xs
xsm
sm
md
lg

อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 11 

ไม่นานหลังจากนั้น รถพยาบาลแล่นมาจอดที่บริเวณจอดรับผู้ป่วยของโรงพยาบาล ประตูเปิดออกบุรุษพยาบาลก้าวลงมาอย่างเร่งร้อน แล้วช่วยกันกับพยาบาลที่คอยรับยกเตียงที่มีธานีนอนหมดสติลงมา แล้วเข็นเข้าไปข้างในโดยแนนนี่ซึ่งนั่งมาด้วยรีบตามลงไป

จักรวาลขับรถตามมาจอดในเวลาไล่เลี่ยกัน ปัทมนหน้าตเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก้าวลงมา ติดตามด้วย ภวัต ดารกาและรัดเกล้า
“เดี๋ยวพ่อไปจอดรถก่อน”
“ครับ”
ภวัตพาดารกาและรัดเกล้า ตามปัทมนซึ่งวิ่งตามบุรุษพยาบาลเข้าไป

ทาฮิร่าที่มาซื้อนิวาสถานอยู่ในละแวกบ้านปัทมนนั่นเอง เวลานี้ชิกเก้นกำลังรายงานผลการตรวจสอบการตกบันไดให้ทาฮิร่าฟัง ด้วยหน้าตาขึงขังและจริงจัง
“เท่าที่ชิกเก้นไปแอบตรวจดูบริเวณ........” ชิกเก้นเริ่มเล่าใช้ศัพท์เฉพาะ
“แปลด้วย” ทาฮิร่างงภาษาที่ชิกเก้นใช้
“แปลว่า สถานที่เกิดเหตุ ...ลืมเลยว่าพูดถึงไหน เวรก๊ำ เวรกรรม”
“ถึงแกไปแอบดู...” ทาฮิร่าพูดยังไม่ทันจบ ชิกเก้นพูดสวนขึ้นมาก่อน
“อ้อ! เท่าที่ชิกเก้นแอบไปตรวจดู...ไม่มีทางที่คุณพี่ธานีจะซุ่มซ่ามตกลงมาเองได้” ชิกเก้นตั้งข้อสังเกต
“แกหมายความว่า งานนี้มีคนร้าย” ทาฮิร่าตื่นเต้น
“ใช่ แต่คุณพี่ธานียังไม่ถึงฆาต...ถึงกระนั้นก็ยังบาดเจ็บสาหัส”
“แล้วแกคิดว่าใครคือคนผลักพี่ธานี”
“เฮ้อ! เดาไม่ถูกหรอก บ้านนั้นมีคุณแม่ปัทมน ซึ่งไม่มีทางจะทำร้ายลูกแน่ๆ น้าผาดกับพี่พรก็มีนิวาสสถานอยู่ข้างล่าง จะขึ้นไปทำความสะอาดข้างบนก็ต่อเมื่อเจ้านายออกไปกันหมดแล้ว น้องดาก็แสนสวยและแสนดี ส่วนน้องแนนนี่ก็ไม่น่า...แต่ก็ฮื้อ....” ชิกเก้นบรรยาย พร้อมแสดงทัศนะประกอบราวกับผู้พิพากษา
“แกสงสัยแนนนี่” ทาฮิร่าร้องขึ้น
“เปล่า...า...เฮ้อ คุณยายก็ลองไตร่ตรองดูเถอะ” ชิกเก้นลากเสียงยาว
“หรือว่าจะเป็นบาบาร่า”
“แล้วนางจะทำร้ายพี่ธานีทำไม”
ทาฮิร่านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉันจะไปดูเอง”
ว่าพลางทาฮิร่ายกมือทั้งสองขึ้น แล้วว่าคาถาหายตัวขณะหมุนตัว
“ฮัม...ฮัม...อิสวารัม ปรำปรา”
แต่ทว่าเป็นร่างชิกเก้นที่หายแว้บไปแทน!! ทาฮิร่าลืมตาขึ้น ออกอาการงงๆ
“อ้าว! ทำไมยังไม่ไป แล้วไอ้ตัวชิกเก้นหายไปไหน” คุณยายหลานสามพึมพำ

ด้านชิกเก้น โผล่ไปเดินไปเดินมาอยู่ที่ห้องแนนนี่เรียบร้อย
“เอาอีกแล้ว...คุณย้าย..ย! เวรก๊ำ....เวรกรรม”
ชิกเก้นพูดยังไม่ทันขาดคำ ทาฮิร่าก็ปรากฏตัวขึ้นในลักษณะหัวคะมำ
“โอ๊ย” ร่างทาฮิร่าซวนเซ ลงมานั่ง
“ชิกเก้นขอแนะนำให้คุณยายทบทวนคาถาใหม่ทุกคืน” ชิกเก้นแขวะให้
ทาฮิร่าเงยหน้าขึ้นเห็นแอปเปิ้ลพอดี
“เอ๊ะ นั่นแอปเปิ้ลอะไร ...หรือว่า”
“แอปเปิ้ลของบาบาร่า” ทาฮิร่ากับชิกเก้นร้องขึ้นพร้อมๆ กัน
“ใช่อย่างมิมีข้อสงสัย”
ทาฮิร่าว่าพลางยกมือขึ้นร่ายคาถา ภาพแอปเปิ้ลกลับกลายเป็นงูเลื้อยหนีออกไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“เร็ว! ชิกเก้นตามไป”
ชิกเก้นกระโดดแผล็วตามออกไปทันที
งูตัวนั้นเลื้อยหนีขึ้นไปบนหลังคา ชิกเก้นกระโดดเข้าตะปบอย่างทันทีทันใด
“จะไปไหน”
สัตว์สองตัวสู้กันอย่างดุเดือดและน่าตื่นเต้น ในที่สุดชิกเก้นก็จับงูฟาดจนตาย แล้วกลายเป็นควันหายไป
“เก่งจริงๆ เลย เราเนี่ย”

ชิกเก้นยกเท้าหน้าสองข้างขึ้นปัดกันไปมา มาดและลีลาราวกับพระเอกนักบู๊

เช้าวันต่อมา ปัทมน แนนนี่ และดารกา นั่งอยู่พร้อมหน้าที่ข้างเตียงธานีในโรงพยาบาล ซึ่งเวลานั้นธานีได้สติแล้ว

“วันนี้แนนนี่มีเรียนคาบเดียว แนนนี่จะโดดมาเฝ้าพี่ธานีนะคะ” แนนนี่พูดน้ำเสียงอ้อนๆ
“หาเรื่องโดดเรียนอีกแล้วเรา” ปัทมนส่ายหน้าอย่างเอ็นดู
ธานีพลอยยิ้ม แต่สีหน้ายังดูระโหยโรยแรงอยู่มาก
“เปล่าซักหน่อย...แนนนี่จริงใจนะคะ”
“น้องดาเสียดายที่เพิ่งอยู่ปี 1....นี่ถ้าจบแล้ว น้องดาคงได้ดูแลพี่ธานี” ดารกาว่า
“นางเอ๊ก...ก นางเอก” แนนนี่ประชดหน้าตาย
“ไม่เอาจ้ะ ไม่ประชดพี่เขา” ปัทมนปราม
จังหวะนั้นมีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น แล้วไชย กับภวัตก็เดินเข้ามาโดยมีบุษเกาะแขนภวัต อีกมือถือแจกันดอกไม้เข้ามา บุษบาส่งเสียงมาก่อนตัว
“อุ๊ยต๊ายตาย ยังกับมัมมี่แน่ะคะ คุณธานี
แนนนี่ทำหน้าเบ้ปากออกมาอย่างเปิดเผย
“หน้าผมยังไม่มีผ้าพันสักหน่อย”
“หน้าตาดีขึ้นแล้วนี่” ภวัตว่า
“อีกนานไหมคะ กว่าจะหายดี” ปัทมนหันไปทางไชย
“ก็ต้องใช้เวลาหน่อยครับ ....แต่คุณธานีฟื้นตัวเร็ว”
“พี่ไชยขา ....ภวัตขา” บุษบาเอ่ยขึ้น
“รวมกันเป็น 4 ขา” แนนนี่สวนขัดขึ้นทันควัน

ปัทมนกับภวัตและธานีมองแนนนี่อย่างตำหนิ
“เหลวไหลใหญ่แล้ว แนนนี่” ปัทมนดุ
“ไม่ถูกหรือคะ คุณแม่ คุณหมอไชยมี 2 ขา คุณหมอภวัตก็มี 2 ขารวมกัน 2 คนเป็น 4 ขา” แนนนี่ยังไม่ยอม
“ไปเรียนได้แล้ว แนนนี่” ธานีบอก
“น้องดาก็จะไปเรียนเหมือนกัน ...ไปจ้ะ แนนนี่”
“ไปยังไงกันครับ” ไชยถาม
“ปีเตอร์มารับแนนนี่ค่ะ” แนนนี่บอก
“แล้วน้องดา”
“ของพี่ดาคนรถที่ ออฟฟิศคุณแม่ไปส่งค่ะ บ๊าย ...บายพี่ธานีเย็นๆ ปีเตอร์จะมาเยี่ยมด้วย”
แนนนี่พูดจบ สองสาวเดินออกไป ในขณะที่ภวัตมีสีหน้าขรึมลง ตั้งแต่ได้ยินชื่อ ปีเตอร์ครั้งแรก

สองสาว เดินตรงไปที่ลิฟท์ พลางคุยกัน
“ขอบใจมากนะจ้ะ แนนนี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ แนนนี่ไม่ชอบอีตาหมอไชย เห็นพี่ดาละก็ทำตาเล็กตาน้อย คลื่นไส้”
“ไปว่าเค้า” ดารกายิ้มอ่อนโยน
แนนนี่หยุดเดิน แกล้งทำตาโต “อ้าว หรือพี่ดาอยากให้หมอไชยไปส่ง”

“บ้า! เปล่าซักหน่อย” ดารกาตีแขนแนนนี่เบาๆ
สองคนหัวเราะ แล้วเดินต่อ

“ผมจะดูแลคุณธานีอย่างดีที่สุด คุณแม่ไม่ต้องห่วง” ไชยพูดให้คำมั่นกับปัทมน
ภวัต ธานี ปัทมน ทำหน้าอธิบายยากที่จู่ๆ ไชยก็เรียกปัทมนว่าแม่ ขณะที่บุษบาหัวเราะคิกคัก
“อะไรคะพี่ไชย....ยังไม่ทันไรเรียกคุณแม่แล้ว คุณอาปัทก็แก่กว่าพี่ไม่เท่าไหร่” บุษบาหันมาอธิบาย “พี่ไชยแก่กว่าบุษหลายปี คือ บุษเป็นลูกหลงไงคะ”
ธานีหลับตาลงเหมือนอยากจะพักผ่อน ภวัตหันไปเห็น
“ออกไปข้างนอกเถอะครับ คนไข้จะได้พักผ่อน”
“บ่ายนี้อามีประชุมแทนธานี ภวัตช่วยหาพยาบาลพิเศษให้หน่อยได้ไหม” ปัทมนพูดกับภวัต
ภวัตอ้าปากจะพูด แต่ไชยชิงพูดขึ้นก่อน
“ได้แน่นอนครับ คุณแม่...เอ้อ...” ไชยรู้สึกตัวออกอาการเก้อเขินเล็กๆ “...ผมต้องขออนุญาตเรียกคุณแม่ เพราะผมนับถือคุณแม่จริงๆ ครับ”
ปัทมนยิ้มแห้งๆ “ขอบคุณมากค่ะ” ปัทมนแตะแขนธานีแผ่วเบา “ธานี ...แม่ไปก่อนนะลูก...เย็นๆ จะมาใหม่...”
ธานีลืมตาขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยนรับคำผู้เป็นแม่ “ครับ”
“อยากได้อะไรอีกไหม”
ธานีส่ายหน้านิดๆ แล้วหลับตาลง ปัทมนก้มลงจูบหน้าผากลูกอย่างอ่อนโยน
“หายเร็วๆ นะลูกรัก”
ปัทมนเดินออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ

ทั้งหมดก้าวออกมา ภวัตเดินรั้งท้ายแล้วปิดประตู ไชยยังพยายามเอาอกเอาใจปัทมนเต็มที่
“เอ๊ะ ... แล้วคุณแม่จะกลับยังไงครับ ในเมื่อน้องดาเอารถไปแล้ว”
ปัทมนอึดอัดเล็กๆ “อ๋อ ...ก็กลับได้ค่ะ”
“นั่นซีครับ...กลับยังไง” ไชยถามพยายามเอาใจ
“แท็กซี่น่ะคะ” ปัทมนบอก
“อุ๊ยตายแล้ว....มันไม่สมเกียรติคุณอาเลยนะคะ” บุษบาว่า
“ผมจะให้คนรถผมไปส่ง” ไชยอาสาอีก
“อย่าลำบากเลยค่ะ” ปัทมนตัดบท
“เดี๋ยวผมไปส่งอาปัทเอง” ภวัตตัดสินใจแก้ปัญหาให้ปัทมนทันที
“ถ้าภวัตไป บุษก็ต้องไปด้วย” บุษบาทำท่าขึงขัง
ปัทมนพูดขึ้นด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง แล้วยก 2 มือขึ้นประมาณห้าม
“...เอาละค่ะ อาไปเองดีกว่า”
ไชยอ้าปากจะพูด ปัทมนรีบชิงพูดก่อน
“ได้โปรด...ขอร้องละค่ะ แค่ฝากธานีไว้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว...ไปละนะคะ”
ปัทรีบเดินไปจากที่นั้นทันที

ทางด้านรัดเกล้าแม้พยายามจะจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า แต่ก็ไม่มีสมาธิสักที ด้วยความเป็นห่วงกังวลเรื่องธานี
ในที่สุดหลังจากจดๆ จ้องๆ อยู่ครู่หนึ่ง รัดเกล้าปิดคอมพ์ฯแล้วลุกขึ้นยืนแล้วถอนใจเฮือก พอดีกับที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รัดเกล้ารับมือไม้สั่น ด้วยเกรงว่าจะเป็นข่าวร้าย
“แนนนี่ พี่ธานีเป็นยังไงบ้าง”
แนนนี่ยักคิ้วกับปีเตอร์
“แหม ...นึกว่าไม่เป็นห่วงเสียอีก...พี่ธานีรู้สึกตัวแล้วค่ะ แต่คงน้อยใจที่พี่เกล้าไม่ไปเยี่ยม เลยหลับอีก”
ปีเตอร์มองแนนนี่อย่างเอ็นดูแว่บหนึ่ง
“เมื่อคืนพี่ก็ไปอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งนาน” รัดเกล้าหัวเราะกลบเกลื่อน
“ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกตัวนี่คะ เนี่ย...ถ้าไม่มีคนเยี่ยมเยอะแยะในห้องพี่ธานีต้องบอกให้แนนนี่โทร.ตามพี่เกล้าให้มาเยี่ยมแล้ว”
รัดเกล้าทำเป็นไม่ค่อยสนใจ ยกเรื่องงานมาอ้าง
“ไม่รู้ซิ พี่ยังออกแบบบ้านคุณศราไม่เสร็จเลย”
“โถ...น่าสงสารพี่ธานี...แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ...ปล่อยให้นอนโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างนั้นน่ะดีแล้ว แค่นี้นะคะ แนนนี่เกือบถึงมหา’ลัยแล้ว” เก็บมือถือหันมาทางปีเตอร์ “ทายซิว่า พี่เกล้าจะไปเยี่ยมพี่ธานีมั้ย”
“ห้าสิบห้าสิบ” ปีเตอร์ว่า
“แปดสิบยี่สิบต่างหาก” แนนนี่พูดอย่างมั่นใจ
“ถ้าผมเป็นอย่างที่พี่ธานี แนนนี่จะรีบมาเยี่ยมไหม” ปีเตอร์พูดเสียงอ่อย
“โห...แนนนี่จะรีบมานอนเฝ้าไข้เลยละ”
ปีเตอร์ยิ้มนิดๆ นัยน์ตาเป็นประกายอย่างพอใจ

เวลาผ่านไปธานีนอนหลับ โดยมีพยาบาลพิเศษเฝ้าอยู่ ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูเบาๆ พยาบาลหันมามอง ในขณะที่ธานียังคงหลับ รัดเกล้าเดินเข้ามาพร้อมช่อดอกไม้
“หลับไปสักพักใหญ่ๆ แล้วค่ะ” พยาบาลยิ้มบางๆ ให้รัดเกล้า ขณะลุกขึ้น
รัดเกล้ายิ้มตอบ พยักหน้ารับ แล้วเดินไปวางดอกไม้เยี่ยมไข้
“เกล้า” เสียงธานีเรียกขึ้น
รัดเกล้าหันกลับไป ธานีลืมตามองตรงมา ถึงแม้จะยังดูอ่อนระโหย แต่ก็มีประกายยินดีอย่างเห็นได้ชัด
พยาบาลเดินเลี่ยงออกไปเงียบๆ รัดเกล้าเดินมาข้างเตียง ถามอย่างห่วงใย
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“หายโกรธพี่หรือยัง” ธานีไม่ตอบ กลับถามเรื่องชกต่อยกับภวัตแทน
“ช่างมันเถอะค่ะ จะว่าไปเราก็ผิดใกล้เคียงกัน เพราะไม่ได้สืบสาวราวเรื่องให้ดี ว่าแต่พี่เถอะ เดินยังไงถึงได้ตกบันไดลงมาได้” รัดเกล้าถามต่อ
ธานีนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ไม่รู้ซิ พี่รู้สึกเหมือนมีใครมาผลัก แต่ก็เป็นไปไม่ได้”
“ก้าวพลาดเองหรือเปล่า” รัดเกล้าออกความเห็น
“ไม่ใช่แน่นอน เมื่อเช้าน้องดากับแนนนี่ก็บอกว่า ตอนได้ยินเสียงพี่ร้องออกมาก็ไม่เห็นมีใคร ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะข้างบนก็มีแค่พี่...น้องดา แล้วก็แนนนี่เท่านั้น” ธานีอธิบาย
“เอ้อ...พี่ธานีคิดว่าเป็น...เป็นผีหรือคะ” พอพูดถึงคำว่า “ผี” รัดเกล้าลดเสียงเบาอย่างหวาดๆ
“ฮื้อ ผีมีที่ไหน คุณพ่อเกล้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ เกล้าก็ไม่น่าจะเชื่อเรื่องนี้”
“ผีหรือวิญญาณ เป็นพลังงานอย่างนึง” รัดเกล้าเถียง แถไปจนได้
“พี่ไม่เชื่อ เพราะไม่เคยเห็น” ธานีส่ายหน้า
“แล้วพี่จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง”
ธานีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่รู้ซิ พี่อาจจะก้าวพลาดเองก็ได้”
“ก็ไหนพี่บอกว่ารู้สึกเหมือนมีคนผลัก” รัดเกล้าแย้ง
“ก็บอกแล้วว่า พี่อาจก้าวพลาดเอง” ธานีชักหงุดหงิดที่ถูกซักไม่เลิก
“พี่พูดกลับไปกลับมา” รัดเกล้าก็เลยหงุดหงิดเช่นกัน
“เกล้า เราเลิกพูดเรื่องบ้าๆ นี่เสียทีได้ไหม”
“ไม่ได้ พี่ธานีบอกเองว่า คุณพ่อเกล้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์เมื่อมีข้อสงสัย...และตอนนี้เกล้าก็กำลังสงสัยมาก”
รัดเกล้าไม่ยอมท่าเดียว ทั้งคู่เลยทะเลาะกันอีกจนได้
“จะพิสูจน์ยังไง จุดธูปเชิญผีมาเรอะ หรือว่าจะถามหมอผี นั่งทางใน”
“เอ๊ะ เกล้าอุตส่าห์มาเยี่ยม แต่พี่ธานีกลับชวนทะเลาะ”
“พี่เปล่า เกล้าต่างหากที่หาเรื่อง”
รัดเกล้าฉุนกึก ผุดลุกขึ้นทันทีแล้วโวยใส่ “หาเรื่อง พี่หาว่าเกล้าหาเรื่อง”
“เกล้า เราจะคุยกันดีๆ โดยไม่ทะเลาะกันสักครั้งได้ไหม” ธานีพยายามใจเย็น
“ไม่ได้ ตราบใดที่พี่ธานีไม่มีเหตุผล”
ธานีโวยวายและลุกขึ้นด้วยความลืมตัว แต่แล้วก็ร้องลั่นนอนลงไปใหม่ เพราะปวดแผล
“พี่เนี่ยนะไม่มีเหตุผล โอ๊ย!”
“ดี! สมน้ำหน้า”
รัดเกล้าไม่ช่วยแล้วยังสะบัดบ๊อบใส่เดินอาดๆ ออกไปอย่างโกรธจัด
“เกล้า เกล้า”
ธานีโวยลั่นตามหลังไป ด้วยความหงุดหงิดสุดๆ

รัดเกล้าเดินก้าวพรวดๆ หน้าตาบึ้งตึงจะไปที่ลิฟท์ ขณะผ่านเคาน์เตอร์ ภวัตกำลังยืนดู ชาร์ทคนไข้ โดยมีบุษบายืนอยู่ด้วยแล้วหันมาเห็น บุษบาทำท่าตื่นเต้น
“คุณเกล้าขา...คุณเกล้า ภวัตขา...น้องสาวคุณมา”
รัดเกล้าหยุด แล้วหันมามอง ภวัตมองตามบุษบา
“มาเยี่ยมคุณธานีหรือคะ”
“เรียกว่ามาทะเลาะกันดีกว่าค่ะ” รัดเกล้ายังหงุดหงิดไม่หาย
“ว้าย ตายแล้ว”
รัดเกล้าหงุดหงิดต่อ เลยพาดงวงฟาดงาไปทั่ว
“ยังไม่ตายหรอกค่ะ แล้วคุณบุษล่ะคะ ทำไมมาเดินตามพี่ภวัตแทนที่จะไปทำงาน”
“ยัยเกล้า” ภวัตดุน้องสาว
“พี่ชายบุษเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ บุษจะทำยังไงก็ได้ค่ะ” บุษบาว่า
“แต่มันทำให้พี่ชายของเกล้าเสียบุคลิก ...พี่ภวัตเป็นคนขี้เกรงใจเกล้าเลยขอพูดเอง!...ไปล่ะค่ะ”
รัดเกล้าเดินเชิดออกไป บุษบาถึงกับยกมือทาบอก
“ตกใจนะคะเนี่ย แต่พอดีเป็นน้องภวัต บุษเลยไม่ถือ...ไปคะ” ขนาดเพิ่งโดนรัดเกล้ากัด บุษบายังไม่รู้ตัว
“ไปไหนครับ”
“ก็ภวัตจะไปเยี่ยมคนไข้ไม่ใช่หรือคะ”
“ครับ แต่คุณบุษไปด้วยไม่ได้”
“แล้วทำไมพยาบาลไปได้คะ” บุษบาเถียงข้างๆ คูๆ
“ก็เพราะเป็นหน้าที่ของเขา...คุณเองก็ทราบ”
บุษบาทำหน้างง “รู้งี้บุษเรียนพยาบาลดีกว่า” แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้ม “ภวัตไปเถอะค่ะ...บุษจะคอยไปทานข้าวด้วยกัน”
ภวัตทำท่าจะพูดอีกแต่เห็นว่าจะยืดเยื้อเกินไป จึงเดินถือชาร์ทไป พยาบาลเดินตามบุษบามองตามอย่างชื่นชม

