xs
xsm
sm
md
lg

รอยไหม ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 (ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า 09.3 0น.)
 
รอยไหม ตอนที่ 5

ไหมแมยังคาใจว่า เรรินกลับออกไปแน่รึยัง เดินออกมาดูถึงข้างนอก กวาดสายตาไปทั่วแล้วต้องชะงักเพราะเห็นจักรยานเรริน ยังจอดทิ้งเอาไว้อยู่
“ยัยคนนี้จะเล่นซ่อนแอบกะฉันรึไง”
ไหมแมเริ่มหงุดหงิดหัวเสีย ต้องหาตัว เรรินให้ได้
ทางด้านช่างไฟใส่หลอดไฟหลอดใหม่แล้ว ทดลองกดสวิชต์เปิดไฟ ไฟติดสว่างสลัวขึ้นในห้อง เรรินยิ่งซ่อนตัวในที่ซ่อนให้มิดชิดยิ่งขึ้น ช่างไฟเก็บอุปกรณ์ หิ้วลังอุปกรณ์ออกไปจากห้องหลังจากกดปิดสวิชต์ เรรินเป่าลมหายใจออกอย่างโล่อก ขยับมาจากที่ซ่อน
ช่างไฟออกมาจากห้องทอผ้า ไหมแมเดินตรงเข้ามา
“เสร็จแล้วกา”
“ครับห้องนี้แค่เปลี่ยนหลอดไฟ”
“แล้วมีใครอยู่ในห้องอีกรึเปล่า”
“บ่มีนะครับ บ่หันมีไผอยู่”
“แน่ใจ๋กา”
ไหมแมเปิดประตู ห้องเข้าไปอีกที
เรรินตกใจ เพราะได้ยินทุกถ้อยคำหน้าห้อง และเห็นไหมแมก้าวเข้ามาเรรินหาที่ซ่อนไม่ทัน ไหมแมคลำหาสวิชต์ไฟ และกดเปิดไฟสวางขึ้น สายตาไหมแมกวาดทั่วห้อง แต่ไม่เห็นใครเลย เรรินยิ้มเตรียมทำใจดีสู้เสือ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแปลกใจที่ไหมแมมองไม่เห็นตน ไหมแมยังคาใจเดินเข้ามา เผื่อจะมีหลืบมุมใดให้เรรินซ่อนตัว ไหมแมเดินผ่านเรรินระยะเผาขน ชนิดหายใจรดกันเลยแต่ไหมแมก็ไม่เห็นเรริน
ไหมแมก้มลงดูใต้กี่ทอผ้าให้แน่ใจ แต่ก็ผิดหวังไหมแมลุกขึ้น จะเดินออกไปแต่ต้องชะงัก เมื่อผ้าขาวที่ใช้ปิดผ้าที่ทอไม่เสร็จถูกวางอยู่มุมนึง ไหมแมไม่แน่ใจว่าผ้านั้นมาอยู่ผิดที่ผิดทางตั้งแต่เมื่อไหร่ หยิบผ้าขาวมาปิด ผ้าที่ทอไม่เสร็จ ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายแล้วเดินผ่านเรรินกลับออกไปจากห้อง
ไหมแมออกมาจากห้อง ยังคาใจ
“หรือจะจุ้นจ้านขึ้น ไปชั้นบน”
ไหมแมหยิบลูกกุญแจ แล้วคล้องปิดประตู กุญแจลูกใหญ่คล้องปิดประตูแน่นหนาจนรู้สึกว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีวันพังเข้าไปได้
เรรินยังงงไม่หาย ถามศิริวัฒนา
“ทำไมคุณไหมแมเขาถึงไม่เห็นฉันล่ะค่ะ”
“เรื่องบางเรื่อง ก็เป็นความจริงที่เหนือความจริง ยากที่จะเข้าใจ”
“ฉันคนนึงละค่ะที่ไม่เข้าใจ”
“คุณจะทอผ้าต่อไหม”
“ใจฉันอยากจะทอทั้งวันทั้งคืน อยากจะให้ผ้าผืนนี้เสร็จสมบูรณ์จะแย่อยู่แล้วค่ะ”
“ถึงเวลาที่มันจะเสร็จสมบูรณ์จริงๆ คุณอาจจะไม่อยากให้มันเสร็จก็ได้”
“คุณพูดอะไรคลุมเครือเสมอ วันนี้ฉันคงทอได้เท่านี้ เพราะตอนนี้ฉันห่วงมากกว่า ว่าฉันจะออกไปจากห้องนี้ได้ยังไง คุณไหมแมเขาล็อคประตูคล้องกุญแจเสียแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องยากหรอกที่จะออกไปจากห้องนี้ เพียงแต่คุณอาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย”
ศิริวัฒนามองไปทางหน้าต่าง เหมือนเป็นช่องแสง ช่องระบายอากาศ มากกว่าจะเป็นหน้าต่างซึ่งอยู่สูงมาก ช่องระบายอากาศ ที่ขนาดเล็กเหมือนจะพอดิบพอดีกับคนตัวคนเล็กๆมุดเข้าออกได้ ช่องนั้นค่อยๆแง้มเปิดออก เรรินประหลาดใจ มองช่องหน้าต่างนั้น
+ + + + + + + + + + + +

ไหมแม ยังเดินมองหาเรริน หน้าเครียดเข้มคิ้วขมวดชนกัน
“ข้าเจ้าจะยะจะไดกับแม่หญิงคนนี้ดีนะ”
ไหมแม หันไปเห็น เรรินเดินอยู่ที่ทางเดินด้านข้างคุ้มติดสวนด้านนึง
“คุณรินเจ้า”
เรริน ปั้นยิ้มทำใจดีสู้เสือ
“คุณมาอยู่ตรงนี้ได้จะได”
“ฉันเดินเล่นมาเรื่อยๆน่ะค่ะ”
“สุมาเต๊าะเจ้า แถวนี้เป็นเขตหวงห้าม เป็นตี้ส่วนบุคคลเน้อเจ้าบ่ใจ้สวนสาธารณะ”
“ฉันขอโทษค่ะ”
“เจินคุณออกไปได้แล้วละเจ้า พิพิธภัณฑ์จะปิดแล้วโตย”
“ค่ะ”
ไหมแมเดินคุมเชิงต้อนเรรินออกมา
+ + + + + + + + + + + +

