตน์รีบเดินออกไป
นลิณามองตามแล้วหันมามองกระเป๋าอย่างงงๆ และชักไม่มั่นใจ เพราะเธอไม่อยากไปเจออนามิกา
ณดล อนามิกา และณภัทรต่างก็งงกับสิ่งที่พนารัตน์พูด นลิณาที่ยืนใกล้ๆ ก็ชักจะไม่มั่นใจ
“ว่าไงยะ เธอหยิบแหวนเพชรฉันติดมือมาใช่มั้ย? ไม่ต้องมาเถียงเลยนะ มีคนเห็นเธอเข้าห้องน้ำชั้นล่างเมื่อกี้นี้” พนารัตน์บอก
ณดล อนามิกา และณภัทรหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ
อนามิกาหันไปที่พนารัตน์ “วันนี้ดิฉันยังไม่ได้เข้าห้องน้ำข้างล่างเลยค่ะ”
“แต่เมื่อกี้เธอแอบลงไปใช่มั้ย” พนารัตน์ถาม
อนามิกาหันไปมองณดลเชิงขอให้ช่วยยืนยันให้เธอหน่อย
“อะนาเค้าก็อยู่ในห้องผมตลอดนะครับคุณแม่ ไม่ได้ออกไปไหนนี่ครับ” ณดลบอก
“มันก็แอบแว๊บกันได้ มา...ให้ฉันค้นตัวเดี๋ยวนี้”
“คุณแม่! จะไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ ผมรู้จักอะนามานาน คนอย่างอะนาไม่มีทางขโมยของใครหรอกครับคุณแม่”
“แกก็ต้องเข้าข้างเมียแกสิ แกเพิ่งกลับบ้านเมื่อกี้ จะไปรู้อะไร” พนารัตน์พูดกับอนามิกา “ถ้าเธอไม่ได้ขโมยจริงๆ ฉันขอค้นตัวแค่นี้ จะปฏิเสธทำไม”
“ดิฉันยังไม่ได้ปฏิเสธอะไรนะคะ ก็เอาสิคะ เพื่อความสบายใจ” อนามิกาบอก
พนารัตน์ค้นตัวอนามิกา สักพักก็หันมาที่นลิณาที่ยืนอึดอัดอยู่
“มาสิ มาช่วยกัน” พนารัตน์บอก
“ค่ะ” นลิณารับคำ
ทั้งสองช่วยกันค้นตัวอนามิกาอย่างละเอียด สักพักก็รู้ว่าไม่มีแหวน
พนารัตน์พูดกับนลิณา “ไม่มีนี่..” พนารัตน์หันมาหาอนามิกา “เธอเอาแหวนเพชรของฉันไปเก็บไว้ที่ไหน”
“แหวนเพชรอะไรกันคะ” อนามิกางง
“คุณแม่ไปเอาที่ไหนมามั่นใจว่าอะนาเป็นขโมยครับ” ณภัทรถาม
พนารัตน์ดุณภัทร “แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
“งั้นผมขอพูดเอง ใครบอกคุณแม่เหรอครับว่าอะนาเป็นขโมย” ณดลถาม
“ก็...” พนารัตน์อึกอัก
นลิณารีบโพล่งขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อน “ไม่มีใครบอกหรอกค่ะ ก็แค่เข้าใจผิดกันนิดๆ หน่อยๆ” นลิณาหันมาหาพนารัตน์ “คุณอารัตน์ขา งั้นเราไปช่วยกันหาต่อดีกว่า ของลืมไว้ในบ้าน ยังไงก็คงไม่หายหรอกมังคะ ไปเถอะค่ะ ไปสิคะ”
นลิณารีบดึงพนารัตน์เดินออกไป อนามิกา ณดล และณภัทรมองหน้ากันอย่างงงๆ อนามิกาออกอาการเบื่อหน่าย
“เอ๊า...เอาเข้าไป อะไรๆ ก็ฉัน...เฮ่อ!” อนามิกาบ่น
พนารัตน์กับนลิณาเดินก้มมองหาแหวนตามพื้นบ้าน ทั้งสองเดินมาเจอศรียืนนิ่งอยู่
“นี่! หลบไปหน่อยสิยะ จะมายืนเกะกะอะไร” นลิณาไล่ศรี
ศรีชูแหวนเพชรให้ดู “หานี่อยู่ใช่ไหมคะ”
นลิณาช็อกที่เห็นแหวนเพชร พนารัตน์รีบคว้ามาดูอย่างดีใจ
“ใช่! นี่เธอไปเจอแหวนฉันที่ไหนเหรอศรี”
“เอ่อ..เจอที่...”
ศรีจ้องหน้าของนลิณาแล้วส่งสายตาบอกให้รู้ว่าเธอเห็นว่านลิณาเป็นคนเอาแหวนใส่กระเป๋าของอนามิกา
นลิณารีบโพล่งขึ้นเพื่อกลบเกลื่อน “ที่ห้องน้ำใช่มั้ย ของคุณอารัตน์วางลืมเอาไว้น่ะ ขอบใจมากนะศรี”
“เอ่อ..คือว่า...” ศรีพยายามจะบอก
นลิณารีบพูดทับเสียงศรี “เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้วศรี แล้วเดี๋ยวฉันจะให้รางวัลเธอนะ อยากได้อะไรบอกฉัน” นลิณาขยิบตาให้ศรี แล้วหันมาหาพนารัตน์ “ดูสิคะคุณอารัตน์ ถึงศรีเค้าจะเป็นแค่แม่บ้าน ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ยังรู้จักซื่อสัตย์”
“นั่นสิ” พนารัตน์ยิ้มให้ศรีอย่างชื่นชม “ขอบใจมากนะศรี..ฉันจะตอบแทนเธอยังไงดี”
นลิณารีบพูดทับ “ไม่เป็นไรค่ะคุณอา เรื่องตอบแทน เดี๋ยวนีน่าจัดการเอง” นลิณารีบจูงศรีออกไป “ศรี มา..มากับฉัน”
พนารัตน์เอาแหวนมาสวมนิ้วแล้วมองอย่างมีความสุขโดยไม่ได้สนใจนลิณาที่จูงศรีออกไป
นลิณาจูงแขนศรีมาที่มุมลับตาในบ้าน แล้วชะเง้อมองพอเห็นว่ารอบๆ ไม่มีใคร ก็รีบกระซิบแกมขู่ศรี
“บอกฉันมาตามความจริงนะ เธอไปเจอแหวนเพชรของคุณอารัตน์ที่ไหน”
“ก็...ที่..” ศรีอึกอัก
นลิณาหน้าตื่น “เธอเห็นทุกอย่างเลยใช่มั้ย”
“ค่ะคุณนีน่า” ศรียอมรับ
“งั้นเธอก็เห็น...”
“ค่ะ...ศรีกำลังทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ ก็เลยเห็นคุณนีน่ากำลัง...”
