ปางเสน่หา ตอนที่ 2
เช้าวันรุ่งขึ้น เตชิตมานั่งกินข้าวกับศรีตรัง จุรีเสิร์ฟอาหารเสร็จจึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งห่างออกไป จังหวะหนึ่งศรีตรังเคาะโต๊ะด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ตามที่แกเล่ามานี่แสดงว่าคุณหนูเผือกไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นผี ซึ่งเท่ากับไม่ยอมรับว่าตัวเองตาย
ไปแล้ว”
“ด้วยความเคารพ ลุงเห็นด้วยเต็มที่” สมบอก จุรีจึงพึมพำออกมาเบาๆ
“โถ...แม่คุณ”
“อย่าเรียกเขาว่าคุณหนูเผือกเลย ขอร้องมันฟังดูหลอนๆ พิลึก” เตชิตบอก
“แล้วแกจะให้เรียกว่ายังไง ชื่อก็ไม่รู้ อะไรๆ ก็ไม่รู้”
“เรียกเสียงหวานก็ได้ เสียงเขาหวานดี”
“ด้วยความเคารพ ลุงไม่เคยได้ยินว่าผีเสียงหวาน มีแต่เสียงเย็นๆ เสียงยานคาง เสียง...”
“เขาเป็นผีที่เสียงหวานจริงๆ ครับ ลุง”
เตชิตยืนยัน จุรียกมือขึ้นก่อนพูด
“อันนั้นฉันเป็นพยานได้”
ระหว่างที่ทุกคนพูด ศรีตรังลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด
“เอาอย่างนี้” ทุกคนมองมาที่ศรีตรังเป็นตาเดียว “ไอ้เต ก่อนอื่นแกต้องทำเป็นเออออห่อหมกกับเขาไปก่อนว่าเขาไม่ใช่ผี”
“ก็เขาเป็นผี”
“โอ้ย แกนี่พูดไม่รู้ฟัง ฉันบอกว่าให้แกทำเป็นเออออห่อหมกไปก่อน จะได้ถามว่าเขาต้องการอะไร ฉันจะได้รีบๆ ทำตามให้เตสบายใจไปผุดไปเกิดหรือจะไปสู่ที่ชอบๆ ไม่ใช่มายึดรีสอร์ทของฉันเป็นที่สิงสถิตย์แบบนี้”
“ด้วยความเคารพ อันนี้ลุงก็เห็นด้วยอีกเหมือนกัน เพราะจะเก็บค่าเช่าก็ไม่ได้”
“อาลัดตั๊ดต๊า งก จะเก็บค่าเช่าแม้กระทั่งกับผี”
“ฉันว่าอย่างนี้ดีที่สุด”
“อย่างไหน”
ศรีตรัง สม จุรี ถามออกมาพร้อมกัน
“ให้หลวงพ่อมาทำพิธีส่งเขาไปผุดไปเกิด”
“ก็แล้วถ้าเขาไม่ยอมไปล่ะ” เตชิตเกาหัว “เอาอย่างที่ฉันว่าน่ะดีที่สุด ไปถามให้รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่” เตชิตอ้าปากจะพูด ศรีตรังจิ้มไส้กรอกยัดปาก “พอ ไม่ต้องโต้แย้งเพราะฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”
“แล้วทำไมไม่ไปถามเอง”
“เพราะฉันกลัวผี ชัดมั้ย”
อีกด้านหนึ่งที่คอนโดพอล พอลชงกาแฟเดินมาทรุดตัวลงนั่ง แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน พอลถึงกับชะงักเมื่อเมื่อดวงตากวาดมาถึงภาพรถคว่ำ เจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันดึงร่างคนขับออกมา
“เบรคแตก...เจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันนำร่างของนายเจียง ดิวสวัสดี ออกจากซากรถ”
พอลพับหนังสือวางทันทีแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์เดินออกไปทันที
พอลมาหาเดนนิสที่บ้านเพราะมั่นใจว่าเดนนิสอยู่เบื้องหลังการกระสบอุบัติเหตุของเจียง
“ไอ้เจียงมันดวงแข็ง ขนาดรถพังยับยังอุตส่าห์รอดมาได้”
“จะให้ผมไปจัดการให้มันจบๆ ไปไหม”
“ไม่ต้อง ตำรวจกำลังจับตาอยู่ นายแค่โฉบไปให้เห็นหน้า มันก็กลัวจนหัวโกร๋นแล้ว”
“ได้ครับ”
พอออกจากบ้านเดนนิส พอลจึงแวะมาที่โรงพยาบาลพร้อมกระถางต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงดอกใหญ่น่ากลัวแถมมีซากแมลงตัวหนึ่งอยู่ในนั้น...ลักษณะท่าทางที่ดูผึ่งผายแกมลึกลับของพอล พร้อมทั้งของเยี่ยมประหลาดทำให้ผู้คนในบริเวณที่เดินผ่านต่างพากันมองจนเหลียวหลังพอลเดินมาจนถึงหน้าห้องพิเศษห้องหนึ่งแล้วเปิดเดินเข้าไป
เจียงนอนอยู่ในห้องในสภาพแขนหัก เจียงเบือนหน้ามามองแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นพอลเดินหิ้วกระถางมาที่เตียง แล้ววางลงบนโต๊ะ เจียงมีสีหน้าท่าทางเหมือนกลัวสุดๆ
“เป็นไงบ้าง”
พอลถามเสียงเรียบ เจียงยกแขนข้างที่เหลือขึ้นไหว้
“ผมกลัวแล้ว กลัวจริงๆ ครับ”
“กลัวอะไร”
“ไว้ชีวิตผมเถอะ ผมสาบานว่าจะไม่มีวันปริปากกับตำรวจเด็ดขาด”
มุมปากพอลขยับขึ้นเหมือนจะยิ้มเยาะนิดๆ
“แกนี่แปลก ฉันมาเยี่ยม แต่นายทำท่าเหมือนฉันจะมาฆ่า” เจียงมองพลางกลืนน้ำลาย “ต้นไม้นั่นของคุณเดนนิสเขาฝากมาบอกว่า ขอให้ตาย...ขอโทษ ขอให้หายเร็วๆ” เจียงพึมพำขอบคุณแทบไม่มีเสียง
“ฉันไปละ”
พอลเดินออกไป เจียงมองตามด้วยความหวาดกลัว
ธงเฝ้าเจียงอยู่ที่โรงพยาบาล ธงถึงกับชะงักเมื่อเห็นพอลออกมาจากห้องเจียงแล้วเดินออกไป
ธงรีบตรงมาเปิดประตูห้อง เข้าไปอย่างรีบร้อน
เจียงสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจอีกครั้งเมื่อธงเดินตรงเข้ามา ธงถอนใจเฮือกเมื่อเห็นเจียงไม่ได้เป็นอะไร ธงเบือนหน้ามามองต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง แล้วนิ่วหน้า
“ไอ้คนเมื่อกี้มันเอามาให้เรอะ”
“ครับ”
“มันเป็นใคร”
“ไม่ทราบครับ” เจียงปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ธงทำหน้าไม่เชื่อ
“แอ๊ะ”
“โถ...จ่า ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ เขาบอกว่า เอ้อ...มีคนฝากไอ้ต้นบ้านั่นมาให้”
“แอ๊ะ”
“จ่า...เชื่อผมเถอะ”
“แอ๊ะ”
“ต่อให้จ่าแอ๊ะให้ตาย ผมก็ไม่รู้จักไอ้หมอนั่น”
“แอ๊ะ”
เจียงหลับตาลงเบือนหน้าไปอีกทาง พลางหลับลงเหมือนง่วงเต็มแก่
ธงไม่เชื่อที่เจียงบอก จึงรีบโทรบอกเตชิตซึ่งขณะนั้นเตชิตกำลังขับรถกลับบ้านพัก
“ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงเรอะ”
เตชิตทำเสียงแปลกใจ
“ครับ ไอ้คนเอามาให้มันครีเอทน่าดู ดอกไม้กินแมลงดอกเบ้อเริ่มเทิ่มแถมมีซากแมลงตายอยู่ในนั้นด้วย เห็นแล้วขนหัวลุก”
“ก็หวีให้เรียบซิ ว่าแต่จำหน้ามันได้หรือเปล่า”
“เห็นแค่ด้านหลังครับ ตัวสูงๆ ถามไอ้เจียง มันก็บอกว่าไม่รู้จัก”
“แสดงว่ามันรู้จัก แต่มันกลัว เอาไว้ฉันจะลองไปเค้นมันดูเอง”
ธงสะดุ้ง
“ผู้กอง”
“ไอ้เจียงต้องอยู่โรงพยาบาลอีกกี่วัน”
“ผู้กอง”
“กี่วัน” เตชิตถามย้ำ
“ประมาณ 2 สัปดาห์ขอรับ ผมจะเดือดร้อนนะผู้กอง”
“งั้นมะรืนนี้ฉันจะไป จ่าช่วยเคลียร์ที่ทางให้หน่อยก็แล้วกัน”
“ผู้กอง”
“ขอบใจ ถึงกรุงเทพฯ แล้วฉันจะติดต่ออีกที”
เตชิตปิดมือถือทันทีหลังจากพูดจบ
“โฮ้ย ไม่น่าโทร.ไปรายงานเลยตู” ธงบ่น
พอลมาหาเดนนิสที่บ้านเพื่อรายงานผลหลังจากไปเยี่ยมเจียงที่โรงพยาบาล
“มันเห็นนายยังกลัวขนาดนี้ ไม่แน่ บางทีอีก 2-3 วันฉันอาจจะแวะไปเยี่ยมบ้าง”
เดนนิสบอกด้วยสีหน้าพอใจ
“อย่าเสี่ยงเลยครับ อันตราย”
“ถ้าไม่เสี่ยง มันก็ไม่สนุก เหมือนนายไง วัดในกรุงเทพฯ มีไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยวัด แต่นายดันผ่าไปทำสังฆทานถึงปากช่อง” พอลชะงักเหลือบมองหน้าเดนนิสทันที “ฉันจำเป็นจะต้องรู้ความเคลื่อนไหวคนของฉันทุกคน ทำไมต้องถ่อไปทำถึงที่นั่น”
พอลนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถอนใจยาว
“ผมไม่อยากพูดถึงมัน”
“นายต้องพูด อย่างน้อยจะได้คลายความเจ็บปวดลงไปบ้าง” พอลนิ่งสีหน้าแววตาที่เคร่งขรึม ปรากฏร่องรอยความเจ็บปวดสะเทือนใจ “แซนดี้ล่ะ ไปไหนแล้ว”
“ไม่ทราบครับ”
“เฮ้ย นายต้องพยายามเปิดใจบ้าง”
“ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อน”
“ตามใจนาย”
พอลลุกเดินออกไปเงียบๆ เดนนิสมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ส่วนที่ไร้สุขศรีตรัง ขณะนั้นเตชิตกำลังนั่งเล่นเกมอยู่เพลินๆ แต่เหมือนมีใครสักคนเดินเข้ามาในห้อง ใครคนนั้นเดินช้าๆ มาทางด้านหลังเตชิตแล้วหยุดชะโงกหน้าข้ามไหล่มามอง เหมือนมีลมหายใจผ่านพลิ้วตรงต้นคอเตชิต ทำให้เย็นยะเยือกจนขนลุก เตชิตมีสีหน้าหวาดกลัวสุดๆ แต่พยายามระงับไว้
“เสียง... เสียงหวานใช่ไหม” เตชิตถามสัยงสั่น แต่ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ เตชิตค่อยๆ กวาดตามองโดยรอบ “จะออกมาก็ออกมาเลย ไม่ต้องทำทำลับๆ ล่อๆ” ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีก เตชิตชักหงุดหงิด ลุกขึ้นยืน “เสียงหวาน”
“ก็คุณหาว่าฉันเป็นผี”
เตชิตหันขวับมามองทางด้านหลัง แล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเสียงหวานค่อยๆ ปรากฏขึ้น แสงรอบตัวเป็นสีหม่นตามอารมณ์ที่ค่อนข้างหม่นหมองของเธอ
“ถ้าไม่ใช่ ก็บอกมาซิว่าเป็นอะไร”
เสียงหวานนิ่งอึ้งน้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา
“ฉันไม่รู้ บางที...บางที อาจจะใช่ก็ได้”
“ไม่ใช่ “อาจจะ” แต่ใช่แหงๆ” คราวนี้เสียงหวานปล่อยโฮสะอึกสะอื้น เตชิตพยายามปลอบ “เกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแต่อนิจจัง”
“ลองมาเป็นฉันบ้างมั้ยล่ะ”
เสียงหวานเถียง เตชิตถอนใจเฮือก
“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะลองเหมือนกัน” เสียงหวานยิ่งสะอึกสะอื้น เตชิตถอนใจเฮือกใหญ่แบบรำคาญสุดๆ “โฮ้ย ถ้ามัวแต่ร้องไห้อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่มันจะรู้เรื่องกันเล่า..า..า...”
