(ติดตามอ่านได้ทาง www.manager.co.th ทุกวัน เวลา 09.30 น.)
รอยไหม ตอนที่ 3
ลมพัดแรงกระโชกเข้ามาทางหน้าต่าง จนบานหน้าต่างกระแทกปัง ผ้าม่านปลิวสะบัด บัวเงินที่นั่งเอนหลังหลับตาอยู่ ลืมตาขึ้นอย่างแปลกใจ ชายผ้าม่านสะบัดจนทำให้รูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะล้มคว่ำลง บัวเงินค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบรูปที่ล้มคว่ำนั้นขึ้นมา รูปนั้นคือ ภาพถ่ายเจ้าศิริวัฒนาในชุดแต่งกายเต็มยศ เจ้าชายรัชทายาทคุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่ มือบัวเงินลูบคลำรูปศิริวัฒนาด้วยความรัญจวนใจ
“น้องรู้ว่าเจ้าพี่บ่ได้จากน้องไปไหนไกล เจ้าพี่ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ แต่เมื่อใดเจ้าพี่จะเลิกโกรธเลิกเกลียดน้อง แล้วให้โอกาสน้องได้พบเจ้าพี่อีกสักครั้ง เลิกทรมานน้องด้วยวิธีนี้เสียทีเถิดเจ้าพี่”
บัวเงินประคองรูปศิริวัฒนาขึ้นกอดแนบอก
+ + + + + + + + + + + +
ในห้องทอผ้า เรรินนั่งก้มหน้าก้มตา กระแทกฟึมสลับพุ่งกระสวย เส้นไหมอย่างตั้งอกตั้งใจ ขณะเดียวกันนั้นเสียงของ ศิริวัฒนาก็ดังขึ้น
“เจ้าริน...เจ้าริน”
เรรินชะงักเพราะได้ยินเสียงเรียกหันไปทางภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ ศิริวัฒนา ยืนอยู่หน้าภาพเขียน เรรินอึ้งช็อค
“คุณ...คุณเอง ฉันจำคุณได้ คุณมาได้ยังไงกันคะ”
“ผมอยู่ที่นี่”
“อยู่ที่นี่...แต่ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์นี่คะ คุณจะอยู่ได้ยังไงกัน...อ๋อฉันพอจะเข้าใจแล้ว...คุณเป็นเจ้าที่ใช่ไหม”
“ผม...อาจจะใช้คำไม่ถูกต้อง ความจริงต้องพูดว่า ผมเคยอยู่ที่นี่”
เรรินเข้าใจว่าคงเป็นลูกหลานของที่นี่
“คุณชอบ ทอผ้า....”ศิริวัฒนาถาม
“อยู่ในสายเลือดเลยเชียวค่ะ ฉันชอบทอผ้ามาตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข...ทำแล้วสบายใจ”
ศิริวัฒนายิ้มเศร้า
“คุณรู้ไหมว่า ไม่มีใครจะทอผ้าต่อจากคนที่ตายไปแล้วหรอก”
“คุณหมายถึงผ้าผืนนี้ใช่ไหมคะ”
“เธอจากไปเจ็ดสิบปีแล้ว”
“เรื่องความเชื่อแบบนั้นฉันก็พอจะทราบอยู่บ้าง”
“แต่คุณก็ทอ”
“ฉัน...ฉันไม่รู้สิคะ ฉันบอกไม่ถูกรู้สึกแต่ว่า ผ้าผืนนี้ยังทอไม่เสร็จและฉันก็อยากทอให้เสร็จ ฉันคิดว่า...เจ้าของผ้าผืนนี้คงรู้สึกเหมือนกับฉันเธอคงอยากให้มีใคร สักคนทอผ้าผืนนี้ ให้เสร็จ”
ศิริวัฒนาเศร้าจัดฝืนยิ้ม
“ยินดีนัก เจ้าริน...อ้ายยินดีนัก”
เรรินไม่เข้าใจ คำถามเกิดขึ้นมามากมาย
“ฉันชื่อเรริน คุณเรียกฉันว่าอะไรนะคะ ฉันฟังไม่ถนัด”
เวลาเดียวกันนั้น ไหมแม เดินกลับมาตามทางเดินที่มืดทึมสลัวจนถึงหน้าห้อง ทอผ้าแล้วเปิดประตูเข้าไป ไหมแม เข้ามาในห้องแล้วตะลึงตาค้าง เรรินนั่งอยู่ที่กี่ทอผ้า กำลังพุ่งกระสวยสอดเส้นไหม
“ตายแล้ว...คุณเรริน นั้นคุณทำอะไรของคุณ”
เรรินเงยหน้าขึ้นตกใจ
“คุณ...คุณ...ทอผ้า"
“ค่ะ...ฉัน…”
เรรินหันไปทาง ศิริวัฒนา แต่ก็ไม่เห็นเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว
“ไม่ได้นะค่ะคุณเรรินคุณทำอย่างนี้ไม่ได้”
ไหมแมปราดเข้ามาดึงตัวเรรินให้ลุกออกมาจากกี่ทอผ้า
“ผ้าผืนนี่เจ้าของเก่าตายไปแล้วนะตายไปนานมากแล้วด้วย เขาถือกัน ไม่มีใครทอผ้าต่อจาก คนที่ตายไปแล้วหรอก เพราะมันจะทำให้เกิดแต่เรื่องร้ายๆขึ้นกับคุณ”
“คุณไหมแม...ฟังฉันนะคะ”
“คุณรีบออกไปจากที่นี้เดี๋ยวนี้เลยดีกว่าค่ะ”
ไหมแมดึงตัวเรรินออกมา แล้วคล้องกุญแจ ไขล็อคประตูทันที
“ฉันไม่น่าทิ้งคุณไว้คนเดียวเลย...เอาเถอะค่ะฉันจะถือว่าคุณรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็แล้วกัน”
“ฉันเสียใจ นะคะ ฉันไม่รู้ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับฉัน แต่ฉันรู้สึกอย่างเดียวว่า ฉันจะต้องทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ ให้ได้”เรรินพยายามอธิบาย
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันยอมให้คุณทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด เท่าที่ฉันพาคุณมาดูผ้าผืนนี้ ก็ผิดมากอยู่แล้ว ขืนยอมให้คุณทอผ้านั่นด้วย เจ้าของที่นี่รู้เข้าฉันต้องถูกไล่ออกแน่ๆ เชิญออกไปเถอะค่ะ”
+ + + + + + + + + + + +
เรรินถูกไหมแมต้อนให้เดินออกมา ไหมแมเดินคุมเชิงต้อนเรรินออกมาถึงข้างนอกหน้า พิพิธภัณฑ์ ใกล้ที่เรรินจอดรถจักรยานไว้
“ฉันไม่น่าพาคุณไปดูผ้าผืนนั้นเลย ไม่น่าเลยจริงๆ”ไหมแมบ่นอย่างไม่สบายใจ
“ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร ขอร้องละนะค่ะคุณไหมแม ให้ฉัน...”
