กระบือบาล ตอนที่ 13
สรนุชกับอรอนงค์เดินออกมาจากออฟฟิศ สองสาวอยู่หน้าบริษัทคาบาตี้ กำลังจะกลับโรงแรมที่พัก
“แกว่าเราติดกล้องวงจรปิดดีมั้ย” สรนุชปรารภ
อรอนงค์ควานหากุญแจในกระเป๋าเพื่อล็อคประตู “ตรงไหน”
“ก็ทั้งออฟฟิศน่ะแหละ...โดยเฉพาะด้านหน้านี่...เวลาที่พวกนั้นแอบมาปาขี้ควายจะได้มีหลักฐานไง”
อรอนงค์ส่ายหน้า ก่อนจะหันไปล็อคประตูบริษัท
ระหว่างนั้นสรนุชหันไปเห็นคนหาของป่า คนเดียวกับที่ใจเด็ดเห็น ขี่จักรยานเลี้ยวออกมาจากซอย สรนุชเพ่งมองด้วยความระวังตัวเต็มที่ แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นชายคนนั้นใส่เสื้อแจ๊คเก็ตของเธอ
วินาทีนั้นสรนุชนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอกับใจเด็ดออกจากป่า โดยลืมเสื้อแจ๊คเก็ตทิ้งเอาไว้
สรนุชตัดสินใจบางอย่างขึ้นมาทันที หันไปตะโกนบอกอรอนงค์
“เจอกันที่ห้องนะอร”
สรนุชวิ่งตามชายคนนั้นไปทันที
“นุช...แกจะไปไหน”
อรอนงค์มองตามก็เห็นสรนุชวิ่งเข้าไปในซอยหนึ่ง อรอนงค์มองตามด้วยความแปลกใจ
ใจเด็ดเดินตามหาคนหาของป่ามาตามทาง ที่รายล้อมไปด้วยบ้านช่องที่ปิดเงียบกันหมดแล้ว
ใจเด็ดหันมองซ้ายขวาไม่เจอใคร...เอาไงดี
ส่วนสรนุชวิ่งตามคนหาของป่ามาติดๆ “คุณ...เดี๋ยวก่อน”
คนขายของป่าจอดจักรยานไว้ แล้วเดินลิ่วๆ ไปตัดเข้าอีกซอย โดยไม่สนใจสรนุช
สรนุชรีบกวดตามทันที
ชายคนหาของป่าเดินมาถึงริมน้ำก่อนจะลงนั่งริมน้ำพักเหนื่อย
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งออกจากซอยจนมาถึงริมน้ำสวยแห่งหนึ่ง สรนุชชะงักไปแล้วดีใจเมื่อเห็นคนหาของป่านั่งอยู่ริมน้ำ สรนุชรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“คุณ...คุณคะ”
คนหาของป่าหันมาเห็นสรนุชก็แปลกใจ “อะไร”
สรนุชเหนื่อยหอบจนพูดไม่ไหวเลยชี้ไปที่เสื้อแจ๊คเก็ตที่คนหาของป่าใส่อยู่ แต่คนหาของป่าเข้าใจผิด
“อ๋อ...จะเอาอะไรล่ะ...เออ...แต่วันนี้มีแต่ลูกมะไฟนะ”
“ไม่...ไม่ใช่...ฉันอยากได้เสื้อของฉันคืน”
คนหาของป่าเปลี่ยนท่าทีทันที “เสื้อไร...เสื้อนี่ข้าเจออยู่ในป่า”
“ก็นั่นแหละ...เสื้อฉัน”
คนหาของป่าโมโห “โห...ไม่ง่ายเกินไปหน่อยคุณผู้หญิง...มีหลักฐานอะไรมั้ยที่บอกว่าเสื้อนี่เป็นของคุณน่ะ”
สรนุชเริ่มเซ็ง “ไม่มี”
“ถ้างั้นมันก็เป็นของข้า”
คนหาของป่าหันไปหยิบกระสอบขึ้นไพล่ไหล่จะเดินหนี สรนุชรีบเข้ามาขวางก่อนจะเปิดกระเป๋าสตางค์ออกแล้วยื่นแบงค์พันให้กับคนหาของป่า
“ฉันให้พันนึง...ขายเสื้อตัวนั้นให้ฉันแล้วกัน”
คนหาของป่าชะงักมองแบงค์พัน “ก็ได้”
ชายคนหาของป่าดึงแบงค์พันของสรนุชไปก่อนจะถอดเสื้อให้ แต่แล้วกลับหยุดกึก
“เอ...แต่กว่าที่ข้าจะเจอเสื้อตัวนี้...มันลำบากแค่ไหน...คุณรู้มั้ย...ข้าว่า...ข้าไม่ขายดีกว่า” ทำท่าจะใส่เสื้อคืน
“อ้าว...เดี๋ยวดิ...” สรนุชมองสายตาคนหาของป่าที่มองกระเป๋าสตางค์ก็รู้ว่าต้องการอะไร “งั้นฉันให้อีกพัน”
คนหาของป่าดึงแบงค์พันไปแล้วรีบถอดเสื้อทันที “ก็ยังดี...ไม่คุ้มค่าเหนื่อยข้านะเนี่ย” แต่แล้วก็ชักเสื้อกลับ “ข้าว่า...ข้าเก็บไว้ดีกว่า”
คนหาของป่าทำท่าจะใส่เสื้ออีก แต่ถูกสรนุชดึงเสื้อเอาไว้ ก่อนจะดึงคนหาของป่าเข้ามาพูดเสียงแข็ง
“ฉันจะให้อีกพันนึง...ถ้าไม่ขาย...ก็เก็บเอาไว้ใส่เองแล้วกัน”
คนหาของป่าถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก เมื่อโดนสรนุชกระชากคอเสื้อเข้ามาอย่างเอาเรื่อง
ส่วนใจเด็ดวิ่งไล่ตามคนหาของป่ามาแต่ก็คลาดกัน ระหว่างนั้นใจเด็ดเหยียบอะไรเข้าอย่างนึง ใจเด็ดยกเท้าขึ้นดูก่อนจะเห็นว่าเป็นลูกมะไฟ
ใจเด็ดมองไปที่พื้นแล้วก็เห็นลูกมะไฟร่วงเป็นอยู่ที่ถนน ใจเด็ดนึกไปถึงตอนที่เจอคนขายของป่าที่หน้ารถเขาทันทีว่าคนขายของป่าถือถุงกระสอบขาดๆ ใบหนึ่ง
ใจเด็ดตัดสินใจเดินตามทางที่ลูกมะไฟหล่นไป
ใจเด็ดเดินตามลูกมะไฟที่หล่นมาจนมาถึงที่ริมน้ำ แล้วใจเด็ดก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสรนุชนั่งมองเสื้อแจ๊คเก็ตในมืออยู่ที่ริมน้ำนั้น
เป็นจังหวะเดียวกับที่สรนุชหันมาพอดี สรนุชเองก็อึ้งไปเหมือนกันเมื่อเจอกับใจเด็ดยืนอยู่
“นาย..! ทำไม...คราวนี้จะเอาอะไรมาลอบทำร้ายอะไรฉันอีก”
“ผมไม่ได้ตามคุณมา” ใจเด็ดมองเสื้อ “ผมมาตามเสื้อของผม...ขอเสื้อให้ผมด้วย”
สรนุชรีบซ่อนเสื้อเอาไว้ข้างหลังทันที
“นายเป็นคนประเภทไหนเนี่ย...ให้เขาไปแล้วจะมาทวงคืนได้ไง”
ใจเด็ดเดินเข้ามา สรนุชค่อยๆ ถดตัวถอยตามจังหวะก้าว สรนุชถอยมาจนสุด เกือบจะตกน้ำ
“แต่มันเป็นของผม”
ใจเด็ดเดินเข้ามาอีก สรนุชถอยอีกแต่แล้วสรนุชก็เสียหลัก
“ระวัง !!!”
ใจเด็ดรีบพุ่งเข้ามาดึงสรนุชไว้ได้ทันก่อนที่จะตกน้ำไป ทั้งสองสบตากันในระยะใกล้ชิด
ทันใดนั้นใจเด็ดก็ถอยหนีพร้อมกับดึงเสื้อในมือของสรนุชไปด้วย สรนุชอึ้งไป
“นี่...เอาเสื้อฉันมานะ”
สรนุชไม่ยอมรีบพุ่งเข้าไปแล้วดึงเสื้อในมือใจเด็ดคืน
ใจเด็ดยื้อกลับ “ก็คุณทิ้งมันไปแล้ว”
สรนุชยื้อคืน “ก็ฉันเปลี่ยนใจแล้วนี่”
ดึงกันไปยื้อกันมา ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียง แคว่ก !!!
ใจเด็ดกับสรนุชชะงักไป เห็นแขนเสื้อขาดออก
ใจเด็ดค่อยๆ ปล่อยเสื้อให้สรนุช สรนุชมองมันด้วยความเสียใจ
“นายอยากได้มันคืนมากใช่มั้ย”
ใจเด็ดชะงัก เมื่อเห็นน้ำตาของสรนุชเอ่อคลอที่เบ้าตา
สรนุชปาเสื้อแจ๊คเก็ตให้ใจเด็ดแล้วเดินจากไปด้วยความเสียใจ ใจเด็ดมองเสื้อที่กองอยู่ที่พื้น...เสียใจเช่นกัน
คืนนั้นที่บ้านพักใจเด็ดไฟในห้องของใจเด็ดยังสว่างอยู่ ภายในห้องใจเด็ดกำลังนั่งเย็บเสื้อแจ๊คเก็ตอยู่ที่โต๊ะ ใจเด็ดเย็บอย่างทุลักทุเล เข็มทิ่มนิ้วก็หลายที
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของเกริกไกร “ไอ้เด็ด”
ใจเด็ดสะดุ้งสุดตัวรีบซ่อนเสื้อเอาไว้ในลิ้นชัก ก่อนจะเดินไปประตูให้ เกริกไกรเดินเข้ามา
“มีไรวะหมอ”
“ทำอะไร”
“ก็...ก็ทำงานไง”
“เฮ้อ...ฉันว่าแกอย่าหักโหมมากไปจะดีกว่า...แกก็รู้ว่าตอนนี้แกเป็นยังไง”
“ขอบใจมากหมอ...ฉันทำเสร็จแล้วกำลังจะนอนพอดี”
เกริกไกรพยักหน้าให้ ตบไหล่ให้กำลังใจเพื่อนแล้วเดินออกไป
ใจเด็ดรีบตรงมาหยิบเสื้อในลิ้นชัก ก่อนจะเปิดโคมไฟที่โต๊ะหัวเตียง แล้วเดินไปปิดไฟห้อง
ใจเด็ดนั่งเย็บเสื้ออยู่ใต้ผ้าห่ม โดยมีไฟจากโคมไฟตั้งโต๊ะให้แสงสว่าง
ด้านสรนุชลับมาถึงห้อง อาบน้ำเสร็จ ออกมายืนอยู่ที่ริมระเบียงห้องมองออกไปในความมืด คิดถึงตอนที่แย่งเสื้อกับใจเด็ด
“ก็ดี...ขอให้ความสัมพันธ์ของเรา...มันขาดเหมือนเสื้อตัวนั้นแล้วกัน”
สรนุชกล่าวอย่างมุ่งมั่น พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป
เช้าวันใหม่ สรนุช กับอรอนงค์กำลังเสนอการขายให้กับชาวบ้านที่รุมล้อมด้วยความสนใจ
“รถไถของเรามีแบบผ่อนสั้นผ่อนยาวนะคะ”
“คุณป้าไม่ลองเอาไปใช้ดูเหรอคะ”
ชาวบ้านต่างดูโบชัวร์ที่สรนุชแจกให้ แต่เหมือนไม่ค่อยสนใจกับโบชัวร์เท่าไหร่
“ทางเรายินดีให้ใช้ฟรีเจ็ดวัน...ถ้าไม่พอใจยินดีรับคืนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย...ลองมั้ยคะ” สรนุชว่า
“เอ่อ...ถามอะไรหน่อยได้มั้ยหนู” ป้าคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น
สรนุชดีใจที่ป้าสนใจ “อะไรคะ”
“ตกลงที่คนที่ปาขี้ควายใส่หนูน่ะ...ใช่หัวหน้าใจเด็ดจริงๆ เรอะ”
สรนุชชะงักเซ็งเป็ดเพราะคิดว่าสนใจรถไถ
“ตอนนี้เราพูดอะไรไม่ได้หรอกคะ...เดี๋ยวจะเสียรูปคดี” อรอนงค์บอก
“โอ๊ย...ถ้าพูดอย่างนี้ละก็ใช่แน่นอน...หนูนี่เก่งเนอะ...โดนขนาดนี้แล้วยังกล้าออกมาขายอยู่อีก” อีกคนว่า
สรนุชกับอรอนงค์หันมองหน้ากันชักเซ็งๆ
“เอ่อ...แล้วคุณป้าสนใจรุ่นไหนคะ...ทางเราจะได้จองเอาไว้ให้ก่อน”
“แล้วทำไมทางตำรวจเขาไม่จับหัวหน้าใจเด็ดละ” ป้าอีกคนถาม
สรนุชชักเหลืออด “โทษนะคะ...ถ้าใครอยากรู้เรื่องนี้...ให้ถามทางตำรวจดีกว่าค่ะ...เพราะตำรวจห้ามไม่ให้เราพูดอะไร”
กลุ่มชาวบ้านเริ่มซุบซิบกันเซ็งแซ่ อรอนงค์รีบเปลี่ยนเรื่อง
“งั้น...ลองดูตัวนี้มั้ยคะ...เป็นรุ่นกลาง”
“ไม่เป็นไรจ้ะหนู...เอาไว้วันหลังป้ามาใหม่นะ”
พอพวกป้าๆ เดินออกไป ชาวบ้านคนอื่นๆก็เดินออกไปเช่นกัน
“อ้าว...เดี๋ยวก่อนซิคะ” อรอนงค์เรียกชาวบ้านไว้ ก่อนจะหันมาพูดกับสรนุช “ท่าทางเขาสนใจเรื่องขี้ควายมากกว่ารถไถนะนุช”
สรนุชหน้าเครียด
สรนุชกับอรอนงค์นั่งหมดแรงอยู่ที่บู้ทรถไถคาบาตี้
“เฮ้อ...ทำไมชาวบ้านถึงได้แต่สนใจเรื่องขี้ควายเนี่ย”
สรนุชเงียบ
“เป็นอาทิตย์แล้วเรายังขายรถไถไม่ได้สักคัน” อรอนงค์บ่นอุบ
สรนุชเงียบ ในใจเริ่มรู้สึกหมดหวังเหมือนกัน ระหว่างนั้นเห็นลุงคนนึงเดินเข้ามา
“หนูๆ”
สรนุชเหลืออดแล้ว พูดสวนออกมา “ลุง...จะสนใจอะไรนักหนา...ถ้าอยากรู้มากทำไมลุงไม่ลองโดนเองบ้าง”
ลุงคนนั้นงง “เอ่อ...ลุงจะบอกว่าตรงนี้มันที่ลุงตั้งโต๊ะขายของ”
สรนุชเหวอ “เอ่อ...ขอโทษค่ะ...พวกเรากำลังจะไปแล้วค่ะ”
สรนุชกับอรอนงค์หน้าสลดลง ก่อนจะหันไปเก็บของเพื่อเตรียมกลับบ้าน
ระหว่างนั้นเสียงตาแมงดังขึ้น
“หนูๆ”
“ค่ะ...ค่ะ...กำลังจะไปแล้วค่ะ” สรนุชรีบเก็บของ
“ไม่ใช่จ้ะ...ลุงอยากจะจองรถไถน่ะ”
สรนุชกับอรอนงค์มองหน้ากันก่อนจะหันมามองเจ้าของเสียงด้วยสีหน้าตกตะลึง ตาแมงงงเมื่อเห็นสายตาของสองสาว
ส่วนที่สถานีใจเด็ดกำลังจับลูกควาย โดยมีคนงานกำลังช่วยกันจับ ลูกควายวิ่งมาทางใจเด็ด
“ทุกคนเตรียมตัว”
ใจเด็ดรีบคว้าตัวลูกควาย แต่จังหวะที่ใจเด็ดกำลังจะกดลูกควายลงกับพื้น จู่ๆใจเด็ดก็ร้องออกมา
“โอ๊ย”
เจนจิราที่ช่วยต้อนลูกควายด้วยเห็นก็ตกใจรีบวิ่งมาดูใจเด็ด
“พี่เด็ดเป็นไรคะ”
ใจเด็ดพยายามซ่อนมือเอาไว้ด้านหลัง เจนจิราแปลกใจเลยคว้ามือใจเด็ดมาดู เห็นนิ้วของใจเด็ดเต็มไปด้วยพลาสเตอร์
“พี่เด็ดไปทำอะไรมา”
ใจเด็ดอึกอักไม่อยากจะบอก ระหว่างนั้นเสียงสมหญิงวิ่งร้องโวยวายเข้ามา
“หัวหน้าคะ...แย่แล้วคะแย่แล้ว”
ใจเด็ดได้จังหวะ เลยชิ่งจากเจนจิรามาทันที “มีอะไรสมหญิง”
“พวกคาบาตี้...พวกคาบาตี้” สมหญิงระล่ำระลัก
“ทำไม...พวกคาบาตี้ทำไม”
“พวกนั้นขายรถไถได้แล้วคะ”
ใจเด็ดกับเจนจิราที่ได้ยินถึงกับอึ้งไป
ตาแมงกับเมียหน้าเศร้า อยู่ต่อหน้าใจเด็ด เกริกไกร และเจนจิรา
“ขอโทษจริงๆ ครับหัวหน้า...ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ”
ใจเด็ด เกริกไกร และเจนจิราอยู่บนบ้านตาแมง มาเพื่อเกลี้ยกล่อม
“มีซิ...ทุกคนมีทางเลือก...ขึ้นอยู่กับว่าตาแมงจะเลือกทางไหน” เจนจิราว่า
“ผมขอโทษจริงๆครับ...พวกญาติๆผมเขาคุยกันแล้ว...แล้วเขาก็อยากได้รถไถจริงๆ...ถ้าผมไม่เอาด้วย...พวกนั้นก็หาว่าผมไม่เอาพี่น้อง”
ใจเด็ดนิ่งเงียบอย่างเข้าใจ
“แล้วควายสามตัวของตาแมงจะเอาไว้ไหน”
ตาแมงกับเมียมองหน้ากันก่อน
“ไอ้แดงกับไอ้ดำก็คงจะเอาไปขายเพื่อมาเป็นเงินเอาไว้ผ่อนรถไถ...ส่วน...เจ้าศรี...เอ่อ...ผมกะว่า...”