เตชิตลากเสียงสูงยาว เสียงหวานหยุดร้องไห้ทันที
“หยุดแล้วค่ะ หยุดแล้ว”
“ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน และเป็นอะไรตาย” เสียงหวานเริ่มหน้าเบ้จะร้องไห้ “คุณต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าคุณตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคุณก็จะต้องติดแหง๊กอยู่ที่นี่ อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไม่ได้”
เสียงหวานพยายามกลั้นสะอื้น แล้วพยักหน้ารับ
ด้านนอกขณะนั้นอ้อยขี่มอเตอร์ไซค์มาหาเตชิตที่บ้านพัก โดยตะกร้าข้างหน้ามีปิ่นโตเถาใหญ่ใส่อาหารกินต่างๆ วางอยู่ อ้อยจอดรถหน้ารั้ว แล้วหยิบปิ่นโตเดินไปผลักประตูรั้วเดินตรงไปที่บ้านพักแล้วจะโกนเรียกเตชิตเสียงอ่อนเสียงหวาน
“พี่เตชิตคะ พี่เตชิตขา พี่เตชิต”
เตชิตกับเสียงหวานเหลียวมองไปที่ประตู
“มีคนมา” เตชิตเดินไปที่หน้าต่าง แอบมองออกไปโดยที่อ้อยยังคงส่งเสียงเรียกตลอดเวลา “ใครคะ”
“อ้อยใจ คุณรู้จักไหม”
เตชิตเบือนหน้ามาถาม
“ไม่รู้จักค่ะ” เสียงหวานเดินมามองที่หน้าต่างก่อนตอบ “หรืออาจจะรู้จัก แต่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
“งั้นผมจะลองถามเขาดู”
“ค่ะ”
เตชิตเดินมาที่ประตู แล้วเปิดออกไป อ้อยยิ้มอย่างสดใสเมื่อเห็นเตชิตก้าวออกมา
“พี่เตชิต อ้อยทำกับข้าว แล้วก็ขนมมาให้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เตชิตเอื้อมมือมารับของ แต่อ้อยกับเดินพูดเข้าบ้านจนเตชิตต้องรีบเบี่ยงตัวหลบ
“รับรองว่าอร่อยมากๆ จนพี่เตชิตต้องติดใจ”
เตชิตยกมือที่ยื่นไปรับ เกาหัวแล้วเดินตามเข้าไป
เมื่อเข้ามาในบ้านอ้อยเดินทะลุผ่านเสียงหวานไปวางปิ่นโตลงบนโต๊ะ เสียงหวานเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เตชิตยืนตะลึงมอง
“ฉันตายแล้วจริงๆ” เสียงหวานคร่ำครวญ
“ก็ผมบอกแล้ว”
“บอกอะไรคะ” อ้อยหันมาถาม เตชิตรู้สึกตัว
“เปล่าครับ”
“เดี๋ยวอ้อยไปเอาจานชามในครัวก่อนนะคะ”
อ้อยบอกแล้วเดินเข้าไปในครัว
“ผู้หญิงคนนั้นเดินทะลุตัวฉัน”
เสียงหวานบอกเตชิต
“เพราะคุณเป็นแค่วิญญาณ”
อ้อยเดินออกมาพอดี มองเตชิตอย่างแปลกใจ
“พี่พูดกับใครคะ”
เตชิตรีบหันกลับมา
“อ๋อ พูดคนเดียวครับ” อ้อยเลิกคิ้วเตชิตรีบอธิบายต่อ “คือ...ผมเป็นลูกคนเดียว ตอนเด็กๆ บางทีเกิดเหงาขึ้นมาก็พูดกับตัวเองเลยติดมาจนโต”
อ้อยหัวเราะคิก
“โถ...น่ารักน่าเอ็นดูปนสงสารจัง ต่อไปนี้พี่เตจะไม่ต้องเหงาแล้วละค่ะ อ้อยจะมาอยู่เป็นเพื่อน” เตชิตสะดุ้ง
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่คนเดียวจนชินแล้ว”
เสียงหวานเลิกเศร้าเบิกตากว้างมองอ้อยเมื่อเห็นอ้อยก้าวเข้ามาใกล้เตชิตและยั่วยวนเต็มที่
“อยู่คนเดียวสบายแต่ไม่สนุก สู้อยู่ 2 คนไม่ได้เพราะทั้งสนุกแล้วก็สบายนะคะ”
“โห”
อ้อยเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น เตชิตรีบบอกเสียงหวาน
“ช่วยผมหน่อยซิ”
อ้อยโอบรอบคอเตชิต
“ได้ซิคะ อ้อยจะช่วยให้พี่เตมีความสุขที่สุด”
เสียงหวานก้าวเข้ามาทางด้านหลังอ้อ แล้วเป่าลมออกมาเบาๆ อ้อยชะงักหันขวับมามอง เตชิตแอบโล่งใจ
“อะไรหรือครับ”
อ้อยมองไปโดยรอบแล้วกอดอกราวกับเกิดหนาวขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน
“ไม่ทราบค่ะ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเย็นที่ต้นคอขึ้นมาจนขนลุก”
“เห็นป้าจุบอกว่า เคยเจอผีที่นี่”
“ออกไปข้างนอกกันเถอะค่ะ”
“อ้อยกลับไปก่อนดีกว่า”
“แต่ว่า...”
เตชิตดึงแขนอ้อยให้ตามออกไป
“รีบไปเถอะ ท่าทางจะไม่ค่อยดีแล้วเดี๋ยวเขาเกิดแหกอก แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก มีหวังได้จับไข้หัวโกร๋น”
อ้อยรีบถลาตามไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสียงหวานเบิกตากว้าง แสงโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธจัด เตชิตกึ่งลากกึ่งดึงแขนอ้อยมาที่มอเตอร์ไซค์
“รีบไปเดี๋ยวนี้เถอะ”
“แล้วพี่ล่ะคะ”
“ไม่เป็นไร ผมมีของดี ผีไม่ค่อยกล้าหลอกผม”
“งั้นอ้อยไปก่อนนะคะ... ผีเผลอแล้วเจอกัน”
“หา”
อ้อยรีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป โดยเตชิตมองตามอย่างโล่งอก
เตชิตกลับเข้าบ้านภาพตรงหน้าทำให้แววตาของเตชิตเปลี่ยนเป็นสงสารเห็นอกเห็นใจเมื่อเห็นเสียงหวานกำลังก้มๆ เงยๆ มองอาหารคาวหวานในปิ่นโต
“หิวหรือ”
เสียงหวานหันขวับมาทันที สีหน้าปรากฏความโกรธขึ้นมาอีก ขณะที่ลอยมาตรงหน้าเตชิตอย่างรวดเร็ว จนเตชิตผงะด้วยความตกใจ
“คุณว่าฉันจะแหกอกแลบลิ้นปลิ้นตา”
“ผมจะให้อ้อยใจรีบไป คุณก็รู้”
“ฉันไม่รู้”
เสียงหวานลอยขึ้นไปบนเพดาน เตชิตกลัวสุดๆ ยกมือปิดตา
“อย่านะ อย่า”
“คุณคิดว่าฉันจะทำอะไร”
“ก็ แหกอกแลบลิ้นปลิ้นตา”
เสียงหวานลอยกลับลงมา
“บ้า”
“ผมเปิดตาได้หรือยัง” เสียงหวานค่อยๆ เลือนหายไป “เสียงหวาน ผมเปิดตาได้หรือยัง” ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ “เสียงหวาน”
ทุกอย่างเงียบ เตชิตค่อยๆ เอามือออกจากหน้า แล้วมองไปโดยรอบแต่ไม่เห็นเสียงหวานแล้ว
“ผีอะไร งอนอย่างกับคน”
ส่วนอ้อยเมื่อออกมาจากบ้านพักเตชิต เธอก็มาหาศักดิ์สิทธิ์ คนรักของเธอที่บ้าน ศักดิ์สิทธิ์เดินตามอ้อยเข้ามาในบ้าน โดยอ้อยร้องห่มร้องไห้ด้วยความกลัว
“ผีที่ไหน เอะอะโวยวายไปได้”
ศักดิ์สิทธิ์บอกอย่างหงุดหงิด อ้อยหยุดกึกแล้วหันขวับมาทันที
“ก็ผีนังเกษรินของศักดิ์น่ะซิ จะผีที่ไหน”
“อ้อย” ศักดิ์สิทธิ์ตวาดลั่นจนอ้อยสะดุ้ง “จะหาเรื่องให้ติดคุกกันหัวโตหรือไง”
“อย่ามาตวาดอ้อยนะ”
ศักดิ์สิทธิ์รู้สึกตัวจูงมืออ้อยมานั่ง
“ไหน บอกมาซิว่าอ้อยไปเจอ เอ้อ...ไอ้ที่คิดว่าเป็นผีที่ไหน” อ้อยอึกอักมีพิรุธ ศักดิ์สิทธิ์มองอย่างแปลกใจ “ว่าไง”
“อ๋อ ... คืองี้ค่ะ แม่ใช้ให้อ้อยเอาอาหารเข้าไปส่งแขกของนายศรีตรังที่บ้านพัก”
ศักดิ์สิทธิ์มองอ้อยอย่างไม่ไว้ใจ
“อาหารมื้อไหน เพราะนี่มันสายเกินกว่าจะเป็นอาหารเช้าแล้วก็เร็วเกินกว่าจะเป็นอาหารกลางวัน”
“อาหารเช้าค่ะ คุณเตเขาทานอาหารเช้าสาย” อ้อยเริ่มโกหกคล่องขึ้น
“คุณเต ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“โอ๊ย ผู้ชาย ทำไม จะซักไปทำไมหรือคิดว่าอ้อยจะไปอ่อยเขา” อ้อยแกล้งทำฉุน
“ใช่”
“ศักดิ์ อย่าดูถูกกันได้ไหม อ้อยถูกผีนังเกษมันหลอกแทนที่ศักดิ์จะหาทางช่วยเหลือกลับมาหึงไม่เข้าเรื่อง อ้อยกลับดีกว่า”
ศักดิ์สิทธิ์ดึงอ้อยมากอด
“ยังไม่ให้กลับ”
“ปล่อยนะ ไม่เชื่อใจกันก็ไม่ต้องมายุ่ง”
“เชื่อซิ ถ้าไม่เชื่ออ้อยแล้วศักดิ์จะไปเชื่อใคร”
“เดี๋ยว แล้วผีนังเกษล่ะ”
“ช่างปะไร หรือถ้ามันยุ่งนักหาหมอผีมาจับถ่วงน้ำเสียก็หมดเรื่อง”
อ้อยจะพูดอีกแต่ศักดิ์สิทธิ์รุกหนัก จนอ้อยไม่มีดอกาสได้พูดอะไรอีก
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพักเตชิต เตชิตมองไปโดยรอบกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“เสียงหวาน ถ้าไม่ออกมาผมก็จะไปละ” ทุกอย่างยังเงียบ “ตามใจ”
เตชิตเดินไปที่ประตู
“เดี๋ยว”
เตชิตยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันมาด้วยสีหน้าที่ปรับเป็นเรียบเฉย เสียงหวานยืนทำหน้าจ๋อยๆ เตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่ง เสียงหวานมองเตชิตอย่างเกรงใจ
“คุณไม่ทานข้าวก่อนหรือคะ”
“ผมทานแล้ว” เตชิตมองเสียงหวานอย่างเพ่งพิศ จนเสียงหวานเริ่มเขินอายกับสายตานั้น แสงที่หม่นหมองค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีชมพู “ก่อนอื่น เราต้องสืบหาให้ได้ ว่าในระยะ 2 ปีมานี่ เคยมีผู้หญิงที่มีลักษณะเหมือนคุณหายบ้างหรือเปล่า”
“ค่ะ”
“ซึ่งถ้ามีใครมาแจ้งความไว้ เรื่องก็คงจะไม่ยากนัก”
“ค่ะ”
“เริ่มเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า”
เตชิตลุกเดินไปที่ประตู เสียงหวานลุกตาม
“คุณเตชิต” เตชิตหันกลับมา เสียงหวานมีสีหน้าหวาดหวั่น “คุณ...คิดว่า ฉันเป็นอะไร เอ้อ... ตายคะ”
เตชิตทำท่าจะพูดแล้วเปลี่ยนใจ
“เราอย่าเพิ่งคาดเดาไปก่อนเลย คุณรออยู่ที่นี่นะ”
เตชิตเดินออกไป เสียงหวานมองตามครู่หนึ่งสีหน้าตัดสินใจ
เตชิตมาหาศรีตรังที่บ้าน ศรีตรังพยักหงานหงึกหงักเมื่อรู้ว่าเตชิตจะทำอะไร
“ความคิดแกเข้าท่าดี สมกับเป็นตำรวจ ...ไป”
“อะลัดตั๊ดต๊า ป้าตื่นเต้นจัง”
“ด้วยความเคารพ ผมไปด้วยดีไหมครับ” สมถาม
“ก็ได้ค่ะ”
ทั้งหมดเดินไปที่รถ
ศรีตรังขับรถพาเตชิตมาที่สถานีตำรวจ เมื่อมาถึงศรีตรังเดินนำเตชิตและสมเข้ามาด้านใน จ่าสมหวัง เหลือบมาเห็นศรีตรังจึง รีบผวาเข้ามาต้อนรับศรีตรังราวกับเป็นคนสำคัญมาเยี่ยม
“นายศรีตรัง เชิญนั่งครับ วันนี้มีอะไรให้สมหวังรับใช้บ้าง อ้อ... จะรับชาหรือกาแฟ หรือโอเลี้ยง ชาดำเย็น ชาไข่มุก ชานม”
“ไม่รับทั้งนั้นค่ะ”
“อ้อ ไม่รับก็ไม่เป็นไรครับ”
“ฉันมาขอความช่วยเหลือจากจ่า” สมหวังกุลีกุจอต่อแต่ศรีตรังขัดขึ้นก่อน “คือเพื่อนของเพื่อนฉันคนนี้หายไป”