เรรินยังไม่ทันจะพูดว่าทอผ้าต่อให้เสร็จ ไหมแมก็สวนขึ้นทันที
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่าย ขอร้องคุณไปซะเถอะค่ะ ก่อนที่ทั้งคุณและฉันจะต้องเดือนร้อน”
ไหมแม เดินและออกไป เรริน ละล้าละลัง ก่อนจะเดินกลับมาที่จักรยานที่จอดอยู่แล้วหันกลับไปมองที่ตัวคุ้มโบราณ ทันใดนั้นเธอเห็นศิริวัฒนายืนมองอยู่ที่หน้าต่างชั้นบน
“คุณเป็นใครกันแน่”เรรินรำพึง
ไหมแมยังยืนคุมเชิงอยู่ไกล ๆ
“คุณไหมแม ผู้ชายคนนั้นเขายังไม่เห็นว่าอะไรฉันเลย”เรรินตะโกนบอก
ไหมแมมองไปที่คุ้มเจ้าหลวง แล้วเหวอ เพราะไม่เห็นใคร
“คุณพูดอะไรของคุณ”
“ก็ผู้ชายคนนั้น”
เรรินชี้ไปที่หน้าต่างชั้นบน แต่ต้องชะงักเอง เพราะไม่เห็นเขาคนนั้นแล้ว ไหมแมส่ายหน้ายัยคนนี้ต้องเพี้ยนๆ แน่ ก่อนจะกลับเข้าอาคารพิพิธภัณฑ์ไป
ในห้องทอผ้า...
ศิริวัฒนาเข้ามาลูบคลำผ้าไหมลายวิจิตร ที่ถูกทอค้างเอาไว้ อย่างนุ่มนวล
“พี่ยินดีนัก เจ้ารินของพี่ เจ้ากลับมาเพื่อพี่แท้ๆ”
+ + + + + + + + + + + +
ที่ร้านกาสะลอง....
สุริยวงศ์ ช่วยงานเด็กๆ อยู่ในครัว รถวงพระจันทร์ เล่นเข้ามาจอด วงพระจันทร์ ลงจากรถ เห็นรถสุริยวงศ์จอดอยู่ข้างๆแน่ใจว่าเจอตัวแน่ เตรียมเดินเข้าร้าน พนักงานสะกิดสุริยวงศ์
“ถ้าคุณสุริยะไม่อยู่นี่ ใครๆก็ต้องคิดว่า เปิ้นแอบมาสอดแนมร้านเราแหงๆและละครับ มาทุกวัน”
“พูดเรื่องอะไร”สุริยวงศ์งงๆ
“เรื่องแขกของคุณสุริยะ ไงครับ”
พนักงานชี้ให้คุณสุริยวงศ์ดูวงพระจันทร์ที่กำลังเดินเข้าม สุริยวงศ์เซ็งๆ
“ทำไมตื๊อยังงี๊หว่า”สุริยวงศ์วางทัพพีทันที“ใส่เกลือลงไปแล้วนะ ช่วยชิมแทนฉันด้วย”
“คุณสุริยะจะรับแขกข้างนอก เหรอครับ”
“นายน่ะแหละต้องรับแขกแทนฉัน”
สุริยวงศ์รีบล้างมือเช็ดมือ แล้วลัดเลาะออกด้านหลังร้าน วงพระจันทร์ เข้ามาจากทางหน้าร้านมองหา
“อ้าว...คุณสุริยะล่ะ”
“คุณสุริยะบ่อยู่ครับ”พนักงานบอก
“เด็กหน้าร้านบอกฉันว่าเขาอยู่หลังร้าน”
สุริยวงศ์ขึ้นรถ
“ตอนนี้บ่ อยู่แล้วครับ”
“จะไม่อยู่ได้ยังไง ก็ฉันเห็นกับตาว่ารถเขาจอดอยู่โน่น”
“แต่ตอนนี้ บ่ มีจอดแล้วครับ”
วงพระจันทร์มองไปก็ตกใจเมื่อเห็น รถสุริยวงศ์ แล่นออกไปต่อหน้าต่อตา
“ไปเรียกเขาเอาไว้ซิ เร็ว ๆ”
“บ่ ทัน แล้วครับ”
“เขาไม่รู้รึไง ว่าฉันมา” วงพระจันทร์โวยวายอย่างโมโห
“ผมว่า เพราะรู้มากกว่าครับ”พนักงานพูดเบาๆ
วงพระจันทร์ปรี๊ดทันที
“แกว่าอะไรนะ”
พนักงานก้มหน้าลงทันที วงพระจันทร์มองตามรถไปอย่างหงุดหงิด
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์ ขับรถไปบนท้องถนน ขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์ ที่วางไว้ข้างตัว ดังขึ้น สุริยวงศ์ รู้ดีว่าใครโทรมา ไม่คิดจะรับสาย ปล่อยให้โทรศัพท์ ดังอยู่อย่างนั้นแล้วถอนใจเบื่อหน่าย
วงพระจันทร์ หัวเสียอย่างหนักที่สุริยวงศ์ไม่รับสาย
“เปิ้นคง บ่ ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วยนะครับ”พนักงานบอกเรียบๆ
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี”วงพระจันทร์ตวาด
“คุณวงพระจันทร์จะออกไปดื่มกาแฟ คอยข้างนอก บ่ ครับ ในนี้มันร้อน”
วงพระจันทร์จ้องหน้าพนักงานอย่างเอาเรื่อง
“นี้แกกล้าไล่ฉันงั้นเหรอ แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
วงพระจันทร์ตวาดแว๊ด แล้วกดโทรศัพท์หาสุริยวงศ์อีก
โทรศัพท์ยังดังไม่หยุด สุริยวงศ์ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่คราวนี้กดรับสาย
“ครับพี่วัน”
“พี่โทรหาเธอพักใหญ่แล้ว มันเรื่องอะไรไม่ยอมรับสายจ๊ะ”
“สุมาเต๊อะครับ ถ้ารู้ว่าเป็นสายพี่วันผมคงรับไปนานแล้ว”
“แล้วตอนนี้ อยู่ที่ไหนจ๊ะ รีบเข้าไปหาคุณย่าเดี๋ยวนี้เลย คุณย่าให้ละอ่อนโทรมา บอกให้เราเข้าไปหาให้ได้ พี่ก็ว่าเธอเดาไม่ผิดหรอก ต้องเป็นเรื่องวงพระจันทร์นะแหละ”
“สงสัยว่าผมคงต้องใช้วิธีที่พี่วัน แนะนำจริงๆแล้วละครับ”
สุริยวงศ์ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย
ด้านเรรินขี่จักรยาน กลับเข้ามาที่ ภูหมอก - ทะเลดาว วันดารา ออกมาต้อนรับ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณริน กลับมาซะเย็นเลย”
“อยู่แต่ในพิพิธภัณฑ์คุ้มเจ้าหลวงนั่นแหละค่ะพี่วัน ไม่ได้ไปไหนเลย”
“ชมผ้าโบราณจนอิ่มข้าวเลยละสิคะ”
“น่าภูมิใจแทนคนเชียงใหม่จริงๆ เลยที่มีพิพิธภัณฑ์นี้ ของมีค่าประเมินราคาออกมาเป็นเงินไม่ได้เลยจริง ๆ”
