ติดตามอ่านได้ละครออนไลน์ได้ ทาง www.manager.co.th ทุกวัน เวลา 09.30 น.
รอยไหม ตอนที่ 4
สุริยวงศ์นั่งลงกราบบัวเงินที่พื้น บัวเงินยิ้มให้...
“เจ้ามาช้าไปหน่อยเดียว ย่าเพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จไปเมื่อกี้ กินอะไรรึยังละสุริยะ”
“ผมกินมาแล้วละครับคุณย่า วันนี้ผมพาเพื่อนคนนึงมากราบคุณย่าด้วยครับ”
“เพื่อน”
“ครับ เปิ้นเป็นอาจารย์สอนเรื่องทอผ้า ในมหาวิทยาลัยครับ เปิ้นสนใจอยากจะขอผ่อผ้าโบราณของคุณย่าครับ”
“เพื่อนของเจ้า ผู้บ่าว หรือแม่หญิง”
“แม่หญิงครับคุณย่า”
“ไปรู้จักเปิ้นตั้งแต่เมื่อใด”
“พอดีเปิ้นเป็นแขกของพี่วันที่รีสอร์ทน่ะครับคุณย่า”
“พี่วันก็รู้จักแม่นก่อ”
“ครับคุณย่า”
บัวเงินพยักหน้ารับรู้ แล้วเดา...
“เพราะแม่หญิงคนนี้ก๊า เจ้าจึงบ่สนใจใยดีวงพระจันทร์มัน”
“บ่ใจ่จะอั้นดอกครับคุณย่าผมกับเปิ้นเพิ่งจะได้ฮู้จักกัน เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นครับ”
“ไหนพาย่าออกไปซิ ย่าชักอยากจะเห็นหน้าเพื่อนของเจ้าคนนี้เต็มทนแล้ว”
“ครับคุณย่า”
สุริยวงศ์ขยับเข้าประคองบัวเงินให้ลุกขึ้น
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเอื้อมมือไปเพื่อจะหยิบรูปที่ล้มคว่ำตั้งขึ้น จู่ๆลมก็พัดกรรโชกเข้ามาทางหน้าต่าง อย่างแรงจนน่าแปลกใจ ผ้าม่านปลิวสะบัดโคมไฟที่ห้อยลงมาจากเพดานโยนตัวแกว่งไกวไปมาเหมือนโดนพายุ ไฟกะพริบถี่ๆแล้วดับลง ห้องที่สลัวๆอยู่แล้ว มืดทึบลงไปอีก เรรินแปลกใจ ค่อยๆถอยกลับออกมา
เรรินหันไปบางมุมนึงเพราะเหมือนมีคนอยู่ ชั่วพริบตาร่างตะคุ่มดำๆเห็นจางๆก็เหมือนเผ่นแผ่วหายไปในตู้ ผีอีเม้ยชะโงกหน้ามาจากด้านหลังเรรินเหมือนจะชะโงกเข้ามาดูหน้าใกล้ๆ เรรินรู้สึกเหมือนมีใครหายใจรดต้นคอหันขวับไปดู แต่ก็ไม่เห็นใคร
เมฆสีดำที่ทะยานเข้าบดบังพระอาทิตย์ จนฟ้าหรัวทันใด บ่าวถือเชิงเทียนที่จุดไฟแล้วเข้ามา
“ฝนจะตกหรือคะ”เรรินถามอย่างสงสัย
“บ่ฮู้เจ้า บ่ฮู้เป็นอะหยัง เมื่อกี้ยังฟ้าแจ้งจางปางอยู่ดีๆนี่ไฟก็ดับทั้งบ้านเลยแปลกแต๊ๆ”
บ่าววางเทียนไว้มุมนึง แล้วถอยออกไปสวนกับสุริยวงศ์ที่พาบัวเงินเข้ามา เรรินมองบัวเงิน สุริยวงศ์ยิ้มให้เรรินหลังจากพาบัวเงินลงนั่ง
“คุณรินครับ นี่คุณย่าบัวเงินของผม”
เรรินขยับเข้ามาใกล้บัวเงินอีกนิด แล้วกราบลงที่พื้น บัวเงินมองเรริน นึกพอใจที่กิริยาท่วงท่างดงามใช้ได้
“คุณเรริน ครับคุณย่า”
“ชื่ออะหยังนะ” เรริน เงยหน้าขึ้นจากการกราบพอดี
“เรรินค่ะ ดิฉันชื่อเรริน”
บัวเงินจ้องมองเรรินตัวแข็ง ตาไม่พริบ สายฟ้าฟาดลงในท้องฟ้าสีเทาดำแสงฟ้าแลบวาบเข้ามาถึงในห้อง หน้าเรรินสว่างวาบ บัวเงินตะลึง...สายตาบัวเงิน เห็นหญิงสาวที่พับเพียบอยู่เบื้องหน้าคือ เจ้าหญิงมณีริน ที่สวมชุดเจ้าหญิงเชียงตุง
ฟ้าผ่าลงโครมใหญ่ ยอดไม้ใหญ่หักสบั้นลง ลมพัดกรรโชกเข้ามาอย่างแรง ภายในห้องเทียนดับลงทันที ทั้งเรริน สุริยวงศ์ ตกใจกับฟ้าแลบฟ้าผ่า ลมแรงที่เกิดขึ้น บัวเงินลุกขึ้นทันที
“อีมณีริน”
เรรินชะงักตกใจ
“มึงกลับมาจนได้สินะ อีงูพิษ”
เรรินตะลึงตัวแข็ง
“คุณย่าครับ นี่คุณเรรินครับ”
สุริยวงศ์รีบบอก บัวเงินชี้หน้าเรรินตัวสั่น
“มึงกลับมาทำไมอีมณีริน”
“คุณสุริยะคะ ฉันว่า ...”
