(ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า 09.3 0น.)
รอยไหม ตอนที่ 9
บัวเงินสะบัดแส้หางกระเบน ใส่ผีอีเม้ยอย่างแรง ด้วยความเดือนดาน ผีอีเม้ย คลานถอยหลัง หนีด้วยความกลัวรนราน น่าเวทนา
“มันเข้าไปยะอะยังในคุ้มเจ้าหลวง จะใดมึงบ่ฮู้ อีเม้ย”
“เม้ยตามมันเข้าไปบ่ได้เจ้าหม่อมเจ้าขา เสื้อบ้านไล่ตะเพิดเม้ยออกมา บ่ยอมหื้อเม้ย ตามมันเข้าไป”
บัวเงิน กำหางกระเบนแน่น ด้วยความแค้น
“กูจะต้องฮู้ให้ได้ว่ามันกลับเข้าไปอะหยังในนั้น...”
บัวเงินเขวี้ยงหางกระเบนทิ้งลง อย่างแรง ผีอีเม้ยสะดุ้งสุดตัว กลัวเจ็บ
“เป็นไปได้ก่อเจ้า...หม่อม ที่เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นฮ้องหามัน”
บัวเงินเจ็บปวดใจเป็นที่สุด
“ตายไปเมินเจ็ดสิบปีแล้วแม้แต่ในความฝันก็บ่เคยปิ๊กมาสู่กู ถ้าเจ้าอ้ายยังเฝ้ารอคอยมันอยู่ที่คุ้มเจ้าหลวง ก็ใจดำกับกูเกินไปแล้ว อีเม้ย”
บัวเงินน้ำตาร่างเผาะ ทั้งเจ็บทั้งแค้น
+ + + + + + + + + + + + +
ศิริวัฒนา ยืนหันหลังให้มองภาพเขียนสีน้ำมัน เรรินตัดสินใจถาม
“คุณคะ คุณคือเจ้าศิริวัฒนา ใช่ไหมคะ”
“รู้อย่างนี้แล้ว...คุณไม่กลัวผมใช่ไหม”
“ฉันเชื่อมั่นว่า คุณไม่ได้คิดร้ายต่อฉัน”
“ขอบใจที่คุณรู้สึกอย่างนั้น เราแค่ อยู่กันคนละฟากมิติของโลกเท่านั้น”
“แล้วทำไม...”
“ทำไมผมยังวนเวียนอยู่ที่นี่ ใช่ไหม”
“ฉันอยากรู้ เผื่อว่ามีอะไรที่ฉันจะช่วยคุณได้ ฉันก็ยินดี”
“พันธนาการ มิได้เกิดขึ้นจากผู้อื่นจองจำเราเท่านั้น ความยึดมั่นในบางสิ่งบางอย่างก็เป็นพันธนาการที่ผูกรัดเราไว้จนไม่มีวันได้ไปที่ไหน แต่ต้องเฝ้ารอคอย จนกว่าจะถึงเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
เรรินมองศิริวัฒนาอย่างแปลกใจ
“คุณรอคอยอะไรคะ”
ศิริวัฒนามองไปที่ผ้าตุ๊มบนกี่
“ผ้าตุ๊ม ผืนนี้...สำคัญต่อคุณมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
ศิริวัฒนาพยักหน้า
“เล่าให้ฉันฟังต่อได้ไหม”
ศิริวัฒนาไม่ตอบอะไร แต่ขยับเข้ามา หยิบดอกเก็ดถะหวาขึ้นมายื่นให้ เรรินเอื้อมมือมารับดอกเก็ดถะหวา แล้วมองตามสายตาศิริวัฒนา พุ่มดอกเก็ดถะหวาในมุมซ้ายของภาพเขียนสีน้ำมันค่อยๆบานออก ขาวเต็มต้น
ในอดีต...บัวเงินยกพานเครื่องเขินที่มีดอกเก็ดถะหวา ที่เพิ่งถูกเก็บเข้ามาจากในสวนวางลงบนตั่งเตรียมจัดดอกไม้ถวายพระ
“วันนี้เก็ดถะหวาบานเต็มเก๊าเชียวเจ้าหม่อม”เม้ยบอกเจื้อยแจ้ว
บัวเงินยิ้ม
“ดี...เจ้าอ้ายฮักดอกเก็ดถะหวานักขนาด กูจะได้จัดใส่พาน หื้อเจ้าพี่ถวายพระ”
ศิริวัฒนาเข้ามาพอดี
“หอมดอกเก็ดถะหวา ลอยออกไปถึงบนตึกโน่นแน่”
“เจ้าอ้าย...นังเม้ยมันเพิ่งเก็บเข้ามาสดๆ น้อง กำลังจะจัดใส่พาน ส่งไปหื้อ เจ้าพี่ถวายพระในหอพระอยู่ทีเดียว”
“เอ็งเก็บมาจนหมดเก๊า บ่เหลือหื้อผู้ใดสักหน่อยเดียวเลยเน้อ นังเม้ย”
“ก็หม่อมเปิ้นสั่งเม้ย เพราะหม่อมเปิ้นฮู้ว่า เจ้าฮักดอกเก็ดถะหวานักขนาด”
“พี่ขอดอกนึ่ง เจ้าอย่าเพิ่งจัดถวายพระเสียหมดเน้อ บัวเงิน”
“เจ้า”
บัวเงินคัดดอกพุด ที่คิดว่าดอกสวยที่สุดส่งให้ศิริวัฒนา
“หน่วยนี้งามที่สุดเจ้า”
ศิริวัฒนารับดอกพุดไปดม เม้ยหันไปกระซิบบัวเงิน
“สงสัยว่าเจ้าเปิ้นจะเอาดอกเสียบผมหื้อหม่อมนะเจ้า”
บัวเงินยิ้มดีใจกระซิบตอบเม้ย
“แต๊ก๊าอีเม้ย จะอั้นมึงเอาดอกในหัวกูออกก่อน”
เม้ยรีบตะกุยเอาดอกไม้ที่เหน็บมวยผมบัวเงินออกให้ บัวเงินเอียงคอปั้นท่าหวังให้ศิริวัฒนาเสียบดอกพุดให้
“ยินดีเน้อ บัวเงิน”
“เจ้า”
ศิริวัฒนาเดินถือดอกพุดออกไปทันที บัวเงินยังตั้งท่าคอย
“หม่อมเจ้า เจ้าเปิ้นไปปู้นแล้วเจ้า”
บัวเงินเหวอ ผิดหวังหน้าแตก
+ + + + + + + + + + + + +
มณีริน กำลังเก็บดอกปีบใต้ต้นใส่กระชุ ดอกปีบยังร่วงโปรยลงมาไม่ขาดสาย คำเที่ยงก็ช่วยเก็บอยู่อีกมุมนึง ไม่ไกลกัน
“เต็มกระชุแล้วเน้อ เจ้านางน้อยพี่ว่าพอเต๊อะ”