“น้อยคนนะคะที่จะประทับใจ เหมือนคุณรินพูดไปแล้วก็เหมือนนินทาคนไทยด้วยกันเอง คนไทยนอกจากไม่ชอบอ่านหนังสือแล้ว ยังไม่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์ด้วย รากเหง้าความเป็นตัวตนของตัวเองแท้ๆ คนสมัยนี้ไม่สนใจจะศึกษากันแล้ว อยากจะเอาอย่าง อยากเป็นแบบประเทศอื่น เป็นคนเชียงใหม่ แต่เลิกพูดคำเมือง มีผ้างามให้นุ่งก็ไม่นุ่ง ไปนุ่งอะไรก็ไม่รู้ ตามแฟชั่น ตายแล้ว นี่พี่พูดมากเกินไปรึเปล่า อย่าถือสาพี่นะคุณริน”
“พี่...รินเป็นคนชาตินิยมนี่คะ เห็นอะไรชัดหูชัดตา ก็คงทนไม่ค่อยได้”
“เชียงใหม่เหมือนกรุงเทพเข้าไปทุกทีแล้ว ใครเป็นอยากจะขึ้นมาแอ่ว”
“คงยังไม่สิ้นหวังชะทีเดียวมั่งคะ พี่วัน เพราะรินเห็นเด็กๆ นักเรียนผู้หญิงนุ่งซิ่น เด็กผู้ชายก็แต่งตัวพื้นเมือง กันอยู่เหมือนกัน”
“แหม ดีจัง คุณรินอุตส่าห์สังเกตด้วย”
“รินว่าน่ารักดีค่ะ”
“ผู้หลักผู้ใหญ่เปิ้นก็พยายามให้เด็กรุ่นใหม่รักษาวัฒนธรรมเอาไว้ แต่ก็ บ่ รู้นะเจ้า วัฒนธรรมมันควรจะปะปนในชีวิตจริงด้วย บ่ไจ้ อยู่แต่เฉพาะในพิพิธภัณฑ์”
เรรินยิ้มเห็นด้วยอย่างที่สุด แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้รีบถาม
“พี่วันคะ พี่วันพอจะรู้เรื่อง เจ้านางมะณีริน ไหมค่ะ”
“เจ้านางมณีริน คุณรินรู้จักเปิ้นได้จะได”
“คุณไหมแม เจ้าหน้าที่ที่ดูแลพิพิธภัณฑ์นะคะ เธอพารินเข้าไปชมผ้าผืนนั้นในห้องที่คุ้มหลวงค่ะ”
“คุณรินเห็นผ้าผืนนั้นแล้ว”
“ค่ะ งามมากนะคะ เสียดายที่ทอไม่เสร็จ”
“เจ้า น่าเสียดายมาก มันเป็นเรื่อง ที่ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ไหมแมเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างล่ะคะ”
“เธอเล่าแค่ว่า เจ้านางมณีริน เป็นเจ้าหน้าที่จากเชียงตุง ที่ถูกส่งตัวให้มาอภิเษกกับเจ้าชายที่เชียงใหม่ค่ะ”
“ผ้าผืนที่ทอไม่เสร็จที่คุณรินเห็นนั่นนะ ความจริงเป็นผ้าที่ต้องใช้ในพิธีอภิเษกของเปิ้นเจ้า”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ท่านถึงได้...”
วันดาราเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง...
“เจ้านางมณีริน เปิ้นเป็นเจ้าหญิงมาจากแคว้นเชียงตุง เปิ้นเป็นคู่หมั้นของเจ้าศิริวัฒนา เจ้าชายรัชทายาทของเชียงใหม่ เปิ้นถูกหมั้นหมายกันหลายปีดีดัก ตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนเจ้านางเติบใหญ่ เปิ้นก็เลยถูกส่งตัวให้มาแต่งงาน แต่พอมาถึง เปิ้นกลับไปฮักกับเจ้าศิริวงศ์เข้า เจ้าศิริวงศ์เปิ้นเป็นน้องชายเจ้าศิริวัฒนา เจ้าความฮักของเปิ้นจึงเป็นความรักต้องห้าม รักกันมากแค่ไหน ก็แต่งกัน บ่ ได้ เกิดเป็นเจ้าแล้ว ต้องมีหน้าที่ เชียงตุงส่งเจ้านางมณีรินมา ล้านนา เพื่อแต่งงานกับเจ้าศิริวัฒนา เป็นเหตุผลทางการเมือง เปิ้นจึงบ่ มีทางเลือกมากนัก”
“แล้วยังไงต่อคะ พี่วัน”
“ก่อนเปิ้นจะแต่งงานเพียงเดือนเดียว เกิดอุบัติเหตุภัยแรงขึ้นกับเจ้าศิริวงศ์ เรือของเปิ้นล่มในน้ำปิง เจ้าศิริวงศ์ เปิ้นตายในกระแสน้ำ ไม่มีใครช่วยได้ทัน”
“น่าสงสารจังเลยนะคะ”
“แต่มันก็น่าแปลกนะคะคุณริน เพราะหลังจากนั้น งานพิธีระหว่าง เจ้านางมณีรินกับเจ้าศิริวัฒนา ก็ถูกกำหนดขึ้นทันที ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้กับเจ้าศิริวงศ์ และเจ้านางมะณีรินก็ลงมือทอผ้า เพื่อให้ตัวเองกับเจ้าบ่าวใช้ในวันงาน”
“ผ้าผืนนั้นน่ะเอง”
“เปิ้นสิ้นใจ ก่อนจะทอผ้าเสร็จ เพราะอะไร บ่ มีผู้ใดฮู้ดอกเจ้า คนเก่าๆ บางคนก็ว่าเปิ้นตรอมใจตาย แต่บางคนก็ว่ามีคนในคุ้มเจ้าหลวงวางยาพิษเจ้านางมณีริน”
เรรินฟังแล้วอึ้ง ขนลุกเย็นยะเยือก ขึ้นมาจับใจ
+ + + + + + + + + + + +
บ่าวนำสุริยวงศ์ เข้ามาในบ้านบัวเงิน
“แม่คุณเจ้า คุณสุริยวงศ์มาแล้วเจ้า”บ่าวบอก แล้วคลานเลี่ยงไป
สุริยวงศ์ คลานเข้ามากราบบัวเงิน
“พี่วันโทรมาบอกผมว่าคุณย่า ต้องการพบ”
“เจ้าน่าจะรู้ดีว่าเรื่องอะไร”
“วงพระจันทร์มาฟ้องคุณย่า เหรอครับ”
“เจ้าทำจะอี้ เป็นใครเข้าก็ต้องคิดว่า เจ้ารังเกียจรังงอน”
“คุณย่าครับ ผมบ่ได้คิดอะหยังกับวงพระจันทร์ นอกจากความเป็นเพื่อนกันเท่านั้นครับ”
“เจ้ากำลังจะบอกย่าว่า เจ้ามีแม่หญิงที่หมายตา เอาไว้แล้ว ยังงั้นสิ”
“บ่ ดอกครับ คุณย่า”
“แต๊ก๊า”
“ถ้าเกิดว่ามี ยังไงผมก็ต้องพาตัวมา...ผมรู้ครับว่าคุณย่าเป็นห่วงผม ผมจะบ่ ยะอะหยัง หื้อคุณย่าผิดหวังดอกครับ”
“หื้อโอกาส วงพระจันทร์มันบ้างอย่างใดเสีย นั้นก็สายเลือดดี สืบโคตรไปได้ถึงปู่ย่าตาทวด ย่าหันมานักแล้ว ไอ้ที่ฮักกันจะเป็นจะตาย สุดท้ายมันก็ บ่ ได้ครองฮักกัน”
“คุณย่าหมายถึง ท่านปู่ศิริวัฒนาใช้ก่อครับ”
บัวเงินนิ่งไปชั่วขณะ
“ไปฮักคนที่บ่ ได้ฮักตัว มองบ่ หันความฮักที่อีกคนนี้ มันก็บ่ ต่างจาก บ่มีหัวใจหรอก”
น้ำเสียงนั้นมีความแค้นแฝงอยู่จนสุริยวงศ์สัมผัสได้
+ + + + + + + + + + + +
ที่คอนโด สรัญญา...
