แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 13
พนารัตน์รีบร้อนเดินออกมาจากประตูบ้านเสรี ณภัทรและกอบชัยเดินตามออกมา
“คุณรัตน์ เดินรอกันบ้าง จะรีบไปไหน” กอบชัยถาม
พนารัตน์หยุดเดิน แล้วหันไปโวย “ยังจะมาถาม รีบๆ เผ่นเหอะ จะรอให้คุณเสรีแพ่นกบาลเอาก่อนรึไง”
“คุณภัทร” แพรวาร้องทัก
“นั่นไง คุณเสรีมาแล้ว” พนารัตน์รีบก้าวเดินหนี
“คุณแม่ น้องแพรต่างหากครับ” ณภัทรหันไปหาแพรวา “เอ่อ..คือ...ผมต้องขอโทษ...”
แพรวาพูดสวนขึ้น “แพรจะมาขอบคุณคุณภัทรน่ะค่ะ”
ณภัทรตกใจเพราะผิดคาด “หา?! ขะ..ขอบคุณผมเนี่ยนะ”
“ค่ะ ขอบคุณที่คุณภัทรกล้าพูดปฏิเสธคุณพ่อแทนแพร ไม่งั้นเราสองคนคงต้องทนอยู่ด้วยกันไปอีกนาน”
พนารัตน์ดึงแขนณภัทรเข้ามากระซิบ “เรารีบกลับกันดีกว่า”
ณภัทรยื้อไว้ “เดี๋ยวก่อนคุณแม่” ณภัทรหันมาหาแพรวา “โชคดีนะแพร”
“เอาหละ..กลับเร็ว” พนารัตน์เร่ง
“เดี๋ยวสิครับ” ณภัทรพูด
“น้องแพรเค้าก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วไง จะรออะไรอีก”พนารัตน์ถาม
“ก็รอพี่ณดลน่ะสิครับ” ณภัทรบอก
พนารัตน์และกอบชัยนึกขึ้นได้ก็ตกใจหันมองหน้ากัน แล้วเหลียวมองเข้าไปในตัวบ้าน
นลิณาดึงแขนเสื้อรั้งณดลไว้ไม่ให้เขาเดินออกจากบ้าน
“คุณจะมาพูดแบบนี้กับฉัน แล้วเดินออกไปง่ายๆ เนี่ยนะ”
“ผมก็แค่พูดความจริง ผมทบทวนดีแล้ว ผมชอบอะนาจริงๆ” ณดลย้ำ
นลิณากรีดร้องเสียงดัง “ไม่จริ๊ง...”
“ผมขอตัวนะ”
ณดลผละออกมา แต่เดินไปได้แค่สองก้าวเสรีก็กระชากคอเสื้อจากด้านหลังให้ณดลหันมาเผชิญหน้ากับเขา ณดลช็อค เขาเหลือบมองมือเสรีที่กุมคอเสื้อแล้วมองเสรีอย่างนึกไม่ถึง
เสรีใช้มือหนึ่งดึงคอเสื้อ ส่วนอีกมือชี้หน้าณดล “ฉันจะให้โอกาสครอบครัวนายอีกที รีบไปพาทุกคนมาขอโทษฉัน แล้วก็ถอนคำพูดทั้งหมดซะ”
“เอ่อ..ผม...ผมขอโทษคุณลุงเสรีตรงนี้ก็ได้ครับ” ณดลบอก
เสรีปล่อยมือคลายความโมโหลง
“แต่เรื่องถอนคำพูด คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ณดลพูดต่อ
เสรีตวาด “แกว่าไงนะ”
“ครอบครัวผมไม่มีใครพูดพล่อยๆ ก่อนจะพูด ทุกคนคิดดีแล้ว เพราะฉะนั้นคงไม่มีคำพูดที่จะต้องถอนหรอกครับ ผมลาหละครับ”
ณดลยกมือไหว้ลาแล้วเดินออกไป เสรีโกรธจนตัวสั่น นลิณาเดินเข้ามายืนใกล้ๆ แล้วถาม
“เราจะทำยังไงกันดีล่ะคะคุณพ่อ”
“ก็พูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง เราก็ต้องสั่งสอนให้พวกมันรู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”
เสรีพูดด้วยท่าทางอาฆาตแค้น
เวลาผ่านไป เกตนิการ์ซึ่งกำลังจิบกาแฟอยู่ในร้านกาแฟตกใจจนแทบสำลักหลังจากรู้เรื่องจากนลิณา
“เฮ้ย! จริงเหรอ นายภัทรเค้ากล้าพูดว่ารักยัยเมเลยเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่แค่นายภัทรนะ คุณณดลก็พูดออกมาว่าชอบยัยอะนาด้วย” นลิณาพูดอย่างโมโห
เกตนิการ์ช็อค “นี่มันอะไรกันเนี่ย แล้วไหนเธอบอกว่าเตรียมไม้ตายไว้จัดการคุณณดลแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ฉันเตรียมไว้แล้วจริงๆ ฉันคิดไว้ว่าจะหาโอกาสไปทานข้าวกับคุณณดลสองต่อสอง แล้วฉันก็จะแอบมอมยา แล้วพาขึ้นเตียงซะ แล้วก็...”
เกตนิการ์ขัดขึ้น “พอๆๆ หยุดเลย เธอดูหนังมากไปหรือเปล่า คิดหรือว่าผู้ชายสมัยนี้มีอะไรกับเราแล้วจะยอมรับผิดชอบน่ะ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ”
“โอ๊ย! แล้วต้องทำยังไงล่ะยะ”
“เธอก็ต้องยื่นข้อต่อรองที่เค้าไม่มีวันกล้าปฏิเสธสิยะ”
นลิณางง “ข้อต่อรองที่ไม่มีวันกล้าปฏิเสธ?”
