xs
xsm
sm
md
lg

ปางเสน่หา ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปางเสน่หา ตอนที่ 7
 

เตชิตขับรถออกจากผับ ระหว่างทางเตชิตชำเลืองมองเสียงหวานซึ่งพยายามจะกลั้นหัวเราะอย่างหงุดหงิด
“ขำอะไรนักหนา”
“ขอโทษค่ะ ความจริงเมื่อกี้ฉันกำลังเศร้านะคะ แต่พอเห็นหน้าพี่แท็กซี่มันอดขำไม่ได้”
“ชอบใจที่เขาบอกว่าผมเป็นบ้าล่ะซี บอกไม่รู้กี่หนแล้วว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่าพูดกับผม”
“ก็มันลืมทุกทีนี่คะ”
เตชิตขับรถกลับมาบ้าน เตชิตเปิดประตูบ้านเดินเข้ามาโดยมีเสียงหวานเดินตาม เตชิตหยุดเดินมองไปโดยรอบ ก่อนจะเบือนมามองเสียงหวาน
“ลูกผมอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ แต่ก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่แหละ”
“คุณขึ้นไปนอนข้างบนไป ผมจะเฝ้าอยู่ข้างล่างนี่”
“คุณลืมไปแล้วว่า ฉันเป็นเพียงวิญญาณ ไม่มีใครมองเห็นแล้วก็ทำอะไรได้ ให้ฉันเฝ้าอยู่ข้างล่างดีกว่า”
“งั้นก็ได้”
“นอนหลับให้สบายนะคะ ไม่ต้องห่วงอะไร” เตชิตหันมามอง “วิญญาณไม่นอนหรอกค่ะ”
เตชิตพยักหน้าและเดินขึ้นบันไดไป เสียงหวานเดินมาทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
คืนนั้นขณะที่เตชิตหลับเตชิตฝันถึงเสียงหวาน ในฝันเสียงหวานอยู่บนเตียงด้วยท่วงท่าเหมือนนางเสือดาวเตรียมพร้อมจะตะปบเหยื่อ นัยน์ตาและรอยยิ้มที่มองมาดูเชิญชวนและเซ็กซี่สุดๆ เตชิตเดินออกมาจากห้องน้ำ เตชิตสบนัยน์ตานั้นแล้วค่อยๆ เดินมา ทรุดตัวลงนั่ง เสียงคลานเข้ามาใกล้ และกางนิ้วออกแล้วผลักให้เตชิตนอนลงไป แล้วก้มหน้าลง ไล่ลมหายใจไปตามใบหน้า เตชิตหลับตาลงแล้วพลิกตัวขึ้นและก้มลงจูบ หลังจากนั้นก็มีเสียงเพลงดังขึ้นเบา เตชิตเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นเสียงหวานยังหลับพริ้ม ปากขยับร้องเพลงเบาๆ
“หยุดร้องเพลงก่อนได้ไหม” เสียงหวานยังคงร้องเพลง เหมือนทองไม่รู้ร้อน เตชิตชักจะหมดอารมณ์ “เสียงหวาน จะต้องมาร้องเพลงอะไรกันตอนนี้ ได้โปรด” เสียงหวานยังร้องเพลงและสบตาเตชิตยั่วเย้า “ขอร้องละ Please ได้โปรด เงียบ...”
ทันใดเสียงหวานเปล่งเสียงร้องเต็มที่ดังลั่น เตชิตยกสองมืออุดหูหลับตา
“โอ๊ย! เงียบ”
เตชิตสะดุ้งตกใจตื่นขณะที่เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น เสียงหวานกอดอกยืนอยู่ข้างเตียง
“โฮ้ย ตื่นเสียที เสียงนาฬิกาปลุกคุณดังลั่นบ้านไปหมด”
เตชิตเบือนหน้าจากนาฬิกาปลุก มามองเสียงหวานงงๆ
“ผมฝันไปหรือ”
“ฝันอะไรคะ”
เตชิตยกมือเสยผม ขณะที่ลุกขึ้นนั่ง และมองหน้าเสียงหวานยิ้มๆ
“บอกไม่ได้ เดี๋ยวฟังแล้วจะเสียเด็ก” เตชิตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู และสะดุ้งเฮือก “ตายชัก 8 มิสคอล” เตชิตกดดูแล้วเงยหน้างงๆ “โทรมาทำไม”
เตชิตลุกขึ้นยืน พลางกดโทรศัพท์หาเสนา เสียงหวานเดินออกไปโดยผ่านประตู
“มัวแต่ทำอะไรเฮอะ โทรไปตั้งนานไม่รู้จักรับโทรศัพท์” เสนาต่อว่าอย่างโมโห
“ขอประทานโทษครับ คือผม”
“มาพบฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวนี้เลยหรือครับ”
“เออ ฉันรู้ว่านายอยู่ที่บ้าน ไม่ได้อยู่ปากช่อง”
“ผู้กำกับทราบได้ยังไงครับ”
“ฉันฉลาดกว่านาย”
“อ้อ ครับ ผมจะรีบไปครับ”
เตชิตปิดโทรศัพท์วางลง แล้วเดินเข้าห้องน้ำ

ขณะนั้นเสียงหวานกำลังเดินดูดอกไม้สวยๆ ด้วยสีหน้าแววตาสดใส รัศมีรอบตัวเป็นสีส้มจางๆ เตชิตเดินออกมาเหลียวมองหาเสียงหวาน แล้วมาสะดุดเอาภาพนั้น เตชิตค่อยๆ ก้มลงราวกับจะสูดกลิ่นหอมของดอกไม้นั้น นัยน์ตาเตชิตอ่อนโยนลงเมื่อนึกถึงความฝันที่ผ่านมา สีหน้าเตชิตดูกระชุ่มกระชวย แล้วก้าวเดินไปหาเสียงหวาน
“ผมต้องไปพบเจ้านายหน่อยนะ”
“ฉันไปด้วยคน”
“ไปทำไม ไม่มีอะไรสนุกหรอก”
“ก็ฉันอยากไปนี่คะ”
“ตามใจ แต่ห้ามพูดอะไรให้ผมกลายเป็นบ้าในสายตาคนอื่นอีก”
“ได้ค่ะ”
“คุณต้องสัญญา”
“สัญญาก็ได้ค่ะ”
เตชิตเดินไปเปิดประตูรั้ว ในขณะที่เสียงหวานขึ้นไปนั่งรอบนรถเรียบร้อย
เตชิตเดินเข้ามาในสถานีตำรวจพร้อมกับเสียงหวาน เตชิตทักทายกับทุกคนธงหันมามอง
“ผู้กองครับ”
เตชิตเบือนหน้ากลับมา แล้วรับความเคารพจากธงซึ่งตะเบ๊ะแข็งขัน เตชิตตบไหล่ธงเบาๆ
“ไง จ่าธง สบายดีเรอะ”
“สบายดีตามอัตภาพครับ ผู้กองไปหลบเลียแผลใจได้ผลนะครับเนี่ยหน้าตาสดชื่นขึ้นแยะ ผู้กองมาเที่ยวหรือครับ”
“เปล่า เจ้านายเรียก”
“งั้นเชิญเถอะครับ”
เตชิตตบไหล่ธงอีกครั้ง
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
เตชิตเดินขึ้นไป เสียงหวานรีบตาม
เตชิตเดินมาหน้าห้องเสนา แล้วเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามา”
เตชิตเปิดประตูเข้าไปแล้วชะงักขณะที่เสียงหวานห่อปากเบิกตากว้าง เมื่อเห็นพอลนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานเสนา พอลหันมามองอยู่ก่อนแล้ว
“อีตาคนนั้นนี่คะ”
เสียงหวานบอก เตชิตหันไปดุ
“สัญญากันว่ายังไง”
เสียงหวานและพอลสบตากันแว่บหนึ่ง
“นายพูดถูกพอล ถ้าปล่อยให้ผู้กองเตชิตเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ อาจจะเสียสติได้”
“ท่านครับ”
เสนายกมือขึ้นห้ามไม่ให้เตชิตพูด
“ผู้กองพอลน่ะไม่ใช่ศึกฝ่ายโน้นหรอกแต่เป็นไส้ศึกฝ่ายเรา” เตชิตหันมามองพอล พอลก้มหน้ารับนิดๆ
“ท่านอย่าไว้ใจ”
“ฟัง” เตชิตจำต้องนิ่ง “ฉันรู้มาว่านายยังไม่ยอมปล่อยมือจากคดีไอ้เจียง ก็เลยตัดสินใจเรียกมาทำความเข้าใจว่า ฉันยกคดีนี้ให้ผู้กองพอลไปแล้ว เพราะฉะนั้นนายเลิกยุ่งได้ฉันไม่อยากให้นายเป็นอุปสรรคของผู้กองพอล” เตชิตขบกรามแน่น “สำหรับคุณ ผมมีคดีอื่นให้ทำ”
“แต่ผมจับคดีนี้มาตั้งแต่ต้น”
“คดีที่ผมจะให้คุณทำน่ะเหมาะกับคุณที่สุด” เตชิตมองเสนาอย่างแปลกใจ เสนาหยิบแหวนที่วางไว้บนโต๊ะส่งให้ เตชิตรับมาพลิกดู “พอลเขาเจอในบริเวณที่พบศพผู้หญิงคนนั้น”
เสียงหวานห่อปากทำตาโต ขณะที่เตชิตหันขวับมามองพอล
“ต้องขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะล้ำเส้นอะไรหรอก แต่พอดีท่านผู้กำกับให้ผมช่วยดูให้หน่อย เพราะผู้ต้องสงสัยเป็นลูกชายของเพื่อนท่าน”
“เพื่อนรุ่นพี่” เสนารีบแก้ “บอกว่าเป็นเพื่อนเฉยๆ ฟังดูแก่ไปเลย”
“K.P. น่าจะย่อมาจาก เกษริน กับนามสกุลของเธอนะครับ”
“นายไปสืบดูก็แล้วกัน ฉันรู้จักตรีทศ เด็กคนนี้ไม่น่าจะเป็นฆาตกรได้ฝากนายช่วยดูให้ด้วย”
“ครับ”
เตชิตเดินออกมาจากห้องเสนาติดตามด้วยเสียงหวาน เสียงหวานมีสีหน้าแววตาตื่นเต้นนิดๆ
“เหมือนในหนังเลยนะคะ ตอนจบพวกผู้ร้ายคนนึงกลายเป็นพระเอก”
พอลเปิดประตูออกมา แล้วอ้าปากเตรียมจะเรียกเตชิต แต่ต้องชะงักเมื่อเตชิตหันขวับมาทางเสียงหวานซึ่งในสายตาพอล คือ ความว่างเปล่า
“แต่นี่มันคือความจริง แล้วก็ยังไม่จบ”
พอลส่ายหน้ากลุ้มๆ
“แหม พูดแค่นี้ก็โกรธ” เสียงหวานบอกเสียงอ่อย
“แน่นอน ใครจะคิดว่าไอ้หมอนั่นเป็นคนดีก็ช่าง แต่ผมไม่เชื่อ ไม่สังเกตหรือไงว่า หน้าตามันขี้โกงแค่ไหน”

เสียงหวานเบือนหน้ามาโดยบังเอิญ แล้วชะงักเมื่อเห็นพอลยืนมองเตชิตอย่างกลุ้มๆ แถมเวทนา
“คุณเตชิตคะ” เสียงหวานพยายามเตือนเตชิต แต่เตชิตชิงพูดขึ้นก่อน
“ดูตามันก็รู้ว่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย ผมน่ะรู้จักมันตั้งแต่สมัยวัยรุ่น. เราเรียนมาด้วยกัน แล้วถ้าผมไม่คอยขวางไว้ มันเขมือบไอ้ศรีไปทานแล้ว”
“คุณเตชิต!”
“เรียกทำไม นึกว่าผมจะกลัวเรอะ ไอ้พอลนั่นเดิมมันชื่อไอ้เพชร วันๆ ได้แต่ทำหน้าเหมือนแวมไพร์”
พอลกระแอมเบาๆ เมื่อเห็นเตชิตออกท่าออกทางและเสียงดังอยู่คนเดียว เตชิตหันขวับไปมองหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง แล้วเตชิตเอาเรื่องตามเดิม
“จะทำไม ฉันพูดความจริง”
“ฉันเข้าใจ”
“แกไม่ต้องมาทำเป็นเข้าใจ”
“ฉันเข้าใจจริงๆ ไม่ได้ทำเป็นเข้าใจ”
“แกทำเป็นเข้าใจ”
“ฉันเข้าใจ”
“แกทำ”
ขณะทั้งสองหนุ่มเถียงกัน เสนาเดินออกมาแล้วมองสองหนุ่มสลับกัน
“ยังไม่ไปอีกเรอะ ผู้กอง”
“ผมคงไปนานแล้วล่ะครับ ถ้าไอ้แวมไพร์สนั่นไม่ออกมาหาเรื่อง”
“ผู้กองพอล เข้าไปข้างในก่อน”
“ครับ” พอลกลับเข้าห้องเสนาไปเงียบๆ
“คราวนี้ นายไปได้แล้ว”
“ครับ”
เตชิตทำความเคารพเสนาแล้วเดินไป เสนามองตามแล้วส่ายหน้า
เตชิตเดินหน้างอมาที่รถตามด้วยเสียงหวาน ธงวิ่งตามมาเสียงหวานปรากฏตัวบนรถ หันมามองธงแล้วฟังอย่างตั้งใจ
“ผู้กองครับ ผู้กอง” เตชิตหันขวับมามอง “ผู้กองจะกลับหรือครับ”
เตชิตพยักหน้า
“จ่าธง... ฉันวานอะไรหน่อย”
“ว่ามาเลยครับ ผมยินดีและเต็มใจรับใช้ผู้กองเสมอ”
“เวลาจ่าธงเลิกงานหรือออกเวรแล้ว ช่วยไปดูๆ แถวบ้านฉันหน่อย”
ธงอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ดูบ้านผู้กอง”
“ใช่ ทำไมเรอะ”
“ผมว่า คงไม่มีโจรที่ไหนบังอาจเข้าไปขโมยของในบ้านผู้กองหรอกครับ” ธงมองซ้ายมองขวา แล้วลดเสียงลงกระซิบกระซาบ “เขาลือกันว่าที่นั่น เฮี้ยนมากครับ ...”
เตชิตหันไปสบตาเสียงหวานแว่บหนึ่ง
“เฮี้ยน”
“ครับ พอผู้กองอพยพอออก ก็มีอะไรบางอย่างเข้าสิงแทน ผมว่าผู้กองควรจะกลับเข้าไปสิงตามเดิม ไอ้อะไรบางอย่างนั้นจะได้อพยพออกมา”
“จ่าธง”
“ครับผม”
“ฉันไม่ใช่ผี จะได้กลับเข้าไปสิงในบ้าน ยังไงจ่าธงก็ต้องไปดูบ้านให้ฉัน เอาแค่ 3 วันครั้งก็ยังดี นี่เป็นคำสั่ง”
“ครับผม”
ธงทำความเคารพ เตชิตขึ้นรถขับออกไป
เสนากลับเข้าห้องคุยกับพอลเรื่องเตชิต
“หวังว่า ทุกอย่างคงจะดีขึ้น”
“ผมเกรงว่าอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น เตชิตเป็นคนเก่ง เสียแต่ออกจะมุทะลุไปหน่อยเท่านั้น ผมกลับก่อนละครับพี่”
“ไปเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ครับ”
พอลไหว้เสนา แล้วเดินออกไป