“เธอไม่เห็นอะไรเลยต่างหากล่ะศรี” นลิณาพูด
ศรีงง “ไม่เห็นยังไงคะ ก็ศรีเห็นคุณนีน่าจริงๆ”
นลิณาควักเงินทั้งหมดในกระเป๋าสตางค์ซึ่งมีอยู่สี่พันกว่าบาทส่งให้ศรี
“เธอเอาไปหมดนี่ แล้วลืมเรื่องนี้ไปซะ เธอเองก็ได้ความดีความชอบจากเจ้าของบ้านแล้ว แถมยังจะได้เงินฉันตรงนี้อีก นะจ๊ะศรี ฉันขอร้อง”
ศรียังลังเล “เอ่อ...คือ...” ศรีมองเงินอย่างกำลังชั่งใจ
“ว่าไงศรี งั้นฉันถามเธออีกทีนะ เธอเห็นใครในห้องนั้นมั้ย”
“เอ่อ...ก็...ไม่เห็นใครเลยค่ะ” ศรีเก็บเงินใส่กระเป๋า “ศรีไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
นลิณายิ้มโล่งใจที่ปิดปากศรีได้สำเร็จ
ณภัทรกับแพรวาเดินออกมาจากตัวบ้าน เขาต้องมาส่งแพรวาตามมารยาท โดยมีพนารัตน์กับนลิณาเดินตามมา
“แล้วพอถึงวันนัดอย่าลืมพาน้องแพรไปทานข้าวล่ะ ห้ามลืมเด็ดขาดนะภัทร” พนารัตน์บอกลูกชาย
“ครับคุณแม่” ณภัทรรับคำ
พนารัตน์หันไปยิ้มกับนลิณาอย่างสมใจที่ยัดเยียดนัดให้ณภัทรกับแพรวาได้ ทั้งสองทิ้งให้ณภัทรและแพรวาเดินห่างมา แพรวาเหลียวหลังไปมองเมื่อเห็นว่าทิ้งระยะห่างจากพี่สาวกับพนารัตน์พอสมควรก็เอียงคอพูดกับณภัทรเบาๆ
“ถ้าคุณไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไปก็ได้นะภัทร แพรเข้าใจ คุณภัทรไม่ได้คิดอะไรกับแพร แต่ต้องจำใจนัดแพรเพราะคุณแม่บังคับ”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ คุณแพรก็เป็นคนดี แค่ทานข้าวกันแบบเพื่อน ผมยินดีแล้วก็เต็มใจครับ” ณภัทรบอก
“แต่มันจะไม่แฟร์กับคุณอะนาน่ะสิคะ เค้าเป็นภรรยาของคุณนะ แล้วผู้หญิงที่กำลังท้อง ก็อาจจะต้องการคนดูแลใกล้ชิด” แพรวาบอก
ณภัทรตัดบท “ไม่หรอกครับ อะนาเค้าไม่ใช่คนขี้หึง เค้าเข้าใจว่าเราสองคนไม่ได้คิดอะไรเกินเลย”
“ดีจังนะคะคุณอะนาเนี่ย ทั้งสวย ทั้งวางตัวดี เข้าใจอะไรๆ ได้ดี แพรเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงเลือกอะนา เค้าดีกว่าแพรทุกอย่างเลยนะคะ”
“ไม่จริงหรอกครับ มันไม่ใช่ว่าใครดีกว่าใครหรอกครับคุณแพร เรื่องของใจ บางทีก็เอาเหตุผลไปวัดไม่ได้ ว่ากันตามตรงคุณแพรก็ไม่ได้มีอะไรที่แพ้อะนาเค้าเลยนะครับ ทั้งหน้าตา นิสัย แล้วก็ฐานะ”
“แหม..คุยกันถูกคอเลยนะจ๊ะ” นลิณาเดินมา แล้วหันไปหาณภัทร “ขออนุญาตพาตัวว่าที่คู่หมั้นกลับก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกันต่อวันนัดเดททานข้าวแล้วกันนะจ๊ะ”
นลิณาดึงแขนแพรวาไปที่รถของตนที่จอดไว้ แล้วเหลียวหลังมามองที่ตัวบ้านด้วยสายตาเคียดแค้น
“ฝากไว้ก่อนเหอะยัยอะนา” นลิณาบ่นออกมา
พนารัตน์ กอบชัย และณภัทรนั่งกินข้าวต้มหมูสับเป็นอาหารเช้า พนารัตน์ตักกินแล้วทำหน้าไม่สู้ดี
“นี่ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย ว่ามื้อเช้าวันนี้ รสชาติมันไม่เป็นสับปะรดเลย”
“ใช่..ไม่เป็นสับปะรดจริงๆ เพราะมันเป็นข้าวต้ม” กอบชัยแซว
พนารัตน์ดุ “คุณกอบ!”
“ผมล้อเล่น ผมก็รู้สึกเหมือนคุณรัตน์ สงสัยวันนี้ไม่ใช่ฝีมือของอะนาแน่ๆ”
“ครับ...เช้านี้ศรีเป็นคนเข้าครัวครับ” ณภัทรบอก
“แล้วยัยอะนาหายหัวไปไหน หา?”
“เค้าช่วยงานพี่ณดลอยู่น่ะครับ พี่ณดลไม่สบาย หยุดงานไปสองสามวัน เลยต้องให้อะนาช่วยสะสางงานกองโตที่ออฟฟิศให้น่ะครับ”
“ยัยอะนาเนี่ยนะจะช่วยงานไอ้จอมเนี้ยบอย่างณดลได้ จะไหวเร้อ?” กอบชัยถาม
“คุณพ่อคุณแม่ก็รู้ คนอย่างพี่ณดล ถ้าใครทำงานให้แล้วไม่คล่อง งกๆ เงิ่นๆ พี่แกก็คงอาละวาดไล่ตะเพิดไปแล้ว แต่นี่อะนายังไม่โดนไล่ออกมา”
พนารัตน์พูดกับกอบชัย “งั้นก็แสดงว่ายัยอะนาก็ไม่เลวนี่นะ ทำกับข้าวก็เก่ง แถมยังช่วยงานของณดลได้อีก”
กอบชัยกินข้าวอยู่เต็มปากจึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย ณภัทรยิ้มปลื้มที่พ่อกับแม่เริ่มยอมรับอนามิกามากขึ้น
อนามิกานั่งพิมพ์โน้ตบุ้คคอมพิวเตอร์ที่วางบนตักอยู่ข้างเตียงของณดล โดยมีณดลนั่งพิงหัวเตียงคอยสั่งงาน สักครู่เธอก็พิมพ์เสร็จจึงยื่นโน้ตบุ้คให้ณลดตรวจงาน
“เรียบร้อยค่ะ อีเมลที่จะต้องส่งให้ผู้สนใจร่วมทุนจากต่างประเทศ”
ณดลกวาดสายตาอ่านทวน “อืม..ส่งได้เลย”
อนามิกาดึงโน้ตบุ้คกลับมา คลิกส่งอีเมล
“แล้วเรื่องบัญชีของบริษัทล่ะ” ณดลถาม
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวเปิดไฟล์ให้ดูนะคะ”
อนามิกาคลิกหน้าที่มีตารางและตัวเลขทางบัญชี แล้วยื่นโน้ตบุ้คให้ณดลดู ณดลกวาดสายตาตรวจทานแล้วพยักหน้าพอใจ อนามิกาดึงโน้ตบุ้คกลับมา
“แล้วบิสสิเนสแพลนของไตรมาสหน้า” ณดลถามอีก
“เรียบร้อยค่ะ สักครู่นะคะ”
อนามิกาคลิกเปิดไฟล์ให้ณลดดูหน้าที่เป็นตารางตามวันที่ไล่บรรทัดลงมา พอณลดพยักหน้าโอเค อนามิกาก็คลิกอีกหน้าให้ดู
“ฉันทำเยียร์แพลนไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย เผื่อคุณจะแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไร”
ณดลมองสักครู่แล้วก็หันมามองหน้าอนามิกาอย่างทึ่งๆ อนามิกาหันมาสบสายตาของเขา ทั้งคู่นิ่งกันพักหนึ่งก็ชักอึดอัด
“มีอะไรเหรอคะ มีอะไรติดที่หน้าฉันหรือเปล่า” อนามิกาเอามือจับที่แก้ม
“เปล่า..ไม่มีอะไร ฉันแค่ทึ่งที่เธอแทบจะทำงานแทนฉันได้เลยนะเนี่ย บอกตรงๆ ฉันไม่คิดมาก่อนเลยนะ ว่าคนอย่างเธอจะทำงานได้”
“อ้าว...ไหงคิดงั้นล่ะ ฉันก็มีการศึกษานะ เรียนหนังสือมาเหมือนกัน”
“นั่นสิ สงสัยฉันคงต้องมองเธอใหม่แล้ว”
ณดลยิ้มแล้วมองอนามิกา อนามิกานิ่งอยู่พักหนึ่งก็ชักเขินจึงหันไปหยิบซองยา
“ได้เวลาทานยาลดไข้แล้ว” อนามิกาบอก
“ไม่ต้อง ฉันหายแล้วหละ”
“หา? แน่ใจเหรอ”
ณดลพยักหน้า “อื้อ...ฉันตื่นมาตอนเช้าก็รู้สึกโอเคแล้วหละ เพียงแต่ยังขี้เกียจทำงาน ก็เลยใช้ให้เธอทำแทนฉัน”
อนามิกาค้อนขวับแล้วปิดพับโน้ตบุ้ควางกระแทกคืน
“ดีนี่...ในเมื่อที่นี่ไม่มีคนป่วยให้ดูแลแล้ว งั้นฉันขอตัวหละนะ”
อนามิกากำลังจะเดินออกไป แต่ก็ต้องหันกลับมาเพราะเสียงของณดลที่กล่าวกับเธอ
“ขอบใจมากนะ”
อนามิกาแปลกใจเพราะไม่คิดว่าคนอย่างณดลจะกล่าวขอบใจเธอ
“ขอบใจที่ดูแลตัวฉัน แล้วก็ช่วยดูแลงานของฉันด้วย หลายวันมานี่ ถ้าไม่มีเธอ ฉันต้องแย่แน่ๆ”
อนามิกายิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ฉันก็รู้สึกดีที่ได้ดูแลคุณ”
ณดลยิ้ม
“เพราะอย่างน้อย...คุณก็เป็นพี่เขยฉัน” อนามิกากล่าว
ณดลหุบยิ้มแล้วมองตามจนอนามิกาออกจากห้องไปแล้ว ณดลจึงเปรยกับตัวเอง
“ใช่...เราเป็นพี่เขย จะไปรู้สึกดีอะไรหนักหนา หยุดคิดบ้าๆ ได้แล้ว”
ณดลรู้สึกสับสนและว้าวุ่นในใจ
อนามิกาซึ่งอยู่ในชุดนอนเตรียมเอนกายนอนและกำลังจะห่มผ้า ณภัทรที่นอนอยู่บนโซฟาก็เรียกเธอ
“อะนา”
อนามิกาขยับขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียง “หือ?”