ศิริวัฒนาก้าวเข้ามาตรงหน้า คำเที่ยง คำเที่ยงชะงักมองเห็นศิริวัฒนา ยืนยิ้มมองมณีรินอยู่
“เก็บไปหื้อหมดเต๊อะพี่คำเที่ยงเฮาเสียดาย เฮาฮักดอกกาสะลองนักขนาด เฮาบ่อยากหันผู้ใดมาเหยียบย่ำ”มณีรินพูดไปเรื่อยโดยไม่รู้ว่า ศิริวัฒนาอยู่ตรงนั้น
“เจ้าฮักแต่ดอกกาสะลอง แล้วดอกเก็ดถะหวาเจ้าบ่ฮักก๊า”ศิริวัฒนาพูดขึ้น
มณีริน หันมาเห็น ศิริวัฒนาก็อ้ำอึ้งไป
“เจ้า”
“อ้ายเก็บดอกเก็ดถะหวามาฝาก เจ้านางน้อยยังบ่มีดอกไม้ใดใส่มุ่นผมฮับ เก็ดถะหวาดอกนี้ไปได้ก๊า”
ศิริวัฒนาไม่รอคำตอบ แต่ก้มลงเหน็บดอกพุดประดับมวยผมให้มณีรินทันที บัวเงินกับเม้ย ตามมาแอบดูอยู่ไกลๆมุมนึง เห็นศิริวัฒนาเหน็บดอกพุดให้มณีริน บัวเงินกัดฟันแน่นด้วยความแค้น
“ดอกเก็ดถะหวาของหม่อม เจ้าเอามาหื้อมันนี่เอง มันน่าเจ็บใจ๋แต๊ๆนะเจ้าหม่อม”เม้ยยุยง
ด้านศิริวัฒนายิ้มให้มณีริน
“เจ้านางน้อยกินข้าวเจ๊าแล้วก๊า”
“ยังบ่ทันได้กิ๋น เจ้านางน้อย ก็แล่นออกมาในสวนนี่แล้ว เจ้า”คำเที่ยงตอบแทน
“อ้ายก้ยังบ่ได้กิ๋น เช้านี้อ้ายไปกิ่นข้าวที่เรือนเจ้าได้ก่อ เจ้านางน้อย”
“กับข้าวเมืองเชียงตุง บ่ได้ลำอย่างกับข้าวเมืองเชียงใหม่ดอกเจ้า”มณีรินตอบเรียบๆ
“ผู้ใดเอิ้นจะอั้น เชียงตุงเชียงใหม่ก้อบ้านพี่เมืองน้องกันแต๊ๆ กินอยู่ก้อบ่ต่างกันดอก”
“ยำเตา...คลุกน้ำมันงา ฝีมือ เจ้านางน้อย ลำบ่มีผู้ใดเทียบเจ้า”คำเที่ยงบอกอย่างชื่นชม
ศิริวัฒนาตาโตอยากกิน
“แต๊ๆเจ้า”คำเที่ยงรีบบอก
“จะอั้นอ้าย ขอไปชิมเดี๋ยวนี้เลยเน้อเจ้านางน้อย”
มณีรินกำลังอึดอัดลำบากใจ บัวเงินกับเม้ย ตรงรี่เข้ามาพอดี
“เจ้าพี่เจ้า”
ศิริวัฒนาหันมอง
“อ้าว...บัวเงิน”
“เจ้าหลวงเปิ้นหื้อหาเจ้าพี่เจ้า”
“มีเรื่องอะหยังเจ้าฮู้ก่อ”
“บ่ฮู้เจ้า แต่ก็คงเป็นธุระสำคัญ”
ศิริวัฒนาหันมาหามณีริน
“เอาไว้วันหลัง อ้ายจะขอไปชิมยำเตาคลุกนำมันงาของเจ้าเน้อเจ้านางน้อย”
มณีรินยิ้มรับ
“เจ้า...”
ศิริวัฒนาเดินกลับออกไป บัวเงินอยากกระชาดอกพุดออกมาจากหัวมณีริน แล้วตบหน้าเจ้าหล่อน แต่ก็ระงับอารมณ์ไว้ มองมณีรินยิ้มหยัน
“งามแต๊เน้อ เก็ดถะหวาดอกนั้น”
คำเที่ยงยิ้มตอบซื่อๆ
“เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นประทานหื้อเจ้านางน้อยเจ้า เปิ้นปักดอกใส่มวยผมหื้อเจ้านางน้อยกับมือเปิ้นเองแต๊ ๆเลย”
บัวเงินหมั่นไส้สุดๆเก็บอารมณ์บนหน้าไม่อยู่
“ที่บ้านเมืองของโต หาดอกเก็ดถะหวาบ่ได้ก๊า เจ้านางมณีริน โตถึงมาชื่นชมดอกเก็ดถะหวาถึงเมืองเชียงใหม่ของเฮานี่...ไป อีเม้ยกูว่าอากาศแถวนี้บ่ค่อยดี”
“เม้ยก็ว่าจะอั้นละเจ้าหม่อม มันเหมือนเหม็นเน่า ตัวอะหยังตายแถวนี้ก็บ่ฮู้”
เม้ยเข่นกัดตรงๆไปทางคำเที่ยง แล้วตามติดบัวเงินออกไป คำเที่ยงยังคงยืนงง
“เปิ้นเอิ้นอะหยัง เจ้านางน้อย พี่บ่เข้าใจ๋ บ่ทันได้กลิ่นเน่าอะหยังเลยจะไดเปิ้นจมูกดีแต๊”
มณีรินอึดอัดใจ พอจะรู้ว่าบัวเงินหมายความว่ายังไง
+ + + + + + + + + + + +
บริวารกำลังช่วยกันเตรียมตะแกรงสะดึง สำหรับปักผ้าอยู่มุมนึงไกลๆ คำเที่ยงตบเข่าฉาด ด้วยความขัดเคืองใจ มณีรินอิ่มข้าวพอดีจุ่มมือลงล้างในอ่างลอยดอกไม้
“ป๊าด...จะไดเจ้านางน้อย บ่บอกพี่แต่แรก ว่าเปิ้น กระทบกระทั่งเจ้านางน้อยพี่จะได้ ตอกกลับหื้อหงายหลังไปเลย”
“จะไปโต้ตอบเปิ้นหื้อมันได้อะหยังขึ้นมาพี่คำเที่ยง”
“อ้าว...อย่างน้อยเปิ้นก็ต้องฮู้เสียบ้างว่า ถึงเฮาจะพลัดบ้านพลัดเมืองมาแต่เฮาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกั๋นเจ้านางน้อยน่ะศักดิ์สูงกว่าเปิ้นด้วยซ้ำไป วันข้างหน้ายิ่งแล้วใหญ่ อย่างเก่งเปิ้นก้อเป็นได้แค่หม่อมของเจ้าเปิ้น คนที่จะได้ขึ้นเป็นพระชายา ก็คือเจ้านางน้อยผู้เดียว”
“ช่างเปิ้นเต๊อะ เปิ้นจะอู้จะได ก็ช่างเปิ้นต่อความยาวสาวความยืดบ่ได้ประโยชน์อะหยังมีคนฮักดีกว่ามีคนชัง แค่คนเดียวพี่คำที่ยงร้อยคนจะได้ก็ อีกอย่าง เฮาบ่อยากแต่งงานถ้าเฮายกตำแหน่งชายา เจ้าศิริวัฒนาหื้อเปิ้นได้เฮาก็จะยกให้ บ่ได้กึ๊ดเสียดายเลย”
