(ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า 09.3 0น.)
รอยไหม ตอนที่ 11
บ่าววิ่งออกมาต้อนรับ เมื่อรถสุริยวงศ์ ลงมาจากรถที่เพิ่งขับมาถึงหน้าเรือนบัวเงิน...
“คุณสุริยะบ่ได้มาหลายวันเลยเน้อ”
“งานฉันยุ่งนิดหน่อย...คุณย่าสบายดีก๊า”
“สบายดีเจ้า แต่พักหลัง แม่คุณเปิ้นนอนดึก บางคืนจนไก่ขัน เปิ้นถึงได้เข้านอน”
“เปิ้นคงนอนกลางวันนักละมัง”
“คงจะเป็นจะอั้นเจ้า”
“แล้วมีแขกมาหาเปิ้นบ้างก่อ”
“มีเหมือนกันเจ้า แต่เปิ้นบ่ยอมหื้อผู้ใด เข้าเยี่ยมซักราย เมื่อซักพักคุณวงพระจันทร์ก็เพิ่งปิ๊กไปเจ้า”
“นึกแล้วไม่มีผิด”
สุริยวงศ์ได้ยินชื่อวงศ์พระจันทร์ก็เซ็งทันที สุริยวงศ์ขึ้นเรื่อนไปพบบัวเงินนั่งอยู่ จึงคลานเข้าไปกราบ บัวเงินหน้ายิ้มละไม ไม่มีแววของความโกรธแค้นชิงชังใดๆ
“วงพระจันทร์นับวันมันจะเหมือนผีบ้าเข้าไปทุกที มันอู้อะหยัง เชื่อบ่ค่อยได้ ย่าบ่อยากจะฟังมันดอก เพื่อนเจ้าปิ๊กกรุงเทพฯไปแล้วก๊า สุริยะ”
สุริยวงศ์อดงงไม่ได้
“เพื่อนคนใด ครับคุณย่า”
“แม่หญิงคนที่เจ้าเคยพามาหาย่าคนที่เปิ้นว่าเปิ้นฮักผ้าโบราณ อยากจะผ่อผ้าโบราณของย่าไง”
“อ๋อ...คุณริน...ยังครับ เปิ้นยังอยู่เชียงใหม่”สุริยวงศงงที่วงพระจันทร์ไม่ได้เล่าให้ฟังหรอกหรือ
“เปิ้นคงฮักเชียงใหม่นักขนาด เอ็นดูเปิ้นเนาะ...”
“คุณย่าครับ...”
“เปิ้นอยากจะผ่อผ้าโบราณของย่าวันใด สุริยะก็พาเปิ้นมาเน้อ”
สุริยวงศ์ยิ้มพึงใจ
“ครับคุณย่า”
“หลานคบผู้ใด ย่าก็ว่าคนคนนั้นต้องดี...แล้วเปิ้นมีไมตรีตอบโตก๊า สุริยะ”
“เปิ้นก็บ่ได้ชังบ่ได้ปฏิเสธ ผมดอกครับคุณย่า”
"ค่อยผ่อกันไปเน้อ ความฮักมันเป็นเรื่องห้ามกันบ่ได้ ย่าเข้าใจ๋ แต่จำไว้เน้อสุริยะใคร่หื้อเปิ้นฮัก ยากนักจักหวัง ใคร่หื้อเปิ้นจัง กำเดียวก็ได้”
“ครับคุณย่า”
สุริยวงศ์ยกมือไหว้ลาแล้วออกไป บัวเงินมองตามอย่างมีแผนในใจ
+ + + + + + + + + + + +
บ่าวกำลังถูบันได เมื่อสุริยวงศ์ลงบันไดมา
“เป็นจะไดพ่อง ศรีออน”
บ่าวสะดุ้งสุดตัวเพราะหลอนเป็นทุนอยู่แล้ว หลับตา ก้มหน้าก้มตา ร้องไห้ ยกมือไหว้ประลกๆ
“กั๋วแล้ว...ข้าเจ้ากั๋วแล้ว”
“ศรีออน...เฮาเองเน้อ สุมาเต๊อะ ที่เฮาทำหื้อตกใจ๋”
“ข้าเจ้าบ่อยากอยู่ที่นี่แล้ว คุณสุริยะ ข้าเจ้ากั๋ว...”
“กั๋วอะหยัง”
“ข้าเจ้าจะปิ๊กบ้าน บ่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”ศรีออนร้องไห้
“ศรีออนบ่อยู่ แล้วผู้ใดจะดูแลคุณย่าล่ะ”
“แม่คุณเปิ้นเลี้ยงผี...ข้าเจ้ากั๋ว”
“เหลวไหล ผีอะหยัง โตอู้อะหยัง ศรีออน”
“แม่คุณเปิ้นเลี้ยงผี ผีฮ้าย ข้าเจ้าหันกับตา”
“เหลวไหล ผีอะหยัง โลกนี้บ่มีผีดอก”
ศรีออนฟูมฟาย แล้วรนรานออกไป สุริยวงศ์มองตามอย่างสงสัย
+ + + + + + + + + + + +
ในอดีต ที่ศิริวัฒนาพาเรรินกลับมาเห็นนั้น...
เจ้าหลวงประทับนั่งข้างพระชายา มองมณีรินที่นั่งอยู่...
“เจ้ามาอยู่เวียงเชียงใหม่ ร่วมเดือนแล้ว สุขสบายดีก่อ มณีริน”
“เพราะพระบารมี พ่อเจ้าหลวง และพระชายาแม่เจ้า ข้าเจ้ามณีริน ได้ฮับพระกรุณาเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม สุขสบายดีเจ้า”
พระชายามองมณีรินอย่างเอ็นดู
“ขาดเหลืออะหยังก็บอกแม่เน้อเจ้านางน้อย บ่ต้องเกรงอ๊ก เกรงใจ๋”
“พ่อมีแต่ลูกชายบ่เคยมีลูกสาว อู้กันตามตรง บ่ฮู้ใจ๋”
บัวเงินที่หมอบก้มหน้าอยู่อีกด้าน หันไปสบตาเม้ยอย่างหมั่นไส้มณีริน พระชายากล่าวต่อ...
“วันนี้แม่ก็เลยต๊กลงใจ๋ว่า จะหื้อบัวเงินเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล เจ้านางน้อย อยากได้อะหยัง คับอกคับใจ๋ อะหยังก็บอกบัวเงินเปิ้นเน้อ”
มณีรินชะงัก คำเที่ยงอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง ลุ้นให้มณีรินปฏิเสธ แต่มณีรินกลับตอบรับ
“เป็นพระกรุณาพ่อเจ้า แม่เจ้าแต๊ๆเจ้า”
พระชายาหันไปหาบัวเงิน
“บัวเงิน”
“เจ้า...”