เรรินจูงจักรยานออกจากคุ้ม ไหมแมตามปิดประตูรั้วไล่หลัง เรรินคิดหนักว่าวันหลังจะกลับเข้าไปอีกได้ยังไง
ยังไงฉันก็จะต้องกลับเข้าไปอีกให้ได้”
เรรินบอกอย่างมุ่งมัน จูงจักรยานจะขยับขี่ออกมา รถสุริยวงศ์แล่นเข้ามาประกบพอดี
“คุณริน”
“คุณสุริยะ”
“พี่วันบอกคุณออกมาตั้งแต่เช้าแล้ว ผมนึกแล้วไม่มีผิดว่คุณรินต้องมาที่นี่แน่ๆ”
เรรินยิ้มให้ สุริยวงศ์ชวนเรรินมาที่ร้านกาสะลอง พนักงานเสริมกาแฟให้ทั้งคู่แล้วออกไป
“ยินดีเน้อครับ ยินดีจ๊าดนัก”
สุริยวงศ์มองเรริน ซึ่งนิ่งเงียบกำลังคิดว่าจะกลับไปที่ห้องทอผ้ายังไง
“พบอะไรดีๆในคุ้มเจ้าหลวงบ้างครับคุณริน”สุริยวงศ์ถามอีก
เรรินได้สติ
“คะ”
“ผมเห็นคุณริน เข้าพิพิธภัณฑ์ สองครั้งแล้วยังไม่เบื่อใช่ไหมครับ”
“คนรักงานทอผ้า เจอผ้าเก่า ก็เหมือนได้เจอขุมสมบัติ นั่นแหละค่ะ”
“จริงๆแล้วตัวคุ้มเจ้าหลวง ทางญาติท่านก็มีโครงการจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เหมือนกันนะครับ เพราะทุกอย่างยังอยู่สมบูรณ์ ถ้าคุณรินได้เข้าไปดูข้างในผมว่าคุณรินก็ต้องชอบครับ”
“เหรอคะ”เรรินใจเต้นเริ่มมีความหวัง เห็นลู่ทาง
“อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงประจำตระกูล ความจริงก็งานรวมญาตินั่นแหละครับจัดทุกปีที่คุ้มเจ้าหลวง คุณรินสนใจไปด้วยกันไหมล่ะครับ”
“ฉันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะคะ ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ซะหน่อย”
“ก็ไปเป็นแขกของผมกับพี่วันไงครับ”
เรริน พบความหวังเรืองรอง
ขณะเดียวกันนั้น วงพระจันทร์ก็เดินยิ้มแย้มเข้ามา
“เฮลโหล...สุริยะ”
สุริยวงศ์กับ เรริน หันไปมอง วงพระจันทร์ มีเฝือกอ่อนดามคอเพราะตกบันไดมา วงพระจันทร์เดินเชิดคอแข็งเข้ามา
“คุณไปทำอะไรมา”สุริยวงศ์ถามอย่างสงสัย
“แอ๊กซิเดนท์ นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ซีเรียสอะไร”
วงพระจันทร์ ปรายตามองเรริน ด้วยหางตา ไม่ยอมมองตรงๆ เรรินยิ้มให้ วงพระจันทร์สำแดงภูมินักเรียนฝรั่งเศส
“ใครกันแม่คนนี้ คุณจะไม่แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยเหรอคะ”
สุริยวงศ์หันมาแนะนำทั้งที่ไม่พอใจ
“นี่คุณเรรินเป็นแขกของพี่วันดารา คุณรินครับนี่วงพระจันทร์ จะว่าไปก็เหมือนลูกพี่ลูกน้องผมละครับเพราะท่านพ่อของผม กับท่านแม่ของวงพระจันทร์เขาก็เป็นญาติกันห่างๆ”
วงพระจันทร์ ขัดใจที่สุริยวงศ์ แนะนำเธออย่างนั้น เรรินยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณวงพระจันทร์”
วงพระจันทร์เชิดพูดภาษาฝรั่งเศสใส่
“ดูไกลๆก็พอดูได้ ดูใกล้ๆก็งั้นๆ จืดๆ ชืดๆ”
เรรินสงบนิ่งเป็นปกติทั้งที่ฟังรู้เรื่องทั้งหมด
“คุณมีธุระอะไรรึเปล่า”สุริยวงศ์ถามเสียงเข้มไม่ชอบใจนัก
“ไม่มีก็มาไม่ได้รึไงคะ”
สุริยวงศ์อึดอัด
“ดื่มกาแฟสักถ้วยไหม”
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่ดื่มกาแฟ ดื่มแต่ชาลืมได้ยังไงคะเนี่ย”
“งั้นรอเดี๋ยว ผมจะไปสั่งให้เด็กจัดการให้ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณริน”
“เชิญค่ะ คุณคงจะยุ่งเดี๋ยวฉันกลับเองก็ได้”
“ไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวผมจะไปส่ง”
สุริยวงศ์เดินเข้าหลังร้านไป
“คุณมาเชียงใหม่ทำไม...มาเที่ยวเฉยๆ”วงพระจันทร์ถามหยันๆ
“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ”เรรินตอบเรียบๆ
“เชียงใหม่ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็เหมือนๆกรุงเทพน่ะแหละ คุณจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ คงอยู่ไม่กี่วันใช่ไหม”เรรินนิ่งเงียบ ไม่พอใจนักกับน้ำเสียงหาเรื่องนั้น
+ + + + + + + + + + + +