ณภัทรพูดอย่างเป็นเรื่องสำคัญ “ฉัน..ฉันขอถามอะไรเธออย่างได้มั้ย”
“ได้สิ”
“แต่เธอต้องสัญญาก่อนว่าต้องตอบตามจริง”
“นี่! แล้วฉันเคยโกหกนายรึไง มีอะไรก็รีบๆ ถามมา คนจะนอน” อนามิกาบอก
“เธอ...เธอชอบพี่ชายฉันใช่มั้ย”
อนามิกาสะอึกแล้วมีท่าทีอึกๆ อักๆ ออกพิรุธ
“ว่าไง เธอสัญญาแล้วนะว่าจะตอบตามจริงน่ะ”
อนามิกาพูดไม่ตรงกับใจ “จะบ้าเหรอ ตอนนี้ฉันต้องแกล้งเป็นเมียนาย แล้วฉันจะไปคิดอะไรกับพี่เขยตัวเองได้ไง”
“ได้สิ เธอก็รู้ว่าเราแกล้ง ถ้าเธอจะชอบพี่ชายฉัน มันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่”
“พูดบ้าๆ อะไรของนายเนี่ยภัทร”
“เธอไม่ต้องฝืนความรู้สึกตัวเองหรอกนะ ถ้าเธอกับพี่ณดลชอบกันจริงๆ ฉันก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่” ณภัทรบอก
“เลิกพูดเพ้อเจ้อซะที ฉันจะรีบนอนแล้ว พรุ่งนี้ฉันนัดกับอาร์ทไว้”
“จะว่าไป เธอกับพี่ชายฉันก็เหมาะสมกันดีนะ”
“ปิดไฟนอนได้แล้ว”
อนามิกานอนพลิกตัวเพื่อหันหน้าหนีณภัทรเพราะกลัวว่าณภัทรจะจับพิรุธได้
ณภัทรยิ้มอย่างรู้ทัน “ก็ได้...ราตรีสวัสดิ์นะ...พี่สะใภ้”
อนามิกาตาโตตกใจได้แต่ตะโกนว่าไป “ไอ้บ้า”
ณภัทรยิ้มขำๆ แล้วปิดไฟนอนอย่างอารมณ์ดี ในความมืดสลัว อนามิกาอมยิ้มเขินๆ เพราะรู้สึกเหมือนถูกณภัทรจับได้แล้ว
เช้าวันใหม่ อนามิกากับเมธาวีกำลังใส่ถุงเท้ากีฬาและสวมรองเท้ากีฬาอยู่ในห้องล็อกเกอร์ของสปอร์ตคลับ ส่วนอัธวุธที่แต่งชุดออกกำลังกายสีแสบสันต์ยืนรออยู่ หญิงสาวในชุดกีฬาเดินเข้ามา มองอัธวุธด้วยสายตาตำหนิ
“จ้ะ..ฉันรู้ว่านี่มันห้องของผู้หญิง แต่ฉันก็ไม่ใช่ผู้ชาย งั้นขออยู่แป๊บนึง ไม่ว่ากันนะ” อัธวุธพูด
หญิงสาวในชุดกีฬาเดินเชิดหน้าผ่านไป
อัธวุธพูดกับอนามิกาและเมธาวี “นี่ฉันนัดพวกหล่อนมาวันเนี้ย ก็เพราะอยากจะถามให้แน่ใจว่าพวกเธอจะช่วยเดินแฟชั่นในวันเปิดตัวร้านเสื้อผ้าของฉันมั้ย”
“โถ...พี่อาร์ท เราสามคนสนิทกันขนาดนี้ ยังไงก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว” เมธาวีบอก
“แน่ใจนะยะ?”
“แน่สิ! ถ้าเป็นงานของแก ฉันกับยัยเมช่วยเต็มที่แบบไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว” อนามิกาย้ำ
“ถ้าเธอสองคนรับปากอย่างงี้ฉันก็โล่งใจ คือฉันกลัวเธอจะปฏิเสธ เพราะว่างานแฟชั่นโชว์ครั้งเนี้ย ฉันยังมีนางแบบรับเชิญอีก 2-3 คนมาช่วยเดินด้วย”
“นางแบบรับเชิญ...” เมธาวีทวนคำ
เมธาวีกับอนามิกาถามขึ้นมาพร้อมกัน “ใครเหรอ?”
เมธาวีกับอนามิกามีสีหน้าสงสัย
นลิณากับเกตนิการ์อยู่ในชุดออกกำลังกายรัดรูป ทั้งสองกำลังออกท่าทางยืดกล้ามเนื้อยืดเส้นยืดสายอย่างเซ็กซี่จนสองหนุ่มในชุดกีฬาที่กำลังยกน้ำหนักแอบซุบซิบลอบมองกันไม่วางตา นลิณาเห็นก็ชม้ายสายตายั่วยวนอีก สักพักอัธวุธก็เดินนำอนามิกากับเมธาวีเข้ามาหา
“เอาหละจ้ะ สาวๆ ซูเปอร์โมเดลทั้งหลาย เดี๋ยวฉันจะปล่อยให้ทุกคนได้เอ็กเซอร์ไซส์กระชับกล้ามเนื้อกันตามสบาย แต่ก่อนอื่น..ฉันอยากจะขอให้ทุกคนได้โปรดสงบศึกชั่วคราว อย่าเพิ่งทะเลาะกันจะได้ไหมจ๊ะ”
“ได้เลยค่ะ เมไม่มีปัญหา”
“ทางเราน่ะโอเคอยู่แล้ว ฉันว่าเธอถามทางนั้นเค้าเหอะยัยอาร์ท”
นลิณากับเกตนิการ์ยังอิดออด ทั้งสองมองด้วยหางตาอย่างไม่เป็นมิตร อัธวุธต้องเข้ามาแตะตัวแล้วพูดขอร้อง
“งานนี้ฉันขอนะ รู้แหละว่าพวกเธอไม่กินเส้นกัน แต่ขอเจรจาหยุดยิงชั่วคราว ให้พ้นแฟชั่นโชว์ของฉันไปก่อน แล้วค่อยรบกันใหม่ได้มั้ยจ๊ะ”
“ถ้ารู้ว่ามีทั้งยัยอะนา ทั้งยัยเม ฉันคงไม่ลดตัวมาตามนัดวันนี้หรอกนะ” นลิณาบอก
“ส่วนฉัน ฉันมากับนีน่า ถ้านีน่าเค้าไม่โอเค ฉันก็คงต้องขอบาย” เกตนิการ์พูด
“เอ่อ...แล้ว...น้องแพรวาของเธอล่ะ” อัธวุธถาม
“น้องแพรเป็นน้องสาวฉัน ถ้าฉันเซย์โน เธอว่าเค้าจะโอเคมั้ยล่ะ” นลิณาถามกลับ
“งั้น..” อัธวุธเซ็ง “ก็ได้ ฉันจะไม่บังคับจิตใจใครหรอกนะ” อัธวุธชะเง้อมองไปทางประตู “เอ...ทำไมป่านนี้นายภัทรกับพี่ชายยังไม่มานะ”
นลิณาได้ยินก็หูตาตื่นขึ้นมาทันที “เดี๋ยวก่อนนะ คุณณดลก็จะเดินแบบในงานนี้ด้วยเหรอ”“ใช่...ทั้งพี่ทั้งน้องเลยหละ ฉันก็ทำเสื้อผ้าผู้ชายด้วยนะยะ” อัธวุธบอก
“งั้นฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันเดินด้วยก็ได้” นลิณาพูด
“หา?! ง่ายๆ อย่างงี้เลยนะ แต่ก็ดีแล้วหละ” อัธวุธหันมาทางเกตนิการ์ “แล้วเธอล่ะเกด”
“ก็บอกแล้วไงฉันมากับนีน่า ถ้านีน่าโอเค ฉันก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”
อัธวุธยิ้ม “ก็ดี งั้นแยกย้ายกันออกกำลังกายเถอะจ้ะ ถ้าไม่ฟิตแอนด์เฟิร์ม เดี๋ยววันเดินแบบจะไม่เกิดนะยะ”
อนามิกาวิ่งอยู่บนเครื่องวิ่งในฟิตเนสโดยที่ใส่หูฟัง MP3 อยู่ด้วย ข้างๆ เป็นเมธาวีที่วิ่งอยู่เหมือนกัน สักพัก ณดลในชุดออกกำลังกายก็เดินเข้ามาโบกไม้โบกมือหน้าตาตื่นพร้อมกับตะโกนห้าม
“อะนา...หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ณดลเดินมาโบกมือร้องให้อนามิกาหยุดอยู่ด้านหลัง เมธาวีหันมาเห็นก็กดเครื่องวิ่งให้หยุดแล้วหันมา
“ฉันบอกให้หยุด” ณดลพูด
“มีอะไรเหรอคะคุณณดล” เมธาวีถาม
อนามิกาหันมาเห็นณดลโบกสองมือให้หยุดก็กดปุ่มหยุดแล้วถอดหูฟังออก
“รีบลงมาเลยนะ ใครใช้ให้เธอวิ่งแบบนี้” ณดลว่า
อนามิกางง “เอ๊า! ก็แล้วทำไมฉันจะวิ่งไม่ได้”
“ยังมีหน้ามาถามอีก เธอท้องอยู่ไม่ใช่เหรอ”
อนามิกาหน้าตื่น “เออ! จริงด้วย”
“จริงด้วยเนี่ยนะ นี่เธอลืมว่าตัวเองกำลังท้องอยู่รึไง มาวิ่งบนเครื่องแบบนี้ ถ้าก้าวพลาดแล้วล้มลงมาจะว่าไง คนท้องน่ะเค้าต้องออกกำลังด้วยวิธีอื่น” ณดลบอก
“วิธีไหนเหรอ” อนามิกาถามด้วยความใคร่รู้
ณดลนั่งบ่นณภัทรอยู่ที่เก้าอี้ริมสระว่ายน้ำ
“แกน่ะควรจะดูแลเมียแกให้ใกล้ชิดกว่านี้ คนท้องน่ะควรออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ ไม่ใช่ไปวิ่งอย่างงั้น”
“ครับพี่” ณภัทรรับคำ
ณภัทรตาลุกเมื่อหันไปมองที่ริมสระอีกฝั่ง ณดลหันมองตามทันที ทั้งสองเห็นนลิณากับเกตนิการ์เดินนวยนาดออกมาในชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่ นลิณาส่งสายตายั่วยวนมาให้ณดล ณดลผงะและรู้สึกอึดอัดจึงหลบสายตา
เกตนิการ์ก็แอบส่งสายตาให้ณภัทร ณภัทรกลืนน้ำลายเอื้อกแล้วยิ้มตอบให้ตามมารยาท นลิณากับเกตนิการ์ ลงสระว่ายน้ำ ณดลกับณภัทรถอนใจเฮือกแล้วหันมาคุยกัน
“หุ่นดีมากเลยนะคู่นี้ แต่เดี๋ยวรอดูอะนาก่อน รู้จักกันมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นหุ่นเต็มๆ ซักที” ณภัทรพูด
“อะไรของแก อยู่กินด้วยกันจนเมียท้อง แต่ยังไม่เคยเห็นหุ่นเนี่ยนะ” ณดลงง
ณภัทรนึกได้ “อ๋อ..เอ่อ..เคยเห็นสิ...เค๊ย..”