“คนอย่างมึงไม่เคยเข้าใจอะไรง่ายๆหรอก มึงไม่เคยนึกถึงคนอื่นนอกจากตัวของมึงเอง”
เรรินกลัวจนกระถดถอยหลังอย่างไม้รู้ตัว
“คุณย่าครับ คุณย่าคงเข้าใจอะไรผิดแล้วละครับ”
บัวเงินตวาดไล่
“ออกไป๊ ออกไปจากเรือนกู เดี๋ยวนี้ อีมณีริน อีงูพิษ มึงมันร้ายกาจกว่าที่กูคิด ชาตินี้กูไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะหวนกลับมาได้อีก คนอย่างมึงตายไปแล้วยังพิษสงมากนัก ออกไป๊กูบอกให้ออกไป้”
เรรินช็อก สุริยวงศ์พยามยามดึงยื้อบัวเงินไว้
“คุณย่าครับ คุณย่า”
บัวเงินทรุดตัวแทบขาดใจ
“กูบอกให้ออกไป”
“คุณรินครับ คุณรินออกไปก่อนเถอะครับ”
บ่าววิ่งกันเข้ามา 2 คน ด้วยความตกใจ
“แม่คุณเป็นอะหยัง เจ้า”
“ช่วยกันจับคุณย่าไว้ก่อน คำปัน”
บ่าวช่วยกันจับบัวเงินที่หงิกเกร็งไปทั้งร่าง บัวเงินกรีดร้องจนหมดสติเป็นลมไป เรรินออกไปจากห้องด้วยความตกใจ
“คุณย่าครับ...คุณย่า”
บัวเงินเป็นลมพับไป มือกำแน่น สุริยวงศ์ กุมมือนั้นไว้
+ + + + + + + + + + + +
เรรินตกใจไม่หาย ถอยออกมามองไปทางห้องเมื่อกี้...เกิดอะไรขึ้นบ้างก็รู้ ผีอีเม้ย เห็นแต่เป็นร่างตะครุ่มสีดำๆ ยืนอยู่ไกลๆด้านหลังเรริน
“อีมณีริน”
เรรินหันขวับไปมองด้านหลัง แต่ก็ไม่เห็นอะไร เรรินหันกลับมาอีกครั้ง ผีอีเม้ยห้อยหัวลงมาจากขื่อเพดานเหมือนค้างคาว ผมของมันยาวเกือบถึงพื้น หน้าเรรินเผชิญหน้าระยะประชิดกับหน้าผีอีเม้ย ตาถลนของผีอีเม้ย ขาวโพลนไม่มีลูกตาดำ มันอ้าปากกว้างเห็นฟันที่คมแหลมเหมือนฟันปลาเหมือนกับว่าอมหัวเรริน เรรินตกใจสุดขีด เป็นลมไปทันที
บ่าวรีบกลับเข้ามาในห้อง สุริยวงศ์ดูแลปฐมพยาบาลบัวเงินอยู่ บัวเงินสงบลงมากแล้ว
“คุณสุริยะเจ้า แขกคุณสุริยะเปิ้น เป็นลมฟุบอยู่ข้างนอกเจ้า”
สุริยวงศ์ตกใจ
“คุณริน...สองคนช่วยกันดูแลคุณย่าเปิ้นโตย”
สุริยวงศ์ปล่อยมือบัวเงินออก แล้วรีบผละออกไปทันที
“อีมณีริน มึงกลับมาจองเวรจองกรรมกะกู กลับมาเพื่อจะควักหัวใจของกูให้ได้ใช่ก๊า...อีคนมารยาสาไถ”บัวเงินพูดเสียงสั่น
บ่าวช่วยกันบีบนวดบัวเงิน บัวเงินนัยน์ตาฝ้าฟางเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวดุดัน
ด้านนอก เรรินนอนไม่ได้สติ...สุริยวงศ์เข้ามาประคอง
“คุณรินครับ...คุณริน”
เรรินค่อยๆพื้นลืมตาขึ้น แล้วสะดุ้งผวาเพราะภาพผีอีเม้ยยังติดตา สุริยวงศ์มองอย่างห่วงใย มือกุมมือเรรินไว้
“เป็นยังไงบ้างครับ”
เรรินพยายามจะลุกขึ้น
“ยังไม่ต้องรีบลุกขึ้นดีกว่าครับ”
“ฉัน...เป็นอะไรไปคะคุณสุริยะ”
“คุณคงเป็นลมนะครับ”
เรรินค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากมือสุริยวงศ์ แล้วมองรอบๆตัวภาพผีอีเม้ยยังหลอน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“ฉัน...เห็น...”
“เห็นอะไรครับ”
“บางอย่างในบ้านหลังนี้ค่ะ”
“อะไรครับ”
“มัน....ช่างเถอะค่ะ ฉันอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้”
บ่าวออกมาจากห้องที่บัวเงินเป็นลม
“คุณย่าเป็นจะไดพ่อง”สุริยวงศ์ถามอย่างเป็นห่วง
“แม่คุณเพิ่นดีขึ้นแล้วเจ้าเอนหลังอยู่ กี่ปีๆบ่เคยเป็นจะอี้”
“คุณไปดูท่านเถอะค่ะ ฉันจะออกไปคอยข้างนอกดีกว่า”เรรินบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับ”สุริยวงศ์หันไปหาบ่าว “คำปัน...ฉันจะไปส่งคุณรินก่อนนะ ฝากดูแลคุณย่าด้วยมีอะไรก็โทรศัพท์หาฉันได้ตลอดเวลา”
“เจ้า...คุณสุริยะ”
บ่าวกลับเข้าไปในห้อง เรรินประคองตัวเองลุกขึ้น สุริยวงศ์เข้าประคองเพราะเรรินเซเล็กน้อย สุริยวงศ์ ประคองพาเรรินกลับออกมาถึงที่รถ
“คุณรินรอเดี๋ยวนะครับ”
สุริยวงศ์ รีบอ้อมไปเปิดประตูรถให้ เรรินค่อยๆหันกลับไปมองที่ตัวบ้าน แล้วต้องตะลึงรู้สึกตัวเองเย็นเฉียบวาบหัวจรดปลายเท้า เมื่อสายตาของเธอเห็น บัวเงินยืนจ้องมองลงมาจากที่หน้าต่างห้อง...แต่ที่น่าขนลุกไปกว่านั้น...ร่างดำทะมึนของผีอีเม้ย ประกบอยู่หลังบัวเงินด้วย