ธานีนอนดูทีวีอยู่ในห้องพักผู้ป่วย โดยมีพยาบาลพิเศาเฝ้าไข้อยู่
ครู่ต่อมาก็มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง แล้วบุษบาเดินเข้ามา พยาบาลยิ้มบางๆ เช่นเดิมแล้วเดินออกไป ขณะที่ธานีขยับตัว
“เมื่อกี้คุณเกล้ามาเยี่ยมหรือคะ” บุษบาถามขึ้น
“ครับ”
บุษมองโดยรอบขณะนึกว่าจะพูดอย่างไรดี ขณะที่ธานีมองท่าทางนั้นเงียบๆ
“คุณธานีต้องการอะไรอีกก็บอกได้นะคะ”
“ขอบคุณมากครับ นี่ก็ดีมากอยู่แล้ว”
“บุษบอกพี่ไชยแล้วว่า จะลดราคาให้คุณเป็นกรณีพิเศษ”
“ขอบคุณมาก แต่ผมไม่อยากรบกวน”
“อุ๊ย ไม่รบกวนเลยค่ะ บุษยินดีและเต็มใจบริการเต็มที่...เพราะคุณเป็นเพื่อนสนิทของแฟนบุษ”
ธานีทำหน้างงๆ บุษหัวเราะคิกคักที่เห็นธานีอึ้งพอเธอพูดคำว่าแฟนออกไป
“ก็หมอภวัตไงคะ แหม! ไม่น่าจะงงเลย” บุษบาพูดต่อ
ธานียิ้มแห้งๆ ให้
“เอ้อ...น้องสาวของคุณ...นังเอ๊ย น้องดากับแนนนี่น่ะคะ... บุษเข้าใจว่า แกปลื้มหมอภวัตแบบเด็กๆ หลงรักดาราแต่ก็อยากให้คุณช่วยเตือนๆ แกไว้บ้าง เพราะบุษไม่อยากให้แกผิดหวังเสียใจจนเสียผู้เสียคน”
“อ๋อ! น้องสาวผมไม่บ้าผู้ชายถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ธานีประชดอยู่ในที
บุษบาหน้าเสียไปนิดหนึ่ง
“เรื่องนี้ คุณบุษบาน่าจะพูดกับ “แฟน” ของคุณเอง” ธานีเน้นเสียงตรงคำว่าแฟน
บุษบาทำทีเป็นทอดถอนใจ
“บุษพูดแล้วค่ะ...แต่หมอภวัตน่ะใจอ่อน”
“งั้นภวัตก็ทำไม่ถูกที่จะปล่อยให้น้องสาวผมเข้าใจผิด ผมจะพูดกับภวัตเอง”
บุษบาตกใจกลัวความลับแตก
“อุ๊ย ไม่ต้องค่ะ...ไม่ต้อง บุษพูดแล้ว ไม่อยากให้ภวัตต้องรำคาญใจอีก...คุณธานีสัญญานะคะว่าจะไม่เล่าให้ภวัตฟัง...สัญญานะคะ”
ธานีทำเป็นหลับตาลง ขณะที่บุษบาดูออกว่ายุ่งยากใจ

สองนายบ่าว บาบาร่ากับไทเกอร์กำลังหารือกันเรื่องแนนนี่อยู่ภายในห้องของบาบาร่า โดยยกเหตุการณ์ที่ธานีตกบันไดมาเป็นประเด็น
“ต้องเป็นอสูรแนนนี่แน่ๆ... เห็นหรือยังว่าอสูรตนนี้มันร้ายนัก”
“ทำไมจะไม่เห็น ขนาดงูพิษของคุณยายยังทำอะไรไม่ได้เลย”
“แกแน่ใจหรือว่า แนนนี่กินแอปเปิ้ลพิษไปแล้ว”
“ตอนที่ไปดู ก็ไม่เห็นแล้วนี่”
“อสูร...อสูรร้ายมันมีอิทธิฤทธิ์กล้าแข็งขึ้นทุกวัน..” บาบาร่าเว้นนิดหนึ่ง “..ฉันต้องไปบุกหาทาฮิร่าไม่ว่าหล่อนเต็มใจเผชิญหน้ากับฉันหรือไม่ก็ตาม”
บาบาร่ายกสองมือขึ้นแล้วเชิดหน้าร่ายคาถา ร่างบาบาร่าหายไปท่ามกลางกลุ่มควัน

บาบาร่าปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันกลางห้องในบ้านทาฮิร่าที่เมืองมนุษย์ หลังควันจางลงบาบาร่าเดินกรีดกรายกวาดสายตามองไปโดยรอบ ซึ่งทั้งห้องว่างเปล่า ไทเกอร์กระโดดแผล็วเข้ามาทางหน้าต่าง
“โห จะว่างเปล่าอะไรขนาดนี้”
บาบาร่าเปิดตู้เสื้อผ้าดู “ในนี้ก็ไม่มีเสื้อผ้า”
“ลองไปดูข้างล่างมั้ย อาจจะเจออะไรบ้าง” ไทเกอร์ออกไอดีย
บาบาร่าเดินไปที่ประตู แล้วชนโครม ไทเกอร์ทำคอย่นอย่างระอา
“โอ๊ย” บาบาร่ารีบกุมหัว
“เฮ้อ บอกให้ใส่แว่นก็ไม่เอา จะได้มองเห็นชัด”
ขาดคำไทเกอร์ เพียงแค่บาบาร่ายื่นมือออกไป ก็ปรากฏแว่นขึ้นในมือ
บาบาร่าสวมแว่นแล้วเปิดประตูเดินออกไป ไทเกอร์กระโดดตาม

บาบาร่าและไทเกอร์เดินลงมา แล้วกวาดสายตามองไปโดยรอบ สองนายบ่าวเห็นทั่วทั้งบ้านว่างเปล่า
“ไม่แปลก ทาฮิร่าพยายามหลบหน้าเรา ฉันรู้แล้ว” บาบาร่าเชิดหน้าหรี่ตาเจ้าเล่ห์
“หือ...”
“ทาฮิร่าต้องมาแอบมาสืบเรื่องอสูรโดยไม่บอกเรา หล่อนต้องการจับอสูรเพื่อจะเอาหน้าเสียคนเดียวร้ายนัก ทาฮิร่า” บาบาร่าคิดไปอีกอย่าง
“เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” ไทเกอร์ว่า
“ทาฮิร่าหรือบาบาร่า ใครจะแน่กว่ากัน โปรดติดตามตอนต่อไป” บาบาร่าเอ่ยขึ้น

บรรยากาศของชุมชนเวลานั้น มีผู้คนเดินเข้าออกสวนกันไปมาเป็นระยะ เด็กๆ กลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นอยู่อย่างสนุกสนาน ผู้ใหญ่หลายคนจับกลุ่มคุยเม้าท์มอยกัน
มาลีซื้อกับข้าวเดินเข้าบ้าน โดยระหว่างทางมาลีทักทายกับเพื่อนบ้านบางคนอย่างคุ้นเคย
มาลีเดินมาถึงบ้าน แล้วผลักประตูเข้าไป วางกับข้าวลงแล้วสะดุ้ง มองเห็นร่างสดับยืนอยู่ในมุมมืด เห็นใบหน้าไม่ชัด
มาลีถามอย่างกลัวๆ “พี่ ....” แล้วรีบควักเงินให้สดับ “ฉันมีเท่านี้ เอาไปเลย”
“ข้าไม่ได้มาเอาเงินเอ๊ง” เสียงอสูรในร่างสดับบอก
มาลีชะงัก
“ไปหาแนนนี่ เอาผลไม้ไปให้”
“ผลไม้ที่ไหน”
“อยู่บนโต๊ะนั่น” สดับพยักเพยิดไปที่โต๊ะตรงตรงมุมห้อง
มาลีหันไปมอง โต๊ะที่ตัวเองเพิ่งวางถุงกับข้าวไว้ ปารากฏว่ามีถุงผลไม้ 1 ถุง จริงๆ มาลีเบือนหน้ากลับมามองสดับอย่างประหลาดใจ
“เมื่อกี้ยังไม่มี”
“แต่ตอนนี้มีแล้ว จงเอาถุงผลไม้นั่นไปให้ลูกแนนนี่ของเจ้า”
“แนนนี่...แนนนี่เป็นลูกของฉันจริงๆ ใช่ไหม”
สดับก้าวออกมาจากมุมมืด นัยน์ตาแดงก่ำ ใบหน้าดูเลือดเย็นน่าสยอง มาลีถึงกับผงะไป 2-3 ก้าว
“แนนนี่เป็นลูกของเจ้า” สดับบอก
“แล้ว...อีกคน” มาลีถาม
“นางจะมาทวงอำนาจคืน”
มาลีมองสดับอย่างงุนงง

มาลีเดินปาดเหงื่อมาถึงหน้าบ้านปัทมน ในมือถือถุงผลไม้ มาลีชะเง้อมองเข้าไปข้างในแล้วเอื้อมมือจะกดกริ่ง แต่มีเสียงถามขึ้นเสียก่อน
“มาหาใคร”
มาลีหันขวับไปมอง เห็นบาบาร่าในร่างบานเย็นยืนมองอยู่ด้วยนัยน์ตาคมกริบ
“มาหาใคร” บาบาร่าถามย้ำ
“ฉัน....ฉันเอาผลไม้มาให้...ให้หนูแนนนี่”
บาบาร่ากราดสายตามองมาลีหัวจรดเท้า
“ทำไมต้องเอามาให้เขา แนนนี่เป็นลูกเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาได้กินของดีกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า”
“แกเป็นลูกของฉัน”
“ลูกของเธอ...มุสาซะละมั้ง” บาบาร่าจ้องหน้ามาลี และนัยน์ตาเป็นสีเหลืองวาบสะกดมนตร์มาลี
“ฉันพูดความจริง แนนนี่เป็นลูกฉัน ฉันเอาแกไปทิ้ง แต่คุณปัทมนรับมาเลี้ยง” มาลีตอบพรั่งพรูด้วยถูกมนตร์สะกด
บาบาร่ามีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

สองนายบ่าวกลับเข้าห้อง ถกกันเรื่องที่ได้ยินจากปากมาลี โดยติดใจที่มาลีพูดเรื่องวันเกิดดารกา แต่ทั้งคู่คิดว่าเป็นวันเกิดแนนนี่
“แนนนี่ เกิด วันที่ 9 เดือน 9 วันที่พวกเรามีงานวันเก้าฉลอง” ไทเกอร์นึกได้แล้วอุทานออกมา
“วันนั้นมีอาเพศเกิดขึ้น” บาบาร่าเอ่ยขึ้น
ภาพเหตุการณ์อันน่าหวาดกลัวที่เกิดขึ้น ผุดเข้ามาในห้วงความคิดของทั้งสองบ่าวนาย พอภาพเลือนหายไป บาบาร่านัยน์ตาเป็นประกาย ปักใจเชื่อว่าแนนนี่ต้องเป็นอสูรร้ายมาจุติอย่างแน่นอน
“ไม่มีข้อสงสัยแล้ว”

ขณะเดียวกันนนั้นสดับซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าแท่นบูชาลืมตาขึ้น นัยน์ตาสดับแดงวาบ เพราะถูกอสูรเข้าครอบงำเต็มร่าง
เป็นเวลาเดียวกับที่ปีเตอร์ขับรถเข้าซอยมาส่งแนนนี่ ทันใดนั้น จู่ๆ ก็เกิดพายุหมุนตรงเบื้องหน้าของทั้งคู่ และหมุนพุ่งตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ปีเตอร์ ระวัง”
“พายุบ้าอะไรน่ะ”
นัยน์ตาแนนนี่เป็นประกายสีเหลืองวาบ
“อัย...อาลาบรีบา...อัย...อาลาบรีบา...”
เสียงท่องคาถาของแนนนี่ปนกับเสียงอื้ออึงของพายุที่พัดหมุนใกล้เข้ามาทุกขณะ
ภาพพายุที่พุ่งจะมาถึงอยู่รอมร่อ กลับสลายไปอย่างรวดเร็ว...ฝุ่นละอองตลบคละคลุ้งไปหมดทั่วทั้งบริเวณ แนนนี่ถอนใจเฮือกใหญ่ออกมา ด้วยความโล่งอก
“แนนนี่” ปีเตอร์เรียกขึ้น
แนนนี่หันมามอง
“เมื่อกี้แนนนี่ท่องอะไรน่ะ”
“เปล่านี่” แนนนี่ปฏิเสธ
“ก็ผมได้ยิน”
“เสียงพายุมั้ง ไปได้แล้ว”

แนนนี่ปฏิเสธที่จะตอบทุกคำถามคาใจของปีเตอร์

 อ่านต่อหน้า 2 





 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 11 (ต่อ) 

พรยกของว่าง และแก้วน้ำเย็นมาเสิร์ฟให้ปีเตอร์กับแนนนี่ที่โต๊ะเล็กภายในห้องรับแขก

“เมื่อกี้พี่พรเห็นพายุหรือเปล่าฮะ” ปีเตอร์ถามพรขึ้น
“พายุอะไรคะ” พรมีสีหน้างง
ขณะที่ 2 คนคุยกันอยู่นั้น แนนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กินขนมไป
“ก็ทอร์นาโดไง...พายุหมุนน่ะ” ปีเตอร์อธิบาย
“อ๋อ! เห็นในที.วี. หรือคะ” พรตอบ
“ของจริงฮะ เมื่อกี้” ปีเตอร์บอก
แนนนี่เบือนหน้ามาหาปีเตอร์ลากเสียงยาว
“ปีเตอร์ ถ้ามีพายุหมุนจริง ป่านนี้บ้านทั้งซอยก็พังพินาศหมดแล้วน่ะซิ”
“เอ๊ะ แนนนี่ก็ยังบอกว่า....”