“อ้าว งั้นก็เป็นมนุษย์ล่องหนะซิครับ” สมหวังหัวเราะขบขัน แล้วค่อยๆ หน้าเจื่อนลงเมื่อเห็นแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึม “ขอโทษครับ”
ศรีตรังหันมาพยักหน้ากับเตชิต
“เต แกเล่าให้จ่าสมหวังฟังซิ”
“คือ ผมมีเพื่อนผู้หญิงคนนึงเขาหายไประหว่างที่มาเที่ยวปากช่องประมาณ 2 ปีมาแล้ว”
“แล้วทำไมถึงได้พึ่งมาแจ้ง”
“ก็เพราะพึ่งจะรู้ ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ก็คงมาแจ้งนานแล้ว”
สมหวังอ้าปากจะสวนต่อ
“ด้วยความเคารพ” สมขัดขึ้นสมหวังกับเตชิตหันมามอง “ได้โปรดอย่าทะเลาะกันเลยครับ ประเทศเรากำลังต้องการความสามัคคีปรองดอง”
“บางทีอาจจะมีญาติของคุณหนูเผือก”
“ใครนะครับ”
“ชื่อเล่นๆ ของผู้หญิงคนนี้น่ะคะ บางทีญาติของเธออาจจะมาแจ้งไว้แล้วแต่เพื่อนฉันคนนี้เขาพึ่งจะรู้”
“อ้อ กรุณารอสักประเดี๋ยวนะครับ ... นายศรีตรัง”
สมหวังลุกเดินออกไป ศรีตรังหันมาดุเตชิต
“ถ้าพูดดีๆ ไม่ได้ ก็หุบปากไปเลย”
อ่านต่อหน้า 2
ปางเสน่หา ตอนที่ 1 (ต่อ)
ในขณะที่เตชิตอยู่ที่สถานีตำรวจ ศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังขี่มอเตอร์ไซค์พาอ้อยซ้อนท้าย ทั้งคู่แอบมาที่บ้านพักเตชิต
“ไม่มีใครอยู่แน่นะ”
ศักดิ์สิทธิ์ถามอ้อยเมื่อมองเข้าไปในตัวบ้าน
“ก็เมื่อกี้แม่เพิ่งบอกว่า พี่เตชิตออกไปข้างนอกกับนายศรีตรัง”
“แหม เรียกพี่เตชิตเต็มปากเต็มคำเชียวนะ”
“อ้าว ก็เขาอายุมากกว่าอ้อยนี่ ว่าแต่ศักดิ์เถอะ จะเข้าไปข้างในจริงๆ เหรอ”
“แล้วทำไมจะไม่กล้าล่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์เดินนำอ้อยมาถึงหน้าบ้านแล้วแบมือ อ้อยส่งกุญแจให้ ศักดิ์สิทธิ์ไขกุญแจแล้วเดินนำอ้อยเข้าไปข้างในโดยอ้อยมีท่าทางหวาด ๆ
ส่วนที่สถานีตำรวจสมหวังเดินกลับมา พร้อมแฟ้มๆ หนึ่งมาส่งให้ศรีตรัง
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่เป็นไรมิได้ครับ แต่เท่าที่เช็คดูในระหว่าง 2 ปีที่แล้วไม่มีคดีไหนที่สถานที่เกิดเหตุอยู่ในรอบรัศมีไร่สุขศรีตรังเลยนะครับ”
ศรีตรังรับมาแล้วเปิดดู โดยเตชิตและสมชะโงกเข้ามาช่วยดูด้วย
“ผมอยากดูแฟ้มคนหายจะได้ไหมครับ เพราะน่าจะได้เรื่องกว่า” เตชิตเงยหน้ามองสมหวัง สมหวังไม่พอใจ
“คุณนี่ได้คืบจะเอาศอก”
“นะคะจ่า คดีพวกนี้ท่าทางจะไม่เกี่ยวกับเพื่อนของเพื่อนฉันจริงๆ แต่ถ้าได้ดูแฟ้มคนหายคง Work กว่า”
สมหวังยิ้มให้ศรีตรัง
“ถ้าอย่างนั้น กรุณารอสักครู่นะครับ”
ศรีตรังยิ้มหวานตอบ
“ได้เลยค่ะ”
สมหวังเดินกลับไป
“แหวะ” ศรีตรังทำหน้าจะอ้วก
“แกนี่มีเสน่ห์เหมือนกันนะ เสียดายที่ฉันไม่ยักกะมองเห็น”
ศรีตรังถลึงตาใส่เตชิตขณะสมยังคงเปิดแฟ้มดูไปเรื่อยๆ อย่างสนใจ
ที่บ้านเตชิตขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์เดินกลับมาหาอ้อยหลังจากสำรวจดูห้องต่างๆ จนทั่วแล้วแต่ไม่พบอะไร
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“หรือว่าอ้อยจะคิดมากไปเอง”
“อยู่แล้ว”
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นข้างหลังอ้อย ไอเย็นแผ่ออกจากตัวเสียงหวาน อ้อยชะงักยกแขนขึ้นกอดอกห่อตัวด้วยเกิดหนาวเยือกขึ้นมา
“ศักดิ์” อ้อยมีสีหน้าไม่สู้ดี
“อะไร”
“ไปกันเถอะ”
“ทำไม ผีมาแล้วหรือ” ศักดิ์สิทธิ์หัวเราะ
“บ้า”
ศักดิ์สิทธิ์กางแขนออกแล้วเงยหน้าเรียก
“ผีจ๋า ผีปรากฏตัวขึ้นซิจ๊ะ”
“ศักดิ์”
ไอเย็นจากเสียงหวานค่อยๆ แผ่ออกไปทั่วห้อง ศักดิ์สิทธิ์กำลังหัวเราะขบขันท่าทางของอ้อยถึงกับหยุดชะงักแล้วห่อตัวเช่นเดียวกับอ้อย
“ออกไปกันเถอะ”
อ้อยบอกเสียงสั่น จากนั้นทั้งคู่ก็ตาลีตาเหลือกออกไป เสียงหวานค่อยๆ เลือนหาย
ส่วนที่สถานีตำรวจเตชิตและศรีตรังกำลังช่วยกันดูภาพคนหายในแฟ้ม
“มีภาพไหนเหมือนน้องเสียงหวานของแกบ้างมั้ย”
“ไม่มีเลยค่ะ”
เสียงหวานบอก เตชิตสะดุ้งเฮือกเกือบตกเก้าอี้
“เฮ้ย”
ทุกคนมองเตชิตอย่างแปลกใจ ในขณะที่เตชิตหันไปมองข้างหลัง จึงเห็นเสียงหวานยิ้มเหยๆ
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ”
“บอกไม่รู้กี่หนว่า อย่าพรวดพราดปรากฏตัวขึ้นมา”
ศรีตรังเอาศอกกระทุ้งเตชิต
“ไอ้เต”
เตชิตรู้สึกตัวหันกลับมาแล้วยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นสมและสมหวัง ตลอดจนคนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างกำลังจ้องมองเขาเป็นตาเดียว
“ขอโทษครับ”
ศรีตรังยิ้มกับสมหวัง
“เพื่อนฉันเขาออกจะขาดๆ เกินๆ นิดหน่อยแบบนี้ละค่ะอย่าถือสาเลยนะคะ” เตชิตถลึงตาใส่ศรีตรัง ศรีตรังจึงตัดบทด้วยการชี้ภาพๆ หนึ่ง “คนนี้ละค่ะ จ่า”
“ไหนครับ อ๋อ ...แสงเดือน คนนี้ก็ยังไม่ได้ร่องรอยเลยครับ หายไปอย่างลึกลับของแท้ สามีมาแจ้งความไว้ แต่เพื่อนบ้านลือกันว่าหนีตามชู้”
“โอ๊ย ไม่ใช่ฉันแน่ค่ะ”
เสียงหวานรีบบอก เตชิตหันไปดุ
“เงียบ” ทุกคนมองเตชิตแปลกๆ อีก เตชิตหันกลับมายิ้มแห้งๆ “คือ ผมชอบความเงียบน่ะครับ”
ทุกคนส่ายหน้าก้มดูรูปใหม่ ศรีตรังเปิดมาอีกจนถึงรูปเกษริน
“คนนี้ใช่หรือเปล่า หน้าตาสวยเชียว”
เตชิตหันมองข้างหลังแว่บหนึ่ง
“ไม่น่าจะใช่”
“ชื่อเกษริน ผมจำได้ครับ เป็นหลานยายภาไง ตอนที่หายไป ยายภาสงสัยว่าคุณตรีทศเป็นคนลักพาตัว แต่จนแล้วจนรอดก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้” สมบอก
“คุณตรีทศนี่เป็นใครครับลุง” เตชิตหันมาถามสม
“ก็ผู้จัดการไร่สุขศรีตรังไงครับ”
เตชิตหันมามองศรีตรังซึ่งมีสีหน้าเหมือนจะทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เมื่อออกจากสถานีตำรวจต่างคนต่างนั่งเงียบสีหน้าแต่ละคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
“เกษรินนี่แหละใกล้เคียงที่สุด”
ศรีตรังพูดขึ้นมาในที่สุด
“ไม่ใช่ หน้าตาก็ไม่เห็นเหมือนเลย”
เสียงหวานแย้ง
“หน้าตาแบบนี้อาจจะไม่ใช่หน้าตาที่แท้จริงของคุณก็ได้”
เตชิตบอก ศรีตรังกับสมเริ่มเลิ่กลั่ก
“ด้วยความเคารพ คุณเตพูดกับใครครับ”
เตชิตนิ่งไม่ตอบ ศรีตรังจึงกระซิบถามอย่างหวาดๆ
“ไอ้เต คุณหนูเผือกเสียงหวานอยู่ในรถนี่เหรอ”
เตชิตพยักหน้า ศรีตรังเบือนหน้ามองข้างๆ ตัวอย่างหวาดๆ
“ตรีทศนี่เป็นคนยังไง” เตชิตถาม
“เท่าที่เห็นก็เป็นคนเอาการเอางาน ไม่เคยเหลวไหล”
เตชิตเบือนหน้ามาทางเสียงหวาน
“คุณจำชื่อตรีทศได้หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ”
“ไอ้เต!… เอาไว้แกค่อยไปคุยกับเขาที่บ้านพักดีไหม”
“ทำไม หรือว่าแกกลัว” เตชิตหันมาถามศรีตรัง
“เปล่า แต่แกดูเหมือนคนบ้านั่งพูดอยู่คนเดียว”
เสียงหวานหัวเราะคิกๆ ขณะที่เตชิตหน้าหงิก
จุรีนั่งรออยู่หน้าบ้าน จุรีผุดลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นรถศรีตรังแล่นกลับเข้ามา สมขับรถแล่นมาจอดหน้าบ้านทุกคนก้าวลงมารวมทั้งเสียงหวานซึ่งส่งยิ้มให้จุรี จุรียิ้มตอบแห้งๆ
“สะ...สบายดีหรือคะ”
ศรีตรังและสมมองหวาดๆ
“ตามอัตภาพค่ะ”
“คุณกลับไปที่บ้านพักก่อนเถอะ” เตชิตบอกเสียงหวาน
“ค่ะ”
เสียงหวานค่อยๆ เลือนหายไป
“ด้วย...ด้วยความเคารพ ไป...ไปหรือยังครับ” สมกระซิบถาม เตชิตพยักหน้า
“ไปแล้ว”
สมถอนใจเฮือก ศรีตรังเดินเข้าไปในบ้านติดตามด้วยเตชิต
“แกคิดว่าไง”
ศรีตรังหันมาถามเตชิตเมื่อเข้ามาในบ้าน
“อาจจะเป็นไปได้ว่าเสียงหวานคือเกษริน”
“ไหนว่าหน้าไม่เหมือนไง”
เตชิตเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิดขณะพูด
“ก็อย่างที่ฉันพูดเมื่อกี้เสียงหวานจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย”
“แกก็เลยคิดว่า รูปร่างหน้าตาที่เห็นอยู่ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ของจริง”
“ถูกต้อง”
“ฉันว่าฟังดูพิลึกๆ ทำไมแกไม่วาดรูปคุณหนูเผือกเสียงหวานตามที่เห็น แล้วประกาศหาคนหายเฮอะ ฉันว่า Work กว่ากันเยอะเลย”
“เราไม่ใช่ญาติเขา ขืนไปทำโดยพละการ อาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากหรือไม่ ญาติเขาอาจจะเคยประกาศไปแล้วก็ได้” ศรีตรังเกาหัว “ฉันไปละจะปรึกษาเสียงหวานหน่อยว่าจะเอายังไงต่อไปดี”
ศรีตรังพยักหน้า เตชิตเดินออกไป
เตชิตขี่จักรยานกลับบ้านพัก ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์และอ้อยแอบอยู่หลังต้นไม้ ทั้งคู่ๆ ค่อยๆ โผล่หน้ามาแอบดู...เตชิตจูงจักรยานมาจอดปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ศักดิ์สิทธิ์และอ้อยรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อนตรงมาที่บ้านเตชิต
“ผมจะไปหายายภา” เตชิตหันมาบอกเสียงหวานเมื่อเข้ามาในบ้าน เสียงหวานก้มหน้า แสงโดยรอบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นเศร้า “เสียงหวาน ...” เสียงหวานค่อยๆ เงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอดูน่าสงสาร “ร้องไห้ทำไม”
เตชิตถามเสียงอ่อน
“ฉันกลัวค่ะ กลัวความจริง”