ตาแมงนิ่งเงียบไป ใจเด็ดรู้ได้ทันที
“จะขายมันให้กับโรงฆ่าสัตว์เหรอ” เกริกไกรรู้ทันที
“ทำได้ยังไง...ตาแมง...ตอนนี้มันกำลังท้องอยู่นะ...พี่เด็ด...ลูกเจ้าบุเรงนอง” เจนจิราโวย
ตาแมงกับเมียนิ่งเงียบ
ใจเด็ดปราม “เจน” หันไปพูดกับตาแมง “ตาแมง...มีอะไรให้ฉันช่วยได้บอกมาเลย...ขออย่างเดียว...อย่าขายควายให้โรงฆ่าสัตว์ได้มั้ย”
“ขอโทษจริงๆครับหัวหน้า...ผมวางเงินจองไปแล้ว”
กระบือบาลทั้งสามคนถึงกับอึ้งไป
สุบินยืนชะเง้อรอการกลับมาของใจเด็ด
“กลับมาเร็วๆซิคุณใจเด็ด...ผมอยากรู้เรื่องเดียวเอง”
สุบินเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ ระหว่างนั้นใจเด็ด เกริกไกรและเจนจิราเดินเข้ามา สุบินเห็นก็ดีใจรีบวิ่งเข้าไปหา
“โห...ไปไหนกันมาครับ”
ทั้งหมดเงียบไม่พูดไม่จา สุบินไม่สงสัยอะไรจึงถามคำถามทันที
“คือ...ผมอยากจะรู้น่ะครับว่าควายเนี่ย”
“เอาไว้วันหลังแล้วกันนะคุณสุบิน”
ใจเด็ดพูดแค่นั้นก่อนจะสีหน้าเครียดออกไปพร้อมกับเกริกไกร สุบินพยายามจะเรียก
“อ้าว....ผมขอเวลาแป๊ปเดียว”
เจนจิราเข้ามาขวาง “ตอนนี้พี่เด็ดเขาไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้น”
“ไหงงั้นอ่ะ...เอ่อ...มีเรื่องอะไรหรือเปล่า...ทำไมคุณใจเด็ดกับหมอดูเครียดจัง”
“ไปถามเพื่อนนายดูซิว่าทำอะไรเอาไว้”
พูดจบเจนจิราทำท่าจะเดินออกไป สุบินสงสัยจึงรีบเข้ามาถามด้วยความอยากรู้
“เกิดอะไรเหรอคุณ”
“นายไม่ต้องทำหน้าเซ่อหรอก...เพื่อนนายคงฝากให้มาดูหน้าพวกเราใช่มั้ยว่าการที่ควายถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์แล้วพวกเรารู้สึกยังไง”
สุบินอึ้ง
“ชาวบ้านซื้อรถไถคันนึงก็เท่ากับควายถูกฆ่าตัวนึงเหมือนกัน”
เจนจิราเดินออกไป สุบินถึงกับอึ้งไปเมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
สรนุชยืนถือใบจองอยู่บนโต๊ะ “ทุกคนเห็นมั้ยนี่อะไร”
อรอนงค์ ชิดชัย ลูกน้องและพนักงานทุกคนยืนรวมกันอยู่ที่โถงบริษัท
“ใบจอง” ทุกคนประสานเสียง
“ไม่ใช่” สรนุชบอก
ทุกคนถึงกับงงมองหน้ากันเอง
“นี่คือ...ก้าวแรกแห่งความสำเร็จของเราต่างหาก”
เสียงตบมือก็ดังลั่นบริษัทคาบาตี้ ชิดชัยแอบมองด้วยความหมั่นไส้
“ฉันขายได้...ไม่เห็นจะดีใจขนาดนี้เลย”
“แต่กว่าลูกพี่จะขายได้ก็ตั้งหลายเดือนนะครับ...แต่คุณนุชแกใช้เวลาแค่สองอาทิตย์เอง...เก่งจริงๆเนอะพี่”
ชิดชัยกระทุ้งศอกเข้าเต็มท้องของลูกน้อง สรนุชยังพูดกับพนักงานเพื่อให้กำลังใจ
“ในวันนี้เรามีคันแรก...แล้วคันที่สอง...คันที่สาม...แล้วคันที่ร้อยจะตามมาใช่มั้ย
พนักงานตบมือกันรับสนั่น จังหวะนั้นสุบินเดินประตูผัวะ! เข้ามา
ทุกคนถึงกับชะงักไปแล้วมองสุบินเป็นตาเดียว เช่นเดียวกับสรนุชและอรอนงค์ที่แปลกใจที่สุบินมาที่นี่
ครู่ต่อมาทั้งสามคนอยู่ที่ด้านหน้าบริษัทคาบาตี้ สรนุชมีสีหน้าผิดหวัง
“ฉันก็นึกว่าแกจะกลับมาอยู่พวกเรา...ที่ไหนได้...มาบอกให้ฉันเลิกขายรถไถซะงั้น...สุบิน...ฉันถามจริงๆเถอะ...ตอนนี้แกเป็นพวกกระบือบาลไปแล้วใช่มั้ย”
สรนุชพาสุบินนั่งคุยอยู่ที่โต๊ะม้าหินด้านนอกกับอรอนงค์
“ฉันไม่ได้เป็นพวกไหน...พวกแกก็เพื่อน...พวกนั้นก็เพื่อน” สุบินว่า
“ในเมื่อแกเป็นเพื่อนพวกเรา...แกก็น่าจะดีใจที่พวกเราขายรถไถคันแรกได้แล้วนะ” อรอนงค์บอก
สุบินนิ่งงันไปก่อนจะพูดกับอรอนงค์และสรนุชอย่างจริงจัง
“แกรู้มั้ยว่าการที่แกขายรถไถได้มันหมายถึงอะไร”
“ก็หมายความ...พวกนั้นกำลังจะแพ้ไง”
“ใช่...แต่นอกจากการแพ้ชนะแล้ว...มันยังหมายถึงชีวิต!” สรนุชกับอรอนงค์แปลกใจ “ฉันได้ยินมาว่า...ตาแมงที่แกขายรถไถให้น่ะ...กำลังส่งควายไปให้โรงฆ่าสัตว์”
สรนุชกับอรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
“อะไรนะ...แกพูดจริงเหรอสุบิน”
“จริงซิ...ฉันได้ยินคนที่สถานีเขาคุยกัน...นุช...แกช่วยควายตัวนั้นได้นะ”
สรนุชมองหน้าสุบินก่อนจะยิ้มออกมา “พวกนั้นให้นายมาพูดอย่างนี้ใช่มั้ย”
“อะไร”
“ก็ให้แกมาพูดอย่างนี้...เพื่อให้ฉันขายรถไถไม่ได้ไง” สรนุชว่า
“จริงเหรอสุบิน” อรอนงค์ไม่อยากเชื่อ
“นุช...ฉันไม่ใช่คนเอาเรื่องความเป็นความตายมาล้อเล่นแกก็รู้...ถ้าแกไม่เชื่อ...แกก็ไปดูด้วยตาตัวเอง”
สุบินพูดจบก่อนจะเดินหัวเสียออกไป สรนุชมองตามด้วยความกังวล
ชิดชัยกับลูกน้องมองไปทางห้องสรนุชอยากรู้อยากเห็น
“เรื่องอะไรเหรอลูกพี่”
“ไม่รู้เว้ย...หรือว่ายัยนั่นให้ไอ้ผู้ชายคนนั้นคอยเป็นสายวะ” ชิดชัยตั้งข้อสังเกต
ชิดชัยมองเข้าไปด้วยความอยากรู้ก่อนจะตัดสินใจเดินไปแอบฟัง ระหว่างนั้นเสียงเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้น ชิดชัยหยิบมือถือขึ้นมาดู
มีข้อความแจ้งเตือนว่าพรุ่งนี้วันเกิดชาญณรงค์
“เฮ้ย...พรุ่งนี้วันเกิดผู้พันนี่หว่า”
ชิดชัยหรี่ตาร้ายลงอย่างมีแผนขึ้นมาทันที
เวลาต่อมา ตาแมง และคนงานจากโรงฆ่าสัตว์อีกสองคนกำลังช่วยกันดันช่วยกันดึงควายตาแมงขึ้นไปบนรถกระบะ
ระหว่างนั้นรถของสรนุชขับเข้ามาจอดเอี๊ยดจนฝุ่นตลบ ทั้งควายทั้งคนต่างก็ตกใจ สรนุชลงจากรถก่อนจะรีบเข้ามาหาตาแมง
“อ้าว...คุณนุช”
“ลุงแมง...ลุงจะเอาควายไปไหน”
“โรงฆ่าสัตว์ไง...” ตาแมงบอก
สรนุชอึ้งไป จริงอย่างที่สุบินว่า
“ทำไมต้องส่งมันให้โรงฆ่าสัตว์ด้วย...ตาแมงยังเลี้ยงมันต่อก็ได้นี่” สรนุชพูดกับคนงานที่กำลังจะเอาควายขึ้นรถ “โทษนะคะ...อย่าเพิ่งเอามันไปค่ะ”
“อ้าวคุณ...แล้วคุณจะให้ผมเก็บมันไว้ทำไม...เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์...” ตาแมงบอกคนงาน “ไปๆ”
สรนุชรีบเข้าไปขวาง “เดี๋ยวค่ะ”
คนงานชักทนไม่ไหว “เว้ย...เอาไง...ตกลงจะขายมั้ยตาแมง...ดันขึ้นดันลงอย่างนี้เนื้อมันช้ำเสียราคากันพอดี”
“ขายๆ...เอาขึ้นไปเลย” ตาแมงบอก
ตาแมงเดินผ่านสรนุชไปช่วยคนงานเอาควายขึ้นรถกระบะ สรนุชมองตาควายที่ร้องโหยหวนเหมือนรู้ว่ามันกำลังจะไปไหนด้วยความสงสาร
ตาแมงพูดกับสรนุช “ที่จริงคุณน่าจะดีใจนะ...คุณเองก็ไม่อยากเห็นควายพวกนี้อยู่แล้วนี่”
ตาแมงพูดจบก็หันไปรับเงินกับคนงานที่ควักเงินจ่ายกันสดๆ ก่อนที่คนงานจะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
สรนุชมองตาควายตัวนั้น อึ้งไปอย่างแรง
ใจเด็ดแวะมาที่วัด ยืนอยู่หน้าโกศสายใจด้วยความรู้สึกผิด
“ฉันทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเธอไม่ได้...ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษนะสายใจ”
ใจเด็ดถึงกับเข่าทรุดลงหน้าโกศของสายใจอย่างหมดแรง
“ควายพวกนั้นต้องตายเพราะฉัน...ฉันมันอ่อนแอ...ฉันดูแลพวกมันไม่ได้”
ใจเด็ดทุบพื้นดินด้วยความเจ็บใจ ระบายความอัดอั้นจนหมดแรงเหนื่อยหอบ ระหว่างนั้นเสียงของหลวงพ่อดังขึ้น
“เลิกโทษตัวเองได้แล้ว...โยมหัวหน้า”
ใจเด็ดค่อยหันมามองหลวงพ่อที่ยืนอยู่
“หลวงพ่อ...หลวงพ่อทราบเรื่องแล้วเหรอครับ”
หลวงพ่อพยักหน้า
ใจเด็ดรีบคลานเข้ามาหาหลวงพ่ออย่างซมซานเหมือนคนที่ไร้ที่พึ่ง “หลวงพ่อ...หลวงพ่อช่วยผมด้วยครับ...บอกผมหน่อยว่าผมจะช่วยควายพวกนั้นได้ยังไง”
หลวงพ่อมองใจเด็ดอย่างเข้าใจ “กมฺมุนา วตฺตตีโลโก”
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ใจเด็ดแปลอย่างขึ้นใจ
“สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนโลกใบนี้ล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง...อาตมารู้ว่าโยมหัวหน้ารักควาย...อยากช่วยชีวิตควายพวกนั้น...แต่โยมหัวหน้าจะช่วยได้สักกี่ตัว”
ใจเด็ดเริ่มได้สติ แต่ยังไม่คลายความเศร้า
“ถึงควายพวกนั้นไม่ได้ถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์...สักวันนึงมันก็ต้องตายไปตามอายุขัยของมัน...จำไว้นะโยม...คนเราจะฝืนอะไรก็ฝืนได้แม้แต่ใจตัวเอง...แต่เราฝืนกรรมไม่ได้”
ใจเด็ดพนมมือคิดไตร่ตรองสิ่งที่หลวงพ่อพูด
ชาญณรงค์ทำหน้าแปลกใจพอฟังชิดชัยพูดจบ
“อะไรนะ...จะมาจัดงานฉลองที่ขายรถไถได้กับงานวันเกิดของฉันงั้นเหรอ”
ชิดชัยยิ้มใสซื่อ
“ใช่ครับ...เพราะผมเห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันดีจริงๆ...ผู้พันเกิดวันดีอย่างนี้นี่เองถึงได้มีลาภยศ...ผู้คนสรรเสริญ”
“พอแล้วๆ...” โรคขี้เหนียวชาญณรงค์กำเริบ “แต่ฉันกะจะจัดแค่งานเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร...คุณก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้เงินทองมันหายาก”
ชิดชัยรู้ทันชาญณรงค์ว่าต้องการจะบอกอะไร
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลยครับ...ในเมื่อทางผมเป็นคนมาขอผู้พัน...ผมก็คงจะรบกวนแค่เพียงสถานที่เท่านั้น...ส่วนเรื่องการตกแต่ง...อาหารเครื่องดื่ม...ผมขอรับผิดชอบเอง”
ชาญณรงค์หูผึ่ง สนใจแต่ไว้ฟอร์ม “จะดีเหรอคุณชิดชัย”
“ดีซิครับ....ผมขอแค่ชื่อของท่านผู้พันมาร่วมงานก็เป็นเกรียติแก่คาบาตี้ของเราแล้วครับ”
ชาญณรงค์หัวเราะชอบใจ
ชิดชัยเห็นชาญณรงค์อารมณ์ดีแล้วจึงรีบแย๊บแผนในหัวตัวเองทันที
“อ๋อ...แล้วผมก็มีรายการโชว์อีกอย่าง...คิดว่าผู้พันต้องพอใจแน่ๆ”
“โชว์อะไร...อย่าบอกนะว่าโคโยตี้”
“เด็ดกว่านั้นอีกครับ”
ชิดชัยเข้าไปกระซิบบอกกับชาญณรงค์ ชาญณรงค์ตะลึงสนใจขึ้นมาทันที
คืนนั้นสรนุชเดินกลับมาที่หน้าออฟฟิศ อรอนงค์รีบเปิดประตูออกมาหาสรนุชด้วยความเป็นห่วง
“นุช”
อรอนงค์รีบวิ่งเข้ามาหาสรนุชด้วยความเป็นห่วง สรนุชไร้ปฏิกิริยาตอบโต้กับอรอนงค์เหมือนกำลังช็อคกับสายตาของควายคู่นั้น
อรอนงค์มองก็รู้ทันทีว่าสรนุชไปไหนมา “แกไปบ้านตาแมงมาใช่มั้ย”
สรนุชพยักหน้า
“แล้ว...แกช่วยควายพวกนั้นได้มั้ย”
สรนุชส่ายหน้า
ชิดชัยที่อยู่ด้านในเห็นอรอนงค์กับสรนุชยืนคุยกันอยู่ด้านนอกก็สบโอกาส ชิดชัยยิ้มมีเลศนัยก่อนเดินออกมาหาสรนุชกับอรอนงค์ที่กำลังเศร้าเรื่องช่วยควายไว้ไม่ได้
“กลับมาแล้วเหรอครับคุณนุช...ผมรอตั้งนาน”
สรนุชซึมไม่อยากคุยด้วย
“พอดีผมเพิ่งสายจากผู้พัน...ท่านชวนคุณนุชแล้วก็คุณอร ให้ไปงานวันเกิดของแกพรุ่งนี้น่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นบอกไปเลยว่าฉันไม่ว่าง” สรนุชบอก
“โอ้ๆๆ ไม่ได้เลยนะครับ...ผู้พันแกบอกว่าแกอยากเลี้ยงฉลองเรื่องรถไถคันแรกของเราด้วย...แล้วอีกอย่าง...ผมว่าถ้าเราตั้งเป้าที่จะขายรถไถให้ได้สิบห้ากันในเดือนนี้...ผมว่าคุณนุชน่าจะไปซะหน่อยนะครับ”