แนนนี่สบตาปีเตอร์ นัยน์ตาแนนนี่มีประกายสีเหลืองขึ้นมาแว่บหนึ่ง ปีเตอร์ถูกสะกดจิตไปเรียบร้อย
“แนนนี่ไม่ได้บอกอะไรสักหน่อย...ไม่มีพายุ แล้วแนนนี่ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ใช่มั้ย...ปีเตอร์”
“ใช่....ไม่มีพายุ...แล้วแนนนี่ก็ไม่ได้พูดอะไร”
ในขณะที่แนนนี่สะกดปีเตอร์นั้น พรยืนอยู่เยื้องๆ ข้างหลังแนน จึงเห็นหน้าปีเตอร์ชัด แต่ไม่เห็นแนนนี่
พรมองท่าทางหลังถูกแนนนี่ร่ายคาถาสะกดของปีเตอร์อย่างแปลกใจ
“คุณปีเตอร์คะ...คุณปีเตอร์”
แนนนี่ดีดนิ้วเปาะ ปีเตอร์กลับคืนสู่ท่าทางปกติ
“คุณปีเตอร์” พรเรียกซ้ำอีก
“ฮะ...พี่พร”
“คุณปีเตอร์เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่” ปีเตอร์ยิ้มๆ
“ก็เมื่อกี้”
ปีเตอร์มองพรอย่างแปลกใจ แนนนี่รีบตัดบทขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกพี่พร ปีเตอร์เขาอำเล่นน่ะ พี่พรจะไปทำอะไรก็ไปเถอะจ้ะ”
พรมองปีเตอร์งงๆ ในขณะที่ปีเตอร์ยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พรเดินออกไป โดยไม่วายหันมามองอย่างงงๆอีกครั้ง
ปีเตอร์เองก็แปลกใจเช่นกัน “ทำไมพี่พรมองผมแปลกๆ”
แนนนี่ยักคิ้วเป็นเชิงล้อ “ก็ต่างคนต่างแปลกใจ”
“วันนี้แนนนี่ไม่ไปเยี่ยมพี่ธานีหรือ” ปีเตอร์ถาม
“เดี๋ยวไป”
ปีเตอร์รีบอาสา
“ผม...”
“ปีเตอร์กลับบ้านเถอะ แนนนี่ไปเอง”
“ไปยังไง”
“ขี่ไม้กวาดไง้”
ปีเตอร์ฟังแล้วถึงกับขำกลิ้ง แนนนี่ได้ทีเลยทำมั่วขำกลิ้งไปด้วย ทั้งสองเลยขำกลิ้งไปกันใหญ่

ส่วนทางด้านบาบาร่าเดินกัดฟันกรอดกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิดและผิดหวัง
“นังอสูรน้อยมันบังอาจต้านอำนาจฉันได้อีกครั้งนึงแล้ว”
“โอ! แคททีร่า” จู่ๆ ไทเกอร์ก็อุทานคำแปร่งหูออกมา
“อะไรของแกอีกล่ะ” บาบาร่าประหลาดใจ
“ก็เทวรูปแห่งแมวไง...พวกเราเรียกกันว่า แคททีร่า”
“ทำไมฉันไม่รู้” บาบาร่าถาม
“ก็เพิ่งจะประชุมเลือกชื่อที่เหมาะสมได้เมื่อคืนนี้”
บาบาร่าชะงัก “เมื่อคืนแกไปประชุมแมว”
“ผู้คน...เอ๊ย ผู้แมวไปกันคับคั่งเลยละ เจ้าชิกเก้นก็ไป” ไทเกอร์ว่า
บาบาร่ารีบเดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น “แล้วถามหรือเปล่าว่า ทาฮิร่า อยู่ที่ไหน
“ถามไม่ทัน เพราะมันกระโจนหนีหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว” ไทเกอร์เล่า
“มีพิรุธ”
“ก็อยู่บ้านที่คุณอิงแกบอกนั่นแหละ” ไทเกอร์พูดลากเสียง “...คอยดักดีๆ ก็เจอ”
บาบาร่านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ฉันนึกได้แล้วว่าจะทำยังไง ไม่ต้องอาศัยทาฮิร่าก็ได้”
สีหน้าแววตาบาบาร่าเป็นประกาย เหมือนมีแผนอยู่แล้วภายในใจ

แนนนี่เปิดประตูเข้ามาในห้องตัวเองแต่ต้องชะงัก แล้วเปลี่ยนเป็นสะดุ้งแทน เมื่อเห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญในห้องเวลานี้คือบาบาร่าที่นั่งไขว่ห้างส่งยิ้มหวานส่งมาให้แต่นัยน์ตาคมกริบ ขณะจ้องมองมา แนนนี่รู้สึกตัว รีบไหว้
“สวัสดีค่ะ...อาจารย์บาบาร่า”
บาบาร่าพยักหน้ารับอย่างงามสง่า
“เฮ้อ...อาจารย์ทราบได้ยังไงคะว่า หนูอยู่ที่นี่”
“เพราะเธอเป็นลูกศิษย์ที่เก่งที่สุดของฉัน”
แนนนี่ฟังแล้วเป็นปลื้ม
“ขอบคุณค่ะ...อาจารย์เป็นครูคนแรกที่ชมหนูว่าเก่ง นอกนั้นพูดอ้อมๆ เพื่อรักษาน้ำใจแต่ก็ให้รู้ว่าหนูโง่ตลอด”
บาบาร่าทำเสียงอ่อนโยนขณะเปรียบเปรียบ “อัจฉริยะมักจะถูกมองว่าโง่เสมอ”
แนนนี่ดี๊ด๊าดีใจและซาบซึ้ง พร้อมกับไหว้
“ขอบคุณมากค่ะ ที่ให้กำลังใจหนู”
“ฉันน่ะพยายามสืบมานานว่า เธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วในที่สุดก็ได้พบสมใจ”
สีหน้าแนนนี่มีร่องรอยลังเลแกมไม่ไว้ใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง
บาบาร่าสังเกตเห็น แต่ยังทำพูดไปเรื่อยๆ
“พอรู้ว่าแนนนี่อยู่แถวๆ นี้ ฉันก็เลยมาสมัครเป็นแม่บ้านของคุณจักรวาล เพื่อจะได้สอนหนูต่อ”
“เป็นพระคุณมากค่ะ” แนนนี่ไหว้อีก แต่ว่า...ตอนนี้หนูต้องทุ่มเทให้กับการเรียนในโลกมนุษย์”
“ตกลงหนูเป็นอะไรกันแน่จ๊ะ มนุษย์หรือว่าแม่มด...หรือว่าอย่างอื่น” บาบาร่าจ้องจับผิด
“อาจจะเป็นลูกครึ่งมั้งคะ” แนนนี่ทำหน้าใสซื่อขณะตอบ
บาบาร่าไม่พอใจ แต่ก็ฝืนยิ้มออกมา

โป่งกำลังเคาะประตูเรียกหน้าห้องบาบาร่า
“คุณแม่บ้านครับ คุณแม่บ้าน คุณแม่บ้านเป็นอะไรหรือเปล่า!”
โป่งเรียกอยู่นานแต่ไม่มีเสียงตอบ จึงตบประตูเรียกอีกพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ที่มือๆ ข้างหนึ่ง เอื้อมมาแตะไหล่
โป่งตกใจร้องลั่น หันขวับมามอง
“คุณแม่บ้าน โอ๊ย หัวใจจะวาย คุณแม่บ้านไปอยู่ไหนมา โป่งเรียกเงียบ ...เรียกเงียบ จนนึกว่าเป็นลมตายอยู่ในห้องแล้ว” โป่งว่า
“แกน่ะซิตาย ฉันน่ะยังอีกหลายร้อยปี มาเอะอะโวยวายอยู่หน้าห้องฉันทำไมยะ”
“โป่งจะมาถามว่า เย็นนี้จะทำกับข้าวอะไร”
“ก็บอกแล้วว่า อย่าห่วงเรื่องกับข้าว”
“ไม่ห่วงได้ไง เมื่อกี้โป่งเปิดดูในตู้เย็นไม่มีอะไรสักอย่าง”
“แล้วไง” บาบาร่าชักสีหน้า
“แล้วไง อีก 20 นาที 6 โมง ...ซึ่งเป็นเวลาอาหารเย็น ซึ่งมีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะเสิร์ฟอาหารพร้อมรับประทานได้... คือเสกเอา”
“เข้าทีดีนี่”
บาบาร่าพูดหน้าตาเฉย แล้วเดินเข้าห้องไป โป่งมองงงๆ

“คุณยายเข้ามาแอบฟังนานแล้วหรือคะ” แนนนี่ถามขึ้นหลังจากบาบาร่าหายตัวไปแล้ว
“บอกแล้วว่าไม่ได้แอบ! ยายรอหนูอยู่...พอดีบาบาร่าเข้ามา ยายก็เลยต้อง…”
“แอบฟัง” ชิกเก้นต่อให้ทันที
“ไอ้ชิกเก้น” ทาฮิร่าเสียงดังเอ็ดเอา
“คุณยายว่าอาจารย์บาบาร่าพูดจริงหรือเปล่าคะ” แนนนี่ถามเรื่องที่บาบาร่าบอกจะช่วยสอนวิชาให้
“ตั้งแต่รู้จักกันมา ยายเห็นบาบาร่าพูดจริงอยู่อย่างเดียว”
“คือ....” ชิกเก้นรอคำตอบ
“ชื่อของหล่อน อ๊ะ แต่ตอนนี้แม่แต่ชื่อ หล่อนก็มุสาแล้ว หล่อนว่าหล่อนชื่ออะไรนะ...อ้อ! บานเย็น เชยชัดๆ สู้ชื่อ ทาราวดีศรีไม่ได้” ทาฮิร่าว่า
“ใครนะคะ” / “ใครนะ”
แนนนี่กับชิกเก้นถามขึ้นพร้อมกัน
“ช่างเถอะๆ” ทาฮิร่ารีบพูดปัดๆ ไป แล้วหันมาพูดท่าทีจริงจัง “ว่าแต่หลานอย่าหลงเชื่อบาบาร่าเป็นอันขาดนะ หล่อนรู้ว่าหลานเป็นอะไร เพราะมีประกาศจับอสูรอยู่ทั่วนครเวทมนตร์ หลานไม่ใช่ลูกศิษย์อัจฉริยะที่หล่อนพยายามตามหาเพื่อจะถ่ายทอดวิชาให้อย่างที่สุดอย่าลืมเด็ดขาด”
“อันนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่คุณยายพูดถูก น้อยเรื่องมาก…” ชิกเก้นได้ทีแขวะนายหญิง
“แหม ไอ้ชิกเก้น”
“แนนนี่จะระวังตัวค่ะ คุณยาย” แนนนี่รับคำ
“ยายกับชิกเก้นก็จะช่วยระวังแนนนี่” ทาฮิร่ายิ้มอย่างพอใจ
“หวานเกิ๊น” ชิกเก้นแซวเอา
“คุณยายขา แนนนี่ต้องไปเยี่ยมพี่ธานีก่อนนะคะ”
ทาฮิร่ายังไม่ทันจะอ้าปากตอบ แนนนี่ก็หมุนตัวเปลี่ยนชุดนักศึกษาเป็นชุดลำลอง แล้วหยิบไม้กวาดมาขี่ออกไป
“ไม่ทันแล้วคุณยาย ป่านนี้เกือบถึงโรง’บาลแล้ว”
ทาฮิร่ามองชิกเก้นอย่างหมั่นไส้เต็มทน