“แล้วคุณอยากรู้ความจริงหรือเปล่าล่ะ”
ด้านนอกศักดิ์สิทธิ์กับอ้อยกำลังแอบมองด้วยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นเตชิตกำลังพูดออกท่าออกทางอยู่คนเดียว
“ไอ้หมอนี่เป็นบ้าอย่างไม่มีข้อสงสัย”
อ้อยถอนใจเฮือก
“หน้าตาดีๆ น่าเสียดาย”
“ไม่น่าเชื่อว่า นายศรีตรังจะคบกับคนบ้า”
“แต่ตอนที่เขาอยู่กับอ้อยก็เหมือนคนปกตินะ”
“จะเหมือนได้ยังไง ดูมันทำท่าซิ”
เตชิตทรุดตัวลงหน้าเก้าอี้ที่เสียงหวานนั่ง
“คุณต้องเลือกเอา ระหว่างความกลัวแต่ได้รู้ความจริงกับความสงสัยไม่แน่ใจไปตลอดซึ่งไม่รู้ว่าจะยาวนานไปสักเท่าไหร่”
เสียงหวานถอนใจยาวอย้างเศร้าหมอง ไอเย็นแผ่ออกมาทั่วจนเตชิตสะดุ้ง ต้องถอยออกมาพร้อมกับห่อตัวด้วยความหนาวเย็น
ท่าทางของเตชิตทำให้ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าอย่างปลงสังเวช
“ดูมันทำท่าเข้าซิ”
“ไม่น่าเป็นไปได้”
ทั้งคู่เห็นเตชิตกำลังกระเถิบเข้ามาใกล้เก้าอี้ พลางพูดกับความว่างเปล่า
“คุณต้องระวังตัวหน่อย เพราะลมหายใจคุณน่ะเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งอีก”
เตชิตบอก เสียงหวานยกมือไหว้
“ขอโทษค่ะ ต่อไปฉันจะพยายามระวังตัว”
“เป็นอันว่า คุณอนุญาตให้ผมไปพบยายภา”
“ค่ะ คุณจะไปเมื่อไหร่คะ”
เตชิตนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“คงจะต้องเป็นวันมะรืน เพราะพรุ่งนี้ผมต้องเข้ากรุงเทพฯ ไปทำธุระบางอย่าง”
อ้อยกับศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ก้มตัวมาที่ประตูรั้ว แล้วเปิดประตูเดินออกไปอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่รีบเดินกลับมายังที่ซ่อนตัวตอนแรก
“มันต้องเป็นบ้าอย่างไม่มีข้อสงสัย”
ศักดิ์สิทธิ์บอก อยมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“หรือว่าเขากำลังพูดกับเกษริน”
“โธ่เอ๊ย ถ้าผีมีจริง ป่านนี้มิเดินเพ่นพ่านชนกับคนมั่วไปหมดแล้วเรอะ”
“แต่ตอนที่เข้าไปในบ้าน คุณยังรู้สึกเย็นยะเยือกเลย”
“แถวนี้อากาศเย็นอยู่แล้ว พอดีช่วงนั้นอาจจะมีลมพัดเข้าไปเลยทำให้หนาวเย็นไปกันใหญ่”
“มันเย็นไม่เหมือนกัน”
ศักดิ์สิทธิ์ฉุนแกมรำคาญ
“นี่อ้อยกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญความเย็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ศักดิ์สิทธิ์เดินไปที่มอเตอร์ไซค์ อ้อยเดินตามสีหน้ายังเป็นกังวลขณะขึ้นซ้อนศักดิ์ศิทธิ์ออกไป
ค่ำวันนั้นเตชิตมากินข้าวที่บ่านศรีตรัง จุรีเสิร์ฟอาหารให้ทั้ง 2 คน เตชิตตักเข้าปากโดยมีจุรีมองดูอยู่
“อะลัดตั๊ดต๊า อร่อยมั้ยคะ”
“อร่อยครับ”
“เห็นมั้ย ป้าบอกแล้ว เดี๋ยวป้าเข้าไปเตรียมของหวานก่อนนะคะ”
“เชิญค่ะ” ศรีตรังเบือนหน้ากลับมาที่เตชิต “ตกลงแกจะไปบ้านยายภาหรือเปล่า”
“ไปวันมะรืนนี้”
“แล้วทำไมไม่ไปพรุ่งนี้ให้หมดเรื่องหมดราว”
“เพราะฉันต้องกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯ”
“ฉันไปด้วย”
“แกไม่เกี่ยว”
“ฉันจะไป ไม่ได้เข้ากรุงเทพฯนานแล้ว”
“เอาไว้คราวหน้าเถอะ”
“พูดอย่างนี้ฉันยิ่งอยากไป เพราะแสดงว่าต้องมีลับลมคมในบางอย่าง” เตชิตอ้าปากจะพูด แต่
ศรีตรังไม่ปล่อยให้ขาดจังหวะโดยยกมือห้ามเตชิตพูดแล้วตัวเองพูดต่อทันที “แล้วถ้าหากแกไม่ให้ไป ฉันก็จะไม่พาไปหาป้าภารวมทั้งไม่ให้ความร่ววมือสืบเรื่องราวของคุณหนูเผือกเสียงหวานอีกด้วย”
สีหน้าศรีตรังแสดงชัยชนะเต็มที่ ผิดกับเตชิตที่ทำหน้าเซ็ง
หลังจากกินข้าวเสร็จเตชิตจึงขี่จักรยานกลับบ้านพัก เมื่อมาถึงเตชิตลงจากจักรยานแล้วเปิดประตูรั้ว แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นเบาๆ พร้อมเสียงหมาหอนชวนวังเวง เตชิตสะดุ้งหันหน้าหันหลังมอง
“เสียงหวาน คุณใช่ไหม” เสียงสะอื้นยังคงดังแผ่วๆ เยือกเย็น “หยุดร้องไห้ได้แล้ว เสียงหวาน”
“ฉันไม่ได้ร้องค่ะ” เตชิตสะดุ้งหันขวับไปมองจึงเห็นเสียงหวานปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง “ไม่ใช่เสียงฉัน”
“ให้ตายเถอะ บอกไม่รู้กี่ครั้งกี่หนว่า ไม่ให้โผล่พรวดพราดออกมา” เสียงหวานหน้าจ๋อย แสงสีขาวซีดเซียวลงไป เช่นเดียวกับใบหน้าที่ขาวซีดลงไปอีก “ถ้าคุณไม่ได้ร้อง แล้วผีที่ไหนจะมาร้องอีก”
เตชิตถพามอย่างหงุดหงิด เสียงหวานค่อยๆ ยกมือชี้ไปฝั่งตรงข้าม ใต้ร่มไม้
“โน่นค่ะ”
เตชิตค่อยๆ หันไปมอง แล้วสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นเกษรินยืนอยู่ใต้ร่มไม้ แสงจันทร์สลัวส่องให้เห็นผมรุ่ยร่ายรุงรัง หน้าตาและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยดินโคลน เตชิตกลืนน้ำลาย
“เธอก็เหมือนฉันที่ไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นใคร ทำไมถึงต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้ เลยอยากจะขอให้คุณช่วยสืบให้ด้วย”
“ให้ตายเถอะ นี่ผมไม่ใช่พนักงานสังคมสงเคราห์ผีนะ”
ร่างนั้นก้าวออกมาจากใต้ร่มไม้ราวกับลอยช้าๆ เตชิตรีบกระโดดเข้าในรั้ว
“นั่น...นั่น...เธอจะทำไม”
“อ๋อ มากราบอ้อนวอนคุณใกล้ๆ ค่ะ”
“ไม่ต้อง บอกเธอว่าผมจะสืบให้แต่อย่าเข้ามาใกล้ผม”
เกษรินหยุดเดิน
“เธอรับรู้แล้วค่ะ”
“ดี...ผมจะเข้าบ้าน ห้ามทั้งคุณทั้งเพื่อนของคุณตามเด็ดขาด”
เตชิตรีบตรงไปเปิดประตูเข้าบ้านแล้วปิดทันที
เตชิตล็อคประตูใส่กลอนแน่นหนาแล้วหันกลับมาแต่ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นเสียงหวานยืนยิ้มแจ่มใส แสงโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีส้ม
“เธอฝากมาขอบคุณ คุณค่ะ”
“ผมก็จะขอบคุณทั้งเธอทั้งคุณมาก ถ้าจะไม่มาปรากฏตัววูบวาบๆ แบบนี้อีก”
เตชิตบอกอย่างหงุดหงิด เสียงหวานจ๋อย แสงสีส้มจางลง
“ขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณกลัว”
“ไม่ได้กลัว แต่มันตกใจ”
“งั้นชั้นไปล่ะค่ะ”
เสียงหวานทำท่าจะเลือนหาย
“แล้วไม่ต้องพาเพื่อนๆ ผีคุณมาอีกนะ”
วันรุ่งขึ้นเตชิตเดินทางเข้ากรุงเทพกับศรีตรัง เตชิตพาศรีตรังมาที่โรงพยาบาลที่เจียงรักษาตัวอยู่
เมื่อมาถึงทั้งคู่เดินตรงไปที่ลิฟท์
“ตอนนี้แกก็เลยกว้างขวางในแวดวงผีเลยนะ”
“พูดบ้าๆ”
ศรีตรังหัวเราะคิกคัก ขณะที่เดินมาถึงลิฟท์แล้วเดินเข้าไปลิฟท์ปิด
ประตูลิฟท์เปิดออกทั้งคู่ก้าวออกมา โดยศรีตรังยังคุยอย่างแจ่มใส
“นึกถึงบรรยากาศตอนเป็นตำรวจจัง...เฮ้ย”
ศรีตรังชะงัก
“อะไร”
ศรีตรังดึงแขนเตชิตมาหลบบังตัวแล้วพยักหน้าให้มองไป เตชิตมองตามจึงเห็นเดนนิสกับพอลเดินตรงมาที่ลิฟท์ทั้งคู่สวมแว่นดำ
“ไอ้เพชรกับเดนนิสนี่”
“เขาบอกเขาชื่อพอล ไม่ใช่เพชร”
“เอาไงดี”
“แกไปดูเจียง ส่วนฉันจะตาม 2 คนนั่นไป”
“เฮ้ย”
“ฉันเป็นตำรวจเก่า อย่า...” ศรีตรังแบมือ “เอากุญแจรถมา”
“ทำไม”
“เอามาเถอะน่า แกคอยรับโทรศัพท์ฉันละกัน”
เตชิตส่งกุญแจให้ประตูลิฟท์เปิด พอลและเดนนิสรอให้คนออกมาจนหมด ศรีตรังรีบวิ่งไปที่บันได
พอลยังเข้าลิฟท์ไม่ได้เพราะมีคนป่วยถูกเข็นมาจึงต้องให้เข้าไปก่อน เตชิตคอยมองและกดโทรศัพท์รายงานศรีตรัง
ศรีตรังวิ่งมาที่รถแล้วพูดโทรศัพท์ไปด้วยท่าทางรีบร้อน
“เออ ... เออ ฉันจะขับรถไปคอยดักใกล้ๆ ประตู”
ศรีตรังเปิดประตูรถรีบขับออกไป
ศรีตรังซุ่มรอจนพอลขับรถออกมาจึงขับรถตามในระยะพอสมควร โดยศรีตรังพูดโทรศัพท์ไปด้วย
“เขากลับคนละคัน ฉันตามอีตาพอลมา เออน่า ไม่ต้องเป็นห่วง”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ แล้วขับรถตามไปเรื่อยๆ จนพอลขับรถเข้ามาจอดที่คอนโดศรีตรังขับมาจอดห่างออกไปแต่มองเห็นพอลเปิดประตูรถลงมา ศรีตรังเอื้อมไปหยิบหมวกข้างหลังรถมาสวมแล้วเปิดกระเป๋าหยิบแว่นดำมาสวม ก่อนจะเปิดประตูรถออกไปโดยวางกระเป๋าไว้ที่พื้น
พอลเดินเข้าไปที่ลิฟท์ ศรีตรังค่อยๆ ย่องมาดูขณะที่หมายเลขเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนหยุดที่ชั้นใดชั้นหนึ่ง ศรีตรังก้าวออกมาแล้วกดลิฟท์ ลิฟท์ลงมาจอดศรีตรังเดินเข้าไปในลิฟท์แล้วกดหมายเลขเดียวกับที่พอลออกจากลิฟท์
ลิฟท์มาจอดชั้นเดียวกับพอลประตูเปิดออก ศรีตรังก้าวออกมามองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง
ศรีเดินมาเรื่อยๆ ช้าๆ เหมือนจะหาพอล
“ห้องไหนนะ”
ศรีตรังเหลียวมอง พลางเดินมาเรื่อยๆ แต่แล้วเธอก็ถูกรวบตัวจากข้างหลัง ศรีตรังใช้วิชาป้องกันตัวที่เรียนมา แต่พอลสามารถคุมได้หมด
“ปล่อยนะ”
“เดินไป”
ศรีตรังอ้าปากจะร้อง แต่พอลอุดปากไว้ทันทีแล้วยกตัวศรีตรังขึ้นพาเข้าไปในห้องโดยศรีตรัง
พยายามดิ้นตลอดเวลา
พอเข้ามาในห้องพอลเหวี่ยงตัวศรีตรังไปที่โซฟาแล้วล็อคประตูห้อง ศรีตรังลุกขึ้นวิ่งจะมาเปิด แต่พอลจับตัวเอาไว้
“จะไปไหนล่ะ อุตส่าห์ตามผมมาตั้งไกล”
ศรีตรังชะงัก
“คุณรู้เหรอ”
พอลปล่อยตัวศรีตรังดึงหมวกและแว่นออกโยนไปที่โซฟา
“จะทำอะไรก็ให้มันแนบเนียนหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเคยเป็นตำรวจ”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันเคยเป็นตำรวจ”