ระหว่างขับรถปากช่อง เตชิตคุยกับเสียงหวานเรื่องคดีฆาตกรรมเกษริน
“คุณได้ยินแล้วใช่ไหม ที่ผู้กำกับให้ผมสืบคดีฆาตกรรมเกษริน”
“ค่ะ แต่ถ้าคุณตรีทศไม่ได้ฆ่า แล้วใครจะฆ่า”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“บางที เราอาจมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป”
เมื่อกลับถึงปากช่อง เตชิตแวะมาที่บ้านยายภาขณะนั้นมีรถจอดอยู่ก่อนแล้ว
“นี่บ้านยายภานี่คะ” เสียงหวานหันมาถาม
“ใช่ ดูเหมือนแกจะมีแขก”
เตชิตก้าวลงจากรถ เสียงหวานหายไปจากที่นั่ง แล้วปรากฏตัวยืนข้างๆ เตชิต ยายภาและหมอผีหันมามองเตชิตอย่างประหลาดใจและรับไหว้โดยเสียงหวานตามมาด้วย
“เชิญนั่งจ้ะ คุณอะไรนะ ฉันจำชื่อไม่ได้”
ยายภาทักเตชิต
“เตชิตครับ”
“คุณเตชิต อย่าถือสาคนแก่นะจ๊ะ นี่หมออำนาจ รู้จักกันหรือยังล่ะเขาไม่ใช่หมอธรรมดานะ แต่เป็นหมอผี”
“รู้จักแล้วครับ ลุงแกไปทำพิธีให้ที่บ้านเพื่อนผม”
หมอผีทำหน้าเบื่อๆ แฝงความภาคภูมิใจ
“แถวๆ นี้ ใครจะทำอะไรก็ต้องฉันทั้งนั้นแหละ พูดง่ายๆ ฉันเก่งสุด”
“ฉันเชิญหมอมาเพราะฝันถึงเกษมันทุกคืน หน้าตาเศร้าหมองร้องไห้ เลยอยากให้หมอแกช่วยถามให้หน่อยว่าต้องการอะไรจะได้ทำบุญส่งไปให้”
“บอกป้าแกว่า ฉันถามให้ก็ได้ค่ะ”
เสียงหวานกระตือรือร้นบอก เตชิตหันมาดุ
“เงียบ”
หมอผีนิ่งหน้า ขณะที่ยายภามองอย่างแปลกใจ
“คุณพูดกับใครจ๊ะ”
“พูดคนเดียว” หมอผีบอก ทุกคนมองหมอผีเป็นตาเดียว “อ้าว มองอะไร ก็เห็นๆ อยู่ว่าพูดคนเดียว”
เตชิตหยิบแหวนจากกระเป๋าส่งให้ยายภาดู
“แหวนวงนี้เป็นของเกษรินหรือเปล่าครับ”
ยายภารับมาพลิกดูอย่างเพ่งพิศ
“ไม่รู้ซิ ฉันไม่เคยเห็น ทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นของเกษล่ะ “
“ผมก็ลองเดาดูน่ะครับ” ยายภาส่งแหวนคืนให้เตชิต หมอผีชิงรับมาส่องดูทางโน้นทางนี้ “ลุงเคยเห็นไหมครับ”
“จะไปเคยเห็นได้ยังไง”
หมอผีส่งคืน
“ถ้าอย่างนั้น ผมลาละครับ”
เตชิตไหว้ทั้งสอง เสียงหวานไหว้ตามแล้วพากันกลับออกไป ยายภาและหมอผีมองตาม
เจนจิรามาหาเดนนิสที่บ้าน เดนนิสเอนตัวพิงเก้าอี้มองเจนจิราเคร่งขรึม
“ไหน มีอะไรก็ว่าไป”
“เมื่อวานมีคนเอาภาพวาดมาให้เจนดูค่ะ”
“ถ้าอยากได้ก็เอาซิ เท่าไหร่ล่ะ” เดนนิสเปิดลิ้นชักหยิบสมุดเช็คขึ้นมา “ไม่ยักรู้ว่าเธอก็สนใจงานศิลปะเหมือนกัน”
“ไม่ใช่อย่างที่เสี่ยเข้าใจค่ะ แต่เป็นรูปที่เหมือนปรายดาวมาก” เดนนิสชะงัก แล้วมองเจนจิราเขม็ง “เจนเคยเห็นรูปวาดนี้ที่รีสอร์ทไร่สุขศรีตรัง หนนึงแล้วอยู่ดีๆ มันก็ปลิวมา พอเจนจะเก็บมันก็กลับปลิวหายไป เจนจะบอกเสี่ยตั้งแต่ตอนนั้นก็กลัวเสี่ยไม่เชื่อ แต่คราวนี้เจนแน่ใจแล้วว่าเป็นรูปปรายดาวจริงๆ”
“แน่ใจนะว่า หน้าตาคล้ายๆ”
“ไม่คล้ายค่ะ แต่เหมือนเป๊ะเลย” เจนจิราบอกเสียงหนักแน่น
“ใครเป็นคนเอามาให้เธอดู”
“เขาบอกว่าชื่อเตค่ะ เจนยังแกล้งเรียกเขาว่าเตะเลย”
เดนนิสชะงัก แล้วถามเร็ว
“เตอะไร”
“ไม่ทราบค่ะเขาบอกแค่ชื่อเต”

เดนนิสสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด และเมื่อเจนจิรากลับไปแล้วเดนนิสจึงโทรหาพอลให้มาที่บ้าน เมื่อพอลมาถึงเดนนิสหันมามองพอลและเจียงสลับกัน
“เจนจิรายืนยันว่า เป็นรูปวาดปรายดาวจริงๆ”
สีหน้าพอลเป็นกังวลแว่บผนึ่ง ขณะที่เจียงลูบคางอย่างครุ่นคิด
“เต...เต...เตอะไร หรือว่าจะเป็นเตชิต”
“ทำไมต้องเป็นเตชิต”
“ถ้าไม่ใช่เตชิต แล้วคุณพอลคิดว่าเป็นเตอะไร”
“อาจจะเป็นเตวิทย์ หรือ...”
“เรื่องนี้สำคัญมาก ฉันไม่ไว้ใจใครเท่านาย” เดนนิสพูดพลางเบือนหน้ามาทางพอล
“เสี่ยครับ” เดนนิสเบือนหน้ามามองเจียง “ขอให้ผมทำงานนี้เถอะครับ ผมมีความมุ่งมั่นจริงๆ”
“แล้วไม่กลัวผีหลอกเอาเรอะ” พอลถามเจียงหันขวับมาถลึงตามอง
“นั่นซิ คราวที่แล้วก็เกือบจะจับไข้หัวโกร๋น”
“แต่คราวนี้ ผมไม่ได้ไปที่บ้านผีสิงนั่น”
“แล้วอย่าไปทำเฟอะฟะอีกล่ะ”
“รับรองเลยครับ”
เจียงมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
เมื่อกลับจากบ้านเดนนิส พอลแวะมาบ้านปรกเดือนแจ๋วเอาน้ำมาวางให้พอลแล้วออกไป ปรกเดือนมองพอลอย่าง
เพ่งพิศแล้วถามขึ้นมา
“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาไม่ค่อยสบายเลย”
“เปล่า ผมมาเยี่ยมดาว”
“ก็ขึ้นไปซิคะ”
“ขอบคุณ เดี๋ยวผมลงมา”
ปรกเดือนพยักหน้ามองตามพอลซึ่งเดินขึ้นไปข้างบน พอลเดินขึ้นมาหยุดหน้าห้องๆ หนึ่ง พอลยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ เปิดประตูเดินเข้าไป
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเตชิตกำลังพลิกดูแหวนไปมาอย่างใช้ความคิด เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นแล้วเดินมานั่งตรงข้าม
“ถ้าคุณสงสัยก็ไปถามซิคะ”
“ถามสุ่มสี่สุ่มห้าได้ที่ไหน”
“เต ไอ้เต” ศรีตรังส่งเสียงเรียก
“นายศรีตรังมาค่ะ” เสี่ยงหวานบอก
“คุณเรียกไอ้ศรีว่าอะไรนะ”
“นายศรีตรังค่ะ ก็ทุกคนเรียกอย่างนั้นไม่ใช่หรือคะ”
“ไอ้เต”
เตชิตลุกขึ้นแล้วตะโกนตอบ
“เออ! ได้ยินแล้ว”
เตชิตเดินไปที่ประตูเดินออกไปหาศรีตรัง
“แกรู้ใช่ไหมว่า คุณตรีทศได้ประกันตัวออกไปแล้ว” ศรีตรังถามขณะเดินคุยกันมาเรื่อยๆ ศรีตรังพยักหน้า
“รู้ เขาโทร.มาบอกตอนที่แกไม่อยู่ ท่าทางจะน้อยใจเหมือนกันที่ถูกกล่าวหา เฮ้อ ก็หลักฐานมันมัดแน่นซะยังงั้น”
เตชิตล้วงกระเป๋าหยิบแหวนขึ้นมา
“ยังมีอีกอย่างนึง” เตชิตส่งแหวนให้ศรีตรัง “แกเคยเห็นแหวนวงนี้มั้ย”
ศรีตรังรับแหวนมาดูแล้วส่ายหน้า
.ไม่เคย”
“มีคนไปพบบริเวณที่ฝังศพเกษริน”
ศรีตรังเงยหน้ามองทันที
“ใครพบ”
“บอกแล้วแกจะไม่เชื่อ”
“ก็บอกมาเถอะน่า”
“พอล แล้วก็ไม่ใช่พอลธรรมดาด้วยน้า แต่เป็น “ผู้กองพอล”
“ผู้กองพอล”
“ใช่ แล้วไอ้แผนทะลายขบวนการค้ายาเสพติดของเสี่ยสงครามหรือไอ้เดนนิสที่ฉันทำมาตั้งแต่ต้น ก็ถูกโยกไปให้มันทำต่ออีก”
“เดี๋ยวก่อน นายคนนั้นกลายเป็นผู้กองตั้งแต่เมื่อไหร่”
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”
“แสดงว่านายผู้กองพอล เขาปลอมตัวเข้าไปในแก๊งไอ้เดนนิส”
“เป็นห่วงล่ะซี้”
“ไม่เกี่ยว” ศรีตรังสวนขึ้นทันควัน
“ไม่เชื่อ”
“ไอ้เต” ศรีตรังขยับจะเข้าลงไม้ลงมือ เตชิตกระโดดหนีทันที
“เฮ้ย กลับมาเรื่องแหวนก่อน”
“นายผู้กองพอลพบแหวน”
“ฮือ”
“งั้นก็แสดงว่าเขาบุกรุกเข้ามาในเขตของฉัน”
“ก็ใช่อีก”
ศรีตรังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าแววตาเอาเรื่อง

ศรีตรังเดินเข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับกดโทรศัพท์หาพอลทันทีขณะที่อีกมือยังถือแหวนอยู่ โทรศัพท์พอลวางไว้บนโต๊ะรับแขกบ้านปรกเดือนดังขึ้น ปรกเดือนซึ่งนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่ลดหนังสือลงดูแว่บหนึ่ง แล้วอ่านหนังสือต่อ ปล่อยให้สายหลุดไปเอง โทรศัพท์ดังขึ้นอีกจนปรกเดือนตัดสินใจรับครั้งที่ 3
 