“ข้าฮู้ว่า ทุกวันนี้งานของเจ้าก็นักหนาเต็มมืออยู่แล้ว ยังจะเพิ่มภาระหื้อเจ้าแหม”
เม้ยลุ้นให้บัวเงินปฏิเสธเช่นกัน แต่บัวเงินตอบรับ
“บัวเงินบ่กึ๊ดว่าเป็นภาระดอกเจ้า แม่เจ้างานการใดที่เป็นการแบ่งเบาภาระพ่อเจ้าแม่เจ้าได้ บัวเงินก็ยินดีฮับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้เจ้า เจ้านางน้อย บัวเงินก็ฮักเหมือนน้องสาวแต๊ๆ ของบัวเงิน มีอะหยังหื้อพี่ช่วยได้ พี่ก็เต็มอ๊กเต็มใจ๋เน้อ เจ้านางน้อย”
บัวเงินเอื้อมไปจับมือมณีรินและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร มณีรินยิ้มตอบ พระชายากับเจ้าหลวงยิ้มสบายใจ
+ + + + + + + + + + + +
เรือนบัวเงิน มีบริวารช่วยกันทำงานเป็นระวิง บางคนตีนุ่นยัดที่นอนนางคนเย็บฟูก เม้ยตามติด บัวเงิน ที่เดินกลับเข้ามา
“หม่อมเจ้าขา...จะไดหม่อมไปตกปากฮับคำแม่เจ้าเปิ้นจะไดหม่อมบ่ปฏิเสธ เพราะจะปฏิเสธจริงๆ ก็มีวิธีถมเถไป”
“จะไดมึงกึ๊ดว่ากูควรปฏิเสธ อีเม้ย”
“โธ่...หม่อมเจ้าขา ไปเป็นพี่เลี้ยงมัน มันก็บ่ต่างจากไปเป็นขี้ข้ามันดอกเจ้าเม้ยขัดใจนักขนาด เม้ยบ่เข้าใจ๋ว่าจะไดหม่อมจึงยอมลดศักดิ์ศรีของหม่อมจะอี้”
“อีเม้ย...จะไดมึงง่าวจะอี้...มึงบ่ฮู้กูแต๊ๆก๊า”
“เม้ยเกิดมาอาภัพแต๊ๆ”
“น้ำได้หนทาง ผีสางได้กำปาก...กูจะแกล้งทำดีกับมันหื้อมันต๋ายใจ๋ สบช่องเมื่อใดกูจะเหยียบมันหื้อจมอยู่ใต้ฝ่าตีนกู มึงคอยผ่อดีๆเน้ออีเม้ย”
เม้ยเพิ่งเข้าใจตบเข่าฉาด
“ป๊าด...หม่อมของเม้ย นอกจากจะงามเหนือใครในหล้าโลกแล้ว สติปัญญายังหลักแหลมบ่มีผู้ใดเทียบได้อีกด้วย เจ้าค่ะ”
เม้ยระริกเอาใจนาย บัวเงินยิ้มเย็น
+ + + + + + + + + + + +
ที่เรือนของมณีริน
บริวาร เข็นฝ้าย กรอฝ้ายกันอยู่ใต้ถุนเรือน คำเที่ยงตามติดมณีรินเข้ามา
“เจ้ารินต้องระวังโตดีๆเน้อ พี่ละสังหรณ์ใจจะไดก็บ่ฮู้”
“พี่คำเที่ยงละกึ๊ดมาก เปิ้นจะมากิ๊ดฮ้ายกับเฮาจะได”
“โอ๊ย...คำปากว่าแต๊ ในใจ๋ บ่ต๋านจ๋าพูดเอางาม นิ้วใสช่วยหน้า พี่ว่าหม่อมบัวเงินเปิ้นเป็นจะอั้นละ”
“เบาๆหน่อย พี่คำเที่ยง เดี๋ยวใครได้ยิน เปิ้นจะกึ๊ดว่าเฮาให้ร้ายคนอื่น เปิ้นเน้อ บ่ดี”
“ใครจะกึ๊ดอย่างใดก็ช่างหัวมันเต๊อะพี่กึ๊ดของพี่จะอี๊”
“พี่คำเที่ยงตี๋ตนไปก่อนไข้ เชื่อเฮาเต๊อะ ในเมื่อเฮาบ่เคยกึ๊ดฮ๊ายกับผู้ใดเฮาจะต้องกัวอะหยังโตย”
“ระวัง น้อ เจ้าริน บางเตื้อ การเป็นคนดีเกินไปมันก็นำภัยฮ้ายมาสู่โตได้เน๊อ”
“เอาเต๊อะ เฮาจะระวังโตไว้”
“แต่นี่ขอบอก ไว้ตรงนี๊เลยเน้อ ผู้ใดมันกึ๊ดฮ้าย กับเจ้าริน พี่จะบ่ยอมมันดอกจะต้องแหลกกันไปข้างนึ่ง”
คำเที่ยงมุ่งมั่น จนมณีรินอดขำไม่ได้
+ + + + + + + + + + + +
ในปัจจุบัน...
รถสุริยวงศ์เข้ามาจอดด้านหน้าคุ้มเจ้าหลวง ตึกคุ้มเจ้าหลวงดูสงบวังเวง สุริยวงศ์เดินแยกออกไปอีกทางตามป้ายบอกพิพิธภัณฑ์ฝ้าโบราณเก็ดถะหวา อย่างมั่นใจว่า เรรินต้องมาที่นี่แน่ๆ
ไหมแมกับพนักงาน ยังเกาะกลุ่มกันวิพากษณ์วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ละคนขนลุกขนชัน
“เฮาว่าเฮาบ่ได้ตาฝาด พี่ไหมแมหันเหมือนเฮา ห้องนั้นต้องมีผีแน่ๆ”
สุริยวงศ์เข้ามาพอดี
“เลิกอู้เรื่องนี้ได้แล้ว มีอะหยังก็ไปทำ” ไหมแมไล่พนักงาน
พนักงานสลายตัวแต่ละคนยังหลอนๆ ไหมแมอาการหนักไม่แพ้กัน
“ไหมแม...”สุริยวงศ์เรียก
ไหมแม สะดุ้งเฮือกหันมา
“เจ้า...สวัสดีเจ้า คุณสุริยะ”
“คุยเรื่องอะไรกันอยู่”
“บ่ มีอะหยังเจ้า...บ่มีอะหยัง”
“ก็ฉันได้ยินกับหู ห้องไหนที่ว่ามีผี”
ไหมแมหวาดๆ แล้วตัดสินใจเล่าให้ฟัง
สุริยวงศ์ก้าวเข้ามาในห้องทอผ้า ไฟถูกเปิดสว่างขึ้น ไหมแมค้างๆ คาๆ อยู่ปากประตู เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้โกยง่ายหน่อย
“ตรงไหน ที่ว่าเห็น”
“แถวหน้ารูปนั่นน่ะเจ้า คุณสุริยะ”
สุริยวงศ์มองไปที่ภาพเขียนสีน้ำมัน ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร
“ปกติห้องนี๊คล้องกุญแจไว้ไม่ใช่เหรอ”
“เจ้า...ข้าเจ้าถึงได้แปลกใจ๋ เลยเปิดเข้ามาดู”
สุริยวงศ์มองไปเห็นกุญแจโบราณ ทั้งแม่และลูกกุญแจวางไว้บนสันขอบกี่ทอผ้า
“ใครเป็นคนถือกุญแจ”
“ข้าเจ้าเองเจ้า ลูกกุญแจก็มีดอกเดียว ผู้ใดจะมีลูกกุญแจได้จะได” ไหมแมครุ่นคิด
“ไหมแม กลับออกไปก่อนก็ได้”
“เจ้า...”
ไหมแมรีบหลบออกไปทันที สุริยวงศ์มองกุญแจโบราณในมือ คิดอะไรไม่ออก ขยับจะออกจากห้องแต่แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งวางอยู่ที่โคนเสากี่ทอผ้า ด้านที่นั่งคนทอ เขาเดินกลับมาดู และหยิบสิ่งนั้นขึ้นมา มันคือถุงย่ามของเรริน สุริยวงศ์ประหลาดใจ
“คุณริน”
สุริยวงศ์จับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าเรรินเข้ามาในนี้ทำไม ฝ้าตุ๊มสีงาช้างจกดิ้นคำ คาอยู่ในกี่ทอผ้า สุริยวงศ์ ค่อย ๆเอื้อมมือมาสัมผัสผ้าตุ๊มผืนนั้น
ในอดีต...