“ใช่! ก็ถ้ายัยอะนากับยัยเมมีความหมายกับสองคนนั้นนักหละก็...ทำไมเราไม่ใช้นังสองคนนั่นมาเป็นข้อต่อรองซะเลยล่ะ” เกตนิการ์เสนอ
นลิณาคิดตามสักครู่แล้วก็นึกออก เธอจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
อัธวุธกำลังคุยกับอนามิกาและเมธาวีด้วยท่าทางร่าเริงอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านของเขา
“ถ้างั้นก็ต้องฉลองกันซักหน่อยสิยะเนี่ย เอามะ..ร้านเจ๊แพนด้าก็ได้”
อนามิกายังคงรู้สึกกังวล “จะฉลองอะไรยะ”
อัธวุธพูดพร้อมออกลีลากรีดกรายเหมือนเป็นตัวละครในเทพนิยายแบบมิวสิคัล
“ก็เลี้ยงฉลองที่ในที่สุด เรื่องราวก็จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง คุณณดลก็รักแก ส่วนนายภัทรก็รักยัยเม อู๊ย..ลงตัวสุดๆ”
“แกอย่าเว่อร์ให้มาก นี่โลกแห่งความจริง ไม่ใช่โลกในนิทาน” อนามิกาบอก
“นั่นสิ อะไรมันจะลงเอยกันง่ายขนาดนั้น” เมธาวีพูด
“ก็นายภัทรโทรมาเล่าให้ฉันฟังจริงๆ ถ้าไม่เชื่อก็รอถามกับเจ้าตัวเองแล้วกัน” อัธวุธออกลีลา “ดู๊..ดู พวกแกก็สมใจกันทุกฝ่าย ได้กันทุกคน ยกเว้นแต่ฉัน”
“นี่!ไม่ต้องเลยพี่อาร์ท เชื่อสิ อย่างพี่อาร์ทเนี่ย รับรอง ขายออกก่อนเมอีก” เมธาวีบอก
“อู๊ย...ขอให้จริง ขอให้ได้ ขอให้โดน ไปเหอะ ยัยเม ได้เวลาต้องไปลุยงานกันที่ร้านฉันแล้ว” อัธวุธหันมาหาอนามิกา “เดี๋ยวคืนนี้จะแวะหาเธอที่ร้านเจ๊แพนด้านะยะ”
อัธวุธขยับออกไป อนามิกาเข้ามาโอบเมธาวีแล้วพูดให้กำลังใจ
“เห็นมั้ย นายภัทรเค้าเลือกเธอนะเม”
“แล้วพี่ล่ะเชื่อรึยัง ว่าคุณณดลเค้าชอบพี่จริงๆ” เมธาวีถามกลับ
อนามิกาผงะที่เจอเมธาวีย้อนแต่ก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้
ทุกคนที่บ้านณดลกำลังนั่งเครียดอยู่รอบโต๊ะอาหาร สักพักศรียกอาหารมาเสิร์ฟ แต่ทุกคนยังนิ่ง จนศรีชักแปลกใจ
“กับข้าวครบสำรับแล้วค่ะ เชิญทานได้เลยค่ะ” ทุกคนยังนิ่ง ศรีจึงย้ำอีกที “ทานเลยสิคะ กับข้าวกำลังร้อนๆ ข้าวสวยกำลังกรุ่นๆ”
กอบชัยดันจานข้าวออก “ฉันกินไม่ลง ศรีช่วยเอาข้าวไปเทคืนลงหม้อก่อนไป”
“ฉันก็กระเดือกไม่ลงเหมือนกัน” พนารัตน์บอก “เรากำลังหาเรื่องเดือดร้อนกันอยู่หรือเปล่า ที่ทำตัวแบบนั้นกับคุณเสรีเค้าน่ะ”
“แต่เราก็ทำถูกแล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย ใครจะกล้ามาทำอะไรเราครับคุณแม่” ณดลพูด
“ก็คุณเสรีนี่แหละกล้า” กอบชัยขัดขึ้น
“แต่บ้านเมืองเรามีกฏหมาย มีขื่อมีแป ใครมันจะทำร้ายคนอื่นกันได้ง่ายๆ” ณภัทรบอก
“ก็คุณเสรีอีกนั่นแหละ พวกแกคงรู้จักคุณเสรีน้อยไป จริงๆ แล้วคุณเสรี...” กอบชัยพูดยังไม่ทันจบพนารัตน์ก็รีบปราม
“ไม่เอาน่ะคุณกอบ อย่าพูดเรื่องนี้เลย”
“คุณลุงเสรีเค้าทำไมเหรอครับคุณพ่อ” ณภัทรถาม
“เค้าเคยมีเรื่องพัวพันเกี่ยวกับการค้ายา...” กอบชัยโพล่งออกมา
“คุณกอบ จะพูดทำไม นั่นมันเรื่องในอดีต ปัจจุบันคุณเสรีเค้าอาจจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้วก็ได้” พนารัตน์ปราม
“แต่คุณก็รู้นี่ว่าคุณเสรีเค้าเคยเลี้ยงลูกน้อง เลี้ยงมือปืนไว้เยอะแยะมากมาย ผมก็ควรจะบอกลูกให้ระวังตัวเอาไว้บ้าง”
ศรีแทรกขึ้นอย่างอดใจไม่ได้ “แต่ทางลูกสาวบ้านนั้นเค้าชอบคุณณดลกับคุณภัทรอยู่นะคะ เค้าคงไม่ทำอะไรหรอกค่ะ”
พนารัตน์พูดกับกอบชัย “ใช่...คุณก็กลัวจนเกินไป” พนารัตน์นึกได้หันมาค้อนศรี “นี่..ยัยศรี มายืนอะไรตรงนี้ยะ”
ศรียิ้มแหยๆ แล้วถอยออกไป
พนารัตน์พูดกับณดลและณภัทร “ลูกไม่ต้องกลัวหรอกนะ”
“แต่ก็อย่าประมาทล่ะ คนอย่างคุณเสรี ไม่มีทางยอมจบง่ายๆ ยังไงเขาก็ต้องหาทางเล่นงานพวกเราอยู่สักทางแน่ๆ” กอบชัยบอก
ณภัทรกับณดลมีสีหน้าไม่สบายใจหลังจากที่ได้ยินกอบชัยเตือน
เสรีเปิดซองกระดาษสีน้ำตาลแล้วหยิบรูปถ่ายของอนามิกากับเมธาวีออกมา โชค ลูกน้องของเสรีมองรูปอย่างตั้งใจ และส่งต่อให้เจตน์ ลูกน้องอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ รับไปดู
“สองคนนี่น่ะเหรอครับ เป้าหมายที่คุณเสรีต้องการตัว” โชคถาม
เสรีที่นั่งอยู่ตรงข้ามพยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ใช่! ชื่อ ที่อยู่ รายละเอียดทั้งหมดก็อยู่ในซองแล้ว” เสรีบอก
“คุณเสรีจะให้ผมจับเป็น หรือว่าฆ่ามันทิ้ง...” โชคถาม
“ไม่ต้องรีบฆ่ามันหรอกนะ” เสียงนลิณาดังขึ้น
นลิณาเดินเข้ามาพร้อมกับเกตนิการ์
“ให้ฉันกับคุณพ่อได้ใช้มันสองคนหาเงินซักก้อน แล้วค่อยฆ่ามันทีหลังก็ยังไม่สาย” นลิณาพูดต่อ
“นีน่า...ไหนลูกบอกว่าจะให้พ่อจัดการเองไง” เสรีถาม
“เรื่องสนุกๆ แบบนี้ นีน่าจะพลาดได้ไงล่ะคะ”
“แต่พ่อไม่อยากให้ลูกต้องมาติดร่างแห ถ้ามันเกิดผิดพลาดขึ้นมา” เสรีมองเกตนิการ์ “แล้วนี่อย่าบอกนะว่าลูกเล่าให้เพื่อนฟังหมดแล้ว”
“เรื่องยัยเกดคุณพ่อไว้ใจได้ค่ะ” นลิณาบอก
“ใช่ค่ะ เกดกับนีน่าเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน” เกตนิการ์ยืนยัน
“ยัยเกดไม่มีวันหักหลังนีน่าหรอกค่ะ” นลิณาพูดแล้วเดินมาที่โชคกับเจตน์ ก่อนจะดึงซองออกจากมือเจตน์ “เอาคืนมานี่”
โชคกับเจตน์งง