“สวัสดีค่ะ ตอนนี้คุณพอลไม่ว่างนะคะ” ศรีตรังถึงกับอึ้งไป “คุณมีธุระสำคัญหรือเปล่าคะ ถ้ายังไงก็สั่งไว้ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่ธุระสำคัญอะไร” ปรกเดือนเป็นฝ่ายชะงักบ้าง “ขอบคุณค่ะ”
ศรีตรังวางหูไป ปรกเดือนมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ผู้หญิงที่ไหน”
ศรีตรังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ในลักษณะทอดสายตามองแหวนเงียบๆ แต่ใจลอยคิดถึงผู้หญิงที่รับโทรศัพท์พอลศรีตรังขยับตัวเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
อ้อยเดินเข้ามาพร้อมถาดวางจานแซนวิชและน้ำผลไม้
“แซนด์วิชไข่กุ้งกับน้ำเสาวรสค่ะ อ้อยเห็นนายศรีตรังไม่ค่อยปลื้มกาแฟ”
อ้อยวางลง แล้วชะงักเมื่อเห็นแหวนเพราะจำได้เป็นแหวนของศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นอ้อยก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เริ่มคบกับศักดิ์สิทธิ์
“ตกลงอ้อยจะไปค้างที่เสม็ดกับศักดิ์มั้ย”
“แล้วแฟนศักดิ์เขาไม่ว่าเอาเหรอ”
“แฟนศักดิ์มีที่ไหน”
“ก็เกษรินไง”
แววตาศักดิ์สิทธิ์เป็นประกายวาวด้วยความไม่พอใจแว่บหนึ่ง
“นังนั่นมันแฟนไอ้ทศ”
อ้อยเห็นศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ไม่ดี จึงจับมือศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา
“ไม่เอาน่า อย่าโมโหซิคะ” มืออ้อยถูกแหวน จึงยกมือศักดิ์สิทธิ์ขึ้นดู “แหวนศักดิ์สวยจัง”
ศักดิ์สิทธิ์ก้มมองตาม
“เป็นแหวนที่พ่อทำให้แม่ พอแม่ตายศักดิ์เลยเอามาใส่เล่น กลายเป็นแหวนก้อยไปเลย ถ้าอ้อยอยากได้ ศักดิ์จะได้ให้เป็นแหวนหมั้น”
“แหวนหมั้นต้องเพชรเยอะกว่านี้ค่ะ”
ศรีตรังเห็นอ้อยนิ่งเงียบไปจึงเรียก
“อ้อย! อ้อย!”
อ้อยสะดุ้ง
“คะ”
“เป็นอะไรน่ะ อยู่ดีๆ ก็ใจลอย”
“เอ้อ ขอโทษค่ะ คือ อ้อยกำลังคิดว่าเคยเห็นแหวนวงนี้ที่ไหน”
“อ้อยเคยเห็นเหรอ”
“ค่ะ แต่ก็นานแล้วนะคะ ” อ้อยทำเป็นนึกได้ “อ๊ะ ใช่แล้ว อ้อยเคยเห็นศักดิ์เขาใส่เป็นแหวนก้อย เขายังบอกว่าจะเอาไว้หมั้นอ้อย แล้วอยู่ดีๆ ก็หายไป อ้อยถามทีไรเขาจะหงุดหงิดทุกที นี่ถ้าศักดิ์รู้ว่าอยู่ที่นายเขาต้องดีใจแน่ๆ”
“อ้อยอย่าเพิ่งไปบอกศักดิ์นะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“เอาเถอะน่า ไม่ต้องถามซ่อกแซ่ก”
“ค่ะ”
ศรีตรังเก็บแหวนห่อทิชชู แล้วใส่กระเป๋า
ศรีตรังรีบมาหาเตชิตซึ่งบขณะนั้นอยบู่ที่ไร่ข้าวโพดและสมกำลังอธิบายเกี่ยวกับแผนการผลิตให้เตชิตซึ่งฟังอย่างสนใจศรีตรังขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด
“ได้เรื่องเกี่ยวกับแหวนแล้ว” เตชิตเลิกคิ้ว “อ้อยบอกว่าเป็นแหวนก้อยของศักดิ์”
“ศักดิ์”
“ด้วยความเคารพ ศักดิ์ไหนหรือครับ” สมถามอย่างแปลกใจ
“ด้วยความเคารพ ก็มีอยู่ศักดิ์เดียวนั่นแหละค่ะ”
ส่วนอ้อยเมื่อกลับมาบ้าน อ้อยทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวล
“ขอโทษนะศักดิ์ อ้อยจำเป็นต้องทำอย่างนี้”
“อะลัดตั๊ดต๊า” อ้อยสะดุ้งเฮือก จุรีโผล่หน้าเข้ามา “อยู่นี่เองหรือลูก”
“แล้วจะให้อ้อยไปอยู่ที่ไหนล่ะ แม่”
“ก็ไปอยู่ที่ Office ไง เดี๋ยวนายศรีตรังก็ถามหา”
“ไม่ถามหรอก อ้อยเพิ่งมาจากที่นั่น”
เสียงโทรศัพท์อ้อยดังขึ้น อ้อยหยิบมาดูแล้วลุกขึ้น
“แล้วนั่นจะไปไหนล่ะ” อ้อยเดินออกไป โดยไม่ตอบ “แน่ะ! ถามก็ไม่ตอบ เด็กสมัยนี้ แม่มาทางซ้ายลูกย้ายไปทางขวาแม่เข้าข้างหน้า ลูกออกทางข้างหลัง มันก็เลยไม่ค่อยจะเจอกัน”
อ้อยก้าวออกมาหน้าบ้านแล้วกดรับโทรศัพท์
“มีอะไรหรือศักดิ์”
“มาหาศักดิ์หน่อย ศักดิ์อยู่ที่บ้าน”
“อ้อยไม่ว่าง นายศรีตรังเพิ่งเรียกให้ไปช่วยพิมพ์งานหน่อย”
“แล้วศักดิ์จะทำยังไง ศักดิ์กลัว”
“กลัวก็หาอะไรทำซิ”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งคิดครู่หนึ่ง
“เราต้องไปพาลุงหมอผีอีกครั้งนึง มาขอให้แกทำพิธีจัดการนังผีบ้านั่นขั้นเด็ดขาด”
“อ้อยไม่ไปด้วยหรอก”
“ต้องไป”
อ้อยลอบถอนใจเฮือก
“ศักดิ์อยู่ที่ไหนน่ะ”
“ที่บ้าน”
“เดี๋ยวอ้อยไปหา”
อ้อยปิดโทรศัพท์ เดินไปที่มอเตอร์ไซค์

ขณะนั้นศักดิ์สิทธิ์เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าบ้านจนกระทั่งอ้อยขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามา ศักดิ์สิทธิ์รีบตรงเข้าไปหา
“อ้อย”
“ฟังอ้อยก่อน ศักดิ์ควรจะไปอยู่กับลุงหมอ”
“ไม่”
“ฟังให้จบก่อนซิ เราพาลุงหมอเข้ามาทำพิธีไล่ผีบ่อยๆ ทุกคนจะสงสัยแต่ถ้าศักดิ์บอกทุกคนว่าไปค้างบ้านเพื่อน มันก็เป็นเหตุผลที่ยังพอฟังได้” ศักดิ์สิทธิ์ฟังด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดตาม “ที่สำคัญ อยู่กับหมอผี ผีที่ไหนมันจะกล้ามารบกวน”
“แล้วอ้อยล่ะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง อ้อยดูแลตัวเองได้ ถ้าขืนไปอยู่ด้วย เขาจะยิ่งสงสัยกันใหญ่” ศักดิ์สิทธิ์ถอนใจยาว “เชื่อเถอะ แผนนี้ต้อง Work แน่ๆ”
ศักดิ์สิทธิ์มองอ้อยด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ค่ำวันเดียวกันนั้นขณะที่พงษ์ศักดิ์กำลังดูทีวีอยู่ ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึม ศักดิ์สิทธิ์ลังเลครู่หนึ่ง
“คุณพ่อครับ”
พงษ์ศักดิ์หันมามอง
“ว่าไง”
“พรุ่งนี้ผมจะไปค้างบ้านเพื่อน”
“ทำไม” พงษ์ศักดิ์หันมาถามลูกชาย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ วันเกิดไอ้ป่อง มันก็เลยชวนไปเลี้ยง เพื่อนเก่าๆ มาหลายคน แล้วก็ไม่ได้พบกันนานมาก เลยกะว่าต้องสังสรรให้สมใจ”
“ตามใจ”
“ขอบคุณครับ”
ศักดิ์สิทธิ์เดินขึ้นบ้านไป พงษ์ศักดิ์มองตาม
ส่วนพอลเมื่อกลับมาถึงคอนโด ศรีตรังก็โทรเข้ามา พอลมีสีหน้ายิ้มนิดๆ เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ใครที่โทรเข้ามา
“ขอโทษครับที่ไม่ได้โทรกลับ”
พอลบอกเมื่อรับสาย
“ไม่เป็นไร ไม่ถือ”
“คุณคงมีธุระ”
“คุณบุกรุกเข้ามาในไร่ของฉัน”
“นึกแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้”
“ซึ่งผิดทั้งกฏหมายผิดทั้งมารยาท”
“ก็ถ้าผมขออนุญาตดีๆ คุณจะให้เข้าไปมั้ยล่ะ”
“ไม่”
“นั่นไง ผมถึงต้องใช้วิธีเดินเข้าไปเฉยๆ”
“เขาเรียกว่า บุกรุก”
“ผมมีความจำเป็น แฟนคุณคงเล่าให้ฟังหมดแล้วมั้ง”
“แฟนฉัน” ศรีตรังงงแต่ประโยคต่อไปไหลลื่นด้วยนึกได้ “อ๋อ! ใช่ ไอ้ เอ๊ย! คุณเตเขาเล่าให้ฟังหมดแล้ว ไม่ละอายใจบ้างเรอะไงที่แย่งงานเพื่อน”
คราวนี้พอลเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง
“ขอโทษ แฟนคุณมันมาเป็นเพื่อนผมตั้งแต่ครั้งไหนมิทราบ แล้วงานที่คุณว่าผมก็ไม่ได้แย่ง เพียงแต่เจ้านายมอบให้”
“อ๋อ จะบอกว่าตัวเองเก่ง ว่างั้นเถอะ ขอบอกเดี๋ยวนี้เลย ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหนใหญ่กับฟ้ากับดินเท่าไหร่ ก็ห้ามเข้ามาในอาณาเขตของฉันเด็ดขาด ไม่งั้นมีเรื่อง”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“เล่นเอาไปไม่เป็นเลย”
พอลบ่นพร้อมกับส่ายหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้นอ้อยขับรถไปส่งศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านหมอผี ระหว่างทางอ้อยชำเลืองมองศักดิ์สิทธิ์แว่บหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์
เอ่ยขึ้นลอยๆ
“ เมื่อคืนศักดิ์นอนหลับสนิทไม่ได้ฝันถึงนังผีนั่นเลย”
“แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว มันคงรู้ว่าศักดิ์จะไปอยู่กับหมอผีก็เลยไม่กล้ามาหลอก”
ศักดิ์สิทธิ์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“เมื่อวานอ้อยโทร. บอกแกแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อย เงินถึงเข้าหน่อยก็ไม่มีใครปฏิเสธร้อก”
ศักดิ์สิทธิ์มองสองข้างทางอย่างจำได้
“ เอ๊ะ นี่มันทางไปออฟฟิศลุงหมอนี่ ไหนว่าแกอยู่บ้านไง”
“ฉันไปบ้านแกไม่ถูก ก็เลยให้ไปรอที่ออฟฟิศ”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า แล้วนิ่งไป

อ่านต่อหน้า 2





ปางเสน่หา ตอนที่ 7 (ต่อ)
เมื่อถึงออฟฟิศหมอผีอ้อยและศักดิ์สิทธิ์เปิดประตูเข้ามา โดยอ้อยถือถุงใส่อาหารและผลไม้มาด้วย ทั้งสองทรุดตัวลงนั่ง วางของลงแล้วยกมือไหว้หมอผี ผมอผีพยักหน้าขรึมๆ
 

“ลุงหมอมาแต่เช้าเลยนะคะ”
“ก็พวกเอ็งนัดเช้า แล้วจะให้ข้ามาเย็นเรอะพูดแปลกๆ” อ้อยยิ้มแห้งๆ “ไหนล่ะซอง”
ศักดิ์สิทธิ์หยิบซองสีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้หมอผี
“ลุงหมอนับก่อนนะครับ”
“ไม่ต้องมาสั่งมาสอน เรื่องเงินข้าเคี่ยวกว่าพวกเอ็งเยอะ”
หมอผีพูดพลางเปิดซองออกหยิบเงินออกมานับแล้วนับอีก ศักดิ์สิทธิ์และอ้อยถอนใจอย่างโล่งอก
“แล้วเป็ดพะโล้กับไก่ย่างเอามาหรือเปล่า”
อ้อยเลื่อนถุงให้
“นี่ค่ะ แถมข้าวเหนียว ส้มตำปลาร้าด้วย อ้อยลุกมาทำเองตั้งแต่เช้า”
“ดี”
“บ้านลุงหมออยู่ที่ไหนคะ”
“ถามทำไม”
“ก็หนูจะได้เอาอาหารมาส่ง”
“มาส่งที่นี่แหละ”
“อ้าว”
“ถ้าอยู่คนเดียวกลัว แต่ถ้าสองคนไม่กลัว”
“งั้นอ้อยกลับก่อนนะคะ ศักดิ์ อ้อยกลับละ”
“ศักดิ์จะออกไปส่ง”
อ้อยเดินออกไป ติดตามด้วยศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เดินมาส่งอ้อยที่รถ
“ขอบใจนะอ้อย”
“ไม่เป็นไร”
ศักดิ์สิทธิ์จับมืออ้อยอย่างตื้นตัน
“อ้อยดีกับศักดิ์เหลือเกิน” อ้อยก้มหน้าด้วยความละอายใจ “ศักดิ์จะไม่มีวันลืมบุญคุณอ้อยเลย ถ้าเรื่องบ้าๆ นี่จบลงเมื่อไหร่ เราจะแต่งงานกัน”
อ้อยดึงมือออก
“อ้อยต้องกลับละ โชคดีนะศักดิ์”
“แล้วมาเยี่ยมศักดิ์บ่อยๆ นะ”
อ้อยยิ้มแล้วขับรถออกไป ศักดิ์สิทธิ์ยืนมองตามจนลับตา
ขณะนั้นที่บ้านศรีตรัง ศรีตรังยืนอยู่หัวโต๊ะขณะที่ทุกคนนั่งมองอย่างตั้งใจฟังรวมทั้งเสียงหวานด้วย
“ที่ศรีเชิญทุกคนมาพร้อมหน้ากัน ก็เพื่อจะสอบถามอะไรบางอย่าง ที่จริงอย่างเดียว”
เสียงหวานเอียงหน้ามากระซิบกับเตชิต
“เธอน่ารักดีนะคะ”
เตชิตเอียงหน้ามากระซิบตอบ
“นั่งฟังเงียบๆ”
สมซึ่งนั่งตรงกันข้ามมองภาพเตชิตกระซิบกระซาบอยู่คนเดียวอย่างแปลกใจ เตชิตรู้สึกตัวขยับนั่งตัวตรงแล้วยิ้มแห้งๆ ให้ ศรีตรังล้วงห่อกระดาษทิชชูออกมาแล้วเปิดให้ทุกคนดู
“มีใครเคยเห็นแหวนวงนี้มาก่อนมั้ยคะ”
จุรี สม พงษ์ศักดิ์ชะโงกหน้ามาดู รวมทั้งเสียงหวานซึ่งลุกขึ้นเปลี่ยนที่มายืนดูใกล้ๆ ด้วย
“อะลัดตั๊ดต๊า เหมือนเคยเห็นแวบๆ นะคะ”
“คุณสม ช่วยส่งให้ผมดูหน่อยซิ”
“ด้วยความเคารพ นี่ครับ”
สมหยิบแหวนส่งให้พงษ์ศักดิ์ พงษ์ศักดิ์รับแหวนมาพลิกดูแล้วเงยหน้ามองศรีตรังด้วยสีหน้าดีใจและไม่คาดคิด
“ของภรรยาผมเองครับ” ทุกคนอ้าปากมองพงษ์ศักดิ์ พงษ์ศักดิ์ถอดแหวนแบบเดียวกันเปี๊ยบออกมาแล้ววางคู่กัน