เหตุการณ์ที่โรงพยาบาลเวลานั้น ปัทมนและจักรวาลกำลังนั่งคุยกับธานี ที่อาการค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว
“ยัยเกล้ามาเยี่ยมอีกหรือยัง” จักรวาลถามออกมา
“มาแล้วครับ” ธานีหลบตา
“ทะเลาะกันอีกละซี” จักรวาลเห็นอาการธานีก็มองออก
“ใช่หรือเปล่าลูก” ปัทมนซัก
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ธานีตอบเสียงอ่อยๆ
“ยัยเกล้านี่มันก็เหลือเกิน” จักรวาลออกอาการฉุนนิดๆ
“ธานีก็ใช่เล่นเสียเมื่อไหร่ละค่ะ” ปัทมนว่า หันไปเหน็บลูกชาย
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วแนนนี่ก็เดินเข้ามา
“จ๊ะเอ๋ สวัสดีค่ะ คุณแม่ สวัสดีค่ะคุณลุง และสวัสดีค่ะพี่ธานี”
“มากับใครน่ะลูก” ปัทมนถามเสียงอ่อนโยน
“มาคนเดียวค่ะ” แนนนี่ตอบเสียงระรื่น
“เราเป็นผู้หญิงนะ แนนนี่ ไปไหนมาไหนคนเดียวมันอันตราย” จักรวาลพูดเตือน
“แนนนี่ไม่กลัวหรอกค่ะ” แนนนี่บอกหน้าตาเฉย
“แนนนี่” น้ำเสียงปัทมนและสีหน้าขณะพูดเหมือนประมาณปรามลูกสาวจอมแก่น
“ไม่กลัวไม่ได้ ... คนเดี๋ยวนี้ไม่ไว้ใจได้ที่ไหน” จักรวาลสำทับเสียงเคร่ง
แนนนี่นิ่งไปเฉยๆ
“แนนนี่” ปัทมาเตือน
แนนนี่รู้ตัวรีบไหว้ “ขอโทษค่ะ แนนนี่จะไม่ทำอีกแล้ว” แนนนี่เดินมาใกล้ๆ เตียงมองสำรวจขาธานีครู่หนึ่ง “พรุ่งนี้ก็กลับได้แล้ว”
“รู้ได้ยังไง” ธานีถาม
“รู้ก็แล้วกัน” แนนนี่เว้นไปนิดหนึ่ง “แนนนี่รู้ด้วยว่าใครทำพี่ธานี”
“ใคร” สามคนประสานเสียงกัน
แนนนี่ยักไหล่ “ก็ตอนนั้น มีคนอยู่ข้างบนกัน 3 คน พี่ธานีเป็นคนตกบันได แนนนี่ชัวร์เลยว่าไม่ได้ทำ เหลือพี่ดาคนเดียว”
“เธอกำลังกล่าวหาน้องดา” ธานีเอ็ดเอา
“ลูกไม่ควรพูดอย่างนี้” ปัทมนเสริม
“แนนนี่ไม่ได้พูดอะไรซักหน่อย คิดกันไปเอง”
“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”
พูดจบแนนนี่ก็ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“อัมบรัม...อัยเย...อาลาลูลา...ฮิชกิเน”
นัยน์ตาบาบาร่าขณะร่ายคาถาเป็นประกายสีเหลืองวาบ พลันบนโต๊ะเตรียมอาหารในครัวก็ปรากฏกับข้าวน่ากินเรียบร้อย
โป่งเดินเข้ามาเห็นพอดีเบิกตากว้าง แล้วขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก
“No…..!” โป่งลากเสียงยาวอย่างอัศจรรย์ใจ “เป็นไปไม่ได้”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ สำหรับคุณแม่บ้านบานเย็น ยกไปได้แล้ว” บาบาพูดน้ำเสียงเชิดๆ
โป่งยังคงมองอย่างไม่เชื่อสายตา
“นายโป่ง” บาบาร่าเสียงเขียว
“ครับ” โป่งรีบยกออกไปในอาการงงๆ
บาบาร่ามองตามใบหน้ายิ้มแย้ม
โป่งวางจานกับข้าวบนโต๊ะ ขณะที่ภวัตและรัดเกล้าเดินเข้ามาในห้องทานอาหาร
“น่ากินจัง...ป้าบานเย็นนี่ทำกับข้าวเก่งนะคะ พี่ภวัต” รัดเกล้าเสียงระรื่น
โป่งตักข้าวให้พลางพึมพำออกมา “เก่งจนน่ากลัว”
“ว่าอะไรนะ โป่ง”
โป่งเหลือบมองซ้ายขวาแว่บหนึ่ง
“โป่งบอกว่าเก่งจน....”
เสียงบาบาร่าดังลอดเข้ามาขัดคอโป่งเสียก่อน
“วันนี้มีแกงส้มชะอมกุ้ง...ไข่เจียวร้อนๆ...ไก่อบและผัดผัก 4 สหายค่ะ อ้อ...สลัดกุ้งทอดอีกอย่าง”
“พี่ภวัตกับเกล้าทานกัน 2 คน กับข้าวไม่ต้องมากขนาดนี้ก็ได้” รัดเกล้าบอก
“คุณพ่อไปรับประทานเลี้ยงหรือคะ” บานเย็นบาบาร่าถาม
“ท่านไปเยี่ยมธานี” ภวัตบอก
“จริงซิคะ...คุณธานีเป็นยังไงบ้าง” บาบาร่าถามจุ้นอีก
“ไม่ต้องรู้ไปหมดก็ได้มั้ง” รัดเกล้าว่า
บาบาร่าชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ ขณะที่ภวัตกินข้าวกับรัดเกล้าไป

หลังทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว สองพี่น้องเดินมาด้วยกันช้าๆ ภายในสวนของบ้าน จังหวะหนึ่งภวัตมีสีหน้าเหมือนจะยิ้มขัน ขณะตอบคำถามน้องสาวที่ไม่พอใจความจุ้นจ้านของบาบาร่าในคราบบานเย็น
“แกคงจะพยายามเอาใจเกล้านั่นแหละ อีกอย่างธานีก็เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดสนิทสนมของเรา” ภวัตบอก
“แต่เกล้าว่าแกจุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้” รัดเกล้าว่า
“ไม่มีมนุษย์คนไหนสมบูรณ์แบบไปหมดหรอก ป้าบานเย็นแกอาจจะเสียในเรื่องที่เกล้าว่า แต่แกก็ทำกับข้าวอร่อย...ตั้งแต่แกมาอยู่ บ้านช่องก็สะอาดเรียบร้อย ผิดกับตอนที่ไอ้โป่งทำเหมือนฟ้ากับเหว”
ฟังพี่ชายสาธยายความดีบานเย็นบาบาร่า รัดเกล้าหัวเราะออกได้
“เจ้าโป่งมันเทียบกับใครไม่ได้หรอกค่ะ”
ภวัตทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งตรงมุมหนึ่งในสวน เปลี่ยนมาคุยเรื่องอาการธานี
“ธานีดีขึ้นมากแล้ว”
“หวังว่ากลับมาถึงบ้าน แล้วคงจะไม่ตกบันไดอีก” รัดเกล้าไม่วายแขวะ
“เราละก็...ไม่รู้จะตั้งหน้าตั้งตาทะเลาะกับเขาไปถึงไหน”
“ก็เหมือนพี่ภวัตกับแนนนี่นั่นแหละ” รัดเกล้าพลั้งปาก
ภวัตสีหน้าขรึมลงไป รัดเกล้าสังเกตเห็น มองจ้องหน้าพี่ชายเขม็ง
“เกล้าถามจริงๆ นะคะ ระหว่างน้องดากับแนนนี่ พี่ภวัตชอบใคร”
“ไม่ได้ชอบใครเลย แล้วเกล้าก็ไม่ควรถามพี่อย่างนั้น เพราะทั้ง 2 คนยังเด็ก อายุยังไม่ทันเลข 2 ด้วยซ้ำ!”
รัดเกล้าพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“น้องดารักพี่ภวัต...เกล้าดูออกว่าแกปักอกปักใจกับพี่ภวัตมาตลอด...ส่วนแนนนี่...”
ภวัตออกท่าเหมือนจะตั้งใจฟังขึ้นมาทันที
“เกล้าดูไม่ออก...บางครั้งก็ทำเหมือนจะชอบ แต่ลึกๆแล้ว เกล้าว่าแกอยากจะแกล้งน้องดามากกว่า”
ภวัตเบือนหน้าไปอีกทาง
“ปีเตอร์เพื่อนสนิทก็ชักจะคิดไม่ซื่อกับแนนนี่”
ภวัตลุกพรวดขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อปีเตอร์
“นี่เรามาพูดเรื่องไร้สาระของคนอื่นอยู่ทำไมก็ไม่รู้...พี่จะไปทำงานต่อ”
“พูดยังกับเอาคนไข้มาไว้ที่บ้านด้วยยังงั้นแหละ”
ภวัตเดินย้อนกลับเข้าบ้านโดยไม่ฟังต่อ
“แปลกแฮะ! บทจะไปก็ไป” รัดเกล้ามองตามพี่ชายอย่างงงๆ

ภวัตแยกกับรัดเกล้าเดินอ้อมมาทางหน้าบ้าน มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นพอดี ภวัตหันไปมอง แล้วเดินเลยไปเปิด โป่งซึ่งวิ่งมาจากอีกด้านจะมาเปิดประตู จึงหยุดยืนอยู่ห่างๆ
ดารกายืนเอามือไขว้หลัง พอเห็นภวัตก็ยิ้มหวานให้
“เข้ามาซิครับ น้องดา”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดาแค่เอาของขวัญมาให้พี่ภวัต”
“ของขวัญ” ภวัตแปลกใจเล็กๆ
“ของขวัญวันเกิดพี่ภวัตไงคะ น้องดาจำได้ว่าวันอาทิตย์หน้า แต่พอดีน้องดามีสอบ คงจะต้องค้างอยู่ที่หอ เลยเอามาให้พี่ภวัตก่อน Happy Birthday ล่วงหน้านะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
“น้องดาสอบเสร็จแล้วจะมาให้พี่ภวัตพาไปเลี้ยง”
“ได้เลย...ว่าแต่ดูหนังสือจบไปกี่รอบแล้ว”
“3 ค่ะ น้องดาต้องติวให้เพื่อนๆ ด้วย” ดารกายิ้มอายๆ
“ดีแล้วละ เทอมที่แล้วได้เกรดเท่าไหร่นะ”
“4 ค่ะ”
“ถ้าเทอมนี้ได้เต็ม 4 อีก พี่จะมีรางวัล” ภวัตว่า
“จริงๆ นะคะ”
ภวัตพยักหน้า
“งั้นน้องดาจะทำเต็มที่เลย”
ภวัตจับศรีษะดารกาโยกนิดๆ มองอย่างเอ็นดูและอ่อนโยน
โป่งค่อยๆ ถอยหลังย่องออกไป