สรัญญา โยนเสื้อผ้าที่ถอดออกจากตัวลงตะกร้ากำลังจะอาบน้ำ เสียงกริ่งประตูดังขึ้น สรัญญากระชับเสื้อคลุมอาบน้ำ แล้วเดินมามองผ่านช่องตาแมว ที่ประตู ยิ้มพอใจ แล้วเปิดประตูอย่างไม่ลังเล ธนินทร์ ยืนยิ้มกริ่มอยู่หน้าประตู
“มาหาเพื่อนกินข้าวเย็นด้วยซะหน่อย”
ธนินทร์ก้าวเข้ามาในห้อง
“คู่หมั้นไม่อยู่แต่วันสองวัน ก็เหงาขนาดนี้แล้วเหรอคะ”
“พูดมากน่ะ มีให้กินรึเปล่าล่ะ ไม่มีจะได้ ไปที่อื่น”
“คุณธนินทร์อุตส่าห์มาทั้งที ทำไมจะไม่มีล่ะคะ ว่าแต่คุณอยากจะกินอะไรก่อนล่ะ”
สรัญญาก้าวเข้ามาเผชิญหน้าธนินทร์ ของหวานหรือว่าของคาว สรัญญาเอานิ้วเขี่ยแกว่งเนคไทธนินทร์เล่น ธนินทร์ กระชากดึงตัวสรัญญาเข้ามากระแทกอกอั๋นตัวเอง ประจุไฟฟ้าขั้วบวก-ลบ ทำงาน
“เชื่อแล้วค่ะ ว่าหิวจริง ๆ ตะกรุมตะกรามยังงี๊คงอดโซมาหลายวัน”
ธนินทร์ ผลักสรัญญาเข้าไปที่เตียง หญิงสาวหัวเราะระรื่นอย่างถูกใจ
+ + + + + + + + + + + +
เรรินยังวนเวียน คิดถึงแต่เรื่องผ้าที่ทอไม่เสร็จ กับ เจ้านางมะณีริน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จนเรรินสะดุ้ง คุ้ยหาโทรศัพท์ออกมา จากถุงย่าม และกดรับสายเมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์เข้ามา
“คะแม่”
“แม่โทรหารินแต่เช้า แต่รินก็ปิดเครื่อง แม่ใจคอไม่ดีเลย”
“รินขอโทษค่ะแม่ ที่ทำให้แม่เป็นห่วง พอดีวันนี้รินมีธุระต้องทำจนลืมไปเลยค่ะว่าปิด โทรศัพท์เอาไว้”
“เมื่อวานตอนเย็น ธนินทร์เขาก็มาบ้านเรานะลูก ซื้อของกินเข้ามาเต็มไม้เต็มมือไปหมด คุยกันไปคุยกันมา เขาก็เหมือนอยากจะขอโทษรินนะลูก”
เรรินนิ่งเงียบ
“ริน...แม่สงสารธนินทร์เขานะลูก เมื่อไหร่ลูกจะกลับมาล่ะ”
“แม่ค่ะ พอดี รินมีงานสำคัญต้องทำ คงอีกหลายวันกว่ารินจะกลับกรุงเทพค่ะ”
“งานอะไรลูก แล้วที่ไปพักอยู่น่ะ อยู่กับใคร”
“แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินหรอกค่ะ รินสบายดี แล้วรินจะโทรมาหาแม่เองนะคะ เท่านี้ก่อนนะคะแม่ รินรักแม่ค่ะ”
เรรินกดปิดโทรศัพท์
“ริน...ริน”
พรรณวรินทร์จำใจกดวางสาย
ทางด้านเรริน เทยาแก้ไมเกรน ลงฝ่ามือกินยาและดื่มน้ำตาม เรรินวางแก้วน้ำลงมองแหวนหมั้นในนิ้วนางข้างซ้าย แล้วค่อยๆ ถอดแหวนวงนั้นออกจากนิ้ว อย่างไม่ได้รู้สึกเสียดายอาวรณ์เหมือนเตือนบอกตัวเองให้เข็มแข็งและไปให้ถึงจุดจบที่ตั้งใจเอาไว้ให้ได้
+ + + + + + + + + + + +
ธนินทร์กำลังใส่รองเท้า ขณะที่สรัญญา เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ
“นึกว่าคืนนี้คุณจะนอนที่นี้ซะอีก”
“พรุ่งนี้ผมมีประชุม แต่เช้า”
“นึกว่าจะรับกลับไปเฝ้าคู่หมั้นซะอีก”
“พูดถึงริน เขาทำไม”
“หมั้นกันตั้งหลายปี ยังไม่ได้แต่ง คุณยังอุตส่าห์รออีกเหรอ ใคร ๆ เขาก็พูดกันว่าระหว่างคุณกับเรริน ดูยังไง๊ เคมีมันก็ไม่ทำงาน ฉันไม่ได้แช่งนะ แต่ฉันว่าคุณกับเรริน เป็นคู่ที่ไปด้วยกันไม่รอดหรอก”
“ต้องคู่กับเธองั้นสิ เคมีถึงจะทำงาน”
“ก็รึไม่จริง อย่างน้อยเวลาคุณเครียดไม่รู้จะไประบายที่ไหน คุณก็คิดถึงฉันทุกทีไม่ใช่เหรอ”
ธนินทร์เงียบไป
“หรือว่าที่ดึงเกม พยายามรักษาสภาพของคู่หมั้นเอาไว้ นี้ก็แค่ขอให้ได้กินตับยัยเรริน ซะก่อน”สรัญญาหัวเราะ “ระวังให้ดีเถอะ ถึงเวลาจะได้กินขึ้นมาจริงๆ คุณอาจจะต้องหาขวานมาจาม เปิดทางเพราะหินปูนมันจับจนหาทางเข้าไม่ได้แล้ว”สรัญญาหัวเราะ
“สรัญญา...ถึงรินเขาเป็นยังไง อย่างน้อยเขาก็มีค่ามากกว่าผู้หญิงที่ทำตัวเป็นผู้หญิงชั้นต่ำอย่างเธอ”
ธนินทร์เดินออกไปนิ่งๆ สรัญญาตาลุกเป็นไฟอย่างแค้นขัดใจ
ตอนที่ 3 (ต่อ)
สุริยวงศ์ลงมาหาวันดาราที่รีสอร์ท เขาลงจากรถอย่างเหนื่อยๆ พลางถอนใจ สุริยวงศ์เดินไปหาต้นปีบที่ดอกร่วงราวพราวเต็มพื้น เขาก้มเก็บดอกปีบบนพื้นขึ้นมาได้หลายดอก ดมกลิ่นหอมเย็น ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
อีกด้านของต้นที่ถูกต้นบังอยู่ เรรินนั่งเก็บดอกปีบจำนวนมาก ใส่ตะกร้า เรรินขยับลุกขึ้นหันมาพอดีก็ชะงักที่เผชิญหน้ากัน สุริยวงศ์ก็ตะลึง เพราะไม่คาดฝันว่าจะได้เจอเรรินอีก ทั้งสองพูดออกมาเกือบจะในเวลาเดียวกัน
“คุณ”
“คุณ...”