คำเที่ยงตกใจ
“อู้จะอั้นได้จะใดเจ้านางน้อย”
“เฮาอิ่มแล้ว เฮาจะไปเก็บดอกกรรณิการ์มาย้อมไหม”
“แดดฮ้อนจะต๋าย”
“พี่คำเที่ยงกลัวฮ้อน ก็อยู่เฮือนเฮาไปผู้เดียวได้”มณีรินลุกออกไป
“กางจ้องไปโตยเน้อ เจ้านางน้อย”คำเที่ยงตะโกนบอกไล่หลัง
มณีรินเข้ามาในสวนเดินเก็บดอกกรรณิการ์ ที่ร่วงค้างคาอยู่ตามช่อและใบ ขณะที่กำลังเก็บดอกไม้ใส่กระชุ เพลินๆอยู่นั้น เสียงพิณเปี๊ยะก็ดังกังวานแว่ว มาจากที่นึงไม่ใกล้ไม่ไกล เสียงนั้นเต็มไปด้วยพลังทำให้มณีริน ชะงักและตั้งใจฟัง
“พิณอะหยังน๊อ เพราะขนาด”
มณีรินตั้งใจมองหาทิศที่มาของเสียง แล้วเดินออกไปหาทิศทางนั้น กระทั่งเห็นด้านหลังตึกคุ้มเจ้าหลวง มีผู้ชายสองคนถอดเสื้อกำลังเรียนและสอนพิณเปี๊ยะกันอยู่...การเล่นพิณเปี๊ยะอาศัยกะโหลกของกะลามะพร้าว แนบเข้ากับทรวงอก เพื่อความกังวาน และมีพลังของเสียง ผู้เล่นจึงเปลือยท่อนบนเล่น เพื่อคุณภาพเสียง...
สล่าพัน ดีดพิณท่อนหนึ่ง ศิริวงศ์หันหลังให้มณีรินอยู่ดีดตามแต่เสียงเพี้ยน
“บ่ใช้เน้อ...เจ้า”สล่าพันบอก
“บ่ใช่จะได เฮาก็เล่นตามอ้าย”ศิริวงศ์เถียง
“แต่เจ้าดีดเพี้ยน มันบ่ใช่เสียงนั้น”
“อ้ายพันหู บ่ดี”
สล่าพันดีดท่อนเดิมอีกครั้ง ศิริวงศ์ดีดตาม เสียงเพื้ยนชัดๆ
“พันก่อ...เจ้านะแหละ หูบ่ดี”สล่าพันยืนยัน
“เสาว่า สายมันขึ้น บ่ดีเสียงเลยเพี้ยน”ศิริวงศ์ไม่โทษตัวเองแต่ไปโทษสายพิณ
มณีริน หัวเราะออกมา ศิริวงศ์หันขวับไปมอง เพราะเสียงหัวเราะนั้น เหมือนหัวเราะเยาะ มณีรินหลบวูบเข้าหลังพุ่มไม้
“ผู้ใดหลบอยู่ตรงนั้น ทำลับๆ ล่อๆ เป็นหัวขโมยก๊า”
มณีริน ซ่อนตัวเงียบ
“จะออกมาดี ๆ หรือบ่ออก บ่ออก เฮาจับได้และจะลงหวาย”
“ละอ่อน มันคงมาเล่นซุกซนแถวนี้ละเจ้า อย่าไปถือสามันเลย”
“มันเยาะเฮา เฮาได้ยิน เฮาต้องสั่งสอนมันสะกำ”
ศิริวงศ์วางพิณเปี๊ยะลงแล้ว เดินตรงเข้ามา ท่าทางเอาจริง มณีริน เห็นท่าไม่ดี ถอยหลังหนี และโกยวิ่งออกไป ศิริวงศ์เห็นพุ่มไม้ไหว ๆ ออกวิ่งไล่กวดไปทันที ทิ้งภาพสล่าพันมองตามแล้วส่ายหน้า
มณีริน วิ่งหนีออกมา แล้วหลบเข้าหลังพุ่มไม้ ศิริวงศ์ ตามเข้ามามองหาแกล้งทำ เสียงดุ
“ออกมา หื้อข้าทำโทษซะดี ๆ เป็นละอ่อนจะไดมาหัวเราะเยาะผู้หลักผู้ใหญ่ จะออกมาหรือบ่ออก”
ศิริวงศ์เดินวนมาจนจะเจอตัวมณีริน มณีริน ตัดสินใจพุ่งเข้าผลักศิริวงศ์อย่างแรงจนล้มหงายหลังลงไป มณีรินฉวยโอกาศวิ่งหนีออกไปอีกทางเอาตัวรอด ศิริวงศ์อึ้งงง...ไม่ใส่เด็กแล้วนี่
“เฮ้ย...”
ศิริวงศ์ลุกขึ้นได้ วิ่งตาม มณีรินวิ่งหนีสุดกำลัง
“หยุดเดี๋ยวนี้เน้อ ข้าสั่งหื้อหยุด”
มณีรินวิ่งไปหันมามองด้านหลังไปโดยไม่ทันระวัง มณีรินสะดุดหกล้ม กระชุดอกกรรณิการ์ ล้มคว่ำพังไม่เป็นท่าพอ ๆ กับเจ้าของกระชุ
“โอ๊ย...”
ศิริวงศ์หัวเราะสะใจ เดินอาด ๆเข้ามา
“เป็นจะได...หัวขโมย”
มณีรินยังไม่หันหน้ามาเผชิญศิริวงศ์
“เฮาบ่ได้เป็นหัวขโมย”
“บ่ได้เป็นหัวขโมย แล้วจะได ทำลับๆล่อๆ เรือนเจ้าอยู่ที่ใด บ่ฮู้ก๊าในนี้เป็นเขตคุ้มเจ้าหลวง”
“ฮู้”
“เจ้านี่กล้าเกินแม่หญิง เจ้าคงบ่ฮู้ว่าเจ้ากำลังเอิ้นอยู่กับผู้ใด”
“สำคัญจะได เจ้าก็แต่ผู้ชายคนพาลรำบ่ดี โทษปี่โทษกลอง ดีดพิณเสียงเพี้ยน ก็โทษว่าขึ้นสายบ่ดี น่าหัวนัก”
มณีรินหันกลับมา เผชิญหน้าศิริวงศ์ ถึงกับอึ้งเมื่อเห็นศิริวงศ์เต็มตา เพราะใบหน้าของศิริวงศ์ในชาติที่แล้ว ก็คือสุริยวงศ์ในชาติปัจจุบัน ขณะนั้นสล่าพันตามเข้ามาพอดี
“เจ้าครับเจ้า”
“พี่พัน ช่วยกันจับโตแม่หญิงผู้นี้ไปหื้อตำรวจเต๊อะ มีกระชุติดโตมาโตย บ่ฮู้เข้ามาขโมยอะหยังในคุ้ม”
สล่าพัน อ้ำอึ้ง เมื่อเห็นเป็นมณีริน คำเที่ยงกางร่มเข้ามา มองหา ตะโกนเรียก
“เจ้านางน้อย อยู่ตี้ใดเจ้า เจ้านางน้อย...”