“ลูก...นั่นเป็นรูปกับข้อมูลของ...” เสรียังพูดไม่จบนลิณาก็แทรกขึ้น
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” นลิณาหันไปหาโชคกับเจตน์ “นายโชค นายเจตน์”
โชคกับเจตน์รับคำ “ครับคุณหนู”
“ไม่ต้องดูรูป ดูข้อมูลอะไรทั้งนั้น ฉันกับยัยเกด จะไปกับแกสองคนเอง” นลิณาบอก
“นีน่า...แต่พ่อว่า...” เสรีพยายามจะพูด
นลิณาแทรกขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะคุณพ่อ ขอให้นีน่าได้สะสางเรื่องนี้เอง”
เสรีรู้สึกเป็นห่วง “แต่ลูกต้องระวังตัวนะ อย่าให้มันสืบสาวมาถึงพวกเราได้”
“ค่ะคุณพ่อ นีน่าจะระวังตัว คุณพ่อสบายใจได้เลยค่ะ”
เสรียังเป็นกังวลเพราะไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองต้องออกโรงแบบนี้
รถตู้คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ที่บริเวณซึ่งไม่ห่างจากบ้านอัธวุธ เจตน์นั่งอยู่ที่เบาะคนขับ ส่วนโชคนั่งข้างๆ ทั้งสองมองไปที่บริเวณหน้ารั้วบ้านอัธวุธซึ่งตัวบ้านยังดับไฟมืด มีเพียงไฟหน้าบ้าน และบริเวณรั้วที่เปิดสว่าง นลิณากับเกตนิการ์นั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังคอยสั่งการ
โชคหันมาถาม “คุณหนูแน่ใจใช่มั้ยครับว่ามันอยู่บ้านนี้ทั้งสองคน”
“แน่ใจสินายโชค เตรียมตัวไว้ให้พร้อมเถอะ เดี๋ยวพวกมันก็กลับมาแล้ว” นลิณาบอก
โชคกับเจตน์ยกปืนขึ้นมาแล้วเหลียวหลังมาบอก
“ผมพร้อมเสมออยู่แล้ว” โชคพูด
“ผมก็พร้อมครับคุณหนู” เจตน์บอก
“เอ่อ...ฉันว่าเอาปืนลงก่อนดีกว่านะ เอาหละ...มาซักซ้อมแผนกันอีกที ทันทีที่มันกลับเข้ามา เราทุกคนต้องรีบสวมหมวกปิดหน้าไว้ซะ” เกตนิการ์พูดพร้อมกับชูหมวกไหมพรมไอ้โม่งขึ้นมา
“แล้วนายสองคนก็รีบขับรถไปจอดที่หน้ารั้ว” นลิณาพูดต่อ “แล้วก็ลงไปจี้มันสองคนขึ้นรถมา รีบเอาถุงดำคลุมหัวมัน แล้วก็” นลิณาชูเชือกขึ้นมา “มัดข้อมือมันไว้”
“ส่วนนายเจตน์ ก็รีบขับรถออกไปที่โกดังให้เร็วที่สุด” เกตนิการ์บอกแผนต่อ
“แล้วถ้ามันกลับมาพร้อมๆ กันหมด แถมมียัยอาร์ทกลับมาด้วยล่ะ” นลิณาถาม
โชคยกปืนหันโชว์ด้ามปืน “ใครที่ไม่เกี่ยว ก็ต้องทักทายกันด้วยด้ามปืนสิครับ”
นลิณากับเกตนิการ์พยักหน้าให้กันอย่างพึงพอใจ
ณ ร้านเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงวัยทำงานที่ดูหรูหรา ป้ายชื่อหน้าร้านเขียนว่า attawut เมธาวีกำลังพับเสื้อผ้าห่อกระดาษแล้วใส่ถุงส่งให้ลูกค้า โดยมีอัธวุธยืนอยู่ใกล้ๆ
“ขอบคุณมากค่ะ” เมธาวีพูดกับลูกค้า
“แล้วแวะมาอีกนะคะ” อัธวุธพูดแล้วหันมาหาเมธาวี “พอแล้ววันนี้ ปิดร้านเหอะ เดี๋ยวจะรวยเร็วเกิน”
“จะรีบกลับบ้านเหรอพี่อาร์ท”
“อืม...แต่แวะไปรับยัยอะนา แล้วก็กินข้าวกันก่อน” อัธวุธขยิบตาซ้าย “เอ..วันนี้หนังตาเขม่นๆ พิกล เขม่นข้างนี้ ไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายนะ”
เมธาวีกับอัธวุธรับประทานอาหารกันอยู่ในร้านของพนิดา โดยมีอนามิกายืนอยู่ใกล้ๆ
“ก็ต้องโชคดีสิยะ โบราณเค้าว่าขวาร้าย ซ้ายดีไง” อนามิกาบอก
“จริงเหรอ” อัธวุธหน้าตื่น เขาเงยหน้าขึ้นแล้วขยิบตาขวา “ฉันจะบอกแกว่า มันเพิ่งย้ายมาขยิบข้างขวาแล้วน่ะสิ”
“พี่อาร์ท อย่างมงายหน่อยเลยน่า รีบๆ กินแล้วรีบๆ กลับบ้านกันเหอะ” เมธาวีบอก
“งั้นรอฉันไปเคลียร์หลังร้านแป๊บ แล้วกลับกันเลยนะ” อนามิกาพูดแล้วบผละไป
อัธวุธรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
รถตู้ของพวกนลิณายังคงจอดซุ่มอยู่ไม่ห่างจากหน้าบ้านอัธวุธ สักพักมีรถคันหนึ่งมาจอดบริเวณหน้าบ้านอัธวุธ โชครีบหันมาบอกนลิณากับเกตนิการ์
“มีคนมาแล้วครับคุณหนู”
นลิณายื่นหมวกไอ้โหม่งให้โชคกับเจตน์ “รีบใส่เร็วๆ เข้า”
เจตน์กับโชค รีบสวมหมวกไอ้โม่ง เกตนิการ์เพ่งมองผ่านกระจกหน้ารถ โชคกับเจตน์ กำลังจะขยับลงจากรถ แต่เกตนิการ์รีบทักไว้
“เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งลง”
นลิณาหันมาถามเกตนิการ์ “มีอะไรเหรอ”
“นั่นมันคุณณดลกับนายภัทรนี่” เกตนิการ์บอก
“หา...” นลิณาหันไปมองทันที
ณดลกับณภัทรก้าวลงจากรถแล้วเดินมาที่หน้าประตูรั้ว
ณภัทรมองเข้าไปที่ตัวบ้าน “สงสัยจะไม่มีใครอยู่บ้านนะพี่ ผมว่าเรากลับดีกว่า”
“เดี๋ยวสิ ก็ไหนว่าพี่สาวอะนาเค้ามาอยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่เหรอ” ณดลกดออดที่ประตูรั้ว “แกบอกทุกคนว่ารักเม แต่แกกลับไม่กล้าบอกกับเจ้าตัวเค้าเองเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่ว่าผมไม่กล้า แต่มันไม่ใช่เวลานี้”
“แล้วแกจะรออะไร ฉันนึกว่าแกจะพัฒนามาเป็นคนกล้าพูดกล้าทำ ที่ไหนได้ แกก็ขี้ขลาดเหมือนเดิม” ณดลว่า
“อย่าว่าแต่ผมเลย พี่เองก็เหมือนกันแหละ”
“เหมือนยังไง”
“ทีกับคนอื่นหละกล้าพูดว่าชอบยัยอะนา ถ้าพี่แน่จริง ทำไมไม่มาพูดต่อหน้าอะนาบ้างล่ะ”
ณดลสะอึกและถึงกับเถียงไม่ออก
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 13
ทุกคนในรถตู้มองผ่านกระจกหน้าออกไปเห็นณดลกับณภัทรยืนอยู่ นลิณาหันมาพูดกับเกตนิการ์
“คุณณดลมาทำอะไรที่นี่เนี่ย หรือว่ามาหายัยอะนา” นลิณาไม่พอใจ