“ไปครับคุณริน”
เรรินสะดุ้ง ขนลุก หันหน้าหนีจากภาพที่เห็น แล้วเดินไปขึ้นรถไป
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์ ขับรถไป หันมามองเรรินเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง
“รู้สึกดีขึ้นไหมครับ คุณริน”
“ค่ะ...แต่ตอนนี้ฉันปวดหัวนิดหน่อยถ้ายังไงเดี๋ยวช่วยแวะร้านขายยาให้ฉันด้วยได้ไหมคะ”
“ครับ”
สุริยวงศ์หยิบขวดน้ำดื่มข้าวตัวส่งให้ เรรินรับขวดน้ำมา
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณรินเลยไม่ทันจะได้ดูผ้าโบราณของคุณย่าท่ายเลย เอาไว้เรามากันใหม่วันหลังก็ได้นะครับ วันนี้ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าท่านเป็นอะไรไป”
“คุณสุริยะคะ คุณย่าคุณท่านเรียกฉันว่า มณีริน”
“ครับ ผมก็ได้ยิน”
“ท่านหมายถึงมณีริน คนเดียวกับเจ้านางมณีรินรึเปล่าคะ”
“ไม่ทราบสิครับ อาจจะเป็นคนเก่าแก่ที่คุณย่าท่านเคยรู้จักก็ได้ คุณย่าท่านเคยอยู่ในคุ้มเจ้าหลวงมาครึ่งค่อนชีวิตท่าน ตั้งแต่เจ้าหลวงองค์ก่อนท่านยังไม่พิราลัยแน่ะครับ”
“แต่จะมีซักกี่คนกันคะที่ชื่อมณีริน”
“ผมว่าคุณย่าท่านเลอะเลือนมากกว่าครับ ปีนี้ท่านก็เก้าสิบแล้ว เป็นธรรมดาของคนแก่น่ะครับ”
เรรินไม่พูดอะไรต่อทั้งที่เกิดคำถามขึ้นมากมายในใจ
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินเข้ามาในห้องผีอีเม้ย ถามอย่างเกรี้ยวกราด
“มึงหันอย่างกุหันก่ออีเม้ย มันเป็นอีมะณีรินแต๊ๆใจ่ก่อ”
ผีอีเม้ย ซึ่งเป็นร่างจางๆดำๆ นั่งชันเข่าอยู่มุมนึงที่พื้น
“แต๊เจ้า เป็นมันแต๊ๆหม่อม”
“มันบิ๊กมาจองเวรจองกรรมกะกูใจ่ก่อ”
“หม่อมเจ้าขา หม่อมของเม้ย หม่อมบ่ต้องกลัวดอก ต่อให้มีสิบอีมะณีริน มันก็ยะอะหยัง
หม่อมของเม้ยบ่ได่ เม้ยจะปกป้องหม่อมด้วยชีวิตของเม้ยเจ้า”
บัวเงินในเวลานี้ อารมณ์ไม่ต่างไปจากเมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้วเลย
+ + + + + + + + + + + +
เรรินรับถุงยามาจากเภสัชกรและจ่ายเงิน ระหว่างรอเงินทอน เรรินหันไปหาสุริยวงศ์ที่ยืนรอ
“โรคประจำตัวของฉันเลยค่ะ ไมเกรนเนี่ยเป็นมาตั้งแต่เรียนหนังสือตอนมัธยมแล้ว จะไปไหนทีอย่างแรกที่ต้องคว้าเอาไว้ก่อนกันลืม ก็ยาแก้ไมเกรนนี่แหละค่ะ”
“มันเป็นเพราะอะไรครับ ไมเกรนเนี่ย”
“ความเครียดมังคะ เห็นคุณหมอว่ายังงั้น”
เภสัชกรส่งเงินทอนให้เรริน
“ยินดีนักๆเจ้า”
“ขอบคุณค่ะ”
เรรินกับสุริยวงศ์ ออกจากร้านเดินกลับมาที่รถ
ที่ถนนฝั่งตรงข้าม วงพระจันทร์ขับรถตัวเองอยู่ รถติดพอประมาณเพราะคันหน้ายึกยักหาที่จอดข้างถนน วงพระจันทร์หงุดหงิดแต่ก็ต้องรอคอย
“ที่จอดมีตั้งเยอะแยะไปทำไมต้องมาจอดตรงนี้ด้วยวะ”วงพระจันทร์กดแตรไล่
วงพระจันทร์มองไปอีกฝั่งถนน เห็นสุริยวงศ์กับเรริน เดินไปถึงรถ วงพระจันทร์พยายามมองให้ถนัด
“สุริยะเหรอ มากับใคร ยัยวันดาราเหรอ ไม่น่าใช่”
สุริยวงศ์ขึ้นรถกับเรริน และรถเคลื่อนออก วงพระจันทร์มองตามจนเหลียวหลัง
“ใครวะ”
รถคันข้างหลังกดแตรไล่วงพระจันทร์กระหน่ำชุดใหญ่ วงพระจันทร์หงุดหงิดกว่าเดิม
“ปัดโธ่โว้ยกดหาบรรพบุรุษแกสิ”
วงพระจันทร์เคลื่อนรถออกไปด้วยความโมโห
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์หยิบโทรศัพท์ที่ดังเพราะสายเรียกเข้าขึ้นมาดู ทั้งที่เห็นเบอร์วงพระจันทร์ก็จำใจต้องกดรับสาย “ครับ”
“คุณอยู่ไหนคะสุริยะ”วงพระจันทร์ถามทันที
“อยู่ในเวียงนี่แหละผมขับรถอยู่”
“ขอบคุณค่ะที่ไม่โกหกวงพระจันทร์”
“มีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องโกหกคุณล่ะ”
เรริน หันหน้าออกมองไปนอกรถ เพราะรู้สึกเขาคุยเรื่องส่วนตัว
“น่ารักจัง งั้นบอกวงพระจันทร์ได้ไหมคะว่าผู้หญิงที่ขึ้นรถไปกับคุณเป็นใคร วงพระจันทร์คงไม่ได้ตาฝาดจนเห็นพี่วันดาราสวยพริ้งหรอกนะคะ”