“แต่ท้องร่วมสามเดือนแล้ว หน้าท้องคงเริ่มป่องๆ นูนๆ แล้วมั้ง” ณดลบอก
“ไม่รู้เหมือนกันพี่”
“ไม่รู้ได้ไง แกไม่เคยเห็นหน้าท้องเมียตัวเองเรอะ”
“อ๋อ..เคยสิ...เค๊ย...ก็..เริ่มนูนๆ แล้วพี่ แต่นิดเดียว ยังไม่เยอะ” ณภัทรชี้ไปด้านหลัง “นั่นไง ดูเอาเองแล้วกัน อะนามาแล้วพี่”
ณดลค่อยๆ หันไปเพราะนึกว่าจะได้เห็นอนามิกาในชุดว่ายน้ำแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะอนามิกาสวมชุดออกกำลังกายชุดเดิมโดยมีผ้าขนหนูเล็กๆ พาดคอเดินมานั่งข้างๆ
“อ้าว..แล้วไม่ว่ายน้ำเหรอ” ณดลถาม
“ว่ายยังไงเล่า ฉันไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมา” อนามิกาตอบ
ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนลิณา
“ช่วยด้วย”
ทุกคนหันขวับไปเห็นนลิณาผลุบๆ โผล่ๆ อย่างคนเป็นตะคริวกำลังจะจมน้ำอยู่กลางสระที่ลึกที่สุด
“โอ๊ย! ฉันเป็นตะคริว ช่วยด้วย” นลิณาตะโกน
เกตนิการ์เกาะขอบสระด้านที่ทุกคนนั่งอยู่พูดขึ้น
“ฉันว่ายน้ำไม่แข็ง คุณณดลช่วยนีน่าด้วย”
ณดลรีบขยับจะลุกจากเก้าอี้ริมสระแต่อนามิกาจับแขนไว้ ณดลหันมองอนามิกาอย่างงงๆ
“ไม่ต้องหรอก คุณดูไม่ออกเหรอว่ายัยนีน่าเล่นละครตบตาคุณอยู่น่ะ”
นลิณาชักหน้าเสียที่ณดลไม่กระโดดลงมาเลยรีบตะโกนกดดัน
“ฉันไม่ไหวแล้ว จะจมแล้ว ช่วยด้วย”
ณดลผละจากอนามิกาอย่างไม่สนใจ เขารีบพุ่งกระโดดลงน้ำแล้วว่ายจ้ำไปช่วยนลิณา พอว่ายไปถึงตัวของนลิณา นลิณาก็ฉวยโอกาสโอบกอดเต็มที่
อนามิกาเดินไปพูดกับเกตนิการ์ที่กำลังเกาะขอบสระอมยิ้มอยู่
“นี่...เกด เธอไม่เอาอีกคนล่ะ แกล้งเป็นตะคริวจมน้ำอีกคนสิ จะได้ให้นายภัทรลงไปช่วยมั่ง”
เกตนิการ์หุบยิ้มแล้วค้อนอนามิกา “จะบ้าเหรอเธอ” แล้วเกตนิการ์ก็ว่ายน้ำหนีไป อนามิกายิ้มเยาะแล้วมองตามเกตนิการ์ไป เธอเห็นณดลประคองนลิณามาที่ขอบสระ
“ภัทร มาช่วยกันหน่อยสิ” ณดลเรียก
“ครับพี่”
ณภัทรรีบมาช่วยณดลประคองนลิณาขึ้นจากสระน้ำแล้วพามาเอนกายที่เก้าอี้ริมสระ
“ผายปอดเม้าธ์ทูเม้าธ์ด้วยเลยมะ จะได้ครบสูตร” อนามิกาประชด “แหม...อะไรจะบังเอิญมาจมน้ำเอาตอนคุณณดลนั่งอยู่พอดี”
“นี่เธอหาว่าฉันแกล้งจมน้ำเหรอยะ” นลิณาฉุน
“โอ๊ย...คนที่เชื่อเธอก็มีแต่อีตาณดลคนเดียวในโลกแหละ”
นลิณาลุกพรวด ปราดเข้าไปจะเอาเรื่อง “มากไปแล้วนะ ไม่รู้หรือว่าถ้าคุณณดลช่วยฉันช้าอีกนิดเดียว ฉันคงจมน้ำตายไปแล้ว”
อนามิกาชี้ที่น่องของนลิณา “ตะกี้ยังเป็นตะคริวอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
นลิณาสะดุ้ง รีบก้มลงกุมที่น่องทันที “โอ๊ย!.”
นลิณาเซไปให้ณดลประคอง อนามิกาส่ายหน้าด้วยความระอาทั้งนลิณาที่แสนมารยา และทั้งณดลที่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00น.
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 8 (ต่อ)
ณดลตัวเปียกซ่กกำลังนั่งใช้ทิชชู่เช็ดโทรศัพท์มือถือที่เปียกน้ำ โดยมีกองทิชชู่ที่ขยำๆ ซับน้ำจนเปียกวางอยู่บนโต๊ะหลายชิ้น สักพักอนามิกาก็เดินมานั่งด้วย
อนามิกาพูดด้วยน้ำเสียงประชด “เป็นไง ผู้รอดตายปลอดภัยแล้วใช่มั้ย เสียแรงเข้าใจอยู่ตั้งนานว่าคุณเป็นคนฉลาด มารยาหญิงตื้นๆ แค่นี้ก็ยังหลอกคุณได้”
ณดลวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วมองหน้าอนามิกาอย่างซีเรียส “ฉันไม่ได้โง่อย่างที่เธอคิดหรอกนะ เรียกว่าฉันยอมโง่ดีกว่า”
“ยอมโง่เนี่ยนะ?”