เรรินมองสุริยวงศ์
“คุณ...มาทำอะไรที่นี่คะ”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงวันดาราดังขึ้น
“เต็มตะกร้ารึยังคะคุณริน”
ทั้งคู่หันมามองวันดารา ที่เดินเข้ามาหา
“อ้าว...สุริยะ มาตั้งแต่เมื่อใด”
“เพิ่งมาถึงนี่แหละครับพี่วัน”
“คุณรินเจ้า นี่ สุริยวงศ์ น้องชาย ลูกพี่ลูกน้องพี่เอง เจ้า”
เรรินยิ้มให้
“นี่คุณเรริน เปิ้นมาพักที่นี่ได้ค่ำนึงแล้ว”
สุริยวงศ์มัวดีใจ จนพูดอะไรไม่ออก
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการค่ะ”
“ครับ...ครับ เช่นเดียวกันครับ”
“เอ๊ะ หมายความว่า จะได สองคนเคยพบกันก๊า”วันดาราแปลกใจ
“ค่ะพี่วัน ตอนไปแม่แจ่ม รินตกรถเที่ยวสุดท้าย ก็เลยได้อาศัยรถคุณสุริยวงศ์เข้าเชียงใหม่ค่ะ”
“อ๊อ...เป็นจะอี้”
สุริยวงศ์ใจเต้นแรงจนพูดอะไรไม่ออก วันดารามองน้องชายอย่างแปลกใจ
+ + + + + + + + + + + +
วันดารารอคอยให้น้ำในกาเดือด แล้วตักใบชาลงในกาน้ำชาใบย่อม สุริยวงศ์เตรียมโถน้ำตาล เหยือกนมและถ้วยชามาวางอย่างกระตือรือล้น
“พี่วันว่าคุณรินเธอจะดื่มชาแบบไหนครับจะใส่น้ำตาล ใส่นม หรือไม่ใส่อะไรเลย”
“พี่จะไปรู้ได้จะใด ดูเธอตื่นเต้นจังเลยนะ รับแขกมาก็ไม่ใช่น้อย”
“โธ่ พี่วันครับ พี่วันจำได้ไหมที่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเจอ”
“ที่เธอถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะลืมแม้กระทั่งถามชื่อเธอนะเหรอ”
“ครับพี่วัน”
“แล้วเธอว่าใครสวยกว่ากันล่ะ แม่หญิงของเธอ หรือว่าคุณรินของพี่”
สุริยวงศ์หน้าแดง
“พี่วันครับ ช่วยเอาน้ำร้อนรวกแขนผมที ผมจะได้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป”
“อะไรของเธอ”
“คุณรินของพี่ ก็คนเดียวกับแม่ญิงที่ผมเจอนะแหละครับ”
“อะไรนะ”วันดาราเผลอเสียงดัง
“เบาๆ สิครับพี่วัน” วันดาราขำ
“พุธโท ธัมโม สังโฆ น้องชายพี่นี่ตาแหลมเหมือนกันนี่นะ คุณรินเปิ้นน่าฮัก ถูกใจพี่ขนาด”
สุริยวงศ์เขินจัด วันดาราหัวเราะขำๆ ชกถาดชา-กาแฟไปวางที่โต๊ะเรริน สุริยวงศ์ช่วยยกแก้วไปวางให้ แล้วมองว่าเธอจะเลือกดื่มอะไร เรรินหยิบมะนาวฝานชิ้นบางใส่ลงถ้วยชา สุริยวงศ์ยิ้มปลื้ม
“ยิ้มอะหยังสุริยะ”วันดาราถาม
"สุดท้ายผมก็เดาถูก ว่าคุณเรรินดื่มชาใส่มะนาว”
“เอิล เทรย์ ก็ต้องมะนาวสิคะ ถึงจะเข้ากัน”เรรินหันมาบอก
“คุณรินเปิ้นเป็นอาจารย์สอนทอผ้าในมหาวิทยาลัย”วันดาราบอก
“มิน่าล่ะ คุณรินถึงได้ดั้นด้นไปถึงแม่แจ่ม” เรรินยิ้ม
“ฉันไปทุกที่ที่มีชาวบ้านทอผ้าแหละค่ะ ไปกินอยู่เป็นเดือนๆ กับชาวบ้านที่คูบัว ราชบุรีเพื่อเรียนทอผ้า ฉันก็เคยมาแล้วนะคะ” สุริยวงศ์ทึ่ง
“ยังงี๊ ผ้าทอเมืองไทย ก็คงยังไม่สิ้นหวังละมังครับ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนรุ่นใหม่อย่างคุณรินช่วยสืบสาน”
“วันนี้คุณรินเธอก็ไปแอ่วเกิดถะหวามานะสุริยะ”วันดาราบอก
“ถ้าคุณรินชอบชมผ้าโบราณ ไปที่นั้นไม่ผิดหวังหรอกครับ เพราะมีผ้าโบราณให้ชมมากกว่าพิพิธภัณฑ์ สถานแห่งชาติด้วยช้ำไปครับ”
“แต่ละชิ้นประเมินค่าไม่ได้เลยค่ะ”วันดารานึกอะไรได้
“น่าพาคุณรินเปิ้นไปท่อผ้าของคุณย่าเปิ้นเน้อสุริยะ” สุริยวงศ์เห็นด้วย
“นั่นสิครับพี่วัน”สุริยวงศ์หันไปบอกเรริน “คุณย่าผมท่านยังเก็บผ้าโบราณของท่านเองเอาไว้ตั้งหีบนึง ถ้าคุณรินอยากชม ผมจะพาไปก็ได้” เรรินตื่นเต้น
“อยากชมค่ะ ฉันอยากชม”
“งั้นพรุ่งนี้เช้า ผมจะมารับคุณรินนะครับ”
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก” เรรินยิ้มอย่างดีใจ ขณะที่สุริยวงศ์มีความสุขมาก ที่จะได้ใกล้ชิดหญิงสาวที่เขาประทับใจ
+ + + + + + + + + +
บ่าวหิ้วถุงใส่ไก่ ทั้งตัวที่ถูกเชือดแล้วแต่ยังไม่ได้ถอนขนมาให้บัวเงินบนเรือน
“แม่คุณเจ้า ไก่ที่แม่คุณสั่งให้ข้าเจ้าไปซื้อได้มาแล้วเจ้า”บ่าวบอก
“เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ”บัวเงินเดินมาดู
“แม่คุณจะให้ยะแกงอะหยังเจ้า”
“ถามทำไม”บัวเงินถามห้วนๆ
“ไก่ยังบ่ได้ถอนขน ยังบ่ได้ควักเครื่องใน ออกเลยเจ้า ข้าเจ้าว่า...”