ทุกคนเบือนสายตาจากพงษ์ศักดิ์ไปที่แหวน 2 วง “ผมสั่งทำแหวน 2 วงนี้ตอนตัดสินใจจะแต่งงานกับภรรยา ตัว K .ย่อมาจากชื่อ “แก้วตา” ภรรยาผม ส่วน “P” ย่อมาจากชื่อ พงษ์ศักดิ์ของผมเอง พอแก้วตาเสียชีวิต เจ้าศักดิ์มันขอไปทำเป็นแหวนก้อยแล้วดันทำหายผมโกรธมันแทบตาย นายศรีตรังไปได้มาจากที่ไหนครับ”
ทุกคนมองพงษ์ศักดิ์อย่างเห็นใจ พงษ์ศักดิ์มองตอบอย่างพิศวงรอยยิ้มดีใจค่อยๆ เลือนหายไป
หลังจากรู้ว่าศรีตรังได้แหวนมาจากได้ พงษ์ศักดิ์เดินกลับบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วทรุดตัวลงนั่งด้วยท่าทางหน้าตาเหมือนยังมึนๆ งงๆ กับเรื่องราวที่เพิ่งจะได้รับรู้ พงษ์ศักดิ์ถึงกับสะอื้นออกมาน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจสุดขีด
เตชิต ศรีตรัง สม และจุรี ซึ่งตามเข้ามาถึงกับชะงัก ศรีตรังทำสัญญาณให้ทุกคนกลับออกไป...ทุกคนออกไป พงษ์ศักดิ์ยังคงร้องไห้ด้วยความโทมมนัส
ทุกคนออกมาหน้าบ้านแล้วยืนหน้าเศร้า เสียงร้องไห้ของพงษ์ศักดิ์ดังออกมาเป็นระยะๆ
“ด้วยความเคารพ ผมคาดไม่ถึงจริงๆ”
“อะลัดตั๊ดต๊า ตายแล้ว” ทุกคนหันมามองจุรี “อ้อยน่ะค่ะ ศักดิ์เขาวานให้อ้อยไปส่งที่สนามบินแต่เช้า”
“ศักดิ์จะไปไหนคะ” เตชิตกับศรีตรังถามออกมาพร้อมกัน
“เห็นบอกว่า จะไปหาเพื่อนที่ไหนไม่ทราบค่ะ โอ๊ย ตาย นี่ลูกอ้อยไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังอยู่กับฆาตกรต่อเนื่อง”
“ป้าขา ตอนนี้ศักดิ์ยังเป็นผู้ต้องสงสัยเท่านั้นนะค่ะ”
“ฉันจะเข้าไปสอบถามอะไรคุณพงษ์หน่อย เดี๋ยวอ้อยมา แล้วแกช่วยบอกฉันด้วย”
“เฮ้ย อย่าเพิ่งไปรบกวนแกเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
เตชิตเดินเข้าบ้านไป ทุกคนมองตาม
พงษ์ศักดิ์เหมือนจะค่อยสงบลง โดยมีเสียงหวานนั่งมองอย่างเห็นอกเห็นใจขณะที่เตชิตก้าวเข้ามา
“อ้าว! มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
เตชิตทักเสียงหวาน พงษ์ศักดิ์ถึงกับงง
“ถามใครครับ”
“อ๋อ ถามตัวเองน่ะครับ”
“นี่ถ้าผมไม่ได้กำลังเศร้า ผมจะหาว่าคุณเป็นบ้า”
เสียงหวานหลุดหัวเราะออกมา เตชิตหันขวับไปจ้องเขม็งเสียงหวานหลบตาหน้าจ๋อย
“ขออนุญาตนั่งนะครับ” เตชิตนั่งลง “ผมทราบดีว่า คุณพงษ์กำลังเสียใจไม่มีอารมณ์จะตอบ แต่ผมก็จำเป็นต้องถาม”
พงษ์ศักดิ์ถอนใจเฮือก
“ทำไมเจ้าศักดิ์ต้องฆ่าผู้หญิงคนนั้น มันเจ็บแค้นอะไรกันนักหนา”
“ผมก็กำลังพยายามจะสืบดูนี่แหละครับ ผม ...”
“สักประมาณเกือบเดือนนึงมานี่ คงประมาณตั้งแต่พบศพผู้หญิงคนนั้น เจ้าศักดิ์มันก็ฝันร้ายทุกคืน คุณคิดว่าเป็นมโนธรรมสำนึก หรือว่าวิญญาณอาฆาตกันแน่”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ คือ...”
“คุณรู้มั้ยว่า ศักดิ์ไปรู้จักเกษรินตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ทราบครับ คือ คุณพงษ์ครับ”
“ผมเห็นหน้าเกษรินไม่กี่ครั้ง รู้แค่ว่าเป็นแฟนตรีทศ คุณว่าเป็นไปได้มั้ยที่ตรีทศฆ่าเกษจริงๆ แล้วพยายามหาวิธีใส่ร้ายลูกผม เอ! แล้วแหวนเจ้าศักดิ์ไปตกอยู่ที่นั่นได้ยังไง”
“คุณพงษ์ครับ ผมเป็นตำรวจ ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องเป็นคนซักถามครับ ไม่ใช่เป็นคนตอบ”
“อ้าว! ก็ถามมาซิ”
เมื่อเตชิตคุยกับพงษ์ศักดิ์เสร็จ สมขับรถพาทุกคนมาส่งจุรีที่บ้าน
“อ้อยกลับมาแล้ว คุณเตจะเข้าไปสอบสวนเลยมั้ยล่ะคะ”
จุรีบอกเมื่อเห็นรถจอดอยู่
“ครับ ผมจะเข้าไปกับป้าจุ ศรีกับลุงสมรออยู่นี่แหละ”
ศรีและสมพยักหน้า ขณะที่เตชิตและจุรีก้าวลงไป
ขณะนั้นอ้อยกำลังนั่งกินขนมจัดดอกกุหลาบปักแจกัน เงยหน้าขึ้นมองเตชิตอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นเตชิตเข้ามากับจุรี อ้อยเสแสร้งทำบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น
“อะลัดตั๊ดต๊า”
“ผมเองครับ ป้าจุอยู่เฉยๆ”
“หมายความว่าไม่ให้พูดหรือคะ”
“ครับ”
“โอเค ค่ะ อ้อยรู้หรือเปล่าว่า ศักดิ์ไปบ้านเพื่อนคนไหน” จุรีหันไปถามอ้อย เตชิตถอนใจเฮือก
“ป้าออกไปรอข้างนอกดีกว่าไหมครับ”
“อะลัดตั๊ดต๊า อันตรายนะคะ”
เตชิตมองจุรีงงๆ
“แม่” อ้อยเรียกจุรีเสียงสูง
“อ้อยมันเป็นอันตรายกับชายหนุ่มทุกคน ป้ายิ่งกว่า Confirm เลย ถึงจะเป็นลูกเป็นเต้าป้าก็ไม่เข้าข้าง”
“โอ้ย”
“ป้าจุ เชิญข้างนอกครับ”
“ได้ค่ะ ถ้ามีอะไรร้องเรียกป้าได้นะคะ”
จุรีหันหน้าหันหลัง แล้วเดินออกไป
“อ้อยต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผมขอถามอะไรหน่อย อ้อยไปส่งศักดิ์มาหรือ”
“ค่ะ ศักดิ์เขากลัวผี เขาบอกว่าอยู่ที่นี่ ฝันร้ายทุกคืน ก็เลยจะไปอยู่กับหมอผีให้รู้แล้วรู้รอด”
“ไปอยู่บ้านหมอผี”
เตชิตทวนคำอย่างแปลกใจ

เมื่อออกจากบ้านจุรีสีหน้าแต่ละคน เหมือนกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง
“ด้วยความเคารพ มีใครเชื่อเรื่องวิญญาณอาฆาตไหมครับ” จู่ๆ สมก็ถามขึ้นมา
“ไม่เชื่อค่ะ” ศรีตรังบอก
“ผม 50 : 50” เตชิตบอก
“ฉันเชื่อ 100 เปอร์เซ็นเลยค่ะ ฉันเป็นวิญญาณฉันรู้ดี” เสียงหวานบอก เตชิตกระแอมเป็นเชิงให้เสียงหวานเงียบ
“ผมเชื่อมากกว่าไม่เชื่อครับ ดูศักดิ์เป็นตัวอย่าง” สมบอก
“เรายังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงของศักดิ์”
“แค่หนีมาอยู่กับหมอผี ให้หมอผีคุ้มครองนี่ก็ชัดแล้ว”
สมบอกขณะขับรถพาทุกคนไปออฟฟิศหมอผีตามที่อ้อยบอก
สมเลี้ยวรถมาจอดหน้าประตูรั้วออฟฟิศหมอผี ทุกคนก้าวลงมา
“เงียบจัง”
เตชิตเปิดประตูรั้วเดินนำทุกคนเข้าไป ทุกคนมีท่าทางระวังตัว
“ด้วยความเคารพ วังเวงพิลึก”
“เดี๋ยวมานะคะ”
เสียงหวานบอกแล้วหายเข้าไปในบ้าน เตชิตจึงหันมาบอกศรีตรังกับสม
“รอก่อน เดี๋ยวค่อยเข้าไป”
เสียงหวานก้าวผ่านประตูออกมา
“ไม่มีใครอยู่ค่ะ”
เตชิตหันมาบอกทั้งสมกับศรีตรัง
“ไม่มีใครอยู่”
“รู้ได้ยังไง”
สมกับศรีตรังถามออกมาพร้อมกัน เตชิตมองสบตาศรีตรังเป็นเชิงให้รู้
“ไม่มีใครอยู่ก็กลับ”
ทั้งหมดเดินกลับไปที่รถ ขณะนั้นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นตรงมาทุกคนหันไปมอง

ศักดิ์สิทธิ์กำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาที่ออฟฟิศของหมอผีแต่พอเห็นกลุ่มของศรีตรังจึงเลี้ยวรถกลับทันที
“เฮ้ย จะไปไหน”
หมอผีถามอย่างแปลกใจ ศักดิ์สิทธิ์ไม่ตอบแต่เร่งความเร็วขึ้น เตชิตเปิดประตูรถพลางสั่งทุกคน
“ขึ้นรถ”
ทุกคนขึ้นรถ เตชิตออกรถตามอย่างรวดเร็ว จนทุกคนรวมทั้งเสียงหน้าคะมำแม้กระทั่งศรีตรังซึ่งคาดเข็มขัดเกือบไม่ทัน
“ว้าย”
“ไอ้เต”
สมลงมานั่งพับเพียบอยู่ข้างล่าง
“ด้วยความเคารพ คุณเตพูดกับใครครับ”
“ผีค่ะ”
สมยิ้มแห้งๆ ระหว่างนั้นเสียงหวานปรากฏตัวเดินข้ามถนนตัดหน้ารถศักดิ์สิทธิ์ หมอผีเห็นเสียงหวานจึงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่ศักดิ์สิทธิ์มองไม่เห็น
“เฮ้ย ! คนข้ามถนน”
“ไหน”
“หยุด”
ศักดิ์สิทธิ์ขับรถผ่านร่างเสียงไปขณะที่หมอผีเบิกตากว้าง
“ผี ผีหลอก” ศักดิ์สิทธิ์ตกใจเบรคมอเตอร์ไซค์อย่างแรงจนทำให้เสียหลักล้มคว่ำ “โอ๊ย”
“โอ๊ย!”
เตชิตขับรถตามมาจอดทุกคนเดินตรงมายังหมอผีและศักดิ์สิทธิ์ที่นอนร้องโอดโอย
“ไม่น่าต้องเจ็บตัวขนาดนี้เล้ย”
ศรีตรังส่ายหน้า
เมื่อกลับมาไร่สุขศรีตรังทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพงษ์ศักด์ ซึ่งทั้งผิดหวังและเสียใจจนต้องขอศรีตรังลาออกหลังจากศักดิ์สิทธิ์ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเกษริน
“ศรีอยากให้คุณพงษ์คิดดีๆ”
“ผมคิดดีแล้วละครับ เจ้าศักดิ์มันทำผิดถึงขนาดฆ่าคน ผมจำเป็นต้องรับผิดชอบ”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ลูกน่ะเลี้ยงได้แต่ตัวเท่านั้น ส่วนใจของเขาจะคิดอย่างไร เราไม่มีทางรู้ ดูแต่อ้อยใจลูกสาวฉันซิคะ ฉันอบรมบ่มนิสัยวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ไม่เว้นวันหยุดราชการ แล้วเป็นยังไงล่ะคะ อย่าหาว่านินทาลูกตัวเองเลย วันๆ มุ่งหาแต่สามี อะลัดตั๊ดต๊า ฉันเองยังหาไม่ได้สักคน”
“ก็มันใช่ลูกแท้ๆ ของฉันซะเมื่อไหร่”
พงษ์ศักดิ์กระแอม แล้วลุกขึ้น
“ผมจะไปเก็บข้าวของ”
ทุกคนหน้าเสีย ศรีตรังรีบลุกขึ้น
“ศรีอยากให้คุณพงษ์คิดดูอีกครั้งนะคะ ไร่ “สุขศรีตรัง” ต้องการคุณพงษ์เสมอ”
พงษ์ศักดิ์อึ้งไปด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วก็รีบหักใจหันหลังกลับเดินออกไป
อ้อยไม่ได้เศร้าเสียใจแม้แต่นิดเดียวที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกจับ แถมเธอยังนั่งเล่นอินเตอร์เน็ทอย่างสบายใจ จนกระทั่งจุรี