มณีรินจับชนเม่นจกเส้นไหมลายสร้อยสา มีบัวเงินยืนคุมอยู่ข้างกี่
“จะไดงุ่มง่ามนัก ลาย อุบะสร้อยสาง่าย ๆจ๊กมาเป็นสินดอกแล้วเน้อเจ้านางมณีริน”
คำเที่ยงที่นั่งกรอฝ้ายอยู่ไกลๆออกไป มองขัดใจและสงสารมณีริน
“นี่ขนาดจ๊กฝ้าย ง่ายกว่าจ๊กไหมแต๊ๆ งุ่มง่ามจะอี๊ปีนี้จะได้นุ่งผ้าผืนนี้ก่อ หรือจะรดไว้นุ่งชาติหน้า”
เม้ยสะใจ ยิ้มหยัน คำเที่ยงฉุนกึกเลือดฉีดขึ้นหน้าผ่าวๆ
“เฮา บ่ได้เร่งร้อน เฮาอยากหื้อผ้าของเฮาออกมางดงามเรียบร้อยที่สุด” มณีรินแย้ง
บัวเงินงัดคานไม้ที่ม้วนเก็บผ้าที่ทอแล้วออกจากล็อคพลิกผ้าจกด้านจริงขึ้นมาประจาน
“ฝีมือจะอี้ ฮ้องว่างดงามก่อ อีเม้ย”
“เม้ยจะหัวหลุดจาก บ่า ก่อเจ้า ถ้าเม้ยอู้ตามจริง”
“ถ้ามึงจะจ้าดวอก ก็เรื่องของมึง”
“ฝีมือจะอี๊ ขี๊ข้าในป่าในดอยมันนุ่งหื้อ”
บัวเงินยิ้มสะใจ คำเที่ยงลุกพรวดขึ้นมา
“มันจะมากไปแล้ว จะไดบ่ฮักษาน้ำใจกันบ้าง”
“กูฮู้ไปตามที่กูหัน มึงจะช้อนโตแทนนายมึง ไปยะหยัง อีคำเที่ยง นายมึงยังบ่ว่าจะไดเลย”
“บ่ เป็นหยังดอกพี่คำเที่ยง ว่ากันตามจริงผ้าผืนนี้มันก็ บ่ งาม อย่างที่เปิ้นฮู้น่ะแหละ มันเป็นผ้าจ๊กผืนแรกของเฮา ช่างมันเต๊อะเอาไว้ผืนหน้า เฮาจะตั้งอกตั้งใจหื้อมากกว่านี้” มณีรินตัดบท
“ยังกึ๊ดจะทอผืนหน้าแหมก๊า เจ้านางมณีรินจะไหวก๊า ไปทำยะอย่างอื่นเต๊อะ ถ้ากึ๊ดจะเอาฮ๊กเอาใจ๋แม่แจ้วเปิ้น บ่ ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็ง อิดเปล่าๆ”
บัวเงินเดินออก เม้ยหัวเราะ ตามนายออกไป
“เจ้าริน จะไดบ่ตอกกลับเปิ้นไปบ้าง ปล่อยหื้อเปิ้นว่าเฮาฝ่ายเดียว”
“ช่าง เปิ้นเต๊อะ เฮาถือว่าเปิ้นเป็นครู เฮา เปิ้นติก็เพราะเปิ้นคงอยาก หื้อเฮาทอผ้าได้งามๆ เฮาเป็นศิษย์เปิ้น เฮาจะโกรธเปิ้นได้จะได พี่คำเที่ยง”
“โอ๊ย เจ้าริน จะไดถึงเป็นคนดี จะอี๊น๊อ”คำเที่ยงหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ
+ + + + + + + + + + + +
ที่เรือนบัวเงิน...บริวารกำลังตัดกระดาษสี ทำพู่ตกแต่งก๋วยสลากบางคนห่ออาหารของแห้ง เตรียมจัดใส่ก๋วยสลาก บัวเงินพันพู่กระดาษสี เม้ยวิ่งขึ้นบันได คลานเข้ามากระหือกระหอบ
“หม่อมเจ้าขา หม่อม”
“อะหยังของมึงอีเม้ย โหวกเหวกเป็นไพร่แต๊ๆ”
“เม้ยไปในสวนมา เม้ยหันเจ้าศิริวัฒนาเปิ้นลงจากคุ้มเหมือนจะมาทางนี้”
“ก๊า...เจ้าพี่กำลังมาเฮือนกูก๊า อีน่อย อีแดง อีใจ พวกมึงรีบเก็บกวาดข้างของรกๆ ออกไปหื้อโวยๆ เจ้าเปิ้นกำลังจะมา”
“เปิ้นจะมา แต่เปิ้นบ่มาแล้วเจ้า”เม้ยเสียงอ่อนลง
บัวเงินชักโมโห
“มึงอู้จะได ของมึงอีเม้ย”
“พอเปิ้นเดินตัดสวนมาถึงทางแยก เปิ้นก็เลี้ยวไปทางปู๊นเจ้าค่ะหม่อม”
“ทางใด...ทางปู๊นของมึง”
“เฮือน อีมณีรินเจ้า”
บัวเงินโกรธตัวสั่น
“จะได เจ้าพี่บ่มาเฮือนกูก่อน แล้วมึงตามไปผ่อก๊า ว่าเฮือนอีนั่น มันมีอะไรดี”
“เม้ยตามไปแอบดู เจ้าค่ะ มันกำลังแต่งก๋วยสลากเหมือนกั๋น”
“มันก็คงเป็นชะลอมน้อยๆใช่ก๊า อีเม้ย”
“หม่อมเจ้าขา ก๋วยสลากของมัน ใหญ่กว่าสูงกว่าของหม่อม อีกเจ้าค่ะ”
บัวเงินเจ็บแค้นใจ
“อีมณีริน มึงกึ๊ดจะแข่งบุญ แข่งบารมีกับกูก๊า แล้วเจ้าพี่ของกูว่าจะได”
“เจ้าศิริวัฒนา หน้าบาน ยิ้มบ่ ยอมหุบแล้วก็เข้าไปช่วยมันแต่งก๋วยสลากโต๊ย เจ้าค่ะหม่อม”
บัวเงินแค้นแสนแค้น เมื่อได้ฟังอย่างนั้น
+ + + + + + + + + + + +
ก๋วยสลากต้นใหญ่ กำลังถูกตกแต่งด้วยกระดาษสี อาหารแห้ง ถูกบรรจุใส่ต้นก๋วยสลากมากมาย ศิริวัฒนากับ ศิริวงศ์ ช่วยกันแต่งก๋วยสลาก
ศิริวัฒนาแอบมองมณีรินที่อยู่คนละฟากของก๋วยสลาก มณีรินทำเป็นไม่เห็น ไม่สนใจ ศิริวงศ์ส่งของให้ ศิริวัฒนารับมาแล้วหันไปหามณีริน
“อันนี้ติดตรงไหนดีล่ะเจ้าริน ตรงนี้ดีก่อ”
“เจ้า”
“แล้วอันนี้ล่ะ ติดตรงนี้เน้อ”
“เจ้า”
ศิริวัฒนาหาทางวนเข้าไปจนใกล้มณีริน ซึ่งกำลังปักพู่กระดาษใส่ต้นก๋วยสลาก มือชนมือศิริวัฒนา คำเที่ยงปลื้มใจ มณีรินหลบตาไม่กล้าสบตาด้วย ศิริวัฒนายิ้มกรุ้มกริ่ม มณีรินผละออกเมื่อเห็น บัวเงินกับเม้ยยืนมองจ้องเขม็งอยู่
“เจ้าพี่ เจ้า”บัวเงินพูดหวานทันที
ศิริวัฒนามองอย่างแปลกใจ
“บัวเงิน เจ้ามาแต่เมื่อใด มา...มาช่วยกันจัดก๋วยสลากเจ้ารินเปิ้นกัน”
“แหม...ก๋วยสลากเจ้านางมณีรินงามแต๊ๆ ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี ก๋วยสลากของน้องสู้บ่ได้เลย”บัวเงินประชดประชัน
“ใหญ่เล็ก บ่ สำคัญดอกเอื้อย อยู่ที่ศรัทธาตามอัตภาพของเฮามากกว่า”
“ก็เจ้านางมณีรินเปิ้นบารมีนักขนาด ก๋วยสลากของเปิ้นจึงงดงามจะอี๊ อีเม้ยเอ๊ย”
“เจ้าขาหม่อม”
“มึงผ่อเอาไว้เน้อ แข่งอะหยังก็แข่งได้ แต่แข่งบุญ แข่งบารมี นี่มันแข่งกัน บ่ได้ดอก”
“เจ้าค่ะหม่อม เม้ยจะจำใส่กะลาหัวไว้เจ้าค่ะ”
“เฮาว่าบุญกุศลเกิดขึ้นได้ทุกเวลา คิดดี ทำดี ก็เป็นบุญกุศลแล้วก๋วยสลากต้นนี้ เฮาตั้งใจ๋นัก หื้อพระศาสนาสืบทอดไปนานแสนนาน บ่ ได้หวังอะหยังมากไปกว่านั้น”มณีรินพูดเรียบนิ่ง