“พี่คำเที่ยง เฮาอยู่ตรงนี้”
คำเที่ยงวิ่งพรวด เข้ามา
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ จะไดเป็นจะอี้”
คำเที่ยงทิ้งร่ม รีบเข้ามาประคอง มณีรินลุกขึ้น
“เฮาเจ็บขา พี่คำเที่ยง ผู้ชายคนนั้นไล่ทอดเฮา จนเฮาหกล้ม”
คำเที่ยงโกรธ
“ป๊าด...มันรังแกเจ้านางน้ายก๊า... ถึงเป็นผู้ใด จะไดกล้ามารังแกเจ้านายของกู”
“คำเที่ยง”สล่าพันปราม
“ข้าเจ้าจะเอาเรื่องมัน หนานพัน บ่ เกี่ยว”
“เกี่ยวซิ เกี่ยวแต๊ ๆๆเชียวละ ก็คนที่โตจะเอาเรื่องนี่นะเจ้านายเหนือหัวของเฮา”
“เฮาบ่สน จะเจ้านายเหนือหัวของผู้ใด เฮาบ่สน” คำเที่ยงชะงักกึก “หนานพันว่าจะไดเมื่อกี๊”
“นี่เจ้าศิริวงศ์ น้องชายเจ้าศิริวัฒนา”
คำเที่ยงเข่าอ่อน ร่างผล็อยลงทรุดกับพื้น มณีรินมองตะลึง สล่าพันหันมาหาศิริวงศ์
“เจ้าครับ...แม่หญิงหัวขโมยของเจ้าน่ะเปิ้นคือเจ้านางมณีริน ณ เชียงตุงครับ”
ศิริวงศ์ตั้งตัวไม่ทันยัง งง ไม่หาย ทั้งคู่ได้แต่มองกัน คำเที่ยงหันไปหามณีริณ
“ปิ๊กเรือนเฮาเต๊อะ เจ้านางน้อย ตรงนี้อากาศบ่ดีเลย มันวังเวงจะได บ่ อู้ ไปเต๊อะ...ไปเต๊อะ”
คำเที่ยงลนลานไปเก็บกระชุดอกไม้กับร่มขึ้นมา มณีรินข้อเท้าแพลง เดินกะโผลกกะเผลก ออกไปกับคำเที่ยง ศิริวงศ์มองตาม
“แม่หญิงผู้นี้น่ะเหรอ คู่หมั้นพี่ชายเฮา”
มณีรินหันกลับมามองศิริวงศ์
ในปัจจุบัน....เรรินตะลึงอย่างคาดไม่ถึง
“คุณสุริยวงศ์ เป็นคุณจริงๆน่ะเหรอ”
เรรินนึกถึงตอนที่สุริยวงศ์บอกรักเธอชนิดที่เธอตั้งตัวไม่ทัน เรรินพอจะเข้าใจอะไร ๆ ขึ้นได้ลาง ๆ เธอหันไปมองศิริวัฒนา
“หลวงพ่อที่วัด เมื่อเช้านี้ บอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระแสแห่งกรรม กรรมที่ผูกรัดทุกคนเอาไว้ได้พบพาน”
“อย่าแปลกใจเลย ผู้คนที่คุณได้พบพานล้วนผูกพันกันมาทั้งสิ้น”
“คุณสุริยวงศ์ เป็นน้องชายของคุณ”
“เคยเป็น”
เรรินพูดอะไรไม่ออก
(อ่านต่อหน้า 2)
ตอนที่ 9 (ต่อ)
สุริยวงศ์ กำลังจะเดินเข้าร้าน พนักงานรีบเข้ามารับหน้า...
“คุณสุริยะครับ”
“เรียบร้อยดีไหม มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีปัญหาอะหยังครับ แต่มีลูกค้าคนนึง มารอพบคุณสุริยะครับ”
“ใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ผู้ชายครับ มานั่งคอยตั้งแต่เย็นแล้ว ตั้งแต่ร้านยัง บ่เปิดรอบเย็นแน่ะครับ ผมถามว่ามีธุระอะหยังก็บ่ยอมบอก”
“โต๊ะไหน”
“โต๊ะสี่ครับ”
“ขอบใจ ไปดูแลลูกค้าเถอะ”
พนักงานแยกออกไป สุริยวงศ์เดินเข้ามาเห็นธนินทร์ ที่นั่งเมามาได้ที่แล้ว
“สวัสดีครับ ผมสุริยวงศ์ครับ”
“ใครเขาอยากรู้จักมึงวะ”ธนินทร์พูดไปเพราะความเมา
“เด็กพนักงานบอกว่า คุณต้องการพบผม”
ธนินทร์ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าสุริยวงศ์
“มึงเอง หรอ”
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่าครับ”
ธนินทร์ค่อยๆลุกขึ้น
“กูน่ะไม่อยากรู้จักมึงหรอก แต่ว่าทางมึง อยากรู้จักกูจัง”
“ผมว่า...”
สุริยวงศ์กำลังจะเชิญออกไปจากร้าน ธนินทร์ไม่รอให้พูดจบ ชกหน้าสุริยวงศ์ทันที สุริยวงศ์ไม่ทันตั้งตัว หงายหลังไปชนโต๊ะข้างหลัง ลูกค้าตกใจ แตกฮือ วี๊ดวาย อลหม่าน ธนินทร์ตามติดเข้าซ้ำสุริยวงศ์ สุริยวงศ์ โต้ตอบ ป้องกันตัวเองได้ประมาณนึง พนักงาน กรูกันเข้ามา และช่ายกันล็อคตัวธนินทร์เอาไว้ได้ในร้านดูชุลมุน ไม่รู้ใครเป็นใคร
ไม่นานนัก ธนินทร์ถูกโยนออกมาจากร้าน สภาพยับเยินไม่น้อย พนักงานคุมเชิง กันสุริยวงศ์เอาไว้
“คุณไปซะ ไม่อย่างนั้นผมจะเรียกตำรวจ”
ธนินทร์ปากแตกถ่มเลือดออกจากปาก
“มึงคิดว่ากูกลัวมึงเหรอ”
“ที่นี่ไม่ใช่ร้านเหล้า ถ้าคุณคิดจะเมาไปเมาที่อื่น อย่ามายุ่งวุ่นวายที่นี่อีก”
ธนินทร์ชี้หน้า
“มึงน่ะแหละอย่ามาวุ่นวายกับคนของกูอีก เรรินมันเมียกูถ้ามึงคิดจะเป็นชู้กับเมียชาวบ้านกูเอามึงถึงตายแน่”
พนักงานต้อนธนินทร์ออกไป สุริยวงศ์อึ้งแล้วในที่สุดโจทย์ของเขาก็ปรากฎตัวขึ้น
+ + + + + + + + + + + + +
ค่ำนั้น...บัวเงิน ยังนั่งอยู่ในความมืดสลัว มองไปที่ตั่งนั่งเล่นที่มีหมอนขวานใบใหญ่วางอยู่ข้างหมอนปีกเป็นลายจก
“มึงเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับกูแต๊ ๆ อีมณีริน”
ในอดีต...