ภวัตเดินเข้ามาในห้อง แล้ววางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะ ภวัตขยับจะเปิดคอมพ์ฯ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หยิบกล่องของขวัญมาแก้ออก
สีหน้าภวัตยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่สีสวยแบบขรึมๆ ของขวัญจากดารกา

โป่งรีบพุ่งมารายงานแนนนี่ที่ริมรั้วของสองบ้านเหมือนเช่นเคย
“หน็อยแน่ะ บังอาจตัดหน้าเรา” แนนนี่คำรามในลำคอ
“อย่ามาเลย จารย์จำได้หรือเปล่าว่าวันเกิด Birthday เจ้านายโป่งวันไหน”
“ทำไมจะจำไม่ได้...เจ้าโป่ง อย่ามา ซ้อมค้าง จารย์!” แนนนี่นิ่งคิด “ต้องไปดูซักกะหน่อยแล้วว่าพี่ดาให้ของขวัญอะไรพี่ภวัต”
“จารย์จะไปดูยังไง คุณภวัตเอาขึ้นไปไว้ในห้องแล้ว”
แนนนี่ยักคิ้วพลางบอก “จารย์มีวิธีก็แล้วกัน”
สีหน้าแนนนี่ฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา

ดึกมากแล้วดวงจันทร์ลอยผ่านโผล่พ้นก้อนเมฆออกมา ไฟปิดหมดทุกดวงด้วยเป็นเวลาดึกสงัด คงเหลือแต่โคมไฟบริเวณสนามหญ้าของสองบ้านที่เปิดให้แสงสว่างอยู่
ภวัตนอนหลับอย่างสนิทอยู่ภายในห้อง ขณะที่มีควันสีชมพูปรากฏขึ้นในห้องแล้วจางลงเป็นร่างแนนนี่
แนนนี่กวาดสายตามองหา “อยู่ไหนน้า...”
แนนนี่มองเลยเรื่อยไปหยุดที่กล่องของขวัญที่วางอยู่บนโต๊ะ แนนนี่ค่อยๆ ย่องมาที่โต๊ะ แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาดู
แนนนี่ชูมือขึ้นวนไปมา ปรากฏควันสีชมพูคลุมร่าง แล้วหายแว้บไป
ควันสีชมพูลอยเข้ามาในห้องแนนนี่ แล้วเลยเข้าไปในตะเกียงแก้ว

กลุ่มควันสีชมพูลอยเข้ามาในตะเกียงแก้ว แล้วจางลงกลายเป็นแนนนี่ ซึ่งในมือแนนนี่เดินถือผ้าเช็ดตัวมาทิ้งตัวลงนั่ง ชูขึ้นดู
“เข้าใจให้นะจ๊ะ คุณน้องดา ฮึ! ให้ผ้าเช็ดตัว จะได้ใกล้ชิดตัวพี่ภวัตที่สุดไม่มีวันเสียละ”
แนนโยนผ้าเช็ดตัวลงบนพื้น แล้วยกมือขึ้นจะท่องคาถา
“อัม...”
“ช้าก่อน” มีเสียงขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
แนนนี่ชะงัก ตะเกียงแก้วพูดขึ้นมา
“อย่าใจร้ายใจดำปี๋นักเลย แนนนี่”
“อ้อ ฟื้นแล้วเรอะ...คุณพี่ตะเกียง สลบไปหลายวัน สบายหูพิลึก”
“แนนนี่ เอาผ้าเช็ดตัวไปคืนเจ้าของเค้าซะ”
“ไม่”
“พี่ตะเกียงจะฟ้องคุณยายทาฮิร่า”
“แนนนี่ก็จะทำลายหลักฐานให้หมด นี่ไง”
แนนยกมือไปข้างหน้า ว่าคาถาขณะที่ตะเกียงแก้วห่อปาก
“อัม...อะวะยา.....ไอฟาปรำปรา ฟายเย่อะ”
ดวงตาแนนเป็นสีเหลือง พร้อมๆกับเปลวไฟพุ่งจากมือออกไปเผาผ้าเช็ดตัวจนหมดผืน
“ดีซี! จะได้สบายหู”
“ได้สบายนานแน่ เพราะทุกคนที่รู้เรื่องนี้จะไม่มีใครพูดกับแนนนี่ แนนนี่เกเร แนนนี่ไม่น่ารัก” ตะเกียงแก้วต่อว่าเป็นชุด
“เฮ้อ ยังกับตัวเองน่ารักนักนี่”

แนนนี่เอนตัวลงนอน แล้วดีดนิ้วเปาะ แสงสว่างในตะเกียงแก้วดับวูบลงทันที

 อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้  (1 ก.พ. 55) เวลา 9.30 น. 





 อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว  ตอนที่ 11 (ต่อ) 

เช้าวันต่อมาบรรยากาศแสนสดชื่นแจ่มใส ภวัตเพิ่งตื่นนอนและกำลังเดินเข้าห้องน้ำ ครู่ต่อมาภวัตก็อยู่ในเสื้อผ้าพร้อมไปทำงาน ตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเอง แล้วเดินจะออกจากห้อง ภวัตเหมือนนึกได้เดินมาที่โต๊ะทำงาน จะหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดแขวนไว้เมื่อคืน

ภวัตชะงัก เมื่อเห็นผ้าเช็ดตัวหายไป
“หายไปไหน” ภวัตมองหา
ภวัตเดินหาดูตามบริเวณที่คิดว่าอาจหลงลืม เช่นตะกร้าเสื้อผ้าส่งซัก ในห้องน้ำ แต่ไม่มีซักที่
“จะหายไปได้ยังไง” ภวัตพึมพำออกมาอย่างสงสัย

ส่วนที่บ้านปัทมนพรกำลังเสิร์ฟอาหารเช้าให้สมาชิกภายในบ้าน
“เช้านี้มีไข่คน ขนมปัง ไส้กรอก และน้ำส้มคั้นค่ะ”
ดารกาไม่ได้สนใจฟัง หันมาทางปัทมนพูดด้วยสีหน้าร่าเริงแจ่มใส
“คุณแม่ขา...เมื่อวานน้องดาเอาของขวัญวันเกิดไปให้พี่ภวัตแล้วค่ะ”
แนนนี่ลอบยิ้มเยาะ แล้วฮัมเพลงขึ้นมาลอยๆ จนถูกปัทมนเอ็ด
“แนนนี่...ไม่ร้องเพลงเวลาทานข้าวลูก...” ปัทมนหันไปจะคุยกับดารกาต่อ
“ก็มันอดไม่ได้นี่คะ แนนนี่กำลังมีความสุข สุข...ซัก..ก...สุข” แนนนี่พูดเป็นนัย
ปัทมนหันกลับมามองพลางถาม “สุขอะไรกันนักหนา” แล้วจึงหันมาทางดารกา “ทำไมน้องดาไม่รอให้ถึงวันเกิดพี่เขาก่อนล่ะจ๊ะ”
“น้องดาติดสอบ น้องดาเรียนคุณแม่แล้วไงคะ” ดารกาว่า
“เออ…ใช่ แม่ลืมไป”
“แต่พี่ภวัตสัญญาแล้วว่า น้องดาสอบเสร็จจะพาไปเลี้ยง”
แนนนี่ชะงัก นัยน์ตาเป็นประกายแว่บหนึ่งด้วยความไม่พอใจ
“แล้วถ้าน้องดาได้เกรด 4 อีก พี่ภวัตจะมีของขวัญให้ด้วย” ดารกาน้ำเสียงระรื่น
“แม่เชื่อว่าน้องดาต้องได้อยู่แล้ว” ปัทมนยิ้มอ่อนโยน
แนนนี่ทำทีเป็นสำลักสีหน้ากระอักกระอ่วน
“เป็นอะไร...แนนนี่”
“เป็นอสุรา...อสุรี...เป็นยักษี...ยักษา” แนนนี่ว่า
“แนนนี่”ปัทดุ
แนนนี่ทำจมูกย่นใส่
“ห้ามพูดอย่างนี้อีกได้ยินไหม”

แนนนี่ถูกดุอีก ทำเสียงอุบอิบบ่นงุบงิบอยู่ในลำคอ

บรรยากาศทั่วๆ ไป ของโรงพยาบาลในเวลานั้น ผู้ป่วยและญาติเดินกันไปมาขวักไขว่ บางรายรอรับการตรวจ ส่วนอีกหลายคนเป็นญาติที่มารับผู้ป่วยที่หายแล้วกลับบ้าน
ภวัตเดินเข้ามาภายในห้องทำงานตัวเอง พร้อมๆ กับมีเสียงเรียกดังขึ้น
“พี่ภวัต”
ภวัตสะดุ้ง หันขวับไป
แนนนี่แต่งชุดนักศึกษา ในมือถือไม้กวาดตั้งตรง สีหน้าที่มองมายังภวัตดูออกว่ากำลังหงุดหงิดเอาการ
“แนนนี่”
“พี่ภวัตต้องพาแนนนี่ไปเลี้ยงบ้าง ไม่งั้นแนนนี่ไม่ยอม แนนนี่จะ...”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ภวัตเสียงขุ่น
“พี่ดาบอกว่า พี่ภวัตจะพาพี่ดาไปเลี้ยงวันเกิด แล้วแถมของขวัญให้ด้วยถ้าได้เกรด 4”
“ก็แนนนี่ทำให้ได้เกรด 4 บ้างซิ” ภวัตเยาะ

“เรื่อง...แนนนี่ไม่อยากได้เกรดซ้ำกับพี่ดา” แนนเชิดหน้าอย่างรั้นๆ ใส่ภวัต
“ไม่ต้องมาอ้าง พี่รู้ว่าเราขี้เกียจ” ภวัตพูดดักคอ
“อ๋อ! แนนนี่ไม่ใช่คนดีอย่างพี่ดา” แนนนี่ทำน้ำเสียงประชดประชันจนเลยเถิด “อุตส่าห์เลือกผ้าเช็ดตัว ...” พอนึกได้รีบเอามืออุดปาก “อุ๊บส์”
ภวัตถึงบางอ้อ หน้าตาเอาเรื่องขึ้นมาทันที “อ้อ! เราใช่มั้ยที่มาขโมยผ้าเช็ดตัวไป”
“แนนนี่ไม่ใช่ขโมยนะ” ขโมยผ้าเช็ดตัวปฏิเสธ
“คนที่แอบเข้ามาหยิบของในห้องคนอื่นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาเรียกว่าขโมยทั้งนั้น นอกจากเป็นขโมยแล้ว ... เธอยังใจดำอีก รู้ทั้งรู้ว่าน้องดาให้ผ้าเช็ดตัวผืนนั้น เป็นของขวัญพี่...เธอก็ยังใจร้ายขโมยไป...”ภวัตเว้นไปนิดหนึ่ง “...พี่กลับบ้านเย็นนี้จะต้องเห็นผ้าเช็ดตัวผืนนั้นในห้อง เข้าใจไหม”
แนนนี่เจอชุดใหญ่ถึงกับจ๋อย พูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่เป็นไร แนนนี่จะเนรมิตผืนใหม่ให้เหมือนผืนเก่าเปี๊ยบ”
“ไม่ต้อง เพราะพี่ต้องการผืนเดิม...ต่อให้ใช้คาถาอาคมทำให้เหมือน ยังไงมันก็ไม่ใช่ผืนเดิม เหมือนใครบางคนที่ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นคน ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยให้เป็นคนดี แต่สันดานก็ยังเป็นอสูรอยู่นั่นเอง” ภวัตพูดอย่างเหลืออดกับนิสัยแนนนี่
“พี่ภวัต” แนนนี่หน้าเสีย
“กลับไป” ภวัตพูดแทบเป็นตวาด
“พี่ภวัตเข้าข้างแต่พี่ดา” แนนนี่เม้มปากด้วยความน้อยใจ
“พี่พูดตามที่เห็น น้องดาเป็นคนดีจริงๆ เขาไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร”
“ไม่จริง พี่ดาทำให้แนนนี่เดือดร้อนเพราะชอบมาเจ๊าะแจ๊ะกับพี่ภวัต แนนนี่เคยบอกแล้วว่าห้ามผู้หญิงคนไหนมายุ่งกับพี่ภวัต” แนนนี่ว่า
“แนนนี่” ภวัตเหลืออด
“แนนนี่พูดจริง ใช่! แนนนี่เป็นอสูร มีเวทมนตร์คาถาของแม่มด เพราะฉะนั้นใครอย่ามายุ่งกับพี่ภวัตเด็ดขาด! พี่ภวัตก็เหมือนกัน...พี่ต้องสนใจแนนนี่”
“เหลวไหล” ภวัตทำปากแข็งปฏิเสธ
แนนนี่หรี่ตาอย่างเจ้าเล่ห์
“แนนนี่รู้นะว่า พี่ภวัตก็สนใจแนนนี่เหมือนกัน”
“หยุดพูดเรื่องนี้เสียที!”
ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ทั้งสองคนหันไปมอง
“ภวัต...ภวัตขา...บุษเข้าไปนะคะ”
เสียงบุษบากำลังขยับลูกบิดจะเปิดเข้ามา
แนนนี่เขม้นมองไปที่ลูกบิด...นัยน์ตาสีเหลืองวาบพุ่งไปที่ลูกบิด
บุษบาเปิดเท่าไหร่ก็เปิดประตูไม่ออก
“ภวัต! เปิดประตูซิคะ บุษรู้นะว่าคุณอยู่ในห้อง บุษได้ยินเสียงคุณ”