เกตนิการ์ก็ไม่พอใจเช่นกัน “นายภัทรก็เหมือนกัน นี่แอบมาหายัยเมเหรอเนี่ย”
โชคกับเจตน์สวมหมวกไอ้โม่งแล้วหันมาถาม
“จะเอาไงดีครับเนี่ย” โชคถาม
“ให้พวกผมลงไปจัดการมันซะเลยก็ได้นะครับ” เจตน์บอก
นลิณารีบสวนขึ้น “ไม่ต้อง แกห้ามแตะต้องสองคนนี้เด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
โชคกับเจตน์พยักหน้ารับ “คะ...ครับๆ”
เกตนิการ์โพล่งขึ้น พร้อมกับชี้นิ้วไป “โน่น! พวกมันมาแล้ว”
เกตนิการ์รีบหยิบหมวกไอ้โม่งขึ้นมาสวมด้วย
อัธวุธขับรถมาจอดอยู่หน้ารั้ว อนามิกากับเมธาวีก้าวลงจากรถ ส่วนอัธวุธโผล่หน้าออกมาถาม
“อ้าว...อีตาภัทรมาได้ไงเนี่ย”
“ก็...มากับพี่ณดลน่ะ” ณภัทรบอก
“สวัสดีค่ะคุณณดล นี่คงนัดกะยัยอะนาไว้ใช่ไหมคะ” อัธวุธถาม
“ฉันเปล่านัดซะหน่อย” อนามิการีบปฏิเสธ
อัธวุธพูดกับเมธาวี “ยัยเม เปิดรั้วให้ฉันก่อน” อัธวุธพูดกับทุกคน “เข้าไปคุยกันในบ้านเหอะ คืนนี้ท่าทางจะคึกครื้นเป็นพิเศษนะ”
เมธาวีกับณภัทรเดินไปเปิดรั้วแล้วโบกไม้โบกมือให้อัธวุธเอารถเข้าไปจอด ทิ้งให้ณดลยืนอยู่กับอนามิกา สักพักณดลก็เอ่ยถามขึ้น
“คุณ...เป็นไงบ้าง”
“ก็สบายตัวดีค่ะ เพิ่งโดนใครบางคนไล่ออกจากบ้านมา แถมยังไม่มีงานทำ” อนามิกาประชด
ณดลรีบสวนขึ้น “อะนา ผมขอโทษ”
“ง่ายไปมั้ยคะ ตอนไม่พอใจก็ดุด่า เฉดหัวไล่ ตอนนี้จะมาขอโทษ ถ้าคุณมาเพื่อพูดคำนี้หละก็...คุณกลับไปเถอะค่ะ ขอตัวนะคะ”
อนามิกาเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้ณดลยืนมองตามด้วยความงุนงง
นลิณากับเกตนิการ์ต่างก็สวมหมวกไอ้โม่ง ทั้งสองมองผ่านกระจกหน้ารถแล้วหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างสะดุ้งตกใจที่เห็นว่าอีกคนสวมหมวกไอ้โม่งอยู่ “อุ้ย!”
นลิณากับเกตนิการ์ถอดหมวกไหมพรมออก
“ดูเหมือนคุณณดลมาตามง้อเลยนะ สงสัยที่คุณณดลบอกว่าชอบยัยอะนา เห็นท่าจะจริงแฮะ” เกตนิการ์บอก
นลิณายิ่งโกรธ “ไม่จริง เธออย่าไปเข้าข้างมัน ฉันรู้ข่าวว่าคุณณดลเคยเฉดหัวไล่มันออกจากบ้าน ฉันว่าสองคนนี้น่าจะเกลียดกันซะมากกว่า”
โชคหันมาถามพร้อมกับยกปืนขึ้นมา “จะให้ผมสองคนลงไปจัดการเลยมั้ยครับ”
“อย่าเพิ่งสิ รอให้คุณณดลกลับไปก่อน ฉันไม่อยากให้คุณณดลโดนลูกหลง” นลิณาบอก
“แล้วก็ห้ามทำอะไรคุณภัทรด้วยนะ” เกตนิการ์เสริม
เกตนิการ์นึกได้ว่าหลุดปากออกไป นลิณาเหลือบมองอย่างไม่ไว้ใจ เกตนิการ์รีบหลบตาทันที
อนามิกา เมธาวี ณดล และณภัทรนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกในบ้าน อัธวุธยืนพูดอย่างร่าเริงอยู่คนเดียว
“นี่อยู่กันพร้อมหน้าเหมือนตอนที่อยู่บ้านฉันที่ลอนดอนเลยนะ เอางี้มั้ย! ฉันว่าเรามาปาร์ตี้กันดีกว่า เดี๋ยวฉันออกไปซื้ออะไรมากินมาดื่มกัน”
ทุกคนนั่งนิ่งเพราะไม่มีใครอยู่ในมู้ดที่อยากจะเฮฮาปาร์ตี้
“ปาร์ตี้ไง เอามั้ย” อัธวุธเสียงอ่อยลง “ไม่เหรอ...ไม่ปาร์ตี้เหรอ..” อัธวุธกร่อยลงไป
“ฉันแค่อยากจะมาคุยกับเมซักหน่อยน่ะ” ณภัทรบอก
เมธาวีดีใจ “มีอะไรเหรอภัทร”
“เอ่อ...คือ...” ณภัทรไม่สะดวกใจที่จะคุยตรงนี้
อัธวุธรู้ทัน “ถ้าอยากเป็นส่วนตัวก็เข้าไปคุยข้างในไป๊” อัธวุธผายมือไปในตัวบ้าน
ณภัทรกับเมธาวีพยักหน้าเห็นด้วย แล้วทั้งคู่ก็เดินเลี่ยงออกไปด้วยกัน อัธวุธหันมาเห็นว่าณดลหันไปมองอนามิกา แต่อนามิกากลับมีทีท่ามึนตึงเหมือนไม่อยากพูดด้วย
“อ้าว..แล้วสองคนนี้นี่ยังไงจ๊ะ ยังไม่หายเคืองกันอีกรึไง”
ณดลโอดครวญกับอัธวุธ “ฉันหายนานแล้ว ที่จะมานี่ ก็จะมาขอโทษอะนาเค้าน่ะ”
อัธวุธหันมาที่อนามิกา “เอ้า...ว่าไง คุณณดลเค้าบอกจะมาขอโทษ”
อนามิกาพูดกับอัธวุธ “บอกเค้าว่ากลับไปเถอะ”
อัธวุธหันไปที่ณดล “เค้าบอกว่ากลับไปเหอะ”
“อะนาเค้าโกรธฉันเหรอ” ณดลถามอัธวุธ
อัธวุธหันไปถามอนามิกา “เธอไปโกรธไปแค้นอะไรเค้าเหรอ”
อนามิกาพูดกับอัธวุธ “เปล่า...ฉันไม่ได้โกรธแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าฉันอยากคุยกับเค้าหรอกนะ ฉันผ่านเรื่องปวดหัวมามากพอแล้ว และกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉันไม่อยากย้อนกลับไปสภาพเดิมๆ อีก”
อัธวุธหันไปพูดกับณดล “เอ่อ...โห...อันนี้ยาวเกิน ฉันจำไม่ไหว ฟังเองแล้วกันนะ”
ณดลหันไปหาอนามิกา “เธอก็ใช้ชีวิตของเธอ โดยที่ไม่ต้องตัดฉันออกไปก็ได้นี่นา”
“อย่าเลยค่ะ ฉันโดนตบหัวแล้วไม่ชอบให้ใครมาลูบหลังน่ะ ชีวิตฉันกำลังจะเริ่มต้นใหม่ ฉันได้อยู่กับพี่สาว แล้วก็กำลังมองหางานใหม่ หรือไม่ก็อาจจะไปเรียนต่อ”
“เรียกว่ากำลังเข้าที่ เลยไม่อยากจะมีใครเข้ามาให้ปวดหัวว่างั้น” อัธวุธเสริม
อนามิกาพยักหน้า “ก็...ทำนองนั้น”
ณดลมีท่าทางหนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะกล่อมอนามิกายังไงให้กลับมาพูดคุยกันดีๆ
เมธาวียกแก้วน้ำสองแก้วมาเสิร์ฟให้ณภัทรและตัวเอง ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหารในครัว เมธาวีมีท่าทางสดใสเพราะคาดหวังว่าณภัทรคงจะมาคุยเรื่องที่เป็นข่าวดีสำหรับตน
“ไหน...มีอะไรจะคุยกับฉันเหรอ” เมธาวีถาม
“ก็...เรื่อง...”