ในครัวกำลังวุ่นพอประมาณ เพราะกำลังเตรียมรับลูกค้ามื้อเย็น สุริยวงศ์ตรวจดูเค้กที่เพิ่งอบเสร็จ ผู้ช่วยกำลังแต่งหน้าด้วยผลไม้ วงพระจันทร์ตามเข้ามา
“มีความจำเป็นอะไร ถึงต้องตามรับตามส่งแม่คนนี้ด้วยคะสุริยะ”
“คุณรินเขาเป็นแขกของพี่วัน”
“ฟังดูสมเหตุสมผลจัง แต่ระวังหน่อยนะคะสุริยะ คนสมัยนี้เสือสิงห์กระทิงแรดกันทั้งนั้น ดูแต่หน้าตาไม่ได้หรอกแม่คนนี้ทำท่าหงิมๆ แต่จริงๆแล้วมาทำอ่อยคุณ เพราะมันอาจจะรู้ก็ได้ว่าคุณนามสกุลอะไร”
“ขอบใจนะวงพระจันที่อุตส่าห์เตือน แต่ผมจะคบใครเป็นเพื่อน ผมคิดเองได้ป่านนี้ เด็กยกชาไปเสิร์ฟให้คุณแล้วเชิญข้างนอกเถอะ”
“หมายความว่าคุณจะคั่วแม่นี้ต่อไป”
“คุณเองบอกให้ผมแคร์นามสกุลแต่คุณไม่รู้ตัวรึไง ว่าแต่ละอย่างที่คุณคิด คุณพูดออกมามันทำให้นามสกุลดูแย่ลงไป ขนาดไหน”
“คุณไม่มีทางได้ชื่นมื่น กับแม่คนนี้หรอก เพราะยังไง คุณย่าก็ไม่ชอบขี้หน้ามัน”
สุริยวงศ์มองวงพระจันทร์เบื่อๆ
+ + + + + + + + + + + +

บัวเงินยืนอยู่กลางห้องผีอีเม้ย ตะโกนเรียกเสียงดัง
“อีเม้ย...อีเม้ย...มึงอยู่ไหน”
ผีอีเม้ยหมอบอยู่บนพื้น ตรงหน้าบัวเงิน ร่างของมันค่อยๆ เลือนชัดขึ้น
“เจ้าขาหม่อม”
“มึงหันอะหยังผ่อง”
“อีนัง คนนั้นมันไปตี้คุ้มเจ้าหลวง เจ้า...หม่อม”
“มันไปยะอะหยังตี้คุ้มเจ้าหลวง”
“เม้ยบ่ฮู้...เม้ยตวยมันเข้าไปบ่ได้แต่มันเข้าไปอยู่ในนั้นเกือบทั้งวันเจ้า”
บัวเงินครุ่นคิดสงสัย
+ + + + + + + + + + + + +

เรรินดื่มกาแฟเสร็จก็คิดจะกลับ หันไปบอกสุริยวงศ์
“เก็บตังค์ค่ากาแฟด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณริน”สุริยวงศ์รีบบอก เพราะตั้งใจจะเลี้ย
“เก็บไปเถอะค่ะ”
“เขาอยากจ่ายก็ให้เขาจ่ายสิค่ะสุริยะ ไปขัดเขาทำไม เขาก็คงไม่ชอบกินอะไรของใครฟรีๆ หรอกใช้ไหมคะคุณเรริน”วงพระจันทร์แดกดัน
สุริยวงศ์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เรรินได้แต่ยิ้มตอบเฉยๆเหมือนกัน พนักงานผ่านมาพอดี
“น้องคะ เก็บตังค์ค่ากาแฟด้วยค่ะ”
“รวมค่าชาด้วย รึเปล่า ครับ”
“จะบ้ารึไง ชาน่ะมันของฉัน จะคิดเงิน ก็ลงบัญชีเจ้านายแกสิ”วงพระจันทร์โวย
“ครับ...ผมลืมไปครับว่าคุณวงพระจันทร์กินฟรี”
วงพระจันทร์เจ็บจี๊ดเหมือนถูกถลกหนังหัว พนักงานรับเงินจากเรรินแล้วออกไป
“ฉันจะกลับเลยดีกว่าค่ะ”เรรินตัดบท
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ คุณริน”
วงศ์พระจันทร์รีบขัด
“สุริยะค่ะ เย็นวันงานที่คุ้มเจ้าหลวง สุริยะไปรับวงพระจันทร์ด้วยนะคะเราจะได้เข้างานพร้อมกัน”
“อ้าว...คุณไม่ไปกับคุณพ่อคุณแม่คุณรึไง”
“คุณย่าบัวเงินท่านสั่งเอาไว้ว่า ให้วงพระจันทร์ไปกับคุณ ยังไงคุณก็ต้องไปรับคุณย่าอยู่แล้วนี้คะ วงพระจันทร์จะไปรอที่บ้านคุณย่าบัวเงินละกัน”
สุริยวงศ์ รู้ว่าวงพระจันทร์เอาบัวเงินขึ้นมาขู่จึงนิ่งไป
+ + + + + + + + + + + +

ก่อนกลับรีสอร์ท สุริยวงศ์พาเรรินมาที่วัด ทั้งสองเดินขึ้นบันไดผ่าน โค้งประตู เข้ามาถึงด้านหน้าวิหาร...
“ฉันเคยแวะเข้ามาวัดนี้ครั้งนึงแล้วค่ะ”
“พี่วันเปิ้นก็มานั่งวิปัสสนา ที่วัดนี้แทบทุกวันพระละครับ”
เรรินยิ้ม
“เหรอคะ...ดีจัง”
“คุณรินไม่เบื่อที่จะเข้าวัดใช่ไหมครับ”
“วัดสวยๆอย่างนี้ เข้ามากี่ครั้งก็ไม่เบื่อหรอกค่ะ ตรงกันข้าม ฉันรู้สึกผูกพันกับวัดนี้ยังไง ก็ไม่ทราบค่ะ ที่นี่ทำให้พอจินตนาการออกนะคะว่าสมัย ที่อาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรือง จนถึงขีดสุดน่ะงดงามขนาดไหน ฉันขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ”
เรรินขยับกล้องถ่ายรูออกมาจากกระเป๋า
“เชิญเลยครับ คุณริน”
“ฉันอาจจะ ใช้เวลาหน่อยนะคะ”
“ไม่มีปัญหานี่ครับ”
“ความจริง คุณน่าจะอยู่ดูแลคุณวงพระจันทร์เธอมากกว่า เพราะยังไงฉันก็ขี่จักรยานกลับเองได้ ดูแลตัวเองได้ค่ะ”
เรรินหามุมถ่ายรูป ตัดบทสนทนาไว้แค่นั้น สุริยวงศ์พูดไม่ออก เดินล่วงหน้าออกไป ปล่อยให้เรรินใช้เวลาตามสบาย
+ + + + + + + + + + + +