สีหน้าสรนุชทั้งเหนื่อยกาย ใจก็เหนื่อย ส่วนอรอนงค์ก็เบ๊ปากไม่อยากไป ขณะที่ชิดชัยแอบยิ้มมีเลศนัย
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้
กระบือบาล ตอนที่ 13 (ต่อ)
วันต่อมา บริเวณสนามหญ้าบ้านผู้พันชาญณรงค์ มีการตระเตรียมสถานที่จัดงานวันเกิด เหล่าคนงานกลุ่มหนึ่งกำลังตั้งเวทีเล็กๆ ที่กลางสวนกันอย่างขันแข็ง บางส่วนกำลังดูระบบเครื่องเสียง งานถูกเตรียมตั้งแต่เช้าจวนเที่ยง เกือบแล้วเสร็จ จังหวะนั้นชาญณรงค์เดินเข้ามาสั่งการ
“เฮ้ย...ทำดีๆ นะเว้ย...อย่าให้เสียชื่อผู้พันชาญณรงค์ผู้กว้างขวางแห่งหนองระบือละ” แล้วก็เหลียวมองไปทางหน้าบ้าน “ทำไมไอ้คิดยังไม่มาอีกวะ
ระหว่างนั้นสมคิดวิ่งเข้ามาพร้อมกับพวงหรีดใหญ่บึ้ม
“เฮ้ย ! ไอ้คิด...ฉันให้แกไปซื้ออะไร”
“ดอกไม้ครับ” สมคิดบอก
ชาญณรงค์ดึงพวงหรีดไป “แล้วนี่อะไร”
“ก็ดอกไม้ไงครับ”
ชาญณรงค์เขกหัวดังโป๊ก “นี่แน่ะ...ดอกไม้บ้านป้าแกเหรอ...อันนี้เขาเรียกว่าพวงหรีดเว้ย...แกจะใช้เลยมั้ย...ฉันจะช่วย”
ชาญณรงค์ทำท่าจะเข้ามาเอาเรื่องสมคิด สมคิดรีบบอกทันที
“เดี๋ยวก่อนครับนาย...ที่ผมเอาไอ้นี่มาเพราะผมมีแผนครับ”
“แผนอะไรของแก...งานวันเกิดฉันนะเว้ย...ไม่ใช่งานศพ”
สมคิดมองซ้ายมองขวาก่อนจะเข้าไปกระซิบบอกกับเจ้านาย
ชาญณรงค์ฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไป “เออ...เข้าท่าดีเหมือนกัน...งั้นแกเอาไปเก็บไว้ก่อน”
สมคิดวิ่งถือพวงหรีดออกไป ไม่นานช่อผกาก็เดินเข้ามา
“เอ้าๆ...จะไปไหนนังผกา”
“โธ่พ่อ...พ่อเคยถามฉันยังงี้กี่ครั้งแล้ว...แล้วฉันเคยบอกมั้ย”
“ก็ไม่”
“ก็ใช่ไง...แล้วพ่อจะถามทำไม”
ชาญณรงค์ทำหน้าเซ็ง ช่อผกาทำท่าจะเดินออกไป ชาญณรงค์ก็พูดขึ้น
“ถ้าแกจะไปหาไอ้ใจเด็ด ก็ชวนมางานวันเกิดพ่อคืนนี้ด้วยกันซิ”
ช่อผกาหันขวับไม่เชื่อหู “อะไรนะพ่อ”
“พ่อบอกให้แกชวนใจเด็ดมางานวันเกิดพ่อคืนนี้ไง”
ช่อผการีบเข้ามาเอามืออังหน้าผากพ่อดู “ไม่สบายหรือเปล่าพ่อ...ทำไมปีนี้ถึงให้พี่เด็ดมาด้วย”
“ก็ไม่มีอะไร...พ่อก็แค่อยากเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในวันเกิด...แต่...ไอ้หมอนั่นมันคงไม่มาหรอก...มันเกลียดพ่ออย่างกับอะไรดี”
“มาซิพ่อ” ช่อผการะรื่นเป็นปลากระดี่
“แล้วแกจะทำยังไง...” ชาญณรงค์ลองหยั่งเชิง
“เอาน่า...ผกามีวิธีของผกาแล้วกัน...ขอบคุณนะพ่อ...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ค่ะ”
ช่อผกากระโดดหอมชาญณรงค์ก่อนจะวิ่งดี้ด๊าออกไป ชาญณรงค์มองตามแล้วยิ้มร้ายขึ้นมาทันที
บ่ายคล้อยวันนั้นช่อผกาเริ่มแผน โดยมายืนอยู่ข้างทาง ห่างจากหน้าสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ไม่ไกลนัก ช่อผกาชะเง้อมองเข้าไปในสถานี
“ทำไมยังไม่มาอีกเนี่ย”
ช่อผกาหงุดหงิดก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “หรือว่าพี่เด็ดอยู่ในสถานี”
ช่อผกาลังเล ทำท่าจะเดินไปที่สถานี แต่แล้วก็ได้ยินเสียงรถดังมาจากด้านหลัง พอหันไปก็เห็นรถของใจเด็ด ช่อผกาดีใจก่อนจะรีบเล่นละคร
ครู่ต่อมาใจเด็ดจอดรถแล้วเดินเข้ามากับเกริกไกร
“มายืนทำอะไรตรงนี้ผกา” ใจเด็ดสงสัย
ช่อผกาใส่จริตแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็น “พี่เด็ด...ทำไมเวลาที่ผกาคิดถึงพี่เด็ด...พี่เด็ดก็โผล่มาทุกที”
“ไม่ใช่มาดักรอไอ้เด็ดมันเหรอ” เกริกไกรรู้ทัน
ช่อผกาหันไปค้อนขวับให้เกริกไกรก่อนจะหันมาอ้อนใจเด็ด
“คือรถของผกาเสียน่ะค่ะ”
เกริกไกรมองหา “ไหนละรถ...ฉันไม่เห็นเลย”
“หมอจะเห็นได้ยังไง...ก็มันอยู่นั่น”
ช่อผกาชี้ไปที่คูน้ำข้างทาง ใจเด็ดกับเกริกไกรงงเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์ของช่อผกาหัวปักคูน้ำอยู่
“พี่เด็ดไปส่งผกาหน่อยนะ...ผกาจะได้ให้สมคิดมาลากขึ้นมา...นะ...นะพี่เด็ด”
ช่อผกาเข้าไปคล้องแขนใจเด็ดที่กำลังทำหน้าไม่ถูก
หัวค่ำวันนั้นบ้านผู้พันชาญณรงค์ถูกประดับประดา ตบแต่งด้วยไฟสว่างไสวไปทั่วบริเวณ
ระหว่างนั้นรถของใจเด็ดแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านผู้พันชาญณรงค์ ใจเด็ด เกริกไกรและช่อผกาลงจากรถ
“โห...ใครมาจัดงานวัดในบ้านผู้พันวะ” เกริกไกรสงสัย
“งานวัดอะไรหมอ...นี่มันงานวันเกิดพ่อฉันต่างหาก” ช่อผกาฉุน
“งั้นผการีบเข้าบ้านแล้วกัน...พี่กลับละ”
ใจเด็ดจะเดินไป ช่อผการีบดึงรั้งแขนเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนซิพี่เด็ด...พี่เด็ดจะไม่เข้าไปหน่อยเหรอ”
ระหว่างนั้นใจเด็ดต้องชะงัก เมื่อหันไปเห็นสรนุชกับอรอนงค์เดินเข้าไปในบ้านของชาญณรงค์ เกริกไกรแปลกใจว่าใจเด็ดนิ่งไปเพราะอะไรจึงหันมองตาม แล้วเกริกไกรก็ตาโตเมื่อเห็นอรอนงค์
“พี่ว่าอย่าดีกว่า” ใจเด็ดบอก
“เฮ้ย...แต่ฉันว่าเราเข้าไปหน่อยก็ดีนะ...ขับรถมาตั้งไกลหิวน้ำจะแย่แล้ว”
“หมอ”
“น่า...ฉันคอแห้งจริงๆ”
เกริกไกรไม่รอคำทักท้วงของใจเด็ด รีบเปิดประตูลงจากรถทันที
“หมอ...หมอ” ใจเด็ดเรียก เกริกไกรไม่เหลียวหลัง
“ไปคะ...ไปแป๊ปเดียวอย่างที่หมอเขาบอกก็ได้ค่ะ” ช่อผกาคะยั้นคะยอ
ใจเด็ดรู้สึกลำบากใจ
สรนุชกับอรอนงค์แอบมาคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งในบ้านผู้พัน
“แกตั้งเวลาไว้เลยนะ...สามทุ่มปุ้ปกลับทันที”
“อ้าวทำไมละนุช”
“ทำไม...ถามอย่างนี้หรือว่าแกอยากอยู่”
อรอนงค์ส่ายหน้าน้อยๆ “สองทุ่มไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้...น่าเกลียดไป”
ทันใดนั้นเสียงช่อผกาก็ดังขึ้น “ใครเชิญพวกเธอมาไม่ทราบ”
สรนุชกับอรอนงค์หันมา สรนุชอึ้งไปเมื่อเห็นช่อผกาคล้องแขนใจเด็ดอยู่ ส่วนเกริกไกรนั้นยิ้มหน้าบานให้อรอนงค์
“แหม...ไม่คิดว่าจะเจอคุณอรที่นี่นะครับ”
ใจเด็ดสบตาสรนุช สรนุชหมั่นไส้ที่ช่อผกาคล้องแขนใจเด็ดก็พูดเสียงแข็ง
“ถ้าเธออยากรู้ว่าใครเชิญ...ก็ไปถามผู้พันเองแล้วกัน”
ช่อผกายี้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ “ไปเถอะค่ะพี่เด็ด”
“เอ่อ...”
ยังไม่ทันที่ใจเด็ดจะพูดอะไร ชาญณรงค์ก็เดินเข้ามา
“แหม...นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว...หัวหน้าใจเด็ด”
ชาญณรงค์กับใจเด็ดสบตากัน ต่างคนต่างไม่มีใครกลัวใคร
“หมอ...ถ้าแกจะกินน้ำรีบกิน...ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่นาน” ใจเด็ดบอกเกริกไกร
ชาญณรงค์หัวเราะชอบใจ “ฉันก็นึกว่าพวกนายเป็นลูกผู้ชาย” ใจเด็ดกับเกริกไกรชะงัก “ฉันรู้ว่าเราไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่...แต่พวกนายไม่แปลกใจเหรอที่วันนี้ฉันชวนนายอยู่ด้วย...คนเราน่ะนะ...ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริงต้องใจกว้างหน่อย”
ใจเด็ดเหล่มองชาญณรงค์ ขณะที่สรนุชเองก็รู้ว่าชาญณรงค์กำลังจะทำอะไร
“ปล่อยเขาเถอะค่ะผู้พัน”
ยิ่งได้ยินอย่างนั้นใจเด็ดกลับคิดว่าสรนุชสบประมาท โดยไม่รู้ว่าชาญณรงค์ตั้งใจจัดงานเลี้ยงฉลองชัยให้กับสรนุชอีกด้วย “ได้...ผมจะอยู่อวยพรกับวันเกิดผู้พัน”
“จริงเหรอพี่เด็ด ! อ๊าย...”
ช่อผกากรี๊ดกร๊าดแล้วโผไปกอดใจเด็ด ส่วนใจเด็ดมองชาญณรงค์กับสรนุชอย่างพร้อมชน ขณะที่เกริกไกรกับอรอนงค์ต่างก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ใจเด็ดมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับทุกคน สรนุชมองใจเด็ดด้วยความเป็นห่วง
“อร...แกบอกหมอเกริกไกรให้พานายนั่นกลับไปที”
“ทำไมละนุช...ฉันว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะสร้างความปรองดองนะ”
“ปรองดองหรือปองร้าย...แกก็รู้ว่างานนี้...ผู้พันแกจัดเพื่อฉลองให้กับเรา...ฉันไม่อยากเป็นเครื่องมือใคร”
“จริงด้วย” อรอนงค์เพิ่งคิดได้ จึงลุกขึ้น “เอ่อ...หมอไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ยคะ”
“ห๊า ! เอ่อ...ได้ซิครับ”
แต่ยังไม่ทันที่อรอนงค์กับเกริกไกรจะเดินไป ระหว่างนั้นชาญณรงค์ยกแก้วไวน์ขึ้นขัดก่อน
“ทุกคน...แก้วนี้ผมขอดื่มให้กับคุณใจเด็ด” ทุกคนยกแก้วขึ้น “ผมอยากดื่มให้กับความใจกว้างหัวหน้าใจเด็ด...ทั้งๆ ที่รู้ว่างานในวันนี้นอกจากจะเป็นงานวันเกิดผมแล้ว...ยังเป็นงานฉลองชัยชนะให้กับรถไถคันแรกของคาบาตี้ด้วย”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป “อะไรนะ”
“ตกใจอะไรขนาดนั้น...ผกามันไม่ได้นายหรอกเหรอ” ชาญณรงค์ว่า
“บอกอะไรละพ่อ...ผกาก็เพิ่งรู้เมื่อกี้เหมือนกัน”
“อย่างนี้มันหยามกันเกินไปแล้ว” เกริกไกรตบโต๊ะดังปัง ลุกขึ้นจะเอาเรื่อง
“หมอ!” ใจเด็ดใช้ความใจเย็นเข้าสู้ “ต้องขอโทษด้วยนะครับผู้พัน...ถ้าผู้พันจะคิดว่าการทำอย่างนี้แล้วจะทำให้ผมเจ็บใจ...ผู้พันคิดผิด...ผมเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลย...กับงานเลี้ยงปลอบใจตัวเองของผู้พันในวันนี้”
บรรยากาศในโต๊ะอาหารเริ่มมาคุ ตึงเครียดสุดๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี...เพราะฉันไม่อยากให้นายกลับก่อนที่จะได้ดูโชว์พิเศษ...เอ่อ...ผมขอตัวไปดูอาหารให้ทุกคนหน่อยนะครับ”
ชาญณรงค์ยิ้มให้ก่อนจะลุกเดินออกไป ใจเด็ดจ้องหน้าสรนุชเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
ที่บริเวณเตาย่างบาร์บีคิว ชิดชัยกำลังปิ้งย่างบาร์บีคิวกับลูกน้องเห็นควันโขมง ชาญณรงค์เดินเข้ามาถาม
“ได้ยัง”
“อีกนิดครับผู้พัน...ของอร่อยมันก็ต้องรอกันหน่อย”
“ดี...รับรองว่ามันต้องจำวันนี้ไปจนตาย”
ชาญณรงค์ยิ้มร้าย จ้องมองเนื้อชิ้นใหญ่ที่ย่างอยู่บนเตา
ส่วนสุบินกับเจนจิรานั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่สถานี สุบินเคี้ยวตุ้ยๆ ขณะที่เจนจิราหน้าเครียดไม่สบายใจ
“ผมว่าคุณทานก่อนเถอะ...ป่านนี้คุณใจเด็ดกับหมอคงทานมาเรียบร้อยแล้วละ”
เจนจิรานิ่งเงียบไม่พูดกับสุบิน จนสุบินชักหมั่นไส้
“คุณ...การที่คุณรอทานข้าวกับคุณใจเด็ด...ผมว่ามันไม่ทำให้คุณใจเด็ดชอบคุณได้หรอกนะ”
“แล้วมันเรื่องอะไรของนาย”
“เอ้า...ที่ผมพูดนี่เพราะเป็นห่วงคุณนะ”
“นายห่วงตัวเองจะดีกว่า...เพราะนายยังไม่ผ่านการพิสูจน์ว่านายเข้ามาอยู่ที่นี่ อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ”
“โห...เชื่อผมเถอะคร้าบคุณเจน...ผมมันไม่มีอะไรจริงๆ”
ระหว่างนั้นเจนจิรานึกขึ้นมาได้ “แล้วตอนเย็นนายหายไปไหน”
สุบินที่กินข้าวอยู่ถึงกับสำลักจนต้องรีบหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“เอ่อ...”