คำถามของวงพระจันทร์ ทำให้สุริยวงศ์เหลือบมองเรรินแว่บนึงอย่างเกรงใจ
“แขกที่รีสอร์ทของพี่วัน คุณมีธุระอะไรรึเปล่า ถ้าไม่มีก็แค่นี้ก่อนนะ ผมขับรถอยู่”
สุริยวงศ์กดวางสายทันที แล้วบอกกับเรริน
“ขอโทษด้วยนะครับ”
เรรินหันมายิ้มให้นิดนึงแทนคำตอบ
+ + + + + + + + + + + +
เมื่อสุริยวงศ์ กับเรรินกับมาถึงรีสอร์ท วันดาราเดินยิ้มออกมารับ
“เป็นจะไดพ่อง คุณริน ผ้าโบราณของคุณย่าเปิ้นงามก่อ”
“ไม่ทันได้ดูผ้าหรอกค่ะพี่วัน”สุริยวงศ์ส่ายหน้าเครียดๆ
วันดาราแปลกใจ
“อ้าว จะไดเป็นจะอั้น”
“ให้คุณรินเปิ้นไปพักผ่อนก่อนเต๊อะครับ พี่วัน คุณรินเปิ้นปวดหัว”สุริยวงศ์บอก
วันดารามองเรรินอย่างเป็นห่วง
“ปวดหัว แล้วกินหยูกกินยาแล้วก๊า”
“เรียบร้อยแล้วละค่ะ ขอบคุณค่ะพี่วันรินขอตัวก่อนนะคะ”
เรรินเดินออกไป วันดาราหันมาถามสุริยวงศ์ทันที
“เกิดอะไรขึ้น สุริยะ ท่าทางบ่ดีเลย”
“ผมก็บ่เข้าใจ๋เหมือนกั๋นครับพี่วัน”
“เธอไปพูดอะหยังบ่เข้าหูเพิ่นรึเปล่า”
“บ่ดอกครับพี่วัน ทีแรกก็ทำท่าว่าทุกอย่างจะไปได้ดี แต่พอคุณย่าเห็นหน้าคุณรินเท่านั้น
แหละครับ”
“เป็นจะได”
“เปิ้นลุกขึ้นชี้หน้าไล่ตะเพิดคุณริน”
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ จะไดเป็นจะอั้น”
“แล้วก็เรียกคุณรินเปิ้นว่าอีมะณีรินครับ”
“มณีริน ป๊าด...คุณย่าเปิ้นฟั่นเฟือนกันไปใหญ่แล้ว”วันดาราอุทานอย่างไม่สบายใจ
+ + + + + + + + + + + +
ธนินทร์มาหาพรรณวรินทร์ที่บ้าน ธนินทร์ยกมือไหวอย่างนอบน้อม พรรณวรินทร์รับไหว้
“สวัสดีลูก”
“ผมซื้อขนมมาฝากคุณแม่ด้วยครับ ทีแรกตั้งใจจะเอาปั้นขลิบเจ้าโปรดคุณแม่มาด้วยแต่คิดดูอีกที ของทอดคลอเลสเตอรอลสูง ไม่ดีต่อสุขภาพหรอกนะครับคุณแม่”
“โถ...อุตส่าห์เป็นห่วงแม่ขอบใจนะลุก เดียวกินด้วยกันสิ แม่จะไปชงกาแฟมาให้ รอแป๊บเดียว”
“ขอบคุณครับคุณแม่”
พรรณวรินทร์หิ้วถุงขนมหายออกไปทางครัว ธนินทร์มองตามจนพรรณวรินทร์ลับตา แล้วหันไปเห็นโทรศัพท์มือถือ พรรณวรินทร์วางอยู่บนโต๊ะ ธนินทร์เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือนั้นขึ้นมาทันที
ทางด้านเรรินถอดผ้าซิ่นของวันดาราออกแล้วนั่งคิดไม่ตก ยังคาใจกับสิ่งที่ได้ไปพบวันนี้ เรรินนึกถึงภาพที่บัวเงินเกรี้ยวกราดจนน่ากลัว
‘…ออกไป๊ ออกไปจากเรือนกูเดียวนี้ อีมณีริน อีงูพิษ มึงมันร้ายกาจกว่าที่กูคิดชาตินี้กูไม่เคยคิดเลย ว่ามึงจะหวนกลับมาได้อีก คนอย่างมึงตายไปแล้วยังพิษสงมากนัก ออกปีกูบอกให้ออกไป…’
เรริน สะดุ้งเฮือกเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เรรินเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย เพราะเห็นเป็นเบอร์แม่
“คะแม่...มีอะไรรึเปล่าค่ะ”
“ผมคิดถึงคุณจะตายอยู่แล้วนะครับริน”เสียงธนินทร์ดังมาจากปลายสาย
เรรินชะงักอึ้ง
“ธนินทร์”
“คุณแม่รินท่านสงสารผม ท่านก็เลยให้ใช้โทรศัพท์ท่าน ไม่งั้นผมก็คงไม่มีทางได้คุยกับรินยังงี้หรอก เงินที่ขายผ้าได้ผมไม่รู้จะเอาเข้าบัญชีรินได้ยังไง”
“ฝากไว้ที่คุณแม่ฉันก็ได้ ธุระมีแค่นี้ใช่ไหมคะ”
“เดี๋ยวสิครับริน รินอยู่ไหนเนี่ย”
“จะรู้ไปทำไมคะ”
“ผมจะไปหารินไงครับเราจะได้คุยกัน ถ้ารินอยู่ไกลผมจะได้ขับรถไปรับ...นะครับ”
“อย่าดีกว่าคะ รินขออยู่คนเดียวเงียบๆซักพัก เพื่อคิดเรื่องของเรา”
“อยู่คนเดียวเงียบๆ เดี๋ยวก็เครียดเป็นบ้าตายนะครับ”
พรรณวรินทร์ถือถาดกาแฟของว่างเข้ามาพอดี ชะงัก อึ้ง ที่เห็น ธนินทร์ ถือวิสาสะเอาโทรศัพท์เธอไปใช้
เรรินยิ่งเครียดเมื่อถูกกวนโทสะ
“เท่านี้นะคะ”เรรินกดวางสายทันที
“ฮัลโหล ริน...ริน ปัดโถ่เว้ย”
ธนินทร์หันกลับมาแล้วต้องชะงัก เพราะพรรณวรินทร์ ยืนมองอยู่...
“พอดีรินเขาโทรเข้ามาเครื่องคุณแม่นะครับ ผมเห็นเป็นเบอร์รินดีใจจนลืมตัวนะครับ เลยรับสายซะเอง”ธนินทร์โกหก
พรรณวรินทร์ฝืนยิ้ม
“เหรอจ๊ะ...”