สรัญญาเดินมากับเพื่อนที่มุมหนึ่งของวัด
“ไปหาร้านเก๋ๆ นั่งกินอะไรอร่อยๆดีกว่าว่ะแก”สรัญญาชวนเพื่อน
“เก๋สุดก็ร้านเดิมเมื่อวานน่ะแหละ แกไม่เบื่อใช่ไหมล่ะ”เพื่อนบอก
“จะเบื่อได้ยังไง เจ้าของร้านยังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ”เพื่อนอีกคนแซวอย่างรู้นิสัยสรัญญา
สรัญญาหัวเราะเบาๆ
“พวกแกนี่รู้ใจฉันจริงๆ”
สรัญญากับเพื่อนๆจะเดินออก แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสุริยวงศ์ เดินโผล่พ้นด้านหลังวิหารออกมา
“พวกแก ช่วยฉันดูหน่อยซิฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม”
เพื่อนคนหนึ่งมองไปเห็นสุริยวงศ์ก็ตื่นเต้นตาโต
“ตายแล้ว...คุณสุริยวงศ์”
“พูดถึงอยู่แหม็บๆก็โผล่มาให้เห็น ยังงี้ต้องเป็นพรหมลิขิตแหงๆเลยแก”เพื่อนอีกคนบอกอย่างดี๊ด๊า
สรัญญาใจเต้นตูมตาม จะขยับเข้าไปทักสุริยวงศ์ แต่แล้วหน้าค่อยๆเจื่อน เมื่อเห็นว่าสุริยวงศ์เหมือนจะหยุดคอยใคร สักครู่เรรินเดินโผล่ พ้นด้านหลังวิหารตามมา สรัญญามองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะพบเรรินที่นี่
“จะรออะไรล่ะแซนดี้”เพื่อนยุ
สรัญญาหน้านิ่งงัน
“ฉันเจอทั้งพรหมลิขิตทั้งมารในเวลาเดียวกันน่ะสิ”
สรัญญาบอกอย่างหงุดหงิด
+ + + + + + + + + + + +

เรรินเดินคุยกับสุริยวงศ์ ด้วยความรู้สึกสบายใจ...
“คุณเคยไปหลวงพระบางไหมคะ เห็นศิลปะล้านนาแล้วก็อดคิดถึงศิลปะล้านช้างไม่ได้ ฉันว่าสองอาณาจักรนี้ เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันจริงๆ”
“ผมไปหลวงพระบางเมื่อปีที่แล้วช่วงสงกรานต์”
“อ้าวเหรอคะ ฉันก็ไปเมื่อปีที่แล้วช่วงนั้นเหมือนกัน”
“แปลกนะครับ ที่เราไม่ได้เจอกัน”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ ก็คนออกจะมากมายขนาดนั้น”
ทันใดนั้นเสียงเพื่อนๆของสรัญญาก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่า คุณสุริยวงศ์”
สุริยวงศ์กับ เรริน หันไปมอง เพื่อนๆเดินนำสรัญญาเข้ามาโดยบังสรัญญาไว้
“สวัสดีครับ คุณหลี คุณยุ้ย”
“คุณสุริยวงศ์มาไหว้พระเหรอคะ”
“ครับ ผมพาเพื่อนมาไหว้พระครับ”
สุริยวงศ์ กำลังจะแนะนำเรริน เรรินยิ้มให้ แต่รอยยิ้มต้องค่อยๆเจื่อนลงทันที เมื่อสรัญญา เดินโผล่ออกมาจากด้านหลังเพื่อนๆยิ้มเย็นเชือดเฉือน
“สวัสดีจ้ะริน โลกนี้มันแค๊บแคบนะ ไม่คิดว่าจะได้เจอรินที่นี่”
“สวัสดีสรัญญา”
สุริยวงศ์แปลกใจ
“นี่คุณสองคนรู้จักกันเหรอครับ”
“แซนดี้ก็สอนหนังสืออยู่ที่เดียวกับรินเขาน่ะแหละค่ะ แต่อยู่คนละภาควิชากันแซนดี้สอนแฟชั่นดีซายน์ แต่รินเขาสอนทอผ้าค่ะ”
“เหรอครับ"
เรรินยังอึงไม่หาย สรัญญารุกต่อไม่ให้ตั้งตัวทัน
“แหมขึ้นมาเชียงใหม่ไม่บอกไม่กล่าวใครเลยนะจ๊ะริน ใครบางคนเขาเป็นห่วงจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว”
เรรินนิ่งงันไม่โต้ตอบใดๆ
+ + + + + + + + + + + +

สุริยวงศ์กับเรริน เดินคุยกันมาในอีกมุมหนึ่งของวัด
“คุณหลี คุณยุ้ย เธอเป็นลูกค้าประจำที่ร้านผมน่ะครับ เธอเพิ่งแนะนำให้ผมรู้จักคุณสรัญญาเมือวาน คุณน่าจะดีใจนะครับ ที่ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่นี่”
“ฉันกับสรัญญาไม่ได้สนิท อะไรกันมากหรอกค่ะก็แค่เพื่อนร่วมงาน ทำงานใกล้ๆ กันเท่านั้นเอง”
“แต่ท่าทางเขาเหมือนสนิทกับคุณรินมากเลยนะครับ”
“เหรอค่ะ”เรรินย้อนถามอย่างแปลกใจ เพราะเธอไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย
ทางด้านสรัญญา ยังจับตามองไปทางเรรินกับสุริยวงศ์ไม่วางตา
“ยัยนี่ท่าทางหยิมๆ แต่สงสัยจะหยิบชิ้นปลามันไปกินซะแล้ว”เพื่อนบอก
“นั่นสิ ท่าทางคุณสุริยะของฉัน จะชอบยัยนี่เอามากๆ เผลอๆจะกินกันแล้วซะก็ไม่รู้”
สรัญญาหน้านิ่ง
“พวกแกคิดยังงั้นเหรอ”
“แหมแก ยัยแซนดี้ ผู้หญิงเดินทางคนเดียว มาเจอผู้ชายที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็คยังกะเทพบุตร ในบรรยากาศ ที่แสนจะโรแมนติกของเมืองเหนือมันจะเหลือเหรอยะ”
สรัญญายิ้มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหาโปรแกมถ่ายรูป
“นั่นแกจะทำอะไรยะ”เพื่อนถามอย่างสงสัย
“ก็จะเก็บภาพความประทับใจ ส่งไปให้ ใครบางคนดูเล่นน่ะสิ”
สรัญญามองเรรินกับสุริยวงศ์ที่เดินด้วยกัน สุริยวงศ์หันกลับมาหาเรริน
“ตรงนี้พื้นมันลื่นนะครับคุณริน”
“ฉันจะระวังค่ะ”
“จับมือผมดีกว่า มังครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะฉันว่าฉันดูแลตัวเองได้”
เรริน เดินย่ำผ่านพื่นที่เปียกชื้นนั้นไปได้สองสามก้าว ก็ถึงคราวซวยดันลื่นจริงๆ เธอเสียหลักแต่ก็คว้ามือเขาเอาไว้ได้ทัน สรัญญาถ่ายภาพจังหวะนั้นไว้ได้ทันท่วงทีราวกับมืออาชีพทีเดียวเชียว