“ใช่..ในสถานการณ์ตอนนั้น มันไม่ใช่เวลาที่จะมาจับผิดกัน ฉันยอมโง่ ฉันยอมโดดลงไปช่วย ดีกว่าจะมาทำฉลาดแล้วอาจจะเสียใจภายหลังได้ ถ้าเค้าเกิดจมน้ำลงไปจริงๆ” ณดลสบตาจ้องอนามิกา “แต่จริงๆ ฉันก็คิดแบบเธอนั่นแหละ นีน่าเค้าไม่ได้จมน้ำจริงๆ หรอก”
“อืม...ฉันเข้าใจแล้ว เรียกว่าขอเซฟๆไว้ก่อน จะได้ไม่รู้สึกผิดภายหลังว่างั้น”
อนามิกาหยิบโทรศัพท์มือถือของณดลขึ้นมาทำให้น้ำหยดออกมาจากโทรศัพท์มือถือเป็นทาง
“ฉันว่าคุณรีบไปห้องแต่งตัว แล้วใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้งดีกว่านะ” อนามิกาแนะนำ
อนามิกากับณดลยิ้มขำให้กันอย่างคนที่รู้ใจกันมากขึ้น
ณภัทรนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมสระ เขาเห็นเกตนิการ์ถือผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมเดินเข้ามานั่งข้างๆ ณภัทร
เกตนิการ์ส่งผ้าเช็ดตัวบนเก้าอี้ให้ณภัทร “ช่วยเช็ดหลังให้ฉันหน่อยสิ”
“เอ่อ..ได้ๆ”
ณภัทรรับผ้าไปเช็ดหลังให้เกตนิการ์ เมธาวีในชุดออกกำลังกายถือน้ำผลไม้สองแก้วเดินมาจากส่วนของห้องออกกำลังกาย แต่แล้วก็ต้องชะงักที่เห็นณภัทรกำลังเช็ดหลังให้เกตนิการ์
เมธาวีรู้สึกน้อยใจ เธอมองแก้วน้ำผลไม้ในมือสองแก้วแล้วตัดสินใจหันหลังกลับ แต่ณภัทรกับเมธาวีหันไปเห็นพอดี
“อ้าว! เม” ณภัทรจะลุกตามไป
เกตนิการ์รั้งแขนไว้ “เดี๋ยวสิภัทร จะรีบไปไหนล่ะ สวมเสื้อคลุมให้ฉันหน่อยสิ”
ณภัทรชะเง้อมองตามเมธาวีไปก่อนจะยอมช่วยสวมเสื้อคลุมให้เกตนิการ์ เกตนิการ์ยิ้มเยาะอย่างสะใจพร้อมกับมองตามเมธาวีไป
ณ เวทีแฟชั่นโชว์ซึ่งมีรันเวย์ยื่นมาตรงกลาง ที่ฉากหลังมีตัวหนังสือ attawut ซึ่งเป็นโลโก้ของแบรนด์อัทธวุธ แสงไฟบนเวทียังไม่เปิด เพราะเป็นแค่การซักซ้อมคิวเดินแฟชั่นเท่านั้น
แพรวายืนโพสต์ท่าอยู่ที่ปลายรันเวย์แล้วหันหลังเดินกลับเข้าหลังเวที อัธวุธยืนอยู่ข้างล่าง โดยมีเจ้าหน้าที่แบ็คสเตจลุคส์ทอมบอยถือแผ่นสคริปต์อยู่ข้างๆ อัธวุธ
“เอ้า..คิวต่อไป ออกมาได้เลย” อัธวุธบอก
เกตนิการ์เดินออกมาพร้อมกับนลิณา
“เอ้า...มาหยุดโพสต์ท่าที่จุดมาร์คตรงหน้ารันเวย์นี่นะจ๊ะ” อัธวุธชี้
นลิณากับเกตนิการ์มาหยุดยืนโพสต์ตรงปลายสุดของรันเวย์อย่างมาดมั่นราวกับนางแบบมืออาชีพ
“เยี่ยม สวยมาก แล้วหันเดินกลับไปทีละคนนะ” อัธวุธตะโกน “เอ้า..คิวต่อไป ออกมา”
ณภัทรกับเมธาวีเดินคู่กันออกมา โดยมีเกตนิการ์กับนลิณาเดินสวนผ่ากลางกลับไป ณภัทรกับเมธาวีไปหยุดโพสต์ที่ปลายสุดของรันเวย์
“ตอนโพสต์ท่า ควงแขนกันด้วยสิจ๊ะ” อัธวุธขยิบตาให้เมธาวี แล้วตะโกนไปหลังเวที “เอ้า..คิวฟินาเล่ ออกมาได้”
ณดลกับอนามิกาเดินควงแขนกันออกมา พอทั้งคู่เดินมาได้ครึ่งทาง นลิณาอดรนทนไม่ไหว จึงร้องโวยขึ้น
“เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อน ปิดเพลงก่อน ปิดเพลง”
ณดลกับอนามิกาหยุดยืนอย่างงงๆ ที่ปลายรันเวย์ อัธวุธเดินตรงไปคุยกับนลิณาใกล้ๆ
อัธวุธหน้าตาตื่น “มีอะไรเหรอจ๊ะนีน่า”
นลิณาโวยเสียงดัง “ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรออาร์ท ว่าฉันยินดีจะมาเป็นนางแบบรับเชิญให้ แต่ต้องให้ฉันเดินออกในช่วงฟินาเล่ปิดท้าย”
“โถ..จะคิวไหน จะเปิดหัวหรือปิดท้ายก็ไม่ต่างกันหรอกจ้ะ”
“นี่..ยัยอาร์ท ฉันไม่ได้โง่นะ แฟชั่นโชว์น่ะฉันเคยดู ไฮไลท์มันต้องอยู่ที่คิวฟินาเล่ คนที่เดินออกมาปิดท้ายนี่แหละที่เด่นสุด เริ่ดสุดของโชว์ ไม่รู้หละ ถ้าฉันไม่ได้เดินคู่กับคุณณดลปิดท้าย ฉันจะกลับบ้านเดี๋ยวเนี้ย”
อัธวุธอึ้งเพราะเห็นท่าทางเอาจริงของนลิณา เขาหันไปมองอนามิกาอย่างเกรงใจ
“เอาเหอะอาร์ท จัดให้นีน่าเค้า ฉันยังไงก็ได้” อนามิกาบอก
อัธวุธพูดเสียงอ่อยๆ กับอนามิกา “ฉันขอโทษนะ” อัธวุธหันมาพยักหน้าให้นลิณาแล้วหันมาสั่งแบ็คสเตจที่ยืนข้างๆ อย่างเหวี่ยงๆ “แก้สคริปท์ เปลี่ยนคิวฟินาเล่ซะ”
นลิณาหันไปยิ้มเยาะอนามิกา
เจ้าหน้าที่แบ็คสเตจเข็นราวแขวนชุดเสื้อผ้าเข้ามา อัธวุธยืนตรวจชุดโดยเช็คเทียบกับสคริปท์ในมือ ครู่หนึ่งก็พยักหน้าพอใจก่อนจะเดินออกจากห้องเขาก็หันไปพูดกับนลิณาและเกตนิการ์
“รออีกซักชั่วโมง เดี๋ยวจะมีช่างแต่งหน้าทำผมมาดูแลให้นะ ช่วงนี้พักผ่อนกันตามสบายก่อน”
“จ้ะ...ตามสบายเหอะอาร์ท” เกตนิการ์บอก
“ใช่..ไม่ต้องดูแลอะไรพวกเราก็ได้ พวกเราง่ายๆ ยังไงก็ได้” นลิณาเสริม
อัธวุธยิ้ม “ขอบคุณมากจ้ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะ” อัธวุธเดินออกไปพร้อมกับบ่นเบาๆ “นี่ขนาดง่ายๆ ยังไงก็ได้นะเนี่ย”
ทันทีที่อัธวุธกับ จนท.แบ็คสเตจ ออกไป นลิณากับเกตนิการ์ก็แทบจะเด้งขึ้นมาจากเก้าอี้ ทั้งสองตรงไปที่ราวแขวนเสื้อ ทั้งแหวกทั้งรื้อดูเสื้อผ้าทุกชุดใส่ห่อพลาสติกไว้และมีกระดาษเขียนชื่อนางแบบที่จะสวมใส่ทั้งคุณอนามิกา คุณเมธาวี คุณนลิณา และคุณเกตนิการ์ติดไว้อย่างชัดเจน
“ไหน...ชุดของยัยอะนาอยู่ไหน” นลิณาแหวกชุดบนราวแขวนแล้วหยิบมาชุดหนึ่งที่มีกระดาษเขียนว่าคุณอนามิกา “อยู่นี่เอง”
นลิณาชูชุดในห่อพลาสติกที่ติดชื่อว่า “คุณอนามิกา” ขึ้นมามองอย่างอาฆาตมาดร้าย เกตนิการ์ก้มไปมองที่กล่องรองเท้าซึ่งติดกระดาษเขียนชื่อบนกล่องว่า “คุณเมธาวี” แล้วก็ยิ้มร้ายๆ ก่อนจะหยิบกล่องรองเท้าขึ้นมาเปิดกล่องแล้วหยิบรองเท้าส้นสูงปรี๊ดขึ้นมา
“เสร็จฉันหละ ยัยเม” เกตนิการ์พูด