บ่าวยังพูดไม่จบ บัวเงินถลึงตาใส่
“บ่ ต้องมาสู่รู้ จะไปไหนก็ไป”
บ่าวคลานกลับออกไป บัวเงินหิ้วคอไก่ต่องแต่ง เดินเข้าไปในห้องผีอีเม้ย
“อีเม้ย มึงอยู่แถวนี้ก๊า”
ที่หลังโต๊ะ เครื่องเซ่นผี เสียงหายใจครืดคราดค่อยๆ ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ในความมือสลัว
“มากินอาหารของมึงเสีย” บัวเงิน โยนซากไก่ลงไปที่พื้น ไม่มีความเคลื่อนไหวใด อยู่ชั่วไม่ถึงอึดใจ แล้วจู่ๆ ซากไก่ก็เหมือนถูกกระชากหายลับเข้าไปในความมืด หลังโต๊ะ เครื่องเซ่น ตามมาด้วย เสียงฉีก แหวะ ควัก เนื้อไก่สดๆ กินอย่างมูมมาม บัวเงิน ยืนมองด้วยความชินชา หัวไก่ กระเด็นออกมาที่พื้นตามมาด้วย เครื่องในไก่ทั้งพวงสดๆ เหมือนถูกเหวี่ยงออกมา
“อดอยากปากแห้งจนน่าสมเพจแต๊ ๆนะมึง”
แขนผอมแห้ง มือดำสกปรก เล็บยาวโง๊งยื่นออกมา ตะบนพวงเครื่องในไก่กลับหายเข้าไปในความมืด ตามมาด้วยเสียงสวาปามอย่างมูมมามเอร็ดอร่อย บัวเงิน หมุนตัวจะกลับออกไปจากห้อง มือสกปรกของผีอีเม้ย เอื้อมมาจับข้อเท้าบัวเงินเอาไว้ บัวเงินหยุดเดิน
ผีอีเม้ยผมยาวสกปรก ปรกปิดใบหน้าที่ดำเป็นตอตะโก เลือดไก่ยังฉ่ำเลอะปากสกปรก ดวงตาของมันใหญ่ผิดปกติ เพราะมันแทบถลนตกนอกเป้า และที่สำคัญ มีแต่ตาขาวไม่มีตาดำ “บ่าวฮู้...ว่าทูนหัวของบ่าว บ่มีวันทอดทิ้งบ่าวดอกเจ้า”ผีอีเม้ยพูดออกมาเสียงแหบเย็นเหมือนเสียงผู้ชาย
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์ ทำอาหารพื้นเมืองล้านนา อย่างคล่องแคล่ว รวกลูกผักกวางตุ้ง และทำให้เสด็จน้ำ วันดาราเป็นลูกมือช่วยต้มถั่วลิสงคั่วหยาบๆ รวกผักกาด แล้วเคล้าเกลือ แล้วคลุกด้วยถั่วลิสงป่นหยาบ เรริน โผ่ลเข้ามาในครัว
“มีอะไรให้รินช่วยไหมคะพี่วัน”
“ใกล้จะเสร็จแล้วละเจ้า คุณริน วันนี้พ่อครัวใหญ่เปิ้นลงมือทำอาหารมื้อนี้ ต้อนรับคุณกรุงเทพเองเลยนะเจ้า”
“คุณสุริยะทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะ” สุริยวงศ์ยิ้มๆ
“ก็...พอทำกินได้นะครับ”
“คุณรินอย่าไปเชื่อนะเจ้า พ่อคนนี้ เปิ้นมักถ่อมตน เปิ้นมีร้านอาหารอยู่ในเวียงเจ้า ชื่อร้านกาสะลอง” เรรินตาโตแปลกใจ
“ร้านกาสะลอง ที่มีต้นปีบใหญ่ อยู่หน้าร้านนะเหรอคะ”
“คุณรินไปเห็นมาแล้วเหรอครับ”
“แวะเข้าไปอุดหนุนกาแฟมาถ้วยนึงแล้วต่างหากล่ะคะ ร้านสวยน่ารักมากเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“น้องชายพี่คนนี้เข้าเรียนจบด้านอาหารมากจากฝรั่งเศส เชียนะเจ้า เป็นนักออกแบบอาหาร”วันดาราชื่นชมน้องชายสุดๆ
“ฟู้ดสไตลิสต์น่ะเหรอคะ”
“นั่นแหละเจ้า ในเมืองไทยมีอยู่ไม่กี่คนหรอกนะเจ้า ที่จะเรียกตัวเองว่าฟันฟู้ดสไตลิสต์ได้” สุริยวงศ์ยิ้มเขินที่ถูกชม
“ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายหรอกครับ อาศัยครูพักลักจำเอามากกว่า อย่างอาหารที่ร้านก็เน้นอาหารเมืองนี่แหละครับ แต่ปรับหน้าตาให้ดูร่วมสมัยขึ้นมาหน่อยเท่านั้นเอง อย่างจานนี้ก็เป็นอาหารง่ายๆ คนเหนือทุกบ้านก็ทำกินกันทั้งนั้น แต่มันคงง่ายชะจน ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นจานเด็ด เพื่อสุขภาพ ได้หรอกครับ คุณรินจะลองชิมดูไหมครับ” วันดารากุลีกุจอหยิบส้อมส่งให้เรริน สุริยวงศ์ถือจานยำผักให้ เรรินม้วนผักกาดด้วยส้อม แล้วลองชิม
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“อร่อยค่ะ อร่อยมากเลย ปกติถ้ามีเวลารินก็ชอบทำอาหารเหมือนกัน สงสัยว่าวันหลังจะต้องขอถ่ายทอดวิชาจากฟู้ดสไตลิสต์คนนี้บ้างละค่ะ”
“ยินดีครับ ด้วยความยินดี อยู่เชียงใหม่นานๆ สิครับ ผมจะได้สอนให้ทำอาหารเหนือให้เป็นให้หมดเลย”
วันดาราเหล่มองน้องชาวทำนองว่า...น้องเรานี่ใช่ย่อย...ขณะที่เรรินวางใจและเป็นกันเองกับสุริยวงศ์ได้อย่างรวดเร็ว
+ + + + + + + + + + + +
วันดาราเดินออกมาส่งสุริยวงศ์ ถึงที่รถ สุริยวงศ์เฝ้าแต่ละล้าละลังชะเง้อมอง กลับไปทางห้องพักเรริน
“ฝากบอกคุณรินโตยเน้อครับพี่วัน ว่าวันพุกผมจะมารับซักแปดโมง”
“แปดโมงไม่สายไปเร้อ พี่ว่าคุณรินเปิ้นอยากผ่อผ้าโบราณของคุณย่าเปิ้นมากขนาดนี้
ตีสามสุริยวงศ์ก็มารับเปิ้นได้แล้วมั้ง”
“ตีสามก็ตีสามครับ”สุริยวงศ์ตอบอย่างพาซื่อ
วันดาราหัวเราะ
“เป็นเอามากนะโตนี่ ตีสามผู้ใดเปิ้นจะลุกขึ้นมาให้โตหัน แปดโมงเก้าโมงก็ทันเหลือแหล่กลัวแต่ว่าคนขับรถจะมาไม่ทันเพราะมัวนอนบ่หลับทั้งคืนน่ะสิ”
“พี่วันก็...”สุริยวงศ์อายที่ถูกแซว
“ไปได้แล้ว ขับรถดีๆเน้อ อย่ามัวใจลอยเดียวรถจะทิ่มตกดอยไป”
“พี่วันว่า คุณรินเปิ้นจะอยู่เชียงใหม่อีกนานก่อครับ”
“เปิ้นคงบ่กลับเมืองกรุงเทพวันพุกวันฮือดอก ถามจะอี้อยากหื้อเปิ้นกลับไปโวยๆ หรืออยากจะหื้อเปิ้นอยู่นานๆกันน้อ”