(อ่านต่อหน้า 2)













ตอนที่ 5 (ต่อ)

ธนินทร์มองภาพในจอมอนิเตอร์ ที่ทีมงานฟรีเซ้นต์งานเป็นหนังโฆษณาครีมโลชั่น ที่มีหญิง-ชาย นุ่งผ้าน้อยชิ้นนัวเนียคลุกวงในกันอยู่ ธนินทร์มองอย่างขัดใจ
“พอก่อนพอพวกคุณทำอะไรกันอยู่เนี่ย ผมว่าพวกคุณไม่เข้าใจสินค้าไม่เข้าใจ ความต้องการของลูกค้าเลยนะเนี่ย การแสดงแข็งๆ ตัวละครเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามัน เพิ่งอาบน้ำด้วยกันเสร็จ คุณแอ็คชั่นยังไง ห่างกันเป็นโยชน์ดูแล้วไม่เกิดอารมณ์อะไรเลยว่ะ”
ทีมงานจ๋อยมองตากันปริบๆ ขณะเดียวกันนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ ธนินทร์หัวเสียหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเห็นเป็นเบอร์ของสรัญญาก็กดรับอย่างหงุดหงิด
“ผมประชุมงานอยู่ อีกชั่วโมงค่อยโทรมาใหม่ได้ไหม”
“ฉันก็ไม่อยากจะรบกวน เวลาอันมีค่าของคุณเท่าไรหรอก แค่อยากจะส่งภาพบางภาพไปให้คุณดูเล่นเพลินๆเท่านั้นเอง”
สรัญญากดวางสายโทรศัพท์ เมื่อวางสายจากสรัญญา ธนินทร์ก็หันมาอาละวาดทีมงานต่อ
“ไปถ่ายใหม่ นักแสดงเล่นไม่ได้ ก็เปลี่ยนตัว เด็กที่มันใจถึงกล้าได้กล้าเสียเดี๋ยวนี้เยอะแยะไป”
ทันใดนั้นเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ธนินทร์กดรับ ภาพในมือถือปรากฎเป็นภาพเรรินกับสุริยวงศ์กำลังจับมือกันแต่มองไม่ค่อยชัด ธนินทร์มองภาพนั้น งงๆ ว่าสรัญญาส่งอะไรมาให้เขาจึงกดซูมภาพ ภาพถูกดึงเข้าใกล้จนเห็นว่าเป็นเรรินอย่างชัดเจน ธนินทร์โกรธจี๊ด กดโทรศัพท์หาสรัญญาทันที
สรัญญายืนอยู่มุมหนึ่งในวัด สัญญาณโทรศัพท์เข้าดังขึ้น เธอมองโทรศัพท์เห็นเบอร์ที่โทรเข้า ก็ยิ้มพอใจ แล้วกดรับสาย
“เรื่องประชุมงานกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยรึไงค่ะ”
“คุณไปได้รูปนี้มาจากไหนแซนดี้”
“ก็เห็นกับตา ถ่ายกับมือจะไปได้มาจากไหนละคะ หรือถ้ายังดูไม่อิ่มจะให้ฉันออนแอร์สดๆให้ดูตอนนี้อีก ก็ยังได้นะค่ะ”
“ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร”
“คุณคงต้องถามคู่หมั้นคุณเอาเอง แล้วละค่ะธนินทร์เพราะไม่ใช่ ธุระกงการอะไรของแซนดี้แล้ว”
“แล้วตอนนี้คุณอยู่ไหน"ธนินนทร์ถามเสียงเครียด
+ + + + + + + + + + + +

รถสุริยวงศ์แล่นเข้ามาใน ภูหมอก - ทะเลดาว วันดาราออกมาต้อนรับ เห็นจักรยานอยู่บนหลังคารถ เรรินกับสุริยวงศ์ ลงจากรถ วันดาราหันไปสั่งพนักงาน
“หลาวคำ ตั๋วไปเอาจักรยานลงมาจากรถคุณสุริยะเปิ้นกำ”
หลาวคำวิ่งออกไป
“เป็นจะไดพ่องคุณริน ม่วนก่อ แล้วนี่ตั๋วไปป๊ะคุณรินเปิ้นตี้ไหนสุริยะ”
“ก็ที่คุ้มเจ้าหลวงนั่นแหละครับพี่วัน”
“อิ๊ดก่อคุณดื่มกาแฟสักถ้วยก่อเจ้า”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่วัน รินดื่มมาแล้วรินขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณนะค่ะคุณสุริยวงศ์ที่อุตส่าห์มาส่ง”
เรรินเดินกลับเข้าไปข้างใน วันดาราหันมาถามสุริยวงศ์
“เป็นจะไดคุณรินเปิ้นดูบ่ค่อยสดชื่นเลย”
“บ่มีอะหยังดอกครับปี้วันเปิ้นปะคนตี้บ่ อยากจะปะเท่าอั้นเน๊าะ”
“แล้ววันงานเลี้ยงตั๋วจวนคุณรินเปิ้นแล้วกา”
“จวนแล้วครับ ท่าทางเปิ้นสนใจ๋เปิ้นว่า อยากจะผ่อวัฒนธรรมเก่าๆของล้านนา อยู่เหมือนกั๋นผมกำลังจะบอกบี่วันอยู่ เหมือนกั๋นว่าผมคงมาฮับพี่วันกับคุณรินบ่ได้ เพราะผมคงต้องไปฮับคุณย่าเปิ้นครับ”
วันดาราพยักหน้ารับ
+ + + + + + + + + + + +