ธนินทร์ทำร่าเริง
“ท่าทางน้ำเสียงรินเขาสบายดีนี่ครับคุณแม่”
“เหรอจ๊ะ แล้วคุยอะไรกับบ้างล่ะ”
“ผมถามรินเขาเรื่องเงินที่ขายผ้าได้ รินเขาบอกให้เก็บเอาไว้ที่ผมก่อนดีกว่าครับ”
“เหรอจ๊ะ”
ธนินทร์ส่งโทรศัพท์คืนให้พรรณวรินทร์
“กาแฟคุณแม่หอมจังเลยครับให้ผมช่วยนะครับ”
ธนินทร์ทำกุลีกุจอช่วย พรรณวรินทร์ เริ่มรู้สึกบางอย่างที่ไม่ค่อยน่าเชื่อ
(อ่านต่อหน้า 2)
ตอนที่ 4 (ต่อ)
สุริยวงศ์กลับเข้ามาในร้านกาสะลอง เห็นวงพระจันทร์นั่งคอยอยุ่มุมหนึ่ง วงพระจันทร์หันมาเห็น ถามทันที
“ส่งแขกของพี่วันดาราเรียบร้อยแล้วเหรอคะ ส่งไปถึงสวรรค์ชั้นไหนน๊อ”
“พูดอะไรของเธอวงพระจันทร์”
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมหมู่นี้เจ้าของร้านนี้ถึงอยู่ไม่ค่อยติดร้าน เสน่ห์คงแรงจัดเลยนะแม่คนนี้”
“จะพูดจาอะไรหัดคิดให้ดีซะก่อนที่จะพูดออกมาดีกว่านะ อย่างน้อยเธอก็เป็นคนดูมีการศึกษา”สุริยวงศ์ด่าอ้อมๆ
วงพระจันทร์โกรธ
“สุริยะ”
“ก่อนที่จะหวังให้คนอื่นเขาให้เกียรติเธอ เธอต้องรู้จักให้เกียรติคนอื่นเขาก่อน”
“อีคนนั้นมันเป็นใครมาจากไหน คุณถึงมาด่าฉันฉอดๆยังงี้”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยวงพระจันทร์ เพราะแค่นาทีนี้เธอกับคุณรินก็เทียบชั้นกันไม่ได้แล้ว”
วงพระจันทร์อึ้งช็อคจนลืมกรี๊ด
“เลิกดูละครน้ำเน่าในทีวีได้แล้ว ไม่งั้นเธอจะติดเอานิสัยแย่ๆแบบที่เห็นมาใช้ อายคนอื่นเขาเปล่าๆ”
สุริย์วงศ์เดินออกไปหลังร้าน วงพระจันทร์กรี๊ดไม่ออก เพราะเจ็บจริงๆ
+ + + + + + + + + + + +
เย็นนั้นวันดาราเข้ามาคุยกับเรริน เรื่องของบัวเงิน...
“พี่ว่าคุณรินอย่าไปถือสาคุณย่าเปิ้นเลยเจ้า เปิ้นคงเลอะเลือนได้ยินชื่อคุณริน...เรริน...ก็อาจจะฟังเป็นมณีรินก็ได้”
“รินก็พยายามจะคิดอย่างนั้นเหมือนกันคะพี่วัน”
“วันหลังค่อยเข้าไปขอดูผ้าโบราณเปิ้นใหม่ก็ได้ รอเปิ้นอารมณ์ดีๆก่อนพี่จะไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”
“คุณย่าของพี่วันกับเจ้านางมณีรินท่านเกี่ยวข้องกันยังไง พี่วันพอจะทราบไหมคะ” เรรินถามอย่างสงสัยเต็มที่
“โอ้โฮ เรื่องมันนมนานมาแล้วนะคะคุณริน”
“พอเจ้านางมณีรินท่านสิ้นใจไปเกิดอะไรขึ้นคะ”
“เขาเล่ากันว่า เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นก็เข้าพิธีอภิเษกกับแม่หญิงอีกคนนึ่ง ไม่นานเปิ้นก็ล้มป่วย แล้วก็สิ้นใจตามเจ้านางมณีรินไปอีกคนเจ้า”
“ยิ่งฟังยิ่งน่าเศร้านะคะ”
“คุณรินจะไม่ถามพี่เหรอเจ้า ว่าเจ้าศิริวัฒนาเปิ้นแต่งงานกับผู้ใด”
“คะ...ท่านแต่งงานกับใครคะพี่วัน”
“คุณย่าบัวเงิน”
เรรินอึ้ง...เย็นวาบ...ความเกี่ยวข้องกันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“สุริยะเปิ้นมีเชื้อสายเจ้าเชียงใหม่นะคุณริน”
เรรินแปลกใจ
“ตายจริง...รินเพิ่งทราบ...”
“แต่ก็บ่ใช่หลานสายตรงของเจ้าศิริวัฒนาดอกเจ้า เพราะหลังจากเป็นม่ายอยู่หลายปี คุณย่า
บัวเงินเปิ้นก็แต่งงานใหม่กับปู่ของสุริยะเปิ้น เป็นเชื้อสายเจ้าเชียงใหม่เหมือนกัน”
เรรินได้รับรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นอีก แต่ความอยากรู้ของเธอยังไม่ลดน้อยลงมาเลย
+ + + + + + + + + + + +
ออกจากร้านของสุริยวงศ์ วงพระจันทร์รีบมาฟ้องบัวเงิน วงพระจันทร์บีบน้ำตาทำฟูมฟาย
“วงพระจันทร์เห็นกับตานะคะคุณย่า สุริยะน่ะทำท่าสนิทสนมกับแม่คนนั้นขนาดจับมือ”
บัวเงินนั่งนิ่งบนเก้าอี้โยก
“ถือแขนกันเลย กลางถนนแท้ๆคนเป็นร้อยไม้รู้จักอาย วงพระจันทร์ว่าสองคนต้องมีอะไรเกินเลยไปถึงไหนต่อไหนแล้วละค่ะ ผู้หญิงผู้ชายจับมือถือแขนกัน มันจะหมายความว่ายังไงได้ พอวงพระจันทร์ถามสุริยะดีๆเขากลับตวาดใส่วงพระจันทร์ หยาบๆคายๆแถมยกย่องแม่คนนั้นเรียกคุณริน คุณรินทุกคำ วงพระจันทร์เสียใจที่สุดเลยค่ะคุณย่า คุณย่าต้องจัดการเรื่องนี้ให้วงพระจันทร์นะคะ คุณย่าขา”
“แล้วคิดว่าควรจะยะจะได”บัวเงินถามเรียบนิ่ง
“คุณย่าก็เรียกสุริยะเข้ามาอบรมซะหน่อยสิคะ คุณย่าพูดอะไรสุริยะเขาต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว นังผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ดูดีอะไรซักเท่าไร หน้าตาก็พื้นๆแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูไม่ได้นุ่งสั้นจุ๊ดจู๋ยังกะผู้หญิงข้างถนน”
บัวเงินชักรำคราญ
“อู้พอแล้วก๊า”
“วงพระจันทร์รู้ว่าคุณย่าก็ไม่ชอบฟังเรื่องน่าปวดหัวแบบนี้ แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะคะคุณย่า”
“มึงน่าจะคิดออกว่าต้องยะจะได แทนที่มึงจะมัวมาไห้คือผีบ้าจะอี้ไสหัวไป”บัวเงินตวาดไล่
วงพระจันทร์อึ้ง
“คุณย่า”
“กูบอกหื้อไสหัวไป”
วงพระจันทร์ หัวเสียออกมา
“ใครกันแน่เหมือนผีบ้า เคยส่องกระจกดูสารรูปตัวเองบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้”
วงพระจันทร์ก้าวเดินลงบันไดทีละขั้น มือดำๆสกปรกเล็บยาวของผีอีเม้ยคว้าจับข้อเท้า
วงพระจันทร์แน่น วงพระจันทร์ชะงักกึกเกือบหัวทิ่มตกบันไดเดชะบุญที่คว้าเกาะราวบันไดเอาไว้ได้ทัน
วงพระจันทร์ก้มลงไปดู นอกจากมือดำๆข้างนั้นแล้ว ผีอีเม้ยยังยื่นหน้ามุดเผยโฉมออกมาให้เห็นอีกด้วย ตาถลนขาวโพลนไม่มีลูกตาดำ วงพระจันทร์ตกใจสุดขีด
“กรี๊ด...ด”
วงพระจันทร์เสียหลักตกบันไดไป
+ + + + + + + + + + + +
ดึกสงัดคืนนั้น...เสียงพิณเปี้ยะเหมือนดังกังวาน แว่วมาจากภูเขาอีกลูกหนึ่ง ท่วงทำนองหวานเศร้าแต่ทรงพลัง เรรินที่นอนหลับอยู่ ขยับตัวเหมือนได้ยินเสียงเรียก เรรินค่อยๆลืมตาขึ้น เหมือนตัวเอง ครึ่งหลับ ครึ่งตื่น
ในความมืดสลัวทางห้องมุมหนึ่ง ศิริวัฒนานั่งนิ่งอยู่ ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเศร้า รอบๆ ตัวเขาเหมือนมีแสงจางๆ
เรรินลุกขึ้นนั่ง
“คุณ...คุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”
“อย่ากลัวไปเลย ฉันไม่มีวันจะทำร้ายเธอหรอก เจ้าริน...”