“ก็คุณไม่ได้ปิดบังไม่ใช่หรือ”
“ต้องใช่พี่เพชรแน่ๆ พี่เพชร ทำไมต้องทำเป็นไม่รู้จักศรีด้วย”
พอลยิ้มนิดๆ พลางดึงตัวศรีตรังเข้ามากอด
“ใช่แล้ว ผมคือพี่เพชร”
พอลก้มหน้าลงมาจะจูบ ศรีตรังตบเปรี้ยงจนพอลผงะไป จากนั้นก้ผลักซ้ำจนพอลเสียหลักเกือบล้ม
“ทุเรศ หยาบคาย พี่เพชรไม่ได้เถื่อนแบบนี้”
พอลลูบแก้มที่แดงเป็นผื่น
“ถ้าไม่ต้องการให้ทำแบบนี้ แล้วสะกดรอยตามมาทำไม”
“ฉันนึกว่า คุณเป็นคนที่ฉันรู้จัก แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่ เขาคนนั้นเป็นสุภาพบุรุษ แต่คุณเป็นพวกฉวยโอกาสเป็นโรคจิต”
ศรีตรังเดินไปที่ประตูกระชากเปิดออกไป พอลมองตามมือยังลูบแก้ม
อ่านต่อหน้า 3
ปางเสน่หา ตอน 2 (ต่อ)
พอออกมาข้างนอกศรีตรังหันไปมองประตูห้อง พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคียดแค้นแล้วยกมือท่วมหัวสาปแช่ง
“เพี้ยง ขอให้คนใจร้ายตกนรกหมกไหม้ อย่าได้ผุดอย่าได้...” ศรีตรังชะงักประตูเปิดออกมา โดยพอลยืนท้าวประตูมองด้วยสีหน้าทึ่งๆ ศรีตรังกัดปากแช่งต่อ “... อย่าได้เกิด ...เพี้ยง”
“เป็นอะไรน่ะ” ศรีตรังถลึงตาใส่ “เป็นอะไร้”
พอลถามเสียงสูงเหมือนรำคาญเต็มที่
“ไม่รู้เรอะว่า ฉันแช่งคุณ”
“ขอบใจ”
พอลหันหลังกลับจะเข้าห้อง ศรีตรังโกรธจนแทบเต้น
“อะไรนะ”
พอลหันกลับมา
“บอกว่า ขอบใจ ไม่ได้ยินเรอะไง”
“ขอบใจ ฉันแช่งคุณนะไม่ได้อวยพร” ศรีตรังโวย แล้วชะงักเมื่อมีครอบครัวพ่อแม่ลูกเดินผ่านมา
“แล้วจะให้ผมแช่งตอบหรือ”
“ฉันเกลียดคุณ”
พอลก้มหัวนิดๆ
“เช่นเดียวกัน” ศรีตรังโกรธจนพูดไม่ออก “อ้อ โบราณท่านบอกว่า เกลียดอะไรมักจะได้สิ่งนั้น”
พอลปิดประตู ขณะที่ศรีตรังถลาเข้าไปทุบโครมๆ หนุ่มสาวสองคนเดินมามองศรีตรังแปลกๆ
ศรีตรังจำต้องหยุดแล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปที่ลิฟท์
พอลกลับเข้าห้องเดินมาหยิบหมวกและแว่นตาศรีตรังขึ้นมา พอลทำท่าจะเอาไปคืนแต่แล้วก็เปลี่ยนใจวางไว้บนโต๊ะ แล้วทรุดตัวลงนั่งมองอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ส่วนศรีตรังเธอกลับมาที่รถแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเปิดหยิบมือถือขึ้นมาโทร.หาเตชิต
“ไอ้เต ยังอยู่ที่โรงพยาบาลหรือเปล่า เออ เดี๋ยวฉันจะไปรับ”
ศรีตรังขับรถออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด
ศรีตรังขับรถมารับเตชิตที่โรงพยาบาลแล้วพามานั่งทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่างอยู่ในร้านอาหารศรีตรังนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ บริกรนำอาหารมาเสิร์ฟ แล้วเดินไป เตชิตเลื่อนอาหารและน้ำให้ศรีตรังอย่างเอาใจ
“เอ้า...กินน้ำนางเอกเสียหน่อยจะได้อารมณ์ดี”
“อย่ากวนโมโหฉันนะไอ้เต”
“อะลัดตั๊ดต๊า ท่าทางจะโกรธจริงๆ”
“บ้า” ศรีตรังเกือบจะหัวเราะที่เตชิตเลียนเสียงจุรี เตชิตตักอาหารเข้าปาก ศรีตรังมองขวางๆ “แล้วแกล่ะ ได้เรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ ไอ้พอลหรือไอ้เพชรกับนายเดนนิสคงจะขู่เอาไว้มาก”
“เขาไม่ใช่พี่เพชร”
“เออ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ รีบกินเร็วๆ เข้าเดี๋ยวจะได้กลับ”
“ไม่อยากกินเว้ย”
ศรีตรังพูดพลางตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย เตชิตมองพลางส่ายหน้าขันๆ
อีกด้านหนึ่งที่คอนโดของพอล พอลกำลังบันทึกบางอย่างลงใน Com. ด้วยสีหน้าท่าทางขมักเขม้นจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอลพิมพ์อีก 3-4 คำ แล้ววางมือมารับโทรศัพท์
“ครับ คุณเดนนิส”
“มีคนสะกดรอยตามไป นายสังเกตหรือเปล่า”
พอลขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
“เพื่อนเก่าผมเองครับ เขาเห็นผมตอนออกมาจากโรงพยาบาล จะเรียกก็ไม่ทันเลยตามมาที่คอนโด”
“งั้นแล้วไป”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วลูกน้องดินเข้ามา
“คุณเจนจิรามาครับ”
ลูกน้องรายงานเดนนิสนิ่วหน้านิดหนึ่ง
“มาทำไม เดี๋ยวฉันออกไป”
“ครับ”
ลูกน้องเดินออกไป เดนนิสจึงคุยกับพอลต่อ
“ฉันโทร. มาเตือนให้นายระวังตัวไว้ เท่านั้นแหละ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินออกไป
ที่ห้องรับแขกบ้านเดนนิสขณะนั้นสาวใช้กำลังเอาน้ำและของว่างมาเสิร์ฟเจนจิรา ขณะที่เจนจิราเดินกรีดกรายเตะโน่นดูนี่ด้วยสีหน้าท่าทางราวกับเป็นเจ้าของบ้าน เดนนิสเดินเข้ามา แววตาเหมือนไม่พอใจในขณะที่เจนจิราเบือนหน้ามาเห็น เธอโผเข้าโอบรอบคอเดนนิส
“เสี่ยขา”
เจนจิรายื่นหน้าจะจูบ เดนนิสเบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อยแล้วจับข้อมือเจนจิราออก ดันให้ห่างพอสมควร
“บอกแล้วว่าฉันไม่ชอบให้มาทำรุ่มร่ามที่นี่”
“กลัวใครจะเก็บไปเล่าให้คุณปรกเดือนฟังหรือคะ”
“ใช่” เจนจิราเม้มปาก เบือนหน้าไปอีกทางอย่างไม่พอใจ “เดือนเป็นเมียฉัน ฉันต้องให้เกียรติเขา”
“ก็เจนคิดถึงเสี่ยนี่คะ”
“ทุกอย่างฉันต้องเป็นคนกำหนด ไม่ใช่เธอ” เจนจิราเม้มปาก สีหน้าเหมือนไม่พอใจ “อย่าทำอย่างนั้น ฉันไม่ชอบ”
เจนจิราเหลือบตามองเดนนิส แล้วสะดุ้งกับสีหน้าเหี้ยมโหดเย็นชานั้น เจนจิรารีบเปลี่ยนสีหน้าทันที ขณะลุกขึ้นมาคุกเข่าลงกราบกอดเอวเดนนิสแล้วซบลงอย่างประจบประแจง
“เจนกราบขอโทษค่ะ เสี่ยอย่าโกรธเจนเลยนะคะ เจนสัญญาว่า ต่อไปเจนจะไม่ทำอย่างนี้อีก เจนจะเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ทำตัวเทียบคุณปรกเดือน”
“ถ้าเธอทำอีก เราก็เลิกกัน”
สีหน้าเดนนิสดูเยือกเย็น ขณะก้มลงมองเจนจิรา
เจนจิรารับปากเดนนิสว่าจะไม่ยุ่งกับปรกเดือน แต่พอกลับมาคอนโดเธอก็โทรหาปรกเดือนทันทีขณะนั้นปรกกำลังทำขนมอยู่ในครัว สาวใช้เดินถือโทรศัพท์เข้ามา
“คุณเดือนขา โทรศัพท์ค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ” ปรกเดือนรับโทรศัพท์มา “ปรกเดือนพูดค่ะ”
เจนจิราเดินเข้ามาในห้อง ปากก็พูดโทรศัพท์ไปด้วย
“ฉันเป็นผู้หวังดีนะคะ แต่คุณอาจจะคิดว่าเป็นผู้ประสงค์ร้ายก็ไม่ว่ากัน คืออย่างนี้ไม่ทราบคุณรู้หรือยังว่าสามีคุณกำลังติดพันดาราสาวแสนสวยคนนึง ถ้าไม่รู้จะได้รู้ไว้ แต่ถ้าพอรู้บ้างฉันก็จะได้ Confirm ว่าเป็นเรื่องจริง เสียยิ่งกว่าจริง”
มือปรกเดือนกำลังถือถ้วยใส่น้ำตาลจะผสมลงในขนม ตกลงบนพื้นแตกกระจาย
“อะไรหรือคะ คุณเดือน” สาวใช้ถามอย่างตกใจ
“เปล่า แจ๋วช่วยเก็บกวาดให้หน่อยนะ”
“คะ”
ปรกเดือนเดินออกไป แจ๋วมองตามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ตายจริง ฉันไม่น่าโทร.มาบอกคุณเลย”
เจนจิราถามมาตามสาย
“คุณเป็นใคร”
“แหม ก็บอกแล้วว่าเป็นผู้หวังดี”
“ฉันไม่เชื่อ”
“อุ๊ย..ดีแล้วล่ะคะที่ไม่เชื่อ จะได้ไม่หัวใจวายตายแล้วฉันก็จะได้ไม่ต้องเสียเงินใส่ซองทำบุญ เอาละค่ะ พอแค่นี้ก่อนแล้ววันหลังจะโทร.มาเล่าสู่กันฟังใหม่ อ้อ! อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างนี้รักษาสุขภาพ
ด้วยนะคะ รับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซี”
ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลงทันทีแล้วทรุดตัวลงอย่างหมดแรง มือไม้สั่นเหมือนจะเป็นลม ผิดกับเจนจิราที่วางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าสะใจ
ปรกเดือนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดใหม่ มือไม้ยังสั่นขณะกดหาพอล พอลรีบมาหาปรกเดือนที่บ้านหลังจากได้รับโทรศัพท์จากเธอ ปรกเดือนเล่าให้พอลฟังน้ำตาคลอ
“เหลวไหลน่ะเดือน”
“คราวนี้เขากล้าถึงขนาดโทร.มา เขาต้องมั่นใจว่าเดนนิสรักเขามาก”
“ผมจะจัดการให้เอง”
ปรกเดือนสะดุ้ง
“คุณจะฆ่าเขาหรือ”
“เปล่า แต่จะทำให้เขาไม่กล้าโทร.มาหาเรื่องคุณอีก”
“อย่า”
“ทำไม ผมรับรองว่า เดนนิสจะไม่รู้”
“เดือนไม่อยากใช้วิธีนั้น ถ้าเขารักกันจริงเดือนก็จะหลีกทางให้”
“เดือน”
“เดือนจะรอดูสักพัก แต่คุณต้องสัญญานะว่าจะไม่ทำอะไรโดยไม่บอกเดือนก่อน” พอลนิ่ง
“พอล...เดือนขอร้อง”
พอลนิ่งสีหน้ามองไม่ออกว่าคิดอย่างไร
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ไร่สุขศรีตรัง เตชิตกำลังนั่งใช้ความคิด จนกระทั่งศรีตรังมาตะโกนเรียก เตชิตเดินไปเปิดประตู
“มีธุระอะไร ถึงได้ถ่อมาถึงนี่”
“ฉันมีเรื่องจะตกลงกับแก ฉันช่วยแกสืบเรื่องคุณหนูเผือกเสียงหวานแล้ว แกก็ต้องช่วยฉันสืบเรื่อง
คุณชายเผือกบ้าง”
“ใครอีกล่ะ”
“ก็อีตาพอลน่ะซิ” เตชิตอ้าปากจะพูด แต่ไม่ทันศรีตรัง “อย่าปฎิเสธ แกเป็นตำรวจ ถึงจะไม่ใหญ่ขนาดผู้บัญชาการฯ แต่ก็ต้องมีสายสนกลในบ้างละ” เตชิตขยับปากอีกแต่ก็ไม่ทันศรีตรังอีกตามเคย
“ฉันอยากรู้ว่าคุณชายเผือกพอลเขาเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับนายเดนนิส หยาง หรือชื่อไทยว่า เสี่ยสงคราม”
เตชิตขยับปาก แต่ก็ไม่ทันศรีตรังอีกตามเคย “อย่าเพิ่งแย่งฉันพูด ...”