ทันใดนั้น แพรวาก็เปิดประตูพรวดเข้ามา เกตนิการ์กับนลิณาลนลานรีบวางข้าวของคืน แพรวาเห็นว่ามีพิรุธก็ถามขึ้น
“มีอะไรเหรอคะ”
“ป..เปล่านี่ ไม่มีอะไร ใช่มั้ยเกด” นลิณาหันไปถามเพื่อน
“อื้อ! เธอออกไปก่อนเหอะแพร กว่าช่างแต่งหน้าทำผมจะเข้ามาก็อีกครึ่งชั่วโมงแน่ะ” เกตนิการ์บอก
“เหรอคะ...ค่ะ งั้นเดี๋ยวแพรมานะ”
แพรวาเดินออกไปแต่ก็ยังเหลียวกลับมามองอย่างไม่ไว้ใจ
ผู้คนทยอยเข้ามานั่งรอชมแฟชั่นโชว์ ไฟในฮอลล์เปิดสว่าง ส่วนไฟบนเวทียังปิดอยู่ อัธวุธกำลังยืนหลบมุมพนมมือท่วมหัวอธิษฐานอยู่คนเดียว
“เจ้าประคู๊ณ...ขอให้แฟชั่นโชว์ของฉันผ่านพ้นไปด้วยดีเถิ๊ดด”
อัธวุธหันมาแล้วก็สะดุ้งโหยง เพราะหน้าของเจ้าหน้าที่แบ็คสเตจเข้ามาใกล้จนแทบจะชนหน้าเขาอยู่แล้ว
“มีอะไรยะ จะสิงฉันรึไง ถึงต้องยื่นหน้ามาใกล้ขนาดนี้”
“พี่หนึ่งมาแล้วนะพี่” เจ้าหน้าที่บอก
อัธวุธตื่นเต้น “หา! แล้วดูแลหาที่นั่งให้พี่เค้ารึยัง เธอรู้มั้ย พี่หนึ่งเค้าเป็นเจ้าแม่วงการแฟชั่น ฉันจะเกิดหรือจะดับก็ขึ้นอยู่พี่หนึ่งนี่แหละ ฉันรีบไปเทคแคร์พี่เค้าก่อนดีกว่า”
หนึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างชูคออย่างเย่อหยิ่งอยู่ติดรันเวย์ อัธวุธตรงเข้าไปนอบน้อมสุดฤทธิ์
“สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง กราบขอบพระคุณมากๆ เลยนะคะ ที่สละเวลาอันมีค่าของพี่มาให้กำลังใจ”
หนึ่งยิ้มแล้วพยักหน้าให้แต่ก็ยังชูคอไว้ตัว
“ยังไงถ้าแฟชั่นโชว์ครั้งนี้เป็นที่ถูกใจ พี่หนึ่งก็อย่าลืมช่วยสนับสนุนให้น้องตัวเล็กๆ คนนี้ได้มีที่ยืนในวงการแฟชั่นบ้างนะคะพี่คะ” อัธวุธออดอ้อน
“ถ้าถูกใจนะ...หล่อนก็รู้นี่ยะว่าฉันเป็นพวกไฮสแตนดาร์ด มาตรฐานสูง แต่ถ้าเสื้อผ้าของหล่อนเริ่ดจริง ฉันก็พร้อมจะช่วยดันให้แมกกาซีนแฟชั่นทุกฉบับช่วยโปรโมตแบรนด์ของหล่อนให้”
“อู๊ย...” อัธวุธรีบกราบแทบหัวไหล่ “กราบขอบพระคุณล่วงหน้าเลยค่ะ รับประกันว่าแฟชั่นโชว์นี้ จะเลิศเลอเพอร์เฟคท์ ประทับใจพี่หนึ่งแน่ๆ เลยหละค่ะ”
บรรยากาศในห้องแต่งตัวดูวุ่นวาย นางแบบสามคนเดินขวักไขว่ไปมาในชุดเสื้อผ้าเตรียมพร้อม ส่วนอนามิกาและเมธาวียังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่กำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าทำผมอยู่ นลิณากับเกตนิการ์ช่วยกันดูแลความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม แล้วทั้งสองก็ซุบซิบพร้อมกับมองไปที่อนามิกากับเมธาวี
“เดี๋ยวเหอะ...เดี๋ยวได้เรื่องแน่ๆ” นลิณาพูด
“ชู่วว..นีน่า อย่าสิ เดี๋ยวมันก็รู้หรอกว่าเป็นฝีมือเรา” เกตนิการ์ปราม
“อู๊ย...จะมีใครแกล้งมันอีกล่ะ ยังไงมันก็รู้ว่าเราทำน่ะแหละ อย่าได้แคร์”
อัธวุธเดินเข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่แบ็คสเตจที่ถือกระดานสคริปต์ตามมาด้วย เขาตรงเข้ามาทักแพรวาที่แต่งตัวแต่งหน้าพร้อมแล้ว
“อู๊ย..สวยจังเลยแพรวา ไม่ต้องตื่นเต้นนะจ๊ะ”
“ไม่ตื่นเต้นไม่ไหวหละค่ะ ก็พี่อาร์ทจัดให้แพรเดินเปิดงานอย่างงี้”
“ใจเย็นๆ..สูดลมหายใจลึกๆ” อัธวุธหันไปประกาศเสียงดัง “เอาหละจ้ะ...นางแบบชุดแรกเตรียมพร้อมเลยนะ ส่วนนางแบบรับเชิญที่เดินช่วงสุดท้ายก็เตรียมตัวไว้” อัธวุธเดินมาที่อนามิกากับเมธาวี “ยังไม่แต่งตัวกันอีกเหรอจ๊ะ”
“เมกับพี่อะนารอคิวช่างแต่งหน้าทำผมอยู่น่ะค่ะ” เมธาวีตอบ
“ไม่ต้องห่วงน่า ยังพอมีเวลา ฉันกะยัยเมแต่งตัวทันแน่ๆ”
“ย่ะ...ขอเลยนะ งานนี้ ตั้งใจกันนิดนึง อย่ามีอะไรผิดพลาดให้ฉันหน้าแตกเด็ดขาด”
“หายห่วงน่า...ไปดูแลที่อื่นเหอะไป๊ ฉันสองคนดูแลตัวเองได้” อนามิกามั่นใจ
อนามิกากับเมธาวียิ้มแย้มอย่างสบายๆ เพราะมั่นใจว่าทุกอย่างจะไปได้สวย
เจ้าหน้าที่แบ็คสเตจเดินนำกอบชัย พนารัตน์ และเสรีเข้ามาด้วยกัน แล้วจึงผายมือให้ทั้งสามนั่งอยู่ด้านหน้าติดกับขอบเวที
“แหม...ได้นั่งติดขอบริงไซด์เลยนะ” กอบชัยพูด
“ริงไซด์นั่นมันเวทีมวยแล้วคุณ” พนารัตน์แก้คำ “เวทีแฟชั่นโชว์นี่เค้าเรียกว่าแคทวอล์ก หรือจะเรียกรันเวย์ก็ได้”
“แหม...คุณรัตน์นี่ทันสมัย มีความรู้เรื่องแฟชั่นเหมือนกันนะครับ” เสรีชม
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณเสรี ก็แค่ตอนสาวๆ เคยเดินแบบมาบ้าง”
“จริงเหรอครับ ผมเพิ่งทราบ” เสรีประหลาดใจ
“อย่าว่าแต่คุณเสรีเลย ผมก็เพิ่งทราบเหมือนกัน คุณรัตน์พูดเล่นรึเปล่า”
พนารัตน์ถองชายโครงกอบชัย “พูดจริงสิยะ ในแวดวงสังคมเค้าก็เชิญฉันไปเดินแบบการกุศลออกบ่อย คุณไม่เคยใส่ใจ ก็เลยไม่รู้น่ะสิ”
กอบชัยหน้าแหยเพราะไม่กล้าเถียงต่อ เสรีชะเง้อมองแล้วยิ้มขำๆ
อัธวุธเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ พี่หนึ่งที่กำลังตั้งคอเชิดพร้อมเหลือบดูนาฬิกาข้อมือเพราะไม่พอใจที่ต้องรอนาน
“กำลังจะเริ่มแล้วค่ะพี่หนึ่ง อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ” อัธวุธบอก
หน้าเวทีแฟชั่นโชว์มีไฟแสงสีและดนตรีจังหวะทันสมัยเปิดแฟชั่นโชว์ ช่างภาพ 4-5 รายรีบขยับไปยืนรอหน้ารันเวย์เพราะหวังจะได้ถ่ายภาพเด็ดๆ
ไฟฟอลโลว์จับที่ชื่อแบรนด์ attawut แล้วมาจับที่แพรวาซึ่งยืนโพสต์ท่าเรียกเสียงปรบมือ ก่อนจะก้าวเดินอย่างสง่าใกล้เคียงนางแบบมืออาชีพ กอบชัย พนารัตน์ และเสรีปรบมือเชียร์กันใหญ่
“หนูแพรสวยจริงๆ เลยนะ” พนารัตน์เอ่ยชม
“ก็ลูกสาวคุณเสรีก็ต้องหน้าตาดีอยู่แล้ว จริงไหมครับ” กอบชัยพูดเอาใจ