เดินละห้อยละเหี่ยเข้ามา
“เฮ้อ เศร้า” จุรีทรุดตัวลงนั่งและมองลูกสาว “นั่นแกไม่รู้สึกรู้สมอะไรบ้างเรอะ”
“คนทำผิดก็ต้องรับโทษไป ไม่เห็นจะต้องมานั่งเศร้าเสียดาย ใจหายอะไรเลย”
“แต่แกเคยเป็นแฟนกับศักดิ์นะ”
“อ้อยน่ะจะตัดหางปล่อยวัดไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้กำลังเล็งพี่เตชิตอยู่”
“อะลัดตั๊ดต๊า...นังอ้อย”
อ้อยหันขวับมาอย่างหงุดหงิด
“โอ้ย แม่ เรียกอ้อยให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้เหรอ พูดไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
“คุณเตน่ะเขาไม่มองแกหรอก ซึ่งไม่ใช่เพราะว่าแกต่ำต้อยน้อยหน้าแต่เป็นเพราะแกไม่รักนวลสงวนตัว ไม่สำรวม ไม่...”
อ้อยลุกขึ้นทันที
“แม่คอยดูไปละกัน ผู้หญิงที่มัวแต่สงบเสงี่ยมเจียมตัวน่ะหาผัวยากมันต้องกล้าเปิดตัวเปิดใจอย่างอ้อยนี่ ผู้ชายเขาถึงจะสังเกต เตรียมตัวเป็นแม่ยายพี่เตชิตได้เลยคุณแม่จุรี”
อ้อยเดินขึ้นห้องไป
“อะลัดตั๊ดต๊า ฉันจะเป็นลม”
จุรีทำท่าจะเป็นลม
ทางด้านเตชิตเมื่อกลับบ้านพักเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเสียงหวานนั่งหน้าเศร้า
“น่าสงสารคุณพงษ์นะคะ ท่านเป็นคนดี แต่ลูกไม้ก็หล่นไกลต้นเสียเหลือเกิน”
เตชิตเดินมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ
“เพื่อนคุณคงไปสู่สุคติได้เสียที”
เสียงหวานถอนใจยาวสีหน้าเหมือนเกิดความกังวลขึ้นมา ทั้งคู่นั่งนิ่งกันไปเหมือนต่างคนต่างเข้าสู่ภวังค์ของตนเอง จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์เตชิตดังขึ้น ทั้งสองคนสะดุ้งพร้อมๆ กัน เตชิตมีสีหน้าแววตายินดีเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา
“โทรศัพท์ไอ้กรณ์ สงสัยจะได้เรื่องของคุณแล้ว”
เตชิตทำท่าจะรับแต่เสียงรีบร้องห้ามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น แสงโดยรอบตัวหม่นลงทันที
“อย่าค่ะ” เตชิตเงยหน้ามองเสียงหวานอย่างแปลกใจ “อย่ารับ”
“ทำไมล่ะ คุณอยากรู้ไม่ใช่หรือว่าตัวเองเป็นใคร ตอนที่ไอ้กรณ์โทรมาคราวที่แล้ว คุณยังผิดหวังที่มันได้เรื่องของเจนจิราแทนที่จะเป็นเรื่องของคุณ”
เสียงหวานห่อตัวเหมือนหนาวขึ้นมา
“ฉันยังไม่พร้อม”
เตชิตมองเสียงหวานด้วยความประหลาดใจ เสียงหวานสบตาเตชิตด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“ไม่รู้ซิคะว่าทำไมถึงได้เกิดรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา”
“ไม่เป็นไร คุณคงไม่ทันตั้งตัว” เตชิตบอกเสียงอ่อนโยน
“ปิดโทรศัพท์ ปิดซิคะ” เตชิตพยักหน้าและปิดโทรศัพท์ “สัญญากับฉันได้มั้ยว่าระหว่างนี้อย่าเพิ่งติดต่อกับคุณกรณ์ สัญญาซิคะ”
เตชิตยิ้มให้เสียงหวานอย่างอบอุ่น
“ตกลง ตราบใดที่คุณยังไม่พร้อม ผมก็จะไม่รับโทรศัพท์ไอ้กรณ์ ยอมถูกมันด่า”
“ขอบคุณค่ะ”

เสียงหวานเลือนหายไป เตชิตเอนตัวพิงพนักด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ค่ำวันนั้นเตชิตมาทานข้าวกับศรีตรัง เตชิตจึงเล่าเรื่องเสียงหวานให้ศรีตรังฟัง
“ไม่แปลกหรอก คุณหนูเผือกของแกกำลังสับสนลังเลน่ะ บางทีความจริงมันก็น่ากลัวเหมือนกันหรือว่าไง”
“เสียงหวานยังไม่อยากรู้ แต่ฉันอยากรู้”
“เฮ้ย แกรับปากกับผีไว้แล้วนะ”
“เสียงหวานเป็นวิญญาณ” เตชิตบอกอย่างไม่พอใจ
“มันก็ผีนั่นแหละ”
เตชิตขบกราม ท่าทางเหมือนสะเทือนใจ ศรีตรังมองเตชิตอย่างเพ่งพิศครู่หนึ่ง
“เฮ้ย เฮ้ย อย่าบอกเชียวนาว่าแกรักผี ปลื้มผี”
“ไอ้บ้า”
“เตชิต ฉันว่าแกชักจะถลำลึกมากไปแล้วนะ ทางที่ดีแกถอนตัวออกมาก่อนที่จะกลายเป็นผีตามคุณหนูเผือกไป”
เตชิตขยับจะเลี่ยง แต่ศรีตรังชิงพูดขึ้นก่อน “ฉันพูดจริง อยู่ดี ๆ คุณหนูเผือกก็ปรากฎตัวขึ้นมาแล้วตามติดแกแจ คิดดูให้ดีซิ อาจสร้างเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมาเพื่อจะหลอกเอาตัวแกไปอยู่ด้วยก็ได้”
“ไม่จริง”
“แกรู้จักเขาดีแค่ไหน”
“ก็...”
“ทำไมเขาไม่ไปหาคนอื่นให้ช่วย ทำไมต้องรอมาจน 2 ปีกว่าถึงเกิดจะอยากรู้เรื่องตัวเองขึ้นมาทำไม”
“เพราะไม่มีใครเห็นเขา” เตชิตสวนทันที
“แล้ว...”
“พอที” เตชิตชี้หน้าศรีตรัง
“เออ พอก็ได้”
เตชิตเดินออกไปอย่างหัวเสีย ศรีตรังมองตามอย่างเป็นห่วง
หลังจากเตชิตกลับไปแล้วศรีตรังเดินกลับไปกลับมาช้าๆ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ต้องหาวิธีช่วยไอ้เตให้ได้ ฉันไม่ยอมเสียเพื่อนให้ผีแน่”
สีหน้าศรีตรังตัดสินใจแน่วแน่
วันรุ่งขึ้นศรีตรังจึงเข้ากรุงเทพมาพบกับธากรณ์ ธากรณ์รีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นเต้นเมื่อศรีตรังเดินเข้ามา
“น้อง น้องศรี เชิญ เชิญนั่งครับ”
ธากรณ์กุลีกุจอขยับเก้าอี้ให้ศรีตรังนั่ง
“ขอบคุณค่ะ”
“ตอนน้องศรีโทรบอกว่าจะมาที่นี่ ผมดีใจแทบตาย”
ศรีตรังถอนใจเฮือก
“โชคดีที่ไม่ตาย”
“นั่นซิครับ น้องศรีมีอะไรให้ผมช่วยครับ”
“ศรีอยากรู้เรื่องเจ้าของภาพที่เตชิตเอามาฝากให้พี่กรณ์ช่วยสืบนะค่ะ”
“อ๋อ ได้เลยครับ” ธากรณ์หยิบซองสีน้ำตาลส่งให้ “ไอ้เตมันให้น้องศรีมารับแทนหรือครับ”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากนะคะ ศรีกลับล่ะค่ะ”
ธากรณ์รีบลุกตาม
“แล้วเมื่อไหร่น้องศรีจะให้เกียรติผมเลี้ยงข้าวสักทีล่ะครับ”
“แล้วศรีจะโทรมาบอกค่ะ”
ธากรณ์เดินไปเปิดประตูให้แล้วตามออกไปส่ง
เมื่อแยกจากธากรณ์ ศรีตรังมานั่งอ่านเอกสารที่ธากรณ์ให้อยู่ที่ร้านกาแฟอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาธากรณ์
“พี่กรณ์ ขอโทษนะคะที่โทรมารบกวนอีกคือพี่กรณ์พอจะทราบไหมคะว่าบ้านคุณปรกเดือนอยู่ที่ไหน”
“อ๋อ ผมให้ไว้แล้วไงครับอยู่ในซองเล็กๆ ข้างในซองใหญ่อีกที”
ศรีตรังล้วงขึ้นมาดู
“เจอแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
“เดี๋ยวครับ น้องศรีจะไปที่นั่นหรือครับ”
“ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยดีกว่า ที่นั่นค่อนข้างอันตราย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ศรีไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอะไร”
พอวางหูจากธากรณ์ ศรีตรังก็ขับรถมาบ้านปรกเดือนตามที่อยู่ที่ธากรณ์จดไว้ให้ ระหว่างนั้นธากรณ์โทรบอกเตชิตเรื่องที่ศรีตรังมาหา เตชิตถึงกับผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ
“ไอ้กรณ์ แกปล่อยให้ไอ้ศรีมัน...”
“แกก็รู้ว่า มีใครห้ามน้องศรีได้มั่ง”
“ตามไปเดี๋ยวนี้เลยแล้วเอาตัวออกมา ก็รู้นี่ว่าที่นั่นมันบ้านใคร ไปเร็ว”
“เออ”
“แล้วคอยโทร.รายงานฉันด้วยนะ”
ธากรณ์ปิดโทรศัพท์แล้วเดินออกไปอย่างรีบร้อน
ที่บ้านปรกเดือนขณะนั้นพอลแวะมาหาปรกเดือนพอดี ระหว่างรอคนมาเปิดประตูพอลหันไปเห็นรถศรีตรังโดยไม่ได้ตั้งใจ พอลชะงักเพราะจำรถศรีตรังได้พอลมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ศรี เอ๊ย อ้อยขอตัวกลับก่อนละค่ะ ถ้าหากปรายดาวติดต่อมาช่วยบอกด้วยนะคะว่าอ้อยมาเยี่ยม”
ศรีตรังขยับตัวลาปรกเดือน
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ น้องอ้อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วอ้อยจะมาเยี่ยมใหม่”
“พี่จะเดินไปส่ง”
ปรกเดือนลุกเดินไปส่งศรีตรัง ขณะนั่นพอลเดินเข้ามาพอดี ศรีตรังสะดุ้งเฮือกตาเบิกกว้าง พอลมองศรีตรังเขม็ง นัยน์ตามีแววเหมือนจะยิ้มเยาะ
“สวัสดีครับ”
“พอลรู้จักน้องอ้อยหรือคะ อ้อ จริงซิ เคยเจอกันที่ปากช่องนี่”
“น้องอ้อย” พอลเลิกคิ้ว ศรีตรังยิ้มหลังจากตั้งสติได้
“ใช่ค่ะ น้องอ้อย แหม ไม่น่าลืมเลยนะคะ พี่คุยกับแขกเถอะค่ะ อ้อยไปเองได้”
ศรีตรังรีบเดินออกไป ปรกเดือนมองตามงงๆ
“เดี๋ยวผมมานะเดือน มีเรื่องต้องคุยกับ “น้องอ้อย” นิดหน่อย”
พอลเดินออกไป ปรกมองตามอย่างแปลกใจ
ศรีตรังรีบเดินมาที่รถพอลเร่งฝีเท้าตามมา
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป” ศรีตรังขยับเป็นวิ่งพอลวิ่งตามแล้วคว้าแขนไว้ได้ทันก่อนที่ศรีตรังจะเปิดประตูรถ “จะรีบไปไหน”
“จะรีบกลับบ้าน รู้แล้วก็ปล่อย” ศรีตรังพยายามบิดแขนตลอดเวลา
“รู้หรือเปล่าว่า ผมจับคุณส่งตำรวจได้”
“ก็เอาซิ ผู้กองพอล ” ศรีตรังลอยหน้าลากเสียงสูง
“อย่าท้านะ อ้อย!” พอลลากเสียงหนักๆ บ้าง
“ปล่อย”