“เดี๋ยวนะ ให้ฉันทายก่อน คงจะเป็นเรื่องที่นายไม่ยอมหมั้นกับคุณแพรใช่มั้ย”
ณภัทรส่ายหน้า
“งั้นคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับ..” เมธาวีเริ่มเขิน “เราสองคน?”
ณภัทรส่ายหน้าอีก
จากที่ยิ้มสดใส เมธาวีเริ่มหุบยิ้มแล้วถามอย่างเซ็งๆ “งั้นเรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องพี่ณดลกับอะนาน่ะสิ” ณภัทรบอก
เมธาวีเบือนหน้าหลบณภัทรแล้วทำหน้าเซ็ง
เมธาวีบ่นเบาๆ “อีกแล้ว”
“คือที่ห่วงเนี่ย เพราะนิสัยสองคนเนี้ย ต่างคนก็ต่างถือทิฐิสุดๆ ทั้งที่ในใจก็รู้สึกดีต่อกันนะ แต่ไม่มีใครยอมไล่ตามง้ออีกฝ่ายแน่ๆ ถ้าเราสองคนไม่หาทางช่วย พี่ณดลกับอนามิกาก็ไม่มีวันได้ลงเอยกันหรอก”
เมธาวีโพล่งขึ้นอย่างน้อยใจ “เอาหละ ฉันเข้าใจแล้ว นายแค่จะมาขอให้ฉันช่วยเรื่องพี่ณดลกับพี่อะนา เอาเป็นว่าฉันจะช่วยนะ พอใจรึยัง แค่นี้ใช่มั้ย”
“เม เป็นอะไรน่ะ ทำไมต้องเหวี่ยงกันด้วย”
“ใครเหวี่ยง? ฉันก็ปกติ ไม่ได้เหวี่ยงอะไรซักหน่อย แค่นี้ใช่มั้ย ที่นายตั้งใจมาบอกฉัน”
“เอ่อ...ก็...”
“งั้นฉันขอตัวนะ” เมธาวีรีบเดินไปทางห้องรับแขก
“เม...เดี๋ยวก่อนสิ ว้า...ฉันยังไม่ได้คุยเรื่องของเราเลยอ่ะ”
ณดลพยายามพูดกับอนามิกา โดยมีอัธวุธยืนอยู่ใกล้ๆ
“ถ้าเธอยังไม่อยากคุยกับฉันตอนนี้ ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ถึงฉันจะเคยพูดจาไม่ดีกับเธอ เคยดูถูก เคยไล่เธอ...”
อนามิกาเมิน ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจจะฟัง
“แต่ก็ไม่เคยมีวันไหนเลย ที่ฉันจะไม่คิดถึงเธอ” ณดลพูดต่อ
อนามิกาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอรีบหันขวับมามองณดล อัธวุธก็อ้าปากค้างตกใจที่ณดลบอกความในใจออกมาแบบนี้
อนามิกามองตาณดลแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เมธาวีก็เดินออกมาจากในครัวอย่างอารมณ์เสีย
“เม...เดี๋ยว!” ณภัทรร้องเรียก
ณภัทรเดินตามออกมาดึงแขนเมธาวีไว้ อนามิกากับณดลหันไปมองอย่างงงๆ
“คุยกันก่อน” ณภัทรบอก
“ก็คุยไปแล้วไง ฉันก็รับปากว่าจะช่วยแล้วนี่” เมธาวีฉุน
“แต่ฉันมีเรื่องอยากจะบอกเธอ”
“บอกฉันเนี่ยนะ...เรื่องอะไรเหรอ?” เมธาวีถาม
อัธวุธ อนามิกา และณดลหันมาสนใจ
“คือ...ฉันไม่ต้องแต่งงานกับคนที่ฉันไม่รักแล้วหละ ฉันปฏิเสธคุณแพรไปแล้ว”
เมธาวีตอบอย่างเซ็งๆ “ฉันรู้แล้ว”
“แล้วรู้รึยังว่าฉันบอกทุกคนไปว่าฉันรักใคร”
เมธาวีตอบอย่างเซ็งๆ “รู้แล้ว นายบอกว่ารักฉัน เพราะจะได้มีข้ออ้างปฏิเสธทางคุณแพรเค้าใช่มั้ยล่ะ”
“เม...ไม่ใช่ข้ออ้างหรอกนะ”
เมธาวีประหลาดใจ “หา”
อัธวุธ อนามิกา และณดลต่างก็ตื่นเต้นไปกับณภัทรและเมธาวี
“ที่ฉันบอกทุกคนไปน่ะ ฉันพูดจากใจ ไม่ใช่ข้ออ้าง”
เมธาวีดีใจได้วูบเดียวแล้วก็ระแวงอีก “เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อน นายกำลังจะบอกว่ารักฉัน..”