บัวเงินชะงักแอบด่ากันชัดๆ บัวเงินยกมือพนมท่วมหัว
“สาธุ เจ้านางมณีรินกึ๊ดดี ทำดี จะอี้บุญกุศลถึงหนุนส่งหื้อเปิ้นงามนัก งามแต่เชียงตุงจนมาถึงเชียงใหม่นี่เลย มึงหันก่ออีเม้ย”
“เจ้าค่ะหม่อม”
บัวเงินถึงเนื้อถึงตัวมณีริน สำแดงว่ารักใคร่เอ็นดูนักหนา ศิริวัฒนายิ้มพอใจที่ทั้งสองคนดูเข้ากันได้ดี แต่ศิริวงศ์ดูออก รู้สึกถึงความอึดอัดของมณีริน
+ + + + + + + + + + + +
คุ้งน้ำแม่ปิงช่วงโค้งน้ำ ขบวนเรือหางแมงป่องเคลื่อนมาเป็นขบวนใหญ่ อลังการ วงมโหรีล้านนาบรรเลงในลำเรือนำขบวน ในเรือหางแมงป่องแต่ละลำตั้งก๋วยสลากที่ตกแต่งเต็มไปด้วยสีสันตระการตา เสียงโห่ร้องบอกบุญก้องคุ้งน้ำตามด้วยเสียงฮิ้วรับ
ในเรืองอีกลำ ตั้งกลองปูชา มือกลองตีกลองและร่ายรำโชว์ราชสำนักล้านนา ถัดมาเป็นเรือช่างฟ้อนอัญเชิญเทวดา โปรยดอกไม้สดลงน้ำตลอดเวลา
ศิริวัฒนากับ ศิริวงศ์ สล่าพันอยู่ในเรือหางแมงป่องลำกลางขบวน เรือด้านขวา คือ เรือมณีรินกับคำเที่ยงและบริวารแต่งเครื่องเต็มยศเชียงตุง ต้นก๋วยสลากอลังการ เรือด้านซ้าย คือ เรือบัวเงินกับเม้ยและบริวาร แต่งเครื่องล้านนาสวยงาม ต้นก๋วยสลากเต็มลำเรือ ประดับตุงผ้า ตุงกระดาษ ศิริวัฒนาชื่นมื่นมีความสุข มองส่งสายตาไปทางมณีรินที่กำลังชี้ชวนกันดูทิวทัศน์ข้างทาง จนหันมาเจอสายตาศิริวัฒนา มณีรินหลบสายตากรุ้มกริ่มคู่นั้น ทางด้านศิริวงศ์ก็มองมณีรินที่งามจนยากจะละสายตาออกมาได้
บัวเงินจ้องมอง ศิริวัฒนาตาเขียว
“หม่อมเจ้าขา จะไดเจ้าอ้ายของหม่อม บ่ ยอมหันมาทางนี้เลย” เม้ยถามอย่างสงสัย
บัวเงิน ค้อนไม่สบอารมณ์
“เปิ้นจะหันมาได้จะได ก็อีคนบนเรือลำปู๊นมันทอดสายตาหื้อเจ้าอ้ายของกูตลอดเวลาจะอั้น”
“หม่อมเจ้าขา หม่อมยิ้มไว้เต๊อะ เจ้าค่ะ วันนี้หม่อมของเม้ยงามหาผู้ใดเปรียบ หม่อม หน้ายักษ์จะดี๊ จะด้อยกว่ามันนะเจ้า ว๊าย เจ้าเปิ้นหันมาทางนี้แล้วเจ้าค่ะหม่อม”
บัวเงินฉีกยิ้มปั้นหน้าอิ่มบุญได้ในทันควัน ศิริวัฒนาหันมาเพราะศิริวงศ์ชี้ให้ดูไร่นาบนฝั่ง มองข้ามบัวเงินไป แล้วหันไปคุยกับศิริวงศ์ต่อไม่มองบัวเงินเลย บัวเงินหน้าหงิกกว่าเดิม
“เจ้าอ้าย บ่ได้ผ่อกูซักเตื้อ อีเม้ย นับวันกูก็ บ่ ได้อยู่ในสายตาเปิ้นแล้ว เพราะอีมณีรินคนเดียว”
“มันน่าตบล้างน้ำแต๊เชียวนะเจ้าคะหม่อม”
บัวเงินเจ็บแค้นใจเป็นที่สุด
+ + + + + + + + + + + +
ลานวัดมีก๋วยสลากมากมาย ทั้งจากขบวนเรือคุ้มเจ้าหลวง และของชาวบ้าน ตั้งวางแน่นลานวัด ผู้คนก็แน่นขนัด บรรยากาศครื้นเครงสนุกสนาน พระรับถวายก๋วยสลากกำลังสวดให้ศีลให้พร ศิริวัฒนา ที่นั่งประกบใกล้มณีริน ศิริวงศ์นั่งถัดห่างออกมากับสล่าพัน บัวเงินนั่งหน้าหงิกอยู่หลังสุด
“เม้ยละอยากจะบีบคอ อีขี้ข้าคำเที่ยงนักหม่อมดูสิเจ้าคะ มันทำหน้าระรื่น ยังกะเป็นเมียเจ้าอ้าย ของหม่อมซะเอง”เม้ยกระซิบ
“มันก็หน้าด้านพอกัน ทั้งนายทั้งบ่าวน่ะแหละ”
พระสวดบทกรวดน้ำ ศิริวัฒนาประคองมือ มณีรินกรวดน้ำด้วยกัน ขณะที่บัวเงินกรวดน้ำตามลำพัง
“ผู้ใดที่มันมาแย่งของฮักของหวงของกู กูจะขอจองเวรกับมันทุกชาติไป” บัวเงินแววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
หลังจากเสร็จพิธี มณีรินเดินออกมาที่ลานวัด คำเที่ยงตามมา
“เจ้ารินอยู่ที่นี่กับเจ้าศิริวัฒนาเปิ้นก็ได้ เดี๋ยวพี่จะไปหยิบหื้อเอง”
“บ่ เป็นหยัง พี่คำเที่ยง เฮาอยากเดินแอ่วหื้อรอบๆวัดโตย วัดนี้งามแต๊ๆ สงบร่มเย็น”
บัวเงินกับเม้ยตามเข้ามา
“เจ้านางมณีรินจะไปที่ได เจ้าพี่ยังอยู่ในวิหาร บ่ ใช่ก๊า”
“เปิ้นสนทนาธรรมกับตู๊เจ้าอยู่ เฮาลืมถุงไถ้ เอาไว้ในเรือ”
“คนของคุ้มเจ้าหลวง บ่ มีผู้ใด มือไวใจเร็วดอกเจ้า ถุงไถ้ของเจ้านางมณีรินต่อหื้อมีเงินมีคำเต็มถุง มันก็บ่ หายไปไหนดอกเจ้า”
“เจ้ารินของเฮา บ่ ได้ห่วงของหาย แต่เจ้ารินจะถวายปัจจัยบำรุงวัดกับตุ๊เจ้าเพิ่มแหม”คำเที่ยงแย้ง
บัวเงินยกมือพนมท่วมหัว
“สาธุ...อีเม้ยมึงผ่อไว้เน้อ แล้วก็หื้อทำบุญด้วยแก้วด้วยคำเสียบ้าง เกิดชาติหนึ่งมึงจะได้ มั่งมีศรีสุข ทั้งโรคทรัพย์รูปทรัพย์ อย่างเจ้านางมณีรินเปิ้น”
“เจ้าคะหม่อม”
“ไป...เจ้าจะไปเป็นเพื่อนโต”
บัวเงินจะไปด้วย มณีรินรีบขัด
“บ่ เป็นหยังดอกเจ้า”
“จะได โตรังเกียจ หรือบ่ไว้ใจเฮา”
“บ่ ใช่จะอั้น”
“ถ้าโตกึ๊ดว่าเฮาเป็นเอื้อยโต โตก็อย่าปฏิเสธเฮาเลยเน้อ เจ้านางมณีริน บ่จะอั้น แม่เจ้าจะตำหนิเฮาได้ ว่าดูแลโตบ่ดี”
คำเที่ยงไม่แน่ใจว่าบัวเงินจะมาไม้ไหน มณีรินยากจะปฏิเสธแต่ก็ต้องจำยอม
มณีรินเดินมาถึงสะพานไม้ชั่วคราว ที่ใช้ทอดจากตลิ่งลงไปหาเรือที่จอดลอยลำอยู่ คำเที่ยงจะตามติดมณีริน แต่เม้ยเข้าขวางให้บัวเงินเดินตามติดมณีริน
“โตมาขวางเฮายะหยัง”
“กูจะไปขวางมึงจะได อีคำเที่ยงกูรู้มึงฮักมึงห่วงนายมึงจะต๋ายไปซิ อยากไปก็ไป”
เม้ยยังแกล้งยึกยักขวางทางไว้ กว่าคำเที่ยงจะตามขึ้นสะพานได้ บัวเงินก็ตามมณีรินไปได้ไกลแล้ว
“เจ้าริน...เจ้าริน...”