“แกนั่นแหละแย่งฉันพูด”
“อ้าว ...”
“ตอนนี้แกไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องของแกที่จะไปยุ่งกับพวกอาชญากร”
“แกก็ไม่ใช่ยมบาลสักหน่อย แล้วไปยุ่งกับพวกผีทำไม ฉันช่วยแก แกช่วยฉัน โอเค้”
“ฉันน่ะ โอเคได้ ว่าแต่แกจะโอเคหรือเปล่า”
“ทำไม แกคิดว่าฉันกลัวผีเรอะ”
เตชิตพยักหน้า
“ไม่ใช่ผีตนเดียว แต่ 2 ตน”
“หา”
“เสียงหวานกับเพื่อนของเธอ”
วันต่อมาศรีตรังจึงพาเตชิตมาบ้านยายภาโดยมีสมเป็นคนขับรถ เมื่อมาถึงเตชิตเบือนหน้ามาทางที่นั่งข้างๆ ศรีตรังเพื่อถามเสียงหวาน
“พอจะจำอะไรได้บ้างไหม”
เสียงหวานชะเง้อมองไปโดยรอบ ในขณะที่ศรีตรังรีบเบียดตัวกับประตูด้วยสีหน้าหวาดๆ เช่นเดียวกับสม
“ไอ้เต”
ศรีตรังเรียกเพื่อนเสียงสั่น
“ด้วย... ด้วยความเคารพ...ตกลงมากันกี่ ....กี่คนครับ...” สมถามเสียงสั่น
“สี่”
“ไม่ค่ะจำไม่ได้เลย” เสียงหวานบอกเตชิต
“สักนิดก็ไม่คุ้นเหรอ”
“ไม่เลยค่ะ”
ขณะเตชิตพูดศรีตรังและสม สบตากันหวาดๆ ด้วยดูเหมือนเตชิตพูดอยู่คนเดียว
“ด้วย...ด้วยความเคารพ...ตกลงเธอจำได้ไหมครับ” สมถาม
“ไม่” เตชิตบอกแล้วมองตามเสียงหวานซึ่งก้าวลงไป
“งั้น...งั้น ลงไปดูกันหน่อยดีไหมคะ” ศรีตรังหันมาพูดกับความว่างเปล่าข้างๆ
“เขาเดินไปโน่นแล้ว”
เตชิตบอก ขณะนั้นยายภาเปิดประตูออกมาดู สมหันไปเห็นพอดี
“ยายภา นายศรีตรังมีอะไรอยากจะคุยด้วย ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”
ยายภาพาทุกคนเข้ามาคุยในบ้าน ศรีตรังขยับตัวก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง
“เอ้อ...เรื่องคดีของยายไปถึงไหนแล้วคะ”
คำถามนี้ทำให้ยายภามีสีหน้าเศร้าหมองขึ้นมาทันที
“ยังอยู่ที่เดิมจ้ะ ไม่ได้เขยิบไปถึงไหนเลย”
ขณะยายภาพูด เตชิตเบือนหน้าไปทางด้านหลัง
“จำได้มั้ย” เสียงหวานมองยายภาพลางส่ายหน้า “ค่อยๆ คิดให้ดี”
ยายภามองเตชิตพูดคนเดียวอย่างแปลกใจ
“นั่นเขาเป็นบ้าหรือจ้ะ เห็นพูดอยู่คนเดียว” ยายภาถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงซื่อๆ
“ก็ ... ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ” สมแอบสะกิดเตชิต เตชิตหันมาแล้วยิ้มแห้งๆ “เอ้อ ขอดูรูปของเกษรินหน่อยได้ไหมคะเอารูปใหญ่ๆ หน่อย...คือฉันจำหน้าไม่ค่อยได้”
“อ๋อ ...ได้จ้ะ รอเดี๋ยวนะ”
ยายภาเดินเข้าไปในห้องศรีตรังและสมหันมามองเตชิตเป็นจุดเดียว
“ว่าไง”
“เขาจำไม่ได้”
“สงสัยคุณหนูเผือกจะเป็นอัลไซเมอร์ว่ะ ไม่เห็นจำอะไรได้สักอย่าง”
ยายภาเดินออกมาพร้อมรูปในกรอบค่อนข้างใหญ่
“นี่จ้ะ”
ยายภาส่งรูปให้ศรีตรัง ศรีตรังรับมาเตชิตและสมชะโงกหน้ามามองรวมทั้งเสียงหวานด้วย เตชิตมองรูปเกษรินด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“หน้าก็คล้ายๆเหมือนกันนะ”
“ไม่... ฉันคิดว่าไม่ใช่แน่ๆ” เสียงหวานบอก
“คิดดีๆ ดูให้ดีๆ”
เตชิตบอก ยายภามองเตชิตอย่างหวาดๆ สมแอบสะกดเตชิต เตชิตหันมายิ้มให้ยายภา
“กลับกันเถอะ รบกวนยายนานแล้ว”
ศรีตรังบอกทั้งหมดจึงลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ลายายภา
“ขอบใจนะจ๊ะ นายศรีตรังที่อุตส่าห์แวะมาเยี่ยม”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วจะแวะมาใหม่”
ยายภาเดินออกไปส่งทุกคนที่รถ
เมื่อกลับจากบ้านยายภาศรีตรังส่งเตชิตที่บ้านพัก เตชิตเดินเข้าบ้านตามติดด้วยเสียงหวานที่มีสีหน้าครุ่นคิด
“คุณคิดว่าฉันชื่อเกษริน หรือคะ”
“ผมว่าใกล้เคียงที่สุด”
“แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้สึกคุ้นเลย”
“ผมไม่เห็นคุณคุ้นกับอะไรสักอย่าง”
“หน้าตาก็ไม่เหมือน” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย เตชิตเดินไปเปิดหน้าต่าง เสียงหวาน
มองตามแล้วตัดสินใจถาม “แล้วคุณคิดว่าฉัน...เอ้อ...เป็นอะไรตายคะ”
“อาจจะถูกฆ่าข่มขืน” เสียงหวานร้องไห้โฮเตชิตจึงรู้สึกตัว “ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่สันนิษฐานเอาจากประสบการณ์ของผม”
“ฉันไม่อยากถูกฆ่าข่มขืน”
เสียงหวานยังร้องไห้สะอึกสะอื้น เตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ เธอ แล้วค่อยๆ ยื่นมือมาจะแตะแต่มือเตชิตกระทบกับความว่างเปล่าเสียงหวานค่อยๆ เลือนหายไป
“ปากเสียอีกแล้วเรา”
ขณะนั้นศรีตรังกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพ์ จุรีเดินเข้ามาหา
“อะลัดตั๊ดต๊า”
ศรีตรังกำลังเพลินๆ ถึงกับสะดุ้งเฮือก
“โอ๊ย ป้าตกใจหมด”
“ขอประทานโทษค่ะ”
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“ลืมไปเลย”
ศรีตรังส่ายหน้า แล้วถอนใจเฮือก
“งั้นนึกออกแล้วค่อยเข้ามาบอก”
จุรีจะเดินออกไป แล้วนึกได้รีบหันหลังกลับมาใหม่
“นึกได้แล้วค่ะ คุณตรีทศมาพบแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวฉันออกไป”
“ค่ะ” จุรีเดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่นึกออก ศรีตรังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเตชิต
“เต...คุณตรีทศมาแล้ว”
ศรีตรังวางโทรศัพท์แล้วเดินออกไป
จุรีกำลังคุยกับตรีทศ ขณะที่ศรีตรังเดินออกมา ตรีทศรีบลุกขึ้นก้มหัวให้ศรีตรังนิดๆ
“นายต้องการพบผมหรือครับ”
“ค่ะ พอดีเพื่อนของฉันเขามีเรื่องจะถามอะไรคุณทศนิดหน่อย เอ้า...ป้า ไปยกขนมนมเนยมาเลี้ยงคุณทศซิจ้ะ”
“อุ๊ย ลืมไปเลย อาลัดตั๊ดต๊าเดี๋ยวมานะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ”
จุรีรีบเดินเข้าไป ตรีทศเบือนหน้ากลับมา
“เพื่อนนายศรีตรังรู้จักผมหรือครับ”
“เห็นบอกว่ารู้จักผ่านเพื่อนเขาน่ะค่ะ”
ตรีทศมีสีหน้าสงสัยแปลกใจ
ขณะนั้นเตชิตกำลังออกจากบ้านพักเพื่อมาหาศรีตรังแต่เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นขวางหน้า เตชิตถึงกับสะดุ้งเฮือก
“โฮ้ย คุณ”
เสียงหวานหน้าเสีย
“ขอโทษค่ะ คุณจะไปไหนคะ”
“ไปพบแฟนเก่าคุณ”
เตชิตบอกอย่างหงุดหงิด เสียงหวานเบิกตากว้าง
“แฟนเก่าฉัน ใครคะ”
“คุณตรีทศ”
เสียงหวานนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อ”
“ต้องเห็นหน้าแล้วคงนึกออกมั้ง”
เตชิตประชด เสียงหวานมองเตชิตอย่างแปลกใจ
“คุณโกรธฉันหรือคะ”
“ผมจะไปโกรธคุณทำไม ไม่เห็นมีเหตุผล”
เตชิตเปิดประตูเดินออกไป แต่ต้องหฟัวเสียเมื่อเห็นเสียงหวานรออยู่ตรงหน้า
“เฮ้อ”
“ขอฉันไปด้วยคน”
“อยากจะเห็นหน้าแฟนเก่าละซี”
“ถ้าใช่ ฉันก็ควรจะได้เห็นไม่ใช่หรือคะ”
“ไม่ใช่” เตชิตตวาดอย่างหงุดหงิด เสียงหวานถึงกับสะดุ้ง “ขอโทษ คุณรออยู่ที่นี่แหละ ผมจะไปดูท่าทีของเขาก่อน”
เตชิตเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์สตาร์ทเครื่องแล้วขี่ออกไป เสียงหวานมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดอย่างหนัก
อ่านต่อหน้า 4
ปางเสน่หา ตอนที่ 2 (ต่อ)
เตชิตขี่มอเตอร์ไซค์มาด้วยความเร็วพอสมควร ขณะนั้นเวนย์กำลังซ้อนมอเตอร์ไซค์คนงานมาทางเดียวกับเตชิต จู่ๆ เสียงหวานก็ปรากฏตัวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์เตชิต
“ฉันขอไปด้วยคนนะคะ”
เตชิตสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจจนมอเตอร์ไซค์เสียหลักจังหวะนั้นมอเตอร์ไซค์ที่เวนย์ซ้อนมาสวนมาพอดี มอเตอร์ไซค์เวนย์หลบมอเตอร์ไซค์เตชิตจนเสียหลักล้มลง เวนย์กระเด็นลงไปร้องลั่น
เตชิตทั้งตกใจและเซ็งที่ทำให้เวนย์บาดเจ็บอีกแล้ว
เมื่อเตชิตมาถึงบ้านศรีตรัง เตชิตเดินเข้ามาในบ้านติดตามด้วยเสียงหวาน ศรีตรังและและตรัทศหันมามอง
“เต...นี่คุณตรีทศแฟนเก่าเกษริน แล้วนี่เตชิตเพื่อนของเกษรินค่ะ...คุณทศ”
ศรีตรังแนะนำสองหนุ่มก้มศรีษะให้กันนิดๆ ขณะที่เสียงหวานมองตรัทศอย่างพยายามทบทวนความทรงจำ
“ความจริง ผมกับเกษรินเลิกรากันไปนานแล้ว หากคุณอยากจะทราบเรื่องอะไรก็น่าจะถามคุณศักดิ์สิทธิ์มากกว่า” ตรีทศบอก เตชิตทำหน้างงๆ หันไปมองเสียงหวาน เสียงหวานส่ายหน้าเป็นเชิงไม่รู้จัก
“ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกชายของคุณพงษ์เทพ ผู้จัดการโรงแรมแปรรูปข้าวโพดของเรา”
“แฟนเยอะจังนะ”
เตชิตประชดขึ้นลอยๆ
“ฉันไม่รู้จักเลยสักคน” เสียงหวานบอก
“เกษรินไปแต่งงานกับเพื่อนสนิทของผมที่กรุงเทพฯ” เตชิตบอกทำให้ศรีตรัง เสียงหวานมีสีหน้าประหลาดใจสุดๆ เช่นเดียวกับตรีทศ “พอดีเขารู้ข่าวว่า ผมมาที่นี่ ก็เลยฝากมาทักทายคุณ”
“เกษยัง ...ยังมีชีวิตอยู่หรือครับ”
“อ้าว ทำไมถามเหมือนแช่งกันอย่างนั้นล่ะครับ”
“ขอโทษครับ คือเกษหายไปประมาณ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่ได้ส่งข่าวคราวถึงใครเลย จนยายภาคิดว่าหายสาบสูญด้วยซ้ำ”
“อ๋อ ไม่สูญหรอกครับ เขายังอยู่กับสามีที่กรุงเทพฯ”
“แล้วทำไมไม่ติดต่อมาเลย”
“ผมก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน อาจจะอยากหนีอะไรบางอย่างที่ปากช่องนี่ก็ได้”
ตรีทศนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เกษสบายดีหรือครับ”
“ก็เห็นสบายดีมีความสุขนี่ครับ”
ตรีทศนิ่งไปเหมือนรู้สึกสะเทือนใจ ขณะนั้นจุรีแอบฟังทุกๆ คนคุยกัน ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
เมื่อกลับมาบ้านจุรีจึงบอกเรื่องเกษรินกับอ้อย อ้อยถึงกับสะดุ้งเฮือก
“อะไรนะแม่ นัง...เอ๊ยเกษน่ะเรอะยังไม่ตาย”
“แม่ก็เพิ่งรู้จากคุณเตนี่แหละ นอกจากไม่ตายแล้วยังแถมได้ดีมีความสุขอยู่กับสามีที่กรุงเทพฯอีกด้วย เฮ้อ!หมดห่วงไปที”
“เป็นไปไม่ได้”
“อะไรเป็นไปไม่ได้”
“เดี๋ยวอ้อยมานะแม่”
อ้อยรีบเดินออกไป
“จะไปไหน ดูซิฟังเสียเมื่อไหร่ล่ะ”
อ้อยรีบมาหาศักดิ์สิทธิ์ที่บ้าน
“เฮ้ย จะเป็นไปได้ยังไงก็เรา...”