ณภัทรพยักหน้าหงึกๆ
“…แบบเพื่อนอีกใช่มั้ย อย่างที่นายชอบพูดบ่อยๆ น่ะ” เมธาวีพูดดัก
ณภัทรกุมขมับ “นี่ฉันพูดตรงขนาดนี้เธอยังไม่เก็ทอีกเรอะ”
อัธวุธ อนามิกา และณดลชักหงุดหงิดที่เมธาวีไม่เข้าใจ ณภัทรหันมาเห็นว่าตกเป็นเป้าสายตาก็ชักอาย
“เอ่อ...ไว้โอกาสเหมาะๆ ที่มีเราแค่สองคน ค่อยเคลียร์กันใหม่ดีกว่านะเม”
“ฉันก็ว่างั้น เสียบรรยากาศ เสียมู้ดหมด” อัธวุธโพล่งออกมา
อัธวุธ อนามิกา และณดลทำท่าเซ็ง ทั้งสามมองเมธาวีแล้วส่ายหน้าเชิงตำหนิว่าไม่ได้เรื่อง
เมธาวีงง “ทำไมต้องมองฉันแบบนี้ด้วยล่ะ”
เมธาวียังงงๆ เพราะไม่รู้ว่ากองเชียร์ทั้งสามเซ็งตนเรื่องอะไร
นลิณายังนั่งอยู่ในรถตู้ เธอเริ่มกระวนกระวายพลางชะเง้อคอมองไปยังหน้าประตูรั้วบ้านอัธวุธ
“มันจะอะไรนักหนา ป่านนี้ยังไม่มีใครออกมาอีก”
“มีคนเดินออกมาแล้วนี่...นั่นไง เตรียมพร้อมไว้นะ พวกเราทุกคน” เกตนิการ์บอก
ทุกคนเตรียมพร้อม โชคกับเจตน์ที่สวมหมวกไอ้โม่งปิดแค่หน้าผากไว้ดึงหมวกลงมาปิดหน้าทันที
ประตูรั้วเปิดออก ณดลกับณภัทรเดินออกมา โดยมีอนามิกา เมธาวี และอัธวุธเดินตามมาส่งที่รถของณดล
ณดลพูดกับอนามิกา “ฉันกลับก่อนนะ...อ้อ! แล้วถ้าเธอมีอะไรให้ฉันช่วยหละก็...ไม่ต้องเกรงใจที่จะบอกฉันนะ”
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันคงไม่รบกวนดีกว่า” อนามิกาตอบห้วนๆ
“อะนา แกเป็นอะไรของแก” อัธวุธถาม
“ก็จริงมั้ยล่ะ ทำไมพวกผู้ชายถึงชอบคิดว่าเราจะต้องพึ่งเค้านะ จะบอกให้ว่าผู้หญิงอย่างฉัน ต่อให้โลกนี้ไม่มีผู้ชายซักคน ฉันก็อยู่ได้น่ะ”
ณดลขยับปากจะเถียงแต่ก็คิดว่าเปล่าประโยชน์จึงเดินไปที่รถ ณภัทรขยับมาใกล้เมธาวี
“แล้วฉันจะแวะมาหาบ่อยๆ นะ” ณภัทรบอก
เมธาวีทำเสียงแข็งๆ ใส่ “ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ คงไม่มีสิทธิ์อะไรไปหวงห้ามหรอกมั้ง”
ณภัทรขยับจะพูด แต่ก็เห็นว่าป่วยการจึงเดินไปขึ้นรถกับณดล
“แล้วมากันใหม่น๊า...ขับรถดีๆ ล่ะ” อัธวุธโบกมือลา
ณดลสตาร์ทรถแล้วขับออกไป
อัธวุธหันมาบ่นใส่อนามิกากับเมธาวี
“โอ๊ย..ฉันหละเบื่อยัยชะนีสองตัวนี้จริงๆ จะอะไรนักหนา ผู้ชายเค้าก็อุตส่าห์พูดซะขนาดนี้แล้วก็ยังจะเล่นตัว”
นลิณากับเกตนิการ์หยิบหมวกไอ้โม่งขึ้นมาสวมปิดหน้าไว้
นลิณาหันไปพูดกับเจตน์ “เร็วสิ ตอนนี้แหละ”
โชคกับเจตน์พยักหน้ารับ เจตน์หันไปขับรถ ส่วนโชคก็กระชับปืนเตรียมพร้อม
อนามิกากับเมธาวีหันหลังเดินผ่านรั้วบ้านเข้าไป อัธวุธกำลังจะปิดรั้วแต่แล้วเขาก็ทักขึ้น
“เข้าบ้าน...เอ๊ะ! นี่พี่ธัญญายังไม่กลับมาเหรอ”
พูดไม่ทันขาดคำ อัธวุธก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นไฟหน้าของรถตู้สาดเข้ามาก่อนที่รถตู้จะเบรกดังเอี๊ยด แล้วโชคที่สวมหมวกไหมพรมปิดหน้าก็กระโจนลงจากรถและถือปืนโชว์หรา
“หนีเข้าบ้านเร็ว” อนามิกาตะโกน
อนามิกากับเมธาวี รีบวิ่งเข้าบ้าน อัธวุธขยับจะวิ่งแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงโชคขู่ดังลั่น “หยุด ไม่งั้นฉันยิงนะ”
อัธวุธชูมือขึ้นอย่างลนลาน “หยุดแล้ว...ยะ..ยะ..อย่ายิงฉันนะ หยุดแล้ว”
เจตน์ถือปืนปราดเข้ามาสมทบ
“รีบตามพวกมันเข้าไปในบ้านเร็ว” โชคสั่ง
เจตน์พยักหน้าแล้วจะวิ่งเข้าไปในบ้าน อัธวุธกางแขนขวางเพื่อจะถ่วงเวลา เจตน์จึงใช้ด้ามปืนอัดเข้าที่ท้ายทอยอัธวุธจนร่วงลงไป แล้วเจตน์ก็วิ่งข้ามอัธวุธไปอย่างไม่ใยดี
นลิณากับเกตนิการ์ที่ต่างก็สวมหมวกไอ้โม่งโผล่หน้าออกมาจากรถตู้แล้วมองซ้ายขวาดูลาดเลาก่อนจะมองเข้าไปในบ้านด้วยอาการหงุดหงิด
“มันหนีเข้าบ้านไปแล้วนี่” นลิณาบ่น
เกตนิการ์หน้าเสีย “แล้วจะทำไงล่ะทีนี้”
อ่านต่อหน้า 3เวลา 17.00น.
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 13
อนามิกากับเมธาวียืนอยู่ที่ประตูภายในบ้าน
เมธาวีถามอย่างลนลาน “ทำไงดีล่ะพี่อะนา”
“ไม่ต้องกลัว เราอยู่ในบ้านแล้ว มันเข้ามาไม่ได้หรอก ฉันจะอยู่ตรงนี้ เธอรีบไปหยิบโทรศัพท์มาเร็ว!” อนามิกาบอก
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงโชคดังเข้ามา “ถ้าไม่รีบเปิดประตู ฉันจะยิงเพื่อนแกเดี๋ยวนี้!”
เมธาวีกับอนามิกาหน้าตาตื่น
โชคผลักหน้าอัธวุธที่ยังมึนๆ เข้ามากระแทกกับบานประตู อัธวุธมีเลือดไหลออกจากจมูก โดยมีเจตน์ยืนคุมอยู่ใกล้ๆ
“ฉันจะนับแค่หนึ่งถึงสาม ถ้าไม่เปิดประตู เพื่อนแกตาย” โชคบอก
เมธาวีที่อยู่ในบ้านมีท่าทีลนลานเหมือนจะร้องไห้
“หนึ่ง” เสียงโชคนับดังขึ้น
เมธาวียิ่งลนลานมากขึ้น “ทำไงดีล่ะพี่อะนา”
“สอง” โชคนับต่อ
อนามิกากระซิบบอกเมธาวี “บอกให้รีบไปเอาโทรศัพท์มาไง”
โชคคำรามขู่ “สาม...ตายซะเหอะ”
ทันใดนั้น ประตูก็เปิดผัวะออกมา อนามิกายกสองแขนชูขึ้นอย่างยอมจำนน
“อย่ายิงเพื่อนฉันนะ”
“แล้วอีกคนล่ะ” โชคถามแล้วพยักหน้าไปทางเจตน์ “แกดูนังนี่ไว้นะ”
เจตน์พยักหน้ารับ โชครีบพุ่งเข้าไปในบ้าน
อนามิกายกสองแขนโดยเจตน์ถือปืนคุมเชิงไว้ ส่วนอัธวุธนอนหมดสติอยู่กับพื้นบริเวณใกล้ๆ ประตู
เมธาวีวิ่งอย่างลนลานเข้ามาในตัวบ้านแล้วรีบคว้าโทรศัพท์มือถือ เธอพยายามกดเบอร์ 1 9 1 ด้วยมือไม้ที่สั่น พอกดได้แล้วโชคก็เข้ามาคว้าโทรศัพท์ไปจากมือเมธาวี
“ว๊าย” เมธาวีตกใจ
“เอามานี่” โชคดูหน้าจอ “ 1 9 1 งั้นเหรอ”
โชคโกรธมาก เขายกปืนส่องมาทางเมธาวี เมธาวีหน้าเสียเพราะคิดว่าโดนยิงแน่ๆ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงตำรวจดังมาจากโทรศัพท์
“หนึ่งเก้าหนึ่ง สวัสดีครับ”
โชคยกปืนขึ้นจุ๊ปากเตือนให้เมธาวีเงียบเสียง
“หนึ่งเก้าหนึ่ง สวัสดีครับ จะแจ้งเหตุอะไรครับ” เสียงตำรวจดังขึ้นอีก
โชคยกโทรศัพท์ขึ้นพูด “ขอโทษครับ เผลอกดเบอร์ผิดไป ขอโทษจริงๆ ครับ”
โชคกดปุ่มวางหูแล้วปล่อยโทรศัพท์ให้ตกพื้น เมธาวีหน้าเสียเพราะกลัวว่าโชคจะทำอะไรตน โชคกระทืบโทรศัพท์มือถือจนพัง เมธาวีสะดุ้ง
“ชูมือขึ้น แล้วค่อยๆ เดินออกมา” โชคสั่ง
“ค..ค่ะ”
เมธาวีเดินผ่านเก้าอี้รับแขกแล้วเหลือบมองเห็นโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนของอัธวุธวางอยู่
“ค่อยๆ เดิน” โชคสั่ง
เมธาวีก้มหน้าเหล่มองโทรศัพท์มือถือของอัธวุธ แล้วเธอก็แกล้งทำเป็นสะดุดให้หน้าแข้งตัวเองไปชนโต๊ะรับแขก “โอ๊ย!”