มณีรินได้ยินเสียงเรียกของคำเทียงก็หันกลับมามอง
“อีกน่อยเดียวจะถึงเรือแล้วไปเต๊อะ”
มณีรินเดินต่อ แต่สะพานไม้ที่เหยียบอยู่เริ่มพะเยิบพะยาบ บัวเงินขย่มสะพานไม้หวังแกล้งมณีริน ให้ตกน้ำขายขี้หน้าเล่น มณีรินเดินต่อไม่ได้ มองหาที่ยึดจับ บัวเงินยิ่งขย่มไม้หนักขึ้น
“จะไดกระดานมันพะเยิบพะยาบจะอี้น๊อ”
เม้ยช่วยขย่มสะพานอีกคน คำเที่ยงตกใจ
“เจ้าริน ระวังโตเน้อ”
มณีรินหันมาจะยึดแขนบัวเงินเป็นหลักยึด บัวเงินสะบัดแขนออก มณีรินเสียหลักตกน้ำทันที บัวเงินสะใจ สมหวัง
“กรี๊ด...ด...เจ้าริน...เจ้าริน” คำเที่ยงร้องลั่น
คำเที่ยงจะถลันรีบไปช่วยมณีริน แต่เม้ยคว้าจิกหัวเอาไว้”
“มึงจะไปที่ใด เดี๋ยวก็ตกน้ำกันหมด”
น้ำลึกพอควร มณีรินป๋อมแป๋มโผล่ทะลึ่งพรวดขึ้นมา มือไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ บัวเงินสะใจ คำเที่ยงรีบตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย...ช่วยเจ้ารินด้วย เจ้ารินเปิ้นว่ายน้ำ บ่ เป็น ช่วยเจ้ารินด้วย”
บัวเงินชะงักกึกที่ได้ยินอย่างนั้น พนักงานเรือที่อยู่บนฝั่ง วิ่งกรูกันลงมาที่ตลิ่ง มณีรินตะเกียก ตะกาย จะคว้าจับสะพานม้า แต่เอื้อมไม่ถึง บัวเงิน เอื้อมมือออกมา เหมือนจะช่วยคว้ามือ แต่มือบัวเงินกลับปัดมือมณีรินออกไป มณีรินผลุบโผล่ตะเกียกตะกายก่อนจะจมหายไปในน้ำ เม้ยยังจิกหัวคำเที่ยงเอา พนักงานเรือลงมาจะช่วยมณีริน เม้ยตะโกนห้าม
“พวกมึง บ่ ฮู้ก๊า ผู้ใดแตะเนื้อต้องตัวเจ้านายฝ่ายใน โทษของพวกมันคือตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร พวกมึงอยากตายก๊า”
พนักงานเรือชะงักกันทุกคน
“เจ้าริน...เจ้าริน...ปล่อยกู”
คำเที่ยงดิ้นรนอย่างแรง จนเม้ยเอาไม่อยู่ ถีบคำเที่ยงตกน้ำ
“มึงอยากตายตามนายมึงก็ไปอีคำเที่ยง”
บัวเงินยิ้มเหี้ยมสะใจ
อ่านต่อหน้า 2
ตอนที่ 11 (ต่อ)
ศิริวงศ์กับสล่าพัน เดินออกมาจากวิหารด้วยกัน...
“หนานพันก็รวบรวมสล่าดูแล้วกัน ทั่วเวียงเชียงใหม่ของเฮา สล่าก็มี บ่ใช่น้อย จะได้ซ่อมแซมที่ทรุดโทรมหื้อ ตู๊เจ้าเปิ้น ค่าใช้จ่ายเท่าใดก็ว่ามา” ศิริวงศ์สั่ง
“ค่าใช้จ่ายบ่มีอะหยังดอกครับเจ้า แค่ออกปากคำเดียว ศรัทธาที่จะมาช่วยงานก็แน่นวัดแล้ว”
ทันใดนั้นพนักงานเรือวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“เจ้าครับเจ้า”
“อะหยัง”
“เจ้านางมณีรินตกน้ำ ที่ท่าน้ำครับ”
ศิริวงศ์วิ่งออกไปทันที ด้านคำเที่ยงควานหาตัวมณีรินในน้ำ
“เจ้าริน...เจ้าริน”
ศิริวงศ์วิ่งมาแต่ไกล สล่าพันควบเต็มที่แต่ก็งุ่มง่ามตามวัย เม้ยหันไปเห็น
“หม่อมเจ้าขา เจ้าน้อยมาเจ้าค่ะ”
บัวเงินหันมองไปเห็นศิริวงศ์ที่วิ่งมาถึงตลิ่ง พลิกเกมทันที
“ช่วยด้วยผู้ใดก็ได้ช่วยที เจ้านางมณีรินตกน้ำ ช่วยด้วย”
เม้ยรีบผสมโรง
“พวกมึงจะได้บ่ ช่วยกัน ดูเฉยกันอยู่นั่นละ ช่วยหันโวยๆตายแล้ว ตายแน่ๆแล้ว”
ศิริวงศ์กระโจนลงน้ำทันที แล้วดำหายไป
ร่างมณีรินที่หมดแรงแล้วค่อย ๆ ดิ่งจมลงสู่พื้นเบื้องล่าง ศิริวงศ์ดำน้ำตามลงมา พยายามควานหาและมองหา ศิริวงศ์ควานเจอร่างมณีริน คว้าตัวและพาร่างมณีรินขึ้นสู่ผิวน้ำข้างบนทันที
ศิริวงศ์ประคองพาร่างมณีรินขึ้นโผล่ผิวน้ำ คำเที่ยงที่สิ้นหวัง ฟูมฟาย รีบลุยน้ำลงมาหา บริวารมณีรินร้องไห้ระงม
ศิริวงศ์อุ้มมณีรินขึ้นมาบนตลิ่ง สล่าพันกันทุกคนออกไปห่าง บัวเงินหน้าซีดเหมือนกัน
“อีเม้ย มันจะตายก่อ”
“ซีดไปทั้งหน้าจะอั้น มังคงเป็นศพไปแล้วละเจ้าค่ะหม่อม”
“กูแค่จะแกล้งหื้อมันตกน้ำ ให้ได้อายเฉย ๆ กู บ่กึ๊ดว่า...”
“มันตายเสียได้ก็ดี บ่ใช่ก๊า หม่อมเจ้าขา หม่อมจะได้หมด เสี้ยนหนาม”
บัวเงินฟังอย่างนั้น ก็เห็นด้วยหายเครียดทันที
ศิริวงศ์พยายามปฐมพยาบาล ไล่น้ำออกจากตัวมณีริน
“เจ้านางน้อย เจ้านางน้อย ปิ๊กมาเต๊อะ ปิ๊กมา”
น้ำออกจากปากมณีรินมากมาย ศิริวงศ์ใช้ความพยายามสุดกำลัง เอาชีวิตมณีรินคืนมา ด้วยการปั้มหัวใจ
คำเที่ยงและบริวารจากเชียงตุงร้องไห้ระงม ศิริวัฒนา รีบวิ่งเข้ามา
“เจ้าริน...เจ้าริน”
บัวเงินฟูมฟายทันที
“พี่บอกแล้วหื้อเดินดีๆ ก็บ่ ฟังพี่ ถุงไถ้ใบเดี่ยวหื้อบ่างมันไปหยิบหื้อก็ได้ บ่ น่าเลย เจ้านางมณีริน เอาชีวิตมาทิ้งไว้สายน้ำปิงแต๊ๆ เอ็นดูนัก...เจ้านางมณีรินของพี่”
บัวเงินทำเป็นปล่อยโฮแล้วต้องชะงักกึก เมื่อมณีรินค่อยๆรู้สึกตัว หายใจด้วยตัวเองได้ เลือดฝาดบนหน้ากลับคืนมา คำเที่ยงโล่งใจ
“เจ้าริน...เจ้าริน”
มณีรินมือไขว่คว้าจะลุกขึ้น ศิริวัฒนาคว้ามือมณีรินประคองให้ลุกขึ้นนั่ง มณีรินสำรอกเอาน้ำออกมาอีก ศิริวงศ์หมดเรี่ยวแรง เพราะเหมือนนาทีที่ผ่านมาเขารวบรวมกำลังกายและใจไปสุดตัว คนแรกที่มณีรินได้เห็นหน้าคือ ศิริวัฒนาเพราะเขาอยู่ใกล้ที่สุด
+ + + + + + + + + + + +
เจ้าหลวงกับพระชายา เมื่อทราบเรื่องก็ตกใจหน้าซีด
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