“พี่วันก็ ถามได้ ผมก็อยากจะหื้อเปิ้นอยู่นานๆสิครับ ยิ่งอยู่ตลอดไปได้ก็ยิ่งดี”
วันดาราเห็นน้องชายดูท่าทางมีความสุข ก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย
+ + + + + + + + + + + +
วันดารา นำผ้าซิ่นมาให้เรรินเลือกที่ห้องพัก เรรินรับผ้าซิ่นหลายชิ้นมาจากวันดารา
“คุณรินเลือกดูสิเจ้า ว่าชอบชิ้นไหนที่สุด”
เรริน คลี่ผ้าซิ่นดูทีละชิ้น
“ผ้าซิ่นไทลื้อผืนนี้ต้องเป็นไทลื้อเชียงคำแน่ๆเลยใช่ไหมค่ะพี่วัน”
“แต๊เจ้า คุณรินนี่เก่ง แค่ดูลายก็รู้เลย”
เรรินคลี่อีกผืน
“ซิ่นลาวครั่ง ผืนนี้ก็งาม”
วันดาราช่วยคลี่อีกผืนอวด
“ดูลายมุก ซิ่นศรีสัชนาลัยนี่สิคะ คุณริน”
“สีสวยจังเลยค่ะ สีเขียวอย่างนี้ย้อมยากยังกะอะไรดีนะคะพี่วัน” วันดาราคลี่อีกผืน
“ผ้ายกลำพูนผืนนี้ก็งาม”
“พีวันเก็บผ้าได้เยอะเหมือนกันนะคะ”
“ก็ไม่ถึงกับเยอะมากหรอกค้า คุณรินเลือกดูเถอะว่าชอบผืนไหนที่สุด วันพุกจะไปเจอคุณย่า จะได้ผ่อผ้าโบราณเปิ้น พี่อยากให้คุณรินนุ่งซิ่นไป คุณย่าเปิ้นเป็นคนเก่าคนแก่เปิ้นคง จะปลื้มใจที่คนรุ่นใหม่สนใจ ของเก่าของโบราณ บ่ได้ทอดทิ้ง เปิ้นจะได้เอ็นดู เลือกไปเถอะเจ้า”
“ขอบคุณค่ะพี่วัน แต่รินว่าเลือกอยากจังเลยเพราะงามทุกผืน”
“บ่ต้องเกรงใจพี่ดอกคุณริน”
“งั้นรินขอเลือกผ้าซิ่นแม่แจ่ม ผืนนี้ก็แล้วกันค่ะพี่วัน” เรรินลูบคลำผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่ม วันดารายิ้มพอใจ
+ + + + + + + + + + + +
ภูหมอก-ทะเลดาว เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว ในห้องเรริน ผ้าซิ่นแม่แจ่มที่เรรินเลือกเอาไว้ ถูกพับวางไว้มุมนึง เรรินกำลังหลับลึกสบาย
“เจ้าริน...เจ้าริน”เสียงศิริวัฒนาดังขึ้น
เรรินค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นไม่ได้ตกใจตื่น เรรินนิ่งฟังจนแน่ใจว่าได้ยินเสียงเรียกชื่อตน เรรินขยับลุกขึ้นและเดินออกไปที่หน้าต่าง แหวกม่านออกดูทอดสายตาไปในสวนดอกไม้ เห็น ศิริวัฒนายืนมองมา เรรินไม่มีความรู้สึกกลัว ตรงกันข้ามกลับอยากเจอและพูดคุยเพราะมีคำถามที่ค้างอยู่ในใจ เรรินถอยออกมาจากหน้าต่างมือเรริน หยิบผ้าคลุมไหล่ ดึงผ้าที่วางไว้ออกไป
ศิริวัฒนายืนยิ้มสงบรออยู่มุมนึง เรรินเดินเข้ามาหา ทิ้งระยะห่างพอประมาณ
“คุณคะ คุณยังไม่ตอบฉันให้เคลียร์เลยว่าคุณเห็นใครกันแน่ ตั้งแต่ฉันมาเชียงใหม่หนนี้ดูเหมือนว่าคุณจะติดตามฉันไปทุกที่เลย”
“แต่คุณก็ไม่ได้รู้สึกกลัวผมใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้รู้สึกว่าคุณประสงค์ร้าย แล้วทำไมฉันจะต้องกลัวคุณด้วยล่ะคะ”
“ยินดีนัก เจ้าริน อ้ายยินดีนัก วันนี้คุณทอผ้าต่อได้ไม่น้อยนี่”
“มันเป็นช่วงที่เป็นผ้าพื้น ยังไม่ได้เข้าลายขิดกับจก ก็เลยไม่ยาก”
“แล้วอีกนานแค่ไหนถึงจะทอเสร็จทั้งผืน”
“ฉันเองก็ไม่รู้ ฉันบอกคุณไม่ได้หรอก เพราะลายไม่ง่าย และที่สำคัญ เขาห้ามไม่ให้ฉันเข้าไปทอผ้าผืนนั้นอีก”
“แต่คุณก็จะกลับเข้าไปให้ได้ใช่ไหม”
“ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน...แต่ฉันไม่เปลี่ยนใจแน่ ยังไงฉันก็จะทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จให้ได้”
“ไม่ว่าจะนานแสนนานแค่ไหน เจ้ารินก็เป็นคนมุ่งมั่นไม่เคยเปลี่ยนแปลงยินดีนัก อ้ายยินดีนัก”
ศิริวัฒนา เดินขยับออกไป
“แล้วเจ้านางมณีรินท่านตายเพราะอะไรคะ คุณคะ”
เรรินเดินตามออกไป บริเวณที่มีดอกพุดบานขาวโพลน
“พี่วันเล่าให้ฉันฟังว่า ไม่แน่ใจว่า เจ้านางตรอมใจตาย หรือถูกวางยาพิษกันแน่”
“ไม่ว่าจะตายยังไงมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ”
“แล้วถ้าท่านถูกวางยาพิษ ใครเป็นคนคิดร้ายต่อท่านขนาดนั้นล่ะคะ”
“กิเลส ตัณหา ราคะทำให้คนทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวเอง แล้วคุณจะเห็นเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณจะเข้าใจเองว่าทำไมมันต้องจบลงอย่างนั้น”
ศิริวัฒนา เอื้อมมือไปเด็ดดอกพุดบานแย้มดอกใหญ่ออกมาจากต้น และยื่นให้เรริน
“คุณชอบดอกเก็ดถะหวาไหม”
เรรินรับดอกพุดมา
“ฉันชอบดอกไม้ทุกอย่างค่ะ”
“แต่คุณก็ชอบดอกกาสะลองมากกว่า”
“คุณรู้ความรู้สึกนึกคิดของฉันได้ยังไง”
“จะนานแสนนานแค่ไหน เจ้ารินก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”ศิริวัฒนายิ้มเศร้า
เรรินก้มลงมองดอกพุดในมือ
“ฉันว่ากลิ่นของมันออกจะฉุนเฉียวไปหน่อย ดอกกาสะลองหอมเย็นกว่า เอต้นของมันอยู่ทางโน้นใช่ไหมคะ”
เรริน หันไปทางต้นปีบ แต่เมื่อหันกลับมาก็ไม่พบศิริวัฒนาแล้ว
“คุณ ...คุณคะ...คุณ...”