ภวัตเดินไปขยับลูกบิดเพื่อจะประตู แต่กลับเปิดไม่ออก ระหว่างนั้นมีเสียงบุษบาร้องเรียกตลอดเวลา
“แนนนี่ เปิดประตูเดี๋ยวนี้” ภวัตสั่ง
แนนนี่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
ภวัตทนไม่ไหว เดินเข้ามาจับไหล่แนนนี่เขย่าอย่างโกรธจัด
“พี่บอกให้เปิดประตูได้ยินมั้ย”
“โอ๊.เค เปิดก็ได้”
แนนนี่หมุนตัวมีควันสีชมพูปรากฏขึ้น พอดีดนิ้วร่างแนนนี่กับภวัตก็หายไป พร้อมๆ กับที่ประตูเปิดเข้ามา
บุษบาเสียหลักเซถลาหน้าคะมำเลยทีเดียว
“ภวัต”
บุษบาชะงัก เมื่อเห็นภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีภวัตอยู่ในนั้นแล้ว

หลังควันจางลง ก็เห็นแนนนี่กำลังขี่ไม้กวาด มีภวัตเกาะห้อยต่องแต่งอยู่
“แนนนี่ พาพี่ลงไปเดี๋ยวนี้” ภวัตร้องบอก เพราะหวาดเสียวสุดๆ
แนนนี่แกล้งหันกลับไปมองทำทีเป็นตกใจ
“ตายแล้ว พี่ภวัต ทำไมไปห้อยต่องแต่งอยู่ยังงั้นล่ะคะ”
“ยังจะมาพูดอีก บอกให้พาพี่ลงไป”
แนนนี่หันมาวนนิ้วไปมาขยุกขยิก แล้วกระดิกขึ้น ร่างของภวัตลอยขึ้นมาขี่ไม้กวาด
ไม้กวาดบินพุ่งเลี้ยวไปอย่างฉวัดเฉวียน ภวัตตกใจกอดเอวแนนนี่ไว้แน่น แนนนี่ชะงัก...สีหน้าเหมือนจะตกใจ นั่งตัวแข็งทื่อ
ภวัตเองก็เช่นกัน ด้วยเริ่มจะรู้สึกตัวว่ากำลังกอดแนนนี่แน่น ไม้กวาดยังบินลอยไปเรื่อย ขณะที่ทั้ง 2 คนนั่งกันนิ่งอยู่ในท่านั้น สีหน้าทั้ง 2 คน แนนนี่ดูขัดเขินภวัตเริ่มรู้สึกตัว ค่อยๆ คลายมือออก จับแค่เอวแนนี่ไว้แบบหลวมๆ

ด้านบุษบายืนอึ้งอยู่ที่หน้าห้องทำงานภวัต งงงันกับเหตุการณ์เมื่อครู่ สักพักไชยก็เดินมาหา
“แต่บุษได้ยินเสียงภวัตพูดค่ะ พูดเสียงดังด้วย” บุษบาบอกพี่ชาย
ไชยถอนใจเฮือกใหญ่
“เธอก็เห็นว่าไม่มีใคร”
“ต้องมีซิคะ”
“งั้นก็แสดงว่าภวัตหายตัวแวบไป”
“ภวัตไม่ใช่ผีนะคะ” บุษบานิ่งคิด แล้วนึกบางอย่างออก “จริงซิ บุษได้ยินภวัตบอกแนนนี่ให้เปิดประตู”
“ไปกันใหญ่แล้ว ไป ไปหาหมอจิตติด้วยกัน”
ไชยดึงแขนน้องสาวอย่างเป็นห่วง บุษบาสะบัดแขนแหวใส่พี่ชาย
“บุษไม่ได้บ้า”
“พี่ก็ไม่ได้ว่าเธอบ้า”
“แล้วให้บุษไปหาหมอจิตติทำไม หมอจิตติเป็นจิตแพทย์”
“ยัยบุษ เธอต้องยอมรับว่า สิ่งที่เธอเล่ามาให้พี่ฟังทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้”
“แต่..” บุษบายังทำท่าจะไม่ยอม
“ลองสงบจิตสงบใจแล้วทบทวนดูใหม่ซิ”
บุษบานิ่งคิดตามคำพูดพี่ชาย

ภวัตกับแนนนี่นั่งบนไม้กวาด เวลานั้นภวัตเริ่มมองกลุ่มเมฆลอยฟ่องฟ้า โดยรอบอย่างเพลิดเพลิน แนนเบือนหน้ามามองแว่บหนึ่ง แล้วยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นท่าทางนั้น
“สวยใช่ไหมล่ะคะ”
“เหมือนความฝัน ใครจะนึกว่าจะได้ขี่ไม้กวาดขึ้นมาอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ”
แนนนี่ยิ้มแป้น อย่างพอใจ
“ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งสวยกว่านี้อีก พี่ภวัตจะได้เห็นหมู่ดาว”
ภวัตเริ่มรู้สึกตัว
“พาพี่กลับได้แล้ว”
“ไม่ต่ออีกหน่อยหรือคะ”
“ไม่” ภวัตเสียงแข็ง
แนนนี่ยักไหล่ “ก็ได้ ไม้กวาดจ๋า กลับที่เดิม ลาบราลาบราโว”
ไม้กวาดพุ่งดิ่งลงไป ภวัตตกใจ กอดเอวแนนนี่แน่น

บุษบาสูดลมหายใจยาวยืนอยู่
“ว่าไง” ไชยถาม
“จริงของพี่ไชยค่ะ บุษคงหูฝาดไปเอง”
ไชยยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“งั้นก็ไปทำงานได้...พี่จะไปดูท่านอธิบดีปราโมทย์หน่อยเข้าแอดมิทตั้งแต่ตี 5”
“พี่ไชยไปก่อนเถอะค่ะ บุษขอตั้งสติอีกสัก 5 นาที”
“ไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“ค่ะ”
ไชยเดินไปที่ลิฟท์ ส่วนบุษบาเบือนหน้าไปมองห้องภวัต สีหน้าบุษใคร่ครวญครุ่นคิด

ควันสีชมพูลอยเข้ามาทางหน้าต่างห้องทำงานภวัต พอควันจางลง ปรากฏร่างภวัตและแนนนี่
“พี่...” แนนนี่อึกอีก
“ไปเรียนหนังสือได้แล้ว” ภวัตเสียงเย็นชา
“แนนนี่...”
“ไปเรียนหนังสือ” คราวนี้ภวัตพูดเสียงขุ่น
แนนนี่กัดปาก แล้วหมุนตัวหายไป ภวัตถอนใจเฮือก แล้วเดินไปที่หน้าต่าง แหงนหน้ามองบนฟ้า
จังหวะนั้นภวัตนึกถึงภาพตอนที่ตัวเองและแนนนี่ขี่ไม้กวาดแว่บเข้ามาในห้วงความคิด
“ไม่น่าเชื่อ”

บุษบายังค้างคาใจ ตัดสินใจเดินตรงมาที่ห้องภวัตอีกครั้ง บุษมายืนเหมือนตั้งสติ แล้วเอื้อมมือค่อยๆ ไปจับลูกบิด
บุษบาเม้มปาก นัยน์ตาเป็นประกายแน่วแน่แล้วเปิดออก

บุษบาเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง เมื่อเห็นภวัตยืนหันหลังให้อยู่ และกำลังมองท้องฟ้าที่เดิม บุษบางุนงงสุดๆ
“ภวัต”
ภวัตหันมามอง
“อ้าว...บุษ”
“คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ ... สักครู่นึงแล้ว”
“ทำไมบุษไม่เห็น บุษคุยอยู่กับพี่ไชยที่ระเบียง ถ้าคุณจะเดินมาที่ห้องคุณต้องออกจากลิฟท์ แล้วเดินผ่านบุษกับพี่ไชย ...นอกจากว่า...” บุษบาหยุดพูดไป
ภวัตมีสีหน้าลำบากใจ
“นอกจากว่าคุณจะเข้ามาทางหน้าต่าง”
“ผมคงเข้าก่อนบุษจะคุยกับหมอไชย”
“เป็นไปไม่ได้ เพราะบุษเข้ามาหาคุณก่อนหน้านั้น แต่คุณไม่อยู่ ที่จริง บุษได้ยินเสียงคุณเหมือนจะคุยกับแนนนี่ ...” บุษบากุมขมับ “โอ๊ย .. ปวดหัว”
ภวัตเดินมาแตะไหล่บุษบาแล้วพามานั่ง
“มานั่งพักผ่อน อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก
บุษบายอมตามมานั่งแต่โดยดีแล้วหลับตาลง ภวัตมองอย่างเห็นอกเห็นใจ บุษบานิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วลืมตาขึ้น
“ภวัตคะ”
ภวัตทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ แล้วจับมืออย่างอ่อนโยน
“บอกแล้วไงครับว่าอย่าคิดอะไร ปล่อยใจให้ว่าง”
บุษบาซึ้งจนน้ำตาซึม
“บุษคงกำลังจะเป็นบ้า”
ภวัตโอบไหล่ให้บุษเอียงหน้ามาซบ
“ถ้าคุณบ้า ผมก็คงบ้าเหมือนกัน” ภวัตพึมพำออกมา
บุษบาชะงัก แล้วขยับออกเพื่อมองหน้าให้ถนัด
“คุณว่าอะไรนะคะ”
“ผม...พูดว่าคุณไม่ได้เป็นบ้า”
บุษบาหลับตาลง แล้วเอนซบไหล่ภวัตใหม่ แล้วถอนใจยาว สีหน้าสับสนวุ่นวายค่อยๆ กลับเป็นสุขขึ้น
สักพักหนึ่ง ก็มีเสียงโครมดังขึ้น ทั้งสองคนสะดุ้ง หันไปมองตามเสียงนั้นพร้อมกัน
และเห็นทาฮิร่านั่งบีบสะโพกพลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เพราะกะระยะลงผิด