“แล้วเปิ้นตกน้ำไปได้จะได” เจ้าหลวงถามเสียงเข้ม
“บ่มีผู้ใดหัน พุทธเจ้าข้า...แต่หม่อมบัวเงินกับนังเม้ย เปิ้นว่าสะพานไม้มันแคบแล้วก็กระเดิด เจ้านางมณีรินเปิ้นเลยเสียหลักตกลงไป หม่อมบัวเงินเปิ้นว่าเปิ้นพยายามคว้าโตเจ้านางเปิ้นเอาไว้แต่คว้า บ่ ถึงเปิ้นจมน้ำอยู่นาน เดชะบุญเจ้าน้อยเปิ้นลงไปควานในน้ำจนได้โตขึ้นมาพุทธเจ้าข้า”สล่าพันถวายรายงาน
“แล้วตอนนี้เปิ้นจะไดพ่อง”
“พอช่วยเจ้านางมณีรินจนเปิ้นฟื้นแล้ว ข้าพุทธเจ้าก็รีบลงเรือเล็ก ล่องกลับลงมากราบทูลเจ้าหลวงกับพระชายาก่อนพระพุทธเจ้าข้า”
“เอ็งรีบไปตามหมอหลวงหือเตรียมตัวไว้ หยูกยาอะหยังจัดหื้อพร้อม”
“พุทธเจ้าข้า”
สล่าพันกราบแล้วรีบกลับออกไป
“ลูกสาวเปิ้นเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งน้ำปิง ถ้าเปิ้นมีอันเป็นไป เฮาจะบอกเจ้าหลวงแม่เจ้าเชียงตุงอย่างใด ใจคอน่องบ่ดีเลย” พระชายาไม่สบายใจมาก
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินหน้าเครียด เม้ยเดินตามเอาใจ
“หม่อมเจ้าขา หม่อมบ่ต้องห่วงดอกเจ้า โอกาสของเฮายังมีอีกเยอะ เอาไว้ป๊ะจัวหวะงามๆ เฮาจะเล่นงานมันใหม่”
“อีง่าว กว่ามึงจะป๊ะจังหวะงามๆ อย่างที่มึงว่ามึงกับกูคงเข้าปิ้งไปแล้ว แค่มันฟ้องพ่อเจ้า แม่เจ้า ว่ามึงกับกูเป็นคนแกล้งหื้อมันตกน้ำ”
“บ่ยากดอกเจ้าค่ะหม่อม หม่อมแค่ทูลไปว่า บ่ฮู้บ่หัน ผู้ใดจะเอาผิดหม่อมได้”
“กูบ่สบายใจ๋”
“เอาเต๊อะ ถ้าเข้าตาจนจะอั้น หม่อมบ่ต้องกั๋ว เม้ยจะฮับว่าเป็นความผิดของเม้ยผู้เดียว หม่อมบ่เกี่ยวสักเตื้อ”
บัวเงินมองหน้าบ่าวอย่างชื่นชม
“อีเม้ย มึงมันคนดีแต๊ หัวใจของมึงสุกปลั่งยิ่งกว่าทองเนื้อเก้าเสียอีก วันใดกูได้ดิบได้ดี กูจะตอบแทนมึงหื้อสมค่าความดีของมึง”
บัวเงินยิ้มอย่างพอใจ
ทางด้านมณีรินนั้น คำเที่ยงช่วยประคองกลับมาที่เรือน เมื่อพาไปนอนบนเตียงจึงห่มผ้าให้อย่างเป็นห่วง
“หนาว บ่ เจ้าริน”
“บ่ ดอก”
“เจ็บเนื้อ เจ็บโตตรงใดก่อ”
“บ่” มณีริน น้ำตาร่วง
“บ่เจ็บ แล้วจะไดไห้ เจ้าริน”
“เฮากึ๊ดถึงบ้าน กึ๊ดถึงพ่อเจ้า แม่เจ้า ของเฮา ตอนเฮาจมอยู่ในน้ำ เฮาได้ยินแม่เจ้าของเฮาฮ้อง หื้อปิ๊กบ้าน”
คำเที่ยงพลอยน้ำตาไหลตามไปด้วย
“เจ้ารินพักผ่อนเต๊อะ จะได้มีแฮงหายเจ็บเวยๆ จะได้ไปขอบใจ่เจ้าน้อยเปิ้น”
“จะไดจะต้องไปหาบอกขอบใจ๋ เปิ้นโตย”
“ป๊าด เจ้ารินบ่ฮู้ก๊า ว่าคนที่โจนน้ำลงไปดำผุดดำว่ายยังกะปลา ควานหาจนได้โตเจ้ารินขึ้นมาน่ะ คือ เจ้าน้อย”
มณีริน ชะงักอึ้งทันที
“เปิ้นฮ้องชื่อเจ้าริน บ่ ขาดปาก เอาน้ำออกจากท้องไป ทุบหัวใจไปก็ฮ้องแต่เจ้านางน้อย...เจ้านางน้อย”
มณีรินน้ำตาร่วงด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ
“เฮากึ๊ดว่า เจ้าอ้ายเปิ้นเป็นคนช่วยเฮา”
“บ่ เจ้าน้อยเปิ้นต่างหาก แต่อีคนที่มันกึ๊ดฮ้ายน่ะ...”
“พี่คำเที่ยง อย่าเอิ้นจะอั้น บ่ดี”
“เจ้ารินก็ฮู้เต็มอ๊กใช่ก๊า ว่าหม่อมบัวเงินกับอีเม้ย...”
“อย่าไปปรักปรำเปิ้นจะอั้น ถ้าเปิ้น บ่ ได้ตั๋งใจ๋ บาปมันจะต๊กกับเฮาเน้อพี่คำเที่ยง”
“บ่อู้ละ อย่างใดพี่ก็ว่าเจ้ารินจะต้องอู้เรื่องนี้หื้อ เจ้าหลวงเปิ้นฟังหื้อได้”
“อู้แล้วจะได้ประโยชน์อะหยังขึ้นมา พี่คำเที่ยงมีแต่จะทำหื้อเปิ้นบ่สบายใจเปล่าๆ ลืมมันไปเสียเต๊อะ”
บ่าวคลานเข้ามา
“อะหยัง ศรีใจ”
“เจ้าหลวงกับพระชายาเสด็จเจ้าพี่คำเที่ยง”
คำเที่ยงหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก
เจ้าหลวงกับพระชายา เข้ามาถึงในห้อง คำเที่ยงกับบ่าวหมอบกราบ มณีริน พยายามจะลุกขึ้น พระชายารีบบอก
“บ่ เป็นหยัง เจ้านางน้อย บ่ต้องลุกดอก นอนเต๊อะลูก”
“ลูกเป็นจะไดพ่อง เจ็บเนื้อเจ็บโตตรงใดก่อ”เจ้าหลวงถามอย่างเป็นห่วง
“บ่ เจ้า”
“ขวัญเอ๊ยขวัญมา แม่ละแทบเป็นลมทั้งยืน พอได้ข่าว จะไดถึงตกน้ำตกท่าไปได้ บ่มีผู้ใดดูแลลูกก๊า”
คำเที่ยงที่หมอบอยู่ลุ้นให้มณีรินพูด
“ข้าเจ้าเดิน บ่ ดีเองเจ้า”
เจ้าหลวงถอนหายใจ
“คิดซะว่าฟาดเคราะห์ไปเน้อ”
คำเที่ยงออกจะขัดใจ ที่มณีรินไม่บอกความจริง แต่พูดอะไรไม่ได้
+ + + + + + + + + + + +
เม้ยพาบริวาร 2 คนมาสอดแนมด้อมๆมองๆข้างเรือน คำเที่ยงออกมาเห็นพอดี ตรงเข้ามาท้าวสะเอวด้านหลังเม้ย โดยที่เม้ยกับสมุนยังไม่รู้ตัว
“มึงน่ะแหละเข้าไปทั้งสองคนไปถามดูให้หมด ที่หม่อมเปิ้นอยากฮู้กู จะคอยอยู่ตรงนี่” เม้ยออกคำสั่ง
“นายกูสบายดี มึงอยากฮู้อะหยังแหมอีเม้ย”เสียงคำเที่ยงดังขึ้น
เม้ยสะดุ้งหันกลับมาเผชิญหน้าคำเที่ยง
“เจ้าหลวงกับแม่เจ้าเปิ้นเพิ่งปิ๊กลงเฮือนไปเดี๋ยวนี้มึงปิ๊ก ไปบอกนายมึงเต๊อะว่าหื้อเตรียมโต๋หื้อดีๆจะแก้โตอย่างใด ก็ฟังบ่ขึ้นดอกมึงก็อีกคนนึ่ง เตรียมโตเตรียมใจ๋ออกไปจากคุ้มเจ้าหลวงเต๊อะ คนจิตใจทรามอย่างมึงอย่างนายมึงบ่สมควรจะมีบารมีเจ้าหลวงเปิ้นคุ้มหัวกบาล”
เม้ยตกใจ แต่ไม่ยอมง่ายๆ