“นายไม่อยู่ที่สถานีแน่ๆ...
เจนจิราเริ่มคาดคั้นสุบินหนัก จนสุบินต้องนึกหาทางออกแกล้งเฉไฉ
“คุณเจน...อย่าบอกนะว่าคุณเจนชอบผม”
“อะไรนะ”
“เอ้า...ก็แต่ก่อนผมไม่เห็นคุณเจนจะใส่ใจสนใจอะไรผมเลย...หรือว่า...พอคุณใจเด็ดไม่ชอบคุณ...คุณก็เลยเปลี่ยนเป้ามาที่ผม”
“คนอย่างฉันถ้ารักใครแล้วก็รักเลย...แต่ถ้าเกลียดใคร...ก็เกลียดไปจนวันตายเหมือนกัน” สุบินสะอึก “ถ้าฉันจับได้เมื่อไหร่ว่านายคอยเป็นสายให้กับเพื่อนของนายละก็...ฉันไม่เอานายไว้แน่”
เจนจิราลุกออกไปอย่างหัวเสีย สุบินปาดเหงื่อรอดตัวไปอีกวัน
งานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านผู้พันชาญณรงค์ ดำเนินไป ที่โต๊ะอาหารมีใจเด็ดนั่งอยู่กับช่อผกา ส่วนสรนุชก็นั่งอยู่คนเดียว ช่อผกาตักอาหารป้อนใจเด็ดเพื่อให้สรนุชเห็น
“นี่ค่ะพี่เด็ด”
“ไม่ต้องหรอกผกา...พี่ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
ใจเด็ดยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มดับอารมณ์
แต่แล้วใจเด็ดก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาทันที “เอ่อ...นี่ไวน์อะไรน่ะผกา”
“ไวน์กระชายดำคะ...เป็นไงคะ...ซู่ซ่าดีมั้ยคะ”
ใจเด็ดมองแก้วไวน์อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเปรยขึ้น “ไวน์กระชายดำ...แล้วมีไวน์คนใจดำมั้ย”
สรนุชเหลืออดเลยใช้เท้าเตะไปที่หน้าแข้งของใจเด็ด
“โอ้ย”
“เป็นไรคะพี่เด็ด” ช่อผกาไม่รู้เรื่อง
“สงสัยไวน์จะออกฤทธิ์มั้งคะ”
สรนุชยิ้มเยาะ แอบเหล่มองใจเด็ดหน้าบึ้งตึง ขณะที่ใจเด็ดเองก็หมั่นเขี้ยวสรนุชเหลือเกิน
ด้านเกริกไกรเดินหนีมาอยู่อีกมุมหนึ่ง กำลังเตะต้นไม้ด้วยความเจ็บใจ ระหว่างนั้นเสียงคุ้นหูเรียกดังขึ้น
“หมอ...”
เกริกไกรหันมาเห็นอรอนงค์เดินเข้ามา “คุณอร...”
“หมอโกรธอะไรคะ”
“คุณอรยังจะถามอีกเหรอครับ...นี่มันงานเลี้ยงเยาะเย้ยพวกผมชัดๆ...” ตัดสินใจถาม “คุณอรรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”
“หมอคิดว่าไงล่ะคะ”
เกริกไกรนิ่งไป สติเริ่มฟื้นคืนมา
“ทั้งอรทั้งนุชต่างก็ไม่อยากมา...เพราะเราก็ไม่รู้ว่าผู้พันจะเลี้ยงให้พวกเราทำไม...จนพวกคุณมา...ทำให้ฉันกับนุชรู้ว่า...เรากำลังอยู่ในเกมของผู้พัน”
“ถ้างั้นผมจะเข้าไปคุยกับผู้พันเอง...ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่” เกริกไกรชูกำปั้นหรา “ผมจะเอาไอ้มือที่เพิ่งผสมเทียมยัดปากเขาเอง”
“อย่าเลยคะ...เอ่อ...”
“มีอะไรครับคุณอร” เกริกไกรฉงน
“ไปเดินเล่นกันมั้ยคะ”
เกริกไกรมองอรอนงค์ด้วยความแปลกใจกึ่งดีใจ
สองคนออกมาเดินเล่นละแวกบ้านชาญณรงค์
“ตั้งแต่ที่อรมาที่นี่ก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย...อรเลยอยากเดินเล่นพักสมองหน่อยนะคะ...ไม่รบกวนหมอนะคะ”
“โอ๊ย...ไม่เลยครับ...ผมเองก็หาโอกาสนี้มาตั้งนานแล้วครับ” เกริกไกรยิ้ม
“หือ...?” อรอนงค์อึ้งๆ งงๆ
“อ๋อ...เปล่าไม่มีอะไรครับ...คุณอรหิวหรือยังครับ”
“นิดหน่อยค่ะ” จังหวะนั้นเสียงท้องอรอนงค์ก็ร้องออกมา และเสียงดังมาก “อุ้ย...ดังไปหรือเปล่าคะ
เกริกไกรยิ้มอย่างเอ็นดูและรักใคร่ในตัวอรอนงค์
ส่วนในงานเลี้ยงด้านใน ใจเด็ด สรนุช ช่อผกา ชาญณรงค์ และชิดชัยนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน เนื้อชิ้นใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ ชิดชัยกำลังหั่นแจกจ่ายทุกคน
“เอาเลยครับ...แล้วนี่ก็เป็นอีกอย่างนึงที่ผมอยากให้ทุกคนมางานวันเกิดผมปีนี้...เพราะผมอยากให้ทุกคนได้ลองทานเนื้อที่ดีที่สุด”
ชาญณรงค์เชื้อเชิญ ในขณะที่ช่อผกาตักเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“โห...อร่อยจริงๆ ด้วยพ่อ...พี่เด็ดทานซิคะ”
“พี่ไม่ทานเนื้อ” ใจเด็ดบอก
“นิดเดียวเองค่ะ...อร่อยจริงๆ นะคะ”
“ใช่...ถ้านายไม่ลองก็ถือว่าไม่ให้เกียรติฉัน...ฉันให้เกียรตินายแล้ว...นายจะไม่ให้เกียรติฉันหน่อยเหรอ” ชาญณรงค์พูดยิ้มๆ
ใจเด็ดนิ่งงันไป ช่อผการีบตัดเนื้อให้ก่อนจะตักป้อนให้ใจเด็ด ใจเด็ดกลืนกินอย่างเสียไม่ได้
ขณะที่สรนุชกำลังหั่นชิ้นเนื้อก็ถามขึ้น
“เนื้อแกะเหรอคะผู้พัน...นุ่มมากเลยนะคะ”
“แกะเกอะอะไรคุณนุช....เนื้อลูกควายในท้องแม่ควายตาแมงไง”
ทุกคนอึ้งกันไปหมด โดยเฉพาะใจเด็ดนั้นถึงกับช็อกไปทันที
สรนุชที่เพิ่งตักชิ้นเนื้อเข้าปาก ถึงกับชะงักค้างส้อมคาปากอยู่ ขณะที่ใจเด็ดมองชิ้นเนื้อในมือ โกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง
ใจเด็ดปาชิ้นเนื้อลงด้วยความโมโห “เกินไปแล้ว”
“นี่แกจะโกรธทำไม...ที่ฉันทำอย่างนี้เพื่อให้แกตาสว่างนะ”
“พ่อ...ทำไมพ่อต้องทำอย่างนี้ด้วย” ช่อผกาเองก็โมโหพ่อ
“เงียบไปเลยนังผกา...” ชาญณรงค์ตวาดลูกสาวหันมาจ้องหน้าใจเด็ด “แกอยากขยายพันธุ์ให้ควายเยอะๆ ไม่ใช่เหรอ...นี่ไง...แกคิดดูนะว่าถ้าชาวบ้านหันมากินควาย...ก็ทำให้คนต้องการเนื้อควายมากขึ้น...ดูอย่างโคขุนโพนยางคำซิ...ตอนนี้กลายเป็นอุตสาหกรรมไปแล้ว”
“ใช่ครับ...อีกหน่อย...เราก็จะมีเนื้อควายหนองระบือ...ผมเชื่อเลยนะครับว่าถ้าใครได้ลองทานเนื้อลูกควายอย่างนี้เนี่ย...ถ้าไม่ติดใจผมให้เตะเลย” ชิดชัยเยาะเย้ย
ใจเด็ดจะพุ่งเข้าไปหาชิดชัย ช่อผการีบดึงเอาไว้
“พี่เด็ด...อย่าค่ะ”
“ปล่อยพี่ผกา” ใจเด็ดฮึดฮัด โกรธจัด
ชาญณรงค์หยิบปืนจากใต้โต๊ะขึ้นมาวาง ทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด โดยเฉพาะสรนุชที่ยิ่งอึ้งพูดไม่ออก
“ฉันพูดจริงๆนะ...ถ้าแกคิดจะทำให้ควายมีทั่วประเทศ...แกต้องให้คนกินเนื้อควาย...เหมือนเนื้อหมูไง...เห็นมั้ย...คนเขาก็กินกันปกติ...ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร”
“ใช่ครับ...ควายเราก็เอาไว้กิน...ส่วนรถไถเราก็เอาไว้ไถนา” ชิดชัยผสมโรง
ใจเด็ดกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ ใจเด็ดหันมองไปที่สรนุชเอ่ยน้ำเสียงกร้าว
“ฆาตกร”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไปทันที สรนุชยืนนิ่งรู้สึกผิดเช่นกัน
ด้านเกริกไกรกับอรอนงค์เดินกลับมาที่หน้าบ้าน เห็นใจเด็ดเดินหุนหันออกมา
“ไอ้เด็ดจะไปไหน”
“ใครอยากอยู่ก็อยู่ไป...แต่ฉันไม่ขออยู่ในนรกอย่างนี้แน่”
เกริกไกรกับอรอนงค์สงสัยว่าใจเด็ดเป็นอะไร สรนุชวิ่งตามใจเด็ดออกมา
“นี่...ฉันไม่รู้เรื่องงานวันนี้นะ”
ใจเด็ดชะงักก่อนจะหันมองมาที่สรนุชอย่างเจ็บปวด
“ขอบคุณมาก..” ทุกคนงงว่าใจเด็ดขอบคุณสรนุชทำไม รวมถึงสรนุชด้วย “คุณทำให้คนที่กำลังจะล้มอย่างผมลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง”
ใจเด็ดสบตาจริงจังกับสรนุชก่อนจะหันหลังเดินออกไปทันที เกริกไกรพยายามเรียก
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด” เกริกไกรพูดกับอรอนงค์ “ไว้เจอกันนะครับคุณอร”
เกริกไกรรีบวิ่งตามใจเด็ดออกไป อรอนงค์เข้ามาเขย่าแขนสรนุช
“มีเรื่องอะไรกันเหรอนุช”
สรนุชมองตามใจเด็ด เสียใจที่สถานการณ์แย่ลงเรื่อยๆ
คืนนั้นเจนจิรา สุบิน สมหญิง และภิรมย์รอกันอยู่อย่างร้อนใจที่หน้าสำนักงานสถานี
“สมหญิงว่าเราแยกย้ายกันออกตามหาหัวหน้าดีมั้ยคะ” สมหญิงเสนอความเห็น
“นั่นซิครับ...หัวหน้าไม่เคยผิดเวลาอย่างนี้เลยนะครับ” ภิรมย์เห็นด้วย
เจนจิราพยักหน้า ทุกคนลุกขึ้นกำลังจะออกไป สุบินเห็นอย่างนั้นก็พูดขึ้น
“ผมว่าทุกคนใจเย็นก่อนดีกว่า...คิดดูดีๆ ซิครับ..คุณใจเด็ดไม่ใช่เด็กๆ แล้ว...แล้วอีกอย่างก็ไปกับหมอเกริกไกรสองคน...คงไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ”
เจนจิราหลิ่วตามองหน้าสุบินเหมือนไม่พอใจ สุบินเห็นหน้าเจนจิราก็พยายามจะอธิบาย
“เดี๋ยวก่อนคุณ...อย่าเพิ่งโกรธซิ”
“หมอ..!” เจนจิราร้องขึ้นมา
สุบินชะงักไป เจนจิราทำหน้าอย่างนั้นเพราะเหลือบไปเห็นเกริกไกรทางด้านหลังสุบินต่างหาก
เจนจิรารีบเข้ามาหาเกริกไกร “หมอไปไหนมา...แล้วหัวหน้าละ”
“กลับบ้านพักไปแล้ว”
เจนจิราเห็นเกริกไกรสีหน้าเครียดก็สงสัย “เกิดอะไรขึ้นคะ...หมอกับหัวหน้าไปไหนมา”
“เอ่อ...บ้านผู้พัน...ฉันกับไอ้เด็ดถูกหลอกให้ไปงานเลี้ยงบ้าๆ นั่น”
“งานเลี้ยงอะไรครับ” สุบินถาม
เกริกไกรถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็งานเลี้ยงฉลองของพวกคาบาตี้ที่ขายรถไถได้ไง”
สมหญิงกับภิรมย์ได้ยินก็ของขึ้นทันที
“โห...อย่างนี้มันหยามกันชัดๆ...” สมหญิงหันไปทางภิรมย์ “ไง...ลุยเลยมั้ย”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“อย่าให้เรื่องมันใหญ่โตมากไปกว่านี้เลย” เกริกไกรห้ามไว้
“ได้ไงคะหมอ...แล้ว...แล้วพี่เด็ดยอมพวกนั้นได้ยังไงคะ”
“ไอ้เด็ดมันไม่ได้ยอม” เกริกไกรลำบากใจที่จะพูด “พวกนั้นหลอกให้ไอ้เด็ดกินเนื้อลูกควายของตาแมง”
ทุกคนที่ได้ยินถึงกับอึ้งไป เจนจิราเป็นห่วงใจเด็ดขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้
กระบือบาล ตอนที่ 13 (ต่อ)
ใจเด็ดยืนเศร้าอยู่ที่มุมหนึ่งในสถานี เขารู้สึกเหนื่อยหมดเรี่ยวแรงและท้อใจ ห่างออกไปไม่ไกลนักเจนจิราแอบมองอยู่หลังต้นไม้ด้วยความเป็นห่วง อึดใจต่อมาเจนจิราหันหลังกลับมาด้วยแววตาโกรธจัด
ส่วนทางด้านอรอนงค์ยังยืนรอสรนุชอยู่หน้าห้องน้ำบ้านชาญณรงค์
“ไหวมั้ยนุช” อรอนงค์ร้องถาม
มีเสียงของสรนุชดังโอ้กอ้ากออกมาแทนคำตอบ อรอนงค์หน้าแหย ก่อนจะได้ยินเสียงกดชักโครกดังขึ้น ครู่ต่อมาสรนุชก็เปิดประตูออกจากห้องน้ำ แล้วเช็ดปากด้วยความโกรธ
“เป็นไรของแก...แต่ก่อนฉันก็เห็นแกกินพวกเนื้อเซอร์รอยด์ไม่เห็นจะเป็นไร”
“มันไม่เหมือนกัน...แกไม่เห็นแววตาที่ควายมันมองฉันนี่” จู่ๆ สรนุชก็นึกถึงชิดชัยขึ้นมา “ชิดชัย”
สรนุชเดินจ้ำพรวดออกไปทันที
ด้านชิดชัยกับชาญณรงค์กำลังนั่งกินบาร์บีคิวลูกควายกันอย่างเอร็ดอร่อย
“ไอ้พวกโง่ไม่รู้จักของอร่อย...แหม...นุ่มจริงๆ พับผ่า” ชาญณรงค์ว่า ขณะเคี้ยวตุ้ยๆ
“นั่นซิครับ...ทำเป็นรักสัตว์...กินนั่นไม่ได้กินนี่ไม่ได้...โถ...ดัดจริตกันทั้งนั้น” ชิดชัยอวยสุดขีด
ระหว่างนั้นสรนุชกับอรอนงค์เดินปรี่เข้ามาหาชิดชัย
“ชิดชัย”
ชิดชัยหันมา “อ้าว...คุณนุชโกรธอะไรครับ”
“ใครให้นายทำอย่างนี้”
“ทำ..? อ๋อ...ที่ผมกินบาร์บีคิวไม่รอคุณนุชน่ะเหรอครับ...ไม่ต้องห่วงครับ...เหลืออีกตั้งครึ่งตัว...เอ้า” ชิดชัยทำท่าจะส่งให้ “ท่าทางคุณนุชจะหิวจัด...เอาของผมไปก่อนก็ได้ครับ”
สรนุชปัดบาร์บีคิวในมือของชิดชัยจนกระเด็นไปไกล
“คุณนุชทำอะไร...เสียของหมด”
ชิดชัยวิ่งตามไปเก็บบาร์บีคิวที่พื้น พอชิดชัยก้มลงเก็บก็เห็นขาของใครคนหนึ่งเดินเข้ามา ชิดชัยเงยหน้ามองแล้วก็เห็นว่าเป็นเจนจิรา
“อุ้ย”
ชิดชัยรีบวิ่งไปหลบหลังสรนุชทันที เห็นอาการสรนุชก็รู้ทันทีว่าเจนจิรากำลังโกรธ
เจนจิราเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าสรนุช ตบสรนุชดัง เผียะ !!