ในห้องนั่งเล่นตึกคุ้มเจ้าหลวง...พระชายามองลายปักไหม ฝีมือเชียงตุงเป็นเถาดอกไม้ บนข้างหมอนเหลี่ยมใบเล็กเส้นเงินงดงามอ่อนหวาน อย่างชื่นชมในฝีมือของมณีริน
“งามแต๊ๆ งามนักขนาด ยินดีเน๊อ เจ้านางน้อย”
มณีรินกราบรับคำขอบคุณจากพระชายา ขณะเดียวกัน บัวเงินเดินนำเม้ยเข้ามา เม้ยประคองพานดอกไม้สด พอใกล้ระยะหนึ่ง ก็ลงคลานคืบเข้ามา
“เอ้า...บัวเงินมาพอดี”
“หลานเก็บดอกไม้มาหื้อ จ้าป้า ถวายพระในหอคำเจ้า”
เม้ยส่งพานดอกไม้ให้บัวเงิน บัวเงินคลานเข้าถวายพานดอกไม้ พระชายารับพานดอกไม้มาอย่างยิ้มแย้ม
“ยินดีเน้อ ยินดีนัก งามแต๊ๆ”
เม้ยที่คุดคู้อยู่ด้านหลังบัวเงิน กระถดเข้ามาเบียด แถมเอาตีนเขี่ยขาคำเที่ยง เหมือนจะบอกให้มึงหลีกไป คำเที่ยงหันขวับ ไปจ้องเม้ยอยางไม่กลัวแกรง แถมเอาตีนดีดคืน เม้ยจ้องเขม็ง คำเที่ยงสะบัดหน้าไม่สน บัวเงินเหล่มองมณีรินนิดนึงก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เจ้านางน้อยขึ้นมาเผ้าเจ้าป้าแต่เช้าเชียวนะเจ้า”
“เจ้านางน้อยเปิ้นเย็บหมอนมาหื้อป้าน่าฮักแต๊ๆ เจ้าผ่อเน้อบัวเงิน ฝีมือปักไหมเจ้านางน้อยงามนักขนาด”
“เมืองเชียงตุงยะแต่ปักผ้า บ่ได้ทอได้จกได้ชิด อย่างเชียงใหม่บ้านเฮาดอกเจ้า ถ้าเจ้าป้าอยากได้หมอนงามๆ วันหลังข้าเจ้าจะยะมาถวายเจ้า”บัวเงินเสนอตัว
มณีรินรู้ดีว่าถูกข่ม พระชายา ยิ้มแย้ม
“เรื่องตนเย็บปักถักร้อย ทอผ้าทุกอย่าง บัวเงินเปิ้น บ่เป็นที่สองรองใครดอกเจ้านางน้อย ถ้าเจ้านางน้อยสนใจอยากจะเรียนทอผ้า แบบล้านนาเชียงใหม่ ก็หื้อบัวเงินเปิ้นเป็นแม่ครูหื้อก็ได้”
“เจ้า...จะอั้นข้าเจ้า ขอฝากเนื้อฝากโตเป็นลูกศิษย์ด้วยวันนี้เลยนะเจ้า”
บัวเงินรังเกียจการถูกนับญาติกับมณีริน แต่ปั้นยิ้มอารีย์
“ยินดีนัก เจ้านางน้อย”
คำเที่ยงขัดใจเล็กน้อยที่มณีริน เหมือนยอมก้มหัวยกบัวเงินให้สูงกว่าตัว เม้ยหันมาทำหน้าตาเหยียดหยามใส่คำเที่ยง
+ + + + + + + + + + + + +
เม้ยตามบัวเงินกลับเข้ามาที่เรือน
“หม่อมเจ้าขา...หม่อมไม่น่าไปรับปากจะสอนมันตำหูกเลย”
“ต่อหน้า พระชายา มึงจะหื้อกูปฏิเสธมันได้จะได อีเม้ย ขืนปฏิเสธ กูก็เสียคะแนนจากพระชายาเปิ้นเปล่า ๆ”
“เม้ยรู้แล้ว หม่อมจะสอนมันผิดๆ ถูกๆ หื้อมันปวดหัวเล่นใช่ก๊า”
“กู บ่ เขลาปัญญา อย่างมึงดอกอีเม้ย ไหนๆ มันก็กราบกู ยกกูเป็นแม่ครูของมันแล้ว กูก็จะสอนมันอย่างดี แต่มึงเชื่อกูเต๊อะ วันเดียวมันก็ต้องถอยแล้ว มันบ่ รู้ดอกว่าตกหูกล้านนามัน บ่ ใช่ง่าย”
“เม้ยฮู้แล้ว หม่อมจะยะตื้อมันเสียหน้าใช่ก่อเจ้า”
“เออ...ถึงเวลานั้นกูถึงจะเหยียบหื้อมันจมดิน”
“หม่อมของเม้ย ฉลาดล้ำลึก แต๊ๆ ทั่วทั้งเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แป้ น่าน บ่มีผู้ใดฉลาดล้ำลึกเท่าหม่อมของเม้ยเลย”
บัวเงิน กระหยิ่มใจ
วันต่อมา ที่เรือนมณีริน...