“คุณเป็นใคร...คุณดูเหมือนติดตามฉันไปทุกที่ คุณต้องการอะไรกันแน่ ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้
นะไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”
ศิริวัฒนายิ้มเศร้า...เจ็บปวด
“ขอโทษที่ละลาบละล้วง และเข้ามาในห้องโดยไม่ได้ขออนุญาตเธอเสียก่อน พอได้รู้ว่า เธอไปบ้านบัวเงินมา...ฉันก็ร้อนใจมาก มากจนมิอาจอยู่เฉยได้”
“คุณหมายถึง บัวเงิน คุณย่าของคุณ สุริยวงศ์ น่ะเหรอคะ”
ศิริวัฒนานิ่งเงียบ แทนคำตอบ
“ทำไมคะ”
“มีอันตรายที่นั่น อีเม้ย และบัวเงิน”
เรรินสงสัย
“เม้ย...ใครคะ”
“นอกจากอีเม้ยแล้ว เธอจงระวังบัวเงิน ให้ดี หากไม่จำเป็นแล้ว โปรดอย่าไปที่นั่นอีก...อย่าให้บัวเงินทำร้ายเธอได้อีก”
“คะ”เรรินไม่เข้าใจ “ฉันไม่เข้าใจว่าคุณกำลังจะบอกอะไรฉันกันแน่ ทำไมฉันต้องระวังคุณย่าของคุณสุริยวงศ์ ด้วยท่านจะทำอะไรฉัน”
“แล้วสักวันเธอก็จะเข้าใจเอง สักวันเธอจะเข้าใจทุกอย่าง”
ศิริวัฒนาขยับตัวลุกขึ้นทำท่าเหมือนจะจากไป
“เดี๋ยวสิคะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร”
ศิริวัฒนายิ้มเศร้าให้เรรินแล้วยื่นดอกพุดให้ เรรินเอื้อมมือไปรับดอกพุดมา
“แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหมคะ”
เรรินหันไปมองเพราะแปลกใจที่ได้ยินเสียงตัวเอง เรรินเห็นตัวเองนอนหลับอยู่บนเตียง
เรรินตกใจว่านี่มันอะไรกัน เรรินหันกลับไปหาศิริวัฒนาอีกครั้ง ก็ไม่มีร่างของเขาอีกแล้ว เรรินยืนงงว่ามันเป็นความฝันอะไรกันแน่
+ + + + + + + + + + + +
สรัญญานั่งทานอาหารอยู่เพื่อน ที่ร้านกาสะลอง...
“เป็นยังไงล่ะแก อร่อยสมราคาคุยรึเปล่า ตอนนี้ร้านนี้เขาดังไปถึงกรุงเทพเลยนะยะ
ใครมาเชียงใหม่แล้วไม่ได้แวะมาร้านนี้ถือว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่ล่ะ”เพื่อนบอก
“ขนาดนั้นเชียว อาหารก็ใช้ได้”สรัญญาชม
“อุ๊ยแม่คนรสนิยมสูง เจ้าของร้านนี้เขาจบด้านอาหารมาจากฝรั่งเศสเชียวนะยะ”เพื่อนอีกคนบอก
“ที่สำคัญหล่อมากด้วย”เพื่อนคนที่สามเสริม
“หล่อไม่กลัวฉันกลัวจ๊ะเอ๋รุ่นน้องมาแตร์น่ะสิ”สรัญญาหัวเราะ
“สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด เขามีเชื้อเจ้าด้วยนะยะ จะบอกให้”
“เจ้าอะไรยะเจ้าเจี้ยวเหรอตราเด็กสมบูรณ์รึเปล่า”
สรัญยาหัวเราะอยู่ดีๆก็ต้องชะงัก เมื่อสุริยวงศ์เดินมาเสิร์ฟอาหารให้แขกที่โต๊ะหนึ่งด้วยตัวเอง และกำลัง ทักทายพูดคุยกับแขกโต๊ะนั้นอย่างเป็นกันเอง
“เจ้าเชียงใหม่ นี่แหละแก ฉันสืบมาละเอียดแล้วยังโสดอยู่ด้วย”เพื่อนบอก
สรัญญามองนิ่ง
“แกฟังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ยแซนดี้”
สรัญญามองสุริยวงศ์เคลิ้มๆ
“เด็กเสิร์ฟร้านนี้คัดหน้าตาดีๆทั้งนั้นเลยรึเปล่าแก”
เพื่อนๆหันไปมองตามสายตาสรัญญา
“ยัยบ้า เด็กเสิร์ฟที่ไหนกัน นั่นแหละคุณสุริยวงศ์ที่ฉันเมาท์ให้แกฟังจนน้ำลายแห้งอยู่นี่ไง”
เพื่อนอีกคนแหย่
“สเป็คแกเลยละสิ”
“ทำยังไงถึงจะได้รู้จักเขาล่ะ”
“หมั่นไส้ไม่กลัวจ๊ะเอ๋ว่าเป็นรุ่นน้องมาแตร์แล้วรึไงยะ”
เพื่อนหันไปเรียกเสียงดัง
“คุณสุริยวงศ์ขา เชิญทางนี้หน่อยสิคะ”
สุริยวงศ์เดินยิ้มเข้ามา
“สวัสดีครับคุณยุ้ย คุณหลี คุณแคธรีนอาหารเป็นยังไงบ้างครับ”
“อาหารน่ะอร่อยไม่มีที่ติอยู่แล้วละค่ะ แต่จะอร่อยมากขึ้นไปอีกถ้าได้คุยกับเจ้าของร้านน่ะค่ะ”เพื่อนผายมือมาที่สรัญญา “นี่แซนดี้ค่ะ เพื่อนยุ้ยเอง เพิ่งมาจากกรุงเทพ ก็เลยพามาเปิดหูเปิดตาสัมผัสของดีเมืองเชียงใหม่”
สุริยวงศ์ค้อมหัวให้นิดๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณแซนดี้”