ทุกคนต่างก็อึ้งไป อรอนงค์รีบเข้ามาห้าม “อะไรคุณเจน..!”
สรนุชห้าม “อร”
ชิดชัยแอบยิ้มสะใจ ขณะที่ชาญณรงค์รีบเข้ามากลางวง
“นี่..! ทำอะไรน่ะเกรงใจกันบ้าง...เธอตบคุณนุชที่เป็นแขกของฉันได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะผู้พัน”
“จิตใจพวกเธอทำด้วยอะไร...เธอก็รู้ว่าพี่เด็ดเขารักควายแค่ไหน...แต่พวกเธอ...พวกเธอหลอกให้พี่เด็ดกินเนื้อควาย...เธอรู้มั้ยว่าพี่เด็ดจะเป็นยังไง” เจนจิราด่ากราด
สรนุชนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ จังหวะนั้นชิดชัยสอดขึ้น
“เดี๋ยวๆ...ไหนเอาใหม่ซิ...เมื่อกี้ที่ฉันได้ยินเนี่ย...เธอไม่ได้มานี่เพราะโกรธที่พวกเรากินเนื้อควาย...แต่เธอโกรธที่พวกเราหลอกไอ้ใจเด็ดนั่นใช่มั้ย...ไหน...ใครคิดเหมือนฉันบ้าง”
“ผมก็คิดอย่างนั้นครับลูกพี่” ลูกน้องสอพลอโปรโมชั่นทำงานทันที
ชิดชัยเดินก๋าเข้ามา “เอ...ตกลงนี่เธอรักควายหรือรักคนกันแน่”
ทันใดนั้นชิดชัยก็โดนเจนจิราตบหน้าดังเผียะ! ชิดชัยงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นความโกรธ
“อีนี่”
“ชิดชัย” สรนุชปราม
“ห้ามผมทำไมครับ...ให้ผมสั่งสอนนังนี่มันซะหน่อย”
“กลับไปได้แล้ว” สรนุชสั่งเสียงดัง
“อะไรนะครับ”
“นี่เป็นคำสั่ง”
ชิดชัยกำหมัดแน่นมองหน้าเจนจิราด้วยความแค้นที่ถูกหยามศักดิ์ศรี ก่อนจะหันหลังหุนหันออกไป
สรนุชหันมาคุยกับเจนจิรา
“เรื่องในวันนี้พวกเราเองก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”
“งั้นเหรอ...เธอเองก็รู้ว่าพี่เด็ดอุทิศเวลาทั้งชีวิตเพื่อควาย...สิ่งที่พวกเธอทำกับพี่เด็ด...ฉันไม่มีทางให้อภัยเด็ดขาด”
เจนจิราจ้องหน้าสรนุชอยู่อึดใจแล้วเดินออกไป สรนุชอึ้งที่กลายเป็นจำเลยโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ชิดชัยเดินมาจะขึ้นรถ มือกุมแก้มยังเจ็บไม่หาย
“นังบ้านี่...ขนาดแม่ยังไม่เคยตบฉันอย่างนี้เลย”
“โห...งั้นก็แสดงว่ายัยนั่นเจ๋งกว่าแม่พี่ซิครับ”
ชิดชัยกระชากคอเสื้อลูกน้องอย่างเอาเรื่อง “อยากตายมั้ย”
ลูกน้องจ๋อยหน้าเจื่อนลง ระหว่างนั้นลูกน้องเหลือบไปเห็นเจนจิราเดินออกมาจากบ้านชาญณรงค์
“ลูกพี่...นังนั่นนี่”
ชิดชัยปล่อยคอเสื้อก่อนจะหันมองไปเห็นเจนจิราเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ โดยที่เจนจิราไม่เห็นชิดชัยกับลูกน้อง เพราะรถชิดชัยจอดอยู่ในมุมมืด
ชิดชัยมองตามเจนจิรา ความโกรธเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง “เอากุญแจรถมา”
“ลูกพี่จะทำอะไรครับ”
ชิดชัยมองตามเจนจิราสายตาเหี้ยม
ไม่นานหลังจากนั้นเจนจิราขี่รถมอเตอร์ไซค์มาตามทางมุ่งหน้ากลับสถานี แต่แล้วเจนจิราก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆ ที่ด้านหลังของเธอก็มีไฟสว่างจ้าสาดขึ้น
เจนจิราเหลียวกลับไปมองก็เห็นรถคันหนึ่งขับตรงเข้ามาที่ท้ายรถของเธอ
“อะไรเนี่ย”
ชิดชัยนั่นเองกำลังขับรถตามมาด้วยความคึกคะนอง
“พี่ระวัง ! พี่จะทำอะไร” ลูกน้องร้องเตือน
“อยู่เฉยๆ เถอะน่า”
ชิดชัยจ้องมองเจนจิราที่อยู่ด้านหน้าตาเขม็ง แล้วเท้าของชิดชัยออกแรงเหยียบคันเร่งเพิ่ม
รถชิดชัยพุ่งเข้ามาจ่อที่ท้ายรถเจนจิรา จนเป๋ไป เจนจิราตกใจ
“จะทำอะไรน่ะไอ้พวกบ้า”
เจนจิราหักมอเตอร์ไซค์หลบไปทั้งซ้ายและขวา เพื่อเปิดทาง แต่ก็ยังเห็นรถของชิดชัยคอยจี้ติดไม่ยอมห่าง
ในที่สุดรถของชิดชัยแล่นเข้ามาเทียบกับรถเจนจิรา แล้วชิดชัยก็ลดกระจกลง
“ไปขี่ควายไป”
เจนจิราโมโหมากจำหน้าได้แม่น “พวกแก”
ชิดชัยหัวเราะเยาะเจนจิราด้วยความสนุก ก่อนที่ชิดชัยจะปิดกระจก แล้วค่อยๆ ขับรถเบียดรถมอเตอร์ไซค์เจนจิราอย่างแรง
เจนจิราพยายามหักออกขวา แต่ชิดชัยก็ยังตามมาเบียดไม่ลดละ เจนจิราขับไต่ไหล่ทางมา แต่แล้วเจนจิราก็เสียหลักจนรถมอเตอร์ไซค์พุ่งลงข้างทางอย่างแรง พร้อมๆ ร่างเจนจิราลอยกระเด็นออกจากมอเตอร์ไซค์ ร่วงลงพื้นสลบแน่นิ่งไป
รถของชิดชัยเบรคเอี้ยดดังลั่นถนน ชิดชัยกับลูกน้องรีบลงจากรถไปดู
“แย่แล้วพี่...ตายมั้ย”
“ไม่รู้เลย...ไป”
ลูกน้องยืนเซ่อ “ไปไหนพี่”
“แล้วจะรอให้คนมาเห็นหรือไง”
ชิดชัยรีบกระโดดขึ้นรถก่อนจะขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ร่างของเจนจิรานอนแน่นิ่งอยู่ข้างทาง
กลางดึกคืนนั้น มีเสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกของสมหญิงดังขึ้นที่บ้านพักของใจเด็ด
“หัวหน้า...หัวหน้า”
ใจเด็ดออกมาจากห้อง พร้อมกับเกริกไกรที่วิ่งออกมาจากห้องเช่นกัน
“มีเรื่องอะไรวะไอ้เด็ด”
ใจเด็ดไม่ตอบก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตู เห็นสมหญิงสีหน้าไม่ค่อยดี
“มีอะไรสมหญิง”
“หัวหน้าคะ...คุณเจนแกโดนรถชนค่ะ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรอึ้งไป
เจนจิราถูกนำส่งโรงพยาบาล ร่างนอนนิ่งหมดสติอยู่บนเตียง มีเลือดไหลเปรอะทั้งใบหน้าและตามตัว ทีมแพทย์และพยาบาลกำลังช่วยชีวิตเจนจิราอย่างสุดความสามารถ
ใจเด็ด เกริกไกร สุบิน ภิรมย์ และสมหญิง วิ่งเข้ามาที่หน้าห้องฉุกเฉิน ระหว่างนั้นพยาบาลใส่ชุดผ่าตัดกำลังจะเดินเข้าห้อง พอเห็นพวกใจเด็ดก็ตกใจ
“อะไรกันคะ”
“เจนเป็นยังไงครับ” ใจเด็ดถามทันที
“ใจเย็นนะคะหัวหน้าใจเด็ด...ตอนนี้คุณหมอกำลังช่วยชีวิตเธออยู่”
“แล้วเธอจะปลอดภัยมั้ยครับ” สุบินถามอย่างร้อนรน
“ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้หรอกค่ะ...เพราะตอนที่ชาวบ้านพาเธอมาส่ง...อาการค่อนข้างสาหัส...หัวหน้านั่งรอข้างนอกก่อนนะคะ”
พยาบาลบอกเท่านั้นแล้วรีบเดินเข้าห้องไป ทั้งหมดอยู่ในความกังวล
เช้าวันใหม่ สุบินนั่งหลับอยู่ที่ม้านั่งรอหน้าห้องผ่าตัด ระหว่างนั้นมีมือหนึ่งยื่นมาแตะที่ไหล่สุบินเบาๆ
สุบินสะดุ้งตื่นขึ้นถึงเห็นว่าเป็นใจเด็ดนั่นเอง
“คุณใจเด็ด ! มีอะไรครับ...คุณเจนปลอดภัยมั้ย”
เกริกไกร ภิรมย์ และสมหญิงที่นั่งหลับกันอยู่ต่างสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงสุบิน
“ไอ้เด็ด...ไง...หมอออกมาหรือยัง”
ใจเด็ดพยักหน้า ทุกคนเห็นก็อยากรู้ทันที
“แล้วคุณเจนเป็นไงครับ...คุณเจนปลอดภัยมั้ย” สุบินถาม
“ตอนนี้เจนพ้นขีดอันตรายแล้ว...แต่ว่า”
“แต่อะไรครับ” สุบินซัก
ทุกคนใจเสียเมื่อเห็นสีหน้าของใจเด็ดไม่สู้ดี
เจนจิรานอนหมดสติอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีสายระโยงรยางค์ของอุปกรณ์ช่วยชีวิตอยู่รอบกาย ทุกคนยืนอยู่ในห้องด้วยความเศร้า สมหญิงร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“คุณเจน...ทำไมคุณเจนต้องเป็นอย่างนี้ด้วย” หันมาทางเกริกไกร “หมอ...หมอช่วยคุณเจนหน่อยซิคะ”
เกริกไกรทั้งเครียดทั้งเศร้า “สมหญิง...สมองบวมอย่างนี้...ทางเดียวที่เราจะทำได้...ก็คือต้องรอปาฏิหาริย์เท่านั้น”
ใจเด็ดกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกที่อดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่งที่กำลังปะดังปะเดเข้ามา สุบินมองเจนจิราด้วยความสงสารอย่างที่สุด
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์แข็งๆ อย่างคุณเจนจะเสียหลักลงข้างทางได้”
ใจเด็ดได้ฟังอย่างนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาทันที “ใครรู้บ้างมั้ยว่าเจนไปทำอะไรแถวนั้นตอนกลางคืน”
“ก็หลังจากที่คุณเจนเขาได้ยินเรื่องที่ผู้พันหลอกให้คุณใจเด็ดกินเนื้อควาย...เธอก็ออกไปเลย” สุบินบอก
“จริงด้วย...ถนนเส้นนั่นมันก็มาจากบ้านผู้พันนี่...คุณเจนต้องไปต่อว่าผู้พัน...แล้วผู้พันโกรธก็เลยตามมาทำร้ายคุณเจนแหงๆ เลยค่ะ” สมหญิงปะติดปะต่อแกมเดาเอา
ใจเด็ดยืนครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะเดินออกจากห้อง ในจังหวะที่โชคชัยเปิดประตูเข้ามาพอดี
“สวัสดีทุกคน...คุณเจนเป็นยังไงบ้าง”
ใจเด็ดไม่พูดอะไร เดินแทรกโชคชัยออกไปอย่างรีบร้อน
โชคชัยแปลกใจ “ใจเด็ดเขาเป็นอะไร”
“นายกรีบตามคุณใจเด็ดไปเถอะครับ...ผมว่าคุณใจเด็ดต้องไปที่บ้านผู้พันแน่ๆ” สุบินบอก
“ผู้พัน...?”