มณีรินกำลังทอผ้าฮามอยู่ บัวเงิน เดินเข้ามาดู ผ้าที่ทอแล้ว ลูบคลำผืนผ้า
“ต๊าย ตาย ตาย มีแต่ปมด้าย ผ้าฮาม ฝีมือเจ้านางน้อยจะไดหยาบระคายมือจะอี้”
เม้ยสาระแน ยื่นหน้ายื่นตาเข้ามา ผสมโรงอีกคน
“ต๊าย...เกิดมาแต่ท้องพ่อท้องแม่ เม้ย บ่ เคยหันผ้าฮามผืนใดจะขี้เหร่น่าชังเท่านี้เลย”
มณีรินจ๋อยไป
“คนเพิ่งหัด ปั่นด้ายตำหูกจะหื้อผ้าออกมาเลิศเลอจะได พี่เม้ย”คำเที่ยงเถียงแทน
“มันจะเสียชื่อมาถึงแม่ครู คนสวน ฝีมือหยาบจะอี้ เอาไปเป็นผ้าเช็ดตีนยัง บ่คู่ควรเลย ฮู้ก่อ”เม้ยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม
“เอาไว้เฮาจะตั้งใจใหม่”มณีรินบอกอย่างเรียบนิ่ง
บัวเงินหยิบกรรไกรจากกระชุใส่ฝ้ายกรอ ขึ้นมา แล้วตัดด้ายเส้นผืนที่ขึงผ่านฟืมทั้งหมดทิ้งอย่างไม่ปราณี คำเที่ยงอ้าปากค้าง ที่มาทำร้ายจิตใจกันมากเกินไปแล้ว
“ไหนๆก็จะตั้งใจใหม่แล้ว ทิ้งมันไปเต๊อะ เจ้านางน้อย เริ่มต้นใหม่เน้อ เข็นฝ้ายต่อปมหื้องาน ทอผ้าฮามเนื้อดี อย่างคนเรียงใหม่หื้อได้สักร้อยวา แล้วค่อยถึ๊ดจะหื้อ เฮาสอนขิดสอนจก สอนเกาะ สอนล้วง...ไป อีเม้ย ปิ๊กเรือนเฮา”
“เจ้าหม่อม เม้ยก็ บ่ ชอบอากาศแถวนี้ตะไดนัก เหม็นสาบเหม็นสางอะหยังก็ บ่ ฮู้”
บัวเงินกับ เม้ย พากันออกไปหัวเราะคึกคัก คำเที่ยงไม่พอใจ
“เจ้านางน้อย เลิกเต๊อะ อย่าไปสนใจเรียนมันเลย ตำหูกทอผ้าเนี่ย ต่อหื้อทำดีจะได คนจิตใจ บ่ ดี มันก็หาเรื่องค่อนว่าเฮาจนได้”
“บ่ เป็นหยัง พี่คำเที่ยง เฮา บ่ ถือสาดอก ก็ผ้าฮามของเฮามัน บ่ งามจริงๆ อย่างที่เปิ้นฮู้ เฮาจะทอใหม่ เอาหื้องาม จะร้อยวา พันวา เฮาก็ บ่ ท้อดอก” มณีรินยิ้มเศร้า
บัวเงินเดินออกมากำมือแน่นเจ็บใจตนเอง เพราะผ้าที่มณีรินทอนั้นสวยงามมาก
“กู บ่ กึ๊ดเลยว่า กูสอนตะเข้หื้อว่ายน้ำแต๊ๆ อีมณีริน”
+ + + + + + + + + + + +
ปัจุบัน...เทียนที่กำลังจะหมดเล่ม บนหัวเสา ถูกเป่าให้ดับลง เรรินเงยหน้าขึ้นจากผ้าที่ทอ ปวดตามิใช่น้อย
“คุณหักโหม เกินไปแล้ว พักสายตาเสียบ้างเหอะ”ศิริวัฒนาเตือน
“ฉันคิดว่า ฉันพอจะจับลายที่เจ้านางมณีรินท่านทอทิ้งเอาไว้ได้แล้วละค่ะ ฉันอยากจะทอให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทอได้ เพราะโอกาสที่ฉันจะเข้ามาในนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน”
“จะกี่ปีกี่ชาติ เจ้ารินก็เป็นคนมุ่งมั่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“อุปสรรคเป็นสิ่งที่เราต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ความสำเร็จคือศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจนี่คะ”
“จิตใจเจ้าริน งดงามอย่างนี๊นี่เอง”
“คุณเล่าให้ฉันฟังต่อได้ไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง”
“ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงอยากรู้เรื่องของศิริวงศ์”
“ค่ะ ฉันอยากรู้”
“คุณหลับตาลงสิ ผมจะพาคุณไปดู”
เรรินค่อย ๆหลับตาลง ศิริวัฒนา เอื้อมมือมาตรงหน้าปิดหน้าเธอไว้
ภาพในอดีตปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกของเรริน...
มณีรินกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ คำเที่ยงยกของว่างกับน้ำชา เสิร์ฟ
“มัวแต่อ่านหนังสือจนเพลิน น้ำชาของพี่จะเย็นชืดเสียหมดเน้อ เจ้านางน้อย”
“ก็หนังสือเล่มนี้ยิ่งอ่านยิ่งสนุกนี่พี่คำเที่ยง”
“สนุกอย่างใด พี่ บ่ หันจะเข้าใจ”
“พี่คำเที่ยงก็ลองอ่านดูเองสิ”
“โอ้ย...งานการต้องยะ บะร่ำบะเหรอ พี่ บ่ เอาดอก เจ้านางน้อยนั่งอยู่นี่เน้อ พี่จะไปดูเปิ้นยะข้าวแกงในครัว”
คำเที่ยงจะออกไปแต่แล้วต้องชะงักเบรคกึกหัวทิ่มเมื่อ ศิริวงศ์ เดินเข้ามาหาระยะใกล้แล้ว คำเที่ยงทำตัวไม่ถูก ได้แต่ทรุดตัวลงพับเพียบกับพื้น
“อ้าว...ไหนว่าจะไปดูข้าวแลงในครัวไงพี่คำเที่ยง”มณีรินพูดโดยไม่ได้หันไปมองสายตาจับจ้องอยู่กับตัวหนังสือ
“พี่ไป บ่ได้แล้ว”
มณีรินแปลกใจหันมอง คำเที่ยงบุ้ยใบ้ไปทางศิริวงศ์ที่ยืนเก้งๆ เขินๆ อยู่ไม่ไกล มณีรินลุกพรวดขึ้นต้อนรับศริริวงศ์ทันที
“นั่งตามสบายเต๊อะ เฮาผ่านมาทางนี้พอดี นึกขึ้นได้ว่าวันก่อน เฮาทำหื้อเจ้านางมณีรินเจ็บขา อาการเป็นจะไดพ่อง”ศิริวงศ์ ถามเรียบๆ
มณีรินอึ้งๆ งงๆ คำเที่ยงรีบกันท่าเอาไว้
“ยังเจ็บกะร่องกระแร่งอยู่เจ้า เวลาเดินก็กะโผลกกะเผลก”
ศิริวงศ์มองอย่างห่วงใย
“แล้วกินยา ทายา อะหยังก่อ”
มณีรินนิ่งจับความรู้สึกจากน้ำเสียงของเขา คำเที่ยงรีบแทรกขึ้น