“เช่นเดียวกันค่ะ”สรัญญาพูดอย่างใส่ซื่อหวานบริสุทธิ์ผุดผ่อง
+ + + + + + + + + + + +
เรริน เดินออกมาจากห้องพัก วันดาราที่นั่งอยู่ ส่งเสียงเรียก
“มารับอาหารเช้าด้วยกันสิคะคุณริน”
“ขอบคุณค่ะพี่วัน”
วันดารา จัดแจงรินกาแฟให้เรริน
“หลับสบายดีก่อเจ้าเมื่อคืน เมื่อวานดูคุณรินอิ๊ดขนาด”
“เหรอคะ”
เรรินไม่อยากเล่าเรื่องฝัน ประหลาดกับการเห็นชายหนุ่มคนนั้น แต่ก็เรียบๆเคียงๆถาม
“พี่วัน มีเด็กพนักงานช่วยงานที่นี่กี่คนคะ”
“ก็มีแค่สองสามคนเท่าที่คุณรินหันนั่นแหละเจ้า ถามทำไมเหรอเจ้า มีอะหยังก่อ”
“เปล่าค่ะเปล่าไม่มีอะไร วันนี้รินว่าจะเข้าเมืองหน่อย จักรยานมีใครใช้งานรึเปล่าคะพี่วัน”
“บ่มีดอกเจ้า คุณรินเอาไปใช้ได้เลย บ่ต้องเกรงใจ๋”
“ขอบคุณค่ะพี่วัน”
เรรินนั่งคุยกับวันดาราอีกครู่หนึ่ง จึงขี่จักรยานออกไป เรรินไปที่คุ้มเจ้าหลวง เข้าไปหยุดรถที่ทางเข้าคุ้มเจ้าหลวง มองตัวคุ้มเจ้าหลวงที่ตั้งทะมึนยิ่งใหญ่อลังการ เรรินลงจักรยานจะจูงรถเข้าไป ขณะเดียวกันนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เรรินชะงักหยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสาย เมื่อเห็นเป็นเบอร์พรรณวรินทร์
“คะแม่”
“ทำอะไรอยู่ล่ะลูก ริน”
“ริน กำลังทำธุระอยู่น่ะค่ะแม่ แม่มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ริน สบายดีใช่ไหมลูก ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม เมื่อคืนแม่ฝันไม่ค่อยดี ฝันถึงรินมาก็เลยเป็นห่วง"
“รินสบายดีค่ะแม่ แม่มีอะไรอีกไหมคะ”
“ไม่มีอะไรแล้วลูก ดูแลตัวเองดีๆนะลูก”
“ค่ะแม่ รินรักแม่นะคะ”
เรรินกดปิดโทรศัพท์เก็บโทรศัพท์ แล้วมองเข้าไปในคุ้มเจ้าหลวงอย่างแน่แน่ว ก่อนจะจูงจักรยานเข้าไป
เรรินก้าวเข้ามาบริเวณด้านหน้า พิพิธภัณฑ์ ไหมแมกำลังหันหลังทำงานเอกสารอยู่
“สวัสดีค่ะคุณไหมแม”
ไหมแมหันมายิ้มละไม
“สวัสดีเจ้า”
แต่พอเห็นเป็นเรริน รอยยิ้มก็ระเห็จแห้งหายไปทันที
“คุณเรริน คุณกลับมาอีกทำไมคะ”
“ฉันอยากกลับมาดูผ้าในพิพิธภัณฑ์อีกครั้งน่ะค่ะ”
ไหมแม ยังไม่ค่อยไว้ใจ
“เฉพะในพิพิธภัณฑ์เท่านั้นนะคะ”
“ค่ะ”
เรรินหยิบเงินออกมาจ่ายค่าเข้าชม
“ห้ามถ่ายภาพ ห้ามนำเครื่องดื่มหรืออาหารเข้าไปในห้องจัดแสดงนะคะ”
เรรินยิ้ม
“ค่ะ”
ที่ห้องจัดแสดง ผ้าโบราณล้านนา ผ้าโบราณงดงามวิจิตรถูกจัดแสดงอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
เรรินชมผ้าแต่ละชิ้นด้วยความสนใจ ไหมแมตามมายืนคุมให้เรรินอยู่ในสายตาตลอดเวลาห่างๆ เรรินเหลือบหันไปมอง เห็นไหมแมคุมตัวเองแจ เรรินเสทำเป็นจดข้อมูลที่สนใจลงสมุดบันทึก รอคอยโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม เรริน เดินชมผ้าต่างๆจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าชุดเสื้อผ้าโบราณของเจ้าหญิงเชียงตุง บางสิ่งบางอย่าง กระทบความรู้สึก เรรินให้มุ่งมั่น
ไหมแมเห็นเรรินจดบันทึกอยู่ จึงเดินไปสั่งงานเจ้าหน้าที่หลายคน
“สายไฟตรงไหนจะต้องเปลี่ยนก็เปลี่ยนมันเก่ามากแล้ว หลอดไฟช่วยเช็คดูให้ดีด้วย โดยเฉพาะห้องโถงชั้นบนเพราะอาทิตย์หน้าจะมีงานเลี้ยงแขกจะมากันมาก ศรีออน เปิดห้องทุกห้องในคุ้มเจ้าหลวงแล้วไล่ทำความสะอาดเน้อ จะได้ไม่เหม็นอับ”
เรรินยืนแอบฟังการสั่งงานของไหมแมอยู่มุมนึงไกลๆ
“ห้องชั้นล่าง ด้านหลัง ที่เหมือนห้องเก็บของนั่นก็เปิดก่อเจ้า” เจ้าหน้าที่ถามอย่างหลอนๆ
เรรินใจเต้นดีใจโอกาสมาถึงแล้ว
“เปิดสิ ช่างไฟเปิ้นจะได้เข้าไปเช็คไฟ เอ้า แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว พนักงานแยกย้ายกันออกไป”