“เจนไปที่บ้านผู้พันเป็นที่สุดท้ายก่อนที่เกิดอุบัติ” เกริกไกรอธิบาย
โชคชัยได้ยินก็ชะงักไป ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องทันที
ทุกคนสีหน้าเครียดทั้งสงสารเจนจิราและเป็นห่วงใจเด็ด ขณะที่สุบินนึกถึงสรนุชขึ้นมาทันที
ทางด้านชาญณรงค์อยู่ในสภาพหน้าตางัวเงียพึ่งตื่น มีสายเชือกเหมือนมงคลคล้องที่หัว
“ไอ้คิด...ไอ้คิดเว้ย”
ชาญณรงค์อยู่ที่สนามหญ้า สมคิดที่กำลังเก็บข้าวของงานเลี้ยง รีบวิ่งเข้ามาหา
“ครับนาย”
“ไปหาอะไรหวานๆ มาดิ...ไอ้ไวน์กระชายดำนี่มันหนักหัวจริงๆ”
“เอ่อ...ผมว่าไม่ใช่เพราะไวน์หรอกครับ...ขออนุญาตนะครับนาย”
ว่าแล้วสมคิดก็ดึงสายมงคลออกจากหัวชาญณรงค์ ก่อนจะเห็นว่าสายนั้นพันอยู่กับสากกระบือ ไม่บอกก็รู้ว่าเมื่อคืนผู้พันวัยทองเมาเละ
“ดีขึ้นมั้ยครับ”
“บ้ะ...ใครเอาสากมาไว้ตรงนี้วะ”
ชาญณรงค์ลุกขึ้นจะเดินไปข้างใน ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินตรงดิ่งเข้ามาหาชาญณรงค์
“อ้าวเฮ้ย ! ใครให้แกเข้ามา”
ใจเด็ดไม่พูดพร่ำทำเพลงเข้าไปกระชากคอเสื้อชาญณรงค์ทันที “แกทำเจนใช่มั้ย...ห๊า”
“อะไรของแกวะไอ้บ้า”
ใจเด็ดไม่สนใจเงื้อหมัดจะต่อยชาญณรงค์ แต่มีมือมารั้งหมัดเอาไว้ ใจเด็ดหันไปจึงเห็นว่าเป็นโชคชัย
“ปล่อยผมนายก...ผมจะทำมันให้เหมือนกับที่มันทำกับเจน”
“ตั้งสติหน่อยซิใจเด็ด...เจนเขาอาจจะประสบอุบัติเหตุจริงๆ ก็ได้” โชคชัยเตือนสติ
“เดี๋ยวๆ...นี่มันเรื่องอะไรใครช่วยบอกฉันหน่อย” ชาญณรงค์ถาม
“เมื่อวานคุณเจนมาที่นี่หรือเปล่าผู้พัน” โชคชัยถาม
ชาญณรงค์พยายามนึก “เจน...เจน...อ๋อ...มาซิ”
“แล้วคุณเจนมาทำอะไร”
ชาญณรงค์นึกออก “จะทำไม...ก็มาตบหน้าคุณนุชไง”
ใจเด็ดกับโชคชัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
“คุณเจนตบคุณนุชเหรอ” โชคชัยย้ำ
“ใช่...ยัยนั่นมาจากไหนไม่รู้...อยู่ดีๆ ก็เข้ามาแล้วก็มาตบหน้าคุณนุชซะดื้อๆ...ดีนะที่คุณนุชแกใจเย็น...ถ้าเป็นฉันละก็...อย่าหวังว่าจะได้กลับสถานีเลย” ชาญณรงค์เพิ่งนึกได้เรื่องที่ถามค้าง “เอ...แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน”
“คุณเจนประสบอุบัติเหตุเมื่อคืน...ตอนนี้ทางตำรวจกำลังสืบอยู่ว่าจะเป็นการชนแล้วหนีหรือเปล่า”
ชาญณรงค์ตกใจ “ห๊า ! เอ่อ...เมื่อกี้ผมแค่คิดนะนายก...ไม่ซิ...แม้แต่คิดผมยังไม่คิดเลย”
ชาญณรงค์รีบปฏิเสธระล่ำระลักเพราะกลัวว่าจะเป็นผู้ต้องสงสัย ใจเด็ดถามขึ้น
“เมื่อกี้ผู้พันบอกว่าเจนตบหน้าคุณนุชใช่มั้ย”
ชาญณรงค์พยักหน้า ใจเด็ดนิ่งไปนึกสงสัยสรนุชขึ้นมาทันที
ส่วนสรนุชกับอรอนงค์เองก็ยิ่งตกใจมากพอรู้เรื่องจากสุบิน
“คุณเจนโดนรถชนเหรอ” สองสาวแทบจะพูดพร้อมกัน
“ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...คุณเจนอาจจะรถล้มเองหรืออาจจะโดนรถชนก็ได้”
สรนุชกับอรอนงค์รู้สึกใจหายยังไงชอบกล
“แล้วคุณเจนปลอดภัยหรือเปล่า” อรอนงค์เป็นห่วง
สุบินส่ายหน้า สีหน้าเครียดลง “ยังไม่ฟื้นเลย...แล้วก็ไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่” หันมองสรนุชจริงจัง “นุช...แกรู้เรื่องนี้อยู่แล้วหรือเปล่า”
สรนุชอึ้ง “หมายความว่าไง”
“ก็เมื่อคืนแกบอกว่าคุณเจนตบหน้าแก” สุบินว่า
“ทำไม...แกคิดว่าฉันผูกใจเจ็บก็เลยขับรถชนคุณเจนหรือไง” สรนุชย้อนถาม
“สุบิน...แกคิดอย่างนี้ได้ยังไง...แกไม่รู้จักพวกฉันสองคนแล้วใช่มั้ย” อรอนงค์ฉุน
สุบินสงบลง “ฉันขอโทษ...ฉันไม่คิดว่าแกสองคนทำหรอก”
“ไม่คิด..! แล้วที่แกมาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการมาสอบสวนฉันหรือไง” สรนุชว่า
“ฉันไม่ได้มาสอบสวน...ที่ฉันมานี่เพราะฉันมาช่วยแกต่างหาก”
สรนุชกับอรอนงค์มองสุบินด้วยความแปลกใจ
สรนุชเดินเข้ามากับสุบิน กำลังตรงไปที่ห้องพักเจนจิราในโรงพยาบาล
“ฉันอยากให้แกมาเยี่ยมคุณเจน...เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าแกบริสุทธิ์ใจ
สรนุชสีหน้าเศร้าลง
“ถึงเราจะมีอุดมการณ์ที่ต่างกัน...แต่แกเชื่อมั้ยสุบิน....ว่าฉันไม่เคยคิดเกลียดพวกกระบือบาลเลย”
สุบินมองสรนุชอย่างเข้าใจก่อนที่สุบินจะตบไหล่สรนุชให้เดินต่อ
“คุณเจนได้ยินแกพูดอย่างนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้...เดี๋ยวฉันเข้าไปดูก่อนแล้วกันว่ามีใครอยู่หรือเปล่า...แกรอตรงนี้ก่อน”
สุบินพูดเสร็จก็เดินออกไป สรนุชพ่นลมหายใจออกมาอย่างเป็นกังวล ระหว่างนั้นเสียงของโชคชัยดังขึ้น
”คุณนุชครับ”
สรนุชหันไปก็แปลกใจเมื่อเห็นโชคชัยเดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณโชคชัย...มาเยี่ยมคุณเจนเหรอคะ”
โชคชัยอึกอัก รู้สึกลำบากใจ แต่แล้วสรนุชก็อึ้งไป เมื่อเห็นตำรวจเดินพ้นมุมตึกตรงเข้ามาที่เธอยืนอยู่
ครู่ต่อมาตำรวจนายหนึ่งเดินตรงไปที่โต๊ะร้อยเวร ซึ่งใจเด็ดนั่งหันหลังอยู่ ตำรวจนายนั้นรายงานให้ร้อยเวรทราบ
“ขออนุญาตครับ...ผู้ต้องสงสัยคดีคุณเจนจิรามาแล้วครับ”
ใจเด็ดได้ยินก็หันมองไปที่ประตู เห็นโชคชัยพาสรนุชเข้ามา สรนุชมองใจเด็ดด้วยความช้ำใจที่ถูกเข้าใจผิดซ้ำซาก สรนุชปรี่เข้ามาหาใจเด็ดทันที
สรนุชนี่นายคิดว่าฉันเป็นคนทำคุณเจนหรือไง
“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร...คุณโกรธที่โดนเจนเขาตบหน้าใช่มั้ย”
“ว่าไงนะ”
“ใจเด็ด...ตอนนี้คุณนุชยังผู้บริสุทธิ์...นายไม่ควรจะพูดอย่างนี้” โชคชัยว่า
ร้อยเวรเอ่ยขึ้น
“เอาละครับ...เดี๋ยวผมขอสอบปากคำคุณสรนุชก่อน...เชิญคุณใจเด็ดกับนายกรอข้างนอกก่อนแล้วกัน”
ใจเด็ดมองสรนุชด้วยความเคียดแค้น สรนุชเองก็โกรธใจเด็ดที่มองเธออย่างนั้นเหมือนกัน
เวลาผ่านไป ใจเด็ดนั่งรออยู่ข้างนอกกับโชคชัย ระหว่างนั้นโชคชัยมองเข้าไปในห้องด้วยความเป็นห่วงสรนุชตลอดเวลา
“นายกไม่ต้องห่วงหรอก...ความจริงก็คือความจริง”
“ใช่...ความจริงก็คือความจริง...เพราะฉะนั้นนายอย่าเพิ่งตัดสินอะไรก่อนที่ผลสอบสวนจะออกมา”
ใจเด็ดค่อยๆ ลุกขึ้น “หึ...ผลสอบสวนเหรอ...แล้วถ้ามันออกมาว่าเธอผิดจริง...นายกจะปกป้องเธออีกมั้ย”
เสียงของสรนุชดังขึ้น “ถ้าฉันผิดจริง...ฉันก็ไม่ยอมให้ใครมาปกป้องฉันเหมือนกัน”
ใจเด็ดกับโชคชัยหันไปมองสรนุชที่เดินออกมากับร้อยเวร
“ถ้าเราต้องการข้อมูลอะไรเพิ่ม...คงต้องรบกวนคุณสรนุชอีกนะครับ” ร้อยเวรบอก
“ยินดีค่ะ”
สรนุชยกมือสวัสดีร้อยเวรก่อนที่ร้อยเวรจะเดินเข้าห้องไป
“คุณแก้ตัวว่าไง...ตำรวจถึงได้ไม่จับคุณ”
“นี่...นายใช้คำว่าแก้ตัวได้ยังไง...ฉันไมได้ทำอะไรผิด...ตำรวจจะจับฉันได้ยังไง” สรนุชโกรธจัด
“ใช่...เพราะแผนของคุณทุกอย่างมันแนบเนียนมาก...คุณมันนักโกหกมืออาชีพอยู่แล้วนี่”
“ในเมื่อนายพิพากษาฉันไปแล้ว...นายจะให้ฉันแก้ตัวทำไม”
“เพราะผมอยากรู้ว่าคุณยังมีความละอายใจอยู่มั้ย...หรือว่าหัวใจของคุณมันเต็มไปด้วยคำว่าชัยชนะ...จนไม่สนใจว่าใครจะเป็นใครจะตาย”
โชคชัยปรี่เข้ามาก่อนจะแยกทั้งสองออก “เสร็จเรื่องแล้ว...ไปกันเถอะครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” สรนุชหันมาจ้องหน้าพูดกับใจเด็ด “ถ้าฉันอยากให้ใครตายจริงๆ ซักคน...คงจะเป็นนาย...รู้อย่างนี้ฉันน่าจะปล่อยให้นายนอนให้สุนัขมันแทะอยู่กลางป่าก็ดีหรอก”
โชคชัยได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้...ผมก็ไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากคุณ”
“ถ้าฉันตายมันจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้นใช่มั้ย...แล้วทำไมวันนั้นนายไม่ปล่อยให้ฉันตกน้ำตายไปเลยละ”
โชคชัยยิ่งยืนอยู่ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไร้ตัวตน
“เพราะผมไม่ได้ใจอำมหิตเหมือนคุณ ที่คิดถึงแต่ชัยชนะมากกว่ามนุษยธรรม”
“เกินไปแล้วนะ”
ใจเด็ดสบตาสรนุช “สิ่งที่คุณทำกับควาย...ทำกับคนรอบข้างผม...ผมจะไม่ยอมอีกต่อไป...ถ้าคุณแรงมาเท่าไหร่...ผมก็จะแรงกลับไปเท่านั้น”
แววตาของสรนุชเต็มไปด้วยความเสียใจ
เวลาเดียวกันที่บริษัทคาบาตี้ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ
สมพลถือหนังสือฉบับหนึ่งรีบเดินมาตามทางอย่างร้อนใจ แต่พอพ้นมุมออกมา สมพลก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสาววัยรุ่นนั่งรอกันอยู่เต็มทางเดิน บ้างก็กำลังวอร์มเสียง บ้างก็กำลังแต่งหน้าทำผม
สมพลมองตาไม่กระพริบ จนชนกับสาววัยใสนางหนึ่งที่ยืนอยู่
“อุ้ย” สาวคนนั้นตกใจ
“ขอโทษจ้ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
สาวคนนั้นพูดแล้วจะเดินไป สมพลตัดสินใจเรียกเอาไว้
“เอ่อ...เดี๋ยวก่อนหนู...พวกหนูมาทำอะไรกัน”
“ก็มาให้คุณสมพลดูตัวค่ะ”
“ห๊า”
“ก็พวกเราได้ข่าวว่าคุณสมพละกำลังคัดเลือกพรีเซ็นเตอร์คาบาตี้ประจำปีนี้นี่คะ” สาวนางนั้นบอก
“แต่ฉันไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย” สมพลชะงัก มองไปทางห้องทำงานลูกชาย “ไอ้วัต”
นึกรู้ทันทีว่าณวัตกำลังทำเรื่องอีกแล้ว
ณวัตใช้เนคไทปิดตากำลังเล่นเกมกับสาวคนหนึ่งในห้องทำงาน “อยู่ไหนน้า”
ณวัตกระโดดตะครุบไปที่โซฟาแต่ก็คว้าลมเพราะสาวคนนั้นยืนหลบอยู่ที่มุม
“โอเค๊...ได้...เหลืออีกสองครั้ง...ถ้าพี่จับเราได้...เราต้องมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้พี่นะ”
ระหว่างนั้นสมพลเปิดประตูเข้ามาในห้อง กำลังจะด่าแต่พอเห็นสภาพแล้วก็อึ้งไป สมพลยกมือทำสัญญาณให้สาวคนนั้นเงียบเอาไว้
สมพลเดินเข้ามาหาลูกชายแสบ ณวัตได้ยินเสียงคนเดินก็ชะงัก
“ต้องอยู่ทางนี้เลย”
ณวัตกลับหลังหันกระโดดตะครุบไปที่สมพล “จับได้แล้ว”
ณวัตแปลกใจเพราะสัมผัสไม่ใช่หญิงสาว ณวัตจึงจับไปตามเนื้อตัวก่อนจะเอามือจับไปที่หน้าของสมพล
ณวัตค่อยๆ ดึงเนคไทขึ้น แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นสมพล
“พ่อ”
“เล่นบ้าอะไรของแก...ห๊า”
ณวัตจะหนีแต่สมพลคว้าเนคไทไว้ แล้วเอาม้วนกระดาษในมือตีณวัตไม่ยั้ง สาวในห้องตกใจเลยวิ่งออกไป
“โธ่พ่อ ! ผมก็แค่คลายเครียดนิดหน่อย”
“แต่แกกำลังจะทำให้ฉันเครียดมากกว่าเดิม...แกรู้มั้ยว่าตอนนี้ทางบอร์ดเขากำลังเพ่งเล็งแกกับฉันอยู่”
“ก็ให้เขาเพ่งไปซิพ่อ...เราไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ฉันอยากให้แกไปหนองระบือ” สมพลเอ่ยขึ้น
“หนองระบือ...อีกแล้วเหรอพ่อ...นี่พ่อกลัวพวกมันขนาดนั้นเลยเหรอพ่อ”
ณวัตพูดยังไม่ทันจบ สมพลก็โยนกระดาษในมือให้กับณวัต
“อะไรน่ะพ่อ” ณวัตอ่าน “นิคมอุตาสาหกรรมคาบาตี้”
สมพลอธิบาย “อีกสามปีข้างหน้าจะเริ่มการค้าเสรี...ทางบอร์ดเห็นว่าเรามีกำลังพอที่จะเป็นฮับในภูมิภาคนี้”
“แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย”
“ฉันอยากให้แกไปกว้านซื้อที่ดินที่หนองระบือมาให้มากที่สุด”
ณวัตทำหน้าเซ็ง “พ่อหาคนอื่นไปทำแล้วกัน”
“อะไรนะ”
“เอ้า...พ่อคิดดูดิ...เราทำไปบริษัทก็รวยขึ้นๆ...แต่เราก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม”
“แกคิดว่าฉันไม่คิดตรงนี้หรือไง...ที่ฉันให้แกไปเพราะเราจะได้สิบเปอร์เซ็นต์จากราคาที่ดิน...แล้วฉันก็รู้มาว่างบที่อนุมัติออกมาเรื่องซื้อที่ดินไม่ต่ำกว่าสามพันล้าน” สมพลบอก
“สามพันล้าน” ณวัตคิด “แล้วสิบเปอร์เซ็นต์...ก็...”
ณวัตตาเป็นประกายขึ้นมาทันที นึกถึงเงินจำนวนมหาศาลลอยอยู่ข้างหน้า
ที่บริษัทคาบาตี้ สาขาสุรินทร์ ตอนกลางวันของวันนั้น
สรนุชนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างครุ่นคิดถึงคำพูดของใจเด็ดที่โรงพัก
“เพราะผมไม่ได้ใจอำมหิตเหมือนคุณที่คิดถึงแต่ชัยชนะมากกว่ามนุษยธรรม”
“สิ่งที่คุณทำกับควาย...ทำกับคนรอบข้างผม...ผมจะไม่ยอมอีกต่อไป...ถ้าคุณแรงมาเท่าไหร่...ผมก็จะแรงกลับไปเท่านั้น”
ระหว่างนั้นอรอนงค์เดินเข้ามา
“นุช” สรนุชยังคงอยู่ในภวังค์ อรอนงค์เรียกดังขึ้นอีก “นุช”
สรนุชสะดุ้ง รู้สึกตัวหันมา “ว่าไงอร”
“ตาแมงเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว...เหลือเธอออกไปถ่ายรูปกับตาแมงเท่านั้นแหละ”
สรนุชนึกถึงคำพูดของใจเด็ดอีกครั้ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“ฉันพร้อมแล้ว”
อรอนงค์แปลกใจเมื่อเห็นแววตาของสรนุชกลับมาสู้อีกครั้ง
ส่วนใจเด็ดเดินไปมาอยู่ในสำนักงานสถานีอย่างกระวนกระวาย ครู่ต่อมาเกริกไกรในชุดปลอดเชื้อเดินออกมา
ใจเด็ดรีบปรี่เข้าไปถาม “เป็นไงหมอ...สำเร็จมั้ย”
เกริกไกรหน้าเครียดส่ายหน้า ใจเด็ดถึงกับสีหน้าเศร้าลงด้วยความผิดหวัง
“มันเหมือนว่าดีเอ็นเอของบุเรงนองมันพัฒนาถึงที่สุดแล้ว”
“โห...แล้วอย่างนี้เราจะไปสู้กับพวกรถไถได้ยังไงคะ” สมหญิงว่า
ระหว่างนั้นภิรมย์วิ่งเข้ามาในออฟฟิศหน้าตาตื่น
“หัวหน้าครับหัวหน้า”
“มีอะไรภิรมย์”
“ตอนนี้คนแห่จองรถไถของไอ้พวกคาบาตี้ เกือบครึ่งตำบลแล้วครับหัวหน้า”
“อะไรนะ”
ใจเด็ดกัดกรามแน่น รู้ทันทีว่าสรนุชชักธงรบกับเขาเต็มรูปแบบแล้ว
“แล้วทำไมอยู่ๆ ชาวบ้านถึงได้หันไปสนใจรถไถได้...นายรู้มั้ย” เกริกไกรสงสัย
“จะอะไรอีกละหมอ...ก็ไอ้พวกคาบาตี้เล่นโหมกระพือข่าวไปทั่วตำบลว่าถ้าใครหันมาใช้รถไถก็จะรวยขึ้นในพริบตา”
สมหญิงฉุน “โฆษณาชวนเชื่อชัดๆ”
จู่ๆ เหมือนใจเด็ดจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ในเมื่อพวกนั้นทำได้...ทำไมเราจะทำไม่ได้”
ทุกคนหันมามองใจเด็ดเป็นตาเดียวกัน ต่างก็อยากรู้วิธีการของใจเด็ด!