“ยากิน บ่ ได้กินเจ้า ทาแต่ยาทาของหมอเมืองจีน”
ศิริวงศ์ตาเขียวใส่คำเที่ยง
“เฮาถามนายของเจ้า จะไดโตตอบแทนนายโตหมด นายของเจ้าเจ็บปากโตยจนอู้บ่ ได้หรอจะได”
“ใครบอกว่าเฮาเจ็บปาก บ่ได้เจ็บซักเตื้อ”มณีรินแย้ง
ศิริวงศ์ยิ้มพอใจ
“อ้าว อู้ได้แล้วก๊า”
มณีรินสะบัดงอนพองาม มือศิริวงศ์ที่โผล่หลังมาแต่แรกยื่นออกมา ส่งลูกประคบที่ห่อผ้าขาว ให้มณีริน
“ทายาหมอจีน ยังบ่หาย ก็ลองลูกประคบเชียงใหม่นี่ดูเน้อ เฮาหื้อหมอหลวงจัดมาหื้อเจ้านางมณีรินโดยเฉพาะ”
มณีรินรับรู้ในน้ำใจของศิริวงศ์ แต่ยังถือตนไม่ยอมรับ ศิริวงศ์ยิ้มๆหันไปมองคำเที่ยง
“เจ้าชื่อคำเที่ยงใช่ก๊า”
“เจ้า”
“โต รับลูกประคบนี่แทนนายโต นี่เต๊อะคำเที่ยง นายโตคงจะยังเคืองเฮาอยู่ เฮาอู้อะหยังโตย ก็บ่ฮู้โตยเฮา จะขอบใจเฮาสักคำ ก็บ่มี”
คำเที่ยงคลานเข้ามารับลูกประคบไปจากศิริวงศ์
“ขอบใจ๋”มณีรินพูดเรียบๆ
ศิริวงศ์ยิ้ม หยิบหนังสือขึ้นมาดู
“เจ้านางมณีริน อ่านหนังสืออะหยังน๊อ”
“หันแล้วยังจะถาม”
“ประวัติศาสตร์โลก อ่านแล้วปวดหัวจะต๋าย อ่านไปยะหยังน๊อ”
“ผู้ใดกึ๊ดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ บ่ มีประโยชน์อะหยัง ก็ช่าง เฮาอยากเห็นโลกนี้หื้อมากๆ เฮาบ่มีโอกาสเดินทางไกลๆ เฮาก็ต้องเดินทางไปกลับหนังสือเล่มนี้แหละ”
“เรายัง บ่ ได้ว่าอะหยังสักเตื้อ คำเที่ยงเจ้าได้ยินก่อ หรือหูของเจ้านายโต บ่ดี”
มณีรินหันขวับไปเผชิญหน้าศิริวงศ์ แต่ก็โกรธไม่ลง เพราะรอยยิ้มและแววตาที่แจ่มใสของเขา
“ศิริวงศ์”เสียงศิริวัฒนาดังขึ้น
ทุกคนหันไปมอง ศิริวัฒนาเดินเข้ามา
“น้องมาอยู่แถวนี้ได้จะได”
“น้องเดินเล่นมาเรื่อยๆ นะครับเจ้าอ้าย”
“แล้วนี่รู้จักกันแล้วก๊า เจ้ารินนี่ศิริวงศ์ น้องพี่ ศิริวงศ์เปิ้นไปเรียนหนังสืออยู่พระนครแต่น้อย เพิ่งจะได้ปึ๊กมาเชียงใหม่ น้องเรียนวิชาอะหยังเป็นวิชาหลักนะ พี่เลือนๆเสียแล้ว”
“ประวัติศาสตร์กับกฎหมายครับเจ้าอ้าย”
มณีรินรู้สึกว่าตัวเองหน้าแตก ศิริวัฒนาหันมายิ้มให้มณีริน
“เจ้านางมณีรินเปิ้นก็สนใจ๋วิชาประวัติศาสตร์เหมือนกัน คงจะได้คุยกันสนุกละ”
“น้องว่า เผลอๆ พี่สะใภ้ของน้อง จะรู้เรื่องประวัติศาสตร์ลึกซึ้งกว่าน้องนะสิครับเจ้าอ้าย”
มณีรินรู้สึกทะแม่ง ๆกับคำเรียก “พี่สะใภ้” ยังไงก็ไม่รู้มันเป็นสถานภาพที่ไม่อยากได้รับเลย
ในปัจจุบัน...
เรรินที่ยังคงนั่งอยู่บนกี่ทอผ้า ศิริวัฒนายิ้มให้บางๆ
“ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ฉันว่าฉันยังทอผ้าต่อไหว ฉันอยากจะทอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เพราะคุณอยากรู้เรื่องในอดีต”
“นั่นก็เป็นอีกเหตุผลนึงค่ะ”
“อย่าใจร้อนเกินไปนักเลย เพราะถ้าคุณได้รู้เรื่องราวมากเข้า คุณอาจจะล้มเลิกความคิดที่จะทอผ้าผืนนี้ให้เสร็จก็ได้”
“ทำไมคะ ทำไมคุณถึงคิดว่า ฉันจะล้มเลิกความตั้งใจของฉันกลางคัน”
“มนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายล้าง ความมหัศจรรย์มากมายหลายสิ่งในโลกนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะฝีมือมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ความอัปยศน่าหดหู่ ก็บังเกิดขึ้นเพราะน้ำมือมนุษย์เช่นเดียวกัน เชื่อผมเถอะเจ้ารินผมทนรอคอยมาได้เจ็ดสิบปี กับแค่อีกสองอาทิตย์ตามที่คุณบอกผมไว้ว่าคุณจะทอผ้าให้เสร็จ ทำไมผมจะรอคอยไม่ได้ ราตรีสวัสด์”
ศิริวัฒนายิ้มให้ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินหายเข้าไปในภาพเขียนสีน้ำมันภาพนั้น
“เจ้าคะ...เจ้าศิริวัฒนา”
นี่เป็นครั้งแรกที่เรรินเรียกฐานันดรศักดิ์ที่ถูกต้องของเขา ในภาพเขียนสีน้ำมันนั้นยังเห็นร่างจาง ๆ เล็ก ๆของเขา เดินขึ้นตึกคุ้มเจ้าหลวงไปอีกจนลับตา
+ + + + + + + + + + + +
เรริน แฝงตัวในความมืดมาที่ประตูเล็กด้านหลัง มองรอบตัวจนแน่ใจว่าไม่มีใครแถวนั้น จึงออกมาจากมุมที่ซ่อน รีบตรงไปที่ประตูเล็กใต้ซุ้ม ทันทีที่มือจับที่จับบานประตู หมาข้างนอกก็พากันหอนส่งเสียง ต่อกันมาเป็นทอดๆ จากไกลมาใกล้และสุดท้ายก็มาดังน่าขนหัวลุก แถวข้างนอกนี้เอง
เรรินรวบรวมความกล้า มือข้างนึงกระชับถุงย่ามในมือไว้ เปิดประตูและก้าวออกมา เมื่อหันไปที่ประตูมืออีกข้างกุมพระเครื่องที่ห้อยอยู่ในสร้อย เพื่อความอุ่นใจ เรรินมองตรอกเล็ก ๆที่เงียบสงัด วังเวง พิกล