“จริงครับ แต่ถึงจะสวยยังไง คุณสองคนก็ยังไม่ยอมรับเป็นสะใภ้” เสรีตอกกลับ
พนารัตน์กับกอบชัยสะอึกแล้วหันมามองหน้ากัน สักพักพนารัตน์ก็พูดแก้เก้อ
“เราก็พยายามอยู่นะคะ คุณเสรีอดทนอีกนิด เราสองคนก็อยากเห็นหนูแพรกับเจ้าภัทรได้แต่งงานกันเหมือนกับคุณเสรีแหละค่ะ”
แพรวาโพสต์ท่าที่ปลายรันเวย์แล้วหันหลังเดินสวนกับนางแบบอีกสองคนที่เดินออกมา หนึ่งพยักหน้าน้อยๆ อย่างพอใจ อัธวุธซึ่งนั่งติดกับหนึ่งรีบพูดประจบ
“นี่แค่น้ำจิ้มนะคะพี่หนึ่ง ไฮไลท์จริงๆ จะอยู่ช่วงท้ายๆ ค่ะ”
ที่หลังเวที อนามิการ้องตกใจเสียงหลง
“ตายแล้ว! แล้วฉันจะเดินออกไปได้ยังไง”
เมธาวีที่แต่งตัวเสร็จแล้วรีบตรงเข้ามาหา
“มีอะไรเหรอพี่อะนา...หา!” เมธาวีตาโตตกใจที่เห็นชุดในมืออนามิกาซึ่งเป็นชุดกระโปรงยาว แขนยาว ตัวเสื้อปิดถึงคอ แต่ทั้งชายกระโปรง ปลายแขนเสื้อทั้งสองข้าง และช่วงคอโดนมีดกรีดยับและรุ่งริ่ง แทบจะกลายเป็นพรมเช็ดเท้า แพรวากับนางแบบอีกสองคนเข้ามุงด้วย
“ทำไมชุดมันเละอย่างนั้นล่ะคะ หรือว่า...” แพรวานึกขึ้นได้
แพรวานึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอเปิดประตูพรวดเข้ามาเห็นเกตนิการ์กับนลิณารีบลนลาน วางชุดเสื้อผ้าลงอย่างมีพิรุธ
แพรวาหันไปมองนลิณากับเกตนิการ์ เกตนิการ์กับนลิณารีบหันหน้าหลบตา ทำเป็นจัดเสื้อผ้าและแต่งหน้าแต่งตา
อนามิกาถอนใจอย่างเซ็งๆ เมธาวีรีบปลอบ
“เอางี้...พี่อะนาเอาชุดของเมไปนะ แล้วเดินแทนเมไปเลย”
“ไม่ได้ ทำงั้นได้ไง เธอรีบออกไปรอที่หลังเวทีเหอะ คิวของเธอต้องเดินกับนายภัทรแล้ว”
“แต่ว่า...” เมธาวีอ้ำอึ้ง
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่เป็นไร แค่ไม่ได้เดินแบบแค่นี้ ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อน” อนามิกาจงใจพูดให้นลิณากับเกตนิการ์ได้ยิน “แต่อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ ว่าใครเป็นคนทำ”
นลิณากับเกตนิการ์กระซิบกระซาบกัน
“รู้แล้วไง พูดยังกะจะทำอะไรเราได้” นลิณาหัวเราะเบาๆ อย่างสะใจ
“นี่! ได้เวลาของเราแล้ว รีบออกไปรอที่หลังเวทีกันดีกว่านีน่า” เกตนิการ์ชวน
นลิณากับเกตนิการ์เดินออกไปแล้วหันมายิ้มเยาะให้อนามิกา อนามิกากัดฟันอดทนเพราะไม่อยากตอบโต้อะไร
“ถ้าไม่เห็นแก่ว่าเพื่อนฉันเป็นเจ้าของงานนี้ ฉันลุยไปแล้ว ฝากไว้ก่อนเหอะ” อนามิกาบ่น
นางแบบระดับมืออาชีพอีกสองคนโพสต์ท่าอยู่ที่ปลายรันเวย์ แล้วหันกลับเดินเข้าไป โดยมีเกตนิการ์เดินสวนออกมา กอบชัย พนารัตน์ และเสรีปรบมือให้
พนารัตน์กระซิบบอกเสรี “เพื่อนของนีน่าเค้าน่ะค่ะ”
เสรีพยักหน้ารับรู้
อัธวุธนั่งอยู่กับหนึ่งเอ่ยถามหนึ่งขึ้นมา
“ชุดนี้เป็นยังไงคะ ชอบมั้ยคะพี่หนึ่ง”
หนึ่งพยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ เกตนิการ์โพสต์ท่าที่ปลายรันเวย์แล้วก็หันหลังเดินกลับเข้าหลังเวที
เกตนิการ์เดินเข้ามาที่หลังเวทีซึ่งค่อนข้างมืด แล้วตรงไปหานลิณาที่ยืนดูอยู่ตลอด
“เป็นไงมั่งนีน่า ฉันเดินโอเคมั้ย”
“สุดยอดเลยหละจ้ะ นางแบบมืออาชีพอายเลยหละ” นลิณาบอก
เจ้าหน้าที่แบ็คสเตจเดินนำ ณภัทรกับเมธาวีเข้ามาสแตนด์บายเพื่อรอให้สัญญาณออกจากหลังเวที เกตนิการ์หันไปมองณภัทรแล้วเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“เท่จังเลย” เกตนิการ์รำพึงออกมา
นลิณาหันมองหน้าเกตนิการ์แล้วรู้สึกว่าเริ่มผิดสังเกต
“ยัยเกด...นายภัทรนี่ทางบ้านฉันจองไว้ให้น้องแพรแล้วนะ”
“แหม...ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอกน่า” เกตนิการ์ตอบปัดไป
นลิณามองหน้าเกตนิการ์อย่างไม่ไว้ใจ ณภัทรกับเมธาวีเตรียมพร้อมจะออกไป นางแบบอีกคนเดินกลับเข้าหลังเวที
“เม...ฉันบอกเธอไปหรือยังว่าวันนี้เธอสวยมากเลย” ณภัทรเอ่ยชม
“นายก็ดูดีมากๆ เหมือนกันนะภัทร ว่ากันตามตรง ฉันไม่เคยเห็นนายหล่อขนาดนี้มาก่อนด้วยซ้ำ” เมธาวีชมกลับ
เกตนิการ์สะกิดนลิณาแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะชี้ไปที่รองเท้าส้นสูงคู่งามที่เมธาวีใส่อยู่ เกตนิการ์กระซิบกับนลิณาแล้วยิ้มร้ายๆ อย่างสะใจ
เหตุการณ์ในอดีตแวบขึ้นมาในหัวของเกตนิการ์และนลิณา ก่อนที่แฟชั่นโชว์จะเริ่ม เกตนิการ์หยิบรองเท้าส้นสูงของเมธาวีออกมาแล้วบรรจงใช้มีดคัทเตอร์ด้ามใหญ่ที่เตรียมมาตัดส้นสูงของรองเท้าออกจนดึงออกมาได้ นลิณากำลังใช้คัทเตอร์กรีดชุดของอนามิกาชะเง้อคอมาดู
“ไหน...เธอทำอะไรน่ะเกด” นลิณาถาม
“ฉันก็แค่เอาส้นสูงออก แล้วเอาเทปสองหน้าติดไว้เบาๆ พอมันเดินมากๆ เข้า ส้นรองเท้าก็หลุดให้มันหน้าทิ่มไปเลยยังไงล่ะ”
ทั้งสองยิ้มร้ายอย่างสะใจ
นลิณากับเกตนิการ์กระซิบกระซาบกันอย่างสะใจ
“แต่งตัวซะเต็มที่ คงหวังได้เกิดงานนี้ แต่สงสัยจะได้ดับก่อนเกิดนะยะ” เกตนิการ์ว่า
“ฉันก็สะใจ ยัยอะนาชุดขาด ยัยเมส้นสูงหัก อู๊ย..แค่คิด...ก็ขำแล้ว” นลิณาสะใจจนหลุดหัวเราะออกมา เกตนิการ์รีบจุ๊ปากให้เงียบ
เจ้าหน้าที่แบ็คสเตจจับแขนของณภัทรกับเมธาวีไว้ก่อนจะให้สัญญาณปล่อยตัว
“เดินออกไปเลยค่ะ” เจ้าหน้าที่บอก
ณภัทรกับเมธาวีเดินออกไป
ณภัทรกับเมธาวีเดินออกมาจากหลังเวที ทั้งสองส่งยิ้มเท่ๆ รับเสียงปรบมือเกรียวกราว
กอบชัย พนารัตน์ และเสรีนั่งคุยกัน
“เอ...ทำไมไม่ให้นายภัทรเดินออกมากับหนูแพรวาลูกสาวผมล่ะ” เสรีแปลกใจ
“ฉันก็เพิ่งทราบนี่แหละค่ะคุณเสรี” พนารัตน์บอก
“เดี๋ยวผมไปเฉ่งกับคนจัดงานให้ทีหลังนะครับ” กอบชัยรีบออกตัว