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00 น.
กระบือบาล ตอนที่ 13 (ต่อ)
ส่วนทางด้านสุบินกำลังนั่งเซ็งอยู่ที่คอกควาย คิดทรีทเม้นต์ละครที่จะเสนอผู้จัดไม่ตกสักที
“ผู้หญิงที่เป็นอุปสรรครักระหว่างพระเอกนางเอก...โดนรถชนจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา...ทำให้พระเอกเข้าใจว่าเป็นฝีมือของนางเอก”
สุบินชะงักมือเอาไว้ ก่อนจะขีดฆ่าๆ ไม่พอใจ
“ฮ๊าย ! นี่เราจะหากินกับความทุกข์ของคนอื่นหรือไง...เว้ย”
ระหว่างนั้นเสียงของใจเด็ดดังขึ้น
“คุณสุบิน”
สุบินหันไปทางใจเด็ด รีบพับสมุดเก็บทันที “คุณใจเด็ด...มีอะไรครับ”
“ผมจะมาขอบคุณที่คุณสุบินต้องลำบากมาช่วยดูแลควายแทนเจนเขาอย่างนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ที่ผมอยากทำตรงนี้...เพราะหลายครั้งที่ผมเคยพูดไม่ดีกับเธอ...ตอนนี้ถ้ามีอะไรที่ผมทำได้...ผมก็อยากทำให้เธอน่ะครับ”
“แต่ผมว่า...มีอย่างนึงที่เจนต้องอยากให้คุณสุบินช่วยพวกเรา” ใจเด็ดเอ่ยขึ้น
“ช่วย? คุณใจเด็ดจะให้ผมทำอะไรเหรอครับ”
สุบินมองจ้องหน้าใจเด็ด
ไม่นานหลังจากนั้น ใจเด็ดและเหล่ากระบือบาล รวมทั้งสุบิน ตรงมาที่สถานีวิทยุชุมชนแห่งนั้น ดีเจกำลังควบคุมเสียงอยู่ที่แผงควบคุม ก่อนจะได้ยินเสียงละครวิทยุดังเข้ามา
เกริกไกรที่รับบทไอ้ขขวัญ เริ่มทันที “เรียม...เรียมคิดดีแล้วเหรอที่จะให้พี่ออกรถไถ”
สมหญิงในบท อีเรียม เล่นต่อเนื่อง “แล้วถ้าพี่ขวัญยังใช้ควายอยู่อย่างนี้...เมื่อไหร่พี่ขวัญจะมีเงินมาสู่ขอเรียมกับพ่อละจ๊ะ”
สุบินกับใจเด็ดใส่หูฟังนั่งอยู่ข้างๆ ดีเจ สุบินโวยขึ้น “คัทๆๆ”
เกริกไกร สมหญิงและภิรมย์ที่รับบทผู้บรรยาย อยู่ในห้องอัดต่างชะงักไป สุบินกดปุ่มพูดกับทั้งสามคนที่อยู่ในห้องอัด
“มีอารมณ์กันหน่อยซิคร้าบ...หมอ...หมอต้องใส่ความรู้สึกหนักใจลงไปในน้ำเสียงด้วย...ในเมื่อเรียมก็คือคนรัก...ส่วนควายก็ผูกพันเหมือนพี่น้อง...ส่วนสมหญิง...สมหญิงเคยน้อยใจมั้ย” สุบินบิ้วท์เกริกไกรและสมหญิง
“เคยค่ะ”
“นั่นแหละ...ให้น้อยใจที่คนรักเราทำไมเห็นควายดีกว่าเรา...เอาละ...ลองกันใหม่นะ”
สุบินกดปิดไมค์ก่อนจะหันมาพูดกับใจเด็ดที่ยืนควบคุมการผลิตอยู่ข้างหลัง
“คุณใจเด็ดนี่คิดวิธีนี้ออกได้ยังไง...นับถือจริงๆ ครับ”
“ต้องขอบคุณคุณสุบินมากนะครับ...ที่ยอมช่วยพวกเรา”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...ถ้าคุณเจนได้มาเห็นเธอคงต้องชอบมากแน่ๆ...เฮ้อ...แต่ยัยนุชกับพวกคาบาตี้ต้องไม่ชอบแน่นอน”
สุบินหนักใจไม่น้อย ส่วนใจเด็ดนิ่งเงียบนึกไปถึงสรนุชว่าผลจะออกมาเป็นยังไง
ด้านสรนุชกับอรอนงค์กำลังยืนตะโกนเรียกยายล้อมอยู่หน้าบ้าน
“ยายล้อม...คุณยายล้อมคะ”
ระหว่างนั้นยายล้อมวิ่งลงมาจากบ้าน
“อ้าว...ว่าไงคะคุณ”
“คุณยายลงชื่อจองรถไถไว้ใช่มั้ยคะ” สรนุชถาม
“อืม” ยายล้อมพยักหน้า
สรนุชบอกต่อ “คือพวกเราจะมาอธิบายถึงคุณลักษณะ...เงื่อนไข...และสิ่งที่คุณยายจะได้จากรถไถให้ฟังน่ะคะ”
“เหรอ...ถ้างั้นมาวันอื่นได้มั้ยคุณ” ยายล้อมบอก
“อ้าว...ทำไมละคะ” สรนุชสงสัย
“ละครวิทยุกำลังสนุก...วันหลังแล้วกันนะ”
ว่าแล้วยายล้อมก็รีบวิ่งจู๊ดกลับขึ้นไปบนบ้านทันที สรนุชกับอรอนงค์ยังไม่ทันเรียกก่อนจะหันมองหน้ากันงงๆ
เวลาต่อมาสรนุชกับอรอนงค์กำลังอธิบายเรื่องรถไถให้ตาชุมฟังในบ้าน
“ตอนนี้ทางเรามีโปรโมชั่นให้คุณตาเลือกหลายอย่างเลยนะคะ...จะเลือกผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์นานสองปี...หรือจะเลือกรับน้ำมันฟรีแทนก็ได้...คุณตาตัดสินใจหรือยังคะ”
ตาชุมไม่ตอบเพราะกำลังตั้งใจฟังละครวิทยุอย่างเอาเป็นเอาตาย
อรอนงค์พยายามเรียก “คุณตาคะ”
ตาชุมทำนิ้วให้เงียบ “ชู่ว์...ละครกำลังสนุก...แป๊ปนึงนะหนู” หันไปพูดกับวิทยุอย่างมีอารมณ์ร่วม “อย่านะเว้ยไอ้ขวัญ...คิดดีๆ นะเว้ย”
“ก็เรียม...ข้าจะขายควายเพื่อเอ็ง” เสียงพูดดังมาจากวิทยุ
ตาชุมตบแคร่ดังโครมจนข้าวของกระจาย “ปัดโธ่...” แล้วหยิบวิทยุขึ้นมาด่า “ขายไปได้ยังไง...ควายมันเป็นเพื่อนเอ็งมาแต่เกิดนะเว้ย”
สรนุชงวยงง “เอ่อ...คุณตาคะ”
ตาชุมเสียงดัง “อะไร...เอาไว้วันอื่นแล้วกันหนู...วันนี้อารมณ์ไม่ดี...ฮึ่ยย์...ไอ้ขวัญนะไอ้ขวัญ...ไม่ได้อย่างใจเลย”
สรนุชกับอรอนงค์อ้าปากหวอ มองหน้ากันคิดในใจ...นี่มันอะไรเนี่ย
ครู่ต่อมาสรนุชกับอรอนงค์เดินเข้ามาในหมู่บ้านไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“กับอีแค่ละครวิทยุมันจะน่าฟังอะไรนักหนา”
อรอนงค์นั้นเหมือนคิดบางอย่างอยู่
สรนุชถามอย่างสงสัย “คิดไร”
“อ้าว...เมื่อกี้ตอนที่อยู่บ้านตาชุมแกไม่ได้ยินละครวิทยุนั่นหรือไง”
“ทำไม”
“แกไม่แปลกใจเหรอว่าละครวิทยุนั่นมันพูดถึงเรื่องควายด้วยนะ”
สรนุชนิ่ง ครุ่นคิดตามที่อรอนงค์บอก “คงไม่มีอะไรมั้ง...ก็แค่ละครวิทยุธรรมดา”
จังหวะนั้นมีเสียงละครวิทยุดังขึ้น
“หลังจากที่ไอ้ขวัญตัดสินใจขายควายเพื่อไปซื้อรถไถแล้ว...ความรักของไอ้ขวัญกับอีเรียมจะสมหวังหรือไม่...โปรดรับฟังติดตามกันต่อได้เลยครับ”
สรนุชกับอรอนงค์ต่างหยุดยืนฟังด้วยความสนใจ
“ไงละเรียม...รถไถที่เอ็งให้ข้าซื้อมันไม่ได้ดีอย่างที่เอ็งคิด...” ไอ้ขวัญบอก
“ทำไมไม่ดีจ๊ะพี่...ก็ในเมื่อพี่ขวัญทำนาได้มากขึ้น...พี่ก็ขายข้าวได้มากขึ้นนะ” อีเรียมว่า
“แต่ทำนามากขึ้น...พี่ก็ต้องใช้น้ำมันเยอะขึ้น...รถไถก็เสียเร็วขึ้น...เอ็งรู้มั้ย...ที่ข้าไม่มีเงินมาขอเอ็งกับพ่อเพราะอะไร”
สรนุชกับอรอนงค์เริ่มทำหน้าสงสัย
“อร...ฉันว่าไอ้เสียงนี่มันคุ้นๆ นะ”
อรอนงค์พยักหน้า คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
“ก็เพราะว่าพี่เอาเงินไปซื้อน้ำมันไปซ่อมรถไถ...เรียม...ถ้าเอ็งอยากให้ข้ามีเงินมาขอเอ็ง...เอ็งต้องให้ข้ากลับไปใช้ควายเหมือนเดิม” เสียงละครดังต่อเนื่อง
อรอนงค์นึกออก “หมอ ! นี่มันเสียงของหมอเกริกไกรนี่”
“จริงด้วย”
สรนุชกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ก่อนจะเดินหุนหันออกไป
“ได้จ้ะพี่...ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปช่วยไอ้ทุยเถอะจ้ะ” เสียงสมหญิงในบทอีเรียมบอก
สรนุชกับอรอนงค์เดินออกไป มีเสียงบรรยายจากวิทยุที่ดังคลอไปด้วย
“แล้วไอ้ขวัญกับอีเรียมก็รีบไปที่โรงฆ่าสัตว์เพื่อช่วยไอ้ทุย”
สรนุชกับอรอนงค์ตรงมาที่องค์การบริหารส่วนตำบล ได้ยินเสียงของเกริกไกรในบทไอ้ขวัญร้องไห้ดังออกมาจากวิทยุ
“ไอ้ทุย...ทุยเพื่อนข้า...ข้าไม่น่าขายเอ็งแล้วมาใช้รถไถเลย”
ทันใดนั้นสรนุชก็กดปิดวิทยุก่อนจะเห็นโชคชัยหน้าเครียด
“ใจเด็ดคงใช้วิทยุชุมชนเป็นกระบอกเสียง...เพื่อสู้กับคุณ”
สรนุชเจ็บใจนัก “เชื่อเค้าเลย..! แล้วนายกจะทำยังไงคะ...ฉันไม่เคยไปก่อกวนพวกเขา...แล้วทำไมพวกเขาต้องทำอย่างนี้ด้วย”
“ใจเย็นซินุช” อรอนงค์เตือน
“ถ้านายกไม่จัดการ...ฉันคงต้องทำเอง” สรนุชเสียงกร้าว
โชคชัยนิ่งไปด้วยความลำบากใจ
ที่สถานีวิทยุชุมชน เกริกไกร ภิรมย์ และสมหญิงกำลังเล่นละครกันต่อเนื่องอยู่ในห้องอัด สุบินควบคุมการทำงาน ส่วนใจเด็ดยืนมองอยู่อย่างลุ้นๆ
ภิรมย์เริ่มทำหน้าที่บรรยายเรื่อง “ไอ้ขวัญกับอีเรียมต่างรีบมาที่โรงฆ่าสัตว์เพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลา
เกริกไกรทำท่าวิ่ง “ไอ้ทุย...ไอ้ทุย”
“นั่นพี่ขวัญค่ะ...ไอ้ทุยอยู่นั่น” สมหญิงว่า
ใจเด็ดกับสุบินที่อยู่ด้านนอกต่างลุ้นกันตัวโก่ง ใจเด็ดยืนนิ่งเพราะเหมือนกับชีวิตจริงของเขา
ภิรมย์บรรยาย “แต่แล้วภาพที่ไอ้ขวัญเห็นก็คือภาพที่ไอ้ทุยโดนฆ่า”
“ไอ้ทุยย” เกริกไกรครวญคราง
“ฮือๆ...พี่ขวัญ...เรียมขอโทษ” สมหญิงต่อ
“ถ้าวันนั้นไอ้ขวัญไม่ขายควาย...ชีวิตเขาก็จะไม่ล้มเหลวอย่างนี้...ไอ้ขวัญเสียทุกอย่าง...แต่สิ่งที่ไอ้ขวัญเสียใจที่สุด...ก็การเสียเพื่อนแท้อย่างไอ้ทุยไม่มีวันกลับ”
พูดบรรยายจบ ภิรมย์ก็หันไปหยิบกีตาร์ขึ้นมาก่อนจะร้องเพลง
“ควายไทย...ไม่ใช่ควายนอก...”