ปีเตอร์ซึ่งรอแนนนี่อยู่ที่บริเวณมุมหนึ่งในมหา’ลัย ลุกขึ้น เมื่อสัญญาณเข้าห้องเรียนดังขึ้น พร้อมกับมองนาฬิกาด้วยความเคยชิน
“ทำไมยังไม่มาอีก มือถือก็ไม่รับ”
ปีเตอร์ส่ายหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วออกเดินไป จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมา
“ปีเตอร์”
ปีเตอร์หันขวับมา นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อเห็นเป็นแนนนี่เดินแกมวิ่งตรงมา
“ทำไมมาสาย โทร.ไปก็ไม่รับ” ปีเตอร์ถามอย่างร้อนใจ
“แวะทำธุระนิดหน่อย” แนนนี่ว่า
ทั้งสองคุยกันไปขณะเดินเข้าตึกเรียนด้วยกัน
“ธุระอะไร”
“ไม่บอก เพราะว่าบอกไม่ได้”
“ไม่ไว้ใจผมเหรอ”
“ไว้ใจ แต่บางเรื่องก็ต้องขอเก็บไว้เป็นส่วนตัวบ้าง”
แนนนี่ตบไหล่ปีเตอร์ ปีเตอร์ลอบชำเลืองมองน้อยใจ

ภวัตคุกเข่าลงตรวจขา และสะโพกทาฮิร่า
“คงต้องเอ็กซเรย์หน่อยนะครับ จะได้รู้แน่ว่าหักหรือเปล่า” ภวัตว่า
“ไม่ ฉันอยู่มาเป็นร้อยเป็นพันปี กระดูกไม่เคยหัก” ทาฮิร่าเผลอพูดออกไป
“ยิ่งอยู่นานขนาดนั้นยิ่งไว้ใจไม่ได้ ทำไปทำมาอาจจะป่นด้วยซ้ำ”
“โฮ้ย พูดอะไรกันไม่เห็นรู้เรื่อง ภวัต ยัยป้าคนนี้...” บุษบาไม่เคยเจอทาฮิร่า จึงไม่รู้จัก
“หน็อย! มาเรียกฉันว่าป้า ฉันน่ะแก่กว่าต้นตระกูลหล่อนอีกนะยะแม่กระแตแต้แว้ด”
ถูกทาฮิร่าเยาะแกมเหน็บ บุษบากรี๊ดลั่นห้อง
“แอร๊ยย”
“เสียงเหมือนช้างพัง” ทาฮิร่าว่า
บุษบากรี๊ดอีก “อ๊าย...ภวัต มันหาว่าบุษอ้วนเหมือนช้าง”
“แม่คนนี้พูดไม่รู้ฟัง ฉันบอกว่า เสียงหล่อนน่ะแปร๋นเหมือนช้าง” ทาฮิร่าบอกหน้าเฉย
“พอทีเถอะครับ”
ทาฮิร่าลุกขึ้น “ฉันจะกลับละ” หลับตา เริ่มว่าคาถา “อัม”
ภวัตตกใจ รีบคว้าแขนทาฮาร่าซึ่งกำลังชูขึ้น “เดี๋ยวครับ! คุณยาย”
“อะไรอีกล่ะ”
“ผมว่าผมไปส่งเองดีกว่า”
“ภวัตคะ”
“เดี๋ยวกลับมาค่อยคุยกัน ผมต้องไปส่งคุณยายก่อน ขอตัวนะครับไปครับคุณยาย”
ภวัตช่วยประคองทาฮิร่าลุกขึ้น
“บอกว่าฉันขี่ไม้กวาดกลับเองได้”
“ที่นี่ไม่มีใครเขาขี่ไม้กวาดครับ...เขานั่งรถกัน”
ภวัตพูดพลาง รีบพาตัวทาฮิร่าออกไป บุษบามองตามด้วยหงุดหงิด แกมครุ่นคิด
“ภวัตไปรู้จักยัยป้านี่มาตั้งแต่ครั้งไหน แล้วแกเข้ามาได้ยังไง”
บุษบาเดินไปที่หน้าต่าง ชะโงกมอง แต่ก็ไม่มีที่จะปีนขึ้นมาได้ และระยะทางก็สูงมาก
“หรือแกเข้ามาพร้อมภวัต โอ๊ย...ปวดหัว”

ภวัตเปิดประตูให้ทาขึ้นไปนั่ง แล้วตัวเองอ้อมไปขึ้นด้านคนขับ
“คาดเข็มขัดด้วยครับ”
ทาฮิร่าก้มลงมองที่เอวตัวเอง
“ฉันคาดอยู่แล้ว”
“ผมหมายถึงเข็มขัดนิรภัยครับ ขอโทษนะครับ”
ภวัตเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดมาคาดให้
“ทำไมจะต้องคาด”
“เพื่อความปลอดภัย”
“ฉันขี่ไม้กวาด เป็นร้อยเป็นพันปีไม่เห็นต้องคาด” ทาฮิร่าแย้ง
“คุณยายมาอยู่เมืองมนุษย์ คุณยายก็ควรจะทำตัวให้เหมือนพวกมนุษย์”
“นายภวิต”
“ผมชื่อภวัต เมื่อไหร่คุณยายจะเรียกถูกสักที”
“เปิดประตูให้ฉันออกไปหน่อย ฉันจะขี่ไม้กวาดกลับ”
ภวัตสตาร์ทรถ “ระหว่างทางผมจะเล่าเรื่องแนนนี่ให้ฟัง”
“แนนนี่มีเรื่องอะไรอีก” ทาฮิร่าชะงักรีบถามทันที
ภวัตขับรถออกไป

บรรยากาศต่างๆ ภายในมหา’ลัย เริ่มจ่อกแจ่กจอแจ เมื่อเสียงสัญญาณหมดเวลาเรียนดังขึ้น เด็กๆ ออกมาจากห้องเรียน บ้างเป็นชั่วโมงว่าง บ้างมีเรียนต่อ แนนนี่เดินออกมากับเพื่อนๆ รวมทั้งปีเตอร์ทั้งหมดเดินคุยกันไป จังหวะนั้นมีเสียงเรียกดังขึ้น
“แนนนี่”
แนนนี่หันไปมอง แล้วชะงัก เมื่อเห็นทาฮิร่าแต่งชุดนักศึกษา ออกท่าทางแบบวัยรุ่นรออยู่
“ตายแล้ว” แนนนี่ยกมืออุดปาก
ทุกคนหันมามองตาม
“เพื่อนแนนนี่เหรอ หน้าตายังกับอยู่ปี 10 แน่ะ” เพื่อนคนหนึ่งว่า
แนนนี่หันไปยิ้มแห้งๆ แทนคำตอบ “ทุกคนไปกันก่อนเถอะ...เดี๋ยวแนนนี่ตามไป”
“ผมจะไปพร้อมแนนนี่” ปีเตอร์บอก
“ไม่ต้อง สั่งข้าวเผื่อแนนนี่ด้วยก็แล้วกัน”
แนนนี่รีบเดินแกมวิ่งไปที่ทาฮิร่า โดยปีเตอร์มองตาม
“ไปคุยกันในรถดีกว่าค่ะ”
ทาฮิร่าเดินตามแนนนี่ไป

แนนนี่เดินนำทาฮิร่าพลางกดรีโมท แล้วเดินมาเปิดประตูรถให้ยาย
“เชิญค่ะ”
ทาฮิร่าขึ้นไปนั่ง แนนนี่อ้อมขึ้นที่คนขับ ทาฮีร่าดึง Belt มาคาด
“ไม่ต้องคาดค่ะ คุณยาย”
“อ้าว! เมื่อกี้นายภวิตบอกให้คาด” ทาฮิร่าว่า
แนนนี่ชะงัก “คุณยายนั่งรถ พี่ภวัตหรือคะ”
“ใช่ ! แล้วเขาก็เล่าให้ฟังเรื่องที่แนนนี่ขโมยผ้าเช็ดตัวของเขาไป”
แนนนี่หงุดหงิดขึ้นมาทันที “ขี้ฟ้องดีนัก”
“ทำไมแนนนี่ถึงต้องทำอย่างนั้น” ทาฮิร่าเสียงดุใส่
แนนนี่ฮึดฮัดอยู่ไปมา ด้วยความหงุดหงิดใจ

เพื่อนๆ นั่งกินอาหารที่สั่งกันอยู่ ยกเว้นปีเตอร์ซึ่งยังไม่ยอมกินท่าเดียว เก้าอี้ข้างๆ ตัวเขามีหนังสือวางจองที่ไว้ บนโต๊ะมีอาหารอีกจาน และน้ำ วางรอไว้ให้แนนนี่
“ถ้าแนนนี่ไม่มา ปีเตอร์มันก็ยอมอดตาย” เพื่อนในกลุ่มที่นั่งด้วยกันแซว
ปีเตอร์อ้าปากจะพูด แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมาแว่บหนึ่ง เมื่อมองไปเห็นแนนนี่กำลังเดินมา
“มาแล้ว”
“เว่อร์ว่ะ แค่ไม่เห็นกัน 20 นาที มันทำยังกับไม่เห็นกัน 20 ปี” เพื่อนแซวปีเตอร์ต่อ
“นินทาอะไรแนนนี่” แนนนี่เดินเข้ามานั่งลง
“นินทาว่าแนนนี่หายไป 20 นาที ปีเตอร์มันทำเหมือนหายไป 20 ปี” เพื่อนว่า
“ถึงงั้นเชียว” แนนนี่หันมามองปีเตอร์ยิ้มๆ
ปีเตอร์สีหน้าเก้อเขินขึ้นมาทันทีทันใด แนนนี่เห็นเข้าก็หัวเราะ
“เฮ้ย! เป็นอะไร ปีเตอร์ หน้าแดงแจ๋เลย”
ทุกคนหัวเราะขบขัน ปีเตอร์ยิ่งเขิน แนนนี่กำหมัดต่อยแขนปีเตอร์ยั่วเย้า แล้วกินข้าว
จากนั้นทั้งหมดก็กินกันไป คุยกันไป

บาบาร่าชะโงกหน้าออกไปดู เมื่อได้ยินเสียงรถบีบแตร เห็นรถตู้คันหนึ่งกำลังแล่นเข้าบ้านปัทมน
โป่งเดินไปท่าทีรีบร้อนจากบ้านจักรวาล ตรงไปบ้านปัทมน บาบาร่าร้องบอก
“มากันแล้ว”

ครู่ต่อมาจักรวาล และโป่งคนรถช่วยกันประคองพาธานีมานั่งที่โซฟา
“โถ...เป็นยังไงบ้างคะ คุณธานี ผาดเป็นห่วงแทบแย่” ผาดหน้าตื่นเข้ามา
“ขอบคุณมากจ้ะ ป้าผาด ผมค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว”
“หมอยังแปลกใจ ที่ธานีเริ่มขยับเดินได้ทั้งๆ ที่คาดว่าจะต้องใช้เวลาหลายเดือน”
“เหมือนใช้เวทมนตร์” จักรวาลพูดพลางทรุดตัวลงนั่ง
ปัทมนชะงัก สีหน้าเหมือนจะฉุกคิด และทบทวนอะไรบางอย่าง
“ใช่ครับ...ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”
สีหน้าธานีเหมือนจะพยายามทบทวนความทรงจำเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนหน้านี้

เนื่องจากเป็นเวลาดึกสงัดทั่วทั้งโรงพยาบาลดูสงบเงียบ ธานีนอนหลับอยู่ภายในห้อง มีแสงไฟสลัวรางเปิดให้แสงตรงมุมห้อง จังหวะหนึ่งเหมือนมีใครคนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ใครคนนั้นเดินเข้ามาถึงเตียง แล้วยื่นมือมาแตะบริเวณที่หักเป็นระยะๆ ธานีขยับเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ปรือตาขึ้น
สายตาของธานีเห็นผู้หญิงในชุดจินนี่ดูพร่าเลือน มองเห็นหน้าตาไม่ชัด ธานีไม่รู้ว่าเธอคือแนนนี่!!
แนนนี่เหมือนพึมพำว่าคาถา แล้วโบกมือไปมาเหมือนบริเวณที่หัก ร่างนั้นค่อยๆ กลายเป็นควันแล้วหายไป

ธานีพยายามผงกหัวขึ้นมาจะพูด แต่ก็ไม่มีเสียงออกมาสักแอะ

อ่านต่อตอนที่ 12 พรุ่งนี้ (2 ก.พ. 55) เวลา 9.30 น.




กำลังโหลดความคิดเห็น