“มึงเอิ้นอะหยัง มึงบ่ฮู้ก๋านายกูเป็นผู้ใด นายกูเป็นตัวโปรด แม่เจ้าเปิ้น ต่อหื้อนายกูยะนายมึง มากกว่าถีบตกน้ำ ก็บ่มีผู้ใดเอาผิด นายกูได้หรอก พวกมึงน่ะแหละมึงน่ะแหละเลิกหวังจะได้เป็นใหญ่ในคุ้มเจ้าหลวง บ่จะอั้นจะต๋ายทุเรศ กว่าจมน้ำ ปิ๊กบ้านปิ๊กเมือง ของมึงไป อีคนป่า…ถุย”
คำเที่ยงเลือดขึ้นหน้า ถลกผ้าซิ่นถีบเม้ยจนล้มลงไปหงายเงิบ
“จับโตมัน”
บริวารเม้ยเข้าจับคำเที่ยงยึดสองแขนไว้ เม้ยลุกขึ้นมาได้เข้ามาตบคำเที่ยงได้หลายฉาด คำเที่ยงกระโดดถีบเข้ายอดอกเม้ย แล้วสะบัดหลุดออกมาได้คำเที่ยงบ้าเลือดกระโดดเข้าคร่อมเม้ยตบตีกันนัว บริวารคำเที่ยงกรูกันออกมาจากเรือน แล้วช่วยกันรุมบริวารเม้ย สล่าพันผ่านมาพอดีรีบวิ่งเข้ามาห้าม
“หยุดเดี๋ยวนี้หยุดเฮาบอกหื้อหยุด”
สล่าพันเข้าไปพยายามแยกคู่เม้ยกับคำเที่ยง แต่โดนลูกหลงหัวทิ่มออกมา เม้ยกับคำเที่ยงยังปล้ำบีบคอกันกลิ้งไปกลิ้งมา สล่าพันกลับเข้ามาพร้อมน้ำในถังสาดใส่ทั้งคู่เต็มๆ
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวัฒนากับศิริวงศ์ ยืนอยู่ต่อหน้าบ่าวที่เมีเรื่องกันอยู่ในสวน
“พวกเอ็งอาศัยคุ้มเจ้าหลวง คุ้มกะลาหัวได้ชื่อว่าเป็นคนของคุ้มเจ้าหลวงเหมือนกัน จะได้ทะเลาะเบาะแว้งจะฆ่าแกงกันเองจะอี้ บ่อายแก่ใจกันบ้างก๊า”ศิริวัฒนาตวาด
บ่าวสาวๆทุกคนสภาพหัวหูยับเยิน นั่งหน้าจ๋อย
“ข้าเจ้าแค่ตั้งใจ๋ จะไปถามไถ่อาการ เจ้านางมณีรินเปิ้น เพราะหม่อมเปิ้นวานหื้อไป หม่อมเปิ้นเป็นห่วงเจ้านางมณีริน อีคำเที่ยงมันหันข้าเจ้า ข้าเจ้ายังบ่ทันอู้อะหยังสะกำ มันก็ต๊บหน้าข้าเจ้า” เม้ยฟ้อง
“กูบ่ได้ต๊บมึงกูถีบมึงตะหาก เพราะมึงถุยน้ำลายใส่กูก่อนอีขี้จุ๊” คำเที่ยงเถียง
“มึงนะแหละด่านายกูก่อน”
“ก็มึงกับนายมึงกึ๊ดฮ้ายนายกูก่อน”
“เอาละๆ ต่อหน้าเจ้าแต๊ๆยังบ่เลิกกัดกันอีก” สล่าพันปราม
“เจ้ารินของข้าเจ้าตกน้ำ จมน้ำปางตายก็เพราะหม่อมบัวเงินกับอีเม้ยนี่แหละเจ้า” คำเที่ยงฟ้องบ้าง
เม้ยตกใจรีบเถียง
“บ่จริงจักน่อยผู้ใดจะกึ๊ดฮ้าย ยะเรื่องเลวทรามกับพระชายา เจ้าศิริวัฒนาจะอั้นได้ จิตใจ๋มันก็บ่ใช่คนแล้วนะเจ้า”
“ก็มึงไงอีเม้ยที่มึงฮู้มาทั้งหมดนั้นน่ะมึงทั้งนั้น” คำเที่ยงย้อน
“พอแล้วทั้งสองคนน่ะแหละ” สล่าพันปราม
เม้ยกับคำเที่ยงก้มหน้ากัดฟัน
ศิริวงศ์ หันไปหาศิริวัฒนา
“เจ้าอ้ายจะว่าจะได เรื่องนี้น้องว่าจะบ่จบง่ายๆ แน่ ยิ่งถ้ารู้ไปถึงพ่อเจ้าแม่เจ้าจะบ่สบายใจเปล่าๆ”
ศิริวัฒนามองไปที่บ่าวทั้งสอง
“นังเม้ย”
“เจ้า”
“นังคำเที่ยง”
“เจ้า”
“เรื่องวันนี้หื้อเลิกแล้วต่อกั๋น ผู้ใดยังต่อความยาวสาวความยืดอีก เฮาบ่ไว้แน่เข้าใจก๊า”
คำเที่ยงกับเม้ยรับคำ
“เจ้า”
เม้ยก้มหน้า แต่แอบหันกลับมายิ้มเยาะใส่คำเที่ยง คำเที่ยงพูดอะไรไม่ได้ ได้แต่ขัดใจ
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...มณีรินสอดเส้นฝ้าย เข้าด้ายเส้นยืนแล้วจกด้วยขนเม่น ศิริวงศ์เดินเข้ามาแอบมองดู ด้านหลังมณีริน ที่ตั้งอกตั้งใจจกลายผ้า ขนเม่นหลุดมือร่วงลงพื้นนางจะก้มลงเก็บขนเม่น แต่ศิริวงศ์เก็บขึ้นมาก่อน แล้วส่งให้
“เจ้าน้อย”
“เจ้านางน้อยสบายดีแล้วก๊า ถึงลุกออกมาทอผ้าจะอี้”
“เฮาฮักงานทอผ้า พอๆกับการได้อ่านหนังสือดีๆ สักเล่มน่ะแหละเจ้าน้อย”
“เจ้าอ้ายมาเยี่ยมเจ้านางน้อยทุกวันก๊า”
“เปิ้นมาทุกวัน แต่บางคนเพิ่งจะโผล่หน้ามาหื้อหัน”มณีรินต่อว่างอนๆ
ศิริวงศ์ ยิ้มเล็กๆ
“เจ้านางน้อยหมายถึงผู้ใด”
“เฮาจะหมายถึงผู้ใดถ้าบ่ใช่โต”
ศิริวงศ์อึ้ง
“ใจคอจะโผล่หน้ามาหื้อเฮาขอบใจสะกำก็บ่มี”
“ขอบใจเฮา”
“เฮาฮู้...คนที่โจนน้ำลงไปช่วยเราไว้คือโต”
“นาที นั้นบ่มีอะหยังจะสำคัญเท่าชีวิตของเจ้านางน้อยดอก ทางใดที่เฮาจะพาเจ้านางน้อย ปิ๊กมาได้ เฮาต้องยะ เฮาต้องดูแลพี่สะใภ้ของเฮา เพื่อเจ้าอ้ายของเฮา”
“โตฮักเจ้าอ้ายของโตแต๊น้อ”
“วันข้างหน้า เจ้าอ้ายของเฮาจะต้องขึ้นเป็นเจ้าหลวง แทนพ่อเจ้า จะต้องยะงานหนักเพื่อแผ่นดิน เฮาถูกสอนมาแต่ละอ่อนจำความได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเฮาต้องทำเพื่อเจ้าอ้ายของเฮาก่อน”
“ทุกสิ่งทุกอย่าง” มณีรินทวนคำ
“ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของเฮาเอง” ศิริวงศ์บอกอย่างมุ่งมั่น
มณีรินหันหน้าหนี ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ศิริวงศ์มองมณีริน ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน
“เจ้านางน้อยพักผ่อนหื้อมากๆเน้อ จะได้แข็งแรงโวยๆ เจ้าอ้ายเปิ้นจะได้สบายใจ”
มณีรินน้อยใจ ขยับลุกขึ้น แต่เซเพราะเลือดสูบฉีดเลี้ยงสมองไม่ทัน เหมือนจะหน้ามืด ศิริวงศ์คว้าแขนไว้ได้ทัน มณีรินหันกลับมาสบตา ของเขาเห็นความรู้สึกบางอย่างในในดวงตานั้น
“เรริน...เรริน...เรริน...” เสียงพรรณวรินทร์ดังแว่วมา
มณีรินหันขวับไปหาเสียง ที่เหมือนคนเรียกอยู่ไม่ไกล ศิริวงศ์มองเธออย่างแปลกใจ
“เจ้านางน้อย...เป็นจะไดพ่อง...”