สุบินถอดหูฟังออกก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก ใจเด็ดเดินเข้ามาตบไหล่ สุบินหันไปมองเห็นใจเด็ดยื่นมือมาให้จับ
“ขอบคุณมาก”
ใจเด็ดกับสุบินจับมือกันอย่างเข้าอกเข้าใจ ระหว่างนั้นมีเสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องอัดเสียง
ใจเด็ดหันไปมองแล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นโชคชัย
ใจเด็ดเดินออกมาที่หน้าสถานีวิทยุชุมชน พูดขึ้นเสียงแข็ง
“เขาให้นายกมาหยุดผมเหรอ”
“นายทำแบบนี้...ชาวบ้านเขาจะอึดอัดนะ...เหมือนว่านายกำลังจับพวกเขาเป็นตัวประกัน” โชคชัยบอก
“แล้วทำไมนายกไม่บอกกับพวกคาบาตี้อย่างนี้ละครับ” โชคชัยสะอึก “นายก...ผมอยากเตือนนายกด้วยความหวังดี...ต่อให้นายกทำดีกับคุณสรนุชแค่ไหน...นายกคิดว่าเขาจะมองนายกเหรอ”
โชคชัยนิ่งงันไปเหมือนคำพูดของใจเด็ดกระแทกใจดำเข้าเต็มๆ
“คนที่เจ็บไม่ใช่เธอ...แต่เป็นตัวนายกเอง”
ใจเด็ดอยากจะบอกโชคชัยนักว่าเขาเองเคยผ่านความรู้สึกนี้มาก่อนแต่ก็พูดไม่ได้ โชคชัยนิ่งงันไป
สรนุชเดินเข้ามาที่หน้าบริษัทกับอรอนงค์
“อร...ลองดูซิว่าใครเป็นเจ้าของสถานีวิทยุชุมชนนั่น...ฉันอยากคุยด้วยหน่อย”
อรอนงค์งง “คุยทำไม”
“ฉันจะให้เงินสนับสนุนสถานี...แล้วก็บอกเขาว่าห้ามไอ้พวกกระบือบาลมาทำละครวิทยุบ้าๆบอๆนั่นอีก”
ระหว่างนั้นมีชาวบ้านต่างก็เดินออกมาจากบริษัท ชิดชัยวิ่งตามออกมา
“เดี๋ยวก่อนซิครับ”
ชิดชัยรีบวิ่งเข้ามาขวางกลุ่มชาวบ้านเอาไว้ สรนุชเข้าไปถามด้วยความแปลกใจ
“มีอะไร”
“ก็พวกนี่...” ชิดชัยนึกได้ “อุ้ย...ก็พวกคุณพี่ซิครับ...อยู่ๆ จะมายกเลิกใบจองที่จองรถไถเราเอาไว้น่ะครับ”
สรนุชอึ้ง หันไปปั้นหน้ายิ้มกับชาวบ้าน “เอ่อ...ทำไมละคะ...ไม่อยากเป็นเศรษฐีใหม่เหมือนตาแมงเหรอคะ”
ชาวบ้านรีบบอกเหตุผล “ไม่....พวกเราไม่อยากเหมือนไอ้ขวัญ”
ชาวบ้านอีกคนเสริม “ใช่...สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร...พวกเรากลับไปใช้ควายเหมือนเดิมดีกว่า”
ว่าแล้วกลุ่มชาวบ้านต่างก็กรูกันออกไป โดยไม่สนใจการรั้งเอาไว้ของชิดชัยและอรอนงค์
สรนุชแค้นใจเด็ดขึ้นมา “ได้...แล้วจะได้เห็นดีกัน”
ส่วนเหล่ากระบือบาล ทั้ง ใจเด็ด เกริกไกร ภิรมย์ สมหญิง และสุบินกลับมาจากการเล่นละครวิทยุ ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน
ภิรมย์ยังอินไม่เลิก เก็กเสียงหล่อตล้อดๆ “แหม...เพิ่งรู้ว่าการทำละครมันสนุกอย่างนี้นี่เอง”
“นั่นซิ...เอ่อ...สมหญิงเล่นเป็นยังไงบ้างคะคุณสุบิน” สมหญิงถาม
“ก็โอเคนะครับ”
“โอเค...ถ้าอย่างนั้น...เอ่อ...ถ้าคุณสุบินกลับกรุงเทพฯ...พาสมหญิงไปด้วยนะคะ”
เกริกไกรงง “เธอจะไปทำไม”
“เอ้า...ก็เผื่อสมหญิงจะได้เป็นแสดงกับเขาบ้างไงหมอ”
ภิรมย์รีบแขวะทันควัน “โห...แสดงละครสัตว์ก็ว่าไปอย่าง”
เสียงหัวเราะดังครืนอย่างครื้นเครง เกริกไกรแปลกใจเมื่อเห็นใจเด็ดหน้าเครียด
“เป็นไรไอ้เด็ด...ไม่ชอบละครหรือไง” เกริกไกรเห็นใจเด็ดหน้าเครียดๆ จึงถาม
“เปล่า...ฉันกำลังคิดว่า...เราทำละครออกไปอย่างนี้...ไม่นานพวกคาบาตี้ต้องเอาวิธีอื่นออกมาใหม่เหมือนกัน”
ระหว่างนั้นมีคนงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาใจเด็ด
“หัวหน้าครับ...ตอนที่หัวหน้าไม่อยู่...ทางปศุสัตว์จังหวัดโทรมาน่ะครับ”
ใจเด็ดแปลกใจ “เขาบอกหรือเปล่าว่าเรื่องอะไร”
“ไม่ได้บอกครับ...บอกแต่ว่าถ้าหัวหน้ากลับมาให้รีบโทร.กลับด่วนครับ”
ใจเด็ดหน้านิ่ว รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาว่าคงไม่ใช่เรื่องดี
ครู่ต่อมาใจเด็ดคุยโทรศัพท์หน้าเครียดอยู่ในสำนักงาน “ครับ...ครับ”
ใจเด็ดวางสายลงก่อนจะหันมาบอกกับทุกคนที่ยืนรออยากรู้ว่าเรื่องอะไร
“ทำไมไอ้เด็ด...มีเรื่องอะไร” เกริกไกรถามแทนทุกคนที่ยืนออรอฟัง
“ไม่รู้เหมือนกัน...แต่ทางจังหวัดเขาให้ฉันเข้าไปพบเขาเดี๋ยวนี้”
“เรื่องด่วนอะไรทำไมต้องให้เข้าไปตอนนี้ด้วย” เกริกไกรฉงน
ใจเด็ดเองสงสัยเหมือนกัน
ที่สำนักปศุสัตว์จังหวัดสุรินทร์ หัวหน้าศูนย์เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด
“ผมได้รับรายงานจากคนในพื้นที่หนองระบือว่าคุณใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ”
ใจเด็ดในชุดข้าราชการกระทรวงเกษตรยืนอยู่ภายในห้อง
“ใช้อำนาจในทางมิชอบ..? เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ก็เรื่องที่คุณทำละครวิทยุไง”
ใจเด็ดอึ้ง ชะงักไป
หัวหน้าศูนย์เห็นท่าทางของใจเด็ดก็รู้ทันที “คงจะจริงใช่มั้ย”
“แต่ที่ผมทำอย่างนั้นเพราะผมรณรงค์ให้คนรักควายนะครับท่าน”
“ใจเด็ด...หน้าที่เราคืออะไร...วิจัยพันธุ์สัตว์...ไม่ใช่ทำงานมวลชน”
ใจเด็ดแย้ง “แต่ท่านครับ...”
หัวหน้าเอ่ยสวนขึ้น “ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างนี้อีก...ถ้าชาวบ้านเขาร้องเรียนไปที่กรมจะเป็นยังไง...นายก็รู้ใช่มั้ยว่าฉันไม่อยากเดือดร้อน” ใจเด็ดยืนนิ่ง “ครั้งนี้ฉันจะตักเตือนนายก่อน...ถ้ายังมีอีก...ฉันก็คงต้องปฏิบัติตามกฎ”
ใจเด็ดยืนนิ่งข่มความโกรธเอาไว้ในใจ
คืนนั้นใจเด็ดในชุดข้าราชการแวะมาที่โรงพยาบาล กำลังเดินมาตามทางเดินอย่างเคร่งเครียดก่อนจะหยุดเปลี่ยนอารมณ์เมื่อถึงหน้าห้องพักฟื้นของเจนจิรา
ใจเด็ดผลักประตูเข้าไปเห็นพยาบาลกำลังตรวจดูน้ำเกลือให้เจนจิราที่นอนนิ่งอยู่
“สวัสดีค่ะหัวหน้า”
“สวัสดีครับ...เจนเป็นยังไงบ้างครับ”
“ยังไม่ตอบสนองอะไรเลยคะ”
ใจเด็ดเดินเข้ามาหาเจนจิราด้วยความเป็นห่วง ระหว่างนั้นก็เหลือบไปเห็นกระเช้าดอกไม้วางอยู่ ใจเด็ดหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะเห็นการ์ดเล็กๆ เขียนว่า “รีบตื่นมาสู้กันใหม่นะ...สรนุช”
“ใครเป็นคนเอามาให้ครับ” ใจเด็ดถามพยาบาลเฝ้าไข้
“ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่บริษัทรถไถไงคะ”
“เธอไปไหนแล้วครับ”
“เพิ่งเดินออกไปเมื่อกี้นี่เองค่ะ”
ใจเด็ดวางกระเช้า แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป
สรนุชยืนรอรถอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล ระหว่างนั้นเห็นใจเด็ดวิ่งเข้ามาเหลียวมองไปรอบๆ แล้วเห็นสรนุชยืนอยู่
สรนุชได้ยินคนเดินเข้ามาจึงหันไป แล้วก็ชะงักไปเมื่อเห็นใจเด็ดยืนอยู่ในชุดข้าราชการ กำลังเดินมา
“คุณมาทำอะไร...มาเยาะเย้ยเจนเขาหรือไง”
“นี่...ฉันแยกแยะออกว่าอะไรงานอะไรเรื่องส่วนตัว” สรนุชมองชุดใจเด็ดแล้วเยาะขึ้นมา “หึ...ดีแล้วที่นายใส่ชุดข้าราชการบ้าง...จะได้จำได้ว่าตัวเองเป็นใคร”
“ผมรู้ตัวอยู่ตลอดว่าตัวเองเป็นใคร...ไม่เหมือนคุณที่โกหกจนจำไม่ได้ว่าตัวเองกำลังเล่นบทอะไรอยู่”
“จะไม่จบใช่มั้ย...ที่ฉันพูดก็เพราะว่าฉันหวังดี...นายจะต้องไม่โดนร้องเรียนอีกไง”
ใจเด็ดได้ยิน ก็ชะงักทันที
“ที่แท้ก็เป็นฝีมือคุณที่ร้องเรียนเข้าไปนั่นเอง”
“ใช่...ฉันเองที่เป็นคนร้องเรียนนาย...ฉันเสียภาษีให้นาย...ให้ข้าราชการอย่างนายต้องดูแลประชาชน...ไม่ใช่มารังแกประชาชน”
“เหอะ...คุณกำลังจะบอกให้ตำรวจดูแลโจรเหรอ”
“อะไรนะ”
“เอ้า...ก็ถ้าเอาตรรกะเรื่องภาษีของคุณมาพูด...ตำรวจก็คงมีหน้าที่ใหม่ที่ต้องดูแลโจรไม่ใช่จับโจร”
“แต่ฉันไม่ใช่โจร...นายทำไม่ถูกฉันก็ร้องเรียน”
“แล้วที่คุณทำมันถูกหรือไง...ล้างสมองชาวบ้าน...เอาหนี้เอาสินมายัดในชีวิตเขา...แล้วไหนจะขายรถไถทำให้ควายถูกฆ่า...นอกจากไม่ถูกแล้ว...คุณยังทำผิดศีลธรรม”
“อ๊าย...หยุดได้แล้ว”
ใจเด็ดโวยขึ้นมาบ้าง “อ้ากก...ไม่หยุด” สรนุชอึ้ง “คุณจะร้องเรียนก็เชิญ...ผมอาจจะถูกทำโทษเรื่องวินัย...แต่คนที่จะทำโทษคุณก็คือกฎแห่งกรรม”
ใจเด็ดพูดเสร็จก็เดินออกไป สรนุชยืนตัวสั่นด้วยความโกรธ
“อ๊าย... บ้า...บ้า...บ้า”
คืนนั้นใจเด็ดเปิดประตูเข้ามาในบ้าน แล้วเหลียวมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างเงียบที่สุด กำลังจะเดินเข้าห้อง แต่แล้วเสียงเรียกดังขึ้น
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าไอ้เด็ด”
ใจเด็ดหันมาเห็นเกริกไกร “ยังไม่นอนเหรอหมอ”
“ใครจะไปนอนลง...แล้วเรื่องด่วนที่ว่ามันคืออะไร”
ใจเด็ดเซ็ง “จะเรื่องอะไร...ก็ยัยนั่นร้องเรียนเข้าไปว่าฉันเอาเวลาราชการไปทำละครวิทยุ...เขาก็เลยคาดโทษฉันห้ามทำอีก”
“เฮ้ย! ขนาดนั้นเลยเหรอวะ...โห...คุณนุชนี่เอาเรื่องเหมือนกัน”
“ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากนี่หมอ...เราน่าจะดีใจด้วยซ้ำ”
“หมายความว่าไง”
“เอ้า...ก็แสดงว่าละครวิทยุของเราได้ผลไง...ไม่อย่างนั้นแม่นั่นคงไม่เต้นขนาดนี้” ใจเด็ดว่า
“ก็จริงของแก...แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้เราก็ทำต่อไม่ได้แล้ว” เกิรกไกรบอก
ใจเด็ดนิ่งไปอย่างหนักใจ
เช้าวันใหม่ชิดชัยเดินเข้ามาที่หน้าบริษัท ระหว่างนั้นรถเอสยูวีคันหรูขับปาดเข้ามา จนชิดชัยกระโดดหลบแทบไม่ทัน
“เฮ้ย ! ขับรถภาษาอะไรวะ”
ชิดชัยปรี่เข้าไปหาที่รถเอสยูวีคันนั้นแล้วเคาะกระจกรถเอาเรื่อง
“ขับรถยังไง...ลงมาคุยกันหน่อยซิ”
ประตูรถคันนั้นเปิดออก พร้อมกับเห็นขาคนขับก้าวลงมาจากรถ ชิดชัยถึงกับตะลึงคาที่ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร
ตอนสายวันนั้นสรนุชกับอรอนงค์เดินคุยกันอยู่บริเวณล๊อบบี้
“นึกยังไงถึงได้อยากไปทำบุญวันนี้”
“ก็ไม่มีอะไร...ฉันแค่รู้สึกว่าห่างวัดห่างวามานานแล้ว...ทำไมคนอย่างฉันอยากทำบุญมันแปลกหรือไง”
ระหว่างนั้นเสียงโชคชัยดังขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณนุช...คุณอร”
สรนุชกับอรอนงค์หันมามองโชคชัย
“อ้าว...คุณโชคชัย...มาธุระที่นี่เหรอครับ”
“ผมมาหาคุณนุชแหละครับ” สรนุชกับอรอนงค์ฟังแล้วฉงน “คือ...ผมอยากจะมาชวนคุณนุชไปวัดน่ะครับ...เห็นว่าพักนี้คุณนุชเจออะไรหลายๆอย่าง...ก็เลยอยากชวนคุณนุชไปทำบุญด้วยกัน”
สรนุชกำลังจะบอกปฏิเสธ “คือวันนี้...”
อรอนงค์รีบสอดขึ้น “แหม...ใจตรงกันเลยค่ะ” โชคชัยแปลกใจ “ก็ยัยนุชกำลังจะไปถวายสังฆทานที่วัดอยู่พอดี...นี่ไงนุช...แกก็ไปกับคุณโชคชัยเลยดิ”
สรนุชกัดฟันกรอดๆ “ยัยอร”
โชคชัยรู้สึกดีใจมาก “จริงเหรอครับ...ไปด้วยกันนะครับคุณอร”
“อรขอตัวดีกว่าค่ะ”
สรนุชอึ้ง “อ้าว”
“ไม่ใช่ฉันไม่อยากไป...แต่ถ้าเราไปออฟฟิศสายกันทั้งคู่...พวกพนักงานจะคิดยังไง...ฝากนุชด้วยนะคะคุณโชคชัย..” หันมาทางสรนุช “ฉันไปก่อนนะ...สายแล้ว”
อรอนงค์รีบเดินออกไปทันที
สรนุชเรียกไว้ “อร...อร”
สรนุชหันมายิ้มเจื่อนให้กับโชคชัยที่ยิ้มอย่างมีความสุข
รถหรูคันหนึ่งขับเข้ามาจอดที่โรงแรม ภายในรถชิดชัยหันมาบอกทางฝั่งคนขับ
“คุณนุชอยู่โรงแรมนี่ละครับ”
เจ้าของรถคือณวัต กำลังมองเข้าไปในโรงแรมอย่างรังเกียจ
“เนี่ยนะโรงแรมที่ดีที่สุดของที่นี่...อยู่ไปได้ยังไง...แกกลับไปได้ละ”
“ห๊า ! เอ่อ...แต่มันไกลเหมือนกันนะครับ” ชิดชัยโวย แต่ณวัตจ้องมาเขม็ง “ได้เลยครับ...ผมอยากเดินยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี”
ขณะที่ชิดชัยกำลังจะลงจากรถ ก็เหลือบไปเห็นสรนุชเดินออกมากับโชคชัยและอรอนงค์
“นั่นคุณนุชนี่ครับ”
ณวัตมองไปตามที่ชิดชัยบอก เห็นโชคชัยเปิดประตูรถให้สรนุชเดินขึ้นรถไป วินาทีนั้นชิดชัยแอบชำเลืองมองณวัตก่อนจะเสี้ยมทันที
“แหม...ถึงว่าทำไมพักนี้คุณนุชชอบไปทำงานสาย...ที่แท้ก็มีภารกิจนี่เอง...เอ...ไม่รู้ภารกิจอะไรนะครับถึงได้ออกมาจากโรงแรมด้วยกันอย่างนี้”
ณวัตมองตามรถโชคชัยที่สรนุชนั่งอยู่ข้างในขับออกไปด้วยความรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง
ณวัตกำพวงมาลัยแน่นแววตากร้าวขึ้นมาทันที
โปรดอ่านต่อตอนที่ 14