พอลจับข้อมือศรีตรังไว้ทั้งสองข้าง
“ทำไมถึงต้องปลอมชื่อปลอมเสียงเป็นอ้อย”
“ก็ฉันอยากชื่ออ้อยมาตั้งนานแล้ว มีไรมั้ย พอล”
“ผมก็จะจับคุณไง อ้อย!คุณปลอมตัวมาที่นี่ทำไม” ศรีตรังเม้มปากแน่น แล้วมองพอลเป็นเชิงท้าทายว่า “ไม่บอก” พอลมองอย่างหงุดหงิดเต็มที่ “ให้ตายซิ คุณนี่กวนประสาทอย่างร้ายเลย” ศรีตรังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พอลปล่อยแขนศรีข้างหนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์มากด “เดือน พอดีผมมีธุระด่วน ต้องรีบกลับก่อนนะครับ อ๋อ แล้วจะเล่าให้ฟัง” พอลเก็บโทรศัพท์ แล้วหันมามองศรีตรัง “เอากุญแจรถมา” ศรีตรังทำหูทวนลม “ก็ได้”
พอลเอื้อมมือมาที่สะโพกศรีตรัง ศรีตรังโวยลั่น
“เฮ้ย! จะทำอะไรน่ะ”
“กุญแจ”
“ไม่ต้อง ฉันหยิบเอง”
ศรีตรังรีบล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจรถส่งให้อย่างกระแทกกระทั้น พอลกดรีโมทแล้วเปิดประตูรถ
“เข้าไป”
“เอ๊ะ!”
“บอกให้เข้าไป” พอลดันตัวศรีตรังเข้าไปในรถ แล้วปิด “อย่าออกมานะ...เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
ศรีตรังกำลังขยับจะเปิดประตูทำปล่อยมือแบบไม่ยี่หระ
“ทำขู่ ยังกับกลัวนักนี่”
ศรีตรังบ่นขณะที่พอลอ้อมมาขึ้นที่คนขับ
“เมื่อกี้พูดว่าอะไร”
“ไม่รู้ จำไม่ได้”
พอลมองศรีตรังอย่างหมายมาด แล้วขับรถออกไป
ขณะนั้นปรกเดือนยืนอยู่หน้าบ้าน มองดูรถพอลที่จอดอยู่ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“พอลมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น ”
ปรกเดือนบ่นออกมาเบาๆ อย่างแปลกใจ
พอลพาศรีตรังมาที่คอนโดของเขา พอลจูงแกมลากศรีตรังเข้ามาขณะที่อีกมือถือซองน้ำตาลสีน้ำตาลมาด้วย คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดมองพอลกับศรีตรังอย่างแปลกใจ
“ช่วยด้วยค่ะ ฉันถูกลักพาตัวมา”
ศรีตรังร้องขอความช่วยเหลือ
“เหลวไหลน่า ที่รัก”
ศรีตรังหันขวับมามองพอล เบิกตากว้าง ขณะที่คนเหล่านั้นมองตามพอลซึ่งจูงศรีตรังไปยิ้มๆ
“อีตาบ้า บังอาจมาเรียกฉันแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็ไม่ได้อยากเรียกนักหรอก แต่มันจำเป็น”
ศรีตรังโกรธจนพูดไม่ออก จนกระทั่งพอลลากมาถึงหน้าห้องแล้วเปิดประตูเข้าไป
พอลลากศรีตรังเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ปล่อยข้อมือเธอ
“นั่งซิ”
“ฉันจะยืน”
“ก็ตามใจ” พอลเดินมาทรุดตัวลงนั่ง “ไม่อยากชวนกินน้ำเพราะคุณจะตอบว่าไม่กิน”
ศรีตรังยืนนิ่ง นัยน์ตากวาดไปโดยรอบมองหาทางหนีทีไล่ พอลเปิดซองหยิบเอกสารภายในออกมาดู ศรีมองเขม้นจับผิด พอลกวาดสายตามองเอกสาร แล้วชะงักเงยหน้าขึ้นมองศรีตรัง
“คุณไปได้เอกสารพวกนี้มาจากไหน”
“คุณเกี่ยวข้องอะไรกับปรกเดือนและปรายดาว”

ศรีตรังไม่ตอบแต่ถามแทน พอลลุกขึ้นแล้วเดินมาเผชิญหน้ากับศรีตรังนัยน์ตากร้าว
“อย่าเข้ามายุ่งเด็ดขาด”
“ขอถามว่าทำไม”
“ไม่ต้องถาม”
“คุณฆ่าผู้หญิงที่ชื่อปรายดาวหรือเปล่า” พอลอึ้งไปเพราะรู้สึกผิดตลอดเวลาว่าเป็นสาเหตุให้ปรายดาวตาย “แสดงว่าใช่”
“ผมไม่ได้ฆ่าดาว” พอลบอกอย่างลืมตัว
“ฉันไม่เชื่อ จะบอกให้นะว่าฉันคิดยังไง ฉันคิดว่า คุณฆ่าปรายดาวและเป็นชู้กับปรกเดือน”
“ไม่จริง”
“คุณเป็นตำรวจประเภทกังฉิน เป็นนก 2 หัว เป็นสายลับ 2 หน้า หากินกับทั้งอาชีพตำรวจ แล้วก็เป็นสุนัขรับใช้ มาเฟีย”
“หยุด”
“คุณมันเลวไม่มีที่ติจริงๆ”
พอลมองศรีตรังนัยน์ตาวาวโรจน์ เดินเข้าหาช้าๆ นัยน์ตาศรีตรังมีแววหวาดหวั่นขึ้นมาแว่บหนึ่ง ก้าวถอยหลังช้าๆ
“หนีทำไม กลัวเรอะ”
“ถ้าคุณฆ่าฉัน เตชิตต้องรู้”
พอลหัวเราะเยาะ
“ผมไม่ฆ่าคุณให้เสียของหรอก มีอีกตั้งหลายวิธีอย่างเช่นแบบนี้”
พอลก้าวพรวด ถึงตัวศรีตรังแล้วรวบตัวไว้ ศรีตรังทุบอกพอล
“อย่านะ อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ปล่อย !”
“ขอเตือนว่า อย่าเข้ามายุ่งเด็ดขาด...ครั้งต่อไปผมไม่ปล่อยไปง่ายๆ อย่างนี้แน่”
พอลดึงตัวศรีตรังไปที่ประตูแล้วเปิดดันออกไป ศรีตรังหันขวับมา
“โอ๊ย ฉันออกเองได้ ไม่ต้องมาผลักหรอก”
“สะกดคำว่า “อันตราย” เอาไว้บ่อยๆ ด้วย สอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่อง”
พอลปิดประตูแล้วถอนใจเฮือก แล้วสะดุ้งเมื่อมีเสียงทุบประตูโครมๆ
“อวดดียังไงมาว่าฉันสอดรู้สอดเห็น อีตาบ้า คนบ้า ไอ้ฆาตกรคอยดู ! ฉันจะเอาคุณเข้าคุกให้ได้”
ศรีตรังโวยวายอยู่หน้าห้อง คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองศรีตรังอย่างแปลกใจ ศรีตรังทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินออกไป
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้






ปางเสน่หา ตอน 7 (ต่อ)

ศรีตรังเดินกลับมาขึ้นรถด้วยสีหน้าท่าทางหงุดหงิด เธอขึ้นไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนรถครู่หนึ่ง
“นึกหรือว่าฉันจะยอมแพ้” ศรีตรังสตาร์ทรถแล้วมองเห็นมือถือที่ปิดเครื่องวางไว้ ศรีตรังหยิบขึ้นมาเปิด “โห
มิสคอลจมเลย ตากรณ์ 11 ครั้ง ไอ้เต 10 ครั้ง” ศรีตรังยังไม่ทันกดหาคนใดคนหนึ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันที “ว่าไงคะ คุณกรณ์”
ธากรณ์ซึ่งนั่งหลบอยู่ในรถตู้หน้าบ้านปรกเดือนถอนใจเฮือกอย่างโล่งใจ
“น้องศรี เฮ้อ โล่งใจไปที น้องศรีอยู่ที่ไหนครับ”
“เฮ้อ กำลังจะกลับบ้านค่ะ”
“นี่มันเย็นแล้วนะ กว่าจะถึงปากช่องก็ค่ำ”
“ศรีชอบขับรถค่ำๆ ค่ะ เย็นสบายดี”
“ยังไงผมก็ยังเป็นห่วง”
“ขอบคุณค่ะ เอาไว้เข้ากรุงเทพฯคราวหน้า ศรีจะหอบขนมมาฝากนะคะ”
“ครับ แล้วพบกัน”
ธากรณ์วางโทรศัพท์ลงอย่างโล่งใจ แล้วสั่งคนรถ
“กลับออฟฟิศได้”
“ครับ”
คนขับออกรถไป
ส่วนที่ไร่สุขศรีตรังขณะนั้นเตชิตอยู่ที่บ้านพัก เสียงเคาะประตูดังขึ้นเตชิตเดินไปเปิดแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นอ้อยถือปิ่นโตยืนยิ้มหวาน
“อ้อยเอาอาหารมาส่งค่ะ”
เตชิตขยับจะพูดแต่อ้อยเดินเข้าข้างใน โดยจงใจให้เนื้อตัวเบียดเตชิต เตชิตรีบถอยหลัง 2-3 ก้าว มองอ้อยวางปิ่นโตลงบนโต๊ะ ปากก็พูดไปเรื่อยๆ
“นายศรีตรังไม่อยู่ อ้อยเลยทำกับข้าวมาทานกับพี่เตสองคน” อ้อยรื้อปิ่นโตออก เดินไปหยิบจานชามอย่างคุ้นเคย
“ผมยังไม่หิว”
อ้อยเงยหน้ามอง
“อ้าว”
“อีกอย่างลุงสมบอกว่าจะมารับออกไปหาอะไรกินข้างนอก”
“ได้ไงคะ อ้อยอุตส่าห์ทำกับข้าวสุดฝีมือ” อ้อยทำหน้าตาน้อยอกน้อยใจ
“อ้อยเก็บไว้กินกับป้าจุซิ ป้าจุคงอยากกินข้าวกับลูกสาว”
“โอ๊ย! กับแม่น่ะกินเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ แต่กับพี่เตชิตซิคะ ...”
“ผมนัดกับลุงสมไว้แล้ว”
อ้อยกลอกตาไปมาครู่หนึ่งแล้วยิ้ม สีหน้ามีเลศนัย
“ก็ได้ค่ะ”
อ้อยเก็บปิ่นโตเงียบๆ เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
“แปลกแฮะ”
เตชิตพึมพำออกมาเบาๆ
เตชิตรีบออกจากบ้านไปหาสมแล้วพามาเลี้ยงข้าว
“ด้วยความเคารพ วันนี้นึกยังไงครับ ถึงได้พาผมมาเลี้ยง”
สมถามอย่างแปลกใจ
“นึกเอาตัวรอดน่ะครับ”

สมซึ่งกำลังตักข้าวใส่ปากชะงัก
“ด้วยความเคารพ เอาตัวรอดจากอะไรหรือครับ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เตชิตหยิบขึ้นมาดู แล้วบอกสม
“ศรีตรังน่ะครับ ว่าไง! เออ! ฉันก็นึกว่าแกตายแหงแกไปแล้วเหมือนกัน ตอนนี้กำลังกินข้าวกับลุงสมเดี๋ยวเจอกันจะเอาอะไรมั้ย ดี ไม่เอาก็ดี ฉันจะได้ไม่เปลืองเงิน”
เตชิตเก็บโทรศัพท์แล้วกินข้าวต่อ
“ด้วยความเคารพ คุณเตเคยสังเกตไหมครับว่า นายศรีตรังเป็นสุภาพสตรี”
คำถามนี้ทำให้เตชิตเกือบสำลักข้าว
“เป็นสตรีน่ะใช่ แต่ไอ้สุภาพนี่คงต้องคิดหนัก”
“น่าเสียดาย” เตชิตเหลือบมองสม “ด้วยความเคารพ ”
“เสียดายที่ไอ้ศรีไม่ใช่สุภาพสตรีน่ะหรือครับ”
“เปล่า น่าเสียดายที่คุณเตมองข้ามสตรีที่เพียบพร้อมอย่างเจ้านายผม”
เตชิตหัวเราะ แล้วกินข้าวอย่างสบายใจ
ระหว่างนั้นที่บ้านเตชิต อ้อยค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาในห้องเตชิต
“รับประทานของคาวกลับมา อ้อยจะเสิร์ฟของหวานให้พี่เตชิตทันทีเล้ย”
อ้อยเดินไปที่เตียง แล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างสบายใจ
ส่วนเตชิตกับสมหลังจากกินข้าวเสร็จ สมขับรถมาส่งเตชิตที่บ้านศรีตรัง
“ขอบคุณมากครับลุงสม”
“ด้วยความเคารพ ขอบคุณเช่นกันครับ แล้วก็ขอให้คุณเตตาสว่างเสียที”