ธนินทร์ไม่พอใจเรรินมากจึงมาพบ พรรณวรินทร์ที่บ้าน แล้วถามทันที...
“จริงๆแล้วคุณแม่ก็รู้ดีใช่ไหมครับว่า ลูกสาวคุณแม่เขาอยู่เชียงใหม่”
พรรณวรินทร์อึกอัก
“เอ่อ...คือ...รินเขาขอร้องแม่ไว้น่ะ ธนินทร์แล้วแม่เองก็เห็นใจรินเขา ปล่อยให้ไปพักผ่อนบ้างก็ดี จะได้หายเครียด”
ธนินทร์หัวเราะ
“เครียดเหรอครับ เครียดน่าดูเลย ลูกสาวคุณแม่”
ธนินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหา เมมโมรีภาพ ที่สรัญญาส่งมาให้จนเจอแล้วส่งโทรศัพท์ให้พรรณวรินทร์
“คุณแม่ดูเอาเอง ละกันว่าลูกสาวคุณแม่ มีวิธีคลายเครียดให้ตัวเองยังไง”
พรรณวรินทร์รับโทรศัพท์ไปดู จากความงงค่อยๆ กลายเป็นความเครียด
“นี่มันอะไรกันธนินทร์แม่ไม่เข้าใจ”
“มันก็ไม่น่าจะซับซ้อนจนคุณแม่ไม่เข้าใจนี่ครับ ลูกสาวคุณม่ไปร่าเริงอยู่กับชายที่ไหนก็ไม่รู้ที่เชียงใหม่โน่น สมัยนี้เขาเรียกมีกิ๊กไงครับแต่ผมว่ามันไม่สะใจ ยังงี้ต้องเรียก มีชู้มันถึงจะถูกใช่ไหม ครับคุณแม่”
พรรณวรินทร์ใจสั่นจนเหมือนจะเป็นลม
+ + + + + + + + + + + +

เย็นนั้น...บ่าวคลานเข้ามาหาบัวเงิน ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ลืมตาเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
“แม่คุณเจ้า...คุณสุริยะโทรมาบอกฮื้อเรียนคุณแม่ว่า วันงานตี้คุ้มเจ้าหลวงคุณสุริยะเปิ้นจะมาฮับแม่คุณ ตอนแลงหกโมงเจ้า”
บัวเงินนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไร
“วันงานแม่คุณจะนุ่งผ้าผืนใดเจ้า ข้าเจ้าจะได้เตรียมเอาไปทำความสะอาดรีดหื้อ”
บัวเงินนิ่งเฉย จนบ่าวเดาอารมณ์ ไม่ออก ชักกลัวๆ เลยคลานถอยออกไป บัวเงินนิ่งงันไม่แสดงกริยาใดๆ
บัวเงินกลับเข้าไปในห้อง เปิดหีบไม้เก็บผ้าโบราณ แล้วหยิบผ้าซิ่นเก่าซึ่งเป็น ซิ่นไหมยกดิ้นเงินตระกูลผ้าลำพูน สีดอกตะแบกออกมาจากหีบ บัวเงินลูบคลำผ้าผืนนั้น ความทรงจำในอดีต ค่อยๆ กลับมา...
บัวเงินวัยสาวกำดัด ใส่ผ้าซิ่นยกดิ้นเงิน สีดอกตะแบก ถือโคมเทียนเข้ามาในห้องแล้วหันไปปิดประตู
“เจ้ามาแล้วกา บัวเงิน”ศิริวัฒนาทักทาย
บัวเงิน หันกลับมา
“เจ้า...เจ้าปี้”
ศิริวัฒนายืนอยู่หน้ากระจก เพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังหวีผมใส่ โคโลญจน์ หันกลับมา
“วันนี้ปี้ปวดเมื่อยไปตึงตั๋วเจ้านวดฮื้อปี้ได้ก่อ”
“ได้เจ้า”
ศิริวัฒนา เดินมาที่เตียง บัวเงินวาง โคมเทียนลงแล้วขยับมาที่พื้นใกล้ศิริวัฒนาแล้วเริ่มบีบนวดขาให้
“ไผก่อนวดเก่งสู้เจ้าบ่ได้นะบัวเงิน”
“อู้จะอี้หมายความว่า เจ้าบี้เกยฮื้อไผนวดฮื้อกาเจ้า”
“เกย”
บัวเงินงอน เลิกนวดทันที ศิริวัฒนาหัวเราะ
“ก็ หมอนวดของเจ้าป้อเจ้า แม่เปิ้นน้าก๊า แต่เปิ้นก็มือหนักจนปี้ปวดระบมไปตึงตั๋ว”
“ถ้าเป๋นหมอนวดของเจ้าป้อเจ้าแม่ ก็แล้วไปเจ้า”
“เวลาเจ้างอนนี่น่าเอ็นดู แต้ๆ บัวเงิน”
“ก่อข้าเจ้ากั๋ว”
“กั๋วอะหยัง”
“กั๋วว่าเจ้าปี้จะหันคนอื่นดีกว่าบัวเงิน จะฮักคนอื่นมากกว่าบัวเงิน”
“กั๋วอะหยังบ่เข้าเรื่อง ตี้ปี้ฮ้องใจ้เจ้ากู้คืนจะอี้ บ่อได้หมายความว่า ปี้หันเจ้าสำคัญกว่าคนอื่นกา”
บัวเงินยิ้มพอใจ ศิริวัฒนา เอื้อมมือมาจับมือบัวเงินแล้วดึงตัวให้ลุกขึ้น
“เจ้านุ่งซิ่นยกผืนนี้งามแต๊ๆ”
“ก็ซี่นผืนนี้เจ้าปี้หื้อบัวเงินตั้งแต่วันปี๋ใหม่ปี๋ตี้แล้วจะไดเจ้า ปี๋นี้ข้าเจ้ายังรออยู่ว่าเจ้าปี้จะหื้อซิ่นอะหยังบัวเงินหรือว่าเจ้าปี้จะลืมไปแล้วก็บ่ฮู้ ว่าบัวเงินรออยู่”
“บ่อลืมหรอก จะลืมได้จะได”
ศิริวัฒนา ดึงตัวบัวเงินเข้ามาจูบ บัวเงินยิ้มย่างมีความสุข
เมื่อออกจากห้องศิริวัฒนา บัวเงินนุ่งซิ่นลายขวางผืนใหม่ หวีผมที่ยาวเต็มหลังอยู่หน้ากระจก ผ้าซิ่นยกสีดอกตระแบก ถูกวางไว้บนเตียง มุมนึง อีเม้ย ขยับเข้ามาพับผ้าผืนนั้น
“อีเม้ย”
“เจ้าขาหม่อม”
“มึงต้องคอยผ่อหื้อดีๆ ว่ามีอีหน้าไหนมันมาแอบส่งสายตาหื้อเจ้าของกูรึเปล่า”
“หม่อมบ่ต้องเป็นกังวลไปหรอกเจ้า ทั้งคุ้มเจ้าหลวง นี่บ่มีไผมันกล้ายะจะอั้นหรอกเจ้า แต่เวลาเจ้าเปิ้นออกไปนอกคุ้ม เม้ยก็บ่แน่ใจ๋”
“มึงทำหื้อกูกังวล”
“โถ...หม่อมเจ้าขา เม้ยบ่ได้แกล้งอู้เอาใจ๋ หม่อมนเจ้า ทั่วทั้งเจียงใหม่นี่บ่มีไผจะงามสู้หม่อม บัวเงินของเม้ยไดหรอกเจ้า หม่อมอย่ากังวลไปเลย”
“วันไหนกูได้อภิเษภ กับเจ้าปี้ศิริวัฒนาได้เป็นชายาเอกของเปิ้น มึงก่อจะได้สุขสบาย ได้เป็นใหญ่ในคุ้มเจ้าหลวงนี่เหมือนกั๋นกูบ่ลืมมึงหรอกอีเม้ยเอ๊ย”
บัวเงินยิ้มกริ่มมีความหวัง
กาลเวลาที่ผ่านเลยมา บันทึกเรื่องราวมากมาย ฝากฝังไว้ใน แววตาของบัวเงินในวันนี้
“คนบ่มีสัจจะ...คนบ่มีหัวใจ๋”
บัวเงินตัดพ้อได้เพียงเท่านี้ เพราะเหนื่อเหลือทนแล้ว
+ + + + + + + + + + + +