ณภัทรกับเมธาวีเดินคู่กันมาอย่างดูดีก่อนจะมาหยุดโพสต์ท่าด้วยการยืนควงแขนกันที่ปลายรันเวย์ อัธวุธปรบมือเชียร์สุดฤทธิ์พร้อมทั้งเหลือบมองหนึ่งที่กำลังยิ้มชอบใจ
“นายแบบกะนางแบบคู่นี้น่ารักสุดๆ เลยนะคะพี่หนึ่ง” อัธวุธพูด
ณภัทรกับเมธาวีหมุนตัวเดินกลับ เมธาวีเดินมาใกล้บริเวณที่พี่หนึ่งนั่งอยู่ แล้วก็พลันสะดุดวูบเพราะส้นรองเท้าของเธอหลุดออกมาจากพื้นรองเท้า
เมธาวีเสียการทรงตัว เซถลาจะตกเวที เธอหน้าตาตื่นและอ้าปากค้าง อัธวุธกับหนึ่งก็ตกใจอ้าปากค้าง เพราะเมธาวีกำลังจะตกจากเวทีมาทางหนึ่งพอดี
ณภัทรก็ตกใจ เขาพยายามจะคว้าไว้แต่ก็ไม่ทัน เมธาวียืนที่ขอบเวที เธอพยายามทรงตัวแล้วแต่ก็ตกลงมามือไม้คว้าอากาศ แล้วหล่นใส่หนึ่งโครมใหญ่ อัธวุธกระเด้งลุกขึ้นยืนอย่างเอาตัวรอด มือไม้ที่คว้าอะไรมั่วซั่วของเมธาวีก็ดันมาคว้าเอาวิกผมของหนึ่งหลุดติดมือออกมาทำให้คนทั้งงานเห็นว่าหนึ่งหัวล้าน
ทั้งเมธาวีและหนึ่งต่างก็ร้องเสียงหลง “ว๊าย”
อัธวุธหน้าเสียเพราะรู้สึกว่าอนาคตดับวูบ พอได้สติเขาก็รีบเข้าไปประคองเมธาวี
“แกเป็นอะไรรึเปล่าเม”
“ไม่เป็นไร เมโอเค”
อัธวุธรีบมาดูแลหนึ่ง “แล้วพี่หนึ่ง...ว๊าย! หัวหาย เอ๊ย! วิกหาย”
อัธวุธก้มมองแล้วไปเห็นว่ามือของเมธาวียังกำวิกไว้แน่น เขาจึงดึงคืนมา
อัธวุธพูดเสียงดุใส่เมธาวี “เอาคืนมา”
อัธวุธดึงวิกคืนให้หนึ่งแล้วพูดเสียงนอบน้อม “นี่ค่ะพี่หนึ่ง ขอโทษนะคะ มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ”
หนึ่งตอบอย่างไม่พอใจ “เอามานี่”
หนึ่งคว้าวิกผมมาสวมศีรษะแล้วรีบชูคอไว้เช่นเดิม
นลิณากับเกตนิการ์ที่เห็นเหตุการณ์หัวเราะกันอย่างสะใจอยู่หลังเวที
“อู๊ย..ฮ่าๆๆ ตอนส้นสูงหลุดงี้เซแถ่ดๆๆ ยังกะคนเมา” นลิณาว่า
“หมดสภาพไปเลย ฮะๆๆ” เกตนิการ์ขำ
ณภัทรเดินประคองเมธาวีเข้ามาที่หลังเวที เจ้าหน้าที่แบ็คสเตจรีบไปช่วย ในขณะที่เกตนิการ์กับนลิณารีบสะกิดกันให้กลั้นขำ
เกตนิการ์แสร้งทำเสียงเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะเม”
“ไม่เป็นไร เมโอเค” เมธาวีตอบ
ณภัทรประคองเมธาวีให้เดินออกไป ทันทีที่พ้นสายตาเกตนิการ์กับนลิณาก็ซุบซิบหัวเราะเยาะเมธาวีต่อ
“ดูนางแบบท็อปโมเดลของเรา เดินกระเผลกๆ หิ้วรองเท้าส้นสูงไว้ในมือ” เกตนิการ์พูด
นลิณาหัวเราะร่วน “ช่าย...โอ๊ย...ไม่ไหวจะขำ ฮะๆๆ”
บนเวทีว่างเปล่าอยู่ครู่ใหญ่ กอบชัย พนารัตน์ และเสรีชักเริ่มอึดอัด
“นี่แฟชั่นโชว์เค้าจบแล้วเหรอครับ ยังไม่เห็นนีน่าลูกสาวผมเลย” เสรีถาม
“ยังหรอกมั้งคะ เอ..เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” พนารัตน์ร้อนใจ
“คงจะเป็นปัญหาทางเทคนิคแค่เล็กๆ น้อยๆ หละมั้ง” กอบชัยบอก
อัธวุธเห็นหนึ่งเริ่มนั่งกระสับกระส่ายกระวนกระวายก็ชักใจเสีย พอหันมาอีกทางก็ผงะ เพราะเจ้าหน้าที่แบ็คสเตจยื่นหน้ามากระซิบใกล้จนแทบจะจุ๊บแก้มของเขาอยู่แล้ว
“ว๊าย...มีอะไรยะ ทำไมคิวต่อไปยัยอะนายังไม่ออกมาเดินล่ะ”
เจ้าหน้าที่ป้องปากกระซิบ “คุณอนิกามีปัญหานิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวสลับคิวฟินาเล่ปิดท้ายของคุณณดลกับคุณนลิณามาเดินก่อนได้มั้ยคะ”
“อะไรๆ ก็รีบทำเข้าเถอะ ก่อนที่งานแฟชั่นโชว์ของฉันมันจะล่ม”
เจ้าหน้าที่แบ็คสเตจก้มหน้าวิ่งปรู๊ดไป อัธวุธชักใจเสีย
สักพักบนเวที ณดลกับนลิณาก็เดินออกมาด้วยกัน ทุกคนปรบมือต้อนรับกัน
ณดลกับนลิณาเดินออกมาโดยที่นลิณาพยายามควงแขนและเข้ามาใกล้ชิด แต่ณดลมีทีท่าเฉยเมย
อัธวุธนั่งอยู่กับหนึ่ง หนึ่งยิ้มพอใจแล้วเอียงคอมากระซิบอัธวุธ
“นายแบบคนนี้รูปร่างหน้าตาน่ากิ๊น..น่ากิน...”
“เอ่อ..ค่ะ” อัธวุธเบือนหน้าไปอีกทาง แล้วบ่นอุบ “สนใจเสื้อผ้าที่ฉันออกแบบมั่งมั้ยเนี่ย”
ณดลกับนลิณามายืนโพสต์ท่าที่ปลายรันเวย์ นลิณาพยายามทั้งเกาะทั้งซบสุดฤทธิ์ กอบชัย พนารัตน์ และเสรีดูแล้วก็คุยกัน
“แหม..หนูนีน่าวันนี้สวยจริงๆ นะ” กอบชัยชม
“ก็ลูกสาวคุณเสรีคนนี้ได้หน้าตาพ่อไปเยอะนี่คุณ” พนารัตน์เสริม
เสรีอมยิ้ม “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกคุณ แต่จะว่าไป คู่นี้ดูเหมาะสมกันดีนะครับ”
พนารัตน์กับกอบชัยพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย ณดลกับนลิณาหันหลังเดินกลับ จู่ๆ ณดลกระซิบถามนลิณาบนรันเวย์
“แล้วอะนาล่ะ เค้าต้องเดินก่อนเราไม่ใช่เหรอ”
“นั่นสิคะ” นลิณาทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“หรือเค้าสลับคิวไปเดินปิดท้าย”
“คงไม่ออกมาเดินแล้วหละค่ะ คู่เรานี่แหละที่ปิดท้ายอยู่นี่ไง”
อนามิกายืนอยู่หน้ากระจกเหนืออ่างล้างหน้า เธอมองตัวเองในกระจกอย่างลังเลว่าจะเอาอย่างไรดี ในมือของเธอถือชุดที่ขาดรุ่งริ่งทั้งปลายแขนทั้งสองข้าง ทั้งตัวเสื้อช่วงที่ปิดคอ และที่เละสุดก็คือชายกระโปรง
“จะเอายังไงกะชุดนี้ดีนะ” อนามิกากลุ้มใจ
อนามิกาลองเอาชุดมาทาบตัวส่องกระจก
“ถ้าไม่เดินออกไป ยัยนีน่าคงมีความสุขที่แกล้งเราสำเร็จ” อนามิกาหงุดหงิด “โอ๊ย...จะทำยังไงดีนะ”
อนามิกาทึ้งชุดอย่างฉุนจัดทำให้ชุดขาดดัง แคว่ก!! อนามิกาหน้าเสียด้วยความตกใจ เธอยกชุดขึ้นดูแล้วเห็นว่าชายกระโปรงขาดห้อยรุ่งริ่ง อนามิกาตาวาวเพราะนึกขึ้นได้
“นึกออกแล้ว ว่าจะทำยังไง” อนามิกายิ้ม
จบตอนที่ 8
อ่านต่อ ตอนที่ 9 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.