ผีอีเม้ย ตัวสูงเป็นเปรตเท่าต้นตาลจนเรรินมองไม่เห็น ผีอีเม้ยยืนกางขา เรรินกำลังเดินลอดผ่านหว่างขามัน ผีอีเม้ยก็ก้มหัวลงมา นมยานโทงเทง มันเอื้อมมือลงมาจะคว้าตัวเรริน ทันใดนั้นรอบตัวเรรินเหมือนมีรัศมีใสๆ เรืองสว่างขึ้นซึ่งเกิดจากอำนาจพุทคุณ มือผีอีเม้ยแค่แตะโดนรัศมีนั้นก็ต้องชักมือกลับเหมือนถูกของร้อน มันกรีดร้องโหยหวน ร่างบิดงอจนอันตรธานหายไปในอากาศ เรรินชะงัก เพราะได้ยินเสียงกรีดร้อง แหงนหน้าขึ้นมองในอากาศเห็นกลุ่มแสงสีเขียวของผีอีเม้ย ที่ม้วนตัวกลางอากาศก่อนจะเลือนหายไป เรรินออกวิ่งทันที
ในความมืดสลัวของห้องทอผ้า ศิริวัฒนายืนมองผ้าตุ๊มที่ทอค้างไว้บนกี่ ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต…
ศิริวงศ์กับศิริวัฒนา เดินมาด้วยกันในสวนหลังตึกคุ้มเจ้าหลวง
“น้องกึ๊ดว่า เจ้านางมณีริน เป็นจะไดพ่องศิริวงศ์”
“เปิ้นเป็นแม่หญิงฉลาด เป็นตัวของตัวเองสูงนะครับ เจ้าอ้าย”
“สมกับตำแหน่งพระชายา เจ้านครเชียงใหม่ในวันข้างหน้าใช่ก๊า”
“ครับ...งานแต่งจะจัดขึ้นเมื่อใดครับ”
“เดือนแปดนี้แหละ”
“แล้วบัวเงินล่ะครับเจ้าอ้าย”
ศิริวัฒนามองหน้าน้องชาย
“บัวเงิน...ทำไม”
“เจ้าอ้ายจะเอาบัวเงินไปไว้ที่ใด”
“บัวเงินก็เป็นหม่อมของพี่ไป พี่ก็เลี้ยงดูอย่างดี บ่ หื้อน้อยหน้าผู้ใด”
“เจ้าอ้ายนึกถึงความรู้สึกของเปิ้นด้วย นะครับ”
“พี่คุยกับบัวเงินแล้ว บัวเงินก็เข้าใจทุกอย่างดี ที่แรกก็น้อยอก น้อยใจบ้าง แต่ตอนนี้ก็ไม่เห็นจะว่าจะได”
“ผมหมายถึง ความรู้สึกของเจ้านางมณีรินนะครับ”
“โตกิ๊ดว่าเจ้าริน เปิ้นจะรู้สึกจะได”
“เปิ้นเป็นคนหัวสมัย บ่ ใช่น้อย เรื่องผู้ชายหลายเมีย เปิ้นอาจจะรับ บ่ได้”
ศิริวัฒนาหัวเราะ
“โตไปร่ำเรียนถึงพระนคร ซึมซับค่านิยมแบบคนตะวันตกคงจะมาไม่น้อย ไอ้เรื่องผัวเดียวเมียเดียว ฝรั่งตะวันตกมันจะกึ๊ดว่าเป็นเครื่องแสดงความศิวิไลซ์ก็ช่างหัวมัน เฮาเห็นคนตะวันออก เฮาก็มีวิถีชีวิตของเฮา บ่ หันจะต้องไปเดินตามรอยตีนฝรั่งมัน เจ้ารินกับพี่ ผู้ใหญ่เปิ้นจัดการหมันหมายกันเอาไว้แต่เป็นละอ่อน พี่ว่าเจ้ารินเปิ้นก็ต้องเข้าใจเปิ้นต้องฮับได้ เปิ้นกับบัวเงินก็ได้ปะหน้ากันแล้ว พี่ก็หันว่าเปิ้นฮักใคร่นับถือกันดี บ่มีอะหยังหื้อต้องหนักใจ๋”
ปัจจุบัน...
...มือศิริวัฒนา ค่อย ๆ เอื้อมาลูบคลำ ผ้าตุ๊มบนกี่
“พี่กึ๊ดแต่ด้านของตัวเอง บ่ เคยนึกถึงจิตใจของผู้อื่น พี่เป็นคนห็นแก่ตัวมาก ใช่ก๊า...ถึงผ้าผืนนี้จะ บ่ มีวันทอเสร็จตุ๊ม พี่ก็ บ่ เสียใจ๋ เพราะเป็นบาปเป็นกรรมของพี่คนเดียว”
ศิริวัฒนา ยืนเหงาวังเวงอยู่กับกี่ทอผ้า
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเดินมาตามทางเดินเล็ก ๆ จะกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างหนึ่งนั่งอยู่ในความมืดสลัว
“นั่นใครคะ”
ร่างนั่นค่อย ๆ ขยับลุกขึ้นยืนและก้าวเข้ามาในแสงสว่างจนพอจะเห็นใบหน้าชัดเจน
“ผมเองครับ คุณริน”
เรรินมองสุริยวงศ์ด้วยความรู้สึกแตกต่างไปจากที่เคยรู้สึก เขาไม่ใช่คนแปลกหน้าที่เพิ่มได้รู้จักกันไม่นาน แต่ความผูกพันมันเกลียวแน่น เธอเข้าใจแล้วว่าทำไม เขาถึงตกหลุมรักเธอได้รวดเร็วนัก
“คุณสุริยะ”เป็นครั้งแรกที่เรริน เรียกชื่อของเขาสั้นๆ ไม่เรียกสุริยวงศ์อย่างเคย “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ”
“ผมเป็นห่วงคุณ ผมไม่รู้ว่าคุณไปไหน อย่างเดียวที่ผมคิดว่าผมจะทำได้ คือ คอยคุณอยู่ที่นี่ แค่ให้ได้เห็นกับตาว่าคุณกลับมาที่พักอย่างปลอดภัย ผมก็สบายใจแล้วครับ”
เรรินรับรู้ความจริงใจของเขา บวกกับความผูกพันในอดีตชาติ เรรินถึงกับน้ำตาซึม สุริยวงศ์ฝืนยิ้มให้ เรรินเพิ่งได้เห็นรอยช้ำบนหน้าเขา
“หน้าคุณ ไปโดยอะไรมา อุบัติเหตุเหรอคะ”
สุริยวงศ์ส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอกครับ ไม่ใช่อุบัติเหตุ”
เรรินมองนิ่ง เหมือนต้องการคำตอบให้ได้
“ผมยิ่งหวงคุณเป็นร้อยเท่า พันเท่า คุณริน คู่หมั้นของคุณ เขาตามคุณมาถึงเชียงใหม่นี่แล้วครับ”
เรรินใจหายวาบ
“ธนินทร์”
“เขาจะพาตัวคุณรินกลับไปให้ได้”
เรรินน้ำตาร่วง
“ตอบผมได้ไหมครับคุณริน ว่าถึงเวลาที่คุณจะต้องกลับไปกับเขาแล้ว และวาสนาของผมก็มีเพียงเท่านี้”
เรรินสงสารสุริยวงศ์จับจิต น้ำตาร่วงพรู เธอโผเข้ากอดเขาแน่น เหมือนขอยึดไว้เป็นที่พึ่งสุดท้าย สุริยวงศ์ค่อย ๆ ยกมือขึ้น โอบกอดร่างบางของเธอไว้ รางอันสั่นสะท้านจากการร้องไห้ของเธอ มันเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขามากเช่นไร
(จบตอนที่ 9)
อ่านต่อวันพรุ่งนี้