วันดาราเปิดหีบไม้เก่าของเธอให้เรรินดู ในหีบเก็บผ้าเก่าไว้หลายผืน
“พี่มีปัญญาเก็บเอาไว้ได้แค่นี้เอง เก็บสะสมมาตั้งแต่ยังไม่ค่อยมีใครคิดจะสะสมกัน”
“หีบนี้ก็น่ารักมหาศาลละค่ะพี่วัน”
“คุณรินเลือกดูเต๊อะเจ้า ว่าอยากจะนุ่งผืนไหน ไปงานกับปี้วันพูก”
“รินนุ่งกระโปรงเรียบร้อยๆไปก็พอมังค่ะพี่วัน”
“บ่ได้งานนี้งานใหญ่ แขกทุกคนต้องแต่งตัวผ้าเมือง ขืนคุณรินนุ่งกระโปรงตัวเสื้อตัวต้องถูกมองแน่ๆเจ้าเลือกไปเต๊อะฮักผืนไหนก้หยิบออกมาเลย ปี้จะไปดูเครื่องประดับหื้อก่อน”
วันดารา ขยับไปเปิดตู้หยิบกกล่องเครื่องประดับออกมา เรรินหยิบผ้าโบราณออกมาทีละชิ้นๆ จนเห็นผ้าผืนนึงในหีบ เรรินมองผ้าผืนนั้นเหมือนต้องมนต์สะกด มือของเธอหยิบผ้าซิ่นเจ้าหญิงเชียงตุงออกมาจากหีบ
“พี่วันคะ”
วันดารา หันกลับมา
“เจ้า...คุณริน”
“รินนุ่งผืนนี้ได้ไหมคะ”
“ซิ่นเชียงตุง...ผ้าผืนนั้นเจ้าของเดิมเป็นไผ คุณรองทายดูก่อเจ้า”
“เจ้านางมะณีริน เหรอคะ”
“แม่นแล้วเจ้า...ตอนตี้ปี้ได้จับผ้าผืนนั้นปี้ใจ๋เต้นไปหมดเลย”
“แล้วพี่วัน ได้ผ้าผืนนี้มาได้ยังไงคะ”
“หลายปี๋ก่อนปี้ไปจ่วยงานตี้คุ้มเจ้าหลวงนี่แหละ มีแม่อุ๊ยคนนึ่ง ดูเหมือนว่าเปิ้นจะเกยเป็นคนฮับใจ้ใกล้ชิด ของเจ้านางมะณีรินเปิ้น จู่ๆเปิ้นก็เอาผ้าผืนนี้มาญัดใส่มือปี้ บอกหื้อฮักษาเอาไว้หื้อดีๆ เจ้านางมะณีรินฮักผ้าผืนนี้มาก เพราะวันตี้เปิ้นนั่งขบวนจ้างจากเชียงตุงมาเหยียบแผ่นดินเจียงใหม่เปิ้นนุ่งผ้าผืนนี้เจ้า”
เรริน ลูบคลำผ้าซิ่นใจเต้นแรงความรู้สึกผูกพันแล่นซ่านทั่วสรรพางค์กาย .
+ + + + + + + + + + + +