“แม่...แม่...”
มณีรินเหลียวหาแล้วหมดสติเป็นลมไปทันที
ในจิตใต้สำนึก มณีรินเห็นพรรณวรินทร์ ร้องหาเธอทั้งน้ำตา
“เรริน...กลับมาเสียทีเถอะลูก...กลับมาได้แล้ว ลูกรู้ไหมว่าลูกทำให้แม่เสียใจขนาดไหน เรริน...เรริน...”
+ + + + + + + + + + + +
ปัจจุบัน....
เรรินสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้น
“แม่...”
เรรินได้สติคืนมา และพบว่าตัวเองอยู่ภายในห้องทอผ้ามือยังจับขนเม่นที่ใช้จกไหม แต่ทุกอย่างรอบตัวมืดมนมีเพียงแสงจันทร์ สาดเข้ามาทางช่องแสงเบื้องบน เธอมองไปที่ภาพเขียนสีน้ำมัน มองหาศิริวัฒนาแต่ก็ไม่มีร่องรอยของเขาแล้ว
“เจ้าคะ...เจ้า...”
ทุกอย่างเงียบเชียบ...
เรรินปิดลูกปิดประตู ค่อยๆเปิดประตูและก้าวออกไป ถนนภายนอก เงียบเชียบไม่มีใคร เธอหันไปปิดประตูเบาๆ แล้วรีบสาวเท้าเดินไปตามถนนแคบนั้น ทันใดนั้นมีมือนึงคว้าแขนของเธอไว้ เรรินตกใจ พร้อมจะกรีดร้องแต่พอหันกลับมาก็ชะงัก เมื่อพบว่า สุริยวงศ์เป็นคนรั้งเธอไว้
“ผมเอง คุณริน”
“คุณสุริยะ”
เรรินอึ้งไป...
รถสุริยวงศ์ จอดไว้มุมนึงในซอยข้างๆคุ้มเจ้าหลวง สุริยวงศ์พาเรรินมาที่รถ สายตาที่เขามองเธอเต็มไปด้วยหลายความรู้สึก อย่างหนึ่งคือเหมือนเธอเป็นผู้ต้องหา
“ถ้าผมทำให้คุณตกใจ ผมขอโทษ”
“คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ”
“ผมน่าจะเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่า คุณเข้าไปทำอะไรในคุ้มเจ้าหลวง...ในห้องใต้ดินนั่น”
เรรินตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะรู้
“ผมถามคุณได้ยินไหม คุณริน”
“ฉัน...”
“คุณปฏิเสธไม่ได้หรอก เพราะผมเห็นกับตา กระเป๋าคุณใบนี้มันวางอยู่ในห้องใต้ดิน คุณเข้าไปทำอะไรกันแน่ คุณริน อย่าบอกนะว่า คุณมางานทอผ้าจนแอบเข้าไปทอผ้าผืนที่ทอไม่เสร็จนั่น”
“ก็ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะคะ”
“ผมไม่เชื่อคุณหรอก คุณริน”
“ฉันบอกความจริงคุณแล้ว คุณไม่เชื่อก็ตามใจคุณ”
“คุณบุกรุกสถานที่ส่วนบุคคล ในยามวิกาล คุณก็รู้ใช่ไหมว่ามัน เป็นความผิด”
“จะจับฉันส่งตำรวจเดี๋ยวนี้เลยก็ได้นี่ เอาเลยสิคะ จับเลย” เรรินเสียงสั่นแล้วเริ่มร้องให้
สุริยวงศ์ได้สติกลับคืนมา เรรินเช็ดน้ำตาเหนื่อยและผ่านการผจญภัยมามาก
“ดึกแล้ว...ผมจะไปส่งคุณ...”
สุริยวงศ์เปิดประตูรถให้เรริน
“ขึ้นรถเถอะครับ”
เรรินมองหน้าเขาก่อนจะขึ้นรถไป
สุริยวงศ์ขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ เขาหันมามอง เรรินที่ยังนั่งนิ่ง ไม่ขยับลงจากรถ
“ยังไงผมก็จะรอฟังเหตุผลที่ดีกว่านี้ จากคุณริน คุณรินพร้อมจะบอกผมเมื่อไร ก็แล้วแต่คุณริน ผมรอได้เสมอครับ”
สุริยวงศ์ขยับจะเปิดประตูรถ แต่ต้องชะงัก เมื่อเรรินพูดขึ้น
“เรื่องบางเรื่องมันเป็นความจริงที่อยู่เหนือความจริง ฉันพูดไปคุณอาจจะไม่เชื่อแถมยังจะมองฉันเป็นตัวประหลาดด้วยซ้ำไป”
เรรินเปิดประตูรถและลงจากรถไป สุริยวงศ์ลงตามไป ขณะเดียวกันนั้น วันดาราวิ่งหน้าตื่น ออกมาจากด้านใน
“คุณริน...สุริยะ อย่าเพิ่งเข้าไป”
“มีอะหยังครับ พี่วัน”
“พาคุณรินเปิ้นออกไปก่อนเต๊อะ ไปไหนก็ได้ อย่าเพิ่งถามอะหยังตอนนี้เลย ไปโวยๆ”
สุริยวงศ์ และเรรินยังไม่หายงง ธนินทร์เมามายก้าวตามวันดาราออกมา
“มึงจะพาเมียกูไปไหน”
“ธนินทร์” เรรินตกใจ
“เปิ้นมาถามหาคุณรินตั้งแต่เย็นแล้ว พี่ไล่ยังไงเปิ้นก็ บ่ไป กำลังจะเรียกตำรวจอยู่พอดี”
“เรื่องของผัวเมีย ตำรวจไม่เกี่ยวโว๊ย เรียกมาเลย มึงเรียกมาเลย กูไม่กลัวกูมาตามเมียกูกลับกรุงเทพฯโว๊ย” ธนินทร์โวยวาย
“อย่ามาทำหยาบคายแถวนี้นะธนินทร์ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ ถ้าฉันจะกลับกรุงเทพ ฉันจะกลับของฉันเอง แล้วก็เตรียมตัวเอาไว้ด้วย ฉันจะถอนหมั้นกับคุณแน่”
“อีเรริน มึงกล้าเหรอ มึงไม่รู้จักคนอย่างกูซะแล้ว”
ธนินทร์ปราดเข้ามาจะฉุดดึงเรริน สุริยวงศ์เอาตัวเองเข้ากันเรรินทันที
“อย่ามาแตะต้องตัวคุณริน เมาก็กลับไปนอนซะ”
“มึงไม่ต้องมาทำเป็นพระเอก...มึงมันหน้าตัวเมีย แอบเป็นชู้กับเมียกู”
สุริยวงศ์กัดฟันอดทนอย่างหนัก ธนินทร์ด่าต่อ
“มึงไม่รู้หรอกว่า อี่นี่มันร่านขนาดไหน มันไม่ได้มั่วกับมึงคนเดียวหรอกโว๊ย กูจะบอกให้”
สุริยวงศ์เหลืออดที่เรรินถูกสบประมาท ชกเปรี๊ยงเข้าเต็มหน้าธนินทร์ และตามประเคนอีกชุดใหญ่
“ว๊าย” วันดาราร้องลั่น
ธนินทร์หมดปัญญา แม้แต่จะป้องกันตัว ล้มคว่ำไม่เป็นท่า เรรินเบือนหน้าหนี วันดาราเข้าไปห้าม
“พอเต๊อะ สุริยะพอแล้ว”
“มันดูถูกคุณริน ผมยอม บ่ได้ดอก”
วันดาราฉุดรั้งสุริยะวงศ์ไว้เต็มแรง ธนินทร์สะบักสะบอม แอ้งแม้งอยู่กับพื้น
“มึงน่ะแหละไสหัวออกไปจากที่นี่ ถ้ามึงยังคิดจะวอแวกับคุณรินอีกมึงเองนะแหละจะไม่ได้กลับกรุงเทพ”
เรรินไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปได้ เดินผ่านธนินทร์กลับเข้าข้างใน ธนินทร์โซเซลุกขึ้น
“มึงระวังตัวเอาไว้ให้ดี อีริน มึงคิดว่าเรื่องจะจบง่าย ๆ ก็ฝันไปเหอะ...”
ธนินทร์ที่ยังพล่ามเป็นหมาบ้า สุริยวงศ์คว้าคอธนินทร์ลากออกไป
(จบตอนที่ 11)
อ่านต่อวันพรุ่งนี้