เมธาวีแกล้งทำเป็นเจ็บ แล้วทรุดตัวนั่งลงทันที มือข้างหนึ่งของเธอจับหน้าแข้งป้อยๆ อีกข้างแอบหยิบโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าไว้
“ซุ่มซ่ามจริง” โชคต่อว่า “ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินออกไป ถ้ายังไม่อยากตาย ก็อย่าคิดตุกติกเป็นอันขาด”
เมธาวียกมือขึ้นแล้วเดินช้าๆ ออกไป โดยมีโชคถือปืนจ่อหลังเดินตามมา
ประตูรถตู้เลื่อนเปิดออก โชคกับเจตน์เอาปืนจี้ให้อนามิกากับเมธาวีก้าวขึ้นรถ โดยมีนลิณากับเกตนิการ์กำลังถือถุงดำเตรียมครอบศีรษะของทั้งสองไว้
โชคพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ก้าวขึ้นไปบนรถ...เดี๋ยวนี้!”
“พวกแกเป็นใคร จะจับฉันไปไหน” อนามิกาถาม
พูดไม่ทันขาดคำ อนามิกาก็โดนนลิณาเอาถุงดำสวมหัว ส่วนเกตนิการ์ก็เอาถุงดำสวมหัวเมธาวีเช่นกัน โชคถือปืนก้าวตามขึ้นมา เจตน์ปิดบานประตูของรถตู้ แล้วรีบวิ่งอ้อมไปขับรถ
“พวกแกจะทำอะไรฉัน...” เมธาวีถาม
โชคตวาด “ถ้าไม่อยากตายก็หุบปากซะ” โชคถือปืนคุมเชิงไว้ “รีบมัดข้อมือมันเถอะครับ”
นลิณาจับแขนอนามิกาไพล่หลังแล้วมัดข้อมือไว้ ส่วนเกตนิการ์ก็มัดข้อมือเมธาวีเช่นเดียวกัน แล้วโชค เจตน์ นลิณา และเกตนิการ์ก็ถอดหมวกไอ้โม่งออก ก่อนที่รถตู้จะวิ่งออกไป
ที่หน้าบ้าน อัธวุธยังนอนอยู่ในสภาพบอบช้ำโดยมีเลือดแห้งกรังอยู่ที่จมูก อัธวุธค่อยๆ ลืมตาแล้วพยุงตัวเองขึ้นมา ก่อนจะมองไปรอบๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา
อัธวุธนึกขึ้นได้ รีบร้องเรียกด้วยน้ำเสียงอิดโรย “เม...อะนา...”
อัธวุธก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือของเมธาวีที่โดนกระทืบจนพังขึ้นมาดู
“โทรศัพท์ยัยเมนี่...แล้วโทรศัพท์ฉันหายไปไหนเนี่ย”
อัธวุธเดินโขยกเขยกหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง จนมาเจอโทรศัพท์มือถือของอนามิกาวางอยู่บริเวณชั้นวางของในห้องรับแขก อัธวุธหยิบมากดหาเบอร์แล้วรีบกดโทรออก
“นี่ฉันเอง อาร์ท ฉันใช้โทรศัพท์ของอะนา เดี๋ยว!ภัทร...ฟังฉันก่อน อะนากับเมโดนจับตัวไป...ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร”
รถตู้ที่เจตน์ขับปราดเข้ามาจอดหน้าโกดังร้าง เจตน์ลงจากประตูด้านคนขับแล้วอ้อมมาเลื่อนประตูรถตู้เปิดออก นลิณา เกตนิการ์ และโชค กระชากแขนพาอนามิกาและเมธาวีที่โดนมัดข้อมือไพล่หลังและสวมถุงดำคลุมศีรษะไว้ให้เดินลงมา
“ก้าวลงมา นั่นแหละ แล้วค่อยๆ เดินมาทางนี้” โชคสั่ง
“พวกแกต้องการอะไรกันแน่” อนามิกาถาม
“หุบปาก ถ้าส่งเสียงอีก ฉันจะยิงกรอกปากแกซะ” โชคขู่
เมธาวีกลัวจนร้องไห้สะอึกสะอื้น
“กลัวจนร้องไห้เลยเหรอ ก้าวตามฉันมา” เจตน์สั่ง
เจตน์จับแขนเมธาวี ส่วนโชคจับแขนอนามิกาแล้วทั้งสองก็ลากแขนสองสาวให้เดินตรงไปที่ประตูโกดัง
ประตูโกดังร้างเปิดออก โชคพาอนามิกาเข้ามาพร้อมกับเจตน์ที่พาเมธาวีเข้ามา นลิณากับเกตนิการ์เดินตามมาแล้วปิดประตูโกดัง เสรีนั่งไขว่ห้างรออยู่ที่เก้าอี้ยาวในโกดังร้าง เมื่อเห็นพวกของตนพาอนามิกากับเมธาวีเข้ามา เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น
“มากันแล้วเรอะ”
นลิณาเดินมากอดประจบเสรี ส่วนเกตนิการ์เดินมานั่งข้างๆ
“ขอฉันดูหน้าสองคนนี้หน่อยซิ” เสรีบอก
โชคกับเจตน์พยักหน้า แล้วโชคก็ดึงถุงดำที่คลุมศีรษะอนามิกาออก ส่วนเจตน์ดึงถุงดำที่คลุมศีรษะเมธาวีออก
อนามิกากับเมธาวีขยิบตาสู้แสง แล้วก็ต้องตาโตตกใจเมื่อเห็นเสรีนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงกลาง โดยมีนลิณาและเกตนิการ์นั่งขนาบข้าง
“นีน่า...เกด!!” อนามิกาตกใจ
เมธาวีโวยวาย “นี่เธอเล่นบ้าอะไรของเธอเนี่ย”
นลิณาเอานิ้วชี้จุ๊ปากเพื่อปรามให้เมธาวีเบาเสียง “ชู่ว...ใครบอกว่าฉันเล่นล่ะ”
“แล้วจะจับเราสองคนมาทำไม พวกเธอต้องการอะไรกันแน่” อนามิกาถาม
“ให้คุณพ่อฉันบอกแกเองดีกว่านะ”
เสรียิ้ม “อยากรู้ใช่มั้ย ว่าฉันจับเธอสองคนมาทำไม”
เสรีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดสักครู่ แล้วจึงเปิดสปีคเกอร์โฟนวางไว้ อนามิกากับเมธาวี มองอย่างงงๆ ว่าเสรีกำลังจะบอกอะไรกันแน่ สักพักทุกคนก็ได้ยินเสียงณดลจากโทรศัพท์
“สวัสดีครับ”
เสรีกวักมือเรียกโชคให้เข้ามาหาแล้วกระซิบที่ข้างหูของโชค
“ฮัลโหล...ได้ยินมั้ยครับ...ฮัลโหล” ณดลพูดต่อ
โชคพยักหน้าเข้าใจที่เสรีกระซิบแล้วหันไปพูดใส่โทรศัพท์ “แกรู้จักผู้หญิงที่ชื่ออนามิกา แล้วก็ชื่อเมธาวีใช่มั้ย ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่กับฉันแล้ว”
ณดลยืนพูดโทรศัพท์อย่างร้อนใจ โดยมีณภัทรยืนอยู่ข้างๆ สองพี่น้องยืนอยู่ข้างรถที่จอดอยู่ริมถนน โดยมีอัธวุธที่แปะพลาสเตอร์บริเวณดั้งจมูกนั่งอยู่ในรถที่เปิดประตูทิ้งไว้ อัธวุธเงี่ยหูตั้งใจฟังที่ณดลพูดตลอด
“แกเป็นใคร แล้วอะนากับเมไปอยู่กับแกได้ยังไง อย่าทำร้ายสองคนนั้นนะ แกต้องการอะไรก็บอกมา”
โชคเอียงหน้าให้เสรีกระซิบแล้วจึงพยักหน้าก่อนจะผละออกมาพูดใกล้ๆ โทรศัพท์
“ใจเย็นๆ อย่าลนลาน ฉันจะค่อยๆ ตอบแก ฉันเป็นโจรเรียกค่าไถ่ ชัดเจนมั้ย ฉันรู้ว่าผู้หญิงสองคนนี้มีค่ากับแก แต่ก็ไม่รู้ว่าแกจะยอมจ่ายได้ถึงสิบล้านมั้ย”
ณดลตกใจ “สิบล้าน”
“อ้าว..ทำไมล่ะ หรือแกคิดว่าแพงไป สำหรับชีวิตยัยสองคนนี้” โชคถาม
“ไม่ใช่อย่างงั้น แต่มันจะไม่โลภไปหน่อยเหรอ แล้วเงินขนาดนั้น แกก็ต้องเผื่อเวลาให้ฉันหามาจ่ายพวกแกด้วย” ณดลบอก
“คุณไม่ต้องไปจ่ายมันหรอกนะ” อนามิกาตะโกนแทรกขึ้นมา
เจตน์ยกปืนขึ้นขู่ “หุบปากเดี๋ยวนี้”
นลิณาลุกพรวดขึ้นมา
อนามิกาพูดเสียงดังโดยหวังจะให้ณดลได้ยิน “คุณฟังฉันนะ พวกมันก็คือ...”
อนามิกายังไม่ทันได้เอ่ยชื่อขึ้นมา เธอก็โดนนลิณาตบหน้าเข้าเต็มๆ จนหน้าหัน
นลิณาพูดกับเจตน์เบาๆ “ถ้ามันส่งเสียงขึ้นมาอีกหละก็ ช่วยสั่งสอน จัดหนักมันได้เลย”
เมธาวีเห็นอนามิกาถูกทำร้ายก็กลัวจนร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
โชคพูดโทรศัพท์ต่อ “ว่าไง แกจะไถ่ชีวิตสองคนนี้ หรือจะให้ฉันเชือดทิ้งได้เลย เอ่อ..แต่สวยๆ อย่างงี้นะ ก่อนเชือดคงต้องขอหาเศษหาเลยกันซักหน่อย”
“อย่านะ! แกจะทำอะไรอะนาไม่ได้นะ” ณดลร้องบอก
ณภัทรคว้าโทรศัพท์ในมือณดลมาพูด “ห้ามแตะต้องเมเด็ดขาด”
ณดลยกมือเชิงปรามณภัทร ให้ใจเย็นๆ แล้วจึงพูดโทรศัพท์ต่อ “ถ้าแกทำอะไรสองคนนั้น แกก็จะไม่มีวันได้เงินจากฉัน”
เสรีกระซิบบอกโชค โชคพยักหน้ารับทราบแล้วหันไปพูดต่อ
“ถ้างั้นเช้านี้ เวลา 9 โมงตรง แกเตรียมเงินสด 10 ล้านบาท ห้ามทำเครื่องหมายบนแบ๊งค์ ใส่กระเป๋าที่ไม่มีกุญแจล็อค แล้วขับรถเอากระเป๋ามาให้ฉัน”
ณดลมองหน้ากับณภัทรอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพูดกลับไป “แล้วพวกแกอยู่ที่ไหนกันล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะได้เอาเงินไปให้”
เสรีกระซิบข้างหูโชคอีกครั้ง โชคพยักหน้าแล้วพูด
“นี่คิดว่าพวกเราโง่หรือไง จะหลอกถามที่อยู่กันง่ายๆ อย่างเงี้ยนะ แกแค่เอาเงินใส่รถไว้ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะโทรหาแกเอง ว่าต้องขับรถไปทางไหน ไม่งั้น...แกได้เจอยัยสองคนนี้อีกที ตอนมันเป็นศพแน่ๆ”
“เดี๋ยวสิ เงินสดตั้งมากตั้งมายขนาดนั้น จะขอเวลามากกว่านี้ไม่ได้เหรอ” ณดลต่อรอง
“แกจะได้มีเวลาแจ้งตำรวจให้มาเล่นงานฉันน่ะสิ บอกก่อนเลยนะ ว่าต้องตรงเวลา และที่สำคัญอีกอย่าง ถ้าคิดตุกติก แกอาจจะได้ยัยสองคนกลับไปในสภาพไม่ครบ 32 นะ” โชคขู่
เสรีขยับไปกดปุ่มวางหูแล้วพยักหน้าให้โชคอย่างพอใจ
ณดลพยายามร้องเรียก “เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่ง...ฮัลโหล....”
“รีบโทรกลับไปสิคะ” อัธวุธแนะนำ
“โทรหาเบอร์เมื่อกี้ที่มันโทรเข้ามาน่ะพี่” ณภัทรบอก
“รู้แล้ว”
พอณดลต่อสาย ปรากฏว่าสัญญาณกลายเป็นเสียงที่บอกว่าปิดโทรศัพท์ไปแล้ว
“พรุ่งนี้ เก้าโมง สิบล้าน” ณดลพึมพำ
“เราจะทำยังไงกันดีล่ะครับพี่ณดล” ณภัทรเครียด
ณดล ณภัทร และอัธวุธ ต่างก็หมดอาลัยตายอยากเพราะไม่รู้จะหาทางยังไง
จบตอนที่ 13
อ่านต่อ ตอนที่ 14 อวสาน วันพรุ่งนี้