ศักดิ์สิทธิ์ถามอย่างตกใจ อ้อยรีบเอามืออุดปากศักดิ์สิทธิ์ทันที
“อย่าหลุดปากออกมาเด็ดขาด”
ศักดิ์สิทธิ์ดึงมืออ้อยออก ลุกเดินกลับไปกลับมาอย่างครุ่นคิดก่อนจะหยุดเดินหันกลับมา
“คืนนี้เราต้องไปพิสูจน์”
“พิสูจน์ยังไง”
“ก็ไปที่นั่นน่ะซิ”
“โอ๊ย อ้อยไม่ไปหรอก อ้อยกลัว”
“กลัวอะไร ตอนเป็นคนเรายังไม่กลัวมัน แล้วเรื่องอะไรจะต้องกลัวตอนมันตายไปแล้ว”
“ตอนตายไปแล้วนั่นแหละน่ากลัวสุดๆ”
“ศักดิ์ไปด้วย อ้อยไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
ศักดิ์สิทธิ์สบตาอ้อยให้ความมั่นใจเต็มที่
ทางด้านเตชิตเมื่อกลับมาบ้านพักเสียงหวานจึงถามเตชิตอย่างแปลกใจ
“ทำไมคุณถึงต้องโกหกด้วยล่ะคะ”
“มันเป็นวิธีการที่จะจับพิรุธ”
“แล้วจับได้มั้ยคะ”
“ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา”
“แล้วถ้าหาก...”
“พอได้แล้ว ห้ามซักคืนนี้คุณไปคอยซุ่มดูที่บ้านนายตรีทศ”
“ถ้าคุณไม่ไป ฉันก็ไปไม่ได้หรอกค่ะฉันติดอยู่ในบ้านนี้ แล้วก็คุณ...”
“ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเป็นผม...จริงซิ ป้าจุอีกคนใช่ไหมที่เห็นคุณ”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นถ้าป้าจุอยู่ที่นั่น คุณก็อาจจะอยู่ได้”
“แล้วคุณจะอยู่กับเพื่อนของฉันที่นี่หรือคะ”
เตชิตสะดุ้ง
“อะไรนะ...”
“คืนนี้ เพื่อนของฉันเขาจะมาขอบคุณ”
“ไม่ต้องเลย ไปบอกเขาว่าไม่ต้องมาถ้าหากมาผมอาจจะไม่ช่วย”
“แต่เขาซาบซึ้งจริงๆ”
“งั้นก็บอกเขาว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า เอาเป็นว่าคืนนี้เราไปเฝ้าบ้านตรีทศด้วยกัน ถ้าเขาเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณ เอ๊ย...เกษริน เขาจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแน่”
เตชิตบอกอย่างมั่นใจ
ค่ำวันนั้นที่บ้านศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ก้าวออกมาจากในบ้านเหลียวมองหาอ้อย อ้อยผิวปากเป็นเสียงนกเรียก ศักดิ์สิทธิ์รีบเดินตรงไปที่พุ่มไม้ใหญ่ที่อ้อยซ่อนตัวอยู่
“เร็วๆ เข้า”
“ทำไมเอาจักรยานมา”
“มอไซคล์มันเสียงดัง”
ศักดิ์สิทธิ์ส่งจอบให้อ้อยถือแล้วขึ้นจักรยาน อ้อยซ้อนหลัง ศักดิ์สิทธิ์ถีบจักรยานออกไป
ส่วนที่บ่านตรีทศ เตชิตขี่จักรยานลัดเลาะเข้ามาใกล้บริเวณบ้านโดยมีเสียงหวานนั่งซ้อนด้านหลัง
“ใช่หลังนี้ละ”
“คุณทราบได้ยังไง”
“ศรีตรังบอก”
เสียงหวานพยักหน้าลงจากจักรยาน
“ไฟห้องนั้นยังเปิดอยู่เลย”
เตชิตมองตามจึงเห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องๆ หนึ่ง
“น่าจะเป็นห้องนอน นั่นไงแฟนคุณ” เสียงหวานหันขวับมามองเตชิตตาเขียว แสงรอบๆ ตัวเริ่มจะแดงด้วยความโกรธ “ทำไม..ผมพูดอะไรผิดเหรอ”
เสียงหวานเม้มปาก แล้วเมินมองไปที่หน้าต่างบ้านตรีทศจึงเห็นตรีทศทศเดินกลับไปกลับมาเหมือนกำลังใคร่ครวญครุ่นคิดบางอย่าง
“เขานอนไม่หลับ”
“เพราะคิดถึงคุณ” เสียงหวานเริ่มจะโกรธอีก “ว่าคุณยังไม่ตายจริงๆ หรือเปล่า ยิ่งถ้าหากเขาฆ่าคุณจริงๆ ก็จะยิ่งสับสนกับเรื่องที่ผมกุขึ้นมาหลอกเขา”
เสียงหวานเบือนหน้าไปมองตรีทศอีก ตรีทศเดินมาที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกอย่างใช้ความคิด
อีกด้านหนึ่งศักดิ์สิทธิ์ถีบจักรยานมีอ้อยซ้อนท้ายมาจนถึงท้ายไร่ข้าวโพดท่ามกลางบรรยากาศเงียบวังเวง หมอกกระจายอยู่ โดยรอบ ศักดิ์สิทธิ์กับอ้อยลงจากจักรยาน เหลียวมองโดยรอบหวาดๆ โดยเฉพาะอ้อย
“เย็นจังเลย” เสียงนกฮูกครางอยู่บนกิ่งไม้เหนือขึ้นไป อ้อยร้องลั่นผวาเข้ากอดศักดิ์สิทธิ์ “ช่วยด้วย ผีหลอก”
ศักดิ์สิทธิ์จับไหล่อ้อยดันออกอย่างหงุดหงิด หลังจากเงยหน้ามองตามเสียง
“โน่น...ดูโน่น” อ้อยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอย่างหวาดกลัว ตัวยังสั่น อ้อยเห็นนกฮูกเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ส่งเสียงครางอีก “นกไม่ใช่ผี เห็นหรือยัง”
“นกอะไรน่ากลัวจัง”
“ช่วยกันขุดเร็วๆ เข้า จะได้รีบกลับ” ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางถือจอบมาขุด ในขณะที่อ้อยกลืนน้ำลายทำรีๆ รอๆ “เร็วซิ อยากจะรอจนสว่างหรือไง”
อ้อยกลั้นใจช่วยศักดิ์สิทธิ์ขุด
เตชิตกับเสียงหวานยังเฝ้าดูตรีทศ จึงเห็นเดินมาที่โต๊ะทำงาน
“ไม่เห็นเขาทำอะไรเลย”
“รอเดี๋ยวซิ”
เตชิตบอกอย่างมั่นใจพลางตบยุงที่มาเกาะตามแขนขาเบาๆ
“ยุงกัดหรือคะ” เตชิตพยักหน้า “อย่างน้อยนี่ก็เป็นข้อดีของการตาย” เสียงหวานพึมพำออกมา เตชิตหันมามอง เสียงหวานยิ้มเศร้าๆ แสงโดยรอบหม่น “ก็ยุงกัดไม่ได้ไงคะ” เตชิตอึ้งไป “เขาลุกแล้วค่ะ”
เสียงหวานบอกอย่างตื่นเต้น เตชิตเงยหน้ามองจึงเห็นตรีทศเดินไปดับไฟแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอน
“ลุกมานอน ไปกลับกันเถอะ”
“อ้าว ไม่ดูต่อแล้วหรือคะ”
“ไม่ล่ะ ง่วงแล้ว” เตชิตเดินไปที่จักรยานโดยที่เสียงหวานยังยืนอยู่ที่เดิม เตชิตหันมามอง “อ้าว ไม่กลับหรือไง”
เสียงหวานส่ายหน้า
“ฉันจะอยู่ที่นี่อีกสักประเดี๋ยวค่ะ”
“คิดถึงแฟนละซี”
“เปล่า ฉันจะพยายามทบทวนความทรงจำ บางทีอาจจะนึกอะไรออกบ้าง”
“ไหนบอกว่า ต้องมีผมอยู่ด้วย คุณถึงจะอยู่ได้ไง”
“คุณเคยอยู่ตรงนี้ ฉันอาจจะอยู่ได้สักประเดี๋ยว แต่ถ้าไม่ได้ ฉันจะไปรอคุณที่บ้าน”
เตชิตขึ้นจักรยานถีบไปเงียบๆ เสียงหวานเหลียวมองโดยรอบด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด และพยายามทบทวนความทรงจำ
ส่วนที่ท้ายไร่ข้าวโพดศักดิ์สิทธิ์กับอ้อยยังคงก้มหน้าก้มตาขุดดินท่ามกลางหมอกจางๆ และบรรยากาศวังเวง ท้องฟ้าเริ่มครึ้มเหมือนฝนจะตก
“อ้อยไม่ไหวแล้ว”
“ถ้าอยากกลับเร็วๆ ก็ต้องไหว”
ทันใดมีร่างๆ หนึ่งวูบผ่านหน้าอ้อยไปอย่างรวดเร็ว อ้อยเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว
“ศักดิ์”
“อะไร”
“อ้อยเห็นใครก็ไม่รู้ เดินผ่านไปหลังพุ่มไม้นั่น”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปมองตาม
“ไม่เห็นจะมีสักคน”
“เรากลับกันเถอะฝนจะตกแล้ว”
“อีกนิดเดียวเอง”
“นิดเดียวอะไร อ้อยจำได้ว่าเราไม่ได้ฝังไว้ลึกขนาดนี้”
“อ้อย”
“ศักดิ์อยากขุดก็ขุดไป อ้อยจะกลับละ”
อ้อยโยนจอบ แล้วเดินไป ศักดิ์สิทธิ์รีบมาคว้าข้อมืออ้อยไว้
“อ้อยจะทิ้งศักดิ์ไว้คนเดียวไม่ได้”
“ถ้าอยู่ต่ออีกนิดเดียว อ้อยต้องเป็นบ้าแน่ๆ”
ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ศักดิ์สิทธิ์เงยหน้ามองฟ้าครู่หนึ่ง
“ก็ได้ งั้นช่วยกันกลบก่อน”
อ้อยพยักหน้าเดินมาช่วยกลบดินอย่างเดิม ท่ามกลางฝนที่ตกหนาเม็ดขึ้น
ส่วนเตชิตเมื่อกลับมาบ้านก็รีบอาบน้ำ เตชิตก้าวออกมาจากห้องน้ำในชุดเสื้อคลุม มือจับผ้าเช็ดตัวเช็ดผมที่เพิ่งสระ เตชิตเดินมาที่หน้าต่างมองออกไปยังสายฝนข้างนอก ไฟในห้องกระพริบเหมือนจะดับแต่ก็ไม่ดับเตชิตเงยหน้ามอง
“พอฝนตกหนักทีไรก็เป็นอย่างนี้ทุกทีแหละค่ะ”
เตชิตสะดุ้งหันกลับมา ทำหน้าดุๆ กับเสียงหวาน
“เอาอีกแล้ว”
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันจะมาบอกว่า มีใครคนหนึ่งมาหา”
“ใคร”
“เพื่อนฉันไงคะ”
“เพื่อนฉันไงค่ะ”
“ได้โปรด ไปบอกเพื่อนคุณว่า ผมยังไม่มีอารมณ์จะพบใคร”
“เธอว่าเธอมีเรื่องจะมาบอกคุณ”
“ผมยังไม่พร้อมจะรับฟัง”
“ก็ได้ค่ะ”
เสียงหวานหันหลังกลับเดินผ่านประตูออกไป เตชิตทำท่าจะห้ามแต่ห้ามไม่ทัน ได้แต่ถอนใจเฮือก
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ เตชิตค่อยๆ ย่องเดินแนบลำตัวกับผนังไปจนถึงหน้าต่างแล้วเยี่ยมหน้ามองออกไปเห็นแต่ฝนที่ตกหนัก เตชิตค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาวแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อไฟดับพรึ่มลงเตชิตกระโดดพรวดเดียวขึ้นบนเตียงคลี่ผ้าห่มคลุมโปง
ศักดิ์สิทธิ์ถีบจักรยานฝ่าสายฝนมาส่งอ้อยถึงหน้าบ้าน
“ขอบใจนะศักดิ์”
“อ้อยไม่โกรธศักดิ์นะ ที่เมื่อกี้ศักดิ์หงุดหงิด”
“อ้อยก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่เมื่อกี้อ้อยหงุดหงิด”