สมขับรถออกไป เตชิตมองตาม ส่ายหน้าแล้วเดินเข้าบ้าน
พอเจอหน้าศรีตรังเตชิตอ้าปากจะพูดแต่ศรีตรังยกมือห้าม
“หยุด ฉันรู้ว่าแกจะพูดอะไร” เตชิตหุบปาก “เพราะถึงแกจะด่าจะว่าจะจิกยังไง แกก็เหนื่อยเปล่า เนื่องจากว่า ฉันทำไปแล้ว”
“เล่ามาซิ” เตชิเตบอกพร้อมกับนั่งลง ศรีตรังถึงกับงง
“เล่า”
“เออ ฉันอยากรู้ว่าไอ้กรณ์มันได้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเสียงหวานบ้าง”
“เขาชื่อปรายดาว”
เตชิตพยักหน้าช้าๆ ฟังศรีตรังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ส่วนที่กรุงเทพขณะนั้นพอลอยู่ที่บ้านปรกเดือน พอลมีสีหน้ากังวลเพราะเป็นห่วงศรีตรัง ปรกเดือนสังเกตเห็นจึงเข้าใจผิดคิดว่าพอลห่วงปรายดาว
“ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกค่ะ เดือนแน่ใจว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับยัยดาว”
“รับปากกับผมได้ไหมว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้เสี่ยฟัง”
“ได้ค่ะ...พอล เดือนขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“ครับ”
“อ้อยเป็นอะไรกับพอล”
“เราเคยรู้จักกัน”
“แต่เดือนคิดว่าอาจจะมีมากกว่านั้น”
“ไม่มี ผมจะกลับละไม่ต้องเดินไปส่งผมหรอก”
พอลลุกเดินออกไป ปรกเดือนมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
แม้ปรกเดือนจะไม่บอกเดนนิสเรื่องศรีตรัง แต่เดนนิสก็รู้จนได้เพราะแจ๋วโทรบอก
“มีอะไรหรือแจ๋ว”
เดนนิสถามเมื่อแจ๋วโทรเข้ามา
“เมื่อวานมีเพื่อนคุณดาวมาเยี่ยมค่ะ แต่แจ๋วเพิ่งมีโอกาสโทร.มาตอนนี้”
“ใคร”
“ได้ยินเขาบอกว่าชื่ออ้อยค่ะ แจ๋วไม่เคยเห็นมาที่นี่นะคะ”
“แล้วดูท่าทางเขาสนิทกับคุณเดือนหรือเปล่า”
“คุณเดือนก็ไม่รู้จักเหมือนกัน”
“ถ้ามาอีก แจ๋วถ่ายรูปไว้ให้ฉันดูด้วย”
“ค่ะ”
เดนนิสวางโทรศัพท์ลง สีหน้าครุ่นคิด
ส่วนที่ไร่สุขศรีตรังเตชิตฟังสิ่งที่ศรีตรังเล่าแล้วต้องแปลกใจกับพฤติกรรมของปรกเดือน
“ทำไมพี่ของปรายดาวต้องโกหกด้วย ถ้าตายก็บอกตายซิ ไม่เห็นน่าจะมีอะไรต้องปิดบัง”
“ฉันก็ว่ายังงั้น หรือว่าปรายดาวจะเป็นคนละคนกับคุณหนูเผือก”
“ข้อมูลไอ้กรณ์ไม่น่าพลาด ยิ่งมีรูปเปรียบเทียบด้วยอย่างนี้”
“งั้นแกก็ต้องลองพาคุณหนูไปที่บ้านนั้นดู เผื่อจะจำอะไรได้บ้าง...ไปพรุ่งนี้เลยดีมั้ย”
“ไอ้ดีน่ะมันดีอยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าเขาจะว่าดีหรือเปล่า เพราะล่าสุดนี่เกิดไม่อยากรู้เรื่องของตัวเองขึ้นมาแล้ว”
เตชิตพูดขณะเดินออกไป ศรีตรังเดินตาม
“แกลองพูดกับเขาอีกทีก็แล้วกัน”
“ห่วงตัวเองเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงคนอื่นเขาหรอก ห้ามไปที่นั่นคนเดียวเด็ดขาด เข้าใจไหม”
“เออ! ฉันจะชวนแกไปด้วย”
เตชิตส่ายหน้าพลางขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
ส่วนที่บ้านเตชิต อ้อยเริ่มหงุดหงิดเมื่อเตชิตยังไม่กลับมาสักทีจึงเดินมาชะโงกหน้ามองที่หน้าต่างด้วยสีหน้าแววตาเซ็งๆ
“โฮ้ย ป่านนี้ยังไม่มาอีก รอจนจะหมดอารมณ์แล้ว” อ้อยเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง “ให้ตายเถอะ จะกินอะไรกันนักหนานะ”
อ้อยหงุดหงิดพลุ่งพล่าน
ขณะนั้นเตชิตกำลังขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านพัก ทันใดนั้นร่างของเสียงหวานก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เตชิตตกใจเบรคจนมอเตอร์ไซค์จนเกือบล้ม
“เสียงหวาน”
แสงรอบตัวเสียงหวานเป็นสีแดงจัด เข้ากับสีหน้าซึ่งแสดงอาการไม่พอใจเช่นกัน
“อารมณ์ดีเชียวนะ”
เตชิตก้าวๆ พรวดๆ มายืนตรงหน้าเสียงหวานอย่างฉุนๆ
“อารมณ์ดี” เตชิตชี้หน้าตัวเอง “หน้าแบบนี้เนี่ยนะ อารมณ์ดี ผมกำลังโกรธจนเกือบจะฆ่าใครสักคนต่างหาก”
“คุณหมายถึงฉัน”
“ใช่”
“เสียใจ ฉันตายไปแล้วฆ่ายังไงก็ไม่มีวันตาย”
“แล้วนี่มันเรื่องอะไรถึงได้มาดักรอหาเรื่องกลางทาง”
“เพราะมีคนอื่นเข้าไปรอคุณอยู่ในบ้านน่ะซิ”
“ใคร”
“ลูกสาวป้าอะลัดตั๊ดต๊า”
“อ้อยน่ะเหรอ”
“จะใครเสียอีกล่ะ” เตชิตมองเสียงหวานอย่างเพ่งพิศครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ “หัวเราะอะไร”
“หัวเราะคนพาลน่ะซิ คุณโกรธที่อ้อยเข้าไปรอผมในบ้านใช่ไหม”
“เขาเข้าไปอยู่ยังงั้น แล้วฉันจะไปอยู่ตรงไหน บ้านหลังซักกะติ๊ด”
“ทำไมไม่ทำให้เขาออกไปล่ะ”
“คุณไม่ว่าเหรอ”
“ไม่”
“ดีแล้ว ฉันจะไปตามเกษรินให้มาไล่”
เตชิตชะงัก
“เกษริน เขายังไม่ไปอีกเหรอ”
“ยังค่ะ”
“ทำไม”
“เขาบอกว่าเขายังไม่รู้สึกสงบ”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขณะนั้นจุรีกำลังนั่งดูทีวีอยู่ เมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครจ๊ะ”
“ผมเองครับ เตชิต”
“คุณเต มาทำไมค่ำๆ มืดๆ” จุรีบ่นพลางลุกไปเปิดประตู แล้วสะดุ้งเมื่อมองเห็นเสียงหวานยืนอยู่ข้างเตชิต
“อะลัดตั๊ดต๊า” เสียงหวานยิ้ม แล้วยกมือขึ้นทักทาย “คะ... คะ... คุณ... คุณหนูเผือก”
“อ้อยอยู่หรือเปล่าครับ”
“อยู่ซิคะ วันนี้เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำแน่ะ” จุรีรีบยกมือปิดตาข้างมีซิกซ์เซ้นส์ร่างเสียงหวานเลือนหายไปจากสายตาทันที “ผมว่าป้าจุไปดูหน่อยดีกว่า”
“ทำไมหรือคะ”
“ทำตามที่ผมบอกเถอะครับ”
“ก็ได้ค่ะ เชิญคุณเตเข้ามาก่อนซิคะ”

จุรีเดินเข้าไปดูอ้อยในห้องนอนโดยมีเสียงหวานลอยตามมาด้วย อ้อยจัดผ้าห่มคลุมหมอนข้างไว้ให้เหมือนคนห่มผ้านอนหลับ
“นั่นไง นอนหลับปุ๋ยเลย”
“ลองไปดูใกล้ๆ ซิคะ” เสียงหวานบอก
“แค่นี้ก็เห็นแล้ว”
“ไปเถอะค่ะ เชื่อหนู”
“ก็ได้”
จุรีเดินไป 2-3 ก้าว แล้วชะงักเหมือนนึกได้ ค่อยๆ หันกลับมา เห็นเสียงหวานยิ้มให้ พลางพยักเพยิดให้
“อะลัดตั๊ดต๊า .คุณ...คุณหนูเผือก”
“ไปดูซิคะ”
จุรีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วค่อยๆ เดินไปที่เตียง เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นอีกด้านของเตียงจุรีจึงร้องอย่างตกใจ
“อะลัดตั๊ดต๊า ว้าย”
“อย่ามองหนูซิคะ มองบนเตียง”
จุรีค่อยๆ ก้มหน้ามองบนเตียงแล้วชะงัก
“เอ๊ะ” จุรีดึงผ้าห่มออก จึงเห็นหมอนข้าง
“เห็นมั้ยล่ะคะ คนน่ะหลอกเก่งกว่าผีอีก”
จุรีเดินกลับออกมาด้วยสีหน้าเจ็บอกเจ็บใจ
“ป้าจะไปลากตัวมันมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ฮึ คุณหนูเผือกเป็นผีก็จริง แต่เธอก็มาดีไม่ได้ตั้งใจจะหลอกป้า นังอ้อยนี่ซิ บังอาจหลอกป้าได้ลงคอ”
จุรีพูดพลางเดินออกไป เตชิตเดินตาม เสียงหวานยิ้มกับตัวเอง
ขณะนั้นอ้อยกำลังเคลิ้มๆ หลับ แล้วสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์
“พี่เตมาแล้ว”
อ้อยรีบลุกขึ้นจัดผมเผ้า ดึงเสื้อให้ไหล่ตกลงมาข้างหนึ่ง...ประตูเปิดออก
“พี่เตขา” อ้อยสะดุ้ง เมื่อจุรีก้าวเข้ามาและไฟสว่างขึ้น “แม่”
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
“แม่มาทำไมที่นี่”
“อะลัดตั๊ดต๊า ยังจะมีหน้ามาถาม งามหน้านักนะ มาหาผู้ชายถึงในบ้าน”
“อ้อยไม่ได้มาเอง พี่เตนัดอ้อย” อ้อยชะงักพูดไม่จบเมื่อเตชิตเดินเข้ามา “พี่เต”
“คุณเตจะนัดแกหาอะไรในเมื่อเขาเป็นคนไปตามฉันมา”
“แปลว่าพี่เตรู้ว่าอ้อยอยู่ที่นี่หรือคะ”
“ใช่”
อ้อยน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ และเจ็บใจสุดๆ
“พี่เตทำแบบนี้กับอ้อยได้ไงอ้อยอุตส่าห์มารอ พี่เตใจร้าย”
“เดี๋ยวก่อนอ้อย ผม”
“ไม่ต้องไปอธิบายอะไรกับมันหรอกค่ะ ป้าจัดการเอง ตามแม่มาเดี๋ยวนี้”
อ้อยเดินตามจุรี แล้วหยุดเมื่อผ่านหน้าเตชิต อ้อยมองเตชิตด้วยสีหน้าพยาบาท
“เสียแรงที่อ้อยหลงรัก จำเอาไว้นะพี่เต”
อ้อยมองเตชิตอย่างอาฆาตแล้วเดินตามจุรีออกไป

อ้อยกลับบ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึงเพราะจุรีบ่นมาตลอดทาง
“แกไม่อายบ้างเหรอไง อุตส่าห์ไปรอผู้ชายเขาถึงที่บ้าน แต่เขากลับมาตามให้แม่ไปรับแก” อ้อยเดินกระแทกเท้าขึ้นข้างบน “อ้อย แม่ยังพูดไม่จบ”
อ้อยหยุด แล้วหันมามองจุรีตาวาว
“ฟังให้ดีนะแม่ อ้อยปฏิญาณไว้แล้วว่า ชีวิตนี้อ้อยต้องหาผัวดีๆ ให้ได้ แล้วผู้ชายดีๆ น่ะมันต้องมือใครยาวสาวได้สาวเอา เพราะเขามีผู้หญิงให้เลือกเยอะ”
“ผู้หญิงดีๆ เขาก็มีผู้ชายให้เลือกเยอะเหมือนกัน ทำไมแกไม่ทำตัวให้ดีมีคุณค่าผู้ชายเขาก็มาหาเองนั่นแหละ ผู้ชายดีๆ มีสิทธิ์เลือก ผู้หญิงดีๆ ก็มีสิทธิ์เลือก”
“แล้วแม่ล่ะ แม่ก็ดี แต่ทำไมไม่มีใครมาเลือก” จุรีอึ้งไป “ผู้หญิงดีๆ ถ้ามัวแต่หมกมัวตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปเสาะหาแสวงหาโอกาส ในที่สุดก็จะทึนทึกแบบแม่นั่นแหละ”
อ้อยเดินขึ้นบ้านไป จุรีรู้สึกตัวจึงตะโกนตาม
“ฉันไม่เอาเองต่างหาก ไม่ใช่ไม่มีใครเอาฉันขอบอก”
ทางด้านเตชิตเมื่ออ้อยกับจุรีกลับไปแล้ว เตชิตมองรอบๆ ห้องแล้วเรียกหาเสียงหวาน
“เสียงหวาน เสียงหวาน” ทุกอย่างเงียบสนิท เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด แล้วเปลี่ยนใหม่ “ปรายดาว ปรายดาว” ร่างเสียงหวานค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น เสียงหวานก้มมองตัวเองด้วยความประหลาดใจ “คุณชื่อปรายดาว”
เตชิตบอก เสียงหวานเงยหน้ามองเตชิต
“รู้ได้ยังไง”
“ก็พอผมเรียก คุณก็ปรากฏตัวขึ้น”
“ฉันไม่รู้ตัว”
“คุ้นกับชื่อปรายดาวหรือเปล่า”
เสียงหวานนิ่งคิด แล้วพึมพำ
“ปรายดาว ชื่อเพราะจัง”
“นั่นแหละชื่อคุณ”
“คุณผิดสัญญา ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่อยากรับรู้” เสียงหวานต่อว่าเตชิต
“ตราบใดที่ไม่ยอมรับรู้ คุณก็ทุกข์ทรมานอย่างนี้ตลอดไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานเท่าไหร่”
 เสียงหวานค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง แสงรอบตัวหม่นลง เช่นเดียวกับใบหน้า เตชิตทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “คุณมีพี่สาวชื่อ ปรกเดือน” เสียงหวานน้ำตาไหลทันทีที่ได้ยินชื่อปรกเดือน “คุณจำได้แล้วใช่ไหม คุณ”
“พอที” เตชิตชะงัก “ฉันไม่อยากได้ยินชื่อนั้น”
“ทำไม”
“ไม่รู้ อย่าซักถามอะไรฉันอีกเลยขอร้อง”
ร่างเสียงหวานเลือนหายไปพร้อมเสียงสะอื้น
เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นบริเวณส่วนภายนอก ในลักษณะเศร้าหมองร้องไห้เช่นเดิม เสียงหวานซวนเซมาทรุดตัวลงอย่างหมดแรงไต้ร่มไม้ใหญ่ ขณะนั้นเตชิตเดินกลับไปกลับมาช้าๆ ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“แปลกจริง ทำไมเสียงหวานถึงได้ดูเสียใจมากนัก เมื่อได้ยินชื่อ ปรกเดือน”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเดนนิสแวะมาหาพอลที่คอนโด พอลเปิดประตูรับเดนนิสเข้ามาแล้วปิดเบาๆ เดนนิสเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง
“ความจริงเสี่ยเรียกผมไปหาที่บ้านก็ได้”
“ฉันมาแล้วก็ช่างเถอะ ... นายคงรู้แล้วว่าวันนี้มีแขกแปลกหน้า ไปหาปรกเดือน”
“ครับ...เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนปรายดาว”
“แล้วนายเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า”
พอลทำเป็นคิดนิดหนึ่ง
“ผมไม่แน่ใจ ปกติผมไม่ค่อยได้เจอเพื่อนของดาวนัก เดือนบอกเสี่ยว่ายังไงล่ะครับ
เดนนิสไม่สนใจประโยคหลัง
“แล้วนายตามไปถามอะไรเขา”
“ก็ถามชื่อเสียงเรียงนามน่ะครับ เขาบอกว่าชื่ออ้อย”
“นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก ฉันสังหรณ์ว่าต้องมีอะไรสักอย่าง”
สีหน้าแววตาพอลบอกความกังวลแว่บหนึ่ง