เรรินรีบหลบออกไปอีกทางก่อนที่ไหมแมจะหันมาเห็นเข้า
+ + + + + + + + + + + +
เจ้าหน้าที่ไขกุญแจ และเปิดประตูห้องหนึ่งอ้าประตูเปิดคาเอาไว้ แล้วเดินมาจนถึงหน้าห้องทอผ้า
เรรินย่องตามมาด้านหลัง ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังสาละวน อยู่กับการหาลูกกุญแจเพราะแสงมืดๆทึมๆ มองไม่ค่อยถนัด เรรินหลบซ่อนตัวเองเข้ามุมนึง พนักงานไขกุญแจเปิดห้องทอผ้าได้ก็เดินจากไป เรรินออกมาที่ซ่อน มองจนแน่ใจว่าปลอดคนก็รีบตรงมาที่ห้องทอผ้า พาตัวเองเข้าไปทันที
เรรินรีบแฝงตัวเข้าไปภายในห้อง ความมืดสลัวทำให้ต้องยืนนิ่ง เพื่อปรับสายตาตัวเองครู่นึง กี่ทอผ้ายังคงตั้งอยู่ที่เดิม เรรินเดินเข้ามาที่กี่ทอผ้าค่อยๆดึงผ้าสีขาวที่ปิดผ้าที่ทอค้างเอาไว้ออก แล้วนั่งลง
มือเรรินปลดแกนไม้ที่ใช้ม้วนเก็บผ้าส่วนที่ทอเสร็จแล้วออกดู ผืนผ้าส่วนที่ทอเสร็จไปแล้วมีรอยเลือดแห้งจนเป็นสีน้ำตาลกระเซ็นเปื้อนเป็นจุด
“น่าเสียดายจริง เปื้อนอะไร”
เรรินเพ่งมองรอยเปื้อนนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์
“นี่มันรอยเลือดนี่”
เทียนเก่าบนเชิงเทียนโบราณที่วางไว้หัวเสากี่ทอผ้าด้านหนึ่ง จู่ๆก็เกิดติดไฟขึ้งเองอย่างน่าอัศจรรย์ เรรินชะงักที่เกิดแสงสว่างขึ้นในห้อง หันไปมองเทียนแล้วหันขวับไปอีกทางนึง ศิริวัฒนายืนยิ้มเศร้าอยู่หน้าภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่นั้น
“คุณ”
“เจ้ารินยังมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ต่อสิ่งที่ศรัทราเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“คุณพูดถึงอะไร”
“ขอบใจที่คุณแน่แน่วจะทอผ้าผืนนี้ให้เสร็จ”
“มันเหมือนเป็นภาระหน้าที่ที่ฉันจะต้องทำให้ได้ค่ะ ผีมือของฉันอาจจะไม่ดีเท่าเจ้านางมะณีริน
แต่ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ”
“ยินดีนัก อ้ายยินดีนัก เจ้าริน”
ศิริวัฒนามองเรรินอย่างเศร้าสร้อย
+ + + + + + + + + + + +
ด้านนอก ไหมแมเดินเข้ามากวาดตามองไปทุกซอกทุกมุมหาเรรินแต่ก็ไม้เห็นแล้ว ไหมแมเดินออกมาจนจะพ้นส่วนจัดแสดง พนักงานคนนึงกำลังกวาดพื้นอยู่ ไหมแมเข้าไปถาม
“แม่หญิงคนที่เปิ้นเข้ามาผ่อผ้าเมื่อเช้าโตหันก่อ”
“บ่อหันนะเจ้า คงจะกลับออกไปแล้วละเจ้า”
ไหมแมพยักหน้ารับรู้ พอใจ
ทางด้านเรริน สอดเส้นไหมดำเข้าในไหมเส้นผืน ศิริวัฒนา ยืนถัดไปจากกี่ทอผ้า
“ผ้าผืนนี้ความจริงจะต้องใช้ในงานพิธีแต่งงาน คนที่เป็นเจ้าสาวจะต้องทอผ้าส่วนนึง มอบให้เจ้าบ่าว อีกส่วนนึง เป็นของเจ้าสาวเอง เส้นไหมจะต้องเส้นเดียวไม่ขาดจากกัน หมายถึงความรักนิรันดร”
“แม้ว่าตัวจะต้องจากกัน แต่ความรักก็ยังคงอยู่ ไม่มีวันเสื่อมคลาย อย่างนั้นใช่ไหมคะ”
ศิริวัฒนายิ้มเศร้าแทนคำตอบ
“ส่วนขอองเจ้าบ่าวทอเสร็จไปแล้ว แต่ส่วนของเจ้าสาวยังไม่เสร็จ”
“หมายความว่าส่วนที่ฉันกำลังทออยู่นี่เป็นส่วนของเจ้าสาวใช่ไหมคะ”
ศิริวัฒนาพยักหน้า
“ฉันเห็นรอยเปื้อนในผืนผ้ามันเป็นรอยเลือดใช่ไหมคะ”
ศิริวัฒนานิ่ง
“เป็นรอยเลือดของเจ้านางมะณีรินใช่ไหมคะ”
เทียนดับวูบลงทันทีเหมือนถูกเป่าลมให้ดับ เรรินหันขวับไปมอง
“คุณควรจะซ่อนตัวเสียก่อน”
เรรินตกใจ ทำยังไงดี...ช่างไฟเปิดประตู เข้ามาในห้อง ทุลักทุเลกับลังอุปกรณ์เครื่องมือ เปิดไฟฉาย มองหาสวิชไฟ และพบสวิชไม่ไกลจากประตู ทดลองกดเปิดไฟ แต่ก็ไม่ติด
“สงสัยจะแค่หลอดขาด”
ช่างไฟเดินไปที่โคมซึ่งห้อยลงมาจากเพดานถอดหลอดไฟออกมาตรวจดู เรรินที่ซ่อนตัวอยู่ ลุ้นระทึก
(จบตอนที่ 4)
อ่านต่อวันพรุ่งนี้