เรรินหมุนตัวมองหาศิริวัฒนาไปรอบๆแต่ก็ไม่พบ
+ + + + + + + + + + + +
เรรินหลับอยู่ กระสับกระส่ายจนลืมตาตื่นขึ้น
“คุณคะ”
เรรินงุนงงตัวเองที่นอนอยู่ได้ยังไง ขยับลุกขึ้นนั่ง
“ฝันอะไรเนี่ยเรา เหมือนจริงไม่มีผิด”
เรรินคาใจ ลุกขึ้นจากเตียง เดินไปคลี่ผ้าม่านปิดออก มองออกไปข้างนอก แต่ในสวนไม่มีใคร เรรินจะกลับมาที่เตียง แล้วต้องชะงัก เมื่อผ้าซิ่นแม่แจ่มที่พับวางเอาไว้ เตรียมใส่พรุ่งนี้ มีดอกพุดที่ศิริวัฒนานั้นเด็ดให้ วางไว้บนผ้าซิ่น เหมือนอยากจะให้เหน็บผมไปด้วยในวันพรุ่งนี้
เรรินอื้ออึง...มันไม่ใช่ความฝัน...ความจริงกับความฝันทำไมมันถึงทับซ้อนกันอยู่
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
สุริยวงศ์เดินยิ้มแจ่มใสเข้าที่รีสอร์ท มือถือดอกปีบ 4-5 ดอกติดมือเข้ามาด้วย วันดาราออกมารับ ไม่วายแซว
“แหม...จะชวนกินข้าวเช้าด้วยกันซะหน่อย แต่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าคงกิน บ่ ลงดอก ใช้ก๊าสุริยะ”
“ผมดื่มกาแฟมาถ้วยนึงแล้วละครับ แล้วคุณรินละครับ”
“เปิ้นออกมาเดินเล่นแต่เช้าแล้วนะ คงกำลังแต่งตัวอยู่”
สุริยวงศ์มองตะลึงไปทางด้านหลังวันดารา เมื่อเห็นเรริน นุ่งซิ่นแม่แจ่ม สวมเสื้อผ้าฝ้ายทอมือสีครีมสะอาด รวบผมทิ้งมวยหลวมๆ งามเรียบง่ายจนน่าตะลึง
“สวัสดีค่ะ คุณสุริยะ”
สุริยวงศ์ประหม่า จนแทบพูดไม่ออก
“สวัสดีครับ”
“คุณรินย้ายสำมโนครัวมาเป็นคนเชียงใหม่เต๊อะ มาช่วยนุ่งซิ่นเมืองทุกวัน ให้เป็นเกียรติเป็นศรีแม่หญิงไทยหน่อย”วันดาราเย้าแหย่
เรรินหัวเราะ วันดาราหันไปถามสุริยวงศ์
“งามก่อสุริยะ”
สุริยวงศ์ยิ้ม
“งามครับ งามแต๊ๆ”
“ผ้าซิ่นของพี่วันงามมากกว่าค่ะ”
“งามทั้งซิ่นงามทั้งคนสวมน่ะแหลเจ้า แต่นี่ถ้าจะให้ครบเครื่องต้องมีดอกสวยๆ เหน็บผมโตย...”วันดาราหันไปเรียก “สุริยะ...”
สุริยวงศ์แทบสะดุ้ง
“ครับ”
“โตเก็บดอกกาสะลองมาหื้อคุณริน บ่ใช้ก๊า”
สุริยวงศ์ก้มลงมองดอกปีบในมือตัวเอง
“ครับ”
สุริยวงศ์เดินเข้ามาหา ยื่นดอกปีบในมือให้
“ยินดีเจ้า”
เรรินอู้คำเมือง ยิ้ม รับดอกปีบมาจากสุริยวงศ์
+ + + + + + + + + + + +
รถสุริยวงศ์แล่นมาตามถนนคดเคี้ยว เห็นภูเขา ป่าไม้ เขียวชะอุ่มสบายตา เรรินมีดอกปีบประดับมวยผมตัวเองนั้งตัวตรง
“คุณย่าคุณสุริยะท่านอายุเท่าไรแล้วคะ”
“ปีนี้ ท่านเฉียดเก้าสิบแล้วครับ”
“เก้าสิบเหรอคะ”เรรินทึ่ง
“ครับ...แต่เดี๋ยวคุณรินจะต้องทึ่ง เพราะท่านแข็งแรงมาก หูตายังดี เดินเหินก็ได้ ไม่ต้องมีคนคอยประคอง เหมือนคนอายุเก้าสิบทั่วๆไป แล้วที่สำคัญนะครับ ความจำท่านเป็นเลิศไม่ได้เลอะเลือนแม้แต่นิดเดียว”
“ท่านคงสุขภาพจิตดีนะคะ กินอาหารดี อยู่ในอากาศดี ถึงได้แข็งแรงขนาดนี้”
“คุณรินอยากรู้เรื่องอะไร โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องในคุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่ เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยอะไร ก็ถามท่านได้นะครับ เพราะท่านเคยใช้ชีวิอยู่ในคุ้มเจ้าหลวง”
“น่าสนใจจังเลยค่ะ”
“คุณย่าผมท่านเกือบจะได้เป็นชายาของเจ้าหลวงเชียงใหม่ครับ แต่สุดท้ายก็ได้เป็นแค่หม่อมของท่าน”
เรรินฟังอย่างสนใจยิ่ง
รถสุริยวงศ์แล่นเข้ามาจอดลานหน้าตัวบ้าน สวนรอบๆ ร่มครึ้มจนดูทึบ ตัวบ้านซุกอยู่ในพงไม้ใหญ่ สงบเงียบจนดูวังเวง สุริยวงศ์กับ เรรินลงจากรถ เรรินดูบรรยากาศรอบตัว สุริยวงศ์ดูนาฬิกาข้อมือ
“ป่านนี้ท่านน่าจะตื่นแล้วละครับ”
บ่าววิ่งออกมาจากข้างตัวบ้าน
“สวัสดีเจ้า คุณสุริยวงศ์”
“สวัสดี คุณย่าตื่นนานแล้วก๊า คำปัน”
“ตื่นแล้วเจ้า เพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จพอดี”
“ไปเรียนเปิ้นเน้อว่าฉันมา”
“เจ้า...เชิญเจ้า”
บ่าวนำเข้าบ้าน
“ที่นี่น่าอยู่จังเลยนะ ร่มเย็นดีจัง”เรรินหันมองรอบๆ
“ครับ เชิญคุณริน”
“คุณแน่ใจนะคะว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร”
สุริยวงศ์ขำ
“คุณย่าผมท่านเป็นคนง่าย ๆครับ ไม่ได้ถือตัวอะไร คุณรินทำตัวตามสบายเถอะครับ เชิญครับ”
สุริยวงศ์ผายมือให้เรรินเดินนำก่อน
เรรินกับสุริวงศ์ เดินเข้าบ้าน เหมือนมีสายตาใครคนหนึ่งที่แอบดูอยู่ในพงไม้...สุริยวงศ์พาเรรินเข้ามาในห้องรับแขก
“คุณรินรอผมที่นี่นะครับ ผมจะเข้าไปกราบคุณย่าท่านก่อน”
“ค่ะ”
“สุริยวงศ์เดินออกไปสวนกับบ่าวที่ยกถาดน้ำดื่มเข้ามา เสริฟวางให้เรรินและสุริยวงศ์
“ขอบคุณค่ะ”
บ่าวหันมายิ้มให้เรริน เพราะสะดุดตาความสวย หวาน ก่อนจะกลับออกไป เรรินมองกวาดสายตาสำรวจรอบ ๆห้อง เพราะชอบไลฟ์สไตล์คนเชียงใหม่ ของตกแต่งบ้าน หลายอย่างสวยงามน่าประทับใจ
สายตาของผีอีเม้ย จับจ้องเรริน เรรินเหมือนได้ยินเสียงครืดคราดของลมหายใจจากมุมนึง เรรินหันไปมองแต่ก็ไม่เห็นอะไร เรรินมองไปที่มุมเก้าอี้โยกที่มีโต๊ะตั้งเข้ามุมห้อง มีรูปถ่ายโบราณในกรอบตั้งอยู่หลายภาพ เรรินเกิดสนใจ เหมือนมีแรงดึงดูด ขยับ ลุกขึ้น และจะเดินมาดูรูปพวกนั้น หนึ่งในรูปพวกนั้นคือ ภาพถ่ายเจ้าศิริวัฒนา เรริน เดินมาจนจะได้เห็นรูปพวกนั้นชัด ๆ อยู่แล้ว จู่ๆรูปก็ล้มลงคว่ำหน้า เรรินชะงัก ตกใจ
จบตอนที่ 3
อ่านต่อวันพรุ่งนี้