หลังจากเดนนิสกลับไปแล้วพอลจึงโทรหาปรกเดือน เพราะสงสัยว่าแจ๋วเป็นคนบอกเดนนิสเรื่องศรีตรัง
“คุณคิดว่าเป็นแจ๋วหรือคะ”
ปรกเดือนถามอย่างตกใจ
“แล้วมีคนอื่นนอกจากนั้นหรือเปล่า”
ปรกเดือนนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“ไม่น่าเป็นไปได้ แจ๋วไม่ใช่คนแบบนั้น...”
“แจ๋วเป็นคนของเสี่ยต่อไปนี้คุณต้องระวังตัว”
“แจ๋วอาจจะรายงานเสี่ยตามปกติ”
“ไม่ปกติแน่ ผมโทร.มาเตือนคุณให้ระวังตัว อย่าไว้ใจใครเด็ดขาด”
“คุณกำลังทำให้เดือนกลัว”
“เดนนิสรักคุณ คุณเพียงแต่ทำหน้าที่ของคุณไป...เรื่องอื่นไว้เป็นหน้าที่ของผมแค่นี้แหละ”
พอลปิดโทรศัพท์ ปรกเดือนวางโทรศัพท์แล้วถอนใจยาว...พอลเดินไปที่หน้าต่างนึกถึงศรีตรังอย่างหงุดหงิด
“ผู้หญิงอะไร ชอบสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่อง”
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่เตชิตเตรียมจะออกจากบ้าน เขานึกได้จึงหันกลับมาเรียกเสียงหวาน
“เสียงหวาน เสียงหวาน” เงียบ “ผมจะไปข้างนอก อยากไปด้วยไหม” ทุกอย่างเงียบอีก “ไม่พูดก็ตามใจ”
เตชิตเดินออกไป เสียงหวานปรากฏตัวขึ้นที่หน้าต่างมองเตชิตขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป เสียงหวานเม้มปากหันหลัง เดินกลับมานั่งด้วยสีหน้าเสียงใคร่ครวญครุ่นคิด
เตชิตโทรหาศรีตรังขณะที่จุรีกำลังตั้งโต๊ะอาหารเช้า
“เออ เออ ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เปลือง โอเค”
ศรีตรังวางโทรศัพท์ลง
“เมื่อไหร่คุณหนูถึงจะพูดจาหวานๆ ให้เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ บ้างคะ”
ศรีตรังเงยหน้ามองจุรี แล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ
“หวาน พูดแล้วค่ะ ว๊าน หวาน”
“อะลัดตั๊ดต๊า คุณหนูละก็”
“ไอ้เตโทรมาบอกว่า วันนี้มันขอบายอาหารเช้าค่ะ”
“อ้าว”
“ป้าจุกินเป็นเพื่อนศรีเถอะ”
“งั้นป้าไม่เกรงใจนะคะ” จุรีนั่งลงแล้วมองศรีตรังอย่างตั้งอกตั้งใจ “ก่อนรับประทาน ป้าขอถามอะไรหน่อย”
“ไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมคุณหนูกับคุณเตถึงไม่เป็นแฟนกันให้มันรู้แล้วรู้แร่ดไปล่ะคะ” ศรีตรังถึงกับสำลักข้าว “จริงๆ นะคะ ป้าว่าเหมาะสมกันดีออก”
ศรีตรังยังพูดไม่ออกด้วยอาการสำลักได้แต่โบกมือไปมา

ขณะที่เตชิตขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านพักได้มีมอเตอร์ไซค์อีกคันขี่ตามมา เตชิตไม่ได้สังเกตจนกระทั่งมอเตอร์ไซค์คันนั้นเริ่มเร่งเครื่อง เตชิตเริ่มเอะใจมองดูจากกระจกจึงเห็นคนซ้อนล้วงมือเข้าไปในเสื้อแจ๊กเก็ตแล้วหยิบวัตถุอย่างหนึ่งออกมา

เตชิตตกใจรีบเร่งเครื่องหนี้ทันทีเมื่อเห็นวัตถุนั้นเป็นปืนที่กำลังเล็งมายังเขา มอเตอร์ไซค์คนร้ายเร่งเครื่องตาม เจียงซึ่งเป็นคนซ้อยและสวมหมวกกันน็อคปิดบังใบหน้าลั่นกระสุนยิงใส่เตชิตทั้นที เตชิตขับรถหนีจนรถเสียหลักแฉลบลงข้างทาง แล้วตัวเองกลิ้งไป รถคันนั้นแล่นผ่านเลยไปราวกับมั่นใจว่ากระสุนถูกเป้าหมายแน่
ศรีตรังตกใจมากเมื่อรู้ว่าเตชิตถูกดยิงรีบมาที่โรงพยาบาลทันที ขณะนั้นเตชิตนอนอยู่บนเตียงบริเวณไหล่ขวามีผ้าพันแผลจากการที่ถูกลูกปืนเฉียดไป และลำตัวมีบาดแผลจากการตกจากมอเตอร์ไซค์กระแทกพื้น ประตูห้องเปิดออก ศรีตรังและสมเดินย่องเรียงกันเข้ามา เตชิตซึ่งหลับอยู่ลืมตาขึ้นมอง
“ด้วยความเคารพ ดูแล้วอาการดีกว่าที่คิดนะครับ”
สมบอกอย่างโล่งใจ
“ลุงสมคิดว่าผมตายหรือครับ”
“ก็ ประมาณนั้นแหละครับ ด้วยความเคารพ”
“แกเห็นหน้าไอ้คนที่ยิงแกหรือเปล่า”
“ถามโง่ๆ ใครมันจะยอมให้เห็นวะป้ายทะเบียนรถมันยังไม่ติดเลย”
“เห็นหมอบอกว่า กระสุนถากไป”
“ฉันหลบเก่ง”
“ฉันว่ามันยิงไม่แม่นมากกว่า”
สมรีบพูดแทรกเมื่อเห็นว่ากำลังจะเกิดศึก
“ด้วยความเคารพ” ศรีตรังและเตชิตมองสมเป็นตาเดียว “คุณเตต้องนอนโรงพยาบาลกี่วันครับ”
“ที่จริงก็กลับวันนี้ได้ แต่ผมอยากจะอยู่ไปก่อน เพื่อให้พวกมันเข้าใจว่าผมอาการหนัก”
“ยังกับผู้ร้ายมันโง่นักนี่ ดีไม่ดีมันฉลาดกว่าพระเอกด้วยซ้ำ”
“แกจะมาเยี่ยมหรือมาชวนทะเลาะ ไอ้ศรี”
“สองอย่าง”
“งั้นก็กลับไปได้แล้ว”
“ทีนี้พูดเป็นงานเป็นการละนะ แกสงสัยใคร”
“ไอ้เดนนิส เจนจิราคงรายงานเรื่องที่ฉันเอารูปเสียงหวานให้ดู”
“แกกำลังสงสัยว่า”
“เดนนิสอาจจะฆ่าเสียงหวาน”
เตชิตบอกด้วยสีหน้าค่อนข้างมั่นใจ
ระหว่างนั้นเจียงและลูกน้องอยู่ที่โรงพยาบาลขณะโทรรายงานเดนนิส
“ตายหรือเปล่า”
“ยังไม่ทราบครับ แต่ที่แน่ๆ คงอาการหนัก”
“ฉันต้องการให้มันตาย ไม่ใช่อาการหนัก เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ”
“ก็ไปจัดการซิ”
“ครับผม”
“เฮียโดนเสี่ยด่าหรือครับ” ลูกน้องถาม
“เออ เขาฝากด่าแกด้วย”
ขณะนั้นศรีตรังและสมก้าวเข้าไปในลิฟท์ตัวหนึ่ง เจียงและลูกน้องก้าวออกมาจากลิฟท์อีกตัวพร้อมกับคนอื่นๆ เจียงและลูกน้องเดินผ่านเคาน์เตอร์ซึ่งมีพยาบาลประจำอยู่จะเลยเข้าไปที่ห้องพักผู้ป่วย
“เดี๋ยวค่ะ คุณ” เจียงและลูกน้องหันมามอง “มาเยี่ยมใครหรือคะ”
“อ๋อ ผู้กองเตชิตครับ คือพวกผมเป็นลูกน้องของท่าน”
“วอร์ดนี้ไม่มีคนไข้ชื่อผู้กองเตชิตค่ะ” เจียงหันไปสบตากับลูกน้องแว่บหนึ่งแบบงงๆ พยาบาลกดคอมฯ ดูเพื่อความแน่ใจ “ไม่มีจริงๆ ด้วย”
“แต่ผมเห็นแอมบูแล้น พามาที่โรงพยาบาลนี้”
“แต่ไม่ใช่วอร์ดนี้แน่คะ”
“ขอเข้าไปตรวจดูตามห้องได้มั้ย”
“เสียใจค่ะ ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ผู้ป่วยต้องการความสงบ”
เจียงสบตากับลูกน้องอีกครั้งอย่างลังเล
เจียงโทรบอกเดนนิส เดนนิสถึงกับหงุดหงิด

“มันอาจจะใช้ชื่อปลอม”
“นั่นไง เสี่ยคิดเหมือนผม เอ๊ย ผมคิดเหมือนเสี่ยเลย”
“ฉันคงไม่ต้องคิดอย่างนี้ ถ้าแกไม่เฟอะฟะ ไม่สะเพร่าและไม่โง่” เจียงทำหน้าเจื่อนๆ จ๋อยๆ ราวกับเดนนิสมาชี้หน้าด่าอยู่ตรงหน้า “นี่ถ้าให้พอลไปจัดการตั้งแต่แรกก็เรียบร้อยไปแล้ว”
“ถ้าผู้กองเตชิตมันยังไม่ถึงฆาต คุณพอลก็อาจทำไม่สำเร็จเหมือนกันครับ”
“เถียงเหรอ อย่างน้อยพอลมันก็ไม่โง่เหมือนแก”
เดนนิสกระแทกโทรศัพท์ลงอย่างโมโห เจียงสะดุ้งเฮือกแล้วยกมือลูบหู
เตชิตรับรู้เรื่องที่เจียงกับลูกน้องมาตามหาเขาที่โรงพยาบาลจึงโทรบอกศรีตรัง
“ฉันว่าแกกลับมาพักที่ไร่จะปลอดภัยกว่า แล้วก็ไม่รบกวนผู้คนที่โรงพยาบาลด้วย เออ งั้นตอนเย็นๆ ฉันจะให้ลุงสมไปรับ” ศรีตรังปิดโทรศัพท์แล้วหันมาทางสมซึ่งขับรออยู่ “จริงอย่างที่เราคาดเลยค่ะ พวกนั้นตามไอ้เตไปถึงโรงพยาบาลดีที่เราเตี๊ยมกับเขาไว้ก่อน”
“งั้นเราย้อนกลับไปรับคุณเตเลยไม่ดีกว่าหรือครับ ด้วยความเคารพ”
“ไม่ดีแน่นอนค่ะ เพราะพวกมันอาจจะยังคอยเฝ้าจับตาดูอยู่ ไปรับตอนเย็น เตชิตจะได้มีเวลาคิดแผนออกจากโรงพยาบาลได้โดยปลอดภัย”
สมพยักหน้ารับ
จุรีรอฟังข่าวเตชิตอยู่บ้านศรีตรัง เมื่อศรีตรังกลับมาจุรีจึงรีบถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณเตเป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ตายค่ะ กระสุนแค่ถากไป แล้วก็ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อย”
“ค่อยยังชั่ว” จุรีถอนใจอย่างโล่งอก
“ป้าจุไปเป็นเพื่อนศรีหน่อยซีคะ”
“ไปไหนคะ”
จุรีทำหน้าแปลกใจ
จบตอนที่ 7
 

อ่านต่อ ตอนที่ 8



กำลังโหลดความคิดเห็น