เย็นวันงาน รถสุริยวงศ์แล่นเข้ามาจอด สุริยวงศ์แต่งตัวล้านนาบวกกับสากลลงจากรถ บ่าววิ่งออกมาต้อนรับจากในบ้าน
“คุณย่าแต่งตั๋วเสร็จแล้วกา”
“เสร็จแล้วเจ้า คุณสุริยะ แม่คุณกำลังลงมาปอดีเจ้า”
บ่าวอีกคนพยุงบัวเงิน ที่นุ่งซิ่นยกลำพูนสีดอกตะแบก สวมเสื้อแขนยาวคอตั้ง และมีผ้าสใบเฉียงเป็นผ้ายกเช่นกัน ติดเข็มกลัดเพธรซีกโบราณ เธอยังงามสง่า แม้วัยจะร่วงโรยขนาดนี้ สุริยวงศ์รีบเข้าไปรับ
“คืนนี้คุณย่าของผมงามแต้ๆครับ”
บัวเงินยิ้มตอบ สุริยวงศ์หันไปถามบ่าว
“แล้วคุณวงพระจันทร์ล่ะศรีออน”
“ยังบ่หันเลยเจ้า”
“มันบ่มาก็บ่ต้องไปรอมัน คนบ่ฮู่จักเวลา” บัวเงินบอกอย่างไม่ชอบใจนัก
บ่าวถือดอกพุดเข้ามา
“แม่คุณเจ้า แม่คุณจะเอาดอกเก็ดถะหวงเหน็บมวยผมก่อเจ้า”
บัวเงินหันไปมอง ดอกพุดในมือบ่าวหน้ายิ่งเครียดขึ้นไปอีก
“บ่เอา มึงบ่ฮู้ก๋าว่ากูจังนักอีดอกเก็ดถะหวงเนี่ย”
บัวเงินปัดมือบ่าวอย่างแรงจนดอกพุดกระเด็นหล่นไปไกล บ่าวจ๋อยไปอุตส่าห์หวังดี สุริยวงศ์พยักเพยิดให้บ่าวออกไป
“ถ้ายังงั้นเราไปกันเลยนะครับ คุณย่า”
สุริยวงศ์พาบัวเงิน เดินมาที่รถ วงพระจันทร์ ขับรถเข้ามาพอดี ตะกุยตะกายรีบลงจากรถ วงพระจันทร์แต่งตัวด้วยผ้าล้านนาแต่ประยุกต์เป็นชุดราตรีโลดโผน
“สุริยะ รอวงพระจันทร์ด้วยค่ะ”
“คุณเป็นคนนัดเวลาเอง ทำไมไม่รู้จักรักษาเวลา”สุริยวงศ์ต่อว่าทันที
“เหรดไปแค่ไม่ถึงห้านาที”
บัวเงินมองวงพระจันทร์หัวจรดเท้า
“แต่งเนื้อแต่ง ตัวอะหยัง”
วงพระจันทร์หน้าเสีย
“ไม่สวยเหรอค่ะคุณย่า ชุดนี้งานดีไซเนอร์เชียวนะคะ”
“ใส่แล้วเหมือนแม่ญิงจั้นต่ำ”บัวเงินวิจารณ์สั้นๆแค่ได้ใจความ
วงพระจันทร์ อ้าปากค้างหมดกันความมั่นใจทันที
+ + + + + + + + + +

บายศรีสู่ขวัญ ขนาดใหญ่ สไตล์ล้านนา งดงามตั้งอยู่กลางห้องโถงของคุ้มเจ้าหลวงที่ถูกตกแต่งอย่างงดงาม ตามแบบราชสำนักล้านนา เทียนถูกจุดสว่างไสว บรรยากาศดูอลังการ ผู้คนที่มาร่วมงาน แต่งตัวล้านนาโบราณ วงดนตรีสล้อซอซึง บรรเลงสร้างบรรยากาศอยู่มุมหนึ่ง
สุริยวงศ์พาบัวเงินเข้ามาในงาน วงพระจันทร์ประกบติดแจ แขกในงานเข้ามาไหว้บัวเงิน เพราะบัวเงินอาวุโสที่สุดในตระกูล บัวเงินรับไหว้ ใครต่อใคร เธอหน้าบานขึ้นมาบ้าง สุริยวงศ์ไหว้ใครต่อใครไม่ได้หยุดหย่อนเช่นกัน
“หลานชายคนนี้ฝากผีไข้ได้แต๊ๆ นะเจ้า หม่อม”แขกคนหนึ่งกล่าวชมสุริยวงศ์
“เมื่อใดจะแต่งหลานใป้ฮื้อคุณย่าเปิ้นละสุริยะ จะได้มีหลานให้เปิ้นอุ้มเสียที”ญาติคนหนึ่งเย้าแหย่
วงพระจันทร์ยิ้มละไม ทำเขินนิดๆ สุริยวงศ์นิ่งเฉยเพราะไม่รู้จะตอบยังไง
ช่างฟ้อน ออกมาฟ้อนดอกบัว กลางลานบายศรี สุริยวงศ์รับโตกอาหาร ที่เด็กหนุ่ม ยกเข้ามาเสิร์ฟ
“ปีนี้เขาจัดงานได้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เลยนะคะคุณย่า สงสัยเงินปันผลค่าเช่าอะไรต่ออะไรจะเป็นกอบเป็นกำด้วย”วงพระจันทร์พูดขึ้น
สุริยวงศ์กวาดสายตา เหมือนมองหาใครสักคน บัวเงินสงสัย
“มองหาผู้ใด...สุริยะ”
“พี่วันนะครับ ป่านนี้ยังไม่เห็นมาเลย”
“พี่วันน่ะเหรอคะ ป่านนี้คงวุ่นวายทำข้าวไข่เจียวขายแขกที่ห้องเช่ารายวัน ของแกอยู่ละมังคะ” วงพระจันทร์หัวเราะแล้วหันไปถามบัวเงิน “คุณย่าหิวรึยังคะมีอะไรกินได้บ้างก็ไม่รู้”
“ผมขอตัวออกไปดู พี่วันก่อนนะครับคุณย่า”
สุริยวงศ์ ขยับลุกออกมาทันที สุริยวงศ์เดินเลี่ยงออกมา ห่างจากผู้คนแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดหาวันดารา
“ฮัลโหลปี้วัน อยู่ตี้ไหนแล้วครับ ครับ...ครับเดียวผมเดินออกไปฮับ”
สุริยวงศ์ เดินออกมาถึงสวนด้านหน้าคุ้มที่มีงตุงผ้า โคมกระดาษ ห้อยตกแต่ง และแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมัน ดูบรรยากาศสวยงาม สุริยวงศ์เห็น วันดารา เดินเข้ามากับเรริน วันดารานุ่งซิ่นแม่แจ่ม สวมเสื้อแขนยาวแนบตัว มีผ้าสะไบกลัดเข็มกลัด เรรินนุ่งซิ่นเชียงตุง สวมเสื้อเข้าชุดแนบเหมือน หลุดออกมาจากอดีตเมื่อร่วมร้อยปีไม่มีผิด สุริยวงศ์ตะลึงลืมหายใจ กับภาพที่เห็นเบื้องหน้า

(จบตอนที่ 5)

อ่านต่อพรุ่งนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น