“งั้นเราหายกัน ศักดิ์ไปละ”
“จ้ะ พรุ่งนี้พบกัน”
ศักดิ์สิทธิ์ถีบจักรยานออกไป โดยอ้อยรีบวิ่งไปไขกุญแจเข้าบ้าน
อ้อยค่อยๆ ปิดประตูล็อคแล้วหันกลับมา
“อะลัดตั๊ดต๊า”
อ้อยร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ว้าย” อ้อยถอนใจเฮือกเมื่อเห็นว่าเป็นจุรี “ โอ๊ย แม่”
“ไปไหนมาป่านนี้”
“แล้วทำไมแม่ถึงไม่หลับไม่นอน”
“แม่ถามก่อน”
“อ้อยออกไปดูว่า เก็บผ้าที่ตากไว้เมื่อเย็นวานแล้วหรือยัง”
“แล้วใครสั่งใครสอนให้ซักผ้าตอนเย็น”
“อ้อยสั่งสอนตัวเอง ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะแม่เดี๋ยวเป็นหวัด”
จุรีโยนผ้าเช็ดตัวให้
“เอ้า”
“ขอบคุณค่ะแม่”
อ้อยเอาผ้าเช็ดตัวมาห่มเดินขึ้นไป
“ลูกคนนี้ชอบทำอะไรแปลกๆ”
จุรีหยิบผ้าบริเวณนั้นมาเช็ดหน้า
เมื่อส่งอ้อยแล้วศักดิ์สิทธิ์จึงขี่จักรยานกลับบ้านท่ามกลางสายฝน แต่แล้วจู่ๆ ศักดิ์สิทธิ์ก็ขมวดคิ้ว เพราะรู้สึกรถหนักผิดปกติ ศักดิ์สิทธิ์จึงค่อยๆ เบือนหน้ากลับไปมองแล้วร้องลั่นเมื่อเห็นเกษรินในสภาพผมรุ่ยร่าย หน้าตาเต็มไปด้วยโคลนซ้อนอยู่ข้างหลัง
ศักดิ์สิทธิ์ร้องลั่นกระโดดลงมาจากจักรยานวิ่งหนีไปจักรยานล้มลงในขณะที่เกษรินยืนมองตาม
เช้าวันรุ่งขึ้นเตชิตขยับตัวเหมือนรู้สึกถึงความผิดปกติข้างหลัง เพราะที่ต้นคอเตชิตเหมือนมีไอเย็นมาถูกผมบริเวณด้านหลังปลิวนิดๆ เตชิตลืมตา แต่ตัวยังคงแข็งทื่อ เตชิตพยายามพึมพำสวดมนต์ รวบรวมสติแล้วค่อยๆ หันไป
เตชิตมองภาพตรงหน้าอย่างพิศวงเมื่อเห็นเสียงหวานนอนตะแคงหันมาทางเตชิต รัศมีสีขาวอ่อนๆ ทำให้เหมือนนางฟ้ามากกว่าผี เตชิตมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่คลายความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงแล้วอดใจไม่ได้ค่อยๆ ยื่นหน้าไปหอมแก้มเบาๆ
“คุณเต...คุณเตครับ คุณเต”
เตชิตลืมตาตื่นพบว่าตัวเองกำลังหอมหมอนข้างอยู่ เตชิตผุดลุกขึ้นนั่ง
“เฮ้ย เช้าแล้วเรอะ”
เตชิตเปิดประตูออกมาแล้วยกมือลูบผมลวกๆ
“เข้ามาก่อซิครับ ลุง ขอเวลาผมอาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยวเดียว”
“ไม่เข้าละครับ นายศรีตรังให้มาตามคุณด่วน” สมบอก
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณรีบหน่อยก็แล้วกัน ผมไปก่อนละ”
สมขี่จักรยานกลับไป
เตชิตถีบจักรยานหาศรีตรังที่บ้าน ซึ่งศรีตรังรออยู่ที่รถแล้ว
“ขึ้นรถเร็ว แซนวิชกับกาแฟกินได้เลย”
ทั้งคู่ชึ้นรถเตชิตหยิบแซนวิชซึ่งวางอยู่ขึ้นมาพร้อมถ้วยกาแฟ
“แกจะรีบไปไหน”
“ไปวัด”
“ไปทำไม”
“เดี๋ยวก็รู้ ตอนนี้กินกาแฟกับแซนวิชไปพลางๆ ก่อน”
เตชิตกัดแซนวิชกินงงๆ
ศรีตรังขับรถเข้ามาจอดบริเวณวัดโดยเตชิตกินกาแฟกับแซนวิชหมดไปแล้ว
“เสียงหวานไม่ใช่ เอ้อ...ผีที่ได้เที่ยวหลอกหลอนใคร”
เตชิตบอกเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อย่าออกรับแทนผี เพราะแกไม่ใช่ผีและไม่มีวันรู้ว่าผีคิดยังไง”
“อาจจะเป็นผีอีกตนนึง”
ศรีตรังชะงัก
“ที่แกบอกว่าเป็นเพื่อนของเสียงหวานน่ะเหรอ”
“ใช่” ทั้งสองคนลงจากรถแล้วเดินคุยกันไป “ว่าแต่แกต้องกำชับทุกคนอย่าให้พูดเรื่องผีหลอกผีหลอนเป็นอันขาดเดี๋ยวจะอยู่กันไม่ได้”
“รู้แล้ว ร้อยวันพันปีที่นี่ไม่เคยมีผี พอแกมาก็ออกมากันใหญ่สงสัยดวงแกจะถูกโฉลกกับพวกผี ดีไม่ดีอาจถึงขั้นมีเมียเป็นผีก็ได้”
“บ้า”
ขณะนั้นที่กุฏิหลวงพ่อ หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ศักดิ์สิทธิ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว และผูกสายสิญจ์ให้
ศักดิ์สิทธิ์ก้มกราบ
“แล้ว ...แล้วมันจะมาอีกไหมครับหลวงพ่อ”
ศักดิ์สิทธิ์ถามเสียงสั่น
“อันนี้มันก็ต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมที่ทำกันมา เอ็งต้องหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา”
“แปลกจังนะครับหลวงพ่อ ธรรมดาไม่เห็นมีใครเคยเห็นผีเห็นสางในไร่เลยแล้วทำไมอยู่ดีๆ ศักดิ์ถึงได้เห็น”
พงษ์ศักดิ์บอกศักดิ์สิทธิ์ก้มหน้าซ่อนพิรุธ ขณะที่หลวงพ่อมองมาอย่างเพ่งพิศ ศรีตรังและเตชิตเดินเข้ามาทั้งสองก้มกราบ
“เจริญพร”
“เป็นยังไงบ้างศักดิ์”
ศรีตรังหันไปถามศักดิ์สิทธิ์
“ก็รู้สึกดีขึ้นครับ”
“ดีที่ไม่จับไข้หัวโกร๋น”
“ไอ้เจ้านี่มันจิตแข็ง”
“คุณพงษ์พาลูกชายกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ ศรีกับเพื่อนจะอยู่อีกสักพักประเดี๋ยว”
“ถ้าอย่างนั้น ผมกราบลาละครับ”
“เจริญพร”
ศักดิ์สิทธิ์และพงษ์ศักดิ์ก้มกราบ
“อย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขามากๆ นะ”
หลวงพ่อบอกศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ไม่สบตาหลวงพ่อขณะรับคำเบาๆ
“ครับ”
ศักดิ์สิทธิ์กับพงษ์ศักดิ์ออกไป เตชิตมองตามแล้วหันมาทางหลวงพ่อราวกับจะถาม
“ไม่ใช่ดวงวิญญาณที่ตามโยมมาวันนั้นหรอก”
เตชิตถอนใจเบาๆ อย่างโล่งอก
“แล้วดวงไหนล่ะค่ะ”
“มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำหรือกรรมของแต่ละคน พระก็ช่วยได้แค่เป็นที่พึ่งทางใจ แล้วก็ชี้ทางที่ถูกที่ควรให้เท่านั้นเอง”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
พอคุยกับหลวงพ่อเสร็จเตชิตกับศรีตรังจึงพากันเดินกลับมาที่รถ
“ทำไมถึงได้เงียบผิดปกติฮึ”
ศรีตรังถามเมื่อเห็นเตชิตเงียบผิดปกติ
“ฉันกำลังคิดว่า ศักดิ์จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับญาติคนใดคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คนหรือเปล่า”
“ไม่น่าจะเกี่ยว คุณพงษ์ศักดิ์พ่อเขาเป็นคนดี”
“พ่อดีไม่ได้หมายความว่าลูกจะดี ในทำนองเดียวกันลูกดีก็อาจจะมีพ่อไม่ดีได้ พรุ่งนี้ฉันจะเข้ากรุงเทพ แกไม่ต้องตามไป”
“แล้วใครบอกแกว่าฉันจะไปล่ะ”
“นั่นซิ”
“แกจะไปทำไม”
“ฉันจะไปให้เพื่อนวาดรูปเสียงหวาน”
“ดี ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าสวยแค่ไหน แกถึงเปลี่ยนจากกลัวผีเป็นรักผี”
“ไอ้บ้า”
ทั้งสองขึ้นรถ ศรีตรังขับออกไป
ศรีตรังขับรถมาจอดหน้าบ้าน ทั้งสองลงจากรถแล้วเดินคุยกันเข้าบ้าน
“หายไปไหนกันหมด”
“สงสัยจะไปอยู่ที่บ้านคุณพงษ์ศักดิ์”
“นี่ใครส่งของมาให้แก”
“ไหน”
เตชิตหยิบกล่องพัสดุส่งให้ ศรีตรังหยิบมาทำท่าจะเขย่าเตชิตร้องลั่น
“ระวังเป็นระเบิดนะ”
ศรีตรังชะงัก แล้วอ่านชื่อผู้ส่ง
“พอล ...อีตาพอลส่งมาว่ะ”
“งั้นเปิดดูเลย”
ศรีตรังจัดการเปิดดูแล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องเป็นหมวกและแว่นตา
“เฮ้ย แกไปทิ้งอ่อยเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เตชิตถามพร้อมกับมองหน้าศรีตรัง
“ไม่ได้อ่อย ฉันลืมทิ้งไว้”
“แสดงว่าแกไม่มีเสน่ห์เลย เขาถึงได้ส่งคืน”
ศรีตรังเหมือนไม่ได้ยินที่เตชิตพูดแต่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง
หลังจากเตชิตกลับไปแล้วศรีตรังจึงโทรหาพอล พอลเดินมารับโทรศัพท์สีหน้าเหมือนจะยิ้มนิดๆเมื่อเห็นเบอร์คนที่โทรเข้ามา
“ได้รับของแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ ฉันจะโทร.มาขอบคุณ เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีมารยาท”
“ใครจะกล้าว่าคุณ”
“เท่านี้แหละ”
“เดี๋ยวซิ ไหนๆ เสียค่าโทรศัพท์ทั้งทีจะคุยแค่นี้หรือ”
“คุยอีกหน่อยก็ได้...คุณไปเกี่ยวอะไรกับเดนนิส หยาง”
“รู้มากนี่”
“ถ้าหากรู้ว่า คุณสมคบกับเดนนิสค้ายาเสพติดทำลายเยาวชนของชาติละก็ฉันจะจัดการคุณด้วยมือของฉันเอง”
“คุณนี่สมกับเป็นตำรวจเก่าจริงๆ”
“ไม่ต้องหัวเราะ เพราะฉันพูดจริงแล้วก็จะทำจริงด้วย”
“เอาไว้เป็นหน้าที่ของตำรวจเขาดีกว่าน่า ว่าแต่รถของผมเสร็จหรือยังหรือว่าคิดจะเบี้ยว”
“พรุ่งนี้คุณมารับไปได้เลย คนอย่างฉันไม่มีเบี้ยวใครอยู่แล้ว”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปพบคุณ 9 โมงเช้า ที่อู่”
“เฮ้ย” พอลปิดโทรศัพท์ “คนบ้าจะถ่อมาทำไมตั้งแต่ 9 โมงเช้า”
อ่านต่อตอนที่ 3 พรุ่งนี้ 